บทที่ 522 ตีวงให้แคบลง
และแล้วเผยซู่ก็ได้ยินเฉินอิ๋งกล่าวขึ้นอีก “ว่ากันตามการคาดคะเนของข้าก่อนหน้านี้ คนร้ายคงลงมือช่วงต้นยามจื่อสองเค่อจนถึงกลางยามจื่อหนึ่งเค่อ และที่เขาเลือกลงมือในช่วงเวลาดังกล่าวก็คงด้วยเพราะคำนวณดูดีแล้วว่าในช่วงเวลานั้นจะไม่มีคนเดินยามกลางคืนผ่านมา”
เผยซู่พยักหน้าสีหน้าเคร่งขรึม “คนร้ายผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก เขารู้ว่าทหารองครักษ์กับบ่าวไพร่ที่ประจำเวรยามตอนกลางคืนนั้นแบ่งออกเป็นสองกะ ต้นยามจื่อสองเค่อเป็นช่วงส่งมอบเวรยามพอดี”
“ใช่แล้ว” เฉินอิ๋งตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น สีหน้าสงบนิ่ง “คนร้ายใจกล้าทั้งยังละเอียดรอบคอบ ลงมือก่อนที่พวกเราจะทันได้ทำอะไร เรียกได้ว่าร้ายกาจยิ่งนัก ทว่าเรื่องนี้…อาซู่ ท่านไม่จำเป็นต้องท้อแท้”
นางมองดูเผยซู่ นัยน์ตาระยิบระยับวับวาว “ไม่ว่าคนร้ายจะใจกล้าและละเอียดรอบคอบสักเพียงใด สุดท้ายไม่ว่าเช่นไรก็ต้องทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่างเอาไว้แน่ การที่ข้าพูดเสียงดังออกไปเมื่อครู่ ความจริงแล้วก็เพื่อกระตุ้นเขา”
“เจ้าหมายความเช่นไร” เผยซู่มองดูนางอย่างงงงัน หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม “ข้าคิดว่าที่เจ้าพูดเสียงดังซ้ำไปซ้ำมาเกี่ยวกับคดีนี้เมื่อครู่เป็นเพราะสืบไม่พบเบาะแสอันใดเสียอีก ที่แท้เจ้าก็กำลังหลอกคนร้ายตัวจริงที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนหรือ”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง ยอมรับในข้อสันนิษฐานของเขา ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “จากความเป็นไปได้ หลังเกิดเรื่องคนร้ายอาจย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุ ปลอมตัวปะปนอยู่กับคนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ คอยจับตาดูท่าทีของทุกคน เก็บเกี่ยวความรู้สึกพึงพอใจอันน่าประหลาดนี้ ปรากฏการณ์เช่นนี้อันที่จริงหาใช่เรื่องอัศจรรย์อันใดไม่ แน่นอน คดีนี้บางทีคนร้ายอาจรู้สึกพึงพอใจต่อผลลัพธ์เช่นนั้นอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทว่าเพียงไม่นานจู่ๆ ข้าก็ปรากฏตัวขึ้นมา”
นางพูดช้าลง ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มตามปกติ “ต่อให้ก่อนหน้านี้คนร้ายไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ทว่ายามนี้เวลานี้เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ คำพูดของข้าพวกนั้นน่าจะแพร่สะพัดถึงหูเขาได้ในเวลาอันรวดเร็ว หากข้าเป็นเขา หลังจากรู้เรื่องนี้ ท่านคิดว่าข้าควรทำเช่นไร”
นางกลอกตามองไปทางเผยซู่ รอยยิ้มกลับกลายเป็นพิลึกพิลั่น “ข้าคิดว่านับแต่วันนี้ไปเขาจะไม่ถามไถ่อันใดเกี่ยวกับคดีนี้ทั้งสิ้น เก็บหางทำตัวเป็นคน เพราะเรื่องราวหรือคำพูดเกินความจำเป็นนั้นไม่แน่ว่าอาจนำมาซึ่งภยันตรายใหญ่หลวง ชื่อเสียงเรื่องราวเกี่ยวกับเสินทั่นของข้านี้ไม่ว่าเช่นไรก็ยังนับได้ว่าดีอยู่”
พอพูดถึงตรงนี้รอยยิ้มของนางก็ลึกล้ำมากยิ่งขึ้น “หลังจากนี้อาซู่ก็แค่เอาคนที่มาปรากฏตัวอยู่ในที่เกิดเหตุหลังเกิดคดีกับคนที่ไม่สนใจในคดีนี้มาทำเป็นรายชื่อเปรียบเทียบ ถึงตอนนั้นข้าเชื่อว่าอย่างน้อยก็ต้องสามารถตีกรอบคนร้ายออกมาได้ไม่น้อยกว่าเจ็ดส่วนแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เผยซู่พูดคล้ายนึกอะไรขึ้นได้
เฉินอิ๋งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริมออกมาอีกประโยค “อีกอย่าง…หากมีคนที่เดิมไม่ได้พำนักอยู่ในลานเรือนใหญ่นั่น แต่หลังเกิดเรื่องกลับวิ่งมาสังเกตการณ์ด้วย คนผู้นี้อาซู่ก็ต้องใส่ใจเช่นกัน”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็น” เผยซู่ส่ายหน้า คิ้วยาวๆ ขมวดเข้าหากัน “ข้าอยากบอกกับเจ้าตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ขอบเขตของผู้ต้องสงสัยสามารถตีวงให้แคบลงได้อีกเล็กน้อย คนร้ายผู้นั้นบางทีอาจเป็นคนที่พำนักอยู่ในเรือนใหญ่”
“เอ๋?” เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ “คำพูดนี้หมายความเช่นไร”
เผยซู่ยกมุมปากด้านหนึ่งขึ้น รอยยิ้มแลดูพิลึกพิลั่นอยู่หลายส่วน “เมื่อครู่ตอนพวกเราย้อนกลับมาจากเรือนประธานกับเรือนที่เกิดเหตุ เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าระหว่างทางต้องผ่านลานเรือนสองแห่ง”
“ใช่แล้ว” เฉินอิ๋งกล่าว หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ “นั่นก็หมายความว่าสถานที่สองแห่งนี้อยู่ห่างกันไกลมาก”
“ไกลมากจริงๆ” เผยซู่กล่าว รอยยิ้มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเย้ยหยันตนเอง “เพราะลานเรือนสองชั้นนั้นเดิมไม่มีคนอยู่อาศัย มีทหารองครักษ์ลับคอยเฝ้าอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน และเพราะข้ากลัวมีคนแอบลอบเข้ามาทำร้ายเฉียนเทียนเจี้ยง จึงวางกำลังคนให้คอยยืนยามอยู่ที่ด้านนอกเพิ่ม”
เขาก้มหน้าลงช้าๆ มุมปากยกโค้งยิ้มขื่น “ข้าอุตส่าห์ป้องกันแน่นหนา แต่กลับป้องกันคนนอก มิได้ป้องกันคนใน ปล่อยให้คนพวกนั้นสบโอกาสลงมือ”
เฉินอิ๋งได้ยินเช่นนั้นกลับเห็นต่าง
“ข้ารู้สึกว่านี่เป็นโชคดีในโชคร้าย” นางสีหน้าโล่งอก ถึงกับออกอาการปลาบปลื้มยินดี “ขอบเขตผู้ต้องสงสัยหดเล็กลง โอกาสที่จะจับตัวคนร้ายได้ก็ย่อมมากยิ่งขึ้น สามารถประหยัดเวลาคัดตัวผู้ต้องสงสัยไปได้มาก”
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เผยซู่เค้นรอยยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ปรารถนาจะเห็นเฉินอิ๋งเป็นกังวล เพียงไม่นานเขาก็ฝืนทำตัวกระปรี้กระเปร่าพูดว่า “ทหารองครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่พวกนั้นล้วนไม่เลว หนึ่งกลุ่มประกอบด้วยคนสามคน ต่างคอยจับตาดูซึ่งกันและกัน ข้าคิดว่าโอกาสที่จะมีคนร้ายแฝงอยู่ในกลุ่มพวกเขานั้นมีไม่มากนัก มีพวกเขาอยู่ คนร้ายย่อมไม่มีทางแอบเข้ามาจากด้านนอกได้ เพราะฉะนั้นคนที่ลงมือจึงเป็นไปได้ก็แต่คนที่อาศัยอยู่ในลานเรือนนั่นเท่านั้น”
เฉินอิ๋งเพียงพยักหน้าไม่พูดไม่จาอันใด จากคำพูดของเผยซู่ นางพออนุมานได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือคนร้ายไม่น่าจะเป็นทหารองครักษ์
ขนาดทหารองครักษ์ยังมีกลุ่มละสามคน คอยจับตาซึ่งกันและกัน คาดว่าทหารที่ยืนยามตอนกลางคืนก็คงเช่นกัน หากคนร้ายเป็นหนึ่งในพวกเขา ไม่ว่าจะประจำเวรยามอยู่หรือไม่ การเคลื่อนไหวย่อมถูกจำกัด โอกาสจะลงมือเรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย
ครั้นคิดถึงจุดนี้เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถามเผยซู่ “อาซู่ ท่านมีคนที่เชื่อถือไว้วางใจได้บ้างหรือไม่”
“ย่อมต้องมี” เผยซู่ตอบอย่างรวดเร็ว สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “อาอิ๋งเหตุใดถึงถามเช่นนี้”
เฉินอิ๋งกล่าว “ข้ามีวิธีที่จะสามารถแยกแยะคนร้ายได้รวดเร็ววิธีหนึ่ง ทว่าวิธีนี้ใช้ได้กับผู้คนจำนวนไม่มากนักเท่านั้น”
นางจ้องเผยซู่นิ่ง สีหน้าจริงจัง “สิ่งที่อาซู่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือต้องกำหนดขอบเขตของผู้ต้องสงสัยไว้ไม่เกินสิบคน วิธีการของข้าจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่ออยู่ในขอบเขตจำนวนคนไม่เกินกว่านี้ หากขอบเขตกว้างเกินไป อาจทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง”
พอได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็เผลอแตะด้ามกระบี่เข้าอย่างไม่รู้ตัว คิ้วที่เคยขมวดอยู่ก่อนหน้านี้คลายออกเล็กน้อย “ขอบอกกับอาอิ๋งตามตรง ข้ากำลังกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่ อย่างไรก็ต้องขอให้เจ้าช่วยให้ความกระจ่างด้วย”
“เรื่องนี้อันที่จริงก็หาได้ยากไม่ แค่มีข้ออ้างถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอนให้หยิบออกมาใช้ก็ได้แล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าวพลางยกมือขึ้นลูบเส้นผมเบาๆ “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าทางเผิงไหลเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น เช่นนั้นพวกเราก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างก็ได้ ท่านก็แค่…”
นางขยับเข้าไปที่ข้างหูของเผยซู่ กระซิบสั่งอะไรบางอย่าง หลังชักเท้าออกได้เพียงไม่กี่ก้าวนางก็เงยหน้าหัวเราะมองเขา “เมื่อคำพูดนี้แพร่ออกไป ท่านก็ให้คนจับตาดูผู้ต้องสงสัยไว้ ใครนิ่งเงียบก็คือคนผู้นั้น”
เผยซู่ฟังพลางพยักหน้าติดๆ กัน ทั้งรู้สึกเลื่อมใสทั้งปลาบปลื้มยินดี ขณะกำลังจะพูด เสียงเอะอะก็ดังลอยเข้ามา ที่ปะปนอยู่ในนั้นคือเสียงดังเอ็ดตะโรของหลางถิงอวี้
“ใต้เท้าเฉิน…ใต้เท้าเฉิน…ท่านค่อยๆ เดินเถิด ถนนหนทางลื่นยิ่งนัก ให้ผู้น้อยช่วยประคองดีหรือไม่”
ที่ดังตามติดมาคือเสียงฝีเท้าสับสน ยามนี้อยู่ที่นอกม่านแล้ว
เสียงพึ่บดังขึ้น หลางถิงอวี้ชะโงกหน้าเข้ามา กวาดตามองดูสถานการณ์ภายในห้องอย่างรวดเร็ว สีหน้ากลับกลายเป็นโล่งอก ก่อนที่เขาจะเบี่ยงกายเลิกม่าน พูดเสียงดังจนคานหลังคาแทบจะถล่ม
“ท่านโหว คุณชายเฉิน ใต้เท้าเฉินมาขอรับ…” น้ำเสียงแหบพร่าราวกับเป็ดแก่ลากยาว เสมือนกระแสคลื่นพลิกม้วนสาดซัดเป็นวงกว้าง โหมกระหน่ำจนคนยั้งเท้าไม่อยู่
หลางถิงอวี้กลับไม่รู้สึกรู้สา เขาขยิบตาไปทางเผยซู่อย่างเอาเป็นเอาตาย นัยน์ตาเหลือกจนเกือบจะกลับสู่สภาพปกติไม่ได้
เผยซู่หน้าบึ้งถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง ไม่พูดอันใดมากก็รีบชักเท้าเดินขึ้นหน้า เงาร่างสูงๆ เดินผ่านประตูห้องเข้ามา อาภรณ์ขุนนางสีแดงฉานขับดุนอยู่กับท่าทีเย็นยะเยือกเงียบเหงาเยี่ยงไผ่โดดเดี่ยว บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นสว่างไสวทั้งยังเย็นยะเยือก
“หลานคารวะท่านลุง” เผยซู่ค้อมกายแสดงคารวะ ใบหน้าที่ปกติแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายพาลพาโลยามนี้กลับกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังอยู่หลายส่วน
คำตอบที่เขาได้รับกลับเป็นเสียง “เฮอะ” หนักๆ คราหนึ่ง
คนที่มาคือเฉินเซ่า
บทที่ 523 ไม่อาจซ่อมแซมแก้ไข
เฉินเซ่าใบหน้าบึ้งตึง ไม่แม้แต่จะมองดูเผยซู่ เขาเดินอ้อมอีกฝ่ายตรงเข้าไปยังห้องข้าง
“บิดามาได้เช่นไร” จนถึงยามนี้เฉินอิ๋งถึงเพิ่งจะมีโอกาสได้เอ่ยปาก นางแสดงคารวะพลางเอ่ยปากถาม
เฉินเซ่ากวาดตามองไปรอบๆ สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ปั้นหน้าบึ้งตึงขึ้นมาอีก “พ่อมาเพราะเหตุจำเป็น”
ขณะกำลังพูด สายตาของเขาก็กวาดมองไปยังศพที่อยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่งยวด “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่ว่าใต้เท้าเผยฉุดกระชากลากตัวเจ้ามากระมัง”
ทันทีที่พูดจบสายตาเย็นเยียบดุจมีดก็กวาดมองไปทางเผยซู่คราหนึ่ง
เผยซู่รีบค้อมตัวเอ่ยปากหมายอธิบาย นึกไม่ถึงว่าเฉินอิ๋งกลับชิงเดินขึ้นหน้าสองก้าว บังขวางเขาไว้ด้านหลัง
“ลูกต้องการมาที่นี่เอง หาเกี่ยวอันใดกับท่านโหวน้อยไม่ บ้านของท่านโหวน้อยมีคนตาย ลูกเพราะต้องการสืบสาเหตุการตายให้กระจ่างถึงได้เดินทางมาที่นี่เอง” เฉินอิ๋งตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
บางทีอาจสงบนิ่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ
ครั้นพูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นพลางกวาดตามองไปยังศพของเฉียนเทียนเจี้ยงด้วยสายตาเย็นเยียบ “บิดาคงทราบ ลูกไม่ได้เป็นเพียงคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน แต่หากยังเป็นเสินทั่นพระราชทาน เมื่อมีคนพบเจอคดียุ่งยาก ลูกย่อมไม่อาจไม่สนใจ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของลูก บิดาเป็นขุนนางราชสำนัก เชื่อว่าย่อมเข้าใจความหมายนี้ดี”
น้ำเสียง ท่าที ถ้อยคำที่นางเลือกใช้ล้วนกระจ่างชัด แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เหินห่างเย็นชาแต่อย่างใด ทั้งหมดล้วนสนิทชิดเชื้ออย่างที่บุตรีกับบิดาพึงเป็น สอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติบรรทัดฐาน
เฉินเซ่าตะลึงงันไปชั่วขณะ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขาก็ปรากฏสีหน้ายากจะเข้าใจได้รางๆ
“เด็กดี พ่อมิได้มาห้ามปรามเจ้า เจ้า…อย่าได้โกรธขึ้ง” เขาพูดจาอ่อนโยนพลางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดข้างหน้าผาก
เฉินอิ๋งเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนศีรษะของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนเดินทางมา
ทันใดนั้นอารมณ์ความรู้สึกแปลกประหลาดก็เข้าครอบงำจิตใจนางจนหมดสิ้น เฉินอิ๋งถอนหายใจเงียบๆ
เฉินเซ่าน่าจะตรงมาจากที่ว่าการ อาภรณ์ในชุดขุนนางเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ชัดแจ้งที่สุด
เฉินอิ๋งอดพิจารณามองดูเขาไม่ได้
อาภรณ์สีแดงดุจโลหิต ฉูดฉาดงดงามยิ่ง
ทว่าสีสันสะดุดตานี้ ครั้นแทรกซึมเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย กลับเหลือแต่เพียงความรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ไม่ต่างอันใดกับดอกไม้ริมฝั่งน้ำที่เบ่งบานอยู่ยามค่ำคืน ทั้งๆ ที่งดงามจับใจ แต่กลับเย็นเยียบเงียบเหงาราวกับไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องราวทางโลกนานา
น่าแปลก จู่ๆ เฉินอิ๋งก็นึกถึงหลี่ซื่อ
ตอนนี้นางพอเข้าใจได้เล็กน้อยแล้วว่าเหตุใดหลี่ซื่อถึงคิดไม่ตกไม่อาจปล่อยวาง
บุรุษตรงหน้าผู้นี้เนื้อตัวเต็มไปด้วยท่วงทีขัดแย้งลึกลับ ทั้งอยู่ในวงสังคมขณะเดียวกันก็ปลีกตัวออกจากวงสังคมเช่นกัน บริสุทธิ์สว่างกระจ่างใสคือเขา ลึกล้ำยากคาดเดาก็คือเขา อบอุ่นอ่อนโยนก็ยังคงเป็นเขา
สำหรับสตรีแล้ว เสน่ห์เช่นนี้ส่งผลถึงชีวิตจริงๆ หากตกลงไปไหนเลยจะถอนตัวกลับขึ้นมาได้อีก
ดูท่าหลี่ซื่อก็คงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่านางไม่ยินดีปล่อยมือ แต่หากเป็นเพราะว่านางจมอยู่ในนั้นนานเกินไปแล้ว แม้แต่ลมหายใจก็ยังเป็นเขา
ภาพใบหน้าอบอุ่นอ่อนโยนเต็มไปด้วยความห่วงหาอาทรของผู้เป็นมารดาปรากฏขึ้นในสมองของเฉินอิ๋ง
นางหลับตาลงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัวคราหนึ่ง
ช่างเถอะ เพื่อหลี่ซื่อนางเลือกที่จะละทิ้งท่าทีเชือดเฉือนเย็นชาเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าลึกลงไปในใจเฉินอิ๋งจะเชื่อว่าความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกนางจะไม่มีวันกลับมาดีกันได้อีก แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เรียกว่า ‘หน้าตา’ อย่างไรนางก็ไม่อาจไม่สนใจไยดี
“บิดาได้โปรดให้อภัยด้วย เมื่อครู่ลูกเลือกใช้คำไม่เหมาะสม ทำให้บิดาต้องเป็นห่วงแล้ว” นางย่อเข่าแสดงคารวะ ครั้นลุกขึ้นก็ขยับตัวไปข้างๆ เปิดทางให้เผยซู่ที่อยู่ด้านหลังได้ปรากฏกายขึ้นอีกคราว
เฉินเซ่าแย้มยิ้ม เป็นยิ้มที่อ้างว้างยิ่งนัก ราวกับมิปรารถนาให้ผู้คนทั่วหล้าได้ล่วงรู้
“ไม่เป็นไร พ่อรีบร้อนเอง” เขาลดแขนลงหันมองไปรอบๆ
ห้องนี้กว้างโล่งไม่มีอันใดให้ดูเลยแม้แต่น้อย สีหน้าเขากลับกลายเป็นผ่อนคลาย
ดูท่าที่บุตรีของเขาว่ามาจะเป็นความจริง นางเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อสืบคดี หาใช่เพื่อเรื่องส่วนตัวแต่ประการใด
“เช่นนั้นคดีสืบกระจ่างแล้วหรือไม่”
เฉินอิ๋งพยักหน้า ใบหน้าแสดงท่าทีเสียอกเสียใจได้อย่างพอเหมาะพอควร “สืบกระจ่างแล้ว คนผู้นี้พลั้งเท้าตกลงไปในบ่อน้ำ เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ”
นางหันหน้าไปทางเผยซู่ สีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน “ท่านโหวน้อย หากท่านต้องการได้ความคิดเห็นจากข้า ข้าคิดว่าคดีนี้สามารถระบุได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ”
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เผยซู่พยักหน้า ดวงตาที่ทอดมองมาทางเฉินอิ๋งอ่อนโยนราวกับสายลมแผ่วเบาช่วงปลายวสันต์ “ขอบคุณคุณหนูใหญ่เฉินยิ่ง ท่านช่วยข้าไว้ได้มากจริงๆ”
ตอนคนทั้งสองพูดคุยกัน สายตาของเฉินเซ่ากลับจับจ้องอยู่ที่ศพบนเตียงนั่น
อันที่จริงควรบอกว่าเพราะไม่รู้จะมองไปที่ใด เขาจึงได้แต่หยุดสายตาไว้ที่นั้น
สตรีพูดคุยอยู่กับว่าที่สามี เขาผู้เป็นบิดาแม้จะอยู่ที่นี่ แต่กลับมิเหมาะที่จะมองดูอันใดมากนัก
ไม่ว่าเช่นไรที่ผู้อื่นคุยกันก็เป็นเรื่องการเรื่องงาน ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังมีฮ่องเต้หยวนจยาคุ้มหัวอยู่
พูดอีกอย่างก็คืองานแต่งของพวกเขาฮ่องเต้หยวนจยาพระราชทานให้ ในอีกแง่มุมหนึ่ง คนที่เป็นพ่อเช่นเขาไหนเลยจะสามารถแสดงทีท่าเอือมระอาต่อท่านโหวน้อยเจ้าของกลิ่นอายพาลพาโล ร้างไร้ทีท่าเฉกบัณฑิตอันใดแม้แต่น้อยผู้นี้ได้
ถึงเขาจะไม่เคยนึกพึงพอใจในตัวว่าที่ลูกเขยผู้นี้เลยแม้แต่น้อยก็ตาม
เฉินเซ่ากดหัวคิ้วตนเอง
คิ้วดำดุจน้ำหมึก ท่วงทีงามสง่า จอนผมได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี ดวงตาดำขลับเป็นประกาย ลักษณะท่าทางกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เขาไม่เคยสังเกตเห็นแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน ก็ด้วยเพราะเหตุนี้ ท่าทีของเขาถึงได้เคร่งขรึมไม่สะทกสะท้าน
เฉินเซ่ายืนไพล่มืออยู่ทางด้านหลัง แสงสว่างนอกหน้าต่างทอดเข้ามาภายใน จับอยู่บนร่างของเขา ก่อเกิดเค้าโครงเงียบเหงาโดดเดี่ยว ส่วนสีหน้าท่าทางของเขากลับอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
ช่างเถอะ เขาคอยเฝ้าสังเกตอยู่ข้างๆ ก็แล้วกัน คำนวณจากเวลาแล้ว ต่อให้มามาพวกนั้นคลานมา ยามนี้ก็น่าจะใกล้ถึงเต็มทีแล้ว
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ ฉีมามาผู้ดูแลจวนสกุลหลี่กับหญิงรับใช้สูงวัยงกๆ เงิ่นๆ อีกสองสามนางก็วิ่งเหยาะๆ หอบหายใจเข้ามาในลาน
หลังจากนั้นอีกไม่นาน สวินเจินจือสือกับสาวใช้สกุลหลี่อีกสองนางก็วิ่งเหงื่อท่วมหัวเข้ามา
นี่ไม่ใช่เพราะพวกนางเชื่องช้า แต่หากเพราะเฉินเซ่ามาถึงจวนสกุลเผยก่อน พร้อมอาศัยตำแหน่งขุนนางบุกเข้ามาทันทีด้วย
ส่วนบ่าวไพร่อย่างพวกนางจำต้องแสดงเทียบก่อน หลังจากนั้นค่อยให้มามาแม่บ้านของสกุลเผยนำทางมา เพราะฉะนั้นกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ห่างกันอยู่พักใหญ่
“คารวะนายท่าน” ฉีมามานำทุกคนแสดงคารวะต่อเฉินเซ่าก่อน
ทันใดนั้นลานเรือนที่แลดูคล้ายกับสนามฝึกยุทธ์ก็มีบรรยากาศของเรือนในฝากแฝงเข้ามาอยู่หลายส่วน
เฉินเซ่าสีหน้าสงบนิ่ง เขาโบกมือเอ่ย “ลุกขึ้น”
ทุกคนต่างพากันลุกขึ้น สวินเจิน จือสือ และสาวใช้สี่คนขยับขึ้นหน้าล้อมเฉินอิ๋งไว้ สวินเจินกล่าวว่า “คุณหนู พวกผู้น้อยเอาเสื้อคลุมมาด้วยสองสามตัว คุณหนูเลือกดูเถิดว่าจะสวมตัวใดดี”
เฉินอิ๋งสังเกตเห็นอยู่แต่แรกแล้ว บนไหล่ของสาวใช้ทั้งสี่ต่างมีเสื้อคลุมแขนกว้างต่างสีพาดไว้คนละตัว
“นายท่านบอกว่าจี่หนานไม่เหมือนกับเมืองหลวง ตอนคุณหนูออกจากบ้านมาต้องทำตัวเยี่ยงสตรีทั้งหลายถึงจะได้” จือสือกระซิบอยู่ข้างๆ
เฉินเซ่าไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ “พ่อเป็นคนสั่งให้พวกนางเตรียมเอง เพราะไม่รู้ว่าเจ้าชอบตัวใด จึงให้พวกนางเอามาสักหลายๆ ตัวจะได้ให้เจ้าเลือก”
เฉินเซ่าไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าบนใบหน้าของตนเองมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่ แววตาอบอุ่นอ่อนโยน คล้ายเอ็นดูรักใคร่ผู้เป็นบุตรีอยู่หลายส่วน
เฉินอิ๋งก้มศีรษะลงน้อยๆ คล้ายมองไม่เห็น
อันที่จริงนางสังเกตเห็นแล้ว เสื้อคลุมสองสามตัวนี้ล้วนตัดขึ้นใหม่ หากคาดไม่ผิด เฉินเซ่าน่าจะสั่งให้คนตัดเย็บขึ้น
บทที่ 524 เศษเสี้ยวบิดเบือน
มุมปากของเฉินอิ๋งขยับอยู่น้อยๆ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงสิ่งที่พอจะเรียกว่า ‘รอยยิ้ม’ ได้อยู่ชั่วขณะ “ขอบคุณบิดาที่เมตตา ลูกทำบิดาลำบากแล้ว”
“พ่อเดาว่ามาถึงซานตงเจ้าคงต้องได้ใช้แน่ จึงสั่งให้คนเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า นับว่าไม่เสียทีที่ได้เตรียมไว้” เฉินเซ่าน้ำเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มละมุนละไม “ลูกพ่อ เจ้าก็เลือกสักตัวก่อนเถิด เลือกเสร็จก็กลับบ้านไปกับพ่อ ไปคารวะท่านยายกับท่านลุงของเจ้า”
คำพูดนี้นับว่าถูกต้องด้วยเหตุผลยิ่ง เฉินอิ๋งเดินทางมาถึงจี่หนาน จำต้องไปคารวะญาติอาวุโสก่อนถึงจะสอดคล้องตามธรรมเนียมประเพณี การที่นางไม่ทันได้พบหน้าใครก็ตรงดิ่งมาคลี่คลายคดีที่จวนสกุลเผยเช่นนี้ หากพิจารณาดูให้ละเอียดถี่ถ้วน การกระทำเช่นนี้นับว่าเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย หากพบเจอพวกชอบหาเรื่องเข้าล่ะก็ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้นางถูกวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิติติงได้แล้ว
เฉินอิ๋งย่อมไม่ปฏิเสธ นางตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย เลือกเสื้อคลุมสีชมพูขึ้นมาตัวหนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้พวกสวินเจินช่วยจัดการคลุมลงบนตัว
เฉินเซ่าในที่สุดก็หันมองมาทางเผยซู่ตรงๆ
“หลังจากนี้คงไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านโหวน้อยให้ออกไปส่งอีก ข้ารู้จักเส้นทางดี” น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า สีหน้าไม่นับว่าเย็นชา มีแต่คนที่ประจันหน้ากับเขาตรงๆ เท่านั้นถึงจะรับรู้ถึงความเย็นเยียบที่ซ่อนแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั่นได้
เผยซู่กลับหน้าไม่เปลี่ยนสี ก็แค่สายตาเย็นเยียบไม่กี่ทีของท่านพ่อตาเท่านั้น เขาไหนเลยจะทนรับไม่ได้
อย่าว่าแต่สายตาเย็นชาเลย ต่อให้เป็นเท้า รองเท้า ไม้พลองเย็นเยียบ เขาก็ล้วนยินดีรับมัน อีกทั้งยังจะกล่าวคำว่า ‘ขอบคุณยิ่ง’ เสียด้วยซ้ำ
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว มองดูอีกฝ่าย
คนทั้งสองแม้จะยืนห่างจากกันเพียงไม่กี่ก้าว ทว่าสายตาที่ทอดมองไปของเฉินเซ่ากลับราวกับมีพันภูผาหมื่นนทีกั้นขวาง ไกลห่างไร้สิ้นสุด
เผยซู่ดึงสายตากลับ ยืนค้อมกายหน้าไม่เปลี่ยนสี
การต่อสู้กันด้วยสายตาถ้อยวาจาเฉียบคมจำพวกนี้เป็นวิธีการของปัญญาชน ส่วนตัวเขาแต่ไหนแต่ไรก็ใช้แต่กำปั้นพูดจา การตอบสนองต่อเรื่องราวจำพวกนี้ล้วนเฉื่อยชา นี่คือเหตุผลประการที่หนึ่ง ประการที่สองคือหลายปีมานี้เขาแขวนตำแหน่งอยู่ในกรมอาญา คุ้นเคยกับสายตาเย็นชาสิ้น สายตาของท่านพ่อตาที่มองมาในยามนี้ไม่ต่างอันใดกับลูกอมขนมหวานเลยแม้แต่น้อย
ครั้นเห็นเช่นนั้นนัยน์ตาของเฉินเซ่าก็เหมือนฝากแฝงไว้ซึ่งความหมายหลายหลาก สีหน้าท่าทางห่างเหินยิ่งกว่าเก่า
โชคดีที่ในที่สุดเฉินอิ๋งก็แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อย นางเอ่ยปากขึ้นได้จังหวะพอดี “บิดา พวกเราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
เฉินเซ่าชักสายตากลับมาจ้องมองดูเฉินอิ๋ง ครั้นเห็นนางห่อคลุมร่างด้วยเสื้อคลุมสีชมพู ใบหน้างดงามตามธรรมชาติก็ถูกขับดุนให้งดงามมากขึ้นเป็นเท่าทวี มวยผมที่ถูกเกล้าไว้เยี่ยงบุรุษยามนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอันใด ทว่าโชคดีที่ฉีมามาเตรียมการอยู่ก่อนหน้าแล้ว ครั้นสวมหมวกม่านแพร บุคลิกลักษณะที่ปรากฏออกมาให้เห็น หากจะบอกว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เป็นกุลสตรีชั้นสูงเปี่ยมด้วยเกียรติยศสูงส่งก็หาผิดอันใดไม่
เฉินเซ่าสีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นอ่อนโยน เขาพยักหน้าน้อยๆ พลางเอ่ย “ดียิ่งนัก”
เฉินอิ๋งไม่พูดอันใด นางยกมือปล่อยผ้าโปร่งลง
ผ้าโปร่งยาวสีฟ้าอ่อน นุ่มละมุนไม่ต่างอันใดกับสายน้ำ กระเพื่อมไหวทั้งๆ ที่ไม่มีลม แลดูงามสง่าอยู่หลายส่วน
ครั้นเห็นเช่นนั้นมุมปากของเผยซู่ก็ไม่วายฉีกออก ในใจอดนึกเลื่อมใสในตัวเฉินเซ่าไม่ได้
ว่าที่พ่อตาของเขาผู้นี้อย่างไรก็เป็นบัณฑิตผู้รู้หนังสือ ท่วงท่างามสง่าแห่งวิญญูชนฝังลึกอยู่ในกระดูก แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เลือกมาก็ยังงดงามไม่ธรรมดา
ช่างน่ามองยิ่งนัก
เฉินเซ่าสีหน้าเคร่งขรึมอยู่เล็กๆ เขากระแอมกระไอออกมาคราหนึ่งพลางประสานมือไปทางเผยซู่ “ลาก่อน”
“ท่านลุงถนอมตัวด้วย” เผยซู่ค้อมกายลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เขาเองรู้กาลเทศะดี ครั้นส่งถึงบันไดขั้นสุดท้ายเขาก็ชะงักเท้าอยู่ที่นั่น คล้ายจดจำคำพูดของเฉินเซ่าที่ว่าไม่ต้องไปส่งได้
เฉินเซ่าสะบัดแขนเสื้อกว้าง นัยน์ตาไม่ต่างอันใดกับแมลงปอโฉบผิวน้ำ กวาดมองไปบนร่างของเผยซู่คราหนึ่ง ก่อนจะไพล่สองแขนไปทางด้านหลัง สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
พวกสวินเจินห้อมล้อมเดินตามเฉินอิ๋งไป ฉีมามาเดินนำสาวใช้อยู่ทางด้านหลัง คนทั้งหมดเดินออกจากนอกประตูลานไปอย่างเอิกเกริก
เฉินอิ๋งเดินตามทุกคนออกไป ในใจสงบนิ่งดุจผืนน้ำ ไม่มีทีท่าอาลัยอาวรณ์เยี่ยงดรุณีน้อยที่ไม่มีโอกาสได้กล่าวลากับอีกฝ่าย
ลมวสันต์อบอุ่นอ่อนโยน พัดผ่านลานกว้าง ไม่รู้ฟากฟ้าฝั่งตะวันตกเต็มไปด้วยเมฆสีแดงฉานดั่งไฟตั้งแต่เมื่อใด ก้อนเมฆสีแดงเข้ม แดงดอกท้อ แดงม่วงสารพัดปะปนอยู่ด้วยกัน อาบย้อมท้องนภาไปกว่าครึ่ง ดอกถูหมีเจิดจรัส กวาดท่วงทำนองหงอยเหงายามตะวันลับฟ้าไปจนสิ้น
“อาทิตย์อัสดงนี้งดงามยิ่งนัก” สวินเจินเอ่ยทอดถอนใจเสียงแผ่ว พึมพำกระซิบว่า “ ‘เช้ามองอาคเนย์ ค่ำมองพายัพ’ พรุ่งนี้เชื่อว่าอากาศต้องดีแน่”
นางเพราะสนิทชิดเชื้อกับหลัวมามา ความเชื่อพื้นบ้านเหล่านี้นางล้วนเรียนรู้มาจากอีกฝ่ายทั้งสิ้น
เฉินอิ๋งแย้มยิ้ม ขณะกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ หางตานางก็คล้ายชำเลืองเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง
นางรีบเพ่งตามองไป เห็นเฉินเซ่าที่เดินอยู่ข้างหน้าท่าทางคล้ายมีอันใดผิดปกติ ร่างกายโซซัดโซเซอย่างแรง
เฉินอิ๋งตกใจ นางรีบเดินตรงเข้าไปถามไถ่ “บิดา ท่านเป็นอะไรไป”
น้ำเสียงฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ สำหรับเฉินเซ่าแล้วมันกลับเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างอันใดกับสายป่านว่าวที่ถูกสายลมแรงพัดกระโชก ทุกตัวอักษรล้วนให้กำเนิดคลื่นสูง
เขาส่ายศีรษะ
ยามนี้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก แม้แต่โหนกคิ้วก็ปวด มุมหน้าผากก็ยิ่งปวด คล้ายมีคนดึงรั้งเหยียดยืดเส้นเอ็นที่อยู่ใต้ผิวหนังออกตลอดสองข้าง
ท้องฟ้าหมุนคว้าง ดอกไม้ใบหญ้ารอบๆ กับเงาคนทับซ้อนอยู่ด้วยกันวนเวียนอยู่รอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อสายตาพร่าเลือนหมดสิ้น
แสงอาทิตย์สว่างไสวเจิดจ้าจนเขาลืมตาแทบไม่ขึ้น
หัวคิ้วของเฉินเซ่าขมวดอยู่ด้วยกัน ร่างกายงอโค้งไปทางด้านหน้า สองมือกุมศีรษะ เหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดพรายเต็มหน้าผาก
ความเจ็บปวดรุนแรงราวกับถูกขวานจามใส่นี้เขาคุ้นเคยกับมันดี
ตอนเพิ่งกลับมาถึงจวนกั๋วกงใหม่ๆ ทุกครั้งที่เขาฝืนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต มันก็มักจบลงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสเช่นนี้
ทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนกัน
ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ไม่ต่างอะไรกับค้อนหนาหนักฟาดใส่แผ่นเหล็ก แข็งกระด้างอึดอัด คล้ายในหัวถูกของแข็งๆ อะไรบางอย่างแยกออกเป็นสองส่วน แบ่งเขากับความทรงจำที่ขาดหายไปเมื่อแปดปีก่อนไว้คนละโลก
ทว่าในเวลานี้แผ่นเหล็กที่เคยกั้นขวางอยู่ในสมองกลับแหลกสลายลงสิ้นแล้ว
ภายในสมองที่ปั่นป่วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรุนแรงนั้นคล้ายมีภาพเลือนรางบิดเบี้ยวยากจะแบ่งแยกชัดเจนปรากฏขึ้น ระคนอยู่กับฟันเลื่อยแหลมคมเจิดจ้าที่กำลังทิ่มแทงขุดลึกลงไปในสมองของเขา
เขาครวญครางเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจฝืน
เฉินเซ่ารู้สึกเอือมระอากับอาการสมองหมุนคว้างที่ระคนอยู่กับความเจ็บปวดราวกับชักกระตุกนั่นเต็มที เขาอาเจียนแห้งๆ อยู่ในลำคอคล้ายจะกระอักเอาอวัยวะภายในทั้งหมดออกมา
เฉินเซ่ากุมหัวแน่น ตาเหลือกขึ้นบน เส้นเลือดปรากฏขึ้นอยู่บนตาขาวเส้นแล้วเส้นเล่า
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีแสงเจิดจ้าแสบตาวาดผ่านอยู่ที่ด้านหน้า อะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังพุ่งตรงเข้ามาติดๆ
เขาพยายามเบิกตากว้าง รักษาสมดุลของร่างกาย หมายหาหนทางแยกแยะถึงที่มาของวัตถุดังกล่าว ต้นไม้ต้นหนึ่ง ดอกไม้ดอกหนึ่ง คนผู้หนึ่ง หรือหญ้าต้นหนึ่ง
สุดท้ายดวงตาที่ถลนออกมาของเขาก็กลับคืนสู่เบ้า เขามองเห็นแล้ว วัตถุที่พุ่งเข้าใส่หน้าเขาเป็นวัตถุสีเหลืองเข้มแกมดำ ด้านบนยังมีสีเขียวปะปน
หลังจากนั้นเจ้าสิ่งนั้นก็กระแทกเข้าใส่ร่างเขาเต็มๆ จมูกของเขาถูกล้อมไว้ด้วยกลิ่นดินเข้มๆ
ท่ามกลางสติสัมปชัญญะรางเลือนของเฉินเซ่า เขาเหมือนจะได้ยินน้ำเสียงกระจ่างชัดคุ้นเคย
“ฉีมามาไปตามท่านโหวน้อยก่อน บอกเขาให้ไปเชิญท่านหมอ พวกเจ้าไปจวนสกุลเผยยืมตั่งไม้มาตัวหนึ่ง แบกท่านพ่อข้าไปที่เรือนประธาน”
น้ำเสียงมั่นคง สงบนิ่ง เยือกเย็น แฝงไว้ซึ่งความมั่นอกมั่นใจของผู้เป็นนาย ไม่ยอมให้ผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยดังขึ้น
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเส้นเสียงสงบนิ่งนี้ถึงทำให้เฉินเซ่ารู้สึกผ่อนคลาย คล้ายที่อยู่ข้างกายคือญาติที่สนิทที่สุด
เขาผ่อนลมหายใจออกมาคราหนึ่งก่อนจะหลับตาลงอย่างวางใจ
ก่อนจะถูกความมืดครอบงำ ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ เสียงนั่นมาจากบุตรีของตน ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนเอง
โรคปวดหัวของเขากำเริบขึ้นอีกแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.