X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักสามีสกุลดี สตรีมากวาสนา

ทดลองอ่าน สามีสกุลดี สตรีมากวาสนา บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 2

น่าเสียดายที่ตั้งแต่ต้นจนจบความปรารถนายังคงเป็นเพียงความปรารถนา หาได้กลายเป็นความจริงไม่

หลังเยี่ยเหมยหลับไปไม่เพียงไม่ได้ความทรงจำใดๆ มาสักกระผีก แต่ยังฝันถึงความฝันวาบหวามที่น่ากลัวขณะตกน้ำอีกครั้ง พอเธอตื่นขึ้นมาก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงเตา ในสมองไม่มีอะไรเพิ่มมา แต่ร่างกายนี้กลับเหมือนผ่านการวิ่งมาสามพันเมตร เธอเหงื่อโชกไปทั้งตัว เหนื่อยจนแทบกระอัก

ครั้นเลิกผ้าห่มพลิกตัวก็ได้ยินเสียงที่แหบพร่าอยู่บ้างของอี๋เหนียงสี่เอ่ยถามอยู่ริมหู “อาเหมย เจ้าตื่นแล้ว รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

เยี่ยเหมยฟังดูอย่างละเอียด พบว่าภายในห้องมีตนเองกับอี๋เหนียงสี่เพียงสองคน เดิมคิดจะส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นอะไร กลับพลันเปลี่ยนเป็นแสดงสีหน้าเจ็บปวดทรมานออกมา อีกทั้งยังใช้มือข้างหนึ่งอังศีรษะ “ข้า…ข้าปวดหัว”

“เป็นอะไรไป” อี๋เหนียงสี่ปราดมาอยู่ข้างเยี่ยเหมย ตรวจดูศีรษะเธออย่างละเอียดด้วยความกังวลทันที

สองมืออันอบอุ่นและน้ำเสียงเป็นห่วงกังวลทำให้มีความรู้สึกอบอุ่นแผ่ขึ้นมาในใจเยี่ยเหมย ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันเธอเป็นเด็กกำพร้า อายุสิบหกจบมัธยมต้นก็ต้องเริ่มทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ช่วยคนอื่นซักผ้า ทำกับข้าว เลี้ยงเด็ก ต้องฟังคำบ่นของนายจ้างอยู่เสมอ เพิ่งเคยได้สัมผัสความเอาใจใส่ที่อบอุ่นแบบนี้เป็นครั้งแรก เธอไม่อยากโกหกอี๋เหนียงสี่ที่ให้ความอบอุ่นกับเธอ เพียงแต่ถ้าไม่โกหก เธออาจจะต้องสูญเสียแม้แต่ความอบอุ่นเล็กๆ นี้ไป

เยี่ยเหมยคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากว่า “ท่านแม่ อันที่จริงเมื่อคืนข้าเกือบตายอยู่ก้นบึงแล้วจริงๆ…”

“ชู่ว…เบาเสียงหน่อย” ถึงจะรู้ว่าในห้องไม่มีใครอื่น แต่อี๋เหนียงสี่ก็ยังเอามือปิดปากเยี่ยเหมยไว้ มองซ้ายมองขวาด้วยใบหน้าตระหนกตกใจ สุดท้ายก็เตือนว่า “อาเหมย บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้เรียกข้าว่าอี๋เหนียง ถ้าเกิดถูกใครได้ยินเข้าจะทำอย่างไร อาเหมยที่แสนอาภัพของข้า เกือบจะตายไปเสียแล้ว…” พูดมาถึงตอนหลังอี๋เหนียงสี่ก็เริ่มน้ำตาร่วงเผาะลงมาอีก

คราวนี้เยี่ยเหมยรีบจับมือนางออกก่อนที่นางจะร้องไห้จนหยุดไม่อยู่ “อี๋เหนียง เมื่อคืนตอนที่อยู่ก้นบึงข้ารู้สึกว่าทั้งมืดทั้งน่ากลัว มิหนำซ้ำจู่ๆ ยังมีสายโซ่ลากข้าให้เดินไปเรื่อยๆ ข้าเดินไปถึงสะพานแห่งหนึ่ง หัวสะพานมีท่านยายอยู่ผู้หนึ่ง นางให้ข้าดื่มน้ำลงไปชามหนึ่ง แต่ข้าดื่มไปได้ครึ่งเดียวกลับเหมือนได้ยินใครพูดว่า ‘จับผิดคน’ แล้วต่อมาข้าก็ตื่นขึ้น พบว่าตนเองลอยอยู่บนผิวน้ำ ถึงกับยังไม่ตาย”

คำพูดนี้ทำเอาอี๋เหนียงสี่ตกใจจนเบิกตากว้าง พึมพำขึ้นว่า “นั่น นั่นคือ…สะพานไน่เหอ น้ำแกงยายเมิ่ง…” ฉับพลันนั้นนางหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรงทันที ปิดปากเยี่ยเหมยไว้อีกครั้ง “เรื่องนี้พูดให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะอี๋เหนียงสามของเจ้า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวนางจะปั้นเรื่องอะไรมาใส่ความเจ้าอีก…”

เยี่ยเหมยต้องใช้เรี่ยวแรงอย่างมากกว่าจะเอามือของอี๋เหนียงสี่ออกไปพ้นจากปากได้ จากนั้นก็รีบขัดจินตนาการของอีกฝ่าย “แต่ว่าอี๋เหนียง ข้าจำได้เพียงว่าท่านเป็นแม่ของข้า อาหย่วนเป็นน้องชายของข้า ส่วนอย่างอื่นแค่นึกขึ้นมาก็ปวดหัวแทบแตกแล้ว อา…ปวดยิ่งนัก…”

“น้ำแกงยายเมิ่ง…ตำนานเล่าว่าดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจะทำให้ลืมความทรงจำทั้งหมดในอดีตชาติไป” อี๋เหนียงสี่ลงไปยืนบนพื้นก่อนเดินกลับไปกลับมา พึมพำพูดกับตนเองด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน “บอกนายท่าน? ไม่ได้ บอกอาหย่วน? ก็ไม่ได้อีก ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าอาเหมยเดินข้ามสะพานไน่เหอและดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้ว มิเช่นนั้นจะต้องถูกเห็นเป็นปีศาจร้ายแล้วถูกเผาตายแน่นอน”

“อี๋เหนียง ท่านอย่าเดินไปเดินมา ข้ามองแล้วยิ่งปวดหัว เอาอย่างนี้สิเจ้าคะ ท่านรีบถือโอกาสขณะพวกเขาไม่อยู่บอกเรื่องที่ข้าควรระวังมา”

เยี่ยเหมยจงใจแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดทรมาน อี๋เหนียงสี่ก็ปราดมาอยู่ข้างเธออีกครั้งด้วยความเป็นห่วงอย่างที่คิดไว้

ยังดีที่ชีวิตของเจ้าของร่างเดิมไม่มีอะไรซับซ้อน พอมีเยี่ยเหมยเอ่ยเตือน อี๋เหนียงสี่ก็บอกเล่าเรื่องที่เธออยากทำความเข้าใจออกมาได้เกือบครบถ้วนในเวลาเพียงไม่นาน

ตำบลหยางหลิ่วเป็นตำบลเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองใหญ่หน้าด่านชายแดนและเมืองเซิ่งโจวอันเป็นเมืองท่าติดน้ำของอาณาจักรต้าฉี่ สกุลเยี่ยเปิดโรงเตี๊ยมสามแห่งและสำนักคุ้มกันสินค้าอีกหนึ่งแห่งในตำบลหยางหลิ่ว กิจการนับว่าไม่เลว บิดาของเยี่ยเหมยมีนามว่าเยี่ยเซิ่ง ปีนี้อายุสี่สิบ มีภรรยาห้าคน นอกจากอี๋เหนียงสามที่ไม่มีลูกแล้วก็นับว่ามีบุตรธิดาเป็นโขยง เนื่องจากอี๋เหนียงสี่ทางบ้านยากจนจึงถูกขายมาเป็นบ่าวรับใช้ นางได้ให้กำเนิดบุตรสาวและบุตรชายสองคนคือเยี่ยเหมยและเยี่ยหย่วน

บัณฑิตและขุนนาง ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า กลุ่มคนในสังคมทั้งสี่ระดับนี้พ่อค้าจัดอยู่ในระดับสุดท้าย แม้สองปีมานี้ทางราชสำนักจะสนับสนุนทางด้านกิจการค้าขาย แต่จะอย่างไรก็ยังมีเกียรติสู้ตระกูลที่มีคนสอบเป็นขุนนางสำเร็จไม่ได้ ในจำนวนบุตรชายทั้งสี่คนของเยี่ยเซิ่งมีเพียงเยี่ยหย่วนที่มีแววด้านการร่ำเรียน ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีกลายเพิ่งจะสอบถงเซิง ทำให้เยี่ยเซิ่งตกใจอย่างยิ่ง

เดิมทีอี๋เหนียงสี่กับบุตรสาวบุตรชายทั้งสองเป็นพวกถูกกดขี่รังแกแล้วไม่รู้จักตอบโต้ในสกุลเยี่ย แต่พอเยี่ยหย่วนเริ่มมีอนาคตก็ทำให้เยี่ยเซิ่งพลอยกำชับภรรยาเอกให้คอยดูแลอี๋เหนียงสี่สามแม่ลูกให้ดี

นิสัยของเจ้าของร่างเดิมเหมือนกับอี๋เหนียงทุกกระเบียดนิ้ว ถึงขนาดว่าอ่อนแอพูดน้อยเสียยิ่งกว่าฝ่ายหลังเนื่องจากถูกละเลยมองข้ามมาหลายปี แทบจะนับได้ว่าเป็นอากาศธาตุ แต่ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ อากาศธาตุผู้นี้กลับแล่นไปขโมยของกินที่ครัว ซ้ำยังถูกบ่าวหญิงที่นั่นจับได้ หลังถูกจับได้ก็ไม่มีบุคลิกท่าทางของเจ้านายสักนิด ถึงกับตาเหลือกเป็นลมหมดสติไป

ให้ถูกละเลยอย่างไรก็ยังเป็นเจ้านาย บ่าวหญิงนางนั้นกลัวจะถูกลงโทษจึงไม่กล้ารายงานเบื้องบน เพียงแต่หาหมอพเนจรมาตรวจชีพจรเยี่ยเหมยอย่างเงียบๆ แต่พอตรวจดูกลับพบว่าเยี่ยเหมยตั้งท้อง ซ้ำยังท้องได้สองถึงสามเดือนแล้ว

ในเมื่อบ่าวหญิงนางนั้นหาหมอพเนจรจากข้างนอกมาตรวจเยี่ยเหมยได้ก็แสดงชัดว่านางพอจะมีความฉลาดอยู่ รู้ดีว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะต้องทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงแน่นอน จึงไล่หมอพเนจรไปแล้วไปหาอี๋เหนียงสี่ เดิมทีบ่าวหญิงนางนั้นคิดจะหาผลประโยชน์เล็กๆ จากในมืออี๋เหนียงสี่ แต่ใครเลยจะรู้ว่าอี๋เหนียงสี่จะรู้จักแต่ร้องไห้จนกลายเป็นถูกอี๋เหนียงสามที่พักร่วมเรือนกับนางได้ยินเข้า

อี๋เหนียงสามเป็นคนใจดำ นางนำเรื่องนี้ไปรายงานฮูหยินทันที พร้อมทั้งยุยงให้อีกฝ่ายจับเยี่ยเหมยใส่กรงหมูถ่วงน้ำเพื่อไม่ให้ข่าวแพร่กระจายออกไปแล้วทำให้สกุลเยี่ยต้องอับอาย

เรื่องที่เล่ามาแน่นอนว่าไม่ใช่คำพูดดั้งเดิมของอี๋เหนียงสี่ ถ้าให้นางพูดมีแต่จะบอกว่าผู้อื่นดีอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนตนเองก็แย่อย่างนี้อย่างนั้น เยี่ยเหมยได้แต่เรียบเรียงข้อมูลด้วยตนเอง พร้อมทั้งยังจับช่องโหว่ที่ค่อนข้างสำคัญไว้ได้ช่องหนึ่ง “อี๋เหนียง เช่นนั้นเด็กในท้องข้ามาได้อย่างไร”

เพิ่งจะถามออกไป เยี่ยเหมยก็พลันนึกถึงความฝันแปลกประหลาดนั้นได้ ดวงตารูปผลซิ่งเบิกโพลงทันที

นั่น…คงไม่ใช่ที่มาของเด็กหรอกนะ?!

ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่มีเหลือเลยสักนิด แต่ฉากเหตุการณ์น่ากลัวนั้นกลับจำได้ชัดเจน เยี่ยเหมยชักกลุ้ม เธอไม่ได้ฝันวาบหวาม ถึงแม้…เสียงของผู้ชายในฝันจะนับว่าอ่อนโยน แต่ก็ยังเป็นการใช้กำลังบังคับโดยไม่สนใจความสมัครใจของคนอื่น! อีกทั้งเขาก็เอาแต่พูดว่าจะรับผิดชอบ แล้วคนล่ะ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกสวะ! ทำเป็นว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นจะดีกว่า

คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะถามเช่นนี้ อี๋เหนียงสี่ตะลึงงันไปทันที น้ำตาหยดแหมะลงมาอีกครั้ง “อาเหมยที่แสนอาภัพของข้า ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กเป็นลูกใคร ก่อนหน้านี้ฮูหยินถามเจ้าอยู่สองวัน เจ้ากลับรู้จักแต่ร้องไห้ส่ายหน้า ข้ายังนึกว่าเจ้าปกป้องเดรัจฉานตัวนั้นเสียอีก ตอนนี้จะทำอย่างไรดี ถ้าถูกคนสกุลพานรู้เข้า เรื่องแต่งงานของเจ้า…”

เยี่ยเหมยได้ยินอี๋เหนียงสี่บอกอีกว่าเดิมทีร่างนี้ได้หมั้นหมายแล้ว ฝ่ายชายมาจากตระกูลเจ้าของที่ดินอันมีหมู่บ้านชื่อว่าหมู่บ้านอู๋จยา ห่างจากตำบลหยางหลิ่วไปเจ็ดแปดลี้ นั่นเป็นการหมั้นหมายที่ได้คนในตระกูลอี๋เหนียงสามเป็นสื่อให้ แต่เยี่ยเหมยเดาว่าด้วยนิสัยของอี๋เหนียงสาม เรื่องหมั้นหมายนี้น่าจะไม่ประสงค์ดีแน่นอน

เยี่ยเหมยถูกถ่วงน้ำแต่ไม่ตาย ฮูหยินก็ไม่คิดจะปิดบังเยี่ยเซิ่ง ได้ให้คนไปส่งจดหมายที่ตำบลแต่เนิ่น ตอนนี้ก็รอให้เยี่ยเซิ่งเดินทางจากในตำบลมาถึงที่นี่เพื่อปรึกษาว่าจะจัดการอย่างไร จะอย่างไรที่นี่ก็ห่างไกลตัวเมือง ถึงจะมีเหตุการณ์อะไร เรื่องก็แพร่ไปได้ไม่ไกลนัก

อี๋เหนียงสี่ที่ได้ข่าวเช่นนั้นก็ร้องไห้เสียใจขึ้นมาอีกยก กลับเป็นเยี่ยเหมยที่เมื่อคืนแช่อยู่ในน้ำ ทั้งตัวคนมึนงงเลอะเลือน ไม่มีแก่ใจจะมาคิดอะไรมาก หลังกินข้าวเสร็จก็ล้มตัวนอนหลับไป

 

“เยี่ยเหมย เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้! เยี่ยเหมย เจ้าตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

เยี่ยเหมยไม่เคยรู้เลยว่าตนเองมีเสียงนาฬิกาปลุกที่น่ารำคาญขนาดนี้ ยกมือคลำดูไม่เจอโทรศัพท์มือถือ กลับแตะถูกมือเย็นเฉียบข้างหนึ่งแทน จึงลืมตาขึ้นด้วยความสะลึมสะลือก็สบเข้ากับดวงตาทรงเสน่ห์ที่เปล่งประกายวาววับของอี๋เหนียงสามเข้าพอดี เธอสะดุ้งเฮือก เอาผ้าห่มคลุมตัวถัดตัวถอยหลังลุกขึ้นนั่งทันที

“ท่านจะทำอะไร” เยี่ยเหมยจำแววตาซับซ้อนและน่ากลัวขณะอี๋เหนียงสามมองเธอเมื่อคืนนี้ได้ ทำไมผ่านมาคืนเดียวถึงสามารถยิ้มได้…ทว่าก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี!

“มา ดื่มนี่ลงไปก่อน อี๋เหนียงสามทำเพราะหวังดีกับเจ้า”

เยี่ยเหมยไม่ใช่คนที่ถูกหลอกง่ายขนาดนั้น เธอดมกลิ่นยาฉุนกึกพลางจ้องอี๋เหนียงสามด้วยความระแวดระวัง “นี่คืออะไร” เธอไม่เชื่อหรอกว่าอี๋เหนียงสามจะใจดียกยาบำรุงครรภ์มาให้เธอ

“อาเหมย หรือว่าเจ้ายังหวังเพ้อพกอะไรอยู่ ฟังอี๋เหนียงสามนะ ดื่มยาชามนี้แล้ว ต่อให้แต่งไปสกุลพานไม่ได้ แต่แต่งออกไปไกลอีกหน่อยย่อมไม่มีปัญหา” อี๋เหนียงสามแสดงสีหน้าเหมือนหมาป่าสีเทาตัวใหญ่หลอกล่อแกะตัวน้อยออกมา พลางยื่นชามยามาตรงหน้าเยี่ยเหมยอีกครั้ง

“นี่เป็นยาขับเลือด?!” เยี่ยเหมยมองสีหน้าของอี๋เหนียงสามก็รู้แล้วว่ายานี้มีปัญหา เธอกุมท้องน้อยไว้ด้วยจิตใต้สำนึก แม้ว่าท้องจะดูเหมือนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่พอได้กลิ่นยานี้ ท้องน้อยที่เมื่อคืนเจ็บเล็กน้อยก็คล้ายจะเริ่มปวดตุบขึ้นมา

“อาเหมย เจ้าวางใจเถิด ดื่มยานี้แล้วหลับสักตื่นก็เรียบร้อยแล้ว เจ้าเองก็เหลือเกิน ระดูไม่มาก็ไม่รู้จักบอกอี๋เหนียงของเจ้า ถ้าพวกเราเก็บเรื่องไว้ดีหน่อย ไม่แน่อาจจะยังดองกับสกุลพานได้อยู่ ทว่าตอนนี้ก็ยังไม่สาย เจ้าดื่มเจ้านี่แล้วอี๋เหนียงสามก็สามารถช่วยเจ้าหาครอบครัวสามีที่อยู่ไกลออกไปหน่อยได้เหมือนกัน ตอนแต่งงานเจ้าพกเลือดไก่ไปด้วยก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกันแล้ว” อี๋เหนียงสามพยายามทำให้รอยยิ้มดูอบอุ่นเอื้ออารีขึ้น เสียงก็เปี่ยมด้วยแววหลอกล่อ ยังนึกว่าเยี่ยเหมยเป็นแม่นางน้อยที่นางสามารถล่อหลอกและควบคุมได้ตามใจชอบคนนั้น

ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ผู้หญิงที่มีความรู้ทั่วไปสักหน่อยไม่ว่าคนไหนก็รู้ทั้งนั้นว่าช่วงเวลาที่ใช้ยาทำแท้งได้ดีที่สุดคือภายในสี่สิบเก้าวันนับแต่ตั้งครรภ์ หรือก็คือราวหนึ่งเดือนครึ่ง ต่อให้เป็นยุคปัจจุบันหลังกินยาขับเลือดแล้ว ส่วนมากก็ยังต้องรับการขูดมดลูกขับน้ำคาวปลา

ถ้าตั้งครรภ์เกินสามเดือนแล้วยังกินยาขับเลือดลงไปอีก ผู้ที่ได้รับความเสียหายย่อมไม่ใช่แค่เด็กในท้อง ตัวผู้ใหญ่เองจะมีอันตรายถึงชีวิตไปด้วย มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่การแพทย์พัฒนาแล้ว แต่ในยุคโบราณที่ไม่รู้ว่าเป็นสมัยราชวงศ์อะไรนี้ และก็ไม่รู้ด้วยว่าเด็กในท้องอายุกี่เดือนแล้ว ถ้าดื่มยาชามนี้ลงไปอาจจะได้ตายทั้งกลม

คนเป็นพี่เลี้ยงไม่ใช่แค่ต้องศึกษาความรู้ด้านการเลี้ยงเด็ก ความรู้ทั่วไปด้านนรีเวชเหล่านี้ก็ต้องอ่านผ่านตาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เยี่ยเหมยจึงไม่มีทางเชื่อคำอี๋เหนียงสามเด็ดขาด

เธอสะบัดมือตบชามยาที่ยื่นมาจ่อปากออกไปอย่างไม่ต้องคิด “ข้าไม่มีทางดื่มยาขับเลือด!”

เสียงชามยาตกแตกดังกังวาน อี๋เหนียงสามพูดด้วยความเดือดดาลกระหืดกระหอบทันที “อย่านึกว่าเจ้าจะพึ่งบารมีลูกมาข่มขู่ผู้อื่นได้เชียว!”

“ท่านว่าอะไรนะ” มีเสียงของแตก แล้วอี๋เหนียงสามยังตะคอกใส่ เยี่ยเหมยจึงฟังไม่ชัดว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร แต่เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าในคำตะคอกนั้นมีข้อมูลสำคัญอยู่ “ข่มขู่อะไร ท่านรู้อะไรใช่หรือไม่”

อี๋เหนียงสามรู้ตัวว่าตนเองหลุดปาก มีหรือจะตอบคำถามเยี่ยเหมย สีหน้ากลายเป็นชิงชังรังเกียจเหมือนเช่นเมื่อคืน “เยี่ยเหมย ทางที่ดีเจ้าอย่าพูดอะไรส่งเดช ไม่มีหลักฐาน ใครก็ไม่มีทางเชื่อเจ้า!”

“อาเหมย?!” เสียงของอี๋เหนียงสี่ดังเข้ามา ทันใดนั้นนางก็พบว่าอี๋เหนียงสามอยู่ในห้อง จึงถามขึ้นด้วยเสียงหวาดหวั่นร้อนรน “พี่หญิงสาม ท่านมาเยี่ยมอาเหมยหรือ”

“ข้าแค่จะมาบอกพวกเจ้าว่าไม่ต้องคิดเรื่องแต่งเข้าสกุลพานแล้ว” อี๋เหนียงสามแค่นเสียงเย็น ดูท่าทางกระสับกระส่ายอยู่บ้าง “เมื่อครู่ข้าคิดจะชี้ทางสว่างให้ลูกสาวสุดที่รักของเจ้า แต่เสียดายที่นางไม่รับน้ำใจ”

อี๋เหนียงสี่งงงันไป มองเศษชามกระเบื้องที่ตกกระจายอยู่บนพื้นและยาสีน้ำตาลอมเหลืองที่ไหลนองเต็มพื้นแล้วพลันเงยหน้าขึ้นโดยจิตใต้สำนึก “พี่หญิงสาม เด็กในท้องอาเหมยอายุได้สามเดือนแล้ว ถ้าทำแท้งตอนนี้นางก็ได้ตายพอดี!”

“เจ้าคิดว่าเมื่อนายท่านมาถึงนางจะไม่ตายหรือไร” อี๋เหนียงสามรู้ว่าอี๋เหนียงสี่กับกุ้ยฮวาคิดจะทำอะไร จึงประกาศออกมาเสียเลยว่าพวกนางไม่มีโอกาสแล้ว หลังทิ้งคำพูดโหดร้ายไว้เสร็จก็เดินลอยชายจากไป

“อี๋เหนียง เหตุใดอี๋เหนียงสามจึงเป็นเช่นนี้” เยี่ยเหมยยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าแปลก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอี๋เหนียงสี่ผู้เป็นแม่แท้ๆ ไม่ได้ร้อนรนสติหลุด แม้แต่ฮูหยินผู้เป็นนายหญิงของบ้านก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนใจกับท้องเธอ แล้วนี่อี๋เหนียงสามร้อนตัวหรือว่าอะไร

อี๋เหนียงสี่จึงว่า “อาเหมย อี๋เหนียงสามของเจ้าก็อาภัพเช่นกัน ตอนที่ท่านพ่อเจ้าซื้อข้าเข้ามา นางกำลังตั้งครรภ์ พอรู้ข่าวก็แล่นมาอาละวาดที่เรือนข้า ต่อมาหลังจากกลับไปก็เจ็บท้องแท้งลูก ซ้ำยังตกเลือดอย่างหนัก ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่มีลูกอีกแม้แต่คนเดียว นางมีเรื่องทุกข์ใจของนาง”

ได้ฟังดังนี้ก็นึกถึงท่าทีแปลกพิกลของอี๋เหนียงสามขึ้นมา เยี่ยเหมยให้รู้สึกปวดหัว แต่เธอคงไม่อาจแล่นไปบอกอี๋เหนียงสามได้ว่าเธอความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นกระมัง

อี๋เหนียงสี่ลูบผมเยี่ยเหมย วางห่อผ้าห่อใหญ่ลงบนเตียงเตา “เมื่อวานอาหย่วนลอบออกจากบ้านแล้วตามมาที่นี่อย่างเงียบๆ และยังเก็บข้าวของของเจ้ามาด้วยคิดจะให้เจ้าหนีไปในคืนเดียวกัน แต่อี๋เหนียงคิดว่าท่านพ่อเจ้าคงไม่มีทางไม่คิดถึงความผูกพันทางสายเลือด เจ้าเก็บของไว้ให้ดี บางทีท่านพ่อเจ้าอาจจะให้เจ้าอยู่คลอดที่นี่”

เยี่ยเหมยกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีเท่าอี๋เหนียงสี่ คนสมัยโบราณให้ความสำคัญกับพรหมจารีของผู้หญิงมากเพียงไร ถึงเธอจะไม่กระจ่าง แต่ละครกับนิยายเหล่านั้นก็เขียนไว้ชัดเจนมิใช่หรือ แต่จะอย่างไรก็ยังไม่ได้เห็นพ่อบังเกิดเกล้าด้วยตาตนเอง ไม่แน่อาจจะเป็นอย่างที่อี๋เหนียงสี่พูดก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของเยี่ยเหมยจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย

หลังส่งอี๋เหนียงสี่ออกไปแล้ว เยี่ยเหมยก็ไม่มีอะไรให้ทำ ได้แต่ยื่นมือไปดึงห่อผ้าที่อี๋เหนียงสี่วางไว้บนเตียงเตามาเปิดดู สิ่งที่มองเห็นคือห่อของที่ห่อด้วยผ้าย้อมครามห่อหนึ่ง ครั้นเปิดออกดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ก็พบว่าเป็นหนังสือเย็บสันด้ายสองเล่ม เล่มหนึ่งชื่อว่า ‘บันทึกอาณาจักรต้าฉี่’ อีกเล่มคือ ‘ตำรารวมข้อสอบเก่า’

เยี่ยเหมยพลันกระจ่าง นี่คงเป็นเยี่ยหย่วนรีบร้อนเลยใส่ของผิดมาเป็นของเขากระมัง เธอเปิดอ่านเล่มหลังที่บางกว่าก่อน พบว่าเป็นหนังสือรวบรวมข้อสอบเก่าตามชื่อจริงๆ พวกภาษาโบราณกับอักษรตัวเต็มนั้นเธออ่านไปเดาไปยังพอจะจับใจความได้ แต่ ‘สี่ตำราห้าคัมภีร์’ ‘แผนการปกครอง’ อะไรพวกนี้เธออ่านไม่เข้าใจ แค่มองออกได้ว่าอักษรลายเส้นพู่กันบนนั้นเขียนได้รื่นตารื่นใจประหนึ่งคนงามกำลังร่ายรำก็มิปาน หน้าสุดท้ายของหนังสือมีตราประทับสีแดงประทับอยู่ ลายเส้นสีแดงดูดุดัน เหมือนจะเป็นคำว่า ‘สุยเฟิง’

ส่วนบันทึกอาณาจักรต้าฉี่นั้นดูคล้ายเป็นสิ่งพิมพ์อยู่บ้าง น่าจะเป็นบันทึกที่คนรุ่นก่อนออกท่องไปทั่วทั้งอาณาจักรต้าฉี่เหลือทิ้งไว้ เวลานี้เยี่ยเหมยรู้สึกขอบคุณอย่างมากที่หนังสือเล่มนี้มีลายมือเขียนแบบเดียวกันกับในตำรารวมข้อสอบเก่า ด้านบนเขียนคำอธิบายไว้จำนวนมาก ด้านหลังหนาเกินไปไม่มีเวลาอ่าน แต่ตัวอักษรบรรจงเล็กขนาดเท่าหัวแมลงวันอันสะดุดตาแถวหนึ่งที่อยู่หน้าสุดนั้นเธออ่านออกทั้งหมด…

 

‘สุยเฟิงบันทึกไว้ที่สำนักศึกษาปั้นซานในปีที่ห้าสิบเก้าแห่งอาณาจักรต้าฉี่’

 

น่าจะอธิบายได้ว่าผู้คัดลอกตำรารวมข้อสอบเล่มนี้และเขียนคำอธิบายในหนังสือเล่มนี้มีนามว่า ‘สุยเฟิง’ เพื่อให้คนอ่านเข้าใจหนังสือเล่มนี้ได้มากยิ่งขึ้น สุยเฟิงท่านนี้จึงตั้งใจใช้บทความที่เนื้อหาคล้ายกันมาอธิบายประวัติศาสตร์ต้าฉี่

หลังจากไล่สำรวจดูแล้ว เยี่ยเหมยก็อ่านต่อไป พบว่าคนชื่อสุยเฟิงผู้นี้น่าสนใจอย่างมาก คนเขียนหนังสือเขียนได้สุดจะคลุมเครือ ทำเอาคนอ่านมึนอยู่บ้าง เธอรู้ได้แค่ว่าราชวงศ์ต้าฉี่เป็นราชวงศ์ที่ไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ กลับเป็นคำอธิบายของสุยเฟิงที่เข้าใจง่าย แม้แต่เธอที่มาจากยุคหลังอีกทั้งมีการศึกษาไม่สูงก็ยังอ่านได้สนุก ระหว่างบรรทัดคล้ายจะมองออกได้ว่าสุยเฟิงคนนี้ผิวเผินดูคร่ำครึ แต่อันที่จริงเป็นคนความคิดเปิดกว้าง…

เยี่ยเหมยถือหนังสือนั่งเหม่อได้พักใหญ่ก็พลันกระตุ้นจิตใจให้กระเตื้องขึ้น ตอนนี้ไม่ใช้เวลามานั่งอ่านหนังสือ เธอลูบท้องที่ยังไม่ได้นูนชัดก่อนกระซิบขึ้นเบาๆ “ในเมื่อมาที่นี่แล้วก็ปรับตัวอยู่กับมันไปแล้วกัน ต่อจากนี้ไปข้าจะเป็นเยี่ยเหมยแห่งอาณาจักรต้าฉี่ ไม่ใช่ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอีก แต่เป็นคนที่มีพ่อ มีแม่ และยังมีลูกน้อยที่สวรรค์ประทานให้ข้าอย่างเจ้าอีกคน”

พูดจบก็เริ่มรื้อดูกองชุดฤดูหนาวและชุดฤดูใบไม้ผลิที่สีมืดหม่นและยังเนื้อหยาบกระด้างนั้น ดูท่าเยี่ยหย่วนตั้งใจจะให้นางหนีไปในคืนเดียวกันนั้นจริงๆ ของถึงได้ใส่มาทั้งมากทั้งสะเปะสะปะ จวบจนเยี่ยเหมยรื้อเจอของสีปอนๆ เจือกลิ่นไม่พึงประสงค์ก้อนหนึ่งจากในกองเสื้อผ้า นางถึงได้หุบรอยยิ้มลงเล็กน้อย

หลังจากคลี่ของก้อนนั้นออกสะบัดก็มีกระเป๋าใบเล็กที่งานปักคุณภาพเลวใบหนึ่งหล่นตุ้บลงมา ก่อนจะก้มหน้าลงมองกระเป๋า เยี่ยเหมยมองดูกางเกงสีเทาตัวที่ถืออยู่ในมือก่อน คิดว่าน่าจะเป็นกางเกงชั้นในของยุคสมัยนี้ แล้วสิ่งที่เปื้อนอยู่บนกางเกงน่าจะเป็นคราบเลือด ด่างดวงเหล่านั้นล้วนเป็นสีดำแล้ว ถ้ามิใช่อากาศยังไม่อุ่นขึ้น กลิ่นเหม็นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปอีกนานเพียงไร เพื่อสุขภาพจมูก เยี่ยเหมยจึงรีบทิ้งกางเกงเหม็นโฉ่ไปข้างๆ แล้วหันมาเปิดดูกระเป๋าใบนั้นแทน

สิ่งที่สะท้อนเข้าในสายตาคือหยกสีเขียวมรกตขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง รูปปลาสองตัวที่สลักอยู่ด้านบนรวมตัวเป็นวงกลมสมบูรณ์วงหนึ่ง ยังไม่กล่าวถึงว่าเนื้อหยกโปร่งใสแวววาว แค่เรื่องคุณภาพของงานก็ไม่แพ้พวกที่ทำด้วยเครื่องจักรในยุคสมัยใหม่อันเป็นชาติก่อนของนางเลย

ชาติก่อนเยี่ยเหมยเคยเป็นพี่เลี้ยงเด็กในบ้านที่มีธุรกิจค้าอัญมณี นางสามารถใช้การทะลุมิติกลับไปรับรองได้เลยว่าหยกเขียวนี้มีราคาไม่ใช่เล่นๆ อย่างน้อยก็มากขนาดที่คหบดีท้องถิ่นอย่างสกุลเยี่ยไม่มีทางมีไว้ในครอบครองได้

คิดมาถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็พลันใจเต้น ถ้าเช่นนั้น…สายตานางกวาดผ่านกางเกงชั้นในเปื้อนเลือดที่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างๆ อดจะสูดหายใจเย็นเยียบไม่ได้ ล้วนกล่าวกันว่าสตรีสมัยโบราณให้ความสำคัญกับพรหมจารี บางทีกางเกงชั้นในนี้อาจจะเป็นตัวที่นางใส่ขณะเสียตัว เช่นนั้นหยกประดับนี้…จะใช่ของบุรุษผู้นั้นหรือไม่!

ความเป็นไปได้นี้ยิ่งคิดยิ่งเห็นว่ามาก เมื่อเชื่อมโยงกับ ‘อาศัยบารมีลูก’ อะไรนั่นที่ก่อนหน้านี้อี๋เหนียงสามหลุดปากพูดออกมา หรือว่าฐานะของบุรุษผู้นั้นจะสูงยิ่ง ครั้นคิดถึงฐานะสูงส่ง ในห้วงสมองของเยี่ยเหมยก็มีภาพชายแก่ร่างอ้วนฉุโผล่ขึ้นมาทันที แผ่นหลังพลันชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางออกแรงส่ายศีรษะ คิดจะสลัดภาพน่ากลัวในสมองออกไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางก็ยอมเลี้ยงลูกไปคนเดียวชั่วชีวิต!

มิหนำซ้ำขณะตื่นนอนตอนเช้านางได้ส่องคันฉ่องทองแดง แม้ภาพจะไม่ชัด แต่ใบหน้าเรียวแหลมและดวงตารูปเมล็ดซิ่งอันสดใสแวววาวของคนในคันฉ่องแสดงชัดว่านางเป็นคนงามตัวน้อยที่มีรูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย สตรีเช่นนี้มีโอกาสมากเหลือเกินที่จะถูกคนมีเงินถูกตาต้องใจเข้า

ครั้นคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็ใจลอยไปแล้ว แต่เพียงไม่นานนางก็ได้สติกลับมา รีบโกยของบนเตียงเตาเก็บเป็นพัลวัน พร้อมทั้งตัดสินใจแน่วแน่ ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่พร้อมแต่งให้ใคร กระโดดข้ามขั้นตอนนี้ไปได้ก็ดีเหมือนกัน คิดถึงว่าอีกหกเจ็ดเดือนจะมีทารกตัวนุ่มนิ่มคนหนึ่งเรียกตนเองว่า ‘ท่านแม่’ ในใจก็รู้สึกหวานล้ำ เสียดายก็เพียงความหวานล้ำนี้อยู่ได้เป็นเวลาสั้นเกินไป เนื่องจากเยี่ยเซิ่งท่านพ่อของนางมาถึงแล้ว!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 พ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: