บทที่ 5
นี่เป็นการตอบสนองที่หลิงซีไม่คาดคิดมาก่อน นางลนลานอย่างเห็นได้ชัด มองไปหลังฉากบังตาโดยไม่รู้ตัว หลังฉากบานพับปักลายทิวเขานทีสี่บานนั้น เงาคนสายหนึ่งวางถ้วยชาและลุกขึ้นยืนอย่างไม่เร็วไม่ช้า
หลิงซีได้รับสัญญาณจากผู้บัญชาการ นางตั้งสติให้มั่นแล้วยิ้มตอบ “แม่นางหวัง ท่านอย่าได้ล้อบ่าวเล่น”
“แม่นางหวัง?” หวังเหยียนชิงพิงหมอนกระเบื้องรูปใบไม้สีหยก เอียงศีรษะเล็กน้อย “ข้าคือแม่นางหวังหรือ”
ดวงตานางใสกระจ่างเปิดเผย มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงก้นบึ้ง ดูไม่เหมือนเสแสร้ง หลิงซีทำอะไรไม่ถูกแล้ว มองไปหลังฉากบังตา หวังเหยียนชิงหันไปมองเช่นกัน เห็นบนฉากบานพับปักลายทิวเขานทีปรากฏเงาร่างสีแดงสายหนึ่ง ฉากบานพับนี้ลวดลายเรียบง่าย แต่สีสันบนตัวเขากลับฉูดฉาด ยามยืนอยู่ตรงนั้นสะท้อนตัวตนออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
หวังเหยียนชิงเห็นหน้าเขาไม่ชัด รู้สึกได้เพียงเขาตัวสูงมาก ท่วงท่าผึ่งผาย ทุกคนในห้องล้วนหวาดกลัวเขา หวังเหยียนชิงไม่รู้เรื่องรู้ราว เผชิญหน้ากับเขาอย่างเหม่อลอย คนผู้นั้นมองดูครู่หนึ่งก่อนจะหันกายจากไป
หลังจากเขาออกไป สาวใช้สองคนหน้าเตียงก็โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด หวังเหยียนชิงมองสีหน้าของพวกนางเงียบๆ แล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้ารู้จักข้า?”
ลู่เหิงออกไปและสั่งให้ตามหมอเข้าจวนทันที องครักษ์เสื้อแพรเดินอยู่บนคมหอกคมดาบ บ่อยครั้งที่ได้รับบาดเจ็บและมิอาจบอกใคร เวลาเช่นนี้ไม่อาจตามหมอหลวง ได้แต่หาหมอมาเองอย่างลับๆ สกุลลู่เป็นองครักษ์เสื้อแพรมาทุกรุ่น มีลู่ทางกว้างขวาง หลังจากลู่เหิงเดินทางเข้านครหลวงก็รับตัวหมอหลายคนที่ไว้ใจได้มาจากอันลู่โดยตรง
ผ่านไปไม่นานหมอก็มาถึงและคำนับลู่เหิง ลู่เหิงพยักพเยิดไปทางห้องกลาง บอกให้หมอเข้าไปจับชีพจรคนข้างใน
เขานั่งอยู่ในโถงข้าง รอคอยอย่างอดทน ผ่านไปพักหนึ่งหมอก็ซับเหงื่อเดินออกมา พอเห็นลู่เหิงลิ้นของเขาก็พันกันอย่างห้ามไม่อยู่ “ผู้บัญชาการ แม่นางท่านนี้…”
ลู่เหิงนั่งบนเก้าอี้พนักโค้งไม้ประดู่ จ้องตาหมออย่างสุขุมเยือกเย็น “นางเป็นอะไร”
“นางดูเหมือนจะ…สูญเสียความจำขอรับ”
ลู่เหิงเลิกคิ้ว มองหมอด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หมอเองก็รู้สึกประหลาดใจทีเดียว พูดจาตะกุกตะกัก “ตอนแม่นางตกลงมามีตาข่ายรับตัวไว้ช่วยลดแรงกระแทก แม้อวัยวะภายในจึงไม่มีปัญหา แต่ศีรษะนางไม่ระวังกระแทกถูกก้อนหิน บางทีอาจเพราะเหตุนี้จึงทำให้สูญเสียความทรงจำ ข้าน้อยตรวจดูอาการของแม่นางแล้ว นางรู้จักเจ็บ รู้จักคัน ความรู้สึกของแขนขาทั้งสี่เป็นปกติ ความรู้เกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วไปก็ยังมีอยู่ เพียงแต่จดจำคนไม่ได้เท่านั้น”
ลู่เหิงหัวเราะเบาๆ “อาการสูญเสียความจำของนางเช่นนี้ ช่างบังเอิญโดยแท้”
“สมองเป็นส่วนสำคัญ หากศีรษะถูกกระแทก ไม่ว่าอาการอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นอาการสูญเสียความทรงจำของแม่นางยังไม่นับว่าหายาก ตำราแพทย์มีบันทึกว่าแต่ก่อนก็เคยมีคนเล่นมวยปล้ำจนศีรษะด้านหลังถูกกระแทก ตื่นมาแม้แต่บิดามารดาบุตรก็จดจำไม่ได้ ยังมีคนหกล้มจนความคิดความอ่านกลับไปเป็นเด็ก แม่นางท่านนี้ไม่ร้องไห้โวยวาย เพียงหลงลืมเรื่องในอดีตไป นับว่าดีแล้ว”
ปลายนิ้วของลู่เหิงเคาะที่เท้าแขน เอ่ยอย่างครุ่นคิด “นั่นสิ หากลืมไปจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ดี”
หมอก้มหน้ามองพื้น ไม่ไปมองสีหน้าของลู่เหิง ลู่เหิงขบคิดครู่หนึ่งแล้วถาม “อาการสูญเสียความทรงจำเช่นนี้จะคงอยู่นานเพียงใด มีวิธีรักษาหรือไม่”
“เรื่องนี้…” หมอทำหน้าลำบากใจ “เรื่องภายในหัว ใครก็ตอบได้ไม่ชัดเจนทั้งนั้น บางทีเมื่อโลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะของแม่นางสลายไป ความทรงจำอาจจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม แต่บางที…ชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่มีวันฟื้นฟูความทรงจำได้อีก”
ลู่เหิงเงียบงันชั่วครู่ เขาพลันหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนี้ทำเอาหมอขนลุกซู่ ลู่เหิงกลับโบกมือ เอ่ยด้วยสุ้มเสียงสุขุม จับอารมณ์ไม่ได้แม้แต่น้อย “ออกไปจ่ายยาเถอะ”
หมอคาดเดาความคิดจิตใจของลู่เหิงไม่ออก ทำใจกล้าถาม “อาการป่วยของแม่นางร้ายแรง ไม่ทราบผู้บัญชาการต้องการใช้ยาใดขอรับ”
ร่างกายของลู่เหิงเอนไปข้างหลังช้าๆ แขนข้างหนึ่งพาดบนเก้าอี้พนักโค้ง อมยิ้มมองหมอ “ยาบำรุง”
หมอเข้าใจแล้ว อาการป่วยของแม่นางท่านนี้ไม่จำเป็นต้องรักษา แค่จ่ายยาบำรุงร่างกายทั่วไปก็เพียงพอ หมอประสานมือ บ่าวรับใช้จวนสกุลลู่ก็เดินเข้ามาทันที นำทางหมอเดินไปอีกทางหนึ่ง
หมอจากไปแล้ว ลู่เหิงก็บีบนิ้วมือ พลันรู้สึกว่าเรื่องราวชักน่าสนใจขึ้นมาเสียแล้ว น้องสาวของฟู่ถิงโจวตกอยู่ในกำมือเขา ประจวบเหมาะกับนางที่สูญเสียความทรงจำในเวลานี้ ลู่เหิงเป็นคนไม่เชื่อพระไม่เชื่อเจ้า แต่เวลานี้กลับรู้สึกว่าสวรรค์กำลังช่วยเขา
ลู่เหิงขบคิดวางแผนในหัว เปิดฝาถ้วยและดื่มชา เขาจิบไปได้สองอึก สาวใช้หลิงซีก็รีบร้อนวิ่งออกมาจากห้องกลาง แล้วคำนับลู่เหิง “ผู้บัญชาการ”
ลู่เหิงวางถ้วยชาพลางถาม “ถามได้ความหรือยัง นางยังจดจำอะไรได้บ้าง”
“แม่นางหวังถามอะไรก็ตอบไม่ได้สักอย่าง กระทั่งชื่อแซ่ของตนเองยังไม่รู้ แต่กลับจำได้ว่าตนเองมีพี่รองคนหนึ่งที่สนิทสนมกับนางมากเจ้าค่ะ”
ลู่เหิงจุปากเบาๆ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเช่นนี้ แม้แต่เขาฟังแล้วยังประทับใจ น่าเสียดายฟู่ถิงโจวผู้นั้นกำลังจะแต่งภรรยาเอก ความรักลึกซึ้งของหวังเหยียนชิงคงต้องเอาไปป้อนสุนัขกินเสียแล้ว
ลู่เหิงพูด “กลับไปหยั่งเชิงอีกครั้ง ในเมื่อนางจำได้ว่าตนเองมีพี่รองคนหนึ่ง เช่นนั้นก็ต้องจดจำเรื่องราวระหว่างกันได้บ้าง”
หลิงซีลังเล สีหน้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง ลู่เหิงรู้สึกได้จึงถามอย่างเรียบเฉย “เป็นอะไร”
หลิงซีทำท่าจะพูดแต่เงียบไป สุดท้ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงยากจะอธิบาย “ผู้บัญชาการ แม่นางหวังท่านนี้…ไม่ค่อยปกตินัก นางอ่านสีหน้าของพวกเราได้ บ่าวคิดว่าตนเองปกปิดได้ดีมากแล้ว แต่นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าบ่าวกำลังโกหก”
หลิงซีมิใช่สาวใช้ธรรมดาทั่วไป นางเคยได้รับการฝึกฝนในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร นับเป็นสายสืบหญิงครึ่งตัว สุดท้ายยังไม่ทันได้ประมือก็ถูกหวังเหยียนชิงโพล่งออกมาต่อหน้าว่า ‘เจ้ากำลังโกหก’ ทำเอาหลิงซีและหลิงหลวนตกใจอย่างยิ่ง
หลิงซีและหลิงหลวนรู้ว่าเรื่องนี้ยุ่งยากเสียแล้ว หลิงหลวนอยู่ในห้องปลอบประโลมหวังเหยียนชิงต่อ ส่วนหลิงซีรีบออกมารายงานผู้บัญชาการ ลู่เหิงรู้ความสามารถของหลิงซีและหลิงหลวนดี ต่อให้พวกนางสองคนไม่เอาไหนเพียงใดก็ไม่ถึงขั้นที่จะถูกคนธรรมดาทั่วไปอ่านสีหน้าท่าทางออก แม้แต่พวกนางสองคนยังพูดเช่นนี้ เห็นทีน้องสาวบุญธรรมของฟู่ถิงโจวผู้นี้จะร้ายกาจอยู่บ้างจริงๆ
ลู่เหิงบังเกิดความสนใจนึกอยากจะพบปะคนผู้นี้ด้วยตนเองอย่างหาได้ยาก เขาปัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก ตอนออกจากประตูเขาชะงักครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาถาม “นางบอกว่านางจำได้เพียงตนเองมีพี่รองคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของผู้บัญชาการดูเหมือนจะแฝงความนัยลึกล้ำอยู่บ้าง หลิงซีไม่เข้าใจจึงตอบอย่างระมัดระวัง “เจ้าค่ะ”
ลู่เหิงยืนอยู่หน้าประตู แสงแดดข้างนอกส่องลงบนชุดเฟยอวี๋เกิดเป็นประกายระยับวับวาวทิ่มแทงตา ชายหนุ่มยืนนิ่งครู่หนึ่ง กดหว่างคิ้วกะทันหัน ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
พี่รอง…
เบื้องบนของลู่เหิงมีพี่ใหญ่คนหนึ่ง ตอนนี้อยู่บ้านเกิดที่อันลู่ไว้ทุกข์ให้บิดา เขาอยู่ในบ้านก็เป็นทายาทลำดับที่สองเหมือนกัน
นี่มิใช่เรื่องบังเอิญหรือไร
ภายในห้องมีแสงแดดอบอุ่นส่อง กลิ่นเครื่องหอมอุ่นๆ ปะทะเข้ามา เตากำยานลายเป่าเซี่ยง ดอกบัวตรงมุมห้องพ่นควันม้วนตัวเป็นสายลอยอยู่กลางแสงแดด หวังเหยียนชิงเอนกายพิงเตียงห้อง ประคองเตาอุ่นมืออย่างสงบ สายตากลับกวาดมองไปในห้องเงียบๆ
หวังเหยียนชิงฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ทั้งไม่รู้ว่าคนเบื้องหน้าเหล่านี้เป็นใคร ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณดั้งเดิมที่สุด…นั่นคือการดูสีหน้า แม้เป็นคนป่าเถื่อนที่ไร้การศึกษา แต่ยามพบเจอคนแปลกหน้าก็สามารถอาศัยการมองสีหน้าวินิจฉัยได้ว่าอีกฝ่ายดีหรือร้าย หวังเหยียนชิงในยามนี้เหมือน ‘คนป่าเถื่อน’ คนหนึ่ง นางไม่เหลือความทรงจำแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีอคติ อาศัยเพียงเบาะแสบนใบหน้าผู้อื่นล้วนๆ ในการตัดสินว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีหรือร้าย
หลังผ่านมาช่วงเวลาหนึ่ง หวังเหยียนชิงแยกแยะได้แล้วว่าในห้องนี้แม้มีคนยืนอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ตัดสินใจได้มีเพียงสองคน ชื่อหลิงหลวนและหลิงซี เมื่อครู่พวกนางพูดคุยกับหวังเหยียนชิง ถามนั่นถามนี่เหมือนไม่ตั้งใจ หญิงสาวเห็นสีหน้าของพวกนางแล้วรู้สึกได้โดยจิตใต้สำนึกว่าพวกนางมิได้พูดความจริง พอหวังเหยียนชิงเอ่ยออกมา สตรีสองคนนี้ก็เหมือนจะตกใจ จากนั้นสาวใช้ที่ชื่อหลิงซีก็เดินออกไป เหลือเพียงหลิงหลวนเฝ้าอยู่หน้าเตียง คราวนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลิงหลวนก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกแล้ว
กระนั้นเรื่องนี้กลับไม่ส่งผลกระทบต่อหวังเหยียนชิงในการสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย หลิงหลวนยืนก้มหน้าประสานมืออยู่ข้างเตียง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย อาศัยสิ่งนี้ปิดกั้นการมองสำรวจจากภายนอก หลิงหลวนคิดว่าตนเองปกปิดได้ดีมากแล้ว ทว่าในสายตาของหวังเหยียนชิง หลิงหลวนยังคงเหมือนหมึกดำบนกระดาษขาว มองปราดเดียวก็เห็นชัดทั้งหมด
มุมปากของหลิงหลวนเหยียดลงข้างล่าง คางเกร็งแน่นมีรอยย่นจางๆ แม้จะหลุบตา แต่หัวคิ้วตกลงมุ่นเข้าหากันน้อยๆ หวังเหยียนชิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร นางรู้สึกโดยจิตใต้สำนึกว่าการที่หลิงหลวนเม้มปากเกร็งคาง บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังกดข่มอารมณ์ของตนเอง หัวคิ้วที่มุ่นเข้าด้วยกันเล็กน้อยบ่งบอกว่าตอนนี้มีสมาธิจดจ่อมาก ทั้งยังรู้สึกเปลืองแรงหน่อยๆ หวังเหยียนชิงมองไปยังหลิงหลวน ไม่ผิดจากที่คิด สองมือของอีกฝ่ายประสานอยู่ด้านหน้า นิ้วมือถูหลังมือเบาๆ
หวังเหยียนชิงรู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยถาม “ตอนนี้เจ้าประหม่ามากเลยหรือ”
หลิงหลวนร่างกายแข็งทื่อ การเคลื่อนไหวของนิ้วมือหายไปทันใด “เปล่าเจ้าค่ะ”
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและสีหน้าของหลิงหลวนล้วนเล็กน้อยมาก เพียงพริบตาก็หายวับไปไม่เห็น แต่หวังเหยียนชิงยังคงสังเกตได้ เมื่อครู่ตอนนางถาม เปลือกตาของหลิงหลวนเหลือบขึ้นอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง
นางกำลังประหลาดใจ แสดงว่าหวังเหยียนชิงพูดถูก
หวังเหยียนชิงไม่เข้าใจ ทั้งที่พวกนางบอกว่ารู้จักตน แล้วเหตุใดจึงยังแสดงท่าทีประหม่าและประหลาดใจออกมาเช่นนี้ หวังเหยียนชิงจ้องหลิงหลวนอย่างละเอียด อยากมองหาเบาะแสมากกว่านี้กลับไม่รู้ว่าระหว่างที่นางสังเกตผู้อื่น ผู้อื่นก็กำลังพิจารณานางอยู่เช่นกัน
ลู่เหิงยืนอยู่นอกห้อง มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมด หลิงซียืนอยู่ข้างหลังอย่างนอบน้อม เอ่ยอย่างจนใจอยู่บ้าง “ผู้บัญชาการ มิใช่ว่าพวกเราไม่พยายามอย่างเต็มที่ แต่แม่นางหวังท่านนี้แปลกคนเหลือเกินเจ้าค่ะ ราวกับมีวิชาอ่านใจอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งล้วนคาดเดาได้ว่าพวกเรากำลังคิดอะไรอยู่”
ลู่เหิงกอดอกด้วยท่าทางสนใจ ฟังแล้วส่ายหน้าเบาๆ “นางไม่ได้รู้วิชาอ่านใจหรอก เพียงแต่นางรู้จักอ่านสีหน้าคน”
หลิงซีสนเท่ห์ยิ่งกว่าเดิม “แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลิงหลวนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเลย”
“มิใช่แค่การร้องไห้หรือหัวเราะเสียงดังเท่านั้นจึงจะเรียกว่าสีหน้าท่าทาง คนบางคนสามารถอาศัยการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของผิวหนังและร่างกายวินิจฉัยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของผู้อื่นได้” ลู่เหิงคิดถึงสิ่งที่หวังเหยียนชิงประสบพบเจอมาแล้วก็เกิดความสงสารเวทนาอย่างหาได้ยาก “นางอายุน้อยๆ ก็บ้านแตกสาแหรกขาด หลังจากนั้นก็อาศัยชายคาผู้อื่นอยู่เป็นเวลาสิบปี บางทีความสามารถในการสังเกตสีหน้าคนคงจะฝึกฝนมาจากช่วงเวลานั้นเอง บัดนี้นางสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่ยังคงหลงเหลือสัญชาตญาณอยู่”
เป็นครั้งแรกที่หลิงซีได้ยินว่ามีคนที่สามารถอาศัยสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ เดาใจผู้อื่นได้ นางขมวดคิ้ว ลำบากใจยิ่งนัก “ผู้บัญชาการ เช่นนั้นสตรีผู้นี้จะเก็บไว้หรือไม่เจ้าคะ”
ลู่เหิงฟังแล้วหัวเราะเบาๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน บุคคลที่น่าสนใจเช่นนี้ เหตุใดจะไม่เก็บเอาไว้เล่า
หวังเหยียนชิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่หน้าประตูก็หันไปมองโดยไม่รู้ตัว แสงอาทิตย์ฤดูเหมันต์เจิดจ้าขาวโพลน เงาคนสายหนึ่งเดินย้อนแสงเข้ามา คล้ายเจือรัศมีพราวระยับ หวังเหยียนชิงเห็นอาภรณ์สีแดงสดของเขาแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่านี่คือบุรุษคนเมื่อครู่
เขาเป็นใคร เหตุใดเขาจึงกลับมาอีก
ตอนฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ พวกเขาเคยพบกันแล้ว ทว่าตอนนั้นหวังเหยียนชิงไม่เห็นหน้าตาของอีกฝ่าย รู้เพียงว่าเขาสูงมาก ไหล่กว้างขายาว เป็นคนรูปร่างดีคนหนึ่ง บัดนี้เขาเดินอ้อมฉากบังตาออกมา หวังเหยียนชิงจึงพบว่าเขาไม่เพียงมีรูปร่างที่ดี ใบหน้ายังโดดเด่นอย่างยิ่ง
คิ้วกระบี่ตาดวงดาว สันจมูกสูงโด่ง รูปหน้าแคบยาว โครงหน้าเด่นชัด ท่วงท่าผึ่งผายมาก แต่ผิวพรรณกลับขาว ประกอบกับดวงตาสีอำพันที่ยามมองคนมักเปล่งประกายระยับวับวาว คล้ายมีไมตรีแต่ก็คล้ายไร้เยื่อใย ริมฝีปากบางมาก มุมปากมีรอยยิ้มแต้มอยู่คลุมเครือ ชวนให้คนเกิดความรู้สึกว่าเขาเย็นชาไร้หัวใจ
กล่าวด้วยมุมมองความงามในกองทัพ ผิวของเขาขาวเกินไป อีกทั้งเมื่อใบหน้าหล่อเหลาจึงให้ความรู้สึกพึ่งพาไม่ได้และไม่สุขุม ดูไม่เหมือนชายชาตรีในกองทัพ แต่กลับเหมือนเสือยิ้มที่คอยแทงข้างหลังผู้อื่นโดยเฉพาะ
หวังเหยียนชิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดนางจึงเปรียบเทียบรูปโฉมของคนผู้นี้ด้วยความคิดนี้โดยไม่รู้ตัว ต้นแบบความงามในจิตใต้สำนึกของนางเป็นใครกัน
หญิงสาวงุนงง เวลานี้เองลู่เหิงก็นั่งลงข้างเตียงของนางแล้ว ชายหนุ่มมองแววตาเลื่อนลอยและไม่เข้าใจของนาง ยิ้มพูด “น้องหญิง เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”
น้ำเสียงของเขาใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติ ยังเจือความไม่พอใจที่ถูกละเลยอยู่บ้าง ทำเอาทุกคนในห้องตะลึงงันไป หลิงซีและหลิงหลวนมองผู้บัญชาการอย่างตกใจ พวกนางนึกขึ้นได้ว่าหวังเหยียนชิงอ่านสีหน้าคนได้จึงรีบก้มหน้า แทบอยากจะปิดตาปิดหูของตนเองเสีย
ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ผีเท่านั้นที่รู้ว่าพวกนางยังจะมีโอกาสรอดชีวิตจนถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่
หวังเหยียนชิงกลับมิได้สังเกตหลิงซีกับหลิงหลวน ความสนใจทั้งหมดของนางไปอยู่ที่ลู่เหิง ได้ยินคำเรียกขานนี้แล้วนางก็รู้สึกขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว “ท่านเรียกข้าว่า ‘น้องหญิง’?”
“ก็ใช่น่ะสิ” ลู่เหิงผลิยิ้ม ลูบผมนางอย่างสนิทชิดเชื้อ “เจ้าจำพี่รองไม่ได้แล้วหรือ”
บทที่ 6
หวังเหยียนชิงได้ยินคำว่า ‘พี่รอง’ แล้ว คิ้วมุ่นเข้าด้วยกันเหมือนคนลอยคอจมน้ำไร้ที่พึ่งคว้าขอนไม้ได้ แต่กลับรู้สึกว่าขอนไม้ท่อนนี้มิใช่หนทางขึ้นสู่ฝั่ง ลู่เหิงนั่งอยู่ข้างเตียง สองคนอยู่ใกล้กันมาก หวังเหยียนชิงจ้องตาเขา ทวนคำซ้ำอย่างไม่แน่ใจ “พี่รอง?”
“ใช่” ดวงตาของลู่เหิงสงบอ่อนโยนดุจทะเลสาบ ดูเหมือนจะเสียใจเพราะความไม่แน่ใจของนาง “แม้แต่ข้าเจ้าก็จำไม่ได้หรือ”
สีหน้าท่าทีของลู่เหิงจริงใจถึงเพียงนี้ หวังเหยียนชิงเผชิญกับแววตาเช่นนี้ในระยะใกล้ ยังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง “มิใช่ พี่รอง ข้าเพียงแต่…”
ลู่เหิงกุมมือนาง ฝ่ามือเรียวยาวทรงพลังรวบเข้าด้วยกันแน่น แสดงความเข้าอกเข้าใจนางด้วยท่าทีอันหนักแน่น “ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายกับข้า อาการป่วยของเจ้าข้าทราบแล้ว การสูญเสียความทรงจำไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าระแวดระวังทุกคนเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องที่ดี ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร”
ฝ่ามือเขาอบอุ่นและแข็งแกร่งทำให้คนอดรู้สึกอยากพึ่งพิงมิได้ จิตใจของหวังเหยียนชิงที่ประหวั่นลนลานนับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเสมือนหาที่พักพิงได้ จุดยืนเอนเอียงไปทางเขาโดยไม่รู้ตัว “พี่รอง…”
ลู่เหิงอมยิ้มพลางลูบผมนาง จัดปอยผมที่ระใบหน้านางให้ดี เอ่ยอย่างวางใจ “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้าบกพร่องเองที่ไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี ทำให้เจ้าถูกคนทำร้ายจนสูญเสียความทรงจำ”
หวังเหยียนชิงจับนัยบางอย่างได้ จึงถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ”
“เล่าไปแล้วก็ยาว” นิ้วมือลู่เหิงไล้ผ่านใบหน้าด้านข้างของนางอย่างอาลัย สุดท้ายก็วางลงบนหลังมือนาง มือของเขาใหญ่กว่าหญิงสาวมาก มือของเขาเพียงกุมไว้หลวมๆ ก็สามารถรวบมือเรียวยาวดุจหยกของนางไว้ได้อย่างง่ายดายแล้ว ลู่เหิงใช้ท้องนิ้วถูข้อมือนางอย่างไม่เร็วไม่ช้า เอ่ยถาม “ยังจำชื่อของตนเองได้หรือไม่”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า
ลู่เหิงตอบ “ไม่เป็นไร ข้าจำได้ทั้งหมด ข้าจะเล่าเรื่องของพวกเราให้เจ้าฟังเอง ข้าชื่อลู่เหิง ตอนนี้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการชั่วคราว ส่วนเจ้าชื่อหวังเหยียนชิง เป็นบุตรีสกุลหวังของครอบครัวทหารในเมืองต้าถง ปีที่เจ้าอายุเจ็ดขวบ บิดาของเจ้าหวังชงพลีชีพในสมรภูมิ ในปีเดียวกันวันที่สิบเดือนห้า ย่าของเจ้าหลี่ซื่อป่วยตาย เจ้ากลายเป็นเด็กกำพร้า ที่นาของบรรพบุรุษถูกคนอื่นยึดครอง แต่ญาติพี่น้องกลับไม่ยินดีรับเลี้ยงเจ้า เวลานั้นบิดาข้าตรวจตรากองทัพอยู่ในพื้นที่ต้าถง เขาทนดูไม่ได้จริงๆ จึงรับเจ้ากลับมาสกุลลู่ ปีที่เจ้ามาสกุลลู่ข้าอายุสิบสอง เจ้ากับข้ารู้จักกันตั้งแต่เล็ก เป็นดังเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ มิใช่พี่น้อง แต่กลับเหนือกว่าพี่น้อง ข้าเป็นทายาทลำดับสองในบ้าน ดังนั้นเจ้าจึงเรียกข้าว่าพี่รองตามอย่างพวกเขา”
ลู่เหิงน้ำเสียงนุ่มนวล ในความราบเรียบเจือความคิดถึง หลิงซีและหลิงหลวนยังเกือบจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง ระดับขั้นสูงสุดในการโกหกก็คือการพูดความจริง ชาติกำเนิดและประสบการณ์ของหวังเหยียนชิงเป็นความจริง การตรวจตรากองทัพของลู่ซงก็เป็นความจริง แต่แนวป้องกันซีเป่ยยาวถึงเพียงนั้น ลู่ซงไม่รู้จักหวังชงแต่อย่างใด แล้วจะรับตัวบุตรีกำพร้าของสกุลหวังมาเลี้ยงดูได้อย่างไร
มิหนำซ้ำองครักษ์เสื้อแพรใช้ชีวิตแบบที่คมดาบอาบเลือด ลู่ซงความสามารถธรรมดาทั่วไป มีดีที่ระวังรอบคอบ เขาไม่มีทางพาสตรีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกลับสกุลลู่เด็ดขาด ทว่าลู่ซงจากโลกนี้ไปแล้ว หวังเหยียนชิงไม่รู้เรื่องพวกนี้ คำพูดของลู่เหิงกระแทกใจนาง ส่วนลึกในหัวสมองเกิดความรู้สึกตอบสนองอย่างเลือนราง
นางไม่เห็นร่องรอยการโกหกใดๆ บนใบหน้าเขา อีกทั้งความเศร้าเสียใจ ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณและอารมณ์อื่นๆ ก็ตอกย้ำนาง หวังเหยียนชิงจึงไม่เหลือความเคลือบแคลงอีก ยอมรับทันทีว่านี่คือพี่รองของตน “พี่รอง เหตุใดข้าจึงสูญเสียความทรงจำได้”
ลู่เหิงถอนหายใจหนึ่งที ดวงตาผุดแววละอายแก่ใจ “ต้องโทษที่ข้าไม่ดี ก่อนหน้านี้ด้วยเรื่องของกองกำลังทักษิณพิทักษ์นคราทำให้ข้าเกิดความขัดแย้งกับพวกชนชั้นสูงในนครหลวง คนพวกนั้นขวัญกล้าเทียมฟ้า กระทำการตามอำเภอใจ ถึงขั้นลอบทำร้ายเจ้าระหว่างทางไปไหว้พระ วันนั้นข้าอยู่ที่กองเจิ้นฝู่ใต้ ไม่ได้ออกไปกับเจ้าด้วย ไม่คิดว่า…”
เสียงของลู่เหิงชะงักไป ริมฝีปากบางเม้มเข้าด้วยกันเล็กน้อย แววตาหนักอึ้ง ดูท่าทางยังคงมิอาจยกโทษให้ตนเองได้ หวังเหยียนชิงกลับเป็นฝ่ายปลอบโยนเขา “พี่รอง ท่านอย่าโทษตนเองเลย มีแต่เป็นโจรพันวัน ไหนเลยจะป้องกันโจรพันวันได้ พวกเขามีใจลอบวางแผน ถึงอย่างไรก็ต้องสบโอกาสจนได้ ตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นไรแล้วมิใช่หรือ”
ลู่เหิงมองหวังเหยียนชิงพลางยิ้ม นัยน์ตาสีอำพันหรี่ลงน้อยๆ ยิ่งดูคล้ายสุราบ่อหนึ่ง พาให้ใจคนมัวเมา “นั่นสิ เคราะห์ดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
หวังเหยียนชิงพบว่าหลังจากนางสลบไสลไป คนที่พบเจอนอกจากลู่เหิงแล้วก็มีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนเท่านั้น ในใจนางรู้สึกว้าวุ่น ถามหยั่งเชิงว่า “พี่รอง เหตุใดจึงไม่เห็นคนอื่นๆ เลย เป็นเพราะข้าก่อเรื่องวุ่นวายให้กับจวนหรือไม่”
ทุกคนในนครหลวงต่างบอกว่าลู่เหิงจิตใจชั่วร้ายวิธีการโหดเหี้ยม วันหน้าต้องถูกกรรมตามสนองแน่ ลู่เหิงรู้ว่าชาวบ้านในท้องตลาดด่าเขาอย่างไร แต่เขาไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ยังคงทำอะไรตามใจตนเอง คาดคั้นสอบปากคำ ใส่ความผู้อื่นล้วนทำได้ง่ายๆ เขาแต่งเรื่องโกหกหวังเหยียนชิง ตั้งแต่ต้นจนจบดวงตาไม่มีริ้วคลื่นแม้แต่น้อย ทว่ายามนี้ได้ยินคำพูดของนางแล้ว กระทั่งคนไม่มีหัวจิตหัวใจอย่างเขายังรู้สึกปวดใจ
กระทั่งชื่อของตนเองนางก็จำไม่ได้แล้ว แต่กลับไม่ลืมประจบเอาใจนายหญิงของจวนโดยสัญชาตญาณ ตลอดหลายปีมานี้สกุลฟู่ปฏิบัติต่อนางอย่างไรกันแน่ แม่นางน้อยอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง ไฉนจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังถึงเพียงนี้
ลู่เหิงออกแรงกดมือนาง ใช้การกระทำให้ความมั่นใจกับนาง “ปีนี้บิดาข้าล่วงลับ พี่ชายกับมารดาล้วนกลับบ้านบรรพบุรุษไปไว้ทุกข์ เดิมทีข้าก็ต้องไปเหมือนกัน ทว่าฮ่องเต้ทรงตัดธรรมเนียมนี้ไป สั่งข้าว่าไม่ต้องไว้ทุกข์ ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในนครหลวงต่อ ข้ากับเจ้าจึงอยู่ที่นี่ ตอนนี้ในจวนสกุลลู่มีแค่พวกเราสองคน ข้ามักไม่ค่อยอยู่จวน ในจวนมีเรื่องใดเจ้าตัดสินใจเองก็พอ ไม่ต้องคิดมาก”
นี่เป็นความจริง แต่ลู่เหิงปกปิดไว้ส่วนหนึ่ง ลู่ซงเสียชีวิตในเดือนแปดปีนี้ แต่ฟู่เยวี่ยตายในเดือนสอง เวลาไม่ตรงกัน อีกทั้งคนอื่นๆ ในสกุลลู่กลับอันลู่สาเหตุมิใช่เพื่อไว้ทุกข์เสียทีเดียว เหตุผลที่มากยิ่งกว่าคือการหลบเลี่ยงภัย
ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรจะอย่างไรก็เป็นตำแหน่งที่ล่วงเกินคนอย่างมาก แม้แต่ครอบครัวของฟู่ถิงโจวยังถูกคนล้างแค้น นับประสาอะไรกับสกุลลู่เล่า ฉวยโอกาสตอนนี้ที่ฮ่องเต้ยังไว้วางใจสกุลลู่รีบจากไปเสีย หาไม่แล้วย่อมจากไปไม่ได้อีก
หวังเหยียนชิงจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่สัญชาตญาณรู้สึกว่าปีนี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่สำคัญต่อนางมากเสียชีวิต เมื่อลู่เหิงบอกว่าบิดาของเขาล่วงลับ เวลาและต้นสายปลายเหตุสอดคล้องกัน ความกังขาเสี้ยวสุดท้ายของนางจึงวางลงได้ ไม่มีความระแวงลู่เหิงอีก
หวังเหยียนชิงได้ยินว่าในจวนไม่มีนายหญิง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว แม้แต่น้ำเสียงก็สดใสขึ้นด้วย “ท่านป้ากับพี่ชายกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์ ข้าไม่อาจอยู่ปรนนิบัติข้างกาย ช่างเป็นความผิดโดยแท้”
“เจ้าไม่ใช่สาวใช้เสียหน่อย ข้างกายมารดาไม่ขาดคนปรนนิบัติ” ลู่เหิงว่า มองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อีกอย่างข้าอยู่นครหลวงคนเดียว เจ้าคิดแต่อยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านป้า ไม่คิดอยากอยู่เป็นเพื่อนพี่รองบ้างหรือ”
หวังเหยียนชิงถูกเขาพูดจนหน้าแดง ใจคิดว่าพี่รองกลายเป็นคนช่างเจรจาเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อไร นางอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกว่าความคิดนี้ช่างประหลาด แต่เมื่อคิดทบทวนให้ดี เงาคนในความทรงจำผู้นั้นกลับยังคงเลือนราง ดูเหมือนเขาก็คือลู่เหิงนี่เอง
หวังเหยียนชิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย บริเวณที่ถูกลู่เหิงกุมไว้คล้ายจะร้อนลวก นางเอียงหน้ารวบผม เลี่ยงการตอบคำถามนี้แล้วชวนคุยเรื่องอื่น “พี่รอง ท่านล่วงเกินใครเข้าหรือ แล้วท่านจะมีอันตรายหรือไม่”
ตนเองยังสูญเสียความทรงจำอยู่ กลับเริ่มเป็นห่วงเขาเสียแล้ว ลู่เหิงพบว่าความรู้สึกของการเลี้ยงดูน้องสาวคนหนึ่งไม่เลวเลยจริงๆ เขาหัวเราะเบาๆ “มิใช่ข้าล่วงเกินคน แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่ล่วงเกินข้า ต่อให้พวกเขากล้าหาญเพียงใดก็ไม่กล้าลอบทำร้ายข้าหรอก ที่เจ้าเกิดเรื่องเป็นเพราะเหตุไม่คาดฝันล้วนๆ วางใจเถอะ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว”
ตั้งแต่ลู่เหิงเข้ามาก็อมยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ เข้าอกเข้าใจนาง หวังเหยียนชิงจึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนจิตใจดี จนกระทั่งบัดนี้เขาเอ่ยคำพูดเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม แต่ประกายในดวงตากลับสามารถสับคนจนละเอียดได้ หวังเหยียนชิงจึงพบว่าดูเหมือนชายหนุ่มจะมิได้ใจดีเฉกเช่นที่นางคิด
ในใจหวังเหยียนชิงบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย พี่รองโหดเหี้ยมกับผู้อื่น อ่อนโยนเฉพาะกับนางเท่านั้น หลังจากฟื้นขึ้นมานางก็จำอะไรไม่ได้เลย จำได้เพียงว่าตนมีพี่รองคนหนึ่ง เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต บัดนี้ได้เห็นท่าทีที่ลู่เหิงปฏิบัติต่อนางด้วยตาตนเอง ในใจหวังเหยียนชิงซาบซึ้งยิ่งกว่าเดิม นางลอบตัดสินใจว่านางจะต้องดีกับพี่รองให้มากๆ
หวังเหยียนชิงโอบกอดความคิดเช่นนี้พลางถาม “พี่รอง คนที่วางแผนทำร้ายท่านเป็นผู้ใดหรือ”
ระหว่างที่หวังเหยียนชิงพูดคุยกับลู่เหิง หลิงซี หลิงหลวน และสาวใช้คนอื่นๆ ก็ถอยไปอยู่นอกฉากบังตาอย่างรู้กาลเทศะ ยามนี้เมื่อได้ยินคำพูดนาง ในห้องเหมือนจะเงียบไปชั่วอึดใจ ต่อจากนั้นเสียงของลู่เหิงก็ดังขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “เจิ้นหย่วนโหว ฟู่ถิงโจว”
หวังเหยียนชิงเอียงศีรษะเล็กน้อย ขบคิดถึงคนผู้นี้อย่างละเอียด แต่ในหัวยังคงว่างเปล่าขาวโพลน
ลู่เหิงจ้องตานาง เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะย้อนถาม “ทำไม เจ้าจำเขาได้หรือ”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า ดวงตากระจ่างบริสุทธิ์ “ข้านึกไม่ออกแม้แต่น้อย”
ลู่เหิงมองหญิงสาว คิดในใจ ดวงตาใสซื่อเช่นนี้ บุรุษคนใดจะต้านทานได้เล่า เขาถูกหวังเหยียนชิงจ้องจนหัวใจคันยุบยิบ อยากลูบหน้านางสักทีเหลือเกิน แล้วเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ “ไม่ต้องห่วง เจ้าโง่ผู้นั้นไม่มีโอกาสอีกแล้วล่ะ”
ท้องนิ้วเขาหยาบกร้านเล็กน้อย ลูบหน้าหวังเหยียนชิงจนนางรู้สึกจั๊กจี้ นางยิ้มพลางหลบ คว้ามือเขาไว้ “พี่รอง อย่าซุกซน”
ลู่เหิงมองดวงตาชุ่มชื้นเปล่งประกายของนาง แล้วหัวเราะเบาๆ
เจ้าโง่ฟู่ถิงโจวผู้นั้น ไม่มีโอกาสอีกแล้วจริงๆ
ลู่เหิงพูดคุยเป็นเพื่อนหวังเหยียนชิงพักหนึ่งด้วยสีหน้าสดชื่น อารมณ์เบิกบาน เขาอมยิ้มก่อนวางมือนางลง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางแล้วลุกขึ้น “กองเจิ้นฝู่ใต้ยังมีงานอีกเล็กน้อย ข้าต้องไปก่อน คืนนี้จะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า หากรู้สึกไม่สบายที่ใดก็ตามหมอ อย่าปล่อยให้ตนเองลำบาก เข้าใจหรือไม่”
หวังเหยียนชิงได้พบพี่รองที่คะนึงหามาโดยตลอด หัวใจที่แขวนเติ่งวางลงได้ในที่สุด นางไม่รู้สึกงุนงงไร้ที่พึ่งเหมือนตอนฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ อีก นางผงกศีรษะ มองชายหนุ่มอย่างกระตือรือร้น “พี่รอง ท่านวางใจและไปทำงานเถอะ ข้าไม่เป็นไร”
ลู่เหิงกำชับนางอีกหลายคำก่อนจะเลิกม่านเดินออกไป รอจนพ้นจากเรือนของหวังเหยียนชิงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็เลือนไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาสาดประกายนักล่าที่เยียบเย็นปานน้ำแข็ง
บริวารรีบตามมาข้างหลัง กุมหมัดเอ่ย “ผู้บัญชาการ”
ลู่เหิงเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ไปสืบประวัติของหวังเหยียนชิงในช่วงหลายปีมานี้ นางเคยไปที่ใดบ้าง เคยพูดอะไรบ้าง รายงานขึ้นมาให้หมด”
“ขอรับ”
องครักษ์เสื้อแพรทำงานด้านข่าวกรอง ในแต่ละวันมีความลับนับไม่ถ้วนผ่านมือลู่เหิงไป ฟานอ๋องที่อยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเมื่อคืนนอนกับอนุคนใด องครักษ์เสื้อแพรยังล่วงรู้ นับประสาอะไรกับเรื่องของบุตรีบุญธรรมคนหนึ่งในจวนเจิ้นหย่วนโหว
ลู่เหิงสั่งการเสร็จก็ก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก คนเฝ้าประตูเตรียมม้าดีไว้แล้ว ชายหนุ่มพลิกตัวขึ้นหลังม้า กุมสายบังเหียนอย่างแคล่วคล่อง เขาส่งเสียงกระตุ้นม้าหนึ่งที ริมฝีปากผุดรอยยิ้มคลุมเครือ ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก ฟู่ถิงโจว เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.