บทที่ 528 ลาก่อนเยี่ยชิง
หลังเดินทางกลับเซิ่งจิง ความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยนี้ก็วนเวียนอยู่ในใจของเฉินเซ่าเรื่อยมา
องค์กรที่ปรารถนาจะ ‘ใช้ระบบปกครองทั่วหล้า’ ปณิธานของพวกเขาย่อมไม่เล็กจ้อย ทว่าพวกเขาคล้ายมิได้นำพาแผ่นดินต้าฉู่เลยแม้แต่น้อย
แต่หากพิจารณาจากสมาชิกที่เข้าร่วมกับ ‘สมาคมเฟิงกู่’ เท่าที่เฉินเซ่ารู้ บ้างก็เป็นปัญญาชนเลือดร้อนเยี่ยงเฉินเซ่า บ้างก็เป็นคนหนุ่มสาวผู้มีปณิธาน ไม่ก็เป็นบัณฑิตตกยากผู้มีความรู้ความสามารถทว่าชีวิตอัตคัดขัดสน ชาวบ้านทั่วไปกลับพบเจอได้น้อยนัก
คนอย่างเถ้าแก่ ‘ร้านเสื้อผ้าเก่าเฉิงจี้’ เกรงว่าแม้ตายก็ไม่มีทางรู้ว่าตนเองเคยจับพลัดจับผลูร่วมมือทำงานรับใช้กลุ่มดังกล่าว
ความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ของเฉินเซ่าเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นก็ด้วยเพราะเหตุนี้
เพราะคำว่า ‘สัจธรรม’ นั้นศักดิ์สิทธิ์เกินไป ศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดที่ไม่อาจล่อลวงด้วยผลประโยชน์ของแว่นแคว้น หรือเพราะตัวเขาเองต่ำช้าเกินไป ถึงเข้าใจคำว่า ‘สัจธรรม’ ของนายท่านผิดไป
ความคิดอ่านสองประการนี้ต่อสู้อยู่ด้วยกันทั้งเช้าค่ำไม่มีหยุดหย่อน จนทำให้ความคิดของเฉินเซ่าสั่นคลอน
ยอมทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อเป้าหมายที่แทบจะไม่อาจสำเร็จเป็นจริงได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เรียกว่าเป้าหมายนี้เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ เป็นสิ่งที่ดูดีเพียงเปลือกนอก หรืออันที่จริงมันเป็นความคิดอ่านสูงส่งเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจได้อยู่แต่แรก ทำให้คนไม่อาจศึกษาเข้าใจได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง
กึก
เสียงดังลอยมาจากนอกประตู เฉินเซ่าคล้ายตื่นจากภวังค์ เขาหันหน้ามองไป พบสิงเหว่ยกำลังประคองแท่งหมึกพู่กันและอื่นๆ เดินเข้ามา
“นายท่านโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยจะลงมือฝนหมึกเดี๋ยวนี้” เขาปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง แล้วปิดม่านประตูตาม ก่อนจะเดินมาที่ข้างโต๊ะและค้อมกายกล่าว
เขาในเวลานี้ทั้งนอบน้อมทั้งรอบคอบ ไม่ต่างอันใดกับบ่าวไพร่ทั่วหล้า ไม่คล้ายมนุษย์แต่หากกลายเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งให้ผู้เป็นนายใช้สอย สามารถโยนทิ้ง แทนที่ หรือแม้แต่กำจัดทิ้งได้ทุกเมื่อ
เฉินเซ่าส่งเสียง “อืม” แผ่วเบาออกมาคราหนึ่งพลางกระชับเสื้อคลุมบนร่าง
ยามนี้ที่หยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะคือเงาร่างโอหังอวดดี ใบหน้างดงามถูกแสงเทียนส่องสะท้อนเกิดเป็นภาพบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่าง คล้ายกำลังผสานอยู่กับความมืด
สิงเหว่ยกวาดตามองดูอีกฝ่ายด้วยหางตา ในใจยิ้มหยัน ทว่าใบหน้ากลับร้างไร้ความรู้สึก วางกระดาษฉานอี้* ลงบนโต๊ะก่อนจะลงมือฝนแท่งหมึก
เสียงพู่กันเล็กละเอียดขยับไหวดังอยู่ภายในห้อง กระจ่างใสเงียบเหงา คล้ายเรือน้อยลำหนึ่งแล่นฝ่าความมืดเยี่ยงหมึกดำไปอย่างช้าๆ
คืนนี้โคมไฟในเรือนจวีสุ่ยยังคงสว่างไสว เพราะมองเห็นอยู่แต่ไกล หญิงรับใช้สูงวัยเดินยามกลางคืนประจำจวนสกุลหลี่จึงไม่กล้ารบกวน
ใต้เท้าข้าหลวงหลี่เหิงได้สั่งอยู่ก่อนแล้วว่าห้ามไม่ให้ทุกคนรบกวนความสงบของผู้เป็นน้องเขย หากผู้ใดขัดคำสั่งจะถูกลงโทษอย่างหนัก ด้วยเพราะเหตุนี้จึงไม่มีบ่าวไพร่คนใดกล้าฝ่าฝืน
สามวันต่อมา อาการป่วยของเฉินเซ่าก็ดีขึ้น เคลื่อนไหวนั่งนอนได้ไม่ต่างอันใดกับคนปกติ
ตามความคิดเห็นของเฉินเซ่า ยาเหล่านั้นหามีความจำเป็นต้องกินต่อไม่ ทั้งนี้เพราะกินไปก็ไม่มีประโยชน์
ทว่าหลี่เหิงกลับกลัวว่าจะเกิดเรื่องอันใดไม่ดีขึ้นจึงเชิญท่านหมอผู้มีชื่อเสียงมาช่วยจัดยาบำรุงให้ ทุกวันดื่มวันละหนึ่งถ้วย ฤทธิ์ของมันนับว่าไม่ธรรมดา สีหน้าของเฉินเซ่าแดงระเรื่อขึ้นทุกวัน ดีกว่ากินยาที่บรรดาหมอหลวงในเมืองหลวงจัดให้หลายเท่านัก
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อาการป่วยของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
ด้านเฉินอิ๋งเพราะได้รับความเห็นชอบจากเหล่าผู้อาวุโส นางจึงมีโอกาสเดินทางกลับไปที่สำนักศึกษาสตรี
จี่หนานต้นฤดูร้อนทัศนียภาพงดงาม ต้นท้อข้างประตูเมืองออกดอกผลิบาน แม้จะไม่มากนัก แต่เมื่อผสานอยู่กับสายฝนเล็กละเอียดดุจหมอก ประจวบกับเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เสน่ห์ของมันแทนที่จะถูกลดทอน ตรงกันข้ามกลับเพิ่มพูนน่าสนใจมากเป็นพิเศษ
เฉินอิ๋งเป็นพวกลัทธิเหตุผลนิยม ทุกอย่างในสายตาของนางมิใช่ภาพระทมทุกข์แห่งใบไม้ผลิ แต่หากเป็นพลังชีวิตแห่งฤดูร้อนที่ชวนให้คนรู้สึกปลื้มปริ่ม
ตอนออกจากจี่หนานไปใหม่ๆ นางไม่เคยนึกว่าจะเดินทางจากไปนานเช่นนี้ กว่าจะได้กลับมาสำนักศึกษาสตรีอีกครั้งก็ต้องรอถึงหนึ่งปี การเฝ้ารอมุ่งหวังเช่นนั้น สำหรับนางแล้วนับว่าเนิ่นนานยิ่งนัก
ทว่านางก็มิได้ปลาบปลื้มยินดีหัวปักหัวปำแต่ประการใด โดยเฉพาะหลังรถม้าเคลื่อนพ้นประตูเมือง สีหน้าของนางจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึม
“หยุดอยู่ที่นี่ก่อน ข้ามีนัดกับใครบางคน” ข้างถนนสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยต้นหลิวนั้นยามนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกฝนเม็ดเล็กสายลมโถมถา
เฉินอิ๋งสั่งให้เจิ้งโซ่วหยุดรถม้า ก่อนจะบอกกับสวินเจินและจือสือ “ข้าต้องลงรถไปพบคนผู้หนึ่ง พวกเจ้าสองคนรออยู่ที่นี่”
พอได้ยินเช่นนั้นสวินเจินก็ออกอาการไม่พอใจขึ้นมาทันที นางป้องปากพูด “คุณหนูทำเช่นนี้หาได้ไม่ ก่อนหน้านี้หลัวมามาได้กำชับสั่งผู้น้อยไว้ ห้ามมิให้พวกผู้น้อยอยู่ห่างกายคุณหนู คราวที่แล้วเพราะพวกผู้น้อยปล่อยให้คุณหนูตามท่านโหวน้อยไป พวกผู้น้อยเลยถูกนายท่านลงโทษให้คัดหนังสือ”
พอพูดจบนางก็ใบหน้ายับย่นเป็นผิวมะระ มองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตาน่าเวทนา “นายท่านลงโทษให้พวกผู้น้อยคัดตัวหนังสือตั้งร้อยหน้า ขนาดพวกผู้น้อยคัดจนค่ำมืดดึกดื่น อีกทั้งนี่ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จ คุณหนูเห็นใจพวกผู้น้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางทำสีหน้าเชิงขออภัยพลางกล่าว “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่รีบบอกเล่า ในมือข้ามีบทคัดเก็บไว้อยู่พอสมควร พวกเจ้าแค่เอาไปส่งเท่านั้นก็ได้แล้วมิใช่หรือไร”
“คุณหนู ทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ” สวินเจินใบหน้ากลัดกลุ้มราวกับกินหวงเหลียน* เข้าไป “สายตาของนายท่านเฉียบคมยิ่งนัก ตัวหนังสือพวกนั้นใช่ผู้น้อยคัดหรือไม่ นายท่านแค่มองดูปราดเดียวก็รู้แล้ว ผู้น้อยไหนเลยจะกล้า”
จือสือพยักหน้าตาม “ดวงตาของนายท่านราวกับมีแสงเทียนสุกสว่าง ยิ่งไปกว่านั้นพวกผู้น้อยก็มิอาจหลอกลวงนายท่านได้ ครั้งนี้คุณหนูพาพวกผู้น้อยไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เพราะไม่อยากทำพวกนางลำบาก เฉินอิ๋งจึงได้แต่ตกลงรับปาก ครั้นสามนายบ่าวแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อยก็ต่างคนต่างถือร่มไผ่ ลงจากรถเดินไปตามถนนสายเล็กๆ นั่น
ต้นหลิวเขียวชอุ่ม สายฝนเสมือนขนแปรงสีเงินสะบัดไหวลอยละล่องไปตามกิ่งหลิว คล้ายไร้สิ้นเรี่ยวแรงกำลัง
บางทีอาจด้วยเพราะฝนตก บนถนนจึงมีผู้คนสัญจรบางตา บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง
หลังจากผ่านไปได้ราวๆ หนึ่งเค่อ สามแยกด้านหน้าก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา ต้นหลิวใหญ่เขียวชอุ่มส่ายไหวตามลม ใต้ต้นหลิวมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์เจี้ยนซิ่วสีเทา เส้นผมเกล้าเป็นมวยสูง ใบหน้าราบเรียบนั้นแทบเรียกได้ว่าร้างไร้ซึ่งความรู้สึก
ที่แท้ก็เยี่ยชิงนั่นเอง
“ต้องให้ผู้บัญชาการเยี่ยรอนานแล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าวทักทายพลางชูร่มเดินตรงเข้าไป
เยี่ยชิงกลับไม่กางร่ม นางประสานมือสีหน้าราบเรียบ “คารวะคุณหนู”
ยังคงเป็นคำพูดสั้นๆ ตามมาตรฐานของเยี่ยชิง ทว่าสำหรับเฉินอิ๋งแล้ว นางกลับรู้สึกสนิทชิดเชื้ออย่างน่าประหลาด
“ที่นี่สะดวกพูดคุยกันกระนั้นหรือ” นางถามออกมาตรงๆ
เยี่ยชิงพยักหน้าแทนการตอบ
สวินเจินกับจือสือที่อยู่อีกด้านยามนี้ล้วนถอนหายใจโล่งอก
ถึงจะแต่งกายอยู่ในอาภรณ์เจี้ยนซิ่ว แต่ไม่ว่าเช่นไรเยี่ยชิงก็เป็นสตรี คุณหนูของพวกตนนัดพบกับสตรี ไหนเลยจะผิดขนบธรรมเนียมประเพณีอันใดได้
“ไหนๆ ก็มาแล้ว เช่นนั้นคงต้องรบกวนพวกเจ้าช่วยดูทางให้ข้าด้วย” ครั้นนึกถึงพวกนางสองคนขึ้นได้ เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากสั่ง
อันที่จริงมีเยี่ยชิงอยู่ที่นี่ เรื่องนี้หามีความจำเป็นอันใดไม่ เพียงแต่เรื่องที่นางจะพูดกับเยี่ยชิงหลังจากนี้ อย่าให้พวกนางสองคนได้ยินจะดีกว่า
สวินเจินกับจือสือต่างพากันขานรับ ก่อนจะไปเฝ้าอยู่บริเวณสองข้างถนน
เฉินอิ๋งกับเยี่ยชิงเดินขึ้นหน้าไปใกล้ต้นหลิวนั่นมากขึ้น ครั้นกวาดตาไปรอบๆ ไม่พบเจอผู้ใด นางก็เอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “สองสามวันนี้สิงเหว่ยมีความเคลื่อนไหวอันใดบ้างหรือไม่”
เฉินอิ๋งวางแผนให้คนจับตาดูสิงเหว่ยตั้งแต่ก่อนเดินทางมาซานตงแล้ว
ทว่าหลังเฉินเซ่าจู่ๆ ก็เป็นลมหมดสติ นางก็ได้บอกเรื่องนี้ให้เผยซู่รู้ ฝากให้เขานำคำพูดไปบอกกับเยี่ยชิง
เยี่ยชิงมีกำลังคนในมืออยู่กลุ่มหนึ่ง สมัครพรรคพวกเหล่านั้นปะปนซ่อนแฝงอยู่ในจี่หนาน เรียกได้ว่าเป็นงูเจ้าที่ มีพวกเขาออกหน้า การเคลื่อนไหวของสิงเหว่ยย่อมไม่มีทางหลุดรอดสายตาไปได้
ที่เฉินอิ๋งจงใจหลีกเลี่ยงผู้คนเช่นนี้ก็เพื่อมาฟังรายงานข่าวจากปากเยี่ยชิง
บทที่ 529 อาจารย์ในสำนักศึกษา
“อาจารย์ทังแห่งสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงกับเขานัดพบเจอกัน ทว่าไม่รู้เรื่องอันใด ข้าได้ส่งคนไปจับตาดูแล้ว”
เมื่อได้ยินเฉินอิ๋งถามเช่นนั้นเยี่ยชิงก็ตอบออกมาอย่างรวดเร็ว คำตอบยังคงกระชับสั้นเหมือนเช่นทุกครั้ง ครั้นพูดจบนางก็รวบแขนเสื้อ ชักเท้าออกเดินอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน” เฉินอิ๋งเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว นางรีบขยับเท้าขึ้นขวางพร้อมเอ่ยปากถาม “อาจารย์ทังแห่งสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงผู้นั้นมีที่มาที่ไปเช่นไร แล้วรายละเอียดของการนัดพบกันของพวกเขาเล่า รวมทั้งปกติการเคลื่อนไหวของสิงเหว่ยเป็นเช่นไร”
คำถามเป็นชุดของเฉินอิ๋งรั้งเท้าเยี่ยชิงไว้ นางช้อนตามองมาทางเฉินอิ๋ง สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับเหล็กขัดถูกันนั้นยกสูงเล็กน้อย “เด็กๆ!”
ทันทีที่พูดจบ คนผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากปากทาง ชะเง้อชะแง้มองมาทางพวกนาง
ครั้นเพ่งตามองไป เฉินอิ๋งก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มรูปร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่ง อายุน่าจะราวๆ สิบกว่าปี เนื้อตัวผ่ายผอม สวมใส่เสื้อผ้าสีเทา หลังเอวมีถุงผ้าผูกมัดไว้ ดูคล้ายเด็กที่ทำงานในห้องบัญชี
เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ เด็กผู้นี้คงต้องเป็นลูกน้องของเยี่ยชิงแน่ ไม่รู้ว่ามาที่นี่มีเรื่องอันใด
เยี่ยชิงมองดูเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ไกลๆ ไม่พูดอันใด ทำเพียงกวักมือ
เด็กหนุ่มคนนั้นสองตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขานรับเสียงดังฟังชัดว่า “ขอรับ” ก่อนจะชักเท้าวิ่งตรงเข้ามา
“หม่าโหวเอ๋อร์” ยังไม่ทันวิ่งเข้ามาใกล้ เยี่ยชิงก็พยักพเยิดหน้าให้กับเฉินอิ๋งคราหนึ่ง
เฉินอิ๋งเข้าใจได้ทันที นั่นเป็นชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้น
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น เยี่ยชิงก็หันหลังให้กับเฉินอิ๋ง ยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้น ชี้มาทางด้านหลัง “อาจารย์ใหญ่เฉิน”
“คารวะอาจารย์ใหญ่เฉิน” หม่าโหวเอ๋อร์ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพร้อมประสานมือคารวะ
การหยุดเพื่อแสดงคารวะนี้เกิดขึ้นทันทีที่เขาเดินสวนผ่านเยี่ยชิงไป หลังจากนั้นคำพูดกระชับสั้นประโยคหนึ่งก็ดังตามลมลอยละล่องเข้าหูของเฉินอิ๋ง
“เขาเล่า ข้าดูต้นทาง”
เสียงยังไม่ทันจางหาย เงาร่างของเยี่ยชิงก็หายลับไปจากที่นั่นแล้ว เร็วเสียยิ่งกว่าเร็ว
เฉินอิ๋งไม่รู้ว่าตนเองควรแสดงสีหน้าท่าทางอันใด
คำพูดของนางนี้หมายความว่านางรับผิดชอบเพียงพาคนเล่าเรื่องมาแนะนำกับเฉินอิ๋ง หลังจากนั้นหน้าที่ของนางก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ท่าทางประเภท ‘เรื่องนี้วันหน้าเจ้าอย่าได้ถามข้าอีก’ นี้นับเป็นท่าทีมาตรฐานของเยี่ยชิงโดยแท้
“อาจารย์ใหญ่เฉิน ท่านอยากทราบเรื่องอะไรก็ถามผู้น้อยมาได้เลย” หม่าโหวเอ๋อร์ยิ้มวิ่งเข้ามา สองตากลอกกลิ้งไปมา ท่วงท่าฉลาดเฉลียวปรากฏอยู่บนใบหน้า
เฉินอิ๋งรู้สึกอับจน แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยของเยี่ยชิงคิดให้นางพูดเพิ่มสักสองสามประโยคนั้นยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก ดังนั้นจึงทำเพียงเอ่ยปากถาม “คนที่ผู้บัญชาการเยี่ยให้เจ้าจับตาดูนั้น เจ้ายังจำได้หรือไม่”
“ผู้น้อยจำได้ขอรับ” หม่าโหวเอ๋อร์พยักหน้าติดๆ กันพร้อมวาดมือวาดไม้พูด “ชายหนุ่มผู้นั้นผมขาว ชอบเดินวกไปวนมา จับตามองเขานับว่าลำบากไม่ใช่น้อย”
เฉินอิ๋งพยักหน้าไม่พูดไม่จา
สิงเหว่ยที่มาที่ไปพิลึกพิลั่น พฤติกรรมเยี่ยงนี้จะว่าไปก็นับว่าเหมาะสมกับตัวเขาอยู่
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็กวักมือไปทางหม่าโหวเอ๋อร์ “พวกเราเดินเข้าไปข้างในอีกหน่อยเถอะ”
หม่าโหวเอ๋อร์รีบขานรับ เดินตามเฉินอิ๋งอยู่ทางด้านหลัง หลังจากเดินขึ้นหน้าไปได้สิบกว่าก้าว พวกเขาทั้งคู่ก็ชะงักเท้า
“อาจารย์ทังผู้นั้นมีที่มาที่ไปเช่นไร” เฉินอิ๋งถามต่อ
หม่าโหวเอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหยุดคิด เขาตอบออกมาอย่างรวดเร็ว “เรียนอาจารย์ใหญ่เฉิน อาจารย์ทังผู้นั้นเดิมเป็นซิ่วไฉสอบตก เพื่อเข้าสอบเขาผลาญเงินครอบครัวไปหมดสิ้น บิดามารดาของเขายามนี้ป่วยตายสิ้นแล้ว เพราะเขามีนิสัยแปลกประหลาด ไปขอบุตรีบ้านใดจึงไม่เคยประสบความสำเร็จ กลายเป็นตาแก่โดดเดี่ยว ต่อมาสหายร่วมเรียนของเขาผู้หนึ่งทนดูเขาเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ จึงชักนำเขามาเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาเฉวียนเฉิง”
“ในเมื่อเขาสอบตก แล้วเหตุใดถึงสามารถไปสอนคนได้” เฉินอิ๋งขมวดคิ้วกล่าว “สำนักศึกษาเฉวียนเฉิงเป็นสำนักศึกษาชั้นนำ มีชื่อเสียงอยู่ในจี่หนานมิใช่น้อย แล้วอาจารย์ทังยืนหยัดอยู่ที่นั่นได้เช่นไร”
หม่าโหวเอ๋อร์ยิ้ม “ผู้น้อยได้ยินคนบอกว่าทังซิ่วไฉแม้จะไม่อาจสอบผ่านเป็นจวี่เหรินได้ ทว่าความรู้ของเขากลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก บรรดาอาจารย์ในสำนักศึกษานั่นแบ่งกันหลากหลายระดับชั้น ทังซิ่วไฉสอนผู้เรียนระดับต้น ผู้น้อยคิดว่าความรู้ของเขานั้นน่าจะเพียงพออยู่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เฉินอิ๋งก้าวเดินขึ้นหน้าช้าๆ หม่าโหวเอ๋อร์เดินตามอยู่ทางด้านหลังไม่ห่างด้วยท่าทางซื่อๆ
หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็ถามขึ้นอีก “แล้วการพบเจอกันของอาจารย์ทังกับชายผมขาวผู้นั้นเป็นเช่นไร”
ชื่อของสิงเหว่ยนั้นจะพูดก็ได้ไม่พูดก็ได้
หม่าโหวเอ๋อร์ขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะตบหน้าผาก ยื่นมือล้วงเข้าไปในถุงผ้าพลางกล่าว “อาจารย์ใหญ่เฉินถามขึ้นมาผู้น้อยถึงนึกได้ นี่คือสัญลักษณ์ลับขอรับ”
ขณะพูดเขาก็ดึงมือพ้นออกมาจากถุงผ้า ที่ถืออยู่ในมือคือกระดาษแผ่นหนึ่ง มันถูกพับไว้เป็นอย่างดี เขายื่นส่งด้วยสองมือ “เมื่อหกวันก่อนตอนชายหนุ่มผมขาวออกจากประตูเรือน เขาได้ทำเครื่องหมายไว้บนหินใหญ่ก้อนที่สามทางทิศตะวันออกของตรอกหวงป้อ ผู้น้อยรู้ว่านั่นต้องเป็นสัญลักษณ์ลับแน่จึงคัดลอกมันไว้”
เฉินอิ๋งคลี่กระดาษออกดู เห็นด้านบนวาดลูกธนูไว้ดอกหนึ่ง ข้างตัวธนูมีเส้นตรงอยู่สองสามเส้น บ้างยาวบ้างสั้น มีทั้งที่อยู่ข้างบนและข้างล่าง
เฉินอิ๋งถามเขา “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ปลายธนูนี้ยามนั้นหันชี้ไปทางใด”
“ชี้ขึ้นบนขอรับ” หม่าโหวเอ๋อร์พูดจาหนักแน่น
“เส้นทางด้านบนมีอยู่แค่สองสามเส้นนี้เท่านั้นหรือ” เฉินอิ๋งถามต่อ
หม่าโหวเอ๋อร์เกาหัว น้ำเสียงแผ่วลง “ผู้น้อย…ผู้น้อยนับเลขไม่เป็น” พูดจบเขาก็แอ่นอกน้อยๆ สีหน้ามั่นอกมั่นใจ “แต่อาจารย์ใหญ่เฉินโปรดวางใจ ผู้น้อยวาดตามแบบทุกประการ ไม่มีอันใดผิดพลาด”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะถามอีกครา “พวกเขาพบเจอกันยามใด เวลากับสถานที่คือที่ใด”
หม่าโหวเอ๋อร์ตอบ “เรียนอาจารย์ใหญ่เฉิน เมื่อสามวันก่อนต้นยามเว่ย ชายหนุ่มผมขาวไปพบทังซิ่วไฉที่โรงน้ำชาถงชุนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง”
เฉินอิ๋งไม่พูดอันใด ทว่าในใจกลับครุ่นคิดเร็วรี่
หัวธนูชี้ขึ้นบน พบเจอกันทางทิศเหนือของเมือง เหมือนจะสอดคล้องกับคำว่า ‘ขึ้นเหนือล่องใต้’ ทิศที่หัวธนูหันชี้ไปน่าจะเป็นทิศทางของสถานที่นัดพบ
นางพิจารณาตัวธนูต่ออีกครั้ง ส่วนกลางของมันมีเส้นวาดอยู่สามเส้น หรือว่านี่คือเครื่องหมายบอกกำหนดนัด ‘สามวันให้หลัง’
ส่วนที่อยู่ทางด้านล่างมีเส้นห้าเส้น สี่เส้นยาวหนึ่งเส้นสั้น
นี่คือสัญลักษณ์บอกเวลานัดหมาย? สี่ยาวหนึ่งสั้นแทนต้นยามเว่ย?
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเฉินอิ๋งก็พับเก็บแผ่นกระดาษดังกล่าวเข้าไว้ในแขนเสื้อ
ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาคลี่คลายสัญลักษณ์ ตัวอย่างมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ยังน้อยเกินไปที่จะตัดสินใจ ยามนี้นางได้แต่คาดเดาเอาเท่านั้น
“พวกเขาสองคนพบปะพูดคุยอะไรกันบ้าง เจ้ารู้หรือไม่” นางหันไปถามหม่าโหวเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หม่าโหวเอ๋อร์ส่ายหน้า “พวกเขาเลือกนั่งอยู่ตรงกลาง สามารถมองเห็นได้รอบด้าน หากเข้าไปใกล้เกินไปต้องถูกพวกเขาจับได้แน่ ข้าได้แต่จับตามองอยู่ที่ข้างนอก ทว่าจากที่ข้าเห็นพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกันสักเท่าใดนัก แค่นั่งจิบชาอยู่สองคำ หลังชายหนุ่มผมขาวพูดอะไรบางอย่างสองประโยคจบ พวกเขาสองคนก็ต่างพากันแยกย้าย”
พอได้ยินเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ
คิดว่าพวกเขาจะส่งมอบของให้กันเสียอีก ที่แท้ก็แค่ถ่ายทอดคำพูด
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินหม่าโหวเอ๋อร์พูดขึ้นอีกว่า “ผู้น้อยกับพี่น้องอีกสองสามคนคอยจับตาดูอยู่ พอพวกเขาสองคนแยกจากกัน ผู้น้อยกับพี่น้องอีกคนก็คอยจับตาดูทังซิ่วไฉผู้นั้น หลังออกจากโรงน้ำชาเขาก็มุ่งหน้าตรงไปหาพ่อค้านายหน้าผู้หนึ่ง เพราะที่นั่นผู้คนมากมาย ผู้น้อยจึงพอเข้าไปแอบฟังได้ ได้ยินเขาบอกว่าต้องการขายบ้านของบรรพบุรุษทิ้ง ต้องการให้นายหน้าช่วยส่งคนไปตีราคา”
บทที่ 530 ไปแล้วไม่หวนคืน
เฉินอิ๋งเงยหน้าประหลาดใจ
อาจารย์ทังผู้นี้หานายหน้าเพื่อขายบ้านของบรรพชนทิ้ง? เพราะเหตุใด
หรือว่า…
“ทังซิ่วไฉตัดสินใจจะไปจากจี่หนานใช่หรือไม่” เฉินอิ๋งถามหยั่งเชิงหม่าโหวเอ๋อร์
“ผู้น้อยรู้สึกว่าคล้ายจะเป็นเช่นนั้น” หม่าโหวเอ๋อร์พยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว ยืนยันถึงข้อสันนิษฐานของนาง ก่อนจะพูดเสริม “ทังซิ่วไฉไม่เพียงจะขายบ้าน เมื่อสองวันก่อนยังแวะเวียนไปหานายหน้าบ่อยๆ ได้ยินว่าข้าวของมีค่าในบ้านอันใดล้วนขายหมดสิ้น”
พูดถึงตรงนี้หม่าโหวเอ๋อร์ก็ขยับขึ้นหน้าเข้าไปอีกเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าลึกลับ “เมื่อวานตอนสายผู้น้อยเห็นเขาออกมาจากสำนักศึกษา ในมือถือสัมภาระห่อใหญ่ห่อหนึ่ง มีศิษย์สองสามคนตามมาส่งเขาเดินทาง ผู้น้อยแสร้งทำเป็นเดินผ่าน แอบฟังพวกเขาพูดคุยกัน ได้ยินพวกศิษย์สองสามคนนั้นบอก ‘ท่านอาจารย์รักษาตัวด้วย’ ‘วันหน้าคงได้พบกันอีก’ อะไรทำนองนั้น มีศิษย์คนหนึ่งร่ำไห้ปาดน้ำตาอย่างกับพ่อแม่ตายก็ไม่ปาน”
เขาเบ้ปากกล่าว “ทังซิ่วไฉผู้นั้นกล่าวปลอบใจศิษย์พวกนั้นบอก ‘ถึงข้าไม่อยู่ แต่ก็ยังมีอาจารย์ท่านอื่นอยู่ พวกเจ้าตั้งใจเล่าเรียนให้ดี’ เขาพูดจาแบบพวกบัณฑิตมีการศึกษา ผู้น้อยเลียนแบบไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นผู้น้อยก็ฟังออกว่าทังซิ่วไฉพูดเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขากำลังจะเดินทางไกลเป็นแน่ อาจารย์ใหญ่เฉินว่าใช่หรือไม่”
เฉินอิ๋งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทว่าสีหน้าจริงจัง
ขนาดตำแหน่งอาจารย์ในสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงก็ยังไม่เอา งานนี้คงไม่ใช่แค่เดินทางไกลธรรมดาๆ แล้ว
การกระทำเช่นนี้ของทังซิ่วไฉเห็นชัดว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ย้อนกลับมาอีก
เพียงแต่เขาคิดจะไปที่ใด แล้วเหตุใดถึงต้องไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ด้วย
ขายบ้านบรรพชน ลาออกจากการเป็นอาจารย์ ปิดทางถอยหมดสิ้น ไยต้องเป็นเช่นนี้
บากหน้าพึ่งพาญาติพี่น้อง หลบหนีเภทภัย หรือ…ยังมีเรื่องลับอันใด
เฉินอิ๋งยืนขมวดคิ้ว หมอกฝนพัดเข้ามาภายในร่มย้อมกระโปรงสีฟ้าอ่อนให้เข้มขึ้น
เรื่องนี้คนสำคัญยังคงเป็นสิงเหว่ย
น่าเสียดายที่สิงเหว่ยยามนี้ยังคงไม่อาจแตะต้อง เฉินอิ๋งต้องการเก็บเขาไว้ ใช้ตกทังซิ่วไฉหรือคนอื่นๆ ออกมา
“วันนี้ตอนสายทังซิ่วไฉออกจากเรือนมาอีก แต่คราวนี้เขามุ่งหน้าไปโรงรับจำนำ” หม่าโหวเอ๋อร์พูดขึ้นอีก ใบหน้าเหลืองผอมเล็กๆ นั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย
“หลังออกมาจากโรงรับจำนำ ผู้น้อยก็มอบเงินเล็กน้อยให้กับเจ้าหน้าที่โรงรับจำนำ เจ้าหน้าที่คนนั้นกระซิบบอกกับผู้น้อยว่าทังซิ่วไฉมาไถ่ของ ก่อนหน้านี้เขาเงินขาดมือ จึงเอาหยกประดับมาจำนำไว้สองตำลึงเงิน ยามนี้เอาตั๋วจำนำมาไถ่ของคืน เพราะเมื่อสองวันก่อนเขาขายของออกไปไม่น้อย ยามนี้จึงมีเงินทองเหลือเฟือ หยกประดับนั้นถูกเขาไถ่กลับไปแล้ว”
เฉินอิ๋งหรี่ตา
หยกประดับนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีปัญหาอันใดบางอย่าง
หรือว่าเพราะกำลังจะเดินทางไกล ทังซิ่วไฉจึงคิดจะเก็บหยกประดับประจำตระกูลไว้เป็นของที่ระลึก?
เฉินอิ๋งถูด้ามร่มเบาๆ สัมผัสเย็นชุ่มชื้น ลมหายใจฝากแฝงไว้ซึ่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไผ่ เพียงแต่กลิ่นดังกล่าวเปียกชื้นด้วยน้ำฝน ด้ามร่มมันปลาบสีเขียวคล้ายเปียกชื้นอยู่หลายส่วน
“ทว่าชายหนุ่มผมขาวผู้นั้นสองสามวันนี้กลับหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ยอมออกมา” หม่าโหวเอ๋อร์พูดขึ้นอีก หลังจากนั้นเขาก็ค้อมตัว “ที่ผู้น้อยรู้ก็มีเพียงเท่านี้”
“ขอบใจเจ้ามาก” เฉินอิ๋งพาตนเองออกจากความคิดอ่านเหล่านั้น นางกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบเอาเหรียญกษาปณ์ออกมาจำนวนหนึ่ง ยิ้มมอบมันให้กับเขา “เพื่อสืบข่าว เจ้าต้องลำบากไม่ใช่น้อย เงินนี้เจ้ารับไว้เถอะ เอาไปซื้ออะไรอร่อยๆ กิน”
หม่าโหวเอ๋อร์สองตาเบิกกว้าง จ้องมองดูเงินพวกนั้น น้ำลายแทบจะหกออกมากระนั้น
นึกไม่ถึงว่าแทนที่จะรับมันเอาไว้ เขากลับดึงสองมือไปทางด้านหลัง ส่ายหน้าพูดเสียงดัง “อาจารย์ใหญ่เฉินแกล้งผู้น้อยแล้ว ผู้น้อยไหนเลยจะกล้ารับเงินพวกนี้ไว้ หากผู้บัญชาการเยี่ยรู้เข้า ผู้น้อยมีหวังได้ถูกถลกหนังแน่”
เขาพูดพลางถอนสายตาออกจากเหรียญกษาปณ์พวกนั้นอย่างสุดกำลัง ชักเท้าถอยหลังไปสองสามก้าว ท่วงท่าเด็ดเดี่ยวมั่นคง สองมือไพล่หลังค้อมกายแสดงคารวะ ก่อนจะหันหลังวิ่งจากไป
“ช้าก่อน” เฉินอิ๋งรีบเรียกอีกฝ่าย
หม่าโหวเอ๋อร์ว่านอนสอนง่าย เขารีบชะงักเท้า ตอนหันกลับมาสองมือยังคงไพล่อยู่ทางด้านหลัง สีหน้าระแวดระวัง “อาจารย์ใหญ่เฉินต้องการสั่งให้ผู้น้อยทำอันใดกระนั้นหรือ” ตอนพูดเขาเชิดหน้าแอ่นอก พูดจาหนักแน่นเปี่ยมด้วยเหตุผล “หากท่านต้องการตกรางวัลผู้น้อยด้วยเงินพวกนั้น ผู้น้อยมิอาจรับได้ ขออาจารย์ใหญ่เฉินเก็บมันกลับไปเถิด”
พูดถึงท้ายสุด เขาก็ไม่วายกลืนน้ำลายลงคอสองสามคราว
เฉินอิ๋งเกือบหลุดหัวเราะ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากล่าวปฏิเสธ แต่สายตาของหม่าโหวเอ๋อร์กลับราวกับมีตะของอก ถูกเหรียญกษาปณ์นั่นคว้าวิญญาณไป ใบหน้าเกือบมีคำว่า ‘ข้าอยากได้’ สลักไว้
เฉินอิ๋งยัดเงินพวกนั้นกลับเข้าแขนเสื้อ ดวงตาของอีกฝ่ายฉายแววผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าววาจาน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าไม่กล้ารับไว้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า ไว้อีกสักครู่ข้าค่อยมอบเงินก้อนนี้ให้ผู้บัญชาการเยี่ย ให้นางเป็นคนแบ่งให้พวกเจ้าก็แล้วกัน พวกเจ้าทำงานได้ดีมาก นี่เป็นรางวัลที่พวกเจ้าสมควรได้รับ”
หม่าโหวเอ๋อร์เบิกบานใจยิ่ง รอยยิ้มแขวนประดับอยู่เต็มใบหน้าเล็กๆ นั่น เขาพูดออกมาติดๆ กัน “อาจารย์ใหญ่เฉินดียิ่งนัก ขอบคุณอาจารย์ใหญ่เฉิน”
เฉินอิ๋งโบกมือ พูดวกกลับเข้าเรื่อง “เอาล่ะ พวกเราเข้าเรื่องกันดีกว่า รบกวนเจ้าไปเชิญผู้บัญชาการเยี่ยมา บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการให้นางช่วยเหลือ”
หม่าโหวเอ๋อร์ขานรับเสียงดัง วิ่งจากไปด้วยท่าทีลิงโลดยินดี
เพียงไม่นาน ท่ามกลางหมอกฝน เงาร่างของเยี่ยชิงก็ปรากฏขึ้น
คราวนี้นางกลับถือร่มไว้ในมือ ร่มไหมสีดำ ท่าทางยามถือมันไว้แลดูไม่ต่างอันใดกับกุมกระบี่ ถึงจะก้าวย่างเชื่องช้า ทว่าท่าทางยามแหวกฝ่าสายฝนเผชิญหน้ารับลมนั่นหากจะบอกว่ากำลังเดินเข้าสู่ลานประหารก็หาได้เกินเลยไม่
เฉินอิ๋งมองดูนางเดินตรงเข้ามา ครั้นอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก็เอ่ยปาก “ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องการให้ท่านช่วยเหลือ ท่านแค่บอกว่าได้หรือไม่เท่านั้นก็พอ”
น้ำเสียงสะอาดใสที่ฝากแฝงอยู่กับสายฝนนี้ชวนให้คนฟังรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ใบหน้าของเยี่ยชิงยังคงร้างไร้ความรู้สึก นางเปิดปากกล่าวออกมาคำหนึ่ง “ว่ามา”
เฉินอิ๋งเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา “ในมือของท่านน่าจะมีคนที่เชี่ยวชาญด้านการขโมยของ ข้าอยากให้เขาไปบ้านของทังซิ่วไฉสักครั้ง เอาหยกประดับชิ้นนั้นมาให้ข้าดู หลังข้าดูเสร็จค่อยเอามันคืนกลับไปให้เขา อย่าให้เขารู้ตัว”
เมื่อครู่ต่อหน้าหม่าโหวเอ๋อร์ เฉินอิ๋งไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เกรงจะทำให้เด็กน้อยผู้นั้นเสียคน
นอกจากนี้เฉินอิ๋งเองก็ไม่มั่นใจว่าหยกประดับชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่
เพียงแต่ไม่ว่าจะสิงเหว่ยหรือทังซิ่วไฉเฉินอิ๋งล้วนไม่อาจทำการใดให้พวกเขาแตกตื่นตกใจได้ ด้วยเหตุนี้ขอบเขตการเคลื่อนไหวของนางจึงคับแคบยิ่ง นอกจากหยกประดับแล้วก็ไม่มีอื่นใดอีก
“ได้” เยี่ยชิงตอบ คำตอบของนางล้วนสั้นจนมิอาจสั้นได้อีกชั่วนิรันดร์
เฉินอิ๋งรู้ดีถึงอุปนิสัยของอีกฝ่าย ครั้นได้ยินเช่นนั้นนางก็ไม่ถามไถ่อันใดให้มากความอีก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยปากกำชับ “ถ้าเป็นไปได้ คนที่ทังซิ่วไฉไปพบเจอในช่วงนี้ก็ต้องรบกวนให้ท่านช่วยส่งคนไปจับตาดูด้วย”
เยี่ยชิงมือข้างหนึ่งถือร่ม มืออีกข้างไพล่อยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยปากออกมาคำหนึ่ง “ได้”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ มอบมันให้กับนาง “นี่เป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ ท่านเอาไปตกรางวัลให้พวกหม่าโหวเอ๋อร์เถิด เด็กคนนี้ท่านสั่งสอนได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เยี่ยชิงมองดูนาง นัยน์ตาฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกประหลาดใจ
นางรับถุงเงินไว้ ชั่งน้ำหนักด้วยความเคยชิน ใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่ตลอดกาลยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด นาง “อืม” ออกมาคำหนึ่งก่อนจะเก็บถุงเงินเข้าไว้ในแขนเสื้อ
ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งจึงไม่พูดอันใดอีก
คนทั้งสองเดินออกจากป่าต้นหลิวไปเงียบๆ สวินเจินกับจือสือล้วนตรงเข้ามารับเฉินอิ๋ง พอเห็นเช่นนั้น เยี่ยชิงก็ประสานมือคารวะเฉินอิ๋ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
* กระดาษฉานอี้ (กระดาษปีกจักจั่น) เป็นกระดาษคุณภาพดีประเภทหนึ่ง เนื้อกระดาษบางมันวาว
* หวงเหลียน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน รากมีรสขมมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.