X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีสกุลดี สตรีมากวาสนาเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน สามีสกุลดี สตรีมากวาสนา บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 11

ครั้นเดินมุ่งหน้าเข้าเรือนส่วนในของคฤหาสน์สกุลจั่นได้สักพัก ชุนหลันก็มองเยี่ยเหมยดีขึ้นอีกมาก ระหว่างทางมีทั้งลานเรือนโอ่อ่า ตัวอาคารประณีตบรรจง ระเบียงคดทอดลดเลี้ยวสู่สถานที่อันสงบเงียบ ไม่ว่าอย่างไหนเกรงว่าล้วนเป็นทัศนียภาพที่คนธรรมดายากจะได้เห็นสักครั้งทั้งนั้น แม้แต่ท่านหมอเถียนที่มาจากเมืองหลวงก็ยังมิแคล้วหยุดเดินแล้วอุทานชื่นชมออกมาเช่นกัน ทว่าเยี่ยเหมยกลับเพียงกวาดมองปราดหนึ่งโดยที่สีหน้ายังคงเรียบเฉยเป็นปกติ ประหนึ่งว่าทัศนียภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นได้เป็นปกติ ไม่มีอะไรให้แปลกใจ

ถึงแม้ชาติก่อนเยี่ยเหมยจะเป็นเพียงพี่เลี้ยงเด็ก แต่ครอบครัวที่จ้างพี่เลี้ยงเด็กได้ย่อมมีฐานะไม่แย่ เยี่ยเหมยจึงเคยตามครอบครัวเจ้านายไปบ้านมหาเศรษฐีมาหลายหลัง เทียบกับบรรดาสิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรประณีตในชาติก่อนของนาง คฤหาสน์สกุลจั่นก็แค่มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่ามาก ทว่ามิได้พิเศษกว่าแต่อย่างใด อีกอย่างตอนนี้ในใจนางยังเอาแต่คิดเรื่องน่าแปลกที่ท่านรองหลบสะใภ้ใหญ่ แต่กลับจ่ายเงินซื้อของให้หลานสาวหลานชาย

“แม่นางเยี่ย รบกวนรออยู่ตรงนี้สักครู่ บ่าวจะไปหาสะใภ้ใหญ่เพื่อขอคนงานหญิงมาหาบของให้ท่าน” ชุนหลันไม่ได้พูดว่าจะไปรายงานต่อสะใภ้ใหญ่จั่น แต่ใช้เรื่องของที่บ่าวเฝ้าประตูหาบอยู่เป็นข้ออ้าง

เยี่ยเหมยเข้าใจเรื่องนี้ดีจึงยิ้มให้อีกฝ่าย “เช่นนั้นข้าจะเดินชมดอกไม้หลากสีสันที่ยากจะเห็นได้ในหมู่บ้านพวกข้าเสียหน่อย”

สถานที่ที่นางอยู่ตอนนี้คือสวนดอกไม้แนวยาวขนาดใหญ่ที่คั่นกลางระหว่างเรือนด้านหน้าและเรือนด้านหลัง ด้านซ้ายมีบ่อน้ำขนาดเล็กและภูเขาจำลอง กิ่งหลิวมีหน่ออ่อนงอก ด้านขวามีดอกไม้นานาพรรณงอกงาม ท่ามกลางต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้นสามารถมองเห็นเงาของศาลาหลังหนึ่ง เยี่ยเหมยลอบนวดเอวที่เมื่อยล้าอยู่บ้าง ก่อนจะตัดสินใจไปหาที่นั่ง

ในคฤหาสน์มีเจ้านายผู้ชายน้อย อีกทั้งเวลานี้ก็ล้วนไม่อยู่ในคฤหาสน์ ไม่ต้องกลัวเยี่ยเหมยจะไปเจอใครเข้า หลังเอ่ยกำชับสองประโยค ชุนหลันก็ไล่บ่าวเฝ้าประตูที่หาบของมาไป จากนั้นก็รีบร้อนเดินเข้าประตูกั้นส่วนหน้าส่วนในของคฤหาสน์

ศาลาแปดเหลี่ยมดูจะอยู่ไม่ไกล หากแต่ในสวนมีต้นไม้ดอกไม้ขึ้นอยู่แน่นขนัด เมื่อเดินเข้ามาถึงได้รู้ว่าต้องเดินเลี้ยวอ้อมไปมาอีกหลายเลี้ยว ถึงเยี่ยเหมยนึกเสียใจก็สายไปแล้ว

หลังเลี้ยวอ้อมไปหลายครั้ง เยี่ยเหมยก็มาถึงด้านล่างศาลาในที่สุด นางผ่อนลมหายใจยาว ประคองเอวเดินขึ้นบันได

“ไสหัวไป ข้าไม่ต้องการน้ำชา ไม่ต้องการของว่าง ยิ่งไม่ต้องการคนปรนนิบัติ!”

เยี่ยเหมยเพิ่งจะก้าวขึ้นบันไดขั้นที่สามก็พลันมีเสียงบุรุษทุ้มนุ่มลอยมาจากในศาลา ทว่าฟังดูจะมีแววโมโหขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน เสียงนี้เป็นของ…

“คุณชายจั่น?” เยี่ยเหมยเดินขึ้นไปต่อ ครั้นมายืนในศาลาแล้วจึงมองเห็นชายหนุ่มเอนตัวพิงเสาศาลาต้นยักษ์ ก้มหน้าอ่านหนังสือในมืออยู่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือ ‘นายน้อย’ ที่ให้มัดจำห้าตำลึงแก่นางในโรงรับจำนำวันนั้น เสื้อผ้าที่เขาใส่วันนี้ดูแพงกว่าวันนั้นมาก เขาหันข้างให้เยี่ยเหมย ทำให้ขนตาดูหนายาวเป็นพิเศษ

“เป็นเจ้า?” จั่นอวิ๋นหยางได้ยินเสียงก็หันหน้ามา พร้อมกันนั้นก็ยกสองขาลงจากม้านั่งเปลี่ยนท่านั่ง เลิกคิ้วน้อยๆ “ของทำเสร็จแล้วหรือ”

“อื้ม ทำเสร็จแล้ว อยู่ที่ทางเดินด้านนอกนี้เอง คุณชายจั่นต้องการตรวจดูสักหน่อยหรือไม่” ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยเหมยถูกนัยน์ตาลึกล้ำของจั่นอวิ๋นหยางมองตรงๆ ก็ให้ความคิดจิตใจสับสนลนลานอยู่บ้าง ครั้นได้ยินเสียงนุ่มหูปานเสียงเชลโล่ของเขาอีกก็เหมือนมีขนนกปั่นอยู่ในใจ ทำให้คนรู้สึกคันยุบยิบ

เมื่อพบว่าตนเองคิดจนใจลอย เยี่ยเหมยก็หยิกต้นขาตนเองอย่างแรง หลังจากลอบด่าตนเองเงียบๆ ว่าไม่ได้ความถึงค่อยนับว่าได้สติกลับมาจากเสียงนั้น

“ไม่จำเป็น” จั่นอวิ๋นหยางพิงเสาศาลาอีกครั้ง ยกมือคลำเอวคลำแขนเสื้อเล็กน้อย ครั้นค้นพบว่าตนเองไม่ได้พกเงินติดตัวออกมาก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า “เจ้ารอสักครู่ ข้าจะให้คนเอาเงินมาให้เจ้า” เขาชะงักไป คิ้วขมวดน้อยๆ ขึ้นมาก่อนจะกล่าว “เจ้าสบายดีแล้ว?” ไฉนจึงดูผอมกว่าเมื่อสามวันก่อนเสียอีก คำพูดส่วนหลังนี้จั่นอวิ๋นหยางต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะกลั้นไว้ไม่ถามออกไปให้เสียมารยาทได้ เพียงแต่ความรู้สึกเสียการควบคุมนั้นถาโถมขึ้นมาในใจเขาอีกแล้ว

“ท่านยังมีหน้าพูดได้อีกหรือ วันนั้นท่านทิ้งไว้แค่เงินกับที่อยู่ไม่ชัดเจน แม้แต่ชื่อแซ่ก็ไม่บอก ข้าเกือบจะถูกบ่าวเฝ้าประตูบ้านท่านตีแล้ว ยังดีที่บังเอิญเจอแม่นางชุนหลัน แล้วนางยอมพาข้าเข้ามา ใครจะไปรู้ว่าพบสะใภ้ใหญ่ก็ต้องรอรายงานอีก บ้านพวกท่านใหญ่ขนาดนี้ เดินจนคนปวดเอวปวดขาไปหมด ข้าเพียงแต่อยากหาที่นั่งพัก ไม่คาดคิดว่าท่านจะอยู่ที่นี่พอดี” เยี่ยเหมยรู้สึกว่าสีหน้าคนตรงหน้าเย็นชาเกินไปแล้วจริงๆ ขัดกับเสียงนุ่มหูน่าฟังของเขาโดยสิ้นเชิง นางจึงก้มหน้าไม่มองหน้าเขา

เดิมทีนางคิดจะเดินจากไป แต่เอวปวดเมื่อยมากจริงๆ ถ้าไม่ได้นั่งสักพักเกรงจะไม่ดีต่อลูก จึงได้แต่เดินไปนั่งลงตรงข้ามเขา

จั่นอวิ๋นหยางจ้องเยี่ยเหมยที่นั่งนวดเอวอยู่บนม้านั่งฝั่งตรงข้าม หัวคิ้วยิ่งขมวดแน่น หากบอกว่านางกลัวตนเอง นางก็ไม่เหมือนคนขี้ขลาด ยังกล้าเข้ามาพักในศาลาก็แสดงว่านางไม่กลัวเขา ทว่าตั้งแต่เข้าศาลามานางกลับไม่กล้าเงยหน้ามองเขาสักแวบ ช่างน่าแปลกโดยแท้

คิดถึงคำที่ได้ยินนางพูดในตรอกวันนั้น เขาก็อดจะจ้องดูใบหน้านางนานขึ้นหลายอึดใจไม่ได้ ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง พวงแก้มแดงเรื่อ ผิวพรรณขาวผ่องราวหิมะ แม้จะยังผ่ายผอมอ่อนแอ แต่สีหน้าดูดีกว่าวันนั้นมากแล้ว ทำให้คนละสายตาไม่ได้อยู่บ้าง ถึงนางจะก้มหน้าอยู่ เขาก็ยังนึกภาพนัยน์ตางดงามที่เปิดเผยไร้กังวลและมั่นใจในตนเองคู่นั้นของนางได้

สตรีเช่นนี้ แววตาเช่นนี้ จั่นอวิ๋นหยางรู้สึกคุ้นอยู่ตลอด ทว่าถ้าเขาเคยเห็นย่อมจะไม่มีทางลืมแน่นอน หากแต่เขาค้นดูสตรีที่มีจำนวนไม่มากในห้วงสมองแล้วกลับไม่มีคนใดที่เหมือนสตรีตรงหน้า ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกโดยแท้

เยี่ยเหมยไม่เคยถูกคนจ้องมองอย่างเปิดเผยเพียงนี้ สายตานั้นร้อนแรงจนนางที่ก้มหน้าอยู่ยังรู้สึกได้ ทำให้ถึงแม้นางจะหน้าหนากว่านี้ก็นั่งไม่ติดแล้ว จึงพลันผุดลุกขึ้นยืน

“ข้าว่าข้าออกไปรอแม่นางชุนหลันจะดีกว่า”

ชายหญิงนั่งด้วยกันตามลำพังไม่นับเป็นอะไรในภพก่อนของนาง แต่ในยุคสมัยนี้ถ้าถูกผู้อื่นพบเห็นขึ้นมาก็หาใช่เรื่องดีไม่ ยิ่งเป็นเยี่ยเหมยที่เพิ่งหนีรอดจากการถูกถ่วงน้ำด้วยแล้ว นางไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดอีก

คนมีครรภ์ล้วนมีประสบการณ์ลุกยืนกะทันหันแล้ววิงเวียนหน้ามืด เยี่ยเหมยเพิ่งผ่านการเดินเป็นระยะทางยาวมา เพิ่งจะนั่งลงได้กลับลุกขึ้นปุบปับอีก จึงวิงเวียนตาลายขึ้นมา ภาพตรงหน้ามืดไปทำท่าจะล้มทันที

เยี่ยเหมยรู้ว่าร่างกายตนเองในตอนนี้ไม่อาจล้มได้เด็ดขาด จึงยื่นมือไปกอดเสาศาลาที่ด้านข้างไว้โดยจิตใต้สำนึก หลังทรงตัวได้มั่นคงแล้วถึงได้พูดกับตนเองอย่างยังหวาดเสียวไม่หาย “โชคดีจับไว้ได้ทัน! ตกใจแทบแย่”

“เจ้าระวัง!” เสียงเจือแววตระหนกตกใจของจั่นอวิ๋นหยางดังมาอย่างรีบร้อน แต่ขาดหายไปอย่างรีบร้อนยิ่งกว่า

หลังเสียงพูดถูกเปล่งออกมา ทั้งสองคนก็อึ้งงันไปครู่สั้นๆ พร้อมกัน

ภาพตรงหน้าเยี่ยเหมยกลายเป็นดำมืดจึงยิ่งรับรู้ถึงเสียงได้ชัดเจน รู้สึกอยู่ตลอดว่าตนเองเหมือนเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เพียงไม่นานหมอกดำตรงหน้านางก็ค่อยๆ สลายตัวไป ภาพสิ่งผิดปกติที่ตรงหน้าพุ่งชนความคิดอันสับสนอลหม่านจนกระจัดกระจาย

เสาเป็นสีแดงคล้ำชัดๆ แต่ไฉนจึงกลายเป็นสีฟ้าเหลือบเงินไปได้ มิหนำซ้ำรูปทรงยังไม่ถูกต้อง อุณหภูมิก็ไม่ถูกต้องอีกเช่นกัน!

อุณหภูมิ?!

เยี่ยเหมยใจกระตุกวาบ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งพร้อมเงยหน้าขึ้นมองก็สบเข้ากับนัยน์ตาดำล้ำลึกคู่หนึ่ง ในนั้นนอกจากดวงตาที่ฉายแววตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูกของนางแล้ว ยังคล้ายมีแววสงสัยและอึ้งงันอยู่ด้วย

นี่…นี่เป็นคนชัดๆ อีกทั้งยังเป็นคุณชายจั่นที่เมื่อครู่นี้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย!

เยี่ยเหมยตกใจจนถอยกรูดไปสามก้าว ไม่ระวังหวิดจะล้มอีกครั้ง และก็ยังคงได้จั่นอวิ๋นหยางช่วยไว้ถึงทรงตัวได้

“เจ้ารออยู่ตรงนี้เถอะ ข้าจะไปเอง” จั่นอวิ๋นหยางประคองเยี่ยเหมยให้กลับไปนั่งลงบนม้านั่งยาวทางฟากหนึ่งของศาลาเสร็จก็หดมือกลับไปไพล่หลังประหนึ่งถูกไฟดูด พยายามรักษาความสุขุมหนักแน่นเอาไว้ น่าเสียดายที่มือซึ่งสั่นน้อยๆ อยู่ด้านหลังได้เปิดเผยสภาพอารมณ์ประหม่าตื่นเต้นในเวลานี้ของเขา

ตัวจั่นอวิ๋นหยางเองยังไม่เข้าใจเลยว่าความรู้สึกประหลาดนี้เป็นเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่ขณะเห็นร่างเยี่ยเหมยโงนเงนจะล้ม เขาก็ตกใจจนหัวใจแทบจะกระดอนออกจากอก ร่างกายตอบสนองเร็วกว่าสมอง ลืมเรื่องที่ต้องปกปิดวรยุทธ์ไปโดยสิ้นเชิง ทะยานตัวพุ่งปราดมาถึงข้างเยี่ยเหมยอย่างรวดเร็วราวกับบิน ยื่นมือไปประคองคนไว้ ชั่วพริบตาที่ร่างกายสัมผัสกันดูเหมือนมีอะไรบางอย่างวาบผ่านในห้วงสมอง

ร่างกายเล็กๆ ศีรษะสูงถึงแค่อกเขา ความรู้สึกยามสัมผัสก็คุ้นเป็นพิเศษ แต่ทว่าจั่นอวิ๋นหยางยังไม่ได้นึกให้ละเอียดก็ได้ยินเยี่ยเหมยพูดกับตนเองด้วยความตระหนกตกใจ เขาอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ โยนความคิดเสียมารยาทว่าคุ้นกับร่างกายของสตรีนี้ทิ้งไปจากสมอง กลับกลายเป็นรู้สึกว่าความหงุดหงิดรำคาญใจที่ไม่กี่วันมานี้อัดอั้นอยู่ในใจโดยตลอดได้ถูกท่าทางเลอะเลือนที่นางเผลอแสดงออกมานี้พุ่งชนจนกระจัดกระจายหายไปแล้ว

“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!” เสียงตะคอกแหลมพลันดังขึ้นทำลายความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นจากการแอบอิงกันของจั่นอวิ๋นหยางกับเยี่ยเหมย

ครั้นสังเกตเห็นเยี่ยเหมยตัวสะท้านเฮือก จั่นอวิ๋นหยางก็เอาตัวบังด้านหน้านางโดยไม่รู้ตัว ดวงตามองไปยังผู้มาที่ล่างบันได สีหน้าเยียบเย็นลงอย่างรวดเร็วจนแม้แต่เยี่ยเหมยที่อยู่ด้านหลังเขายังรู้สึกถึงกระไอหนาวเย็นนี้ได้

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” จั่นอวิ๋นหยางสติกลับเข้าที่เข้าทางถึงได้รู้สึกตัวว่าเพื่อเยี่ยเหมยแล้ว ตนเองเสียกิริยาไปมาก เขาฝืนข่มความรู้สึกแปลกๆ ในใจลง สูดหายใจลึกก่อนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เว้นระยะห่างระหว่างตนกับเยี่ยเหมยให้มากขึ้น

“พี่รอง ที่ท่านต้องการถอนหมั้นเป็นเพราะหญิงนางนี้ใช่หรือไม่ ข้าไม่ยอม!” สตรีเจ้าของคำพูดมีหน้าตางามพริ้งเพริศ รูปร่างเย้ายวน นางก็คือเคราะห์ดอกท้อ ที่จั่นอวิ๋นหยางหามาใส่ตัวโดยไม่ตั้งใจขณะกลับมาเมืองเซิ่งโจวเมื่อเดือนสิบปีกลาย

“เจ้าจะเรียกข้าว่าท่านรองจั่นหรือคุณชายจั่นก็ได้ แต่ข้ามิใช่ญาติของเจ้าหลินฟางเฟยอย่างเด็ดขาด คุณหนูหลินช่วยระวังกิริยาวาจาด้วย” จั่นอวิ๋นหยางรู้สึกเพียงว่าเส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ ไม่หยุด ถ้ามิใช่ยังไม่รู้ที่อยู่ของหยกเขียวรูปปลาคู่แน่ชัด กลัวจะลูบหน้าปะจมูก เขาก็ไม่มีทางให้คนไปสู่ขอที่สกุลหลินแน่นอน

เดิมทีเขาคิดจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป แต่ก็นึกได้ว่าในศาลายังมีเยี่ยเหมยที่ไร้ความผิดแต่ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยอยู่ รู้สึกว่าหลินฟางเฟยที่อารมณ์ร้ายพาลพาโลอาจจะมาหาเรื่องเยี่ยเหมย ฝีเท้าที่จะก้าวจากไปจึงหยุดลงอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

เดิมทีเยี่ยเหมยเพียงแต่รู้สึกว่าจั่นอวิ๋นหยางนิสัยค่อนไปทางเย็นชา แต่เสียงพูดยังคงไพเราะน่าฟังอย่างยิ่ง ทว่าเห็นเขาพูดกับคนอื่นแล้วถึงได้รู้ว่าเขาใช่แค่นิสัยค่อนไปทางเย็นชาเสียที่ไหน เขาเป็นมนุษย์น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือเลยต่างหาก! นางที่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ยังรู้สึกเย็นยะเยือก ช่างลำบากคนงามที่มีสีหน้าสะเทือนใจอย่างหนักที่ด้านล่างโดยแท้

“ก็ได้ ต่อให้ท่านไม่ใช่พี่รองของข้า แต่ตอนนี้การหมั้นหมายระหว่างเรายังไม่ได้ล้มเลิก ไยต้องทำตัวห่างเหินเพียงนี้ สุยเฟิง…” หลินฟางเฟยยื่นมือที่ทาเล็บสีแดงสดไปข้างหน้า คิดจะจับจั่นอวิ๋นหยาง แววตาลุ่มหลงจับจ้องบนร่างเขา

ครั้นเห็นดังนี้ จั่นอวิ๋นหยางก็เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ในแววตาเย็นชาระคนด้วยโทสะ “บังอาจ! นามของข้ามีเพียงอาจารย์และผู้อาวุโสกว่าที่เรียกได้ ไหนเลยจะสามารถแปดเปื้อนด้วยปากของเจ้า”

หลินฟางเฟยกลับเหมือนไม่เห็นท่าทีห่างเหินของจั่นอวิ๋นหยาง หลังคว้าได้อากาศก็หัวเราะน้อยๆ มาจับเขาไว้อีก “ท่านรอง พวกเราจะแต่งงานกันอยู่แล้ว ไยต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย คืนนั้นท่านมิได้เป็นอย่างนี้นี่เจ้าคะ” ขณะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ น้ำเสียงของหลินฟางเฟยก็นุ่มนวลแผ่วเบา หวานเยิ้มจนคนเลี่ยน ท่าทางฉอเลาะเหมือนอยากบอกบางอย่างนั้นเป็นสิ่งที่บุรุษไม่อาจต้านทานได้

ครั้นได้ยินเช่นนี้ จั่นอวิ๋นหยางก็ไม่รู้ว่านึกถึงอะไร สีหน้าดำเป็นน้ำหมึกทันควัน แววตาที่จ้องหลินฟางเฟยคมกริบราวกับดาบ ตะคอกเสียงเย็น “ไสหัวไป!”

เสียงนี้ไม่เพียงทำเอาหลินฟางเฟยตกใจจนตัวสั่น เยี่ยเหมยที่ยังนั่งอยู่บนม้านั่งยาวด้านหลังเขาก็หนาวสั่นขึ้นมาเช่นกัน รู้สึกอยู่ตลอดว่าคำนี้ดังก้องอยู่ในใจ ชวนให้คนรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง

ทว่าถ้าหลินฟางเฟยถูกไล่ไปได้ง่ายดายเพียงนี้ก็ไม่มีทางคว้าตำแหน่งคู่หมั้นที่จั่นอวิ๋นหยางจะแต่งงานด้วยไว้ได้แล้ว นางอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลอกลูกตา ปิดหน้ากระทืบเท้าร้องไห้ออกมาเบาๆ “ท่านมันคนใจร้าย ยามต้องการผู้อื่นก็พูดดี แต่พอไม่ต้องการก็ทำตัวเช่นนี้ใส่ ข้ายังบริสุทธิ์…”

“หุบปาก!” ได้ยินนางยิ่งพูดส่งเดชไปเรื่อย จั่นอวิ๋นหยางก็โมโหจนเส้นเลือดดำบนหน้าผากปูดขึ้นมาจนเห็นได้รางๆ

“เอ่อ…ให้ข้าหลบไปก่อนดีหรือไม่ แล้วพวกท่านค่อยคุยกัน” เยี่ยเหมยรู้สึกว่าการสอดส่องเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมิใช่แค่ไม่ดีต่อผู้อื่น แต่ตนเองก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองเพิ่งจะเกิดเสี้ยวความรู้สึกดีๆ ต่อจั่นอวิ๋นหยาง แต่เขากลับแสดงธาตุแท้ของชายสวะออกมา อารมณ์นางชักไม่ดีแล้ว จึงเร่งสำรวมใจตั้งมั่น เก็บหัวใจที่ไม่ได้แข็งแกร่งของตนเองเอาไว้ทันที

จั่นอวิ๋นหยางหันหน้ากลับมามองนางอย่างรวดเร็ว มีหรือจะมองแววห่างเหินดูแคลนที่เพิ่มมาในดวงตาของเยี่ยเหมยไม่ออก เขาพลันรู้สึกเจ็บในอก หากแต่ด้วยนิสัยของเขาทำให้เขาไม่ได้แก้ตัวอะไรออกไป เพียงแต่กล่าวเบาๆ ว่าล่วงเกินแล้ว

“ใครปล่อยให้นางเข้ามา เห็นบุรุษก็โผเข้าหาอย่างหน้าไม่อาย ไม่คิดเสียบ้างว่าเจ้านายในคฤหาสน์นี้เป็นผู้ที่คนไม่มียางอายอย่างเจ้าสามารถเกาะแกะข้องแวะได้ด้วยหรือ พวกเจ้า! ยังไม่รีบเอาตัวนางแพศยาที่มาทำคฤหาสน์สกปรกนี่ออกไปอีก” หลินฟางเฟยแค่เห็นเสื้อผ้าการแต่งกายก็มองออกว่าเยี่ยเหมยเป็นแค่คนยากจนผู้หนึ่ง เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงที่จะมีความข้องเกี่ยวใดๆ กับจั่นอวิ๋นหยาง หากแต่ใบหน้าที่ถึงจะซีดเหลืองก็ยังงามตาของเยี่ยเหมยกลับยังแฝงความคุกคามอยู่ไม่น้อย นางจึงขนคิ้วชี้ชันและระเบิดโทสะออกมา

“หุบปาก!” หลินฟางเฟยเพิ่งจะพูดจบก็มีเสียงตะโกนขัดนางดังมาจากหัวมุมทางเดิน ต่อจากนั้นก็เห็นสะใภ้ใหญ่จั่นเดินนำชุนหลันเลี้ยวมาจากทางเดินเล็กของสวนดอกไม้ หลังพยักหน้าให้เยี่ยเหมยที่ลุกขึ้นยืนเพราะถ้อยคำที่ได้ยินที่ข้างในศาลา สายตาก็กวาดมองจั่นอวิ๋นหยางด้วยแววสลับซับซ้อน จากนั้นถึงได้แค่นเสียงเย็นพูดกับหลินฟางเฟย “น้องฟางเฟย ที่นี่คือคฤหาสน์สกุลจั่น อย่าได้นำวาจาสกปรกของเจ้าติดเข้ามาให้แปดเปื้อนหูคน”

หลังอบรมหลินฟางเฟยจบ สะใภ้ใหญ่จั่นถึงได้ค้อมตัวน้อยๆ เหมือนว่าเพิ่งเห็นจั่นอวิ๋นหยาง “น้องรอง เรือนด้านหน้ามีคุณชายแซ่กู่ซึ่งอ้างว่าเป็นสหายร่วมเรียนของท่านมาขอพบ”

หลินฟางเฟยคล้ายว่ากลัวสะใภ้ใหญ่จั่นอย่างยิ่ง หลังถูกอบรมก็ยืนอยู่ด้านหนึ่งของศาลาอย่างสงบเสงี่ยม

จั่นอวิ๋นหยางผ่อนคลายไหล่ที่เกร็งขมึงลง เม้มปากก่อนกล่าวกับสะใภ้ใหญ่จั่น “พี่สะใภ้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ข้างนอกข้าได้เห็นบ้านแม่นางเยี่ยเหมยมีของสองสิ่งเหมาะจะให้ชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ใช้ จึงได้จ่ายมัดจำให้นางนำมาส่งที่คฤหาสน์ อย่างไรรบกวนท่านช่วยจ่ายเงินที่เหลือให้ด้วย” พูดจบก็หันหน้ากลับมามองเยี่ยเหมยอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินลงบันไดก้าวฉับๆ จากไปโดยไม่เหลียวหลัง แม้กระทั่งสะใภ้ใหญ่จั่นเอ่ยขอบคุณก็ยังไม่หันไปมองสักแวบ

“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้า…” หลินฟางเฟยเห็นจั่นอวิ๋นหยางจากไปก็ลอบกัดริมฝีปาก กระทืบเท้าไปสองสามทีอย่างไม่พอใจ ทำท่าจะไล่ตามไปกลับถูกชุนหลันที่ข้างกายสะใภ้ใหญ่จั่นขวางเอาไว้

สะใภ้ใหญ่จั่นพูดเสียงเย็นกับหลินฟางเฟยต่ออีกว่า “ถ้าเจ้ายังรู้ว่าข้าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็ฟังคำเตือนของข้า สกุลจั่นเป็นตระกูลใหญ่ ถ้าเจ้ายังเข้ามาทำตัวต่ำๆ ในเรือนส่วนในตามอำเภอใจอีก ถึงเวลานั้นก็อย่าโทษที่ข้าจะให้คนไล่เจ้าออกไปแล้วกัน มิเช่นนั้นท่านผู้เฒ่าเอาผิดลงมา อาหญิงของเจ้าที่เป็นเพียงอี๋เหนียงก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”

“ท่าน…ท่านอย่าได้ทำท่าดูถูกอี๋เหนียง! แม้อาหญิงของข้าจะเป็นอนุ แต่นางก็เป็นแม่สามีแท้ๆ ของท่าน” ทั้งๆ ที่หลินฟางเฟยกลัวภูมิหลังของสะใภ้ใหญ่จั่น แต่ก็ไม่อยากถูกกดข่มไปตลอด บัดนี้จึงทำใจกล้าออกปากต่อว่าอีกฝ่าย หากแต่ที่สุดแล้วก็แข็งนอกอ่อนใน หาได้มีอำนาจไม่

เห็นได้ชัดว่าสะใภ้ใหญ่จั่นไม่ได้เห็นหลินฟางเฟยอยู่ในสายตา นางเพียงกวาดมองซ้ายขวารอบหนึ่งก่อนว่า “ญาติผู้น้องระวังคำพูดด้วย แม่สามีที่ข้ากราบตอนแต่งเข้ามาคือฮูหยินภรรยาเอกผู้ชอบด้วยทำนองคลองธรรมของคฤหาสน์สกุลจั่น”

“ท่าน…ท่าน…” หลินฟางเฟยถูกทำเอาโมโหจนหน้าแดงเถือก เครื่องหน้างามเพริศบิดเบี้ยวจนดูดุร้ายอย่างที่สุด “เฮอะ! ท่านลำพองใจให้น้อยๆ หน่อย เป็นฮูหยินท่านใหญ่แล้วอย่างไร วันหน้าคฤหาสน์สกุลจั่นนี้มีหรือจะตกอยู่ในความดูแลของสะใภ้สายรอง รอข้าแต่งเข้ามาเมื่อไรท่านได้น่าดูชมแน่!” พูดจบหลินฟางเฟยก็ผลักชุนหลันออก เชิดหน้าเดินลอยชายจากไป

“เจ้ามัน…โง่ไม่มีใครเกิน!” สะใภ้ใหญ่จั่นจ้องเงาหลังของหลินฟางเฟยพลางด่าออกมา ไม่รู้ว่าด่าหลินฟางเฟยหรือด่าหลินอี๋เหนียงที่อยู่เบื้องหลังหลินฟางเฟย เล็บมือจิกเข้าเนื้อก็ยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งชุนหลันที่อยู่ด้านข้างร้องด้วยความตกใจถึงได้ค่อยๆ คลายมือออก

“แม่นางเยี่ย รอนานแล้วกระมัง” เพื่อทำให้อารมณ์ของคุณหนูตนเย็นลง และเพื่อเตือนนางว่ายังมีคนนอกอยู่ด้วย ชุนหลันไม่อาจไม่เอ่ยปากทักเยี่ยเหมยที่แสร้งโง่อยู่ในศาลา

ได้ยินเสียงของชุนหลัน สะใภ้ใหญ่จั่นก็ได้สติกลับมา ยิ้มฝืดเฝื่อนพลางกล่าวทักเยี่ยเหมย “ทำให้แม่นางเยี่ยเห็นเรื่องน่าขบขันแล้ว”

พอส่งเถียนหนานซิงที่ไม่บอกอะไรให้ชัดสักอย่างไปก็มีคนมารายงานว่าที่เรือนด้านหน้ามีแขกมาขอพบจั่นอวิ๋นหยาง ไม่นานชุนหลันก็มารายงานเรื่องเยี่ยเหมยอีก ต่อจากนั้นบังเอิญเจอบ่าวของหลินฟางเฟย ได้รู้ว่าหลินฟางเฟยไล่ตามไปศาลาในสวนเพื่อจะถามหาความรับผิดชอบเรื่องที่จั่นอวิ๋นหยางขอถอนหมั้น นางจึงรีบร้อนรุดมาช่วยจั่นอวิ๋นหยางแก้สถานการณ์สำเร็จแล้ว แต่กลับทำให้คนนอกได้เห็นเรื่องส่วนตัวของคฤหาสน์สกุลจั่นแทน เกิดเรื่องวุ่นวายเป็นชุดก็ทำให้สะใภ้ใหญ่จั่นเหนื่อยทั้งกายทั้งใจจนอดไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์ไม่อยากสนใจอะไรแล้ว

เยี่ยเหมยมิใช่คนโง่ แต่ประสบการณ์จากทั้งสองชาติบอกให้นางจำต้องแสร้งโง่ในเวลานี้ นางกะพริบตา แสดงสีหน้าท่าทางสับสนงุนงงออกมา “ท่านเมื่อครู่คือคุณชายรองของพวกท่านหรือ ไฉนจึงดูต่างจากที่เคยได้ยินมาอยู่บ้าง ข้ากำลังคิดจะถามอยู่เลยเชียว แต่ใครจะรู้ว่ากลับมีหญิงบ้าโผล่มา ยังดีที่สะใภ้ใหญ่มาทันเวลา”

ไม่ว่าอย่างไรสะใภ้ใหญ่จั่นเองก็หวังให้เยี่ยเหมยเป็นเพียงหญิงชนบทโง่งม พอเห็นนางเอ่ยถามเช่นนี้ก็ตรงกับใจพอดี ไม่เสียดายที่ต้องลดตัวก้าวไปจูงเยี่ยเหมย พานางเดินเข้าเรือนส่วนใน “คุณชายเมื่อครู่นี้คือท่านรองของคฤหาสน์นี้ หญิงบ้า…นางนั้นคือญาติผู้น้องฝ่ายมารดาของสามีข้า และก็เป็นคู่หมั้นของท่านรอง นางคงเห็นแม่นางเยี่ยกับท่านรองอยู่ในศาลาด้วยกันตามลำพังเลยเกิดความเข้าใจผิดอะไรกระมัง พวกเขาทะเลาะกันก็ช่างเถิด แต่กลับทำให้แม่นางเยี่ยอาจจะพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย ทว่าแม่นางเยี่ยวางใจได้ บ่าวไพร่ของคฤหาสน์สกุลจั่นมิใช่คนปากมาก”

เยี่ยเหมยก้มหน้ามองพื้น ได้ยินดังนั้นใจก็พลันกระตุกวาบ มือกุมท้องน้อยพลางหันหน้าไปมองสะใภ้ใหญ่จั่น “ขอบอกอย่างไม่ปิดบัง อันที่จริงข้าตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว เมื่อครู่เข้ามาเห็นท่านรองจั่น ยังไม่ทันได้พูดอะไร หญิงบ้านางนั้นก็เข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่านางเข้าใจผิดอะไร”

เยี่ยเหมยรู้สึกเหนื่อยแทนคนในตระกูลใหญ่โตจากใจจริง แค่ลมพัดหญ้าไหวก็เห็นเป็นภัยไปเสียหมด ถ้าเปลี่ยนเป็นนางคงได้เหนื่อยตายไปแล้ว คราวนี้นางดับจินตนาการงดงามเล็กๆ ในสมองจนไม่เหลือแม้แต่ประกายไฟ คุณชายตระกูลใหญ่อะไรไม่มีทางมีสัมพันธ์ข้องเกี่ยวใดๆ กับหญิงชนบทที่ท้องก่อนแต่งอย่างนางได้แน่นอน

ครั้นได้ยินว่าเยี่ยเหมยตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว แววลังเลไม่แน่ใจที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกก้นดวงตาของสะใภ้ใหญ่จั่นก็หายวับไปไร้ร่องรอย แววดูถูกดูแคลนวาบผ่าน ร้องเรียกชุนหลันทันที “ยังไม่รีบมาประคองแม่นางเยี่ยอีก เจ้านายของเจ้าอย่างข้ายิ่งซุ่มซ่ามอยู่ เดี๋ยวก็ได้ทำแม่นางเยี่ยชนนู่นชนนี่พอดี”

ชุนหลันรีบก้าวมารับมือเยี่ยเหมยไปประคองแทน พร้อมกับถูกบ่นว่าอย่างคล้ายจริงคล้ายปลอม

ถ้ามิใช่ก่อนหน้านี้ที่โรงรับจำนำเคยได้เห็นท่าทียามจัดการเรื่องราวของสะใภ้ใหญ่จั่นมาแล้ว เยี่ยเหมยคงได้คิดว่านี่เป็นความเอาใจใส่ของนายบ่าวสองคนนี้จริงๆ นางนึกค่อนแคะในใจ ปากกลับมิแคล้วต้องแต่งเรื่องมาเอาหน้ารอด

ของมาอยู่ตรงหน้าเจ้าบ้านแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนหาบไปต่อ เห็นเหล่าบ่าวหญิงรับใช้ยืนเรียงแถวรออยู่บนทางเดินศิลาเขียว เยี่ยเหมยก็ใช้ให้เปิดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่คลุมรถทั้งสองคันอยู่ออกอย่างไม่เกรงใจ

รถเข็นเด็กและรถหัดเดินนี้หนาหนักกว่าของที่ทำด้วยพลาสติกและอะลูมิเนียมอัลลอย แต่ก็ให้ความรู้สึกเทอะทะแค่เพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ของที่มีล้อและมีรูปร่างลักษณะแปลกประหลาดสองชิ้นนี้ก็ยังทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงได้

รถเข็นเด็กเลือกใช้วิธีประกอบสามส่วน แยกเป็นโครงรถ ตัวรถ และส่วนมือจับ ส่วนตัวรถรวมเอาฐานรถและล้อสี่ล้อไว้ด้วย สองล้อหน้าสามารถเปลี่ยนทิศทางตามการเข็นได้ ทั้งสี่ล้อล้วนเป็นไม้หุ้มด้วยหนังวัวสีดำหลายชั้น ยืดขยายได้ดี ความยืดหยุ่นก็ยอดเยี่ยม ความเสียหายย่อมจะเกิดไม่สูงนัก

ตัวรถทำเป็นรูปร่างคล้ายโต่ว ด้านในมีเก้าอี้นั่ง เด็กสามารถนั่งข้างบน สองมือจับประคองสองข้างตัวรถหรือจะเก็บไว้ในที่นั่งก็ได้ เยี่ยเหมยใช้ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดอ่อนนุ่มเย็บติดกับเศษผ้าไหมหลายสีเพิ่มสีสันให้กับที่จับรถเข็นไม้ ดูสวยงามทั้งยังน่าสบาย

ส่วนรถหัดเดินใช้ไม้มาทำย่อมจะทำให้มีแปดล้อเปลี่ยนทิศทางได้อิสระไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เยี่ยเหมยจึงเปลี่ยนแนวคิดของรถหัดเดินเสียใหม่ ขุดรูโครงรถกับที่นั่งให้สอดสองเท้าลงไปได้ ทำล้อหน้าหลังให้เป็นล้อที่เคลื่อนไหวได้ เด็กประคองตัวรถไว้ก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย เดินหน้าถอยหลังจะเร็วหน่อย แต่ถ้าไปซ้ายขวาจะไม่คล่องนัก ทว่านี่ก็ดีกว่าขยับไม่ได้เลย

ของไม่มีอะไรซับซ้อน เยี่ยเหมยอธิบายเพียงเล็กน้อยคนทั้งหมดก็เข้าใจ

ในใจสะใภ้ใหญ่จั่นยังคิดถึงเรื่อง ‘ตำรับยาลับจากบรรพบุรุษ’ ของเยี่ยเหมยที่ชุนหลันนำมารายงาน เรื่องนี้จึงถูกวางทิ้งไว้ชั่วคราว นางลูบดูที่นั่งในตัวรถด้วยตนเองแล้วก็หันหน้าไปสั่งสาวใช้ให้เตรียมเส้นไหมเพื่อทำเบาะใหม่สองเบาะ หลังจากลองเข็นรถเข็นเด็กเดินไปสองก้าวก็สั่งชุนหลันอย่างใจกว้าง “เดี๋ยวนำเงินค่ารถให้แม่นางเยี่ยแล้วก็เพิ่มให้นางอีกสิบตำลึงเป็นสินน้ำใจ รถนี้ช่วยลดภาระงานของพวกเจ้าได้ไม่น้อยเลย”

“นั่นน่ะสิเจ้าคะ ถึงฤดูร้อนคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กก็จะไม่ร้อนจนเป็นผื่นคันทั้งตัวแล้ว” ชุนเถาลูบที่จับรถเข็น นึกถึงความลำบากที่ต้องอุ้มเด็กในหน้าร้อนขึ้นมาก็อดจะกระซิบพึมพำข้างหูบ่าวหญิงชรานางหนึ่งไม่ได้

สะใภ้ใหญ่จั่นกับชุนหลันยืนอยู่หน้าสุด ชุนเถาพูดอะไรพวกนางไม่ได้ยิน แต่กลับถูกเยี่ยเหมยได้ยินแล้วลอบหัวเราะเงียบๆ

หลังจากนั้นพอชุนหลันเอ่ยเตือน สะใภ้ใหญ่จั่นก็นึกถึงตำรับยาลับจากบรรพบุรุษที่เยี่ยเหมยบอกขึ้นได้ จึงพาเยี่ยเหมยเดินไปเรือนพักของตน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 พ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: