บทที่ 15
‘ผงเสริมกระดูก’ ของเยี่ยเหมยถ้าจะเรียกให้ถูกต้องสมควรเรียกว่า ‘น้ำแกงเสริมกระดูก’ ส่วนผสมหลักคือกระดูกขาจามรี กระดูกหมู และกุ้งฝอยตากแห้ง ทุกวันทุกมื้อเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ กินกับพวกเต้าหู้ นมวัว ไข่ไก่ อาหารที่มีแคลเซียมสูง การบำรุงแคลเซียมระดับเข้มข้นเช่นนี้เห็นผลไว ดูดซึมดี อาจจะแย่กว่าผลจากการใช้ยาบำรุงแคลเซียมในโรงพยาบาล แต่ก็ปลอดภัยกว่า ดูดซึมง่ายกว่า และเหมาะสมกับผู้ป่วยเด็กที่ดูดซึมแคลเซียมได้ไม่ดีที่สุดแล้ว
ทว่าของเหล่านี้ดันเป็นของไม่มีราคา เป็นของกินของชาวบ้านสามัญชนในสายตาสะใภ้ใหญ่จั่น เยี่ยเหมยจึงคิดวิธีใหม่ โดยบดพวกมันเป็นผงเสียเลย อบกุ้งฝอยจนแห้งกรอบแล้วก็บดเป็นผงละเอียด กระดูกทั้งสองชนิดก็ต้มจนเป็นน้ำแกงข้น หลังจากอบจนแห้งก็จะเป็นผง ผงกระดูกกับผงกุ้งแห้งมีสีและกลิ่นไม่เท่าไร ผสมผงกระดูกทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน แล้วใส่ผงกุ้งแห้งลงในอาหารก็จะกลายเป็น ‘ยาตำรับลับ’ แล้ว
เมื่อวางแผนเรียบร้อย เยี่ยเหมยก็พาเกาซื่อฮวามายืนอยู่ต่อหน้าสะใภ้ใหญ่จั่นอีกครั้งอย่างมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม ท่าทางต่างไปจากสองวันก่อน สะใภ้ใหญ่จั่นในวันนี้ดูเซื่องซึมอยู่หลายส่วน หลังจากให้เฝิงหมัวมัวตรวจดูอาการโรคของเกาซื่อฮวาแล้ว ก็ให้ชุนหลันพาเยี่ยเหมยกับเกาซื่อฮวาไปที่เรือนเล็กแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเมือง
เนื่องจากเยี่ยเหมยระบุว่าจะให้ภรรยาต้าเหอเป็นคนซื้อและทำกับข้าว ชุนหลันจึงทิ้งสาวใช้น้อยนามชิวกุ้ยไว้หนึ่งคนเพื่อทำงานจิปาถะและยังเพื่อสอดส่องดูแลด้วย
เยี่ยเหมยรับเงินสิบตำลึงจากสะใภ้ใหญ่จั่นมาจากมือชุนหลัน ในอกมีปณิธานยิ่งใหญ่พรั่งพรูขึ้นมา…
ชาติก่อนข้าหาเงินเลี้ยงชีพคนเดียวได้ ชาตินี้ก็ต้องทำได้เช่นกัน และยังจะทำได้ดีกว่าเดิมเพื่อคนในครอบครัวที่เพิ่มมาด้วย!
สาเหตุที่เกาซื่อฮวาขาดแคลเซียมเป็นเพราะปกติต่อให้ในบ้านมีของอร่อยอะไรก็มักไม่มีส่วนของนาง ไม่ขาดแคลเซียมก็แปลกแล้ว อีกทั้งจากที่เยี่ยเหมยดู เกาซื่อฮวาไม่เพียงแค่ขาดแคลเซียม แต่สังกะสี เหล็ก และสารอาหารอื่นๆ ก็ขาดเช่นกัน อุตส่าห์มีโอกาสดีเช่นนี้ ถ้าไม่ใช้ก็เสียของ นางจะต้องบำรุงเด็กคนนี้ให้ดีให้ได้
เจ็ดวันก่อนขณะเกาซื่อฮวามาคฤหาสน์สกุลจั่น ประจวบเหมาะกับเกิดเรื่องจั่นอวิ๋นหยางทิ้งจดหมายแล้วออกจากบ้านไปโดยไม่ลาอีกครั้งพอดี จั่นเจียงฉือโมโหจนด่ากราดชุดใหญ่ ลมตีขึ้นมาอัดอยู่ในอกจนหวิดหายใจไม่ออก ทำเอาโกลาหลวุ่นวายไปทั้งคฤหาสน์ แต่แม้จะอยู่ในสถานการณ์ชวนยุ่งเช่นนั้น สะใภ้ใหญ่จั่นก็ยังมองออกได้ว่าเกาซื่อฮวาทั้งผอมทั้งตัวเหลือง บนศีรษะมีเส้นผมสีอ่อนยุ่งเหยิง สีหน้าดูทึ่มทื่อ คนชั้นต่ำเช่นนี้แค่สะใภ้ใหญ่จั่นเห็นยังระคายสายตา เรื่องตรวจดูหน้าอกจึงให้เฝิงหมัวมัวทำแทน
ยามนี้เพิ่งจะผ่านไปเพียงเจ็ดวัน เกาซื่อฮวาที่อยู่ตรงหน้ากลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน บนตัวยังคงเป็นเสื้อบุนวมตัวเล็กลายพร้อยตัวนั้น อีกทั้งร่างกายก็ยังดูผ่ายผอมบอบบาง ทว่าแค่มองไปก็รู้แล้วว่าไม่เหมือนเดิม สีหน้าไม่ได้ซีดเหลืองแล้ว แต่กลับขาวอมชมพู ดวงตาที่ดำขาวแยกชัดดูมีชีวิตชีวา ไม่เห็นเพียงไม่กี่วันเส้นผมก็กลายเป็นเรียบลื่นดำขลับ
สะใภ้ใหญ่จั่นลุกขึ้นเดินมาหยุดข้างเกาซื่อฮวาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ ก่อนยื่นมือมาจะแตะหน้าอกอีกฝ่าย
เห็นดังนี้เยี่ยเหมยก็อดจะขมวดคิ้วไม่ได้ รีบปราดมาข้างหน้าสะใภ้ใหญ่จั่น ย่อตัวลงถามเกาซื่อฮวา “ซื่อฮวา ให้ฮูหยินท่านนี้ดูคอของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”
สะใภ้ใหญ่จั่นชะงักค้างอยู่ที่เดิม เกาซื่อฮวายิ้มให้นางก่อนปลดกระดุมบนเสื้อบุนวมด้วยตนเอง “ฮูหยิน ท่านดูเถิดเจ้าค่ะ พี่อาเหมยให้ข้ากินยาทุกวัน ตรงนี้เดิมทีโป่งออกมา ไม่น่ามองอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ใกล้จะเรียบแล้ว”
สะใภ้ใหญ่จั่นไหนเลยจะรู้ว่าหน้าอกเกาซื่อฮวาโป่งนูนขนาดไหน เพียงแต่ความจริงที่เห็นน่าประหลาดใจเกินไป นางแค่อดจะตื่นเต้นในใจไม่ได้เท่านั้น พอเกาซื่อฮวาเปิดปากพูด นางก็กลับไปมีท่าทีเย็นชาเช่นเดิม
เฝิงหมัวมัวที่ด้านข้างระงับใจไม่อยู่นานแล้ว รีบยื่นมือมาจับดูแล้วก็กล่าวกับสะใภ้ใหญ่จั่นด้วยอาการแตกตื่นดีใจ “สะใภ้ใหญ่ เป็นความจริงเจ้าค่ะ นี่เพิ่งจะเจ็ดวันเท่านั้นเอง!”
“เด็กอายุหกเจ็ดขวบเพิ่งจะเริ่มผลัดฟัน ถ้าบำรุงในเวลานี้…จนหายจากอาการขาดสารอาหาร ฟันที่จะขึ้นใหม่ก็จะขาวสะอาดเป็นระเบียบ” เยี่ยเหมยรู้สึกว่าเฝิงหมัวมัวคิดจะยกมือจับเกาซื่อฮวามาตรวจดูปาก นางจึงยื่นมือไปขวางไว้ทันที
นางให้เกาซื่อฮวามาเป็น ‘คนลองยา’ ก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว ย่อมจะไม่อยากให้เกาซื่อฮวาต้องถูกคนแตะต้องตัวตามอำเภอใจเหมือนสัตว์เลี้ยงอีก
เฝิงหมัวมัวได้แต่เก็บมือกลับแล้วถอยไปอยู่ข้างๆ
สะใภ้ใหญ่จั่นยืนดูซื่อฮวาอยู่ที่เดิม ผ่านไปเป็นนานก็พลันยิ้มให้เยี่ยเหมยอย่างนับว่าสนิทสนมอบอุ่น “แม่นางเยี่ย ไม่ทราบว่าหนึ่งครั้งเจ้าสามารถทำยาออกมาได้กี่ชุด”
ของที่ใช้ทำทั้งหมดล้วนเป็นของกิน เยี่ยเหมยไม่กล้ารับประกันกำหนดเวลาหมดอายุ โชคดีที่ตอนนี้เพิ่งเริ่มฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิไม่สูง หลังทำเป็นผงแล้วสามารถเก็บรักษาได้หนึ่งสัปดาห์ ด้วยเหตุนี้เวลาเดียวกับที่บำรุงแคลเซียมให้เกาซื่อฮวา นางก็ได้เตรียมวัตถุดิบไว้อีกจำนวนหนึ่งด้วย สามารถให้เด็กคนหนึ่งกินได้ถึงเจ็ดวัน
ทว่าขณะสะใภ้ใหญ่จั่นเอ่ยถามถึง เยี่ยเหมยกลับไม่ได้บอกออกมาหมดเปลือก เพียงแต่บอกว่ายาตำรับลับมีขั้นตอนการทำซับซ้อน ลองทำดูในไม่กี่วันมานี้ก็เพิ่งจะได้ปริมาณเพียงเด็กหนึ่งคนกินสามวัน
สุดท้ายเยี่ยเหมยยังไม่ลืมเตือนสะใภ้ใหญ่จั่นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่าข้อห้ามของยาตำรับลับจากบรรพบุรุษของบ้านข้านี้มีจำนวนมาก ถ้าสะใภ้ใหญ่จั่นเชื่อถือในตำรับยานี้ของข้า ก็ช่วยปฏิบัติตามกฎในการกินด้วย…”
คาดไม่ถึงว่านางยังพูดไม่ทันจบ สะใภ้ใหญ่จั่นจะโบกมือ “ถ้าเช่นนี้ข้าจะให้เฝิงหมัวมัวกับชุนหลันพาชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ไปอยู่ที่เรือนเล็กกับเจ้า ตามที่ตกลงก่อนหน้านี้ ขอเพียงอีกหนึ่งเดือนเห็นว่าอาการเด็กทั้งสองดีขึ้นชัดเจน ข้ายินดีจะเพิ่มค่ายาให้เป็นสองเท่า”
“เรื่องนี้…” ไม่ใช่ที่ตกลงกันไว้ก่อนนี่!
เยี่ยเหมยอยากพูดเช่นนี้นัก หากแต่เห็นได้ชัดว่าสะใภ้ใหญ่จั่นก็นึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นได้ จึงชิงสัญญาตัดหน้าเยี่ยเหมยโดยไม่ให้ปฏิเสธ “เฝิงหมัวมัวกับชุนหลันจะไม่ลอบดูเจ้าทำยาตำรับลับแน่นอน เพียงแต่จะพาคนไปดูแลชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ หลังจากหนึ่งเดือนเจ้าก็ยังคงขายยาของเจ้าต่อไป”
คราวนี้เยี่ยเหมยเข้าใจแล้ว สะใภ้ใหญ่จั่นคิดจะไม่ให้นางกลับคำ แต่เมื่อต้องการได้เงินของผู้อื่น ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าผู้อื่นนิสัยแย่ก็ยังต้องอดทนไว้ ด้วยเหตุนี้เยี่ยเหมยจึงไม่พูดอะไรอีก รับการจัดการนี้อย่างยอมรับชะตากรรม
เนื่องจากจั่นชิงฮุยและจั่นเยี่ยเอ๋อร์จะย้ายไปอยู่เรือนเล็กด้วย เยี่ยเหมยจึงพาเกาซื่อฮวาออกจากคฤหาสน์สกุลจั่นไปซื้อหาของมาทำอาหารเย็นกับภรรยาต้าเหอก่อน ตั้งแต่เย็นนี้เป็นต้นไป นางต้องดูแลเด็กขาดแคลเซียมรุนแรงถึงสามคนแล้ว
เยี่ยเหมยเพิ่งออกประตูไป เฝิงหมัวมัวก็เอ่ยถามสะใภ้ใหญ่จั่น “สะใภ้ใหญ่ เหตุใดต้องใจร้อนเช่นนี้เจ้าคะ เด็กคนนั้นเพิ่งจะกินยาได้เจ็ดวัน เวลาสั้นเพียงนี้ก็ให้คุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กกินแล้ว เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
หลังจากเยี่ยเหมยเดินจากไปแล้วสะใภ้ใหญ่จั่นก็มีสีหน้าอึมครึม พอได้ยินเฝิงหมัวมัวถามจึงกวาดดวงตาคมกริบมองบรรดาบ่าวหญิงรับใช้ในห้อง
เห็นดังนี้ ชุนหลันก็นำเหล่าบ่าวไพร่คารวะก่อนถอยออกจากห้องทั้งหมด
ครั้นในห้องเหลือเพียงนางกับเฝิงหมัวมัว สะใภ้ใหญ่จั่นถึงได้ถอนหายใจหนักๆ “หมัวมัว เมื่อคืนท่านใหญ่เปรยเรื่องรับอนุกับข้า”
“เขากล้า! เขาเป็นเพียงบุตรชายสายรองของตระกูลพ่อค้า สามารถแต่งธิดาเจ้าเมืองได้ก็ไม่รู้เป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมากี่ชาติภพแล้ว อีกทั้งตอนที่หมั้นหมายเขาก็เคยรับปากคุณหนูเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าจะไม่รับอนุไปชั่วชีวิต นี่เพิ่งจะผ่านมากี่ปีเอง” เฝิงหมัวมัวได้ยินเช่นนี้ก็อดจะเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้ ชี้ประตูด่าจนน้ำลายกระเซ็น ท่าทางโมโหยิ่งกว่าสะใภ้ใหญ่จั่นเองเสียอีก
สะใภ้ใหญ่จั่นเบ้าตาเรื่อแดง พูดเสียงกระซิบ “ยังคงเป็นหมัวมัวที่รักข้า แต่หมัวมัวก็รู้อาการของชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าหมอคนใดบอกเขาว่านี่อาจจะเป็นโรคที่มาจากทางสกุลอวี๋ของพวกเรา”
ครั้นนางพูดเช่นนี้ เฝิงหมัวมัวก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรแล้ว เจ้าเมืองอวี๋ปิดให้ตายก็ปิดญาติสนิทไม่อยู่
สะใภ้ใหญ่จั่นยังมีพี่ชายอีกสองคน ล้วนแต่อายุสิบกว่าแล้วก็ยังยืนไม่ได้ หน้าตาท่าทางก็เหมือนปัญญาอ่อน อุตส่าห์เลี้ยงมาถึงอายุสิบสองสิบสามได้กลับจากไปก่อนวัยอันควร เจ้าเมืองอวี๋กับภรรยาเอกของเขาจึงเหลือเพียงสะใภ้ใหญ่จั่นเป็นบุตรสาวสายตรงคนเดียว จนฮูหยินเจ้าเมืองอายุเลยสี่สิบ เจ้าเมืองอวี๋ถึงได้รับอนุมาคนหนึ่ง
อนุคนนี้เข้าจวนมาก็ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝด บัดนี้อายุหกขวบ เฉลียวฉลาดหัวไว ทำให้ยิ่งเห็นชัดว่าสายเลือดทางฮูหยินเจ้าเมืองมีปัญหา ถ้ามิใช่ฮูหยินเจ้าเมืองเป็นญาติผู้น้องแท้ๆ ของเจ้าเมืองอวี๋ ไม่แน่อาจจะถูกหย่าไปนานแล้ว เรื่องนี้ผู้ที่สนิทกับเจ้าเมืองอวี๋ล้วนรู้กันทั้งสิ้น
แม้ว่าเรื่องที่สะใภ้ใหญ่จั่นให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวร่างกายบกพร่องให้แก่จั่นอวิ๋นเผิงจะถูกปิดไว้อย่างมิดชิด แต่ก็ยังมีข่าวลือที่ข้างนอกไม่น้อย
หลังเงียบไปครู่ใหญ่ สะใภ้ใหญ่จั่นก็ถอนใจพลางพูดเสียงเบาอีกว่า “หมัวมัว ท่านว่าถ้าตอนนั้นข้าเลือกคุณชายสุยเฟิง ตอนนี้จะมีชีวิตสบายเป็นสุขกว่านี้หรือไม่”
คำถามนี้ทำเอาเฝิงหมัวมัวตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูก นางมองซ้ายขวาปราดหนึ่งก่อนว่า “ท่านจะพูดเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ เรื่องนี้ล้วนต้องโทษท่านรอง บุตรชายสายตรงของคหบดีจั่นมีอะไรไม่ดีกัน แต่เขากลับปิดบังฐานะ อาศัยความรู้ความสามารถหากิน ให้ใต้เท้าเลือก อย่างไรก็ไม่มีทางเลือกบัณฑิตที่ไร้วาสนากับวงการขุนนาง ทั้งยังยากจนข้นแค้นหรอกเจ้าค่ะ ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็น…เฮ้อ”
มุมปากสะใภ้ใหญ่จั่นอดจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นไม่ได้ “ปิดบังๆ ถึงตอนนี้เขาก็ยังอยากปิดบัง แล้วยังมีหลินฟางเฟยที่หน้าไม่อายนั่นอีก นางนึกว่าทำ…กับอวิ๋นหยางที่คฤหาสน์นอกเมืองแล้วก็จะนั่งตำแหน่งสะใภ้รองสกุลจั่นได้มั่นคงหรือไร ฝันไปเถอะ! หมัวมัว ท่านว่าถ้าคนในเมืองเซิ่งโจวรู้ว่าคุณชายสุยเฟิงคือจั่นอวิ๋นหยาง ท่านรองของคฤหาสน์สกุลจั่นเรา ธรณีประตูจะถูกแม่สื่อเหยียบพังหรือไม่ ถึงเวลานั้นก็คอยดูว่าท่านพ่อจะคิดหาทางเปลี่ยนการหมั้นหมายให้เขาใหม่หรือเปล่า”
แม้นางจะนับว่าถอดใจจากจั่นอวิ๋นหยางแล้ว แต่สะใภ้ใหญ่จั่นก็ไม่อยากได้หลินฟางเฟยมาเป็นน้องสะใภ้แม้แต่นิดเดียว ถึงขนาดรู้สึกว่าไม่มีใครคู่ควรกับจั่นอวิ๋นหยางทั้งนั้น
เฝิงหมัวมัวกลอกลูกตา วางใจลงได้เล็กน้อยในที่สุด “มิน่า ท่านถึงจะส่งคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กไปรักษาที่เรือนเล็ก ถือโอกาสนี้ทำให้คนสนใจเรื่องทางนั้น พอหันมาอีกทีคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กของพวกเราก็ไม่เหลืออาการป่วยแล้ว นายท่านกับท่านใหญ่จะต้องตกใจแน่นอน”
“เรื่องตกใจอะไรข้ากลับไม่เคยคิด เพียงแต่อยากให้ชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์หายดีเท่านั้นเอง” สะใภ้ใหญ่จั่นพูดมามากขนาดนี้ ประโยคปิดท้ายกลับดูท่าทางเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด ทว่าในห้องก็มีแค่นางกับเฝิงหมัวมัว ไม่เพียงไม่ถูกเหลือกตาใส่ แต่ยังทำให้เฝิงหมัวมัวซึ้งใจน้ำตาแทบไหล
เฝิงหมัวมัวหลังจากเช็ดน้ำตาตรงหางตาแล้ว ก็แสดงความจงรักภักดีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา “วางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะปรนนิบัติคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กอย่างดีแน่นอน”
เรื่องรักษาอาการป่วยให้ลูกทั้งสองสะใภ้ใหญ่จั่นมิได้บอกอะไรกับคนสกุลจั่นมาก ลูกสองคนกับบ่าวไพร่ราวสิบคนก็ย้ายไปอยู่เรือนเล็กที่จัดไว้ให้เยี่ยเหมยก่อนหน้านี้อย่างเงียบเชียบเช่นกัน เรือนเล็กๆ จึงเบียดเสียดยัดเยียดขึ้นมาทันที
ดีที่เยี่ยเหมยคุ้นเคยกับรูปแบบโครงสร้างของที่นี่แล้ว เมื่อคนเหล่านี้มาถึงก็ถูกนางจัดให้พักที่เรือนหลักและเรือนปีกตะวันออก ส่วนนางกับเกาซื่อฮวาและภรรยาต้าเหอยังคงครอบครองปีกตะวันตก
เรือนปีกตะวันออกตะวันตกต่างมีครัวของตนเอง เยี่ยเหมยอนุญาตให้เพียงจั่นชิงฮุยกับจั่นเยี่ยเอ๋อร์กินข้าวกับพวกตน นอกจากเฝิงหมัวมัวกับชุนหลันแล้ว คนที่เหลือถ้าไม่มีธุระก็ห้ามเข้ามาในเรือนปีกตะวันตกเด็ดขาด
แสงอาทิตย์ต้นฤดูใบไม้ผลิมีประโยชน์ต่อคนมากที่สุด หลังจากจั่นชิงฮุยและจั่นเยี่ยเอ๋อร์ย้ายมาอากาศถ่ายเทค่อนข้างดี เช้าวันรุ่งขึ้นดวงอาทิตย์ลอยขึ้นทางตะวันออกแต่เช้าตรู่ สาดส่องภายในลานเรือนจนเป็นสีทอง
เกาซื่อฮวาเคยชินกับการยกม้านั่งยาวออกมานอนในวันอากาศเช่นนี้แล้ว ด้านหน้าอาบแดดเสร็จก็พลิกตัวอาบด้านหลัง พอแสงอาทิตย์เริ่มแรงขึ้นก็ยังถอดรองเท้าถุงเท้าให้มือเท้าได้โดนแดด ถ้ามิใช่เพราะนางเริ่มโตแล้ว เยี่ยเหมยอาจจะให้นางอาบส่วนก้นด้วย
ภรรยาต้าเหอต้มน้ำเต้าหู้เข้มข้นอยู่ในครัว และยังต้มไข่ไก่อีกหม้อเล็ก เยี่ยเหมยตื่นขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นหอมของน้ำเต้าหู้ ลูบท้องน้อยที่นูนขึ้นมานิดๆ แล้ว เมื่อแน่ใจว่าตนเองยังคงอยู่ในสมัยราชวงศ์ต้าฉี่และทักทายลูกในท้องแล้วก็ค่อยๆ สวมเสื้อผ้าเดินลงจากเตียง
ขณะล้างหน้าบ้วนปาก เยี่ยเหมยมองลอดหน้าต่างออกไปเห็นเกาซื่อฮวาที่รู้ความก็อดจะแย้มยิ้มไม่ได้ ก่อนจะร้องบอกไปทางห้องครัวที่อยู่ไม่ไกลว่า “อาสะใภ้ต้าเหอ ยกข้าวเช้าไปกินข้างนอกพลางอาบแดดกันเถอะ”
เพิ่งจะเดินออกจากห้อง เยี่ยเหมยก็เห็นด้านล่างระเบียงทางเดินฝั่งตรงข้ามมีสาวใช้สองสามคนกำลังยืนขดตัวอยู่ในมุมประหนึ่งกลัวผิวโดนแดด พลางชี้ไม้ชี้มือซุบซิบนินทามาทางนี้
นางขมวดคิ้วมองไปทางห้องใหญ่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ อย่างที่คิดไว้ จึงได้แต่ประคองเอวลุกขึ้นเดินไปหน้าประตูห้องใหญ่ “เฝิงหมัวมัว พาคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กของท่านออกมาตากแดดกินข้าวเช้าได้แล้ว”
“คุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กของพวกข้าไม่เหมือนกับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเจ้า ผิวอ่อน ทนแดดไม่ได้” เฝิงหมัวมัวอุ้มจั่นเยี่ยเอ๋อร์วางลงในรถเข็นเด็กที่เยี่ยเหมยทำมาเรียบร้อยพลางเบะปาก คิดในใจว่าคนบ้านนอกไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย
“เฝิงหมัวมัว ท่านว่าเยี่ยเอ๋อร์เป็นเจ้านายหรือท่านเป็นเจ้านาย” เยี่ยเหมยนั่งลงข้างเกาซื่อฮวา หรี่ตามองไปทางห้องใหญ่ก่อนพลันถามขึ้น
“คุณหนูเล็กย่อมจะเป็นเจ้านายอยู่แล้ว” เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย ใครกล้าแสดงอาการไม่เคารพต่อคุณชายน้อยและคุณหนูเล็กแม้แต่นิดเดียว กลับไปล้วนไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่
“เช่นนั้นท่านก็ต้องฟังคำของเจ้านายท่าน” เยี่ยเหมยยื่นมือไปหาจั่นเยี่ยเอ๋อร์ “เยี่ยเอ๋อร์ เจ้าอยากมาเล่นกระโดดเชือกกับพี่สาวหรือไม่”
เกาซื่อฮวาเองก็มีไหวพริบ เยี่ยเหมยเพิ่งจะพูดจบ นางก็หยิบเชือกปอมากระโดดไปสองสามทีแล้ว เชือกผูกผมแดงบนศีรษะสะบัดปลิวตามไปด้วย ดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษภายใต้แสงอาทิตย์
ไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ จั่นเยี่ยเอ๋อร์ก็เอียงตัวออกมานอกรถเข็นกว่าครึ่งแล้ว ปากร่ำร้องไม่หยุด “อยากๆๆๆ”
“เฝิงหมัวมัว ก่อนมาท่านก็ได้ยินที่ข้าพูดกับสะใภ้ใหญ่จั่นแล้ว ในเมื่อพวกท่านส่งคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กมาให้ข้ารักษา ทุกอย่างก็ต้องฟังข้า ถ้าท่านไม่ยอมฟัง เช่นนั้นก็เชิญพาคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กของพวกท่านกลับคฤหาสน์สกุลจั่นไปเถอะ ข้าก็จะเก็บของกลับบ้านนอกไปทำไร่ไถนาเช่นกัน”
เยี่ยเหมยเห็นจั่นชิงฮุยที่ชุนหลันประคองอยู่มองมาข้างนอกนี้ด้วยสายตาใฝ่ฝันเช่นกัน แต่สีหน้ากลับขลาดกลัว ในใจก็นึกโกรธขึ้นมาทันที ได้ยินว่าพอสามขวบเด็กคนนี้ก็ไม่ค่อยได้ออกจากห้องเท่าไร ถึงจะออกมาก็ต้องห่อตัวมิดชิดจนลมไม่เข้า ทั้งไม่ได้สัมผัสโลกภายนอก ทั้งไม่ให้โลกภายนอกได้สัมผัสเขา
เฝิงหมัวมัวยังคงลังเล ยามนั้นเองชุนหลันกลับกระซิบโน้มน้าวนาง “หมัวมัว เมื่อคืนคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กนอนหลับสนิทอย่างยิ่ง”
นี่เป็นความจริง ตอนเย็นหลังจากกินอาหารเด็กที่เยี่ยเหมยทำให้โดยเฉพาะ ซึ่งมีสีสันสวยงามหลายหลาก รูปแบบและพิเศษไม่เหมือนที่อื่นลงไป เด็กสองคนจึงกิน ‘ยา’ เข้าไปได้ไม่น้อย ครั้นขึ้นเตียง ทำกายบริหารย่อยอาหารตามที่เยี่ยเหมยชี้แนะและดื่มนมวัวลงไปถ้วยหนึ่งแล้ว เมื่อคืนก็หลับสนิททั้งคืนอย่างหาได้ยากยิ่ง
เฝิงหมัวมัวงงงันไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งรถเข็นให้สาวใช้อีกคนและหันหลังเดินกลับห้องไป “ข้าจะไปเก็บกวาดห้อง”
ชุนหลันหัวเราะเบาๆ ให้เยี่ยเหมย พลางเรียกสาวใช้นางนั้นให้เข็นรถเข็นออกมาลานเรือนที่พื้นราบเรียบ
“พวกเจ้าสองคนไปย้ายโต๊ะในห้องออกมา ชิวกุ้ยช่วยอาสะใภ้ต้าเหอยกข้าวเช้ากับยาของคุณชายน้อยคุณหนูเล็กออกมาด้วย” เยี่ยเหมยถือคติว่ามีทรัพยากรก็ต้องใช้ประโยชน์ นางเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านเฉื่อยชา กำกับสาวใช้ของสกุลจั่นให้วางโต๊ะวางอาหาร
เยี่ยเหมยลูบท้องเบาๆ มองดูเหล่าสาวใช้ที่เมื่อครู่ยังไปยืนแอบอยู่ด้านหนึ่งพลางซุบซิบวิจารณ์นาง ทำตามคำสั่งทุกอย่างภายใต้สายตาของชุนหลัน ถอนหายใจพูดกับลูกในใจ
ลูกเอ๋ย ดูท่าแม่ยังต้องพยายามหาเงินให้มากขึ้น ต่อไปพวกเราจะได้มีชีวิตที่ดีเช่นนี้
“ชุนหลัน อันที่จริงเจ้าให้เยี่ยเอ๋อร์ไปเล่นในรถหัดเดินก็ได้” เยี่ยเหมยเห็นชุนหลันรับเรื่องต่างๆ ได้ดี ภายในเวลาเพียงสั้นๆ นางถึงกับวางใจให้จั่นชิงฮุยกินข้าวเองตามอย่างเกาซื่อฮวา ส่วนตัวนางเพียงแต่ยกชามเล็กชามหนึ่งป้อนจั่นเยี่ยเอ๋อร์ ‘กินยา’ เยี่ยเหมยก็อดจะให้คำแนะนำที่ตรงกับปัญหาแก่นางไม่ได้
“ไม่ได้ คุณหนูเล็กกะโหลกศีรษะอ่อน เดี๋ยวชนนั่นชนนี่จะทำอย่างไร” เฝิงหมัวมัวหยุดไปได้ครู่เดียวก็กระโดดออกมาใหม่
เมื่อครู่นางโวยวายเรื่องอาหารบนโต๊ะ ตอนบอกว่ายังดีไม่เท่าที่บ่าวไพร่สกุลจั่นกิน เยี่ยเหมยก็พยายามอดกลั้นแล้ว แต่คราวนี้เยี่ยเหมยต้องวางตะเกียบ “เฝิงหมัวมัว ท่านจะกลับไปแล้วเปลี่ยนคนที่ไม่พูดมากมา หรือท่านจะอยู่เงียบๆ โปรดเลือก”
“เจ้า…เจ้าเป็นแค่หญิงบ้านนอก อย่านึกว่าสามารถรักษาคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กได้ก็จะได้ใจไป” เฝิงหมัวมัวโมโหจนหน้าแดงก่ำ
ควรต้องรู้ว่านางนับว่าเป็นคนที่มีปากมีเสียงต่อหน้าสะใภ้ใหญ่จั่น บ่าวหญิงในสกุลจั่นมีใครไม่ต้องมองสีหน้านางบ้าง แม้แต่เรือนด้านหลังของจวนเจ้าเมืองอวี๋เจ้านายคนก่อน นางก็ยังเดินกร่างได้ ใครจะรู้ว่ามาถึงเรือนเล็กนี้จะถึงกับถูกเยี่ยเหมยต่อว่าต่อขานครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้แม้แต่คำขู่ก็ยังตามออกมา แล้วนางจะยังเหลือศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรต่อหน้าคนที่พามาด้วย
“ถูกต้อง ท่านพูดถูกต้อง ข้าเป็นแค่หญิงบ้านนอกที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ดันรักษาโรคของเด็กเป็น ข้ายโสโอหัง ข้าถือดีด้วยเรื่องนี้ ถ้าท่านขัดตาก็กลับไปบอกเจ้านายท่านให้เปลี่ยนข้าเป็นคนอื่นเสียสิ” เยี่ยเหมยหักใจไม่ยอมปล่อยเฝิงหมัวมัวให้ทำตามต้องการอีก ถ้านางอยู่ด้วย เกิดขณะเด็กเล่นชนกระแทกอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่านางจะโวยวายขนาดไหน
“เจ้าๆๆๆ…” เยี่ยเหมยไม่รู้ว่าสะใภ้ใหญ่จั่นต้องทุ่มแรงกายแรงใจไปมากเท่าไรเพื่อรักษาลูก และตอนนี้อยากรักษาพวกเขาให้หายดีมากเพียงไร แต่เฝิงหมัวมัวรู้ดีทุกอย่าง ทว่านางมีฐานะเป็นแม่นมที่มาจากจวนเจ้าเมือง ทั้งยังขัดตาที่เห็นเยี่ยเหมยเลี้ยงคุณชายน้อยและคุณหนูเล็กเหมือนเด็กชนบทจริงๆ เมื่อพิจารณาชั่งน้ำหนักดูแล้ว เฝิงหมัวมัวก็หันหลังเดินออกจากเรือน “ข้าจะทำให้หญิงบ้านนอกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างเจ้าต้องเสียใจภายหลังแน่นอน!”
“เฝิงหมัวมัวเดินดีๆ ข้าไม่ส่งล่ะ” เยี่ยเหมยแค่นเสียงเบาๆ ก่อนหันหน้ามาตบแก้มป่องของเยี่ยเอ๋อร์เบาๆ “เยี่ยเอ๋อร์ อยากไปเด็ดดอกไม้ตรงนั้นเองหรือไม่”
นางไม่เก็บเรื่องที่เฝิงหมัวมัวเดินออกไปมาใส่ใจแม้แต่น้อย กลับเป็นชุนหลันที่ได้สัมผัสคลุกคลีกับเยี่ยเหมยมาหลายครั้ง รู้สึกว่าเยี่ยเหมยแตกต่างจากหญิงชนบททั่วไป จึงคิดจะเตือนนางสักหน่อย “แม่นางเยี่ย เฝิงหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ในจวนใต้เท้าเจ้าเมือง ลูกชายนางตอนนี้ยังเป็นพ่อบ้านรองของจวนเจ้าเมืองด้วย”
“ไม่เป็นไร ต่อให้ใต้เท้าเจ้าเมืองมา ข้าก็จะถามเขาว่ายังอยากเห็นหลานแข็งแรงอยู่หรือไม่” ภพก่อนเยี่ยเหมยมิใช่ไม่เคยเจอผู้ใหญ่ที่รักและตามใจเด็ก แต่แค่บอกเหตุผลกันให้เข้าใจ คนที่ฉลาดเฉียบแหลมสายตากว้างไกลย่อมแยกแยะผลดีผลเสียได้ชัดเจน มีก็แต่คนโง่เหมือนเฝิงหมัวมัวที่มองดีเลวไม่ออก ถ้าสะใภ้ใหญ่จั่นเป็นคนประเภทนั้น เช่นนั้นก็หมดหนทางแล้ว
สะใภ้ใหญ่จั่นย่อมจะไม่โง่เขลาเหมือนอย่างเฝิงหมัวมัว ในเมื่อตัดสินใจมอบเด็กไว้ในมือเยี่ยเหมยหนึ่งเดือนก็แสดงว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว นางไม่กล้าคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงได้มากมาย สามารถเปลี่ยนแปลงได้เท่าเกาซื่อฮวา นางก็พอใจแล้ว
ส่วนเรื่องว่าเฝิงหมัวมัวเป็นคนเช่นไรนั้น สะใภ้ใหญ่จั่นย่อมรู้ดียิ่ง หลังจากปลอบอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำไพเราะน่าฟังแล้ว สะใภ้ใหญ่จั่นก็ไม่ส่งคนไปคุมเรือนเล็กอีก เพียงแต่ให้ชุนเถานำปิ่นเงินประณีตงดงามอันหนึ่งไปให้เยี่ยเหมย
เยี่ยเหมยรับปิ่นมาอย่างเปิดเผยท่ามกลางแววตาลังเลของชุนเถาก่อนเอ่ยขอบคุณ ทำเอาชุนเถากลับไปร่วมแนวรบกับเฝิงหมัวมัวด้วยความโมโห ถ้าอีกครึ่งเดือนคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร พวกนางสองคนก็จะจัดการเยี่ยเหมยให้น่าดูชม
มิใช่ว่าเยี่ยเหมยมองความคิดอยากขอรางวัลของชุนเถาไม่เข้าใจ เพียงแต่เยี่ยเหมยให้เกียรติคนที่ไม่ให้เกียรติตนเองพรรค์นั้นไม่ลง ถ้าชุนเถามีนิสัยได้ครึ่งของชุนหลัน เยี่ยเหมยก็คงไม่งกเงินรางวัลเพียงเศษตำลึง น่าเสียดายที่หางคิ้วหางตานางส่อแววรังเกียจเดียดฉันท์ แล้วจะให้เยี่ยเหมยยินดีให้รางวัลอีกฝ่ายได้อย่างไร
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments