บทที่ 513 เฝ้าตอรอกระต่าย
เผยซู่พูดถึงจุดนี้ก็หันไปอธิบายให้เฉินอิ๋งฟัง “ยามนี้เบื้องบนค่อนข้างสับสนวุ่นวาย เพราะคนที่รู้เรื่องราวในยามนั้นต่างพากันป่วยตายหมดสิ้น ลูกหลานของพวกเขาเองก็ไม่อาจบอกได้ชัดแจ้ง บ้างก็ว่าแปดปี บ้างก็ว่าเจ็ดปี ดังนั้นข้าเองก็ไม่อาจระบุชัดได้เช่นกัน”
เฉินอิ๋งหน้าไม่เปลี่ยนสี ทว่าในใจกลับหนาวสะท้าน
ช่วงระยะเวลาที่ว่าคล้ายมีอะไรบางอย่างลึกล้ำซ่อนงำอยู่
“ไม่รู้ว่ารูปร่างของคนผู้นั้นเป็นเช่นไร” นางเผลอถามออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าตนเองอยากได้ยินคำตอบเช่นไร
เผยซู่ไม่ทันสังเกตเห็นอาการผิดปกติของอีกฝ่าย เขาตอบออกมาอย่างรวดเร็ว “จากข่าวคราวที่ได้มา คนผู้นั้นใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ผิวค่อนข้างคล้ำ ในปากเต็มไปด้วยฟันเหลือง พูดจาเยี่ยงคนจากชนบท สำเนียงท้องถิ่นหนักชัด”
เฉินอิ๋งพยักหน้าโล่งอก นางเข้าใจผิดไปจริงๆ
เมื่อครู่มีอยู่แวบหนึ่งที่นางคิดว่าตนเองพบเจอเบาะแสที่แท้จริงของการหายตัวไปของเฉินเซ่าแล้ว
ยามนี้พอได้ยินเผยซู่พูดเช่นนั้นนางก็โยนความคิดอ่านดังกล่าวทิ้งออกจากหัวสมอง
แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไหนเลยจะใช้เป็นข้อสันนิษฐานอันใดได้ นางเลินเล่อไปแล้วจริงๆ
“เช่นนั้นเรื่องที่ท่านทำต่อจากนั้นคือการตามหาหลุมฝังศพที่พูดถึงนั่น หากข้าทายไม่ผิด หลุมฝังศพนั่นน่าจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ท่านหาตัวเฉียนเทียนเจี้ยงพบใช่หรือไม่” เฉินอิ๋งเงยหน้ามองมาทางเผยซู่ สีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็นยิ่ง
มุมปากข้างหนึ่งของเผยซู่ยกขึ้นเล็กๆ รอยยิ้มแลดูเจ้าเล่ห์อยู่หลายส่วน “ใช่แล้ว จากเรื่องดังกล่าวพวกเราสันนิษฐานว่าคนที่ชายเจ้าของสำเนียงท้องถิ่นต้องการตามหาที่แท้ก็คือคนที่รอดตายจากศึกสงครามในครั้งนั้น ครั้นคิดต่อไป สาเหตุที่เขาหาคนผู้นั้นไม่พบ นอกจากอีกฝ่ายแสร้งตายเพื่อหลบเร้นแฝงกายแล้วก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีก หลังจากเทียบรายชื่อดูแล้ว ข้าก็ไปตามหาศพที่ต้องสงสัยทั้งหมด ก่อนจะพบว่ามีศพศพหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่มี ซึ่งนั่นก็คือเฉียนเทียนเจี้ยง”
เฉินอิ๋งตะลึงงันไปชั่วขณะ ความคิดอ่านประการหนึ่งไหลเลื่อนเข้ามาในหัวสมอง
“คนที่ช่วยท่านชันสูตรศพคงไม่พ้นเหล่าฉางกระมัง” นางเอ่ยถาม นัยน์ตาจ้องนิ่งอยู่บนร่างของเผยซู่ “ที่ท่านให้เหล่าฉางอยู่ข้างกายก็เพื่อการนี้”
เหล่าฉางคือเจ้าหน้าที่ชันสูตรรูปร่างอ้วนดำผู้นั้น ยามนี้ถูกเผยซู่รับเข้ากองกำลังแล้ว เฉินอิ๋งเคยพบเจอคนผู้นี้ตอนสืบคดีไฉ่เจวี้ยนฆ่าตัวตาย
เผยซู่มองดูนาง สีหน้า ‘ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทายได้แน่’ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาพยักหน้าตอบว่า “อาอิ๋ง เจ้าฉลาดจริงๆ” ตอนพูดรอยยิ้มบนใบหน้าของเผยซู่เพิ่มมากขึ้นทีละน้อย สีหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นอ่อนโยน
ในใจของเฉินอิ๋งแม้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม ทว่าสีหน้าของนางกลับแสดงออกแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น “อาซู่ ข้ารู้สึกนับถือท่านยิ่งนัก”
วิธีการเช่นนี้จริงอยู่ที่มิอาจนับเป็นวิธีการ ‘ชาญฉลาด’ อันใดได้ แต่ถึงกระนั้นก็นับเป็นวิธีการที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด หากไม่แน่วแน่บากบั่น ย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จ
ความมุ่งมั่นที่เขามีต่อเรื่องนี้น่านับถือยิ่งนัก
พอตระหนักได้ว่ากำลังถูกว่าที่ภรรยาผู้ฉลาดหลักแหลมยกย่องชื่นชม ใบหน้าดำๆ ของเผยซู่ก็ราวกับถูกแต่งแต้มด้วยสีสันขึ้นมาทันที
“เรื่องนี้จะว่าไปก็ยุ่งยากไม่ใช่น้อย ศพที่ต้องให้เหล่าฉางชันสูตรนั้นมีอยู่ด้วยกันถึงสามสิบกว่าศพ” มือของเผยซู่วนเวียนไปมาอยู่ที่ข้างเอวคล้ายหมายอาศัยท่วงท่านี้กลบเกลื่อนความรู้สึกอึดอัดที่มีอยู่ภายในใจ
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ” เฉินอิ๋งพูดด้วยใจจริง
กองกำลังที่เฉียนเทียนเจี้ยงอยู่นั้นถูกทำลายไปแทบสิ้น การหาศพที่เป็น ‘ปัญหา’ ออกมาจากศพทั้งสามสิบจึงนับเป็นงานที่หนักอึ้งไม่ใช่น้อย
เผยซู่กระแอมเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “จะว่าไปเรื่องนี้คงต้องบอกว่าเป็นเจตจำนงของสวรรค์ เป็นการชี้นำของท่านพ่อที่อยู่ในปรโลก ท่านพ่อปกครองกำลังพลด้วยความละเอียดรอบคอบ ข้อมูลของทหารกองกำลังสกุลเผยทุกหน่วย ไม่ว่าจะรายชื่อ ตำหนิลักษณะเด่นทางร่างกาย รวมถึงเรื่องราวทางบ้านล้วนได้รับการบันทึกไว้ หากทหารคนดังกล่าวตายไปก็ยังมีการลงบันทึกสาเหตุการตายไว้ชัดแจ้ง รวมถึงสถานที่ฝังศพของพวกเขา”
เผยซู่ตบโต๊ะเบาๆ พูดพลางทอดถอนใจ “โชคดีที่มีการชี้นำของท่านพ่อพวกนี้ ทำให้ข้าสามารถใช้พวกมันเป็นฐานข้อมูล ขุดเอาศพของทหารในกองกำลังดังกล่าวที่ตายไปโดยไม่อาจระบุสาเหตุการตายชัดแจ้งพวกนั้นกลับขึ้นมาทำการชันสูตรใหม่กันทีละศพ จนพบว่าศพที่ถูกฝังอยู่ในหลุมของเฉียนเทียนเจี้ยงนั้นมีร่องรอยบาดแผลเก่าบนกระดูก อย่างน้อยก็น่าจะเกินสามสิบปีมาแล้ว ต่างกับข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ว่าร่างกายของเฉียนเทียนเจี้ยงสมบูรณ์ดี ด้วยเหตุนี้ข้าจึงรู้ว่าศพที่อยู่ในหลุมนั้นหาใช่เฉียนเทียนเจี้ยงไม่”
เขายิ้มคล้ายย้อนกลับไปอยู่ในตอนค้นพบเบาะแสสำคัญนี้ “บิดามารดาของเฉียนเทียนเจี้ยงตายไปนานแล้ว หนำซ้ำเขาเองยังกำพร้า มิเคยตบแต่งภรรยา หลังจากเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในเขา ถึงจะไม่กล้าออกมาพบปะผู้คน แต่กราบไหว้เคารพศพผู้เป็นบิดามารดาไม่ว่าเช่นไรก็ยังเป็นเรื่องพึงกระทำ หาไม่แล้วเขาย่อมกลายเป็นบุตรอกตัญญู ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเฝ้าตอรอกระต่าย รอให้เขาเข้ามาติดกับ”
เฉินอิ๋งนึกเลื่อมใสอีกฝ่าย “นี่เป็นการอนุมานที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก อาซู่ ท่านนี่ร้ายกาจจริงๆ”
เผยซู่ไม่ได้รับเอาความดีความชอบเป็นของตนเอง หากกลับพูดออกมาตรงๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของข้า แต่เป็นแผนการของ ‘จิ่วเถียวมิ่ง’ ”
เขามุมปากยกสูงคล้ายนึกเรื่องน่าขันอะไรได้บางอย่าง “จิ่วเถียวมิ่งผู้มีนามความหมายว่า ‘เก้าชีวิต’ ผู้นี้เจ้าเองก็รู้จักดี อาอิ๋ง เจ้าคงยังจำเรื่องราวที่เขากุ่ยคูได้กระมัง”
เฉินอิ๋งตะลึงงัน แต่เพียงไม่นานนางก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันที นางเกือบหลุดหัวเราะออกมา “ที่ท่านพูดถึงคงไม่ใช่กุนซือฉลาดเฉลียวผู้นั้นกระมัง คนที่หลางถิงอวี้พุ่งทวนใส่ถึงสามครั้งสามคราแต่ก็ยังไม่ตายผู้นั้น”
“ใช่แล้ว” เผยซู่หัวเราะจนไหล่สั่น “สมญานามของเขานี้ก็ได้มาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เพราะเจ้าบอกว่าเขาชาญฉลาดข้าจึงละเว้นชีวิตเขา จิ่วเถียวมิ่งผู้นี้เป็นคนมีไหวพริบ ช่วยข้าออกความคิดเห็นหลายต่อหลายครั้ง ไม่ผิดจากที่เจ้าคาดไว้ คนผู้นี้ฉลาดเฉลียวจริงๆ”
เฉินอิ๋งประหลาดใจยิ่งนัก
โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกประหลาดมหัศจรรย์โดยแท้ คนที่คิดวางแผนเล่นงานนางในยามนั้น เวลานี้กลับกลายเป็นแขนขาให้เผยซู่ เรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่คาดไม่ถึง
“เขาอยู่ที่จวนกระนั้นหรือ” เฉินอิ๋งถามเผยซู่
หากใช่ นางก็ใคร่อยากพบเจอเขาสักครั้ง
เผยซู่โบกมือกล่าว “ยามนี้เขาไม่อยู่ เพราะที่เผิงไหลบังเอิญเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าจึงส่งเขาไปที่นั่น คิดว่าอีกสองสามวันก็คงกลับมา”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยปากบอก “เชื่อว่ายามนี้เขาคงกำลังตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถ ไม่เสียแรงที่ยามนั้นข้าได้เอ่ยปากขอให้ท่านไว้ชีวิตเขา”
เผยซู่ยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว ข้าเองก็ต้องขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเฟ้นหาผู้ช่วยมือดีให้กับข้า”
ทั้งสองต่างยิ้มให้แก่กัน ไม่พูดจาอันใด
ลมปลายวสันต์พัดผ่านห้องโถง แสงตะวันสาดส่อง ต้นหญ้าสองสามต้นค้อมเอวอยู่ท่ามกลางสายลมคล้ายถอนหายใจอย่างเป็นสุข
ขณะมองดูต้นหญ้าเขียวชอุ่มพวกนั้น คิ้วของเฉินอิ๋งก็ขมวดเข้าหากัน
ต่อให้ควานหาตัวเฉียนเทียนเจี้ยงออกมาได้ แต่คนผู้นี้เพลานี้ก็ตายไปแล้ว หากเขาเห็นคนร้ายที่ลงมือสังหารนายท่านเผยจริง เช่นนั้นตอนเผยซู่หาตัวอีกฝ่ายพบ ความจริงก็น่าจะกระจ่างแจ้งได้ในทันทีมิใช่หรือไร แต่จากสีหน้าท่าทางของเผยซู่ในยามนี้ เห็นได้ชัดว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น
เฉินอิ๋งเดาว่าคำให้การของเฉียนเทียนเจี้ยงนั้นหาได้มีประโยชน์อันใดไม่
ไม่ผิดจากที่นางคาดไว้ ยามนี้เผยซู่กล่าวขึ้นว่า “หลังพบตัวเฉียนเทียนเจี้ยง ข้าก็ให้เหอถิงเจิ้งแอบพาเขากลับเมืองหลวง หลังจากนั้นก็ส่งเขามาที่ซานตง ระหว่างนี้ข้าสอบถามเขาลับๆ หลายต่อหลายครั้ง ทว่าเขาเข้าไปอยู่ในเขาลึกนานหลายสิบปี สภาพแทบจะไม่ต่างอะไรกับคนป่า อายุหรือก็มากแล้ว ถึงจะไม่ถึงขนาดเฒ่าชราสติสัมปชัญญะเลอะเลือน แต่ความทรงจำก็ถดถอยไปไม่ใช่น้อย หลังจากสอบถามอยู่หลายวัน ที่สืบรู้ได้กลับมีเพียงแต่เรื่องราวตอนเขาหลบหนีมา ซึ่งก็คือเรื่องราวที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังในตอนแรกพวกนั้น หามีอันใดไหนอื่นไม่”
เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง เงยหน้ามองฟ้า อกกำยำล่ำสันกระเพื่อมไหวรุนแรง คล้ายพยายามควบคุมความรู้สึกกลัดกลุ้มที่มีอยู่เต็มอก
เขารู้สึกว่าตนเองไม่เอาไหนยิ่งนัก
กว่าจะหาตัวเฉียนเทียนเจี้ยงพบก็ไม่ใช่ง่าย ที่เขาลำบากลำบนพาอีกฝ่ายมาที่ซานตงก็เพื่อหลบเลี่ยงคนร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวง นอกจากนี้ที่ซานตงเขายังมีกำลังพลมากพอ สามารถยักย้ายถ่ายเทได้ง่าย
ทว่าเฉียนเทียนเจี้ยงกลับมาตายไปเช่นนี้
จู่ๆ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียวก็มาตายจาก เรื่องราวที่เหลือย่อมยากจะสืบต่อได้
ที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกคือการตายของเฉียนเทียนเจี้ยงนี้ไม่ว่าจะดูเช่นไรก็คล้ายอุบัติเหตุยิ่งนัก
บทที่ 514 ตกลงมาตายเนื่องจากเมาสุรา
“แล้วเหตุใดเฉียนเทียนเจี้ยงถึงหายตัวไปก่อนจะมาพบเป็นศพเช่นนี้ได้” เสียงของเฉินอิ๋งดังขึ้น
ครั้นได้ยินเส้นเสียงใสกระจ่างนั่น ความรู้สึกกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในอกของเผยซู่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงชุ่มชื้นชวนเคลิบเคลิ้มอยู่หลายส่วน
“เฉียนเทียนเจี้ยงเป็นพวกชอบดื่มสุรา โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาอาศัยอยู่ในเขาลึก ปีปีหนึ่งจึงมีโอกาสดื่มสุราแค่ไม่กี่อึกเท่านั้น ทว่านับแต่ข้ารับตัวมา ทุกครั้งที่ข้าสอบถามเขา เขาก็มักเรียกร้องขอสุราสองสามจอกเสมอ แรกๆ ข้าก็ไม่อนุญาต แต่ต่อมาข้ากลับพบว่าหลังได้ดื่มสุราเขามักจำเรื่องราวในอดีตได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง บางครั้งถึงขนาดสามารถเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบในยามนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเริ่มอนุญาตให้เขาดื่ม ในห้องของเขามีสุราเตรียมพร้อมไว้เสมอ”
เขาส่ายหน้าคล้ายอับจน สีหน้ากลับกลายเป็นอึมครึม “วันนี้ตอนข้าไปรับเจ้า จู่ๆ เหอถิงเจิ้งก็เข้ามารายงาน บอกว่าเฉียนเทียนเจี้ยงหายตัวไป ข้ารีบกลับไปหาก่อนจะพบศพของเขาอยู่ในบ่อน้ำแห้งขอดบ่อหนึ่ง เจ้าหน้าที่บอกเวลาที่เดินยามกะดึกบอกว่าเมื่อวานตอนเที่ยงคืนเขาเห็นเหล่าเฉียนเดินโซซัดโซเซมุ่งหน้าไปห้องส้วม เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสุราคละคลุ้ง เพราะบ่อน้ำแห้งขอดนั้นอยู่ห่างจากห้องส้วมไปไม่ไกล ศพที่ถูกเอาขึ้นมามีบาดแผลอยู่ไม่มาก จึงเชื่อได้ว่าอาจเพราะเมามายจนแยกแยะเส้นทางไม่ถูก เป็นเหตุให้เขาพลั้งเท้าหล่นลงไปในบ่อคอหักตาย”
ยามพูดถึงตอนท้ายสีหน้าท่าทางของเขาก็พลันหม่นหมอง มือที่วางอยู่บนโต๊ะกุมเข้าหากันแน่น
เฉินอิ๋งนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น ยื่นนิ้วเคาะลงบนโต๊ะสองสามครา “ไปกันเถอะ พวกเราไปดูกัน”
เผยซู่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถึงนางจะไม่ได้พูดออกมาชัดแจ้ง แต่เขาก็ฟังเข้าใจได้ในทันที ร่างกายพลันตอบสนอง รีบลุกขึ้นพูดว่า “ศพของเหล่าเฉียนตอนนี้เก็บอยู่ในเรือนของข้าชั่วคราว”
เฉินอิ๋งพยักหน้าพร้อมเดินขึ้นหน้าสองก้าว แต่แล้วจู่ๆ นางก็หันกลับมาถาม “เหล่าฉางไม่อยู่กระนั้นหรือ”
“เขาอยู่ที่เมืองหลวง” เผยซู่ยกมือกดลงบนข้างหน้าผาก ท่าทางอ่อนล้า “ก่อนมาซานตง เฉาจื่อเหลียนบอกว่ามีคดีต้องการให้เหล่าฉางช่วยเหลือ บังคับให้ข้าทิ้งคนไว้”
เขาสีหน้าเคร่งขรึมชักเท้าเดินขึ้นหน้า “ขุนนางเหลวไหลพวกนั้นเซ้าซี้ไม่เลิก ข้าเองก็ไม่อาจต่อล้อต่อเถียงอันใดกับพวกเขามากนัก สุดท้ายจึงได้แต่ตกลงรับปาก”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “หากรู้แต่แรกข้าคงพาเขามาด้วยแล้ว”
ถึงคนตายจะไม่อาจฟื้นคืน แต่มีเหล่าฉางเจ้าหน้าที่ชันสูตรเฒ่าอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ยังอาศัยประสบการณ์ของอีกฝ่ายวิเคราะห์รู้ถึงสาเหตุการตาย ช่วยให้เรื่องนี้กระจ่างแจ้งได้
เฉินอิ๋งหลับตาลงไม่พูดไม่จา ในใจกลับคิดว่ามิน่าเผยซู่ไปแล้วก็กลับมา บางทีตัวเขาเองอาจไม่ตระหนักว่าตนเองนั้นสงสัยเคลือบแคลงในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มากเพียงใด หาไม่แล้วมีหรือที่เขาจะมาขอความช่วยเหลือจากนาง
“ทางจี่หนานเองอันที่จริงก็มีเจ้าหน้าที่ชันสูตรอยู่ เพียงแต่ข้าไม่ไว้ใจพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเหล่าเฉียนนี้ข้าเองก็ไม่ต้องการให้คนนอกล่วงรู้” เผยซู่กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบไม่ต่างอันใดกับสภาพอากาศหนาวเหน็บเดือนสิบสอง
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” เฉินอิ๋งกล่าว
เฉียนเทียนเจี้ยงเป็นหมากลับ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ซานตงเป็นรังเก่าของคังอ๋อง ยากจะบอกได้ว่าไม่มีตะปูอื่นใดซ่อนแฝง ระวังตัวมากหน่อยหาใช่เรื่องเกินเลยไม่
“นอกจากงมขึ้นมาจากก้นบ่อแล้วศพก็มิได้มีการเคลื่อนย้ายอันใด” เผยซู่กล่าวขึ้นอีกคราว คล้ายรายงานให้เฉินอิ๋งฟัง “ที่บ่อน้ำนั่นข้าได้สั่งให้คนล้อมเชือกเอาไว้แล้ว ที่พักของเฉียนเทียนเจี้ยงหรือก็ปิดตายไว้ พยานรู้เห็นเหตุการณ์สองสามรายพวกนั้นก็แยกกักตัวโดยมีทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าไว้”
เขามองไปทางเฉินอิ๋ง เงาร่างสูงใหญ่ค้อมลงมาเล็กน้อย กระซิบเสียงอ่อนโยนไม่เหมือนหลุดออกมาจากปากเขา “อาอิ๋ง ข้าจัดการเช่นนี้เจ้าว่าดีหรือไม่”
เฉินอิ๋งเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ยากยิ่งนักที่จะพบเห็นท่านโหวน้อยเอ่ยปากขอคำชี้แนะด้วยท่าทางถ่อมเนื้อถ่อมตัวเช่นนี้
นางจ้องมองดูเขา เขาจ้องมองดูนาง สายตาหนักแน่นจริงจังยิ่งยวด
หากมองดูใกล้ๆ จะพบว่าดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลใสกระจ่าง สะอาดบริสุทธิ์ อ่อนกว่าสีอำพัน รัศมีสีทองส่องประกายวับวาวอยู่รางๆ
เฉินอิ๋งอดยอมรับไม่ได้ว่าหากถอดกลิ่นอายพาลพาโล ท่าทางดุดัน ท่วงท่าเยี่ยงนักเลงอันธพาลบนตัวเผยซู่ทิ้ง ท่าทางของเขาในยามนี้เรียกได้ว่าสอดคล้องกับรูปร่างหน้าตาของเขาอย่างเหลือเชื่อ
นางอดคิดไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง ญาติสนิทลาลับจากโลกนี้ไปหมดสิ้น ด้วยนิสัยเดิมของเผยซู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจเติบโตมาเป็นคนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสายิ่งก็เป็นไปได้
ทว่าความคิดนี้ดำรงอยู่กับนางแค่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ยามนี้คิ้วข้างหนึ่งของเผยซู่เลิกขึ้น ท่านโหวน้อยที่เฉินอิ๋งคุ้นเคยกลับมาแล้ว
“นอกจากนี้ข้ายังให้คนเอาสุราพวกนั้นไปให้หมอทหารตรวจแล้วเช่นกัน ยามนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป” น้ำเสียงชวนเคลิบเคลิ้มเยี่ยงสุรารสเลิศไหลผ่านข้างหูของเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งพยักหน้า “การจัดการเช่นนี้นับว่าเหมาะสมยิ่งนัก หากข้าเป็นอาซู่ก็คงจัดการเฉกเดียวกันนี้”
เผยซู่ยิ้ม แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มนั้นก็กลับกลายเป็นความลังเล “อันที่จริง…หากพิจารณาตามสติปัญญาตื้นเขินของข้า การตายของเหล่าเฉียนเกรงว่าจะเป็นอุบัติเหตุ”
เขากลอกตามองไปทางด้านหน้า สีหน้าเย้ยหยันตนเองอยู่เล็กๆ “เพียงแต่ข้าไม่อยากนึกยอมรับมันก็เท่านั้น”
สองมือของเผยซู่กุมเข้าหากันเป็นกำปั้นอย่างไม่รู้ตัว ข้อกระดูกตามนิ้วซีดขาว “ข้าไม่อยากเชื่อว่าเขาจะตายไปเช่นนี้ ตายไปอย่างไม่มีมูลเหตุต่อหน้าข้า ข้าไม่อาจยอมรับได้จริงๆ และไม่คิดยอมจำนน”
จู่ๆ เขาก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเฉินอิ๋ง ดวงตาฝากแฝงความรู้สึกวาดหวัง “ยามนั้นข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่ข้าไม่เข้าใจไม่ว่าเช่นไรย่อมต้องมีคนสามารถเข้าใจได้แน่ เหมือนอย่าง…เจ้า…อาอิ๋ง ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงควบม้าไปจวนจงหย่งป๋อ ตอนนี้พอลองคิดๆ ดู ข้าคงไปเพื่อรับเจ้ามาที่จวน”
เขาชักสายตากลับ ก้มหน้าหลุบตา หมัดกุมเข้าหากันแน่นขึ้นทุกที เส้นเลือดบนหลังมือขมวดตึง
“ข้าทำเช่นนี้ เจ้า…ถือสาหรือไม่” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แห้งผากแหบพร่า มิได้ชวนเคลิบเคลิ้มอีกต่อไป
“อาซู่ ข้าไม่ถือสาแม้แต่น้อย” เฉินอิ๋งหยุดเท้า แหงนหน้ามองดูอีกฝ่าย สีหน้าจริงจังอย่างยิ่งยวด “เฉียนเทียนเจี้ยงสำคัญต่อท่านยิ่ง และเขาก็สำคัญต่อข้าเช่นเดียวกัน การตายของเขาอาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ทว่าหากท่านรู้สึกคลางแคลงแม้เพียงนิด ข้าก็ยินดีช่วยท่านสืบหาความจริงจนกระจ่าง”
นางขยับขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เงยหน้าและขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น
ลมวสันต์แผ่วเบาผ่านพัดเส้นผมดำขลับของนาง เส้นผมปอยหนึ่งลู่ตก ขยับไหวตามลม ระอยู่กับแขนของเผยซู่ ใจของเผยซู่สะท้านไหว
“อีกไม่นานพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อาซู่ เรื่องของท่านก็คือเรื่องของข้า ท่านยินดีให้ข้าช่วยเหลือเช่นนี้ ข้าดีใจยิ่งนัก” เส้นเสียงแผ่วเบากับปอยผมยาวๆ ปอยนั้นพันผูกเกี่ยวกระหวัดเข้าไปถึงในใจเขา
เผยซู่หลุบตามองดูนาง หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ เขาก็เผยยิ้ม
นั่นเป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวยิ่งนัก เฉินอิ๋งเคยเห็นมันปรากฏอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทุกครั้งล้วนทำให้คนปลาบปลื้มยินดี
“ดียิ่งนัก” เผยซู่เอ่ยปากกล่าว ดวงตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนาง
เฉินอิ๋งเองก็ยิ้ม “เร็วเถอะ รีบสืบคดีกัน ท่านจะได้สบายใจเร็วขึ้นอีกหน่อย”
เผยซู่พยักหน้า ไม่พูดอันใดอีก เขาชักเท้าเดินนำทางอีกครา เพียงไม่นานลานเรือนสะอาดสะอ้านหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา นั่นคือที่พำนักของเผยซู่
ตอนนี้หลางถิงอวี้กำลังนำกองกำลังกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่นอกประตู พอเห็นเผยซู่กับเฉินอิ๋ง เขาก็รีบประสานมือแสดงคารวะ “คารวะใต้เท้า คารวะคุณชายเฉิน”
เผยซู่โบกมือ พาเฉินอิ๋งสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปภายใน หลางถิงอวี้เดินตามเข้าไปติดๆ
บทที่ 515 เหมาะจะเป็นผู้ช่วย
เรือนนี้ตั้งอยู่บนแนวเส้นแกนกลางของจวนพอดี ประกอบด้วยเรือนย่อยห้าหลัง สามหลังรับแสงได้ดี อีกสองหลังได้รับแสงน้อย ห้องข้างฝั่งตะวันตกและตะวันออกล้วนถูกรื้อทิ้ง ระเบียงประสานประชิดติดอยู่กับผนังเรือน ทำให้แลดูโปร่งกว้างอย่างเห็นได้ชัด พื้นลานถูกปูไว้ด้วยก้อนกรวดเล็กละเอียด ไม่ผิดไปจากที่คาด ตรงมุมมีอาวุธนานาชนิดวางตั้งไว้
ริมฝีปากของเฉินอิ๋งยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ดูท่าเผยซู่จะเป็นพวกบ้าออกกำลังกายจริงๆ แม้แต่เรือนพำนักก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นห้องออกกำลังกาย หรือที่พวกเขาเรียกกันว่า ‘ห้องฝึกร่างกาย’ นั่นเอง
เห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินอิ๋งเช่นนั้น ใบหน้าของเผยซู่ก็มีสีสันเพิ่มเติมขึ้นหลายส่วน
“แรกเริ่มเดิมทีตอนสั่งให้คนสร้างเรือนนี้ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าจะมาไวเช่นนี้” เขาลูบคางอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงเบาโหวงอยู่หลายส่วนคล้ายไม่มีเรี่ยวแรงกำลัง
ครั้นพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาจ้องเขม็งไปที่หลางถิงอวี้ “เหตุใดถึงไม่เก็บกวาดให้เรียบร้อย ไม่รู้หรือไรว่าวันนี้มีแขก ดูท่าคงไม่ได้ถูกลงโทษมาหลายวันแล้วกระมัง เลยลืมสิ้นว่าต้องทำงานเช่นไร”
เผยซู่ยังไม่ทันพูดจบ หลางถิงอวี้ก็ราวกับนางแอ่นโฉบผิวน้ำสามครา ทะยานร่างถอยห่างออกไปไกลหนึ่งจั้ง ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น แม้ท่าทีจะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ทว่าสีหน้ากลับคับแค้นน้อยอกน้อยใจ เขาพึมพำโอดครวญว่า “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหาได้พูดอันใดไม่ แล้วผู้น้อยไหนเลยจะรู้ได้”
เผยซู่ดวงตาหรี่เล็กลงยามเอ่ย “เนื้อหนังเจ้าคงคันมากแล้วกระมัง”
หลางถิงอวี้เนื้อตัวสั่น ฉีกยิ้มน่าเกลียดน่าชังกว่าร่ำไห้ออกมา “ถ้าเช่นนั้น…ผู้น้อยจะให้คนเอาดอกไม้มาสักสองสามกระถาง ใต้เท้าคิดว่า…”
“ยังไม่รีบไปอีก!” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เผยซู่ก็คิ้วตั้งเอ่ยปากตวาด กลิ่นอายเยี่ยงคนพาลปะทุออกจากร่าง “ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งเค่อ”
หลางถิงอวี้ขานรับเสียงดัง หันหลังกลับพร้อมชักเท้าอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็หายลับไปไม่เห็นแม้แต่เงา
เผยซู่อารมณ์สงบนิ่งลงเล็กน้อย ครั้นหันหน้ากลับมาก็พบว่าเฉินอิ๋งเดินตัดผ่านลานไปก่อนหน้าแล้ว ไม่นึกสนใจพวกเขาสองคนเลยแม้แต่น้อย ยามนี้กำลังยกเท้าก้าวขึ้นไปบนบันได
เผยซู่กระวนกระวาย รีบชักเท้าเดินขึ้นหน้า อาศัยที่เป็นคนตัวสูงขายาวย่างก้าวรวดเร็ว เขาเดินตรงเข้าไปช่วยเฉินอิ๋งเลิกม่านพลางกล่าว “ศพอยู่ในห้องเล็กฝั่งตะวันตก”
เฉินอิ๋งพยักหน้า เดินเลี้ยวไปยังห้องเล็กฝั่งตะวันตก
ห้องเล็กฝั่งตะวันตกว่างเปล่า ไม่มีเครื่องเรือนอันใด คล้ายน้อยนักที่จะมีคนมาที่นี่ บนบานหน้าต่างสลักลายมีฝุ่นจับอยู่เล็กน้อย บนพื้นเองก็เช่นกัน
และด้วยเพราะเหตุนี้ศพที่ตั้งอยู่บนไม้กระดานห่อคลุมด้วยผ้าขาวนั้นจึงเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
“เพราะข้าไม่ชอบมีบ่าวรับใช้ ในเรือนจึงไม่มีห้องให้พวกบ่าวไพร่พำนัก ด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาห้องนี้จึงถูกปล่อยว่างไว้มิได้ใช้ประโยชน์อันใด” เผยซู่กล่าว
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ข้างหน้าต่าง เปิดมันออกจนสุดก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเผยซู่ “อาซู่ ช่วยเปิดประตูให้ข้าหน่อย เลิกม่านหน้าต่างขึ้นด้วย แล้วก็จุดตะเกียงเพิ่มสักสองสามดวง อีกอย่างช่วยเอาตั่งสูงมาสักสี่ตัว ยกกระดานรองศพให้สูงขึ้นอีกสักนิด ข้าจะได้ชันสูตรศพได้สะดวก”
ก่อนหน้านี้เผยซู่เคยบอกว่าเนื้อตัวของเฉียนเทียนเจี้ยงไม่มีร่องรอยบาดแผลชัดแจ้งอันใด พูดอีกอย่างก็คือหากนี่เป็นฝีมือของคนร้ายจริง เช่นนั้นวิธีการของคนร้ายย่อมต้องลึกลับซับซ้อนยากจะสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แสงไฟสว่างๆ การจัดวางศพที่ดีอาจช่วยให้พบเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง
เผยซู่ตอบรับอย่างรวดเร็ว เขารีบสั่งการลงไป เพียงไม่นานในห้องก็มีการจัดวางใหม่ เทียนสิบกว่าเล่มถูกวางลงบนโต๊ะสูงสามตัว ช่วยให้มองเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนตัวของเฉียนเทียนเจี้ยงได้เด่นชัดมากขึ้น
เฉินอิ๋งสวมถุงมือ ใส่ผ้าปิดปาก ขยับตัวไปที่หน้าศพและเลิกผ้าขาวขึ้น
ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดของเฉียนเทียนเจี้ยงปรากฏชัดอยู่ภายใต้แสงไฟ
“เขาอายุเท่าใดแล้ว” เฉินอิ๋งมองไปทางเผยซู่พลางเอ่ยปากถามน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมใช้นิ้วกดลงบนจ้ำเลือดที่ปรากฏอยู่บนผิวหนัง สังเกตดูปฏิกิริยาของศพอย่างละเอียด
หลังจากกดลงไป รอยจ้ำบางส่วนก็จะเกิดการเปลี่ยนสี นี่เป็นภาวะปกติของช่วงการกระจายตัวของรอยจ้ำเลือดหลังการตาย สามารถช่วยระบุถึงช่วงเวลาตายของเฉียนเทียนเจี้ยงได้ จากยามนั้นถึงตอนนี้น่าจะเกินกว่าสิบสองชั่วโมงแล้ว
“จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ ปีนี้เขาอายุสี่สิบเก้าแล้ว” เผยซู่บอกพลางขยับออกไปทางด้านข้าง ระวังไม่ให้บดบังแสงสว่าง
เฉินอิ๋งพยักหน้า นางเริ่มตรวจสอบศพจากส่วนหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ผิดจากที่เผยซู่บอกก่อนหน้านี้ บาดแผลที่ส่งผลให้เฉียนเทียนเจี้ยงถึงแก่ชีวิตอยู่บริเวณลำคอ หลังอาศัยวิธีการกดนิ้วคลำกระดูก เฉินอิ๋งก็อนุมานได้ว่าบางทีอาจเกิดจากฐานกะโหลกหักแตก กระดูกสันหลังส่วนคอหัก หรือไม่ก็ฐานกะโหลกหักเป็นช่วงๆ
ทั้งสามล้วนแต่เป็นผลอันเกิดจากการตกจากที่สูงจนถึงแก่ความตายที่พบได้บ่อยที่สุด และมักเกิดขึ้นจากการที่ส่วนหัวกระแทกเข้ากับพื้น เป็นอาการบาดเจ็บสาหัสที่แม้แต่ความสามารถทางการแพทย์ในปัจจุบันก็ยังยากจะช่วยเหลือเยียวยาได้
เฉียนเทียนเจี้ยงหากเมาสุราตกลงไปในบ่อ อาการบาดเจ็บเช่นนี้นับว่าสมเหตุสมผลอยู่
นอกจากนี้บนศพก็ไม่พบร่องรอยต่อสู้ขัดขืนชัดเจนอันใด ซอกเล็บหรือก็ไม่มีเศษผิวหนัง รอยเลือด เส้นขน นอกจากบนหลังมือที่มีรอยถลอกอยู่จุดหนึ่ง ด้านบนเปื้อนคราบเขียวเล็กๆ คล้ายคราบหญ้าคราบชิงไถ*
“ผนังของบ่อน้ำแห้งขอดนั่นมีชิงไถขึ้นอยู่ใช่หรือไม่” เฉินอิ๋งเอ่ยถาม นางใช้ตะเกียบเหล็กปาดรอยเปรอะเปื้อนนั้นสองสามคราว ก่อนจะปาดลงบนผ้าห่อศพอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ส่องเข้ากับแสงเพื่อตรวจสอบดูรูปร่างสีสันของมัน ก่อนจะกล่าวอย่างมั่นใจว่า “นี่เป็นคราบชิงไถ”
ชิงไถมีหลากหลายสายพันธุ์ จากความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ของคุณนักสืบ เฉินอิ๋งรู้สึกว่านี่ดูเหมือนจะเป็นพันธุ์เป๋าฉื่อเสี่ยน**
เผยซู่ขยับใกล้เข้ามาเล็กน้อย จ้องมองดูร่องรอยบนผ้าห่อศพนั่นครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงขรึม “ดูคล้ายชิงไถในบ่อน้ำจริงๆ ข้าจะเรียกให้คนไปเก็บตัวอย่างมาให้เจ้าดู”
เฉินอิ๋งเอ่ยปากบอกว่า “ดี” ออกมาคราหนึ่ง เผยซู่สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป เฉินอิ๋งยังคงตรวจสอบคราบเขียวนั่นอย่างละเอียด เทียบกับชิงไถสายพันธุ์ต่างๆ ในสมองเพื่อให้มั่นใจถึงข้อสันนิษฐานของตนเอง
หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป เผยซู่ก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ในมือถือจานกระเบื้องสีขาวใบหนึ่ง ที่อยู่ด้านบนคือแผ่นชิงไถสองสามแผ่น “นี่เป็นชิงไถที่ข้าสั่งให้คนไปเอามาจากผนังบ่อน้ำนั่น”
เฉินอิ๋งกวาดตามองไป ชิงไถในจานคือเป๋าฉื่อเสี่ยนจริงๆ นางสันนิษฐานไว้ไม่ผิด
นางรับเอาจานมาถือไว้ ใช้ตะเกียบเหล็กถูอยู่สองสามที เทียบมันเข้ากับคราบเขียวบนหลังมือของผู้ตาย ก่อนจะเอ่ยปากสรุปผลการชันสูตรศพส่วนหนึ่งออกมา “ตอนผู้ตายมีชีวิตอยู่น่าจะมิได้ต่อสู้หรือมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้ใด รอยถลอกบนมือของเขาบางทีอาจเกิดขึ้นเพราะสัมผัสถูกผนังบ่อตอนตกลงมา”
คำตอบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ผิดจากที่เผยซู่คาดไว้ เขาสีหน้าสงบนิ่ง วางจานกระเบื้องลงบนโต๊ะสูง ไม่พูดไม่จาอันใด
เฉินอิ๋งพูดต่อ “อาซู่ ท่านช่วยข้าถือตะเกียงหน่อย ข้าต้องการดูในปากของเขา”
เผยซู่เอ่ยปากตอบ “ได้” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนตนเองเป็นลูกมือของเฉินอิ๋ง
เขาถือตะเกียงไว้ในมือด้วยท่วงทีน่าเกรงขาม เดินไปหาตำแหน่งเหมาะๆ ที่ทั้งสามารถมองดูการชันสูตรของเฉินอิ๋งได้ชัดแจ้ง ขณะเดียวกันก็ช่วยให้นางสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดถนัดตาที่สุด
ครั้นแสงไฟหยุดนิ่ง เฉินอิ๋งก็ใช้ตะเกียบกวาดพลิกดูช่องปาก ลิ้น รวมไปถึงในลำคอของผู้ตาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่พบร่องรอยเยื่อเมือกถูกทำให้เสียหายอันใด แม้แต่ร่องรอยคราบเลือดก็ไม่พบ
นางปลดผ้าปิดปากลง ขยับเข้าไปดมกลิ่นใกล้ๆ
กลิ่นสุราจางๆ ลอยออกมาจากปากของผู้ตาย นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีกลิ่นผิดแผกอื่นใด
ดังนั้นข้อสันนิษฐานจำพวกมีคนจับเขากรอกสุรา หลังจากนั้นค่อยโยนศพลงบ่อน้ำจึงสามารถตัดทิ้งออกไปได้ รวมถึงประเด็นถูกวางยาพิษก่อนจะจับโยนลงบ่อน้ำด้วย
หลังตัดข้อสันนิษฐานทั้งสองออก เฉินอิ๋งก็พินิจพิจารณาร่างกายส่วนอื่นๆ ของเฉียนเทียนเจี้ยง แต่ก็ยังคงเหมือนเก่า นางไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดเลย
จนถึงยามนี้งานชันสูตรเรียกได้ว่าสำเร็จลุล่วงไปแล้วส่วนหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้น สองตาจ้องมองไปที่เผยซู่ด้วยสายตาสงบนิ่งพร้อมกล่าวรายงานผลชันสูตรให้อีกฝ่ายฟัง “จากผลชันสูตร โอกาสที่เฉียนเทียนเจี้ยงจะบังเอิญตกบ่อตายนับว่าเป็นไปได้มากอยู่”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเผยซู่ก็หม่นหมองลงเล็กๆ ดวงตาฉายแววผิดหวังอยู่สองสามส่วน
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็คล้ายกำจัดความรู้สึกหนักอึ้งในใจออกไปได้หมดสิ้น ไหล่ที่เคยแข็งตึงดูจริงจังยามนี้กลับกลายเป็นผ่อนคลายลงหลายส่วน เขาฉีกมุมปากเย้ยหยันตนเอง “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็รู้สึกยินดี ถึงจะนึกเสียใจอยู่บ้างก็ตาม”
* เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวน หมายถึงนั่งรอให้โชคลาภหรือโอกาสลอยมาหา มีตำนานเล่าว่าในสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย เขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก
* ชิงไถ หมายถึงมอสส์ (Moss)
** เป๋าฉื่อเสี่ยน เป็นสายพันธุ์หนึ่งของมอสส์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Leptodontium viticulosoides
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.