X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีสกุลดี สตรีมากวาสนา

ทดลองอ่าน สามีสกุลดี สตรีมากวาสนา บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 12

หมู่เรือนส่วนหน้าของคฤหาสน์สกุลจั่นมีขนาดใหญ่ หมู่เรือนส่วนในก็มิได้เล็ก เจ้านายสกุลจั่นอาศัยอยู่ตรงศูนย์กลาง สะใภ้ใหญ่จั่นสองสามีภรรยาอยู่กับลูกที่เรือนเผิงเฟยอันเป็นเรือนแรกทางฝั่งตะวันออกติดกับเรือนหลัก เนื่องจากลูกทั้งสองยังเล็กและป่วยอยู่ จึงนอนที่เรือนปีกส่วนที่สองของเรือนเผิงเฟยซึ่งกั้นออกเป็นสามส่วน

เข้าประตูมาได้ครู่หนึ่ง ยังไม่ได้เห็นจั่นชิงฮุย แต่เยี่ยเหมยก็พอจะรู้แล้วว่าเหตุใดเด็กคนนี้ถึงขาดแคลเซียมขนาดนั้น ได้ยินว่าจั่นชิงฮุยเลือกกินตั้งแต่เล็ก เปลี่ยนแม่นมไปหลายคนเพราะร้องไห้ อีกทั้งเพราะฟันขึ้นช้าทำให้กินนมจนถึงอายุสองขวบ

เรื่องอาหารการกินบรรจงถี่ถ้วน เรื่องความเป็นอยู่คัดสรรอย่างดี ไม่แพงพอไม่กิน ไม่ประณีตพอไม่กิน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่เคยมีพวกถั่วพวกกระดูกหมูที่เป็นอาหารชั้นต่ำราคาถูกอยู่ในรายการอาหารของเขา ถึงจะกินเนื้อนกพิราบก็ยังต้องบดละเอียดก่อนถึงส่งเข้าปากได้ พวกผักผลไม้น่ะหรือ ขอโทษที คุณชายน้อยไม่ชอบรสชาติ ส่วนเรื่องตากแดด…คนที่ขนาดออกจากบ้านในเดือนยี่ยังต้องใช้ร่มบังก็ไม่ต้องพูดเรื่องดูดซับแคลเซียมกันแล้ว

หลังได้เห็นจั่นชิงฮุย เยี่ยเหมยก็พูดได้เพียงว่าอกกับขาผิดรูปของเด็กล้วนเป็นผลจากความร่ำรวย!

ได้ยินว่านับตั้งแต่ค้นพบความผิดปกติของเด็กเมื่อตอนสองขวบเป็นต้นมาก็ใช้โสมใช้เห็ดหลิงจือบำรุงมาตลอด ไม่ง่ายเลยกว่าจะเลี้ยงจนอายุหกขวบได้ เยี่ยเหมยเองก็รู้ว่าโสมกับเห็ดหลิงจือล้วนเป็นของดี หากแต่มีคำพูดที่ว่า ‘อ่อนแอจนไม่รับการบำรุง’ แรกเริ่มเดิมทีจั่นชิงฮุยเพียงแต่ขาดแคลเซียม คาดว่าหลังจากบำรุงอย่างหนักก็ไปหมดทั้งวิตามินเอ บี ซี ดี อี ร่างกายเช่นนี้ดีขึ้นได้ก็แปลกแล้ว

“เป็นอย่างไร ชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ยังรักษาได้อยู่หรือไม่” หากเป็นยามปกติ สะใภ้ใหญ่จั่นก็คงไม่เชื่อว่าสตรีอย่างเยี่ยเหมยจะมีวิธีรักษาเด็กสองคนได้ แต่ด้วยแววตาของเถียนหนานซิงหลังจากเห็นจั่นชิงฮุยในวันนี้ทำให้นางสะเทือนใจอย่างหนัก ยิ่งรวมกับถูกคำพูดเรื่องสายตรงสายรองของหลินฟางเฟยกระทุ้งจิตใจ นางจึงป่วยหนักเที่ยวเร่หาหมอแล้ว

ถึงจะมีความหวังเพียงน้อยนิดที่จะรักษาจั่นชิงฮุยให้หายได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ นางก็อาจไม่ต้องเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กับหลินฟางเฟยที่โง่เขลาเบาปัญญานั่น พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงจั่นชิงฮุยร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ จั่นเจียงฉือก็จะไม่เร่งให้จั่นอวิ๋นหยางแต่งงานแล้ว

เยี่ยเหมยคิดใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบ “ถ้าให้ข้ารักษาอาการของคุณหนูเล็ก รับรองว่าสามวันห้าวันก็มีวี่แววดีขึ้น ครึ่งเดือนถึงเห็นผลชัด หลังจากนั้นขอเพียงระวังรายละเอียดในชีวิตประจำวัน ภายในหนึ่งเดือนจะต้องทันเด็กวัยเดียวกันแน่นอน ทว่าคุณชายน้อยอาการค่อนข้างหนัก ถ้าใช้ยาลับจากบรรพบุรุษของข้า เร็วที่สุดก็ต้องหนึ่งเดือนถึงเริ่มเห็นผล สามเดือนเห็นผลชัด หนึ่งถึงสองปีให้หลังค่อยมาดูกันว่าสามารถโตทันเด็กวัยเดียวกันคนอื่นหรือไม่”

ในมือเยี่ยเหมยมีตำรับยาเสริมกระดูกอยู่จริงๆ ภพก่อนนางเคยมีประสบการณ์ดูแลเด็กขาดแคลเซียมคนหนึ่ง กินแคลเซียมที่ซื้อจากท้องตลาดก็ไม่มีประโยชน์ เยี่ยเหมยจึงถามผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนได้วิธีเสริมกระดูกบำรุงแคลเซียมที่ใช้เงินไม่มากแต่ดูดซับได้ค่อนข้างดีนี้มา แม้บัดนี้จะเป็นสมัยโบราณ แต่ใช้เงินนิดเดียวก็หาของที่ต้องการทั้งหมดได้ ถึงอย่างไรนางก็เพิ่มระยะเวลาที่เห็นผลให้นานขึ้นแล้ว ต่อให้ใช้ของทดแทนก็ไม่ถึงขั้นทำให้นางเสียชื่อ

เยี่ยเหมยรู้สึกว่าประสิทธิผลที่ตนเองบรรยายสมควรนับว่าตรงตามมาตรฐานแล้ว คาดไม่ถึงว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่สะใภ้ใหญ่จั่นได้ยินคนบอกว่าลูกนางยังมีทางเยียวยาอย่างมั่นอกมั่นใจเพียงนี้ อีกทั้งยังบอกกำหนดเวลารักษาหายออกมาด้วย นางจึงตะลึงงันอยู่กับที่ น้ำตาเอ่อคลอหน่วยตาทั้งสองข้าง

“แม่นางเยี่ยบอกผลลัพธ์น่าอัศจรรย์เพียงนี้ ไม่ทราบว่าเคยรักษามากี่คน” เวลานี้ที่ข้างกายสะใภ้ใหญ่จั่น นอกจากสาวใช้ประจำตัวอย่างชุนหลันกับชุนเถาแล้ว ก็ยังมีเฝิงหมัวมัวที่นางให้ความสำคัญที่สุด

เฝิงหมัวมัวเป็นแม่นมของสะใภ้ใหญ่จั่น ปีนี้อายุห้าสิบกว่าแล้ว ยามนี้นางกำลังมองเยี่ยเหมยด้วยแววตาคมปลาบ แม้ว่าได้ยินคำของเยี่ยเหมยแล้วจะรู้สึกดีใจเช่นกัน แต่นางไม่เหมือนสะใภ้ใหญ่จั่นที่ถูกเรื่องต่างๆ นานาในใจเคี่ยวกรำจนสูญเสียสติคิดวิเคราะห์ จึงโยนคำถามที่ค่อนข้างเฉียบคมออกมาทันที

“ในตำรับยาของบรรพบุรุษเคยบอกไว้ว่ารักษาคนมาหลายสิบคนแล้ว ล้วนแต่รักษาหายอย่างไม่มีข้อยกเว้น” เยี่ยเหมยเชิดหน้าตอบอย่างเด็ดขาดหนักแน่น ถึงจะไม่มี ‘ตำรับยาลับของบรรพบุรุษ’ ที่ว่า แต่นางกลับไปก็แอบเขียนออกมาได้ ใช้ถ่านไม้เขียนอักษรจีนตัวย่อเอา

“บ่าวหมายถึงว่าแม่นางเยี่ยเคยรักษาหายมากี่คน บ่าวจะให้คนไปเชิญตัวมาบอกเล่าให้สะใภ้ใหญ่ฟังสักหน่อย สะใภ้ใหญ่จะได้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ จะอย่างไรคฤหาสน์สกุลจั่นของพวกเราก็ไม่เหมือนครอบครัวชาวบ้านร้านตลาดเหล่านั้นที่กล้าให้เด็กกินของอะไรที่มีที่มาไม่แน่ชัด” แววตาจับผิดของเฝิงหมัวมัวประเมินมองเยี่ยเหมยอยู่ตลอด ถ้ามิใช่เยี่ยเหมยมีท่าทางสุขุม หนักแน่น มั่นใจในตนเองมาตลอด เกรงว่าคงถูกนางเรียกคนมาไล่ออกไปนานแล้ว

ทีนี้ก็ยอดเยี่ยม สะใภ้ใหญ่จั่นได้นางเตือน อารมณ์ก็สงบลงมาก ยกชาที่ชุนหลันยื่นส่งให้มาจิบไปคำหนึ่งก่อนเอ่ยถามเยี่ยเหมยตามคำของเฝิงหมัวมัว “หรือไม่อย่างนั้นแม่นางเยี่ยขายตำรับยาให้ข้าได้หรือไม่ บอกราคามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

ถ้าเยี่ยเหมยบอกตำรับนี้ไปก็ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว นางยังอยากเก็บไว้เป็นของเชิดหน้าชูตายามเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กหรือไม่ก็โรงเรียนอนุบาลในวันหน้า ถ้าให้ผู้อื่นไป นางก็หมดลูกเล่นแล้ว อีกอย่างหนึ่งในตำรับก็มีของบางอย่างที่ในสายตาครอบครัวมั่งมีเห็นว่าไร้ระดับเกินจะเอาขึ้นโต๊ะ ถ้าบอกออกไปแล้วพวกเขาไม่ให้เด็กกิน ไม่แน่อาจจะยังมาหาว่าตำรับยามีปัญหาด้วย ถึงเวลานั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว

คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้ คำสั่งสอนของบรรพบุรุษกล่าวว่าไว้ ‘เพียงทำยาไม่ขายตำรา มิเช่นนั้นไร้ทายาทสืบสกุล’ ข้าไม่กล้านำเด็กมาล้อเล่น อีกทั้งสะใภ้ใหญ่จั่นก็เห็นฐานะทางบ้านของข้าอยู่ ถ้ายอมใช้ตำรับยาแลกเงินก็คงไม่มาส่งรถเข็นเด็กที่คฤหาสน์ท่านแล้ว”

นางพูดขนาดนี้แล้ว สะใภ้ใหญ่จั่นที่ถือดีว่าตนมาจากตระกูลบัณฑิตมีอารยะย่อมไม่สะดวกใจจะบีบบังคับกันอีก แต่ก็ถูกต้องที่เฝิงหมัวมัวพูด ถ้ากล้าส่งของอะไรที่มีที่มาไม่แน่ชัดไปให้ชิงฮุยกินทั้งหมด ด้วยสภาพอ่อนแอของเขาในตอนนี้ก็คงทนรับไม่ไหวเด็ดขาด

สะใภ้ใหญ่จั่นอดจะขมวดคิ้วคิดไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ไม่ได้ สุดท้ายก็นึกวิธีดีๆ ออกในที่สุด “เอาอย่างนี้แล้วกัน ภายในสามวันเจ้ากับข้าต่างคิดหาวิธีหาเด็กที่มีอาการป่วยเหมือนชิงฮุยมาหนึ่งหรือสองคน ตัวยาทุกอย่างที่ต้องใช้กับชิงฮุยก็ให้เด็กผู้นั้นลองก่อน ถ้าไม่มีอันตรายค่อยใช้กับชิงฮุย เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

เยี่ยเหมยปากอ้าตาค้าง สะใภ้ใหญ่จั่นก็ช่างคิดวิธี…ทำร้ายคนเช่นนี้ออกมาได้เร็วนัก ดีที่ตัวนางรู้ว่าของที่ตนเองจะเอาออกมาเป็นตำรับบำรุงแคลเซียมจริงๆ แต่ถ้าตำรับยามีพิษจะทำอย่างไร ลูกของเจ้าเป็นคน แล้วลูกของคนอื่นมิใช่คนหรือ

เยี่ยเหมยลูบท้องน้อยสงบใจก่อนเสนอขึ้นว่า “มิสู้ให้ข้าลองยาเองก็แล้วกัน”

เยี่ยเหมยเห็นดวงตาของสะใภ้ใหญ่จั่นสว่างวาบขึ้น แต่คำที่นางพูดออกมากลับยังคงยืนกรานตามความเห็นของตนเอง

“ไม่ได้ แม่นางเยี่ย เจ้าตั้งครรภ์อยู่ ถ้าเกิดยานี้ส่งผลเสียอะไรต่อเจ้า คฤหาสน์สกุลจั่นก็รับผิดชอบไม่ไหว หาเด็กที่มีอาการป่วยเหมือนชิงฮุยมาสักคนจะดีกว่า”

คราวนี้สะใภ้ใหญ่จั่นเน้นเสียงหนักที่คำพูดประโยคหลัง เยี่ยเหมยเองก็เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่แล้ว สะใภ้ใหญ่จั่นหาใช่ไม่อยากให้นางลองยา แต่เป็นห่วงว่านางไม่ได้เป็นโรคนั้น จะทำให้มองไม่ออกว่าใช้ยาถูกโรคหรือไม่

“เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวจะไปหาเด็กเช่นนี้มาจากไหน” เยี่ยเหมยกัดริมฝีปาก คิดจะบอกลาเพียงเท่านี้ สมองคนบ้านนี้ไม่มีที่ปกติสักคน นางไม่อยากรับใช้แล้ว!

“ถ้าจวนเจ้าเมืองติดประกาศว่าต้องการเด็กเช่นนี้ มีเรือนเล็กให้อยู่ มีเสื้อผ้า อาหาร ที่พัก การเดินทางให้พร้อม หลังจากหนึ่งเดือนยังมีสินน้ำใจให้อีกยี่สิบตำลึงพร้อมกับใบยกเว้นภาษีลายมือเจ้าเมืองเซิ่งโจวอีกแผ่นหนึ่ง แม่นางเยี่ยคิดว่าเป็นอย่างไร” สะใภ้ใหญ่จั่นหมุนปลอกเล็บบนนิ้วก้อยอย่างไม่รีบไม่ร้อน พลางโยนเงื่อนไขดีที่คนไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา

เงินยี่สิบตำลึงในยุคสมัยนี้ซื้อเด็กจากครอบครัวยากจนคนหนึ่งได้เหลือเฟือ ครอบครัวชาวนาในหมู่บ้านเกาจยาใช้อย่างประหยัดหน่อยก็อยู่ได้ถึงห้าหกปี เชื่อว่าพอเงื่อนไขนี้ประกาศออกไปคงมีคนแย่งกันตอบตกลงไม่น้อย

ทว่าสิ่งที่เยี่ยเหมยใส่ใจไม่ใช่เงิน แต่เป็นใบยกเว้นภาษีลายมือเจ้าเมืองที่เพิ่มมาด้วย คิดว่าสะใภ้ใหญ่จั่นต้องมองแผนการในอนาคตของนางออกแน่นอนถึงได้ให้เงื่อนไขที่คนยากจะปฏิเสธนี้ออกมา

ในเมื่อยากจะปฏิเสธ เยี่ยเหมยย่อมไม่มีปัญญาบอกปฏิเสธออกไปได้อีก ถ้าจะให้สะใภ้ใหญ่จั่นไปหาคนไม่รู้พื้นเพภูมิหลังมาลองยา ก็สู้ให้เป็นตัวเลือกชั้นยอดที่เยี่ยเหมยนึกขึ้นมาได้จะดีกว่า

ซื่อฮวาของครอบครัวเกาต้าเหอเป็นคนที่ขาดแคลเซียมที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งห้าของสกุลเกา

อีกทั้งเกาต้าเหอสามีภรรยาแยกบ้านออกจากสกุลเกาแล้ว แต่เพราะไม่มีบุตรชายจึงได้ที่ดินมาไม่ถึงครึ่งหมู่ เรือนที่ได้มาก็มีเพียงห้องใหญ่ที่ดีหน่อย ห้องข้างอีกสองห้องกับห้องครัวล้วนแต่มุงด้วยหญ้าคาเก่าๆ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิยังดีหน่อย แต่ช่วงฝนมากใกล้จะมาถึงอยู่รอมร่อแล้ว ถึงเวลานั้นพวกตนสองพี่น้องตลอดจนพวกเขาทั้งครอบครัวคงต้องได้ใช้ชีวิตอนาถา นอกเรือนฝนตกหนักในเรือนฝนตกเบาแล้ว

ตามคำของสะใภ้ใหญ่จั่น ช่วงเวลาทำการรักษานางยังจะอำนวยเรือนเล็กเรือนหนึ่งให้เยี่ยเหมยกับเด็กลองยาพักด้วยกัน อาหารน้ำดื่มล้วนมีคนดูแลปรนนิบัติโดยเฉพาะ ถ้าเยี่ยเหมยไม่อยากให้คนรู้ความลับในการปรุงยา นางยังสามารถนำเงินจากสะใภ้ใหญ่จั่นไปจ้างคนอื่นมาได้ด้วย

เยี่ยเหมยคำนวณดูเวลาก่อนขอเวลาหนึ่งชั่วยามจากสะใภ้ใหญ่จั่น เพื่อความปลอดภัย นางตัดสินใจจะไปถามเกาต้าเหอสามีภรรยาก่อน

ครั้นได้รู้ว่าเยี่ยเหมยสามารถหาเด็กที่มีอาการป่วยเหมือนกับชิงฮุยได้ สะใภ้ใหญ่จั่นเองก็โล่งใจเช่นกัน สถานการณ์ของจั่นชิงฮุยนั้นพิเศษ ถ้าสามารถเก็บเรื่องการรักษาเป็นความลับได้ นางก็ไม่อยากให้มีคนรู้เรื่องเพิ่มขึ้น ดังนั้นให้ทางเยี่ยเหมยหาเด็กกับคนมารับใช้ได้จะดีที่สุด นางจึงให้ชุนหลันออกจากคฤหาสน์สกุลจั่นไปบ้านว่าที่เขยของเกาต้าเหอด้วยกันกับเยี่ยเหมยทันที

ครอบครัวว่าที่เขยของเกาต้าเหอก็เป็นเพียงครอบครัวธรรมดาเช่นกัน ขณะเห็นรถม้าที่เยี่ยเหมยโดยสารมาก็ตกใจจนสะดุ้ง ยามภรรยาต้าเหอเดินออกประตูมาก็มีท่าทางหวั่นเกรงเช่นกัน ครั้นเยี่ยเหมยอธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างกระชับได้ใจความแล้ว นางยังนึกว่ากำลังฝันอยู่เลย

อย่าว่าแต่ยังมีค่าจ้างให้อีกตั้งยี่สิบตำลึง ต่อให้ไม่ได้เงิน แต่ซื่อฮวาสามารถเข้าเมืองมากินของดีได้บ้าง นางก็ยอมทุกอย่างแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสาเหตุที่เยี่ยเหมยเลือกซื่อฮวาเป็นเพราะซื่อฮวามีอาการขาดสารอาหาร มีคนออกเงินรักษาให้ได้ ภรรยาต้าเหอยิ่งอยากโขกศีรษะขอบคุณเยี่ยเหมยใจแทบขาด ตื่นเต้นและตื้นตันจนน้ำตาร้อนคลอหน่วย ก่อนจะสะอึกสะอื้นขึ้นมา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความละอายในใจของเยี่ยเหมยก็นับว่าเบาบางลงในที่สุด เนื่องจากต้องรีบกลับหมู่บ้านในยามเซิน หลังกล่อมภรรยาต้าเหอให้ระงับอารมณ์ อย่าทำให้คนอื่นเอาไปคิดเหลวไหลแล้ว นางก็เร่งรุดกลับไปคฤหาสน์สกุลจั่นกับชุนหลันโดยไม่หยุดพัก

คราวนี้ชุนหลันพาเยี่ยเหมยเดินเข้าประตูข้างของเรือนด้านหลังตรงๆ หลังเข้ามาแล้วเดินทะลุผ่านป่าดอกกุ้ยก็มาถึงประตูข้างบานเล็กของเรือนเผิงเฟย

พอได้คำตอบแน่นอนแล้ว แววตาสะใภ้ใหญ่จั่นก็จริงใจขึ้นอีกหลายส่วน เรียกเฝิงหมัวมัวเข้ามาสั่งให้เตรียมเรือนให้เยี่ยเหมยทันที

เรื่องต่อมาย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด…ราคาของยาตำรับลับ!

อันที่จริงตามวิธีคิดคำนวณในใจของเยี่ยเหมย การบดยาให้กลายเป็นผงเป็นเรื่องลำบากอยู่บ้างจริงๆ แต่ทุนหนึ่งตำลึงน่าจะได้ผงยาเสริมกระดูกปริมาณราวหนึ่งพันกรัม แต่ละครั้งใช้ยี่สิบกรัมจะสามารถกินได้ห้าสิบครั้ง หนึ่งวันกินสามครั้งก็กินได้ครึ่งเดือนกว่า

เดิมเยี่ยเหมยคิดจะบอกราคาเป็นชุดต่อเจ็ดวัน หนึ่งชุดสองตำลึง แต่ครั้นนึกถึงท่าทีโดยตลอดมาของสะใภ้ใหญ่จั่นกับแววตาที่บรรดาคนในเรือนนางมองตนเอง เยี่ยเหมยก็กัดฟันบอกราคาสูงถึงสิบตำลึงต่อหนึ่งชุดออกไป ยังตั้งใจว่าถ้าสะใภ้ใหญ่จั่นต่อราคาก็จะลดให้อีกหน่อย ใครจะไปรู้ว่าผู้อื่นตาไม่แม้แต่จะกะพริบ ซ้ำยังถามเยี่ยเหมยอีกว่าสามารถเพิ่มตัวยาชื่อดังล้ำค่าอีกหลายชนิดลงไปในยาของจั่นชิงฮุยกับจั่นเยี่ยเอ๋อร์ได้หรือไม่ เรื่องราคามิใช่ปัญหา นั่นทำเอาเยี่ยเหมยได้ยินแล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เยี่ยเหมยถึงบอกกับสะใภ้ใหญ่จั่นด้วยสีหน้าจริงจังว่ายาตำรับลับของบ้านนางใช้วัตถุดิบพิถีพิถันอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีฤทธิ์ขัดกับตัวยาชื่อดังล้ำค่าจำนวนมาก ถ้าบำรุงมากเกินไปในระยะเวลาที่กินยานี้กลับจะได้ไม่คุ้มเสีย เพื่อแสดงความพิเศษจำเพาะของยาตำรับลับของตน และเพื่อเตือนสะใภ้ใหญ่จั่นไว้ล่วงหน้า เยี่ยเหมยจึงพูดเรื่องที่ต้องระวังในอาหาร เครื่องดื่ม และชีวิตประจำวันระหว่างระยะเวลากินยาออกมาอีกจำนวนมาก

สะใภ้ใหญ่จั่นได้ยินเยี่ยเหมยพูดเสียระมัดระวังจริงจังเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าวางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง การกินยาล้วนแต่มีข้อห้ามจุกจิกมากมาย คิดว่ายานี้น่าจะมีประสิทธิภาพดีมากทีเดียว

หลังจากเสียเวลาไปมาก ขณะเยี่ยเหมยเดินกลับออกมาจากเรือนเผิงเฟยอีกครั้งก็เป็นเวลาราวบ่ายโมงกว่าแล้ว วิ่งวุ่นตั้งแต่ตีห้ากว่าจนถึงตอนนี้ได้แค่ดื่มน้ำไปไม่กี่อึก แม้ว่าในอกเสื้อจะมีเงินสามสิบห้าตำลึงอันเป็นค่ารถและค่ายาครึ่งเดือนรวมถึงค่ามัดจำสิบตำลึงของสกุลเกาอยู่ แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกพอใจ นางมองชุนหลันที่เดินตามหลังนางครึ่งก้าวเล็กน้อย อีกฝ่ายอยู่กับนางมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ บนหน้ากลับยังมีรอยยิ้มกว้าง เยี่ยเหมยอดจะลอบถอนหายใจเงียบๆ ไม่ได้ว่าผู้ที่เคยได้รับการฝึกอบรมย่อมจะแตกต่างออกไป

“พี่ชุนหลัน ท่านเห็นท่านรองบ้างหรือไม่” เพิ่งจะเดินมาถึงทางเข้าป่าดอกกุ้ยก็มีสาวใช้ตัวน้อยที่เกล้าผมเป็นมวยสองข้างเดินสวนมาด้วยสีหน้าร้อนใจสองคน

“ท่านรอง? เมื่อเช้าท่านรองมิใช่ไปพบแขกที่เรือนด้านหน้าหรือไร” ชุนหลันหยุดฝีเท้า ย้อนถามด้วยความแปลกใจ

สาวใช้ตัวน้อยทั้งสองอาจจะเพิ่งมาเรือนส่วนในได้ไม่นานจึงไม่รู้กฎระเบียบนัก หนึ่งในนั้นปากไว บอกสาเหตุที่ทั้งคฤหาสน์ตามหาจั่นอวิ๋นหยางออกมา

เมื่อเช้าจั่นอวิ๋นหยางพบแขกอยู่ที่เรือนด้านหน้า หลินฟางเฟยกลับบุกเข้าไปข้างในอย่างไม่สนใจใครหน้าไหน ทำให้การพบกันของจั่นอวิ๋นหยางกับสหายต้องยุติลงด้วยความไม่สบอารมณ์ ครั้นจั่นเจียงฉือกับจั่นอวิ๋นเผิงกลับคฤหาสน์มาตอนเที่ยง จั่นอวิ๋นหยางก็พูดเรื่องถอนหมั้นขึ้นมาอีกครั้ง หลินอี๋เหนียงอาหญิงแท้ๆ ของหลินฟางเฟยร้องไห้โฮ ทำให้เรื่องถอนหมั้นเป็นอันไม่ได้คุยกันอีกครั้ง

ไม่นานแม่นมของจั่นอวิ๋นเผิงก็มารายงานว่าท่านรองหายตัวไปอีกแล้ว เหล่าบ่าวเฝ้าประตูก็ไม่เห็นคนออกไป บัดนี้จั่นเจียงฉือกำลังหาคนไปทั่วคฤหาสน์ด้วยความเดือดดาล

“พอแล้ว ข้ารู้แล้ว พวกเจ้ารีบไปหาให้ทั่วแล้วกัน” ชุนหลันหงุดหงิดอยู่บ้าง ผู้อื่นไม่รู้ แต่ชุนหลันที่เป็นสาวใช้คนสนิทที่สะใภ้ใหญ่จั่นไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด อีกทั้งความสามารถสังเกตสังกายังเป็นเลิศกว่าใครนั้นรู้มาโดยตลอดว่าคุณหนูของตนให้ความสนใจต่อข่าวของท่านรองมากเพียงไร นางจึงคิดจะกลับไปรายงานทันที

ชุนหลันมีเรื่องในใจจึงพาเยี่ยเหมยเดินอย่างรวดเร็วราวกับบิน ป่าดอกกุ้ยที่ขามาใช้เวลาเดินราวหนึ่งเค่อ ขากลับใช้เวลาไปเพียงไม่ถึงครึ่ง

ผ่านป่าดอกกุ้ยมา ทักทายกับบ่าวหญิงสูงวัยที่เฝ้าประตูข้าง ชุนหลันยังรอจะส่งเยี่ยเหมยออกไปตรอกเล็กหลังประตู เยี่ยเหมยจึงโบกมือห้ามนาง

“วันนี้ทำแม่นางชุนหลันเสียเวลาเป็นนาน ทำให้จนป่านนี้แม่นางยังท้องว่าง เท่านี้ข้าก็เกรงใจมากแล้ว ส่งเพียงเท่านี้ก็พอ”

“แต่สะใภ้ใหญ่ให้บ่าวส่งท่านจนพบกับญาติ” ชุนหลันย่อมจะอยากหมุนตัวเดินกลับไป แต่คำสั่งของเจ้านายก็ไม่อาจไม่ทำตาม

เยี่ยเหมยยัดเศษเงินราวหนึ่งตำลึงใส่มือนาง “ข้าออกไปแล้วยังต้องไปซื้อของอีก แม่นางชุนหลันใช้เวลาตรงนี้รีบไปกินอะไรที่ครัวสักหน่อยเถิด วันหน้าถ้าสะใภ้ใหญ่ถามขึ้นมา ข้ารู้ว่าควรต้องพูดอย่างไร”

คนรู้ความใครๆ ก็ชอบ รอยยิ้มบนหน้าชุนหลันเจิดจ้ามากขึ้นทันที นางเก็บก้อนเงินเข้าในกระเป๋าเล็กตรงเอวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “เช่นนั้นบ่าวก็ขอบคุณในความเข้าใจและเห็นใจของแม่นางเยี่ยแล้ว ท่านร่างกายอ่อนแอ คิดว่าตั้งแต่ออกจากบ้านเมื่อเช้าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไรเช่นกัน เดินออกจากตรอกนี้แล้วเลี้ยวขวาไปไม่ไกล ข้ามสะพานไปก็จะเป็นถนนของอร่อยทางเหนือของเมือง เกี๊ยวน้ำร้านตรงปากถนนนับว่ารสชาติอร่อยที่สุด”

ชุนหลันบอกชัดเพียงนี้ช่วยลดความยุ่งยากที่ต้องเที่ยวถามคนอื่นของเยี่ยเหมยลงไปมาก นางหิวจนท้องร้องโครกครากอยู่นานแล้ว หลังเอ่ยขอบใจชุนหลันก็เดินออกจากตรอกด้วยฝีเท้ากระฉับกระเฉงว่องไวทันที

พอเยี่ยเหมยเดินพ้นปากตรอกก็มองเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่สายหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำมีเพิงพักเก่าทรุดโทรมสูงต่ำไม่เท่ากันตั้งอยู่จำนวนมาก กลับเป็นแม่น้ำฝั่งนี้ที่มีคฤหาสน์อันโอ่อ่าของสกุลจั่นอยู่เลยทำให้ดูสะอาดเรียบร้อยกว่ามาก นางเลี้ยวขวาเดินไปทางสะพานศิลาโค้งตามคำบอกของชุนหลันก็มองเห็นว่าข้างทางปลูกต้นไทรที่เขียวตลอดทั้งปีไว้จำนวนมาก

ครั้นมองเห็นเค้าโครงสะพานได้รางๆ แล้ว เยี่ยเหมยก็ตัดสินใจฟังคำแนะนำของชุนหลัน ไปลองชิมเกี๊ยวน้ำดูสักหน่อย ถึงอย่างไรก็ได้กินอะไรร้อนๆ นางหิวไส้แทบกิ่วแล้ว!

ขณะเดินผ่านป่าต้นไม้กำลังจะขึ้นสะพานศิลาโค้งนั้นเอง เบื้องหน้ากลับพลันมีชายนักเลงในชุดสกปรกสองคน หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย

“พวกเจ้าจะทำอะไร” เยี่ยเหมยทางหนึ่งทอดถอนใจในความโชคไม่ดีของตน ทางหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวาหาทางหนีทีไล่

“ส่ง…ส่ง…ส่ง…” คนคิ้วติดกันที่ด้านซ้ายหรี่ตาพูดคำว่า ‘ส่ง’ มาครึ่งวันยังไม่สามารถพูดออกมาให้จบประโยคได้ กลับกลายเป็นทำให้หน้าดูชั่วร้ายหนักกว่าเก่า

พรรคพวกอีกคนที่อยู่ขวามือของคนคิ้วติดกันมีฟันเหยินออกมาสองซี่ เขาพับแขนเสื้อขึ้น ช่วยพูดเสริมอย่างคล่องแคล่ว “ส่งเงินในตัวเจ้ามา!”

ประตูข้างตรงด้านนี้ของคฤหาสน์สกุลจั่นจะมีคนนอกเข้าออกเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่เข้าไปค้าขายในเรือนส่วนใน หลังออกมาในตัวจะมีเงินไม่มากก็น้อย เวลานานเข้าก็ถูกชายไม่ทำมาหากินสองคนนี้เห็นลู่ทาง จึงคอยมาเดินเตร่อยู่บริเวณนี้เป็นประจำ และก็ปล้นของไปได้หลายครั้งจริงๆ

วันนี้เยี่ยเหมยโชคไม่ดี มีเงินอยู่ในตัว สีหน้าจึงชื่นบานไปหน่อย เลยถูกสองคนนี้หมายตาทันที

เยี่ยเหมยมองชายหน้าตาอัปลักษณ์ตัวสกปรกสองคนตรงหน้า ในใจคิดคำนวณอย่างรวดเร็วว่าจะให้ไปหรือไม่ให้ดี ทันใดนั้นเยี่ยเหมยก็จ้องด้านหลังของคนทั้งสองพลางเผยรอยยิ้มเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกออกมา พร้อมทั้งตะโกนว่า “สามี!”

คนทั่วไปได้ยินเสียงร้องเรียกเช่นนี้ย่อมจะหันหน้าไปมอง เยี่ยเหมยจึงอาศัยจังหวะนี้หันหลังวิ่งกลับไปประตูหลังคฤหาสน์สกุลจั่นเต็มฝีเท้า กำลังอ้าปากจะร้องตะโกน “ช่วย…” กลับน่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงออกมาก็รู้สึกว่ามีมืออุ่นร้อนข้างหนึ่งปิดปากตนเองไว้

เยี่ยเหมยตกตะลึงที่โจรทั้งสองรวดเร็วเกินไป ทว่าการตอบสนองของนางก็รวดเร็วอย่างที่สุดเช่นกัน นางอ้าปากกัด ศอกก็ออกแรงถองไปข้างหลัง หวังเพียงว่ากลวิธีป้องกันตัวที่ชาติก่อนเคยพบมาจะสามารถยื้อเวลาได้บ้าง

“อย่าร้อง ข้าเอง!” จั่นอวิ๋นหยางใช้มือหนึ่งโอบรอบเอวอ่อนนุ่มของเยี่ยเหมย อีกมือปิดปากนาง กอดนางไว้ในอ้อมแขนทั้งตัว ก่อนหันหน้าไปมองว่ากู่จวิ้นขวางชายนักเลงสองคนนั้นได้แล้วหรือไม่

ขณะหันหน้ากลับไปมองกลับรู้สึกเจ็บที่มืออย่างรุนแรง เอวก็ถูกแรงขุมหนึ่งกระแทกใส่ ถ้าเป็นคนธรรมดาเกรงว่าคงปล่อยมือถอยหลังออกมาเพราะความเจ็บปวดแล้ว แต่จั่นอวิ๋นหยางมิใช่คนธรรมดาสามัญ จึงเพียงแต่ขมวดคิ้วน้อยๆ หนีบสองขายับยั้งขาที่เตะผ่าหมากขึ้นมาของเยี่ยเหมยเอาไว้ได้ ก่อนที่มือจะออกแรงจับตัวนางให้หันกลับมา “เป็นข้าเอง!”

เยี่ยเหมยเบิกดวงตารูปเมล็ดซิ่งกว้าง นึกในใจว่าไฉนจึงเป็นเขา นางปล่อยปากที่กัดมือเขาไว้ เห็นบนนิ้วจั่นอวิ๋นหยางมีเลือดไหลหยด ในใจก็มีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาน้อยๆ

จั่นอวิ๋นหยางในเวลานี้ยังคงหน้าตาเย็นชาขรึมเคร่ง แต่บนตัวกลับเปลี่ยนมาสวมเสื้อสีเขียวครามที่พบเห็นได้ทั่วไป ถ้าไม่สังเกตดีๆ เขาก็มีท่าทางเหมือนกับบุรุษธรรมดาบนท้องถนน

เยี่ยเหมยมองเขา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงแต่งตัวเช่นนี้

จั่นอวิ๋นหยางเหมือนมองแววข้องใจในดวงตานางเข้าใจจึงลดเสียงกระซิบข้างหูนาง “เจ้าอย่าส่งเสียง ข้าไม่อยากให้คนเห็นข้า”

จั่นอวิ๋นหยางกลับบ้านมาสามวันก็ถูกจั่นเจียงฉือพูดเซ้าซี้ทุกวันว่าไม่ให้เขาไปจากบ้านอีกจนหูเขาชาไปหมด อีกทั้งจั่นเจียงฉือจู้จี้ไม่พอยังให้เยี่ยนหมัวมัวแม่นมของเขามาผลัดกันบ่นด้วย ต่อให้วันนี้กู่จวิ้นไม่มา เขาก็ตั้งใจจะออกจากบ้านโดยไม่ลาอีกครั้งอยู่ดี

เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่ากู่จวิ้นจะไม่สนใจการนัดหมายก่อนหน้านี้ อำพรางฐานะตัวตนมาหาเขาที่คฤหาสน์โดยแสร้งปลอมเป็นสหายร่วมเรียน พอเขาถามดูถึงได้รู้ว่ารัชทายาทถึงกับรอเสบียงจากเมืองเซิ่งโจวไม่ไหว กำลังจะออกรบแล้ว

จั่นอวิ๋นหยางเป็นคนพาองครักษ์ข้างกายรัชทายาทออกมาจากเมืองหลวง แต่เกรงว่าจะมีสายลับปนเข้ามาด้วยโดยไม่ตั้งใจ ด้วยความสุดวิสัยกู่จวิ้นจึงได้แต่มาหาจั่นอวิ๋นหยางเพื่อให้เขากลับไปที่กองทัพก่อนกำหนด

หลังได้รับข่าวนี้ จั่นอวิ๋นหยางก็ไม่แม้แต่จะเก็บสัมภาระข้าวของ เลือกจะออกจากคฤหาสน์ด้วยประตูข้างของเรือนด้านหลังนี้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เพิ่งจะได้เจอกู่จวิ้นก็เห็นเยี่ยเหมยเดินตัวปลิวออกจากประตู เดิมทีถ้านางจากไปเงียบๆ ก็ช่างเถอะ แต่ดันมีชายนักเลงที่ไม่รู้กาลเทศะสองคนโผล่มา เขาห่วงว่าเยี่ยเหมยจะได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งกลัวว่าถ้าเยี่ยเหมยร้องโหวกเหวกขึ้นมา เขาก็ไม่กล้ารับรองว่าจะไม่ถูกคนในคฤหาสน์พบร่องรอยเขาเข้า

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันลงมือช่วยเหลือ เยี่ยเหมยก็แสดงด้านสุขุมเปี่ยมไหวพริบออกมาทำให้เขาตะลึงไม่หยุด แม้จะนับถือในไหวพริบของนางและยังอยากจะดูว่านางยังมีลูกไม้อะไรอีกหรือไม่ หากแต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะลงมือช่วยคน

ต่อให้เป็นยุคอนาคตที่ชายหญิงคบหามีความสัมพันธ์กันยุ่งเหยิงวุ่นวาย เยี่ยเหมยก็ยังไม่เคยอยู่ใกล้ผู้ชายขนาดนี้ เวลานี้ถูกคนกอดไว้ในอ้อมแขน ซ้ำข้างหูยังมีเสียงนุ่มที่เขาจงใจลดเสียงเบาลงอีก รวมถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดใบหูทำให้นางรู้สึกทั้งร้อนทั้งจักจี้ ทว่าปากถูกปิดอยู่ทำให้ส่งเสียงออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงขยุกขยิกตัวไปมาให้จั่นอวิ๋นหยางปล่อยตัวนาง

แม้ร่างกายของเยี่ยเหมยจะตั้งครรภ์สามเดือนกว่าแล้ว แต่เนื่องจากเมื่อก่อนขาดการบำรุง ส่วนท้องจึงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นเป็นทุนเดิม ยามทั้งสองกอดกันจึงพอเหมาะพอเจาะไร้ใดเทียม ขณะนางไม่ขยับตัว และจั่นอวิ๋นหยางให้ความสนใจความเคลื่อนไหวรอบตัวอยู่จึงยังไม่รู้สึกอะไร แต่ยามนี้นางขยุกขยิกตัวขึ้นมา หน้าอกอันอวบอิ่มเสียดสีกับแผ่นอกเขา อาการชาอ่อนแรงจึงแผ่ลามทั้งตัวทันที

จั่นอวิ๋นหยางอึ้งงันไปน้อยๆ นัยน์ตาเหยี่ยวยิ่งมีสีเข้มขึ้น เขาสูดหายใจลึก มือที่วางอยู่ตรงเอวเยี่ยเหมยออกแรงอย่างเงียบๆ พลางเอ่ยตวาดเบาๆ “อย่าขยับ!”

สองคนอยู่แนบชิดกันเช่นนี้ เยี่ยเหมยย่อมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กายท่อนล่างของเขา นางอึ้งงันไปทันที คราวนี้ไม่เพียงหน้าร้อนซู่ ทั่วทั้งตัวก็แทบจะลุกไหม้เช่นกัน นางทั้งเก้อทั้งเขินจนน้ำตาจะไหลแล้ว

“ฮืออือ” คำว่า “ปล่อยมือ” ถูกนางฝืนพูดออกมาเหมือนเสียงครวญเครือยามอารมณ์หวั่นไหว

เสียงนี้…จั่นอวิ๋นหยางใจกระตุกวาบ เขายังไม่ทันคิดออกว่าเคยได้ยินเสียงอันยากจะลืมนี้จากที่ใดก็พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากในคฤหาสน์สกุลจั่นที่ด้านหลัง เขามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น กล่าวขอโทษ “ล่วงเกินแล้ว” ก่อนจะอุ้มเยี่ยเหมยวิ่งเลาะกำแพงคฤหาสน์ไปทางสะพานศิลาโค้งที่อยู่ไม่ไกล

เยี่ยเหมยรู้สึกเพียงว่าร่างกายลอยอยู่กลางอากาศทันที ทิวทัศน์สองข้างทางเคลื่อนผ่านไปรวดเร็วปานติดปีก ทำเอานางตกใจจนใจเต้นรัว รีบหลับตายกสองแขนโอบเอวเพรียวแน่นมีพลังของจั่นอวิ๋นหยางไว้โดยไม่รู้ตัว

โดยไม่คาดคิด ความฝันวาบหวามที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังมาเนิ่นนานถึงกับจู่โจมเข้ามาในใจอีกครั้ง มันรื้อค้นความรู้สึกคุ้นเคยรางๆ ที่มีต่อมือใหญ่อุ่นร้อนและเสียงบุรุษทุ้มต่ำขึ้นมา ทว่าชั่วครู่ต่อมาเยี่ยเหมยก็โยนความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทิ้งไปไว้เบื้องหลังอีกครั้ง

มาสมัยอาณาจักรต้าฉี่ได้ระยะหนึ่งแล้ว แม้แต่แถบชนบทยังไม่มีที่ให้หญิงท้องก่อนแต่ง นับประสาอะไรกับตระกูลใหญ่ตระกูลโต แม้จะบอกว่าเคราะห์กรรมที่นางประสบก่อนหน้านี้เป็นแผนการร้าย แต่อันที่จริงก็มีต้นเหตุจากความใคร่ของผู้ชายมิใช่หรือไร ผู้ชายธรรมดามีฐานะหน่อยก็หาสามภรรยาสี่อนุ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาคนมั่งมีแล้ว ยิ่งกว่านั้นจั่นอวิ๋นหยางก็น่าจะไม่มีทางเป็นพระเอกในชีวิตนางได้ หรือต่อให้ได้นางก็ไม่มีทางเสียสติไปเกาะแกะคนฐานะสูงกว่าเด็ดขาด

ดังนั้นตอนนี้นางจึงเพียงถือว่าจั่นอวิ๋นหยางเป็นลำต้นไม้ที่มีอุณหภูมิความร้อน ซ้ำยังเป็นลำต้นไม้ที่เพิ่งช่วยนางจากอันตรายด้วย ถึงจะไม่มีความรักฉันชายหญิง แต่เพื่อให้ใช้ชีวิตหลังจากนี้ได้สบายใจ กลับยังคงสานมิตรภาพกันได้

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: