บทที่ 9
แววตาของลู่เหิงจริงใจและเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น หวังเหยียนชิงคล้ายถูกล่อลวงกระนั้น อยากตอบตกลงโดยไม่รู้ตัว นางชะงักครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ท่านอยากให้ข้าทำอะไรหรือ”
ลู่เหิงคลี่ยิ้ม กดมือนางอย่างสนิทสนม ปลอบโยนว่า “ไม่ต้องตกใจ แค่ให้เจ้าช่วยข้าสังเกตคนไม่กี่คนเท่านั้น ดูว่าพวกเขาโกหกหรือไม่ คดีที่ผู้บัญชาการสูงสุดเฉินสรุปไปแล้ว หากข้าคิดจะพลิกคดีจำต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เจ้ายินดีตามข้าไปเป่าติ้ง เดินทางไปจวนสกุลเหลียงด้วยตนเองสักครั้งหรือไม่”
ครานี้หวังเหยียนชิงตกตะลึงอย่างแท้จริง นางแค่สูญเสียความทรงจำเท่านั้น หาได้โง่งมไม่ นางย่อมตระหนักอยู่แล้วว่าลู่เหิงกำลังชักจูงนาง นางคิดว่าเขาจะใช้ความสามารถของนางไปทำการใหญ่อะไรเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่ากลับนำมาใช้กับคดีนี้
หวังเหยียนชิงจ้องตาชายหนุ่มตรงๆ เอ่ยอย่างสัตย์จริง “ข้ายังคิดว่าท่านคงไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เสียอีก”
ลู่เหิงมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ซึ่งมีอำนาจในการทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการ ในนครหลวงนับเป็นคนดังที่มีชื่อเสียง คดีลักลอบพบบุรุษของหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งไม่มีทางส่งมาถึงมือเขา คดีนี้เขาไม่ใช่คนตัดสิน ทั้งมิได้เป็นคนสอบสวน เดิมทีเขาไม่มีความจำเป็นต้องขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาของตนเองเพราะบุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
สองตาของหวังเหยียนชิงกระจ่างใสบริสุทธิ์ มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงก้นบึ้ง ลู่เหิงมองตานาง ตระหนักว่านางคงเข้าใจอะไรผิดเสียแล้ว จึงยิ้มพลางพูด “ข้ามิได้สูงส่งเช่นที่เจ้าคิด เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้า แต่ไรมาข้าคร้านที่จะสนใจ เพียงแต่ข้าบังเอิญเห็นคดีนี้เข้า ทั้งพิรุธยังชัดเจนจริงๆ การปล่อยให้คนโง่พรรค์นี้สมใจหมายเป็นการดูหมิ่นองครักษ์เสื้อแพร ดังนั้นข้าจึงคิดมากอยู่สองวัน ชิงชิง เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ ในเมื่อเจ้าล่วงรู้เจตนาของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่าเจ้ายินดีช่วยข้าหรือไม่”
หวังเหยียนชิงถอนใจเบาๆ “ท่านเป็นพี่รองของข้า ไม่ว่าท่านจะช่วยบุตรีสกุลเหลียงพลิกคดีด้วยเจตนาใด ขอเพียงท่านยินดีทำ นั่นก็เพียงพอแล้ว ท่านบอกให้ข้าพูดตรงๆ ต่อหน้าท่าน เฉกเช่นเดียวกันท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายจุดมุ่งหมายของท่านกับข้า ข้าเชื่อท่าน”
“เพราะเหตุใด” ลู่เหิงเลิกคิ้ว นัยน์ตาซ่อนแววสำรวจตรวจตราไว้ขณะมองนางอย่างลึกซึ้ง “เพียงเพราะข้าเป็นพี่รองของเจ้าหรือ”
“ในเมื่อข้าเลือกที่จะเชื่อท่านก็ยินดียอมรับนิสัยใจคอของท่านทั้งหมด” หวังเหยียนชิงพูดพลางจงใจขยิบตา ยิ้มพลางเอ่ย “ตอนแรกใครให้พวกท่านเป็นคนพาข้ากลับบ้านเล่า”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าเขา หวังเหยียนชิงก็รู้ว่าคนผู้นี้จิตใจชั่วร้าย อุบายลึกล้ำ ไม่เคยแสดงความปรารถนาดีกับผู้ใดโดยไม่หวังผล เขามอบให้หนึ่งจะต้องเรียกคืนกลับไปสิบ รวมถึงคืนนี้ที่จู่ๆ เขาก็เล่าคดีสกุลเหลียงให้นางฟัง เบื้องหลังย่อมมีจุดประสงค์ ทว่าหวังเหยียนชิงเต็มใจเป็นมีดในมือเขา
นี่คือบุคคลที่แม้นางจะสูญเสียความทรงจำก็ยังมิอาจลืมเลือน นางจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร
หวังเหยียนชิงไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป จึงจงใจพูดเล่นเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ แต่ลู่เหิงเพียงยกริมฝีปากยิ้มเท่านั้น ดูแล้วไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด ลู่เหิงแค่นเสียงในใจ เขาไม่ควรเอ่ยถามคำถามนั้นเลย ควรหยุดตั้งแต่ตอนที่นางบอกว่าเชื่อเขา ให้ทุกอย่างหยุดอยู่ในห้วงมายาอันงดงาม เปี่ยมความรู้สึกอันลึกซึ้งไม่ดีหรือไร ไยต้องถามให้กระจ่างแจ้งด้วย ทำให้คนหมดอารมณ์เปล่าๆ
ลู่เหิงไม่ปล่อยให้อารมณ์ขุ่นมัวแสดงออกมาทางสีหน้า เขายิ้มแล้วพูดต่อ “ชิงชิงยินดีช่วยเหลือข้าย่อมวิเศษที่สุด รอให้บาดแผลเจ้าหายดีกว่านี้หน่อย ข้าจะเตรียมพาเจ้าไปเป่าติ้ง ดูว่าสกุลเหลียงเล่นลูกไม้อะไรอยู่กันแน่ ทว่าก่อนที่จะหาหลักฐานได้เรื่องนี้ไม่สะดวกจะป่าวประกาศ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเปลี่ยนฐานะเสียหน่อย ออกจากเมืองในฐานะพี่น้องธรรมดาทั่วไปคู่หนึ่ง ชิงชิง อาจต้องให้เจ้าลำบากสักหน่อยแล้ว”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร หน้าที่การงานของพี่รองสำคัญที่สุด ข้าลำบากเล็กน้อยจะเป็นไรไป”
ยิ่งนางพูดเช่นนี้ในใจลู่เหิงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ความอ่อนโยนเอาใจใส่ ความจริงใจ และความไว้วางใจทั้งหมดของนางล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเขาเป็น ‘พี่ชายบุญธรรม’ ของนาง สิ่งที่ตานางมองเห็นในตอนนี้ แท้จริงแล้วเป็นบุรุษอีกคนหนึ่ง
ริมฝีปากของลู่เหิงแต้มยิ้ม ลูบผมนางอย่างชิดใกล้ “ได้ แต่การเดินทางออกจากนครหลวงข้าต้องแจ้งทางวังหลวงก่อน เจ้าพักฟื้นอยู่จวนไปก่อน เรื่องการออกเดินทางไม่ต้องเป็นกังวล ทุกอย่างข้าจะจัดการเอง ไว้ออกเดินทางเมื่อไรข้าจะส่งคนมารับเจ้า”
หวังเหยียนชิงไม่มีข้อโต้แย้งใด นางพยักหน้ารับคำ ว่าง่ายยิ่งนัก
ลู่เหิงแม้ปากบอกว่า ‘ไม่รีบ’ แต่วันถัดมาหลังเลิกประชุมขุนนาง เขาก็ตรงดิ่งไปหาฮ่องเต้ องครักษ์เสื้อแพรสามารถเข้าเฝ้าได้ทันที ขันทีพอเห็นว่าเป็นลู่เหิงก็ไม่กล้าขวาง ประสานมือด้วยท่าทีประจบ “คารวะใต้เท้าลู่ ใต้เท้าลู่มีเรื่องจะกราบทูลฝ่าบาทหรือ”
“ใช่” ลู่เหิงยิ้มพยักหน้า “รบกวนกงกงช่วยไปรายงานที”
“มิกล้า” ขันทีตอบคำหนึ่ง แล้วเข้าไปกราบทูลข้างใน
ไม่นานจางจั่วข้างกายฮ่องเต้ก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เอ่ยกับเขา “ใต้เท้าลู่ เชิญด้านในขอรับ”
ลู่เหิงทักทายจางจั่วแล้วก้าวเข้าไปในตำหนักด้วยฝีเท้ามั่นคง ในวังเฉียนชิง ฮ่องเต้กำลังนั่งสมาธิบนตั่ง ลู่เหิงถวายคำนับ “กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”
ฮ่องเต้รับคำ ยังคงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิดังเดิม ลู่เหิงสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้พลางเอ่ย “วันนี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทดียิ่ง พระพักตร์มีเลือดฝาด พระปัสสาสะมั่นคงสม่ำเสมอ เห็นทีโอสถเซียนจะมีสรรพคุณไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าท่าทีของฮ่องเต้เรียบเฉยมาตลอด ครั้นฟังถึงตรงนี้ในที่สุดใบหน้าก็ผลิยิ้ม เอ่ยอย่างกระหยิ่มใจทีเดียว “เจ้าก็ดูออกเหมือนกันหรือ เราใช้โอสถนี้แล้วรู้สึกร่างกายเบาสบายขึ้นมาก ตื่นมาตอนเช้าก็ไม่ใจสั่นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว การตั้งแท่นบวงสรวงที่เซ่าเทียนซือ* บอกได้ผลจริงๆ”
ลู่เหิงสนทนาหลักเต๋ากับฮ่องเต้พักหนึ่ง ฮ่องเต้อารมณ์ดีแล้วจึงเอ่ยถาม “เจ้ามาวันนี้มีเรื่องใด”
ลู่เหิงตอบ “ฝ่าบาท หลายวันก่อนกระหม่อมได้รับคดีหนึ่งมา ไตร่ตรองซ้ำไปมาแล้วรู้สึกมีข้อกังขา จึงอยากออกจากเมืองไปดูด้วยตนเองสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กับลู่เหิงเป็นคนที่รู้จักกันมาสิบปี คำพูดคำจาจึงค่อนข้างเป็นกันเอง ฮ่องเต้ถาม “คดีใด”
ลู่เหิงจึงเล่าคดีที่ภรรยาคนที่สองของเหลียงเว่ยฟ้องบุตรสาวคนโตว่าลักลอบพบบุรุษให้ฮ่องเต้ฟัง สุดท้ายลู่เหิงเอ่ยว่า “แม่นางน้อยอายุสิบหกคนหนึ่งลักลอบพบบุรุษในระหว่างการไว้ทุกข์ให้บิดา ขัดต่อหลักปฏิบัติทั่วไปจริงๆ ทว่าต่อให้เรื่องนี้เป็นความจริง ชายหญิงรักใคร่ก็เป็นเรื่องปกติ โทษไม่ถึงตาย การตัดสินโทษตายให้บุตรีสกุลเหลียงเช่นนี้ออกจะรุนแรงเกินไปหน่อย”
ฮ่องเต้เดินทางมานครหลวงและขึ้นครองราชย์ตอนอายุสิบสี่ แรกเริ่มอาจเพราะไม่ชินกับดินน้ำอากาศ จึงเจ็บป่วยอยู่หลายปี เกือบไม่รอดชีวิตหลายครั้ง ช่วงเวลานั้นในวังต่างคิดว่าฮ่องเต้คงอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี ภายหลังมีนักพรตเข้ามาในนครหลวง ค่อยๆ บำรุงร่างกายให้ฮ่องเต้ เขาจึงแข็งแรงขึ้นตามลำดับ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ยังคงหายใจหอบและไออยู่เสมอ ร่างกายอ่อนแอเต็มไปด้วยโรค มิอาจเทียบกับลู่เหิงที่ร่างกายเปี่ยมด้วยกำลังวังชา สามารถเดินทางไปทั่วเช่นนี้ได้
หมอหลวงรักษาอยู่นานถึงเพียงนั้นยังรักษาไม่หาย นักพรตกลับสามารถทำได้ พวกเขาช่วยชีวิตฮ่องเต้กลับมาได้ อีกทั้งด้วยการบำรุงและปรับสมดุลร่างกายของนักพรต ร่างกายของฮ่องเต้จึงดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่เชื่อหมอหลวง ไม่เชื่อในพระพุทธองค์ ศรัทธาเพียงศาสนาเต๋า
ศาสนาเต๋าไม่เหมือนศาสนาพุทธที่สอนให้คนระงับกิเลส แต่เน้นความใจกว้าง คุณธรรม และอินหยางที่สมดุล ฮ่องเต้ใคร่ครวญดูแล้วก็เห็นด้วย สตรีเมื่อถึงวัย จิตใจหวั่นไหวเป็นเรื่องธรรมชาติ ไหนเลยต้องถึงขั้นเข่นฆ่าสังหาร ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าเห็นว่ามีข้อกังขา เช่นนั้นก็ไปตรวจสอบดูเถอะ”
ลู่เหิงค้อมศีรษะรับคำ ประกายสีเข้มวาบผ่านดวงตาไปโดยเร็ว เขาไม่เอ่ยถึง ‘เฉินอิ๋น’ แม้แต่คำเดียว แต่กลับฟ้องเฉินอิ๋นไปเสียแล้ว ฮ่องเต้เป็นคนฉลาด หลังจากนี้พระองค์ต้องสืบคดีนี้แน่ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร จากนั้นย่อมต้องรู้ว่าเฉินอิ๋นสรุปคดีนี้แล้ว กระทั่งเจตนาที่ลู่เหิงอ้อมข้ามเฉินอิ๋นนำเรื่องนี้มากราบทูล ฮ่องเต้ก็น่าจะคาดเดาได้
นี่คือหลักการอยู่ร่วมกันระหว่างลู่เหิงกับฮ่องเต้ การรับมือกับคนฉลาดคนหนึ่ง อย่าได้พยายามที่จะบงการเขา ลู่เหิงเปิดเผยเจตนาของตนกับฮ่องเต้อย่างชัดเจน ฮ่องเต้ก็มองทะลุความคิดในจิตใจของเขา ทั้งยังยินดีที่จะยอมรับ
จะว่าไปมนุษย์เราเดินขึ้นที่สูง สายน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ กับความปรารถนาที่มาจากสันดานเดิมของมนุษย์เหล่านี้ ฮ่องเต้ล้วนสามารถยอมรับได้ สิ่งที่เขามิอาจยอมรับได้อย่างแท้จริงคือการหลอกลวง
ลู่เหิงบรรลุเป้าหมายแล้ว ขณะกำลังจะขอตัวก็พลันได้ยินฮ่องเต้ถาม “คดีจางหย่งกับเซียวจิ้งสืบได้ความอย่างไรแล้วบ้าง”
ลู่เหิงสะดุ้งในใจเล็กน้อย ตอบว่า “กระหม่อมกำลังสืบพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้น แต่ลู่เหิงกลับรู้ว่าฮ่องเต้หมดความอดทนแล้ว
อย่างช้าที่สุดครึ่งเดือน ฮ่องเต้จะต้องได้คำตอบ
ลู่เหิงถวายคำนับแล้วถอยออกจากตำหนัก เขาเดินออกจากประตูเฉียนชิง เร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ ตอนเดินถึงประตูจั่วซุ่น เขาปะทะกับคนผู้หนึ่งอย่างจัง
สายตาของสองคนประสานกัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกพบเจอสิ่งอัปมงคลเข้า แต่ในเวลาอันรวดเร็วลู่เหิงก็เผยรอยยิ้มจางๆ เหมือนยามปกติ เอ่ยทัก “เจิ้นหย่วนโหว”
ฟู่ถิงโจวผงกศีรษะให้อีกฝ่าย แววตาลึกล้ำ ฟังให้ดีน้ำเสียงที่พูดยังเจือแววขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย “ผู้ช่วยผู้บัญชาการลู่”
ตอนนี้ลู่เหิงปฏิบัติหน้าที่แทนผู้บัญชาการ คนที่ให้เกียรติเขาทั้งในและนอกนครหลวงต่างเรียกเขาว่า ‘ผู้บัญชาการลู่’ เห็นได้ชัดว่าฟู่ถิงโจวนับเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่ไว้หน้าเขา
ลู่เหิงได้ยินคำเรียกขานของฟู่ถิงโจวแล้วหาได้โกรธไม่ รอยยิ้มกลับหยักลึกกว่าเดิม ดวงตากวาดผ่านร่างของฟู่ถิงโจวไป มองแขนเขาด้วยสายตาคลุมเครือ “กองเจิ้นฝู่ใต้ยังมีงาน ข้าขอตัวก่อน วันหน้าค่อยรำลึกความหลังกับเจิ้นหย่วนโหวใหม่”
ฟู่ถิงโจวจ้องเขาอย่างเย็นชา แววตาไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง ลู่เหิงเผชิญกับสายตาเช่นนี้กลับไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย เขายิ้มพยักหน้าให้ฟู่ถิงโจว ทำท่าจะจากไปจริงๆ ทว่าลู่เหิงเดินไปได้สองก้าว ฟู่ถิงโจวกลับอดรนทนไม่ไหว หันกลับไปร้องเรียก “ใต้เท้าลู่”
ลู่เหิงชะงัก มิได้หันกลับมา เพียงเอ่ยอย่างเนิบช้า “มิกล้าน้อมรับคำว่า ‘ใต้เท้า’ ของเจิ้นหย่วนโหว ไม่ทราบว่าเจิ้นหย่วนโหวยังมีธุระใดอีกหรือ”
“เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้สุราชั้นดีมา อยากเชิญใต้เท้าลู่ไปลิ้มรส น่าเสียดายใต้เท้าลู่ประหนึ่งมังกรเทพที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ไม่ทราบว่าหมู่นี้ใต้เท้าลู่มัวยุ่งกับเรื่องใดอยู่หรือ”
ลู่เหิงยิ้มๆ เบี่ยงตัวกลับมาครึ่งหนึ่ง มองไปยังคนข้างหลัง แสงอาทิตย์เจิดจรัสเยียบเย็นในพระราชวังส่องสะท้อนนัยน์ตาเขา ขับเน้นให้ดวงตาสีอำพันคู่นั้นทอประกายดุจสายธาร ริ้วคลื่นกระเพื่อมไหว มองสีหน้าที่แท้จริงไม่ออก
ลู่เหิงปั้นยิ้มน้อยๆ อย่างงดงามไร้ที่ติ ตอบว่า “ข้ายุ่งอยู่กับเรื่องใด เจิ้นหย่วนโหวน่าจะรู้ดี”
ฟู่ถิงโจวกำหมัดแน่น เส้นเลือดสีเขียวบนแขนปูดนูนทันใด ลู่เหิงกำลังยั่วยุเขา เหิมเกริมถึงขั้นเอ่ยวาจาท้าทายซึ่งหน้า
ฟู่ถิงโจวออกแรงกำหมัดมากเกินไป บาดแผลที่แขนตึงจนเจ็บ สีหน้าของชายหนุ่มเย็นเยียบดุจเหล็ก น้ำเสียงข่มกลั้นโทสะ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการลู่ เรื่องทุกอย่างควรยุติเมื่อถึงจุดที่เหมาะสม อย่าได้เล่นกับไฟจนไฟคลอกตัว”
ลู่เหิงมองฟู่ถิงโจวพลางยิ้ม เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างใหญ่สดใส จากนั้นก็หันหน้ามามองฟู่ถิงโจวอย่างเปิดเผย น้ำเสียงเจือแววฉงนและใสซื่ออย่างเหมาะเจาะพอดี “ข้ารับพระบัญชาสืบคดีจางหย่งและเซียวจิ้งติดสินบนขุนนาง เจิ้นหย่วนโหวขัดเคืองถึงเพียงนี้ หรือว่าท่านมีความเกี่ยวข้องอันใดกับจางหย่งและเซียวจิ้ง”
ริมฝีปากบางของฟู่ถิงโจวเม้มแน่น เส้นเลือดเขียวบนลำคอปูดขึ้นมา
ลู่เหิงเสียดสีอีกฝ่ายได้ทั้งทีก็ให้อารมณ์ดียิ่งนัก แต่เขายังไม่หนำใจจึงเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างจริงใจ “ได้ยินว่าเรื่องมงคลของเจิ้นหย่วนโหวกับคุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวใกล้เข้ามาแล้ว ผู้แซ่ลู่ขอแสดงความยินดีกับเจิ้นหย่วนโหวที่สมหวังดังใจหมาย ได้คนงามมาเคียงคู่ เพียงแต่น่าเสียดายที่หมู่นี้ข้าปลีกตัวจากกองเจิ้นฝู่ไม่ได้เลย สุราดีของเจิ้นหย่วนโหวเห็นทีผู้แซ่ลู่คงไม่มีวาสนาจะได้ลิ้มรสแล้ว ไว้วันหน้าในงานสมรสของเจิ้นหย่วนโหว ผู้แซ่ลู่จะต้องไปเยือนและขอดื่มสุรามงคลสักจอกเป็นแน่”
ลู่เหิงกล่าวจบก็พยักหน้าให้ฟู่ถิงโจวแล้วหันกายจากไป ฟู่ถิงโจวยืนอยู่บนทางแคบอันขรึมขลังเย็นชาภายในพระราชวัง มองส่งลู่เหิงเดินจากไปไกล ลวดลายเฟยอวี๋สี่เล็บบนตัวเขาเปล่งประกายสีทองระยับภายใต้แสงอาทิตย์ทิ่มแทงตาคนจนปวดแปลบ
ฟู่ถิงโจวกำหมัดแน่นขึ้นทุกที เส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือปรากฏสิ้น เขารู้ดีแก่ใจว่าชิงชิงต้องถูกลู่เหิงจับตัวไปแน่นอน สองวันนี้เขาเฝ้ารอให้ลู่เหิงยื่นเงื่อนไขมาโดยตลอด แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยดุจเดิม ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ในที่สุดฟู่ถิงโจวก็ทนไม่ไหวตรงมาหาลู่เหิงเพราะต้องการคำตอบ สุดท้ายเจ้าลู่เหิงผู้นี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
ฟู่ถิงโจวโกรธลู่เหิงที่ไม่เลือกวิธีการ แต่เขาเป็นห่วงหวังเหยียนชิงมากกว่า นางเป็นสาวเป็นนาง ตกอยู่ในเงื้อมมือคนอย่างลู่เหิง ทุกครั้งที่นาฬิกาทรายบอกเวลา ฟู่ถิงโจวเป็นต้องอกสั่นขวัญผวา ฟู่ถิงโจวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อากาศแห้งเย็นในนครหลวงเป่ยจิงทะลักเข้ามาในปอด ประหนึ่งคมมีดกระนั้น กรีดแทงคนจนรู้สึกเจ็บ เขาแหงนหน้ามองไปยังวังหลวงหรูหราโอ่โถงที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องบ้างสูงบ้างต่ำ มองท้องฟ้าสีน้ำเงินกับหมู่เมฆที่ลอยล่อง หัวใจเหมือนแหว่งเว้าไปส่วนหนึ่ง พลังชีวิตรั่วไหลออกไปภายนอกไม่หยุด
ชิงชิง เจ้าอยู่ที่ใด
ลู่เหิงออกจากวังแล้ว ปากยังคงประดับรอยยิ้มคลุมเครืออยู่ตลอด เขาแจ้งฮ่องเต้แล้วสามารถออกเดินทางไปเป่าติ้งสืบคดีได้ ลู่เหิงเป็นองครักษ์เสื้อแพรสามารถสร้างฐานะปลอมให้ตนเองได้โดยมิต้องเปลืองแรง เขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างฉับไว พาหวังเหยียนชิงออกจากนครหลวง มุ่งหน้าไปเมืองเป่าติ้งในเช้าวันหนึ่ง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกรกฎาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.