X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 7-8

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 7

ลู่เหิงจากไปแล้ว เรือนหลังเงียบสงบอีกครั้ง หลิงซีและหลิงหลวนออกไปครู่หนึ่ง ตอนกลับมายกชามยามาด้วย “แม่นาง ยามาแล้วเจ้าค่ะ”

สายตากระจ่างใสของหวังเหยียนชิงเลื่อนมองมา หลิงซีประหม่าโดยไม่รู้ตัว แต่นางคิดถึงคำสั่งของผู้บัญชาการเมื่อครู่จึงฝืนตั้งสติให้มั่นคง

ตอนนี้ลู่เหิงเพิ่งจะรับหน้าที่ดูแลกองเจิ้นฝู่ใต้ ในนอกมีคนจับจ้องเขาไม่น้อย เขาไม่มีเวลาอยู่ในเรือน ก่อนจากไปเขาได้ทิ้งคำพูดไว้ให้คนในเรือน เมื่อครู่หลิงซีและหลิงหลวนอ้างว่าไปต้มยาและจัดการตามคำสั่งของลู่เหิงเรียบร้อยแล้ว

หนึ่งในนั้นมีข้อหนึ่ง นั่นคือต้องปรนนิบัติแม่นางหวังผู้เป็น ‘บุตรีบุญธรรมสกุลลู่’ อย่างไร

หวังเหยียนชิงเห็นยาแล้วนิ่งไม่ขยับ หลิงซีเห็นดังนั้นรีบเอ่ยทันที “บ่าวชิมมาก่อนหน้านี้แล้ว ยานี้ไม่มีปัญหาแน่นอน หากแม่นางไม่เชื่อ บ่าวจะทดสอบอีกครั้งตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”

หลิงซีพูดพลางให้คนไปหยิบช้อน นางจะทดสอบยาต่อหน้าหวังเหยียนชิง หวังเหยียนชิงส่ายหน้าพลางยื่นมือไป “เอาชามมาให้ข้าเถอะ”

หลิงซีประหลาดใจ “แม่นาง…”

หวังเหยียนชิงพูด “พวกเจ้าเป็นสาวใช้ที่พี่รองส่งมา ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ข้าเชื่อพี่รอง”

หวังเหยียนชิงรับชามยาไป หยั่งความอุ่นร้อนของยาดูเล็กน้อย ไม่ผิดจากที่คิดยากำลังอุ่นพอดี หญิงสาวก้มหน้าดื่มยา แม้จะไม่เร็ว แต่กิริยายามตักยาขึ้นมามั่นคงเด็ดขาด ไม่ยึกยักชักช้าแม้แต่น้อย นางดื่มยาหนึ่งชามหมดอย่างรวดเร็ว หวังเหยียนชิงวางช้อนลงด้านข้าง หลิงซีก็รีบส่งผลไม้เชื่อมให้ หวังเหยียนชิงกลับโบกมือตอบ “ไม่เป็นไร”

หลิงซีและหลิงหลวนสบตากันต่างรู้สึกประหลาดใจ คุณหนูในเรือนคนใดบ้างที่ไม่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ปลายนิ้วถูกเข็มตำหนึ่งทีก็เจ็บจนน้ำตาร่วง แต่หวังเหยียนชิงกลับดื่มยาขมๆ รวดเดียวหมด ไม่เหมือนสตรีในหอห้องแม้แต่น้อย หลิงซีลองถามนาง “แม่นาง ท่านยังรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดอีกหรือไม่”

หวังเหยียนชิงตกลงมาจากหน้าผาสูงถึงเพียงนั้นจะไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไร นางเจ็บระบมไปทุกส่วนของร่างกาย นางไม่มีความทรงจำ แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าอาการเหล่านี้เป็นเพียงการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ไม่ถึงแก่ชีวิต สิ่งที่ร้ายแรงอย่างแท้จริงคือโลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะต่างหาก

หญิงสาวแตะหลังศีรษะเบาๆ หลิงซีเห็นดังนั้นก็ร้องห้าม “แม่นางอย่าใช้มือแตะ หมอบอกว่าโลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะท่านยังไม่สลายไป ช่วงนี้ห้ามเคลื่อนไหวโลดโผน อารมณ์ก็ต้องประคองให้มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณนั้นห้ามไปแตะต้องเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”

หวังเหยียนชิงฟังคำสาวใช้แล้วชะงักการกระทำอย่างแข็งทื่อ หลังจากนั้นก็ไม่แตะต้องอีกจริงๆ ตอนนี้นางมีบาดแผล มิอาจเคลื่อนไหว มิอาจอ่านหนังสือ เพิ่งตื่นขึ้นมาจะให้นอนก็นอนไม่หลับ นางเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ สายตาอดไม่ได้ที่จะเลื่อนไปยังสาวใช้เหล่านี้

หลิงซีและหลิงหลวนคิดถึงความแปลกประหลาดของหวังเหยียนชิงแล้วตัวเกร็งขึ้นมาทันใด โดยเฉพาะหลิงหลวน สีหน้าแข็งทื่อไปหมด หวังเหยียนชิงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าพวกนางกำลังประหม่า นางรู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วจึงถามออกไป “เหตุใดพวกเจ้าจึงดูหวาดเกรงข้ามาก”

พี่รองบอกว่านางมาอยู่สกุลลู่ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ อาศัยอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว หากสาวใช้พวกนี้เป็นบ่าวสกุลลู่ เหตุใดจึงไม่คุ้นเคยกับนาง ทั้งยังมีท่าทีระมัดระวัง

หลิงซีและหลิงหลวนสบตากันปราดหนึ่ง หลิงหลวนก้มหน้า หลิงซีถอนหายใจ ยอบกายคำนับหวังเหยียนชิง “แม่นางกล่าวเช่นนี้พวกบ่าวรับไม่ไหวเจ้าค่ะ บ่าวเป็นใครกัน ไหนเลยจะคู่ควรออกคำสั่งบงการแม่นาง บ่าวแค่กลัวว่าตนเองจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่านั้น”

หวังเหยียนชิงถาม “เป็นเพราะพี่รองหรือ”

หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้ว ทุกคนที่นี่ล้วนหวาดกลัวลู่เหิงมาก แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ลู่เหิงก็จากไปแล้ว เหตุใดพวกนางยังไม่กล้าผ่อนคลายอีก

หลิงซีได้ยินหวังเหยียนชิงเรียกผู้บัญชาการว่า ‘พี่รอง’ ความรู้สึกในใจก็ซับซ้อนสุดประมาณ นางจดจำคำพูดของผู้บัญชาการได้อย่างแม่นยำจึงตอบว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ เป็นพวกบ่าวบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ได้ปรนนิบัติแม่นางให้ดี แม่นางถูกลอบทำร้ายระหว่างเดินทางไปไหว้พระ ผู้บัญชาการโมโหอย่างยิ่ง ขายตัวสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยที่เคยปรนนิบัติแม่นางออกไปทั้งหมดและย้ายพวกบ่าวมาที่นี่แทน บ่าวกลัวตนเองปรนนิบัติได้ไม่ดี ดังนั้นจึงทำผิดบ่อยครั้ง ขอแม่นางโปรดอภัยด้วย”

คำพูดอาจไม่ตรงกับใจได้ สีหน้าสามารถเสแสร้งได้ แต่การเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อในจุดเล็กๆ หลอกคนไม่ได้ หวังเหยียนชิงเชี่ยวชาญการจับสังเกตสีหน้าอาการเล็กๆ น้อยๆ ของคนมาแต่กำเนิด อีกทั้งยังสามารถจับคู่สีหน้าท่าทีเหล่านั้นกับอารมณ์ได้ในพริบตา ความสามารถเช่นนี้เหมือนพรสวรรค์อย่างหนึ่งมากกว่า เหมือนที่คนบางคนเกิดมาความจำดีเยี่ยม เจนจัดสังคีต การที่หวังเหยียนชิงเชี่ยวชาญการจำแนกสีหน้าคนก็เป็นความสามารถที่ฝังลึกอยู่ในสัญชาตญาณของนางเฉกเดียวกัน

บัดนี้นางไร้ความทรงจำ ไม่ถูกความรู้ทั่วไปและความยึดมั่นผูกมัด พรสวรรค์เช่นนี้จึงยิ่งโดดเด่น การเสแสร้งต่อหน้ายอดฝีมือด้านการจับโกหกแต่กำเนิดอย่างหวังเหยียนชิงจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ มิสู้ไม่เสแสร้งแต่งเติมเรื่องจริงสักเล็กน้อยแล้วพูดออกไปดีกว่า

ดังนั้นลู่เหิงจึงเตรียมคำพูดนี้ไว้ให้หลิงซีและหลิงหลวน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกนางจึงไม่สนิทสนมกับหวังเหยียนชิง รวมถึงเหตุใดจึงลนลานถึงเพียงนั้นเมื่อทราบว่าหวังเหยียนชิงสูญเสียความทรงจำ

คำพูดนี้สอดคล้องกับนิสัยของลู่เหิง ทั้งอธิบายความผิดปกติที่หวังเหยียนชิงพบเจอตอนเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ หญิงสาวขบคิดครู่เดียวก็ยอมรับ ยาบำรุงที่หมอจ่ายให้มีเพิ่มยาช่วยการนอนหลับเข้าไปส่วนหนึ่ง หวังเหยียนชิงดื่มยาไปไม่นานก็ง่วงงุน นอนลงภายใต้การโน้มน้าวของเหล่าสาวใช้ หลิงซีและหลิงหลวนเห็นนางหลับสนิทแล้วก็ระบายลมหายใจยาว รีบออกไปจัดแต่งสถานที่

สกุลลู่มีเพียงลู่เหวินลู่เหิงสองพี่น้อง ไม่มีบุตรี เมื่อมารดาของลู่เหิงกลับบ้านเกิด จวนสกุลลู่ก็ว่างลง ปกติเงียบเหงามาก แต่บัดนี้จู่ๆ ก็มี ‘บุตรีบุญธรรม’ ที่อาศัยอยู่ที่นี่มาสิบปีโผล่มา ข้าวของที่ต้องจัดเตรียมมีไม่น้อยทีเดียว

การสร้างร่องรอยหลักฐานของที่พักที่คนผู้หนึ่งอาศัยอยู่มาสิบปี เรื่องพรรค์นี้มีแต่องครักษ์เสื้อแพรเท่านั้นที่ทำได้ หมอจ่ายยาแรงเพียงพอ หวังเหยียนชิงหลับยาวจนถึงยามโพล้เพล้ ระหว่างที่สาวใช้จวนสกุลลู่ยุ่งง่วนกับการสร้างสถานที่ ลู่เหิงอยู่ที่กองเจิ้นฝู่ใต้ก็พลิกหน้ากระดาษช้าๆ

กัวเทายืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้ามองสีหน้าของอีกฝ่าย เอ่ยอย่างลำบากใจ “ผู้บัญชาการ ข้าน้อยทำตามคำสั่งของท่าน ไม่ให้อาหารและน้ำดื่มพวกเขา ปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ทั้งวัน เมื่อครู่ข้าน้อยไปสอบปากคำ ถึงขั้นหยิบแส้ออกมาแล้ว พวกเขายังคงไม่ยอมพูด หากลงทัณฑ์แรงกว่านี้ นั่นย่อมมิใช่แค่พักฟื้นช่วงหนึ่งแล้วจะหายดีได้”

ความจริงตำแหน่งขุนนางในตอนนี้ของลู่เหิงคือผู้ช่วยผู้บัญชาการ เขาเพียงแต่ทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการชั่วคราวเท่านั้น แต่อยู่ในแวดวงขุนนาง ความสามารถในการประจบเจ้านายเช่นนี้จะขาดไปได้อย่างไร ทุกคนในกองเจิ้นฝู่ใต้ต่างเปลี่ยนมาเรียกขานลู่เหิงว่า ‘ผู้บัญชาการ’ กันถ้วนหน้า

ลู่เหิงทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรชั่วคราวในเดือนสิบเอ็ด หลังจากเข้ารับหน้าที่ในกองเจิ้นฝู่ใต้ ภารกิจแรกของเขาก็คือการสืบคดีจางหย่งและเซียวจิ้งติดสินบน

จางหย่งเป็นหนึ่งใน ‘แปดพยัคฆ์’* ที่ชื่อเสียงเป็นที่โจษขานในช่วงของฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ เซียวจิ้งแม้มิใช่แปดพยัคฆ์ แต่ก็เป็นขันทีที่มีอำนาจในสมัยฮ่องเต้เฉิงฮว่า ฮ่องเต้เซี่ยวจง* และฮ่องเต้เจิ้งเต๋อมากทีเดียว ฮ่องเต้เจิ้งเต๋อให้อำนาจแก่ขันที ‘แปดพยัคฆ์’ เหิมเกริมในวัง ยึดอำนาจในราชสำนัก ฎีกามากมายล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา ภายหลังฮ่องเต้เจิ้งเต๋อประชวรและสวรรคต ฮ่องเต้จยาจิ้งขึ้นครองราชย์ แปดพยัคฆ์จึงถูกกวาดล้างในที่สุด ในจำนวนนั้นจางหย่งกลับลำในช่วงเวลาคับขัน สร้างความดีความชอบแก่ขุนนางฝ่ายพลเรือน จึงเคราะห์ดีรอดชีวิตมาได้ ภายหลังจางหย่งถูกลดตำแหน่งและส่งไปสุสานหลวงดูแลเรื่องการเซ่นไหว้ แม้ชีวิตที่เหลือจะมิอาจกุมอำนาจได้อีก แต่อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ รัชศกจยาจิ้งปีที่แปดจางหย่งป่วยตาย ราชสำนักยังอวยยศให้ครอบครัวและพี่น้องของเขา นับเป็นจุดจบที่ดีอันหาได้ยากยิ่งของขันที

เดิมทีทุกอย่างปกติดี แต่ปีนี้เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องการหารือจารีตใหญ่ เรื่องเก่าในอดีตจึงถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ตรวจสอบหลูชั่นร้องเรียนรองราชเลขาธิการจางจิ้งกงว่ายึดอำนาจรับสินบน จางจิ้งกงไม่ยอมแพ้ สั่งการให้พรรคพวกร้องเรียนอีกฝ่ายว่ารับสินบนจากจางหย่งและเซียวจิ้งทันที

ขุนนางในราชสำนักสมคบขันที นี่เป็นความผิดมหันต์ การจู่โจมของจางจิ้งกงก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ พรรคพวกฝ่ายต่างๆ ในราชสำนักต่อสู้กันอุตลุด มีคนเข้ามาพัวพันมากขึ้นทุกที ฎีการ้องเรียนปลิวขึ้นไปบนโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ดุจเกล็ดหิมะ ฮ่องเต้กริ้วมาก สั่งให้สืบเรื่องนี้อย่างจริงจัง องครักษ์เสื้อแพรไปคุมตัวคนถึงที่จวนทันที ขุนนางไม่น้อยพลอยติดร่างแหต้องเข้าคุกไปด้วย ในจำนวนนั้นย่อมมีขุนนางใหญ่ระดับสูง สำนักฮั่นหลินที่ได้ชื่อว่าเป็นอุทยานท้ายตำหนักของสภาขุนนาง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของปัญญาชนทั่วหล้าต้องรับเคราะห์หนักที่สุด

บัดนี้ใครทุจริตใครมิได้ทุจริต ใครสมคบขันที ใครถูกใส่ความล้วนให้ลู่เหิงเป็นคนสืบสวน หากลู่เหิงสืบคดีนี้ได้ดี การเปลี่ยนจากทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการเป็นผู้บัญชาการอย่างแท้จริงย่อมเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น

ผ่านวันที่ฮ่องเต้มีรับสั่งมาสิบวันแล้ว คดียังไม่มีความคืบหน้า ขุนนางฝ่ายพลเรือนพวกนั้นถือว่าองครักษ์เสื้อแพรไม่กล้าทำอะไรพวกตน แต่ละคนปิดปากแน่นไม่ยอมพูด บางครั้งที่สารภาพออกมาบ้างล้วนเป็นคำพูดที่ไร้ประโยชน์ ลู่เหิงกวาดตาอ่านคำให้การโดยเร็ว บนนั้นไม่มีเบาะแสที่มีประโยชน์ใดๆ เขาคร้านจะอ่านต่อจึงโยนทิ้งไป

เรื่องเล็กๆ ในแวดวงขุนนางเช่นนี้ ใครบ้างที่ไม่รู้ เบี้ยหวัดขุนนางของต้าหมิงเล็กน้อย ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารทั่วราชสำนักใครเล่าจะอาศัยเบี้ยหวัดนี้ดำรงชีพจริงๆ บั้นปลายชีวิตของจางหย่งเพื่อปกป้องตนเอง อีกฝ่ายได้มอบผลประโยชน์ให้ขุนนางมากอำนาจไม่น้อย ลู่เหิงกระจ่างแจ้งดี พวกคนที่ถูกจับเข้าคุก แต่ละคนล้วนเคยรับเงินจากจางหย่งทั้งสิ้น

เรื่องการรับสินบนมีอยู่ทั่วในราชสำนัก แต่ไม่มีใครที่จะยอมรับอย่างเปิดเผย องครักษ์เสื้อแพรจะสร้างผลงาน ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็ต้องการมุ่งไปสู่เส้นทางอนาคตของพวกเขาเช่นกัน ในคุกมีคนมากมายเป็นฝ่ายของราชเลขาธิการหยางอิ้งหนิง ตราบที่มีราชเลขาธิการอยู่ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่กล้าทำอะไรพวกเขา ขอเพียงพวกเขาไม่ยอมรับ ออกไปแล้วสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือหนทางอันราบรื่น ลาภยศสรรเสริญ แต่หากพวกเขายอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับจางหย่ง มิเพียงตนเองที่จะเคราะห์ร้าย ยังเดือดร้อนไปถึงอาจารย์และครอบครัวด้วย

พวกเขาหาได้โง่งมไม่ จะยอมทำการค้าขาดทุนเช่นนี้ได้อย่างไร

ลู่เหิงหยิบรายชื่อแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักลับ บนนั้นเป็นรายชื่อคนที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ด้านข้างบันทึกทรัพย์สินและสมบัติของพวกเขาไว้ ลู่เหิงกวาดตามองชื่อคนแถวแล้วแถวเล่า ทั้งที่เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้รับเงินไปเท่าใด แต่กลับไม่มีหลักฐาน

จางหย่งเคยเป็นขันที คุ้นเคยกับวิธีการขององครักษ์เสื้อแพร ตลอดจนวิธีการของสำนักบูรพาและสำนักประจิม* เป็นอย่างดี เขามอบของกำนัลอย่างสะอาดหมดจด อย่างน้อยภายนอกองครักษ์เสื้อแพรก็มิอาจหาหลักฐานได้ สายตาของลู่เหิงกวาดผ่านรายชื่อไปโดยไวจนกระทั่งถึงชื่อหนึ่ง ข้อนิ้วเขาเคาะลงบนนั้น แล้วเอ่ยว่า “รองเสนาบดีกรมพิธีการจ้าวไหวขี้ขลาดอ่อนแอ ไม่เอาไหนเป็นที่สุด ตกกลางคืนเมื่อเขาหลับไปให้ปลุกขึ้นมา พาออกมาสอบสวนเดี่ยว กักตัวเขาไว้สักครึ่งชั่วยามค่อยปล่อยกลับไป ทำเช่นนี้ซ้ำๆ จะต้องมั่นใจว่าตลอดทั้งคืนเขาไม่ได้ดื่มน้ำหรือกินข้าวสักเม็ด ไม่ได้หลับตาลงสักชั่วขณะ”

กัวเทาฟังแล้วตระหนก วิธีทรมานคนของผู้บัญชาการช่างเหนือชั้นโดยแท้ นี่ล่ะที่เรียกว่าอาวุธไม่เปื้อนเลือด ฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอย กัวเทากำลังจะรับคำก็พลันนึกขึ้นได้ว่าจ้าวไหวเป็นลูกศิษย์ของราชเลขาธิการหยางอิ้งหนิง ทั้งผู้บัญชาการยังพุ่งเป้าไปที่จ้าวไหวเพียงคนเดียว…

ลู่เหิงพูดจบเห็นกัวเทาไม่ขยับอยู่นาน ดวงตาจึงกลอกมองมานิ่งๆ กัวเทาเห็นสายตาของอีกฝ่าย ตกใจจนเหงื่อเย็นหลั่งเต็มตัวทันใด เขาไม่กล้าคิดมากอีก รีบค้อมศีรษะรับคำสั่ง “ข้าน้อยรับทราบ”

ลู่เหิงโยนรายชื่อกลับคืนที่เดิม ดูจากแรงที่ใช้แล้ว เขาไม่ชอบหน้าคนกลุ่มนี้มากทีเดียว ต้องประชันไหวพริบประลองปัญญากับตาแก่พวกนี้ทุกวัน ลู่เหิงรู้สึกว่าตนเองแก่เร็วเป็นพิเศษ เขาอารมณ์ไม่ดี อยากจะหาเรื่องจรรโลงใจสักหน่อยจึงเอ่ยถาม “ของที่ข้าต้องการล่ะ”

กัวเทาฟังแล้วอึ้งไป ผู้บัญชาการต้องการสิ่งใดเล่า นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นของลู่เหิงจ้องเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดูสุขุมใจเย็นเหมือนเสือเลี่ยเป้า* ที่จับจ้องฝูงแกะเล่นสนุกกันก่อนจะออกล่าชอบกล กัวเทานึกขึ้นได้ทันใด จึงตบหน้าผากตนเอง “อ้อ ใช่แล้ว ของที่ท่านผู้บัญชาการสั่งไว้ ข้าน้อยนำมาแล้วขอรับ”

กัวเทารีบหยิบสมุดที่รวบรวมรายละเอียดไว้เรียบร้อยออกมาจากแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะของลู่เหิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ขอตัวจากไป รอจนในห้องคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ลู่เหิงค่อยหยิบสมุดบนโต๊ะขึ้นมาอย่างไม่เร็วไม่ช้าด้วยท่วงทีผ่อนคลาย

สตรีคนหนึ่งจะมีความลับอะไรได้ องครักษ์เสื้อแพรใช้เวลาไม่นานก็สืบประวัติของหวังเหยียนชิงจนละเอียด ลู่เหิงเปิดดูทีละหน้า ยิ่งอ่านยิ่งประหลาดใจ

ดูไม่ออกเลยว่าสมัยเป็นเด็กนางเรียนรู้สิ่งต่างๆ มามากมายเพียงนี้ การฝึกยุทธ์มิใช่แค่ใช้ปากพูดก็ทำได้ ฤดูเหมันต์ต้องฝึกท่ามกลางความหนาวเหน็บ ฤดูคิมหันต์ต้องฝึกท่ามกลางความอบอ้าว นั่นเป็นการทรมานตนเองอย่างแท้จริง

ประวัติของหวังเหยียนชิงถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ตอนท้ายแทนที่จะเรียกว่าเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของนาง มิสู้เรียกว่าบันทึกการจับตาดูจวนเจิ้นหย่วนโหว ความจริงก็คือหวังเหยียนชิงเป็นเพียงบุตรีบุญธรรมคนหนึ่ง ในสายตาของทุกคนไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นสายสืบบันทึกทุกคำพูดและการกระทำของฟู่ถิงโจวอย่างมิรู้เบื่อ แต่ด้านข้างจดบันทึกเกี่ยวกับนางไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แม้จะเป็นเพียงถ้อยคำไม่กี่คำก็ดูออกว่าชีวิตของนางทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับฟู่ถิงโจว ลู่เหิงกวาดตาอ่านบทสนทนาระหว่างฟู่ถิงโจวกับหวังเหยียนชิงยามอยู่กันตามลำพัง อดแค่นเสียงมิได้

ลู่เหิงทางหนึ่งเหยียดหยันฟู่ถิงโจวที่ภายนอกดูองอาจผ่าเผย ยามอยู่ตามลำพังกลับเรียกนางว่า ‘ชิงชิง’ อีกทางหนึ่งก็ลอบอุทานในใจ เขาเผยพิรุธเสียแล้ว

มิน่าตอนเขาเรียกนางว่า ‘น้องหญิง’ สีหน้าของนางจึงดูคลางแคลง ที่แท้ปกติฟู่ถิงโจวไม่ได้เรียกนางว่า ‘น้องหญิง’ แต่เรียกว่า ‘ชิงชิง’

ลู่เหิงอ่านบันทึกเกี่ยวกับหวังเหยียนชิงจบแล้ว เขาใช้สมาธิเล็กน้อยก็จดจำได้ทั้งหมด งานขององครักษ์เสื้อแพรฝึกให้เขามีความจำอันเยี่ยมยอดชนิดที่เห็นผ่านตาครั้งเดียวก็ไม่ลืม ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง

เขาสามารถอยู่ข้างกายฮ่องเต้มานานหลายปีเช่นนี้ มิใช่เพราะอาศัยว่าตนเองเป็นสหายวัยเยาว์กับฮ่องเต้เพียงอย่างเดียวแน่นอน ฮ่องเต้จยาจิ้งเป็นคนที่ปรนนิบัติเอาใจยากเป็นที่สุด คนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้เป็นเวลานาน แต่ละคนล้วนเป็นจิ้งจอกพันปีทั้งนั้น

ลู่เหิงคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ในใจรู้สึกสนุกทีเดียว ต่อจากนี้ไปเขาจะต้องสวมบท ‘พี่ชาย’ เสียแล้ว เรื่องที่ฟู่ถิงโจวเคยทำ คำที่ฟู่ถิงโจวเคยพูดตลอดสิบปีที่ผ่านมาล้วนจะกลายเป็นของเขา

เรื่องของหวังเหยียนชิงเป็นเพียงความสนุกอย่างหนึ่งเท่านั้น ลู่เหิงโยนสมุดทิ้งไปโดยเร็ว หันไปจัดการกับเอกสารอื่นๆ ในกองเจิ้นฝู่ใต้ต่อ พอลงมือทำงานเขาก็ลืมเวลา กว่าจะได้สติอีกครั้งท้องฟ้าข้างนอกก็มืดสนิทแล้ว

ค่ำคืนเหมันต์ท้องฟ้ามืดมิดอากาศหนาวเย็น ลู่เหิงออกจากกองเจิ้นฝู่ใต้ เดินทางกลับจวนพลางขบคิดเรื่องต่างๆ เมื่อเขาเข้าประตูมา บรรดาบ่าวรับใช้ต่างเดินตามไปอย่างรู้งาน บ้างจูงม้าบ้างวิ่งวุ่น ไม่มีใครกล้าส่งเสียงรบกวนความคิดของผู้บัญชาการ ลู่เหิงเดินไปด้านหลังตามความเคยชิน ตอนถึงเรือนหลัก เขาเห็นแสงไฟข้างในสว่างอยู่ก็พลันตกใจ

มีคนได้อย่างไร

บ่าวรับใช้เห็นลู่เหิงยืนนิ่งไม่ขยับก็รีบก้าวขึ้นมารายงาน “ผู้บัญชาการ แม่นางหวังยืนกรานจะรอท่านกลับมา พวกบ่าวเกลี้ยกล่อมหลายหนแล้ว แม่นางหวังก็ไม่ยอมกลับไปขอรับ”

นี่เป็นคำสั่งของลู่เหิงเมื่อตอนกลางวัน นับแต่นี้ไปทุกคนในจวนจะต้องเรียกหวังเหยียนชิงว่า ‘แม่นาง’ ปฏิบัติต่อนางเสมือนเป็นน้องสาวของเขา หากมีใครกล้าพลั้งปากจะถูกขายออกจากจวนทั้งครอบครัวทันที บริวารในจวนสกุลลู่ล้วนเป็นคนที่ติดตามมาจากอันลู่ คนแม้มีไม่มาก แต่ปากปิดสนิทไม่น่าเป็นห่วง ลู่เหิงกำชับเพียงคำเดียว พวกเขาก็ปฏิบัติตามลงไปเป็นทอดๆ

ลู่เหิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเก็บ ‘น้องสาวบุญธรรม’ คนหนึ่งกลับมา ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกจนใจ แต่ความระวังภัยโดยสัญชาตญาณในร่างกายค่อยๆ สลายไปแล้ว

เขาไปไหนมาไหนตามลำพังจนชิน จู่ๆ ก็มีคนรอเขากลับจวนเพิ่มมาหนึ่งคน ความรู้สึกนี้ไม่เลวทีเดียว

 

โลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะของหวังเหยียนชิงยังไม่สลายไป ตามหลักแล้วนางไม่อาจเคลื่อนไหวมากนัก แต่นางยืนกรานจะรอลู่เหิงกลับมา จิตใต้สำนึกของนางบอกว่านี่เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ พี่รองยังไม่กลับ นางย่อมต้องรอเขา

หลิงซีและหลิงหลวนพยายามโน้มน้าวถึงสองหน แต่พบว่าหวังเหยียนชิงเห็นว่านี่เป็นเรื่องปกติ พวกนางจึงไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีก พูดมากผิดมากพูดน้อยผิดน้อย ขืนโน้มน้าวต่อไปจะต้องเผยพิรุธแน่ สองสาวใช้ได้แต่ปิดปาก

อย่างไรเสียหวังเหยียนชิงก็ยังเป็นคนป่วย รอจนถึงดึกย่อมอดมิได้ที่จะง่วงงุน ช่วงที่นางสะลึมสะลือกำลังจะหลับนั้นเอง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างนอก หวังเหยียนชิงตาสว่างทันใด ลุกพรวดขึ้นมา “พี่รอง”

น้ำเสียงของนางดีอกดีใจ แต่เนื่องจากยืนเร็วเกินไปจนดึงรั้งบาดแผลที่หลังศีรษะ พอลุกขึ้นนางจึงรู้สึกหน้ามืดอย่างรุนแรง ลู่เหิงเข้าประตูมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี รีบเอ่ยว่า “เจ้าอย่ารีบร้อน ข้ากลับมาแล้ว ยังไม่รีบประคองแม่นางอีก”

หลิงซีและหลิงหลวนปราดเข้าไปอย่างทันท่วงทีตั้งแต่ตอนที่หวังเหยียนชิงซวนเซ ประคองแขนนางไว้ หญิงสาวจึงไม่ล้มลงบนพื้น นางใช้มือยันศีรษะ ฝืนสะกดความวิงเวียนระลอกหนึ่งตรงหน้า จังหวะที่รู้สึกหัวหนักเท้าเบานั้นเอง มือเรียวยาวทรงพลังคู่หนึ่งก็จับแขนนางไว้ ร่างกายที่ไหวเอนของนางคล้ายหาหลักยึดได้ กลับลงสู่พื้นอย่างช้าๆ

ลู่เหิงพยุงนางนั่งลง เห็นใบหน้าซีดขาวของนางแล้ว น้ำเสียงก็เข้มขึ้นเล็กน้อย “ศีรษะเจ้ายังมีแผลอยู่ ขยับตัวมากไม่ได้ ไฉนยังซุ่มซ่ามไม่ระวังตัวเช่นนี้”

หวังเหยียนชิงพิงที่เท้าแขน ในที่สุดสายตาก็มองเห็นภาพเบื้องหน้า ใบหน้านางซีดขาวราวกระดาษ แต่ยังคงเอ่ยเสียงค่อย “ข้าอยากเห็นพี่รองเป็นคนแรก”

นางหายใจไม่ทัน เสียงจึงไร้เรี่ยวแรงฟังดูน่าสงสาร ลู่เหิงกวาดตามองอาหารด้านข้างที่อุ่นไว้ตลอด ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี “เจ้าได้รับบาดเจ็บก็ควรกลับไปพักผ่อนก่อน จะรอข้าด้วยเหตุใด คงมิใช่ว่าเจ้ายังไม่ได้กินข้าวกระมัง”

ลู่เหิงพูดพลางกวาดตามองหลิงซีกับหลิงหลวน สองสาวใช้ตระหนก รีบยอบกายลง หวังเหยียนชิงกดแขนลู่เหิงไว้ “พี่รอง ท่านอย่าตำหนิพวกนางเลย ข้าตื่นมาก็กินข้าวแล้ว เป็นข้าเองที่ยืนกรานจะรอท่านที่นี่”

หวังเหยียนชิงแบกรับเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง ทำเอาลู่เหิงไม่สะดวกจะอาละวาด เขามองดวงหน้านางที่เล็กจ้อยเท่าฝ่ามือ ทั้งที่ง่วงงุนยังคงฝืนถ่างตา เอ่ยอย่างจนใจ “กองเจิ้นฝู่ใต้ไม่เหมือนที่ทำการทั่วไป ข้าไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ที่นั่นมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติ ข้าไม่มีทางอด ต่อไปเจ้าไม่ต้องรอข้าอีก”

“พวกเขาคือพวกเขา ส่วนข้าคือข้า พวกเราทำเช่นนี้มาโดยตลอด” หวังเหยียนชิงพูดจบ พึมพำเสียงแผ่ว “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ หากข้าไม่รอท่าน ตอนกลางคืนท่านก็คร้านจะกินข้าว”

ถูกของนาง ลู่เหิงคิดอย่างนี้จริงๆ กลับมาดึกดื่น ทั้งหนาวทั้งมืด ไหนเลยจะมีแก่ใจกินข้าว แต่เด็กโง่ผู้นี้กลับรอเขาอยู่ตลอด หากคืนนี้เขาไม่กลับมา นางมิต้องรอตลอดทั้งคืนหรือ

อีกทั้งฟังจากที่นางพูด ตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางเฝ้ารอฟู่ถิงโจวเช่นนี้มาโดยตลอด ลู่เหิงคิดในใจ ฟู่ถิงโจวช่างโชคดีจริงๆ วันนั้นธนูยิงถูกเขาแค่ดอกเดียว กำไรเขาเสียแล้ว

ลู่เหิงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่สีหน้ากลับอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว เดิมทีเขาคิดว่าไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนมีคนรอเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่ง เขาชิงชังความรู้สึกของการถูกผูกมัดเช่นนั้น แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าบางทีเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โลกนี้ก็จะมีสถานที่หนึ่งจุดโคมไฟไว้รอเขากลับบ้านมากินข้าว ช่างชวนให้คนสบายใจเหลือเกิน แม้คนที่นางรอคนนั้นความจริงแล้วจะไม่ใช่เขาก็ตาม

คิดถึงตรงนี้มือของลู่เหิงก็ชะงักเล็กน้อย แต่ก็กลับเป็นปกติโดยเร็ว เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม กุมมือขาวเนียนนุ่มนิ่มของหญิงสาว ถามเสียงอ่อนโยนเหมือนพี่ชายที่แสนดีที่สุดในโลก “ชิงชิง ตอนนี้เจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”

บทที่ 8

ยามคำว่า ‘ชิงชิง’ ออกจากปากผู้บัญชาการ หัวใจของบ่าวในห้องก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ หวังเหยียนชิงนั่งหันหลังให้สองสาวใช้จึงไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของพวกนาง หาไม่แล้วหญิงสาวจะต้องตระหนักได้แน่ว่า ‘พี่ชาย’ ของตนไม่ปกติ

ทว่าหวังเหยียนชิงมองไม่เห็น นางจมอยู่กับแววตาอมยิ้มอ่อนโยนของลู่เหิง ความระแวดระวังรอบกายละลายหายไปทีละนิด “ข้าดีขึ้นมากแล้ว พี่รอง ท่านอยู่ในกองเจิ้นฝู่ตั้งนานกว่าจะกลับมา คงหิวแล้วกระมัง ข้าเตรียมข้าวปลาอาหารไว้ให้ท่าน แต่ข้าจำไม่ได้ว่าท่านชอบอะไร จึงได้แต่สั่งอาหารที่ข้ากินไปเมื่อตอนหัวค่ำและรู้สึกว่าไม่เลวมาชุดหนึ่ง”

งานที่ลู่เหิงทำดำมืด เขากลัวยิ่งนักว่าผู้อื่นจะวางยาพิษเขา ดังนั้นแม้แต่พ่อครัวจวนสกุลลู่ก็ไม่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร หวังเหยียนชิงถามแล้วไม่ได้คำตอบ ได้แต่เตรียมอาหารค่ำให้ลู่เหิงตามความชอบของตนเอง

ลู่เหิงมองไปยังโต๊ะแปดเซียน* ไม้แดงลายอักษรหุย* บนนั้นมีกับข้าวหลายอย่าง เนื้อผักน้ำแกงครบครัน ด้านล่างของกล่องใส่อาหารมีชั้นเก็บความร้อน เมื่อผ่านไปพักหนึ่งสาวใช้จะเปลี่ยนน้ำร้อนใหม่ ดังนั้นต่อให้วางทิ้งไว้ถึงตอนนี้อาหารก็ไม่เย็นชืด

ลู่เหิงหันกลับมา พบว่าหวังเหยียนชิงกำลังมองตนอย่างระมัดระวังเหมือนกลัวเขาจะไม่พอใจ ลู่เหิงหัวเราะ อยากลูบศีรษะนาง แต่นึกขึ้นได้ว่าศีรษะนางยังมีแผลจึงหดมือกลับไป “ข้าบอกแล้ว เจ้าอยู่ในจวนสกุลลู่อยากทำสิ่งใดล้วนได้ทั้งนั้น ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง กล้าๆ กลัวๆ อาหารพวกนี้เป็นของโปรดข้าพอดี แต่ดึกแล้ว ข้าไม่ค่อยหิว…”

หลิงซีและหลิงหลวนข้างหลังก้มศีรษะ ดวงตาไม่มีแววประหลาดใจแม้แต่น้อย นี่อย่างไร พวกนางว่าแล้ว ผู้บัญชาการไม่มีทางแตะต้อง

กระนั้นหลิงซีเพิ่งจะคิดเช่นนี้กลับได้ยินลู่เหิงเปลี่ยนใจ ยิ้มพูด “เว้นแต่ชิงชิงจะกินเป็นเพื่อนข้า”

หลิงซีมุมปากกระตุกเกือบรักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ หลิงซีและหลิงหลวนผ่านการฝึกฝนเฉพาะทางมา ต่อให้ตกใจเพียงใดก็ไม่มีทางเงยหน้ามอง ดวงตาของลู่เหิงเปล่งประกายดุจริ้วคลื่นที่ล่อลวงใจคน โดยเฉพาะยามที่เขาจับจ้องมองใครก็แทบจะทำให้คนผู้นั้นจมน้ำตายได้ หวังเหยียนชิงหน้าแดง เคราะห์ดีที่ไม่มีใครมองมาทางนี้ นางลอบโล่งอก พยักหน้านิดๆ “ได้”

หวังเหยียนชิงขยับตัวมากเกินไปไม่ได้ ลู่เหิงจึงประคองนางลุกขึ้นช้าๆ เดินไปยังโต๊ะกินข้าว สาวใช้ก้าวขึ้นมายกกล่องใส่อาหารออกไป หวังเหยียนชิงเปิดโถกระเบื้อง ตักน้ำแกงอย่างแคล่วคล่อง “พี่รอง ท่านเพิ่งกลับมา ดื่มน้ำแกงร้อนสักคำอบอุ่นร่างกายก่อนเถิด”

ลู่เหิงยิ้มรับน้ำแกงปลาที่นางส่งให้ ดวงตากลับสังเกตนางอย่างแนบเนียน นางไม่เหลือความทรงจำ แต่ความสามารถในการชีวิตประจำวันยังคงอยู่ ดูจากท่วงท่าในการตักน้ำแกงและยื่นชามให้เขา เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนคงทำจนชิน คนที่นางห่วงใยผู้นั้นเป็นใครไม่บอกก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทว่าการแสดงออกของหวังเหยียนชิงกลับแตกต่างจากบันทึกในเรื่องที่สืบมาอยู่บ้าง

ลู่เหิงกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ รสชาติค่อนไปทางหวานและจืด เนื้อบนโต๊ะมีแต่เนื้อสีขาว แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่เขียนในบันทึกว่า ‘ชื่นชอบรสเค็มรสเผ็ด ชอบกินเนื้อแพะ’

ลู่เหิงตักน้ำแกงปลาใส่ปากช้าๆ และเอ่ยถาม “ชิงชิง เจ้าได้รับบาดเจ็บ หมอกำชับให้ใส่ใจเรื่องอาหารเป็นพิเศษ เนื้อแพะบำรุงร่างกายได้ดีที่สุด พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้พวกเขาส่งแพะเหลือง มาจำนวนหนึ่งดีหรือไม่”

หัวคิ้วของหญิงสาวมุ่นน้อยๆ ถามกลับ “พี่รองจะกินหรือ”

ลู่เหิงยิ้มส่ายหน้า “เปล่า ส่งมาเท่าใดล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”

“เช่นนั้นก็อย่าเลย” หวังเหยียนชิงก้มหน้าคนช้อน “ข้าไม่ชอบกลิ่นสาบของเนื้อแพะ”

ลู่เหิงแน่ใจแล้ว รสเค็มรสเผ็ดและเนื้อแพะล้วนมิใช่รสชาติที่หวังเหยียนชิงชอบ แต่เป็นของฟู่ถิงโจวต่างหาก เพื่อคล้อยตามฟู่ถิงโจว นางถึงได้บอกว่าตนเองชอบของพวกนี้

ลู่เหิงแค่นเสียงในใจด้วยความรังเกียจ เขาเริ่มสงสัยในความถูกต้องของข่าวที่สืบมาได้เล่มนั้น เห็นทีการท่องจำเรื่องของนางมิได้หมายความว่าจะปลอดภัย รายละเอียดที่ลงลึกกว่านั้นยังคงต้องอาศัยเขาสังเกตด้วยตนเอง

ลู่เหิงมองหญิงสาวก้มหน้าคนน้ำแกง หัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ ตบมือนางพลางพูด “ไม่ชอบก็ไม่ชอบสิ มีกลิ่นสาบเป็นความผิดของแพะ เจ้าจะหดหู่ไปไย”

หวังเหยียนชิงอดหัวเราะไม่ได้ เงยหน้าขึงตาใส่เขาอย่างจนใจ “ท่านจะกินเนื้อของผู้อื่นกลับโทษว่าผู้อื่นมีกลิ่นสาบ มีเหตุผลเช่นนี้ที่ใดกัน”

“พวกมันทำให้ชิงชิงไม่พอใจ พวกมันย่อมต้องเป็นฝ่ายผิด” ลู่เหิงชี้แจงเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นของตนอย่างเปิดเผย มิได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเลยสักนิด เขาคิดในใจ ฟู่ถิงโจวผู้นี้ช่างน่าสะอิดสะเอียนโดยแท้ แต่คำว่า ชิงชิงเมื่อเรียกบ่อยเข้ายังคงคล่องปากทีเดียว

เมื่อก่อนเวลาลู่เหิงกินข้าวมักจะเงียบงันและระแวดระวัง เนื่องจากแต่ละคำล้วนต้องกังวลว่าจะมีพิษหรือไม่ การกินอาหารสำหรับเขาจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการดื่มด่ำกับความสุขโดยสิ้นเชิง วันนี้มีหวังเหยียนชิงกินเป็นเพื่อน ระหว่างพูดคุยหัวเราะก็กินไปไม่น้อย

อาหารที่หวังเหยียนชิงเตรียมมารสอ่อนย่อยง่าย หลังจากอาหารร้อนๆ เข้าสู่กระเพาะ ความร้อนก็แผ่มาจากในร่างกาย คดีที่ชวนให้คนปวดหัวเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เมื่อตอนหัวค่ำหวังเหยียนชิงกินข้าวไปแล้ว ตอนนี้แค่นั่งกินเป็นเพื่อนลู่เหิงเท่านั้น พอลู่เหิงวางตะเกียบ นางก็วางตะเกียบลงด้วย หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก

เหล่าสาวใช้เดินเข้ามาเก็บจานชามออกไปอย่างเบาไม้เบามือ หวังเหยียนชิงรินน้ำชาให้ลู่เหิง วางลงข้างมือเขาอย่างแผ่วเบา ถามหยั่งเชิง “พี่รอง ท่านพบเจอปัญหาที่จัดการได้ยากหรือ”

ลู่เหิงดึงสติกลับมา พบว่าตนคิดถึงคดีโดยไม่รู้ตัว เขาเปิดฝาถ้วย เกลี่ยฟองชาช้าๆ ไอร้อนขมุกขมัวก็ลอยอยู่ตรงคิ้วตาของเขา ชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้อ่านความคิดที่แท้จริงไม่ออก

ลู่เหิงมองประเมินหญิงสาวผ่านไอน้ำ เขาพบว่าหวังเหยียนชิงแยกแยะสีหน้าท่าทีได้ไวมาก แม้แต่เรื่องในใจเขานางยังดูออก เดิมทีเขาคิดว่านางอาศัยชายคาผู้อื่นอยู่จึงฝึกฝนความเคยชินในการฟังน้ำเสียงสังเกตสีหน้าผู้อื่นได้ตั้งแต่เล็ก ทว่าบัดนี้ดูแล้วนี่กลับเหมือนสัญชาตญาณอันเฉียบไวที่มีอยู่ตามธรรมชาติของนางมากกว่า

ความรู้สึกไวแต่กำเนิด ประกอบกับการฝึกฝนในภายหลังจึงทำให้นางมี ‘วิชาอ่านใจ’ ที่เกือบจะเรียกได้ว่าแปลกพิลึก ประสบการณ์ชีวิตในอดีตสอนนางว่าต้องปกปิดความแตกต่างของตนเอง ดังนั้นนางจึงจงใจเก็บงำ ยามอยู่ในเรือนหลังดูไม่โดดเด่น คนนอกอย่างมากก็แค่รู้สึกว่านางตอบสนองไวเท่านั้น แต่บัดนี้นางสูญเสียความทรงจำ กระทำเรื่องต่างๆ อย่างซื่อตรงไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อย ทว่าวาจากลับสร้างความตกใจให้ผู้อื่นบ่อยครั้ง พรสวรรค์อันน่าตระหนกเช่นนี้จึงเด่นชัดขึ้นมา

ดวงตาของลู่เหิงกลอกไปมาเล็กน้อย พิจารณาหวังเหยียนชิงอย่างละเอียดกว่าเดิม หวังเหยียนชิงถูกสายตาเช่นนี้มองจนว้าวุ่น ยิ้มพลางถาม “พี่รอง ไฉนท่านจึงมองข้าเช่นนี้ ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ”

แม้นางจะยิ้ม แต่ไหล่ก็เกร็งโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว ลู่เหิงหัวเราะเบาๆ คว้ามือหญิงสาวมาจับ พบว่าปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบ

ลู่เหิงนวดคลึงปลายนิ้วเรียวยาวของนางอย่างเชื่องช้า “ชิงชิง เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาใจข้า อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ ไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าข้าอยากฟังอะไร”

นางเชี่ยวชาญการอ่าน ‘สีหน้า’ คนโดยกำเนิด แยกแยะอารมณ์จากการสังเกตท่าทีตอบสนองของร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเพียงเล็กน้อยคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายอยากฟังอะไร นี่เป็นความสามารถในการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งจริงๆ ทว่าลู่เหิงไม่อยากให้หวังเหยียนชิงเอาความสามารถเหล่านี้มาใช้กับเขา

เขาอยากมองเห็นหวังเหยียนชิงที่แท้จริงมากกว่า

หวังเหยียนชิงอึ้งไป ถามเลียบเคียง “พวกท่านไม่ได้เป็นเช่นนี้หรือ”

ลู่เหิงกลั้นไม่อยู่ จึงหัวเราะเสียงต่ำ “ย่อมมิใช่แน่นอน หากทุกคนในโลกมีความสามารถเช่นเจ้า ฝ่าบาทคงไม่ทรงต้องกริ้วเจ้าคนโง่งมพวกนั้นทุกวันแล้วล่ะ นี่เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้กับเจ้า เจ้าเอามาใช้ป้องกันตนเองได้ แต่กับข้าเจ้าสามารถพูดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”

หวังเหยียนชิงตระหนักเป็นครั้งแรกว่านางไม่เหมือนคนอื่น ยังคงอดสังเกตสีหน้าของลู่เหิงไม่ได้ “จริงหรือ”

“จริงสิ” ลู่เหิงนั่งลงอย่างเปิดเผย ปล่อยให้นางสังเกตอย่างเต็มที่ นี่เป็นถ้อยคำที่จริงแท้ของเขา ไม่ต้องกลัวนางจะจับโกหก ลู่เหิงกุมนิ้วมือนาง ยิ้มพูด “เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องที่โตมาด้วยกัน สนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ หากเจ้าไม่ตรงไปตรงมากับข้า ยังจะมีใครเตือนสติข้าได้อีก”

หวังเหยียนชิงวางใจ ร่างกายผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าก็จริงแท้มากขึ้น “ได้”

ลู่เหิงสัมผัสความรู้สึกกลางฝ่ามือที่คล้ายหินหยก มองประเมินนางอย่างเงียบๆ การจับตัวนางได้เป็นเรื่องไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิง เดิมทีชายหนุ่มคิดจะใช้นางยื่นเงื่อนไขกับฟู่ถิงโจว แต่พอรู้ว่านางสูญเสียความทรงจำ เขาก็เปลี่ยนใจทันที เขาตั้งใจจะหล่อหลอมนางให้กลายเป็นอาวุธลับที่ใช้รับมือกับฟู่ถิงโจวโดยเฉพาะ ทว่าตอนนี้ลู่เหิงกลับพบว่าหวังเหยียนชิงมีประโยชน์กว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

พรสวรรค์ที่หาได้ยากเยี่ยงนี้ ความสามารถในการแยกแยะอารมณ์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้อยู่เรือนหลังประชันขันแข่งกับเหล่าสตรีด้วยกันออกจะน่าเสียดายเกินไป นางควรมีโลกที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่านี้

ลู่เหิงมองหวังเหยียนชิงพลางคลี่ยิ้มคลุมเครือ นั่งเหยียดกายตรงกะทันหัน ดึงมือนางมาด้วยท่าทีจริงจังอยู่บ้าง ถามว่า “ชิงชิง เจ้ายินดีช่วยเหลือพี่รองเรื่องหนึ่งหรือไม่”

“ช่วยเหลือ?” หวังเหยียนชิงเบิกตาโต แปลกใจยิ่งนัก “ข้าน่ะหรือ”

หวังเหยียนชิงแม้ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้ แต่นางรู้ว่าลู่เหิงเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ดูจากท่าทีที่ทุกคนปฏิบัติต่อเขา เขาน่าจะกุมอำนาจในมือมากล้น บุคคลเช่นนี้จะต้องการความช่วยเหลือจากนางได้อย่างไร

เมื่อคิดเช่นนี้หวังเหยียนชิงจึงเอ่ยออกไป “ข้าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง อีกทั้งยังจำผู้คนไม่ได้ ข้าจะช่วยเหลืออะไรพี่รองได้เล่า…”

ลู่เหิงออกแรงบีบมือนาง ขัดจังหวะนางกลางคัน “อย่าดูแคลนตนเองสิ สิ่งที่ชิงชิงสามารถช่วยข้าได้มีไม่น้อยทีเดียว เมื่อไม่กี่วันก่อนมีฎีกาฉบับหนึ่งส่งมา เหลียงเว่ยหัวหน้ากองพันองครักษ์เสื้อแพรในเมืองเป่าติ้งเสียชีวิต ภรรยาเขาเหลียงเหวินซื่อฟ้องว่าบุตรีคนโตลักลอบพบบุรุษในช่วงเวลานี้ ที่ว่าการเมืองเป่าติ้งตัดสินโทษตายให้สตรีผู้นี้ จึงส่งสำนวนคดีมาที่นครหลวงเพื่อพิจารณาตรวจสอบอีกครั้ง”

ท้องถิ่นไม่มีอำนาจตัดสินโทษตาย คดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนไม่ว่าคดีอะไรล้วนต้องส่งมานครหลวงพิจารณาซ้ำ เมื่อทางนครหลวงเห็นชอบแล้ว ที่ว่าการท้องถิ่นจึงจะลงทัณฑ์ได้ หากทางนครหลวงเห็นว่ามีปัญหา คดีนั้นจะต้องพิจารณาใหม่ทั้งหมด คดีนี้เกี่ยวพันกับองครักษ์เสื้อแพร ดังนั้นจึงไม่ผ่านหกกรม* หน่วยภายในของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเป็นผู้เขียนรายงานชี้แจง

หวังเหยียนชิงฟังแล้วนิ่วหน้า ตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนถาม “เหลียงเหวินซื่อใช่มารดาบังเกิดเกล้าของบุตรีคนโตของเหลียงเว่ยหรือไม่”

ดวงตาของลู่เหิงทอยิ้ม ฉลาดมาก แค่นี้ก็จับจุดได้แล้ว ลู่เหิงไม่ตอบ กลับย้อนถาม “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้เล่า”

“เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล” หวังเหยียนชิงตอบ “บิดาล่วงลับ บุตรสาวจะมีแก่ใจคบชู้สู่ชายได้อย่างไร ต่อให้นางกระทำเรื่องเช่นนี้ในช่วงไว้ทุกข์ให้บิดาจริง มารดารู้เข้าก็ควรคิดหาทางปกปิด ไยต้องเป็นฝ่ายรายงานราชสำนักด้วยเล่า มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือเหลียงเหวินซื่อไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของนาง แต่เป็นมารดาเลี้ยง”

ลู่เหิงพยักหน้า ยืนยันการคาดเดาของนาง “มิผิด เหลียงเหวินซื่อเป็นภรรยาที่เหลียงเว่ยแต่งเข้ามาภายหลังจริงๆ แล้วอย่างไรต่อ”

หวังเหยียนชิงจนใจ “ท่านไม่บอกข้อมูลอะไรข้าเลย จะให้ข้าเดาอย่างไร ทว่ามารดาเลี้ยงปองร้ายบุตรของภรรยาคนก่อน ส่วนใหญ่ล้วนทำไปเพื่อผลประโยชน์ นางกล้าให้ร้ายบุตรสาวที่ภรรยาคนก่อนทิ้งไว้อย่างเปิดเผย เกินครึ่งตนเองคงมีที่พึ่ง นางมีทายาทหรือไม่”

“มี” ลู่เหิงผงกศีรษะ ตอบอย่างฉับไว “เหลียงเว่ยมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตและบุตรสาวคนโตล้วนเกิดจากหลิวซื่อภรรยาคนแรก มีเพียงบุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาคนที่สอง อีกทั้งข้ายังบอกข้อมูลเจ้าได้อีกเล็กน้อย หัวหน้ากองพันองครักษ์เสื้อแพรสามารถสืบทอดตำแหน่งทางสายโลหิต เมื่อเหลียงเว่ยเสียชีวิต ตำแหน่งหัวหน้ากองพันตามหลักสมควรให้บุตรชายเขาเป็นผู้สืบทอด ส่วนเรื่องที่ตำแหน่งจะตกไปอยู่กับบุตรคนใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับคนและอำนาจบารมี”

ตามกฎของอาณาจักรต้าหมิง บิดาล่วงลับ ทรัพย์สินทั้งหมดและยศตำแหน่งล้วนให้บุตรชายคนโตเป็นผู้สืบทอด บุตรชายคนโตค่อยสืบทอดต่อให้หลานชายคนโต ทว่าต้าหมิงดำรงอยู่มาร้อยปีแล้ว กฎหมายที่กำหนดขึ้นเมื่อครั้งก่อตั้งบ้านเมือง ในทางปฏิบัติได้เปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว ตัวอย่างล่าสุดคือเจิ้นหย่วนโหวฟู่เยวี่ยข้ามบุตรชาย ยกตำแหน่งโหวให้หลานชายแทน ผู้ช่วยผู้บัญชาการลู่ซงก็ข้ามบุตรชายคนโต ยกตำแหน่งขุนนางขององครักษ์เสื้อแพรที่สืบทอดทางสายโลหิตให้กับบุตรคนรองลู่เหิง

ฟู่ถิงโจวกับลู่เหิงนับเป็นกรณีที่ความสามารถส่วนบุคคลโดดเด่นจึงได้สืบทอดตำแหน่งเป็นกรณีพิเศษ แต่โลกนี้คนธรรมดามีมากยิ่งกว่า ในด้านสติปัญญาและความสามารถมิได้แตกต่างกันนัก เช่นครอบครัวของเหลียงเว่ย ตามธรรมเนียมควรให้บุตรชายคนโตสืบทอดตำแหน่งหัวหน้ากองพัน แต่หากจะใช้เรื่องความสามารถอันโดดเด่นเป็นเหตุผลให้บุตรชายคนรองสืบทอดตำแหน่งขุนนาง ในความเป็นจริงก็สามารถกระทำได้

ใบหน้าของหวังเหยียนชิงเผยแววเข้าใจ นางขุ่นเคืองเล็กน้อย “เช่นนี้ก็สมเหตุสมผล กระดูกของเหลียงเว่ยยังไม่ทันจะเย็น เหลียงเหวินซื่อกลับบีบให้บุตรสาวคนโตของภรรยาคนก่อนต้องตาย ไม่ห่วงแม้กระทั่งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล เกินครึ่งจะต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงแน่นอน คดีนี้ต้องไม่ใช่คดีลักลอบพบบุรุษเป็นแน่”

พอหวังเหยียนชิงพูด ลู่เหิงก็นิ่งฟัง รอนางพูดจบเขาก็ทอดถอนใจ “ชิงชิงช่างฉลาดเฉียบแหลมโดยแท้ เก่งกว่าขุนนางข้างนอกพวกนั้นมาก”

หวังเหยียนชิงจับความไม่ชอบมาพากลในคำพูดนี้ได้ เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีทันใด “คงมิใช่ว่าคดีนี้ถูกตัดสินแล้วกระมัง”

“มิผิด” ลู่เหิงน้ำเสียงเหนื่อยล้าคล้ายถอนหายใจก็ไม่เชิง ยืนยันการคาดเดาของนาง “คดีได้ข้อสรุปแล้ว ผู้บัญชาการสูงสุดเฉินเห็นชอบกับผลลัพธ์นี้ น่ากลัวว่าอีกไม่นานคุณหนูเหลียงผู้นั้นคงถูกตัดสินประหารชีวิตโทษฐานลักลอบพบบุรุษ”

หวังเหยียนชิงถามเลียบเคียง “ผู้บัญชาการสูงสุดเฉินคือ…”

“ใต้เท้าเฉิน เฉินอิ๋น” ดวงตาของลู่เหิงจับจ้องหวังเหยียนชิง ประกายในนั้นลึกล้ำคล้ายมีกระแสธารไหลอยู่ข้างใต้ “ผู้บัญชาการสูงสุดตำแหน่งขุนนางลำดับหลักขั้นสอง ดูแลองครักษ์เสื้อแพร ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาของข้า”

หวังเหยียนชิงเงียบไปทันใด คดีที่ผู้บังคับบัญชาของลู่เหิงสรุปสำนวนแล้ว เช่นนี้…

แวดวงขุนนางเป็นเช่นนี้เอง โดยเฉพาะสกุลลู่ที่เป็นทหาร ทหารถือลำดับขั้นและความอาวุโสสำคัญเป็นที่สุด ขุนนางผู้ใหญ่เห็นว่านี่เป็นการลักลอบพบบุรุษสมควรตัดสินโทษตาย เบื้องล่างต่อให้พบข้อสงสัยก็ต้องปฏิบัติตาม

หวังเหยียนชิงหลุบตา ขบคิดครู่หนึ่ง ยังคงโมโหไม่หาย “แต่นั่นเป็นชีวิตของคนคนหนึ่งเชียวนะ สตรีที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งถูกตัดสินโทษตายฐานลักลอบพบบุรุษ หากนางถูกปรักปรำจะทำอย่างไร”

ลู่เหิงถอนหายใจ มองหวังเหยียนชิงอย่างลึกซึ้ง นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นทอประกายระยิบระยับ ในนั้นมีความผิดหวัง มีแววทอดถอน มีการวิงวอน คล้ายสุราชั้นเลิศที่หมักบ่มมานานปีไหหนึ่ง แทบจะไหลล่วงเข้ามาในหัวใจของหวังเหยียนชิง “นี่ก็เป็นจุดที่ข้าทนไม่ได้ ต่อต้านผู้บังคับบัญชาเป็นความผิดร้ายแรง ชิงชิง เจ้ายินดีช่วยเหลือข้าหรือไม่”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: