บทที่ 531 ตามหาญาติถึงเรือน
เฉินอิ๋งมองดูเงาร่างของผู้บัญชาการเยี่ยหายลับไปท่ามกลางหมอกฝน นางอดถอนหายใจไม่ได้ นิสัยพูดน้อยของอีกฝ่ายนี้นับวันก็ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกที
เฉินอิ๋งกลับขึ้นไปนั่งอยู่บนรถม้าอีกครั้งพร้อมความรู้สึก ‘พบพานสหายเก่าข้ายินดี สหายเก่าพบพานข้ากลับต่างไป’
เพราะถนนเล็กๆ สายนั้นห่างจากสำนักศึกษาไปไม่ไกลนัก หลังจากผ่านไปได้ราวๆ หนึ่งเค่อ รถม้าก็จอดลงอีกครั้ง
เฉินอิ๋งลงจากรถทอดสายตามองไป ที่ปรากฏต่อสายตาคือหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง
ก้อนหินสีขาวแกมเทา ด้านบนยังคงไม่มีคราบตะไคร่อันใด คล้ายมีคนเช็ดถูทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ตัวอักษรคำว่า ‘สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรี’ สีเขียวส่งประกายวับวาวส่องสะท้อนอยู่กับหมอกฝนทั่วฟ้า
“ป้ายสำนักศึกษาสตรีของพวกเรายิ่งมองก็ยิ่งเหมือนจะงดงามมากขึ้นทุกที” ได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าอีกครั้ง สวินเจินคล้ายปีติยินดียิ่ง ยามนี้นางเอียงคอพินิจพิจารณาหินก้อนใหญ่ สีหน้าท่าทางเหมือนจะภาคภูมิใจอยู่เล็กๆ “ไม่ใช่ผู้น้อยยกยอปอปั้น ทว่าป้ายสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงนั้นไม่ว่าจะงดงามสักเพียงใด ผู้น้อยก็รู้สึกว่ามันก็เท่านั้น เทียบไม่ได้กับสำนักศึกษาสตรีของพวกเราแม้แต่น้อย”
เฉินอิ๋งยิ้มไม่พูดอันใด จือสือปิดปากกระเซ้าสวินเจิน “เจ้าเคยไปสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงตั้งแต่เมื่อใด ประตูใหญ่ของสำนักศึกษานั่นเปิดไปทางทิศใดเจ้ารู้กระนั้นหรือ”
สวินเจินเชิดหน้าเอ่ย “ข้าต้องรู้อยู่แล้ว เปิดไปทางทิศใต้อย่างไรเล่า” ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปทางจือสือ ยิ้มหรี่ตาพร้อมพูด “พี่คิดว่าข้าโง่งมหรือไร ใครบ้างจะไม่รู้ว่าลานเรือนทุกหลังล้วนหลังบ้านหันเหนือหน้าบ้านหันใต้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ประตูใหญ่ย่อมต้องหันไปทางทิศใต้”
คำพูดนี้เผยให้เห็นถึงพิรุธ จือสือหัวร่องอหาย “แค่คำพูดไม่กี่ประโยคเจ้าก็เผยไต๋ให้คนจับได้แล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่เคยไปสำนักศึกษานั่น เรื่องนี้เจ้าเป็นคนพูดออกมาเองนะ”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง สวินเจินก็รู้สึกจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้ นางไม่วายหน้าแดงกระทืบเท้า จือสือหยอกกระเซ้านาง เฉินอิ๋งคอยมองอยู่ข้างๆ ริมฝีปากยกโค้ง
ทันใดนั้นเสียงสตรีนางหนึ่งจู่ๆ ก็ดังขึ้น “ไม่ทราบว่านี่คือสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงของคุณหนูใหญ่เฉินใช่หรือไม่”
ภาษาที่พูดไม่สู้จะเป็นภาษามาตรฐานนัก มิหนำซ้ำสำเนียงซานตงยังชัดเจนยิ่ง
จือสือกับสวินเจินนิ่งเงียบทันที เฉินอิ๋งหันหน้ามองกลับไป
ที่ยืนห่างจากพวกนางไปราวๆ สิบกว่าก้าวคือสตรีสองนาง คนที่อยู่ด้านหน้าแต่งกายเยี่ยงสตรีที่ออกเรือนแล้ว เสื้อผ้าที่นางสวมใส่เป็นอาภรณ์ไม่มีแขนสีเขียว ผ้าคลุมผมสีคราม ดวงตาฉายแววปราดเปรียว ดูจากการแต่งตัวแล้วคล้ายเป็นแม่บ้านตระกูลใหญ่
เจ้าของเสียงเมื่อครู่ที่แท้ก็คือนาง
เห็นเฉินอิ๋งมองมาเช่นนั้นนางก็รีบแสดงคารวะ “ผู้น้อยละลาบละล้วงแล้ว ขอคุณหนูได้โปรดอย่าถือสา” พูดจบนางก็ชักเท้าเดินขึ้นหน้า ค้อมกายยิ้มขออภัย “ขอถามคุณหนูสักคำ ที่นี่ใช่สำนักศึกษาสตรีของคุณหนูใหญ่เฉินจากเมืองหลวงผู้นั้นหรือไม่”
“ใช่แล้ว” เฉินอิ๋งกล่าว สายตากวาดมองไปทางด้านหลังของนางอย่างไม่ตั้งใจ
ด้านหลังของสตรีผู้นี้คือดรุณีนางหนึ่ง ร่างทั้งร่างถูกซ่อนอยู่ภายในหมวกม่านแพร ที่พอมองเห็นมีก็แต่เพียงอาภรณ์สีฟ้ายาวกรอมข้อเท้าเท่านั้น ชายอาภรณ์ปักลายไผ่เขียวอยู่สองสามลำ ที่อยู่ในมือของเด็กสาวคือร่มไหมสีฟ้าจางปักลายดอกบัวสีชมพู ยามนี้กำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกฝน แลดูไม่ต่างอันใดกับภาพวาด
เห็นเฉินอิ๋งกวาดตามองมาเช่นนั้น สตรีคนดังกล่าวก็รีบชักเท้าไปทางด้านข้างครึ่งก้าวคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ ใช้ใบหน้าอาบซึ่งรอยยิ้มบังขวางสายตาของนาง “คุณหนูผู้นี้ ผู้น้อยใคร่ขอถามอีกสักคำ ท่านเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาสตรีแห่งนี้กระนั้นหรือ”
คำพูดดังกล่าวทำให้เฉินอิ๋งมั่นใจว่านางต้องไม่ใช่คนจี่หนานแน่นอน
สำนักศึกษาสตรีรับก็แต่ชาวบ้านสามัญธรรมดา ไม่รับสตรีสูงศักดิ์ เรื่องนี้ผู้คนในจี่หนานล้วนรู้ดี ทว่าสตรีนางนี้กลับเข้าใจผิดคิดว่าเฉินอิ๋งเป็นศิษย์สำนักศึกษาสตรี เห็นได้ชัดว่านางมาจากที่อื่น
เฉินอิ๋งเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงรอยยิ้มยามปกติของตน “ข้าเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาสตรี ข้าแซ่เฉิน”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยค “สำนักศึกษาสตรีแห่งนี้ข้าเป็นคนเปิด”
เฉินอิ๋งยังคงพูดอย่างตรงไปตรงมา หลังบอกถึงสถานะของตนเองจบ นางก็ถามอีกฝ่าย “ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองคือผู้ใด มาที่นี่มีกิจธุระอันใดหรือ”
สตรีผู้นั้นคล้ายตกตะลึงอยู่เล็กๆ แม้คำพูดจะดังลอยเข้าหู ทุกตัวอักษรล้วนชัดแจ้ง ทว่าครั้นรวมอยู่ด้วยกันนางกลับรู้สึกเหมือนจะฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก หลังเฉินอิ๋งพูดจบ นางก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่ตอบอันใด
“ขออภัยอาจารย์ใหญ่เฉิน พวกเราล่วงเกินแล้ว” สตรีที่อยู่ด้านหลังชักเท้าเดินขึ้นหน้า ย่อเข่าแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋ง ก่อนจะเอ่ยปากเปล่งน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานเยี่ยงดรุณีน้อยออกมา “หลิวมามาไม่ทราบว่าคุณหนูอยู่ที่นี่ ข้าต้องขออภัยแทนนางด้วย” พูดจบนางก็แสดงคารวะอีกคราว
เฉินอิ๋งเบี่ยงกายหลบเลี่ยง หลิวมามาผู้นั้นได้สติขึ้นมาทันที ใบหน้าแดงระเรื่อ นางชักเท้าถอยไปสองสามก้าว รับร่มจากในมือของดรุณีผู้นั้นด้วยท่าทีนอบน้อม ร่างกายโน้มเอนไปทางด้านหน้าเล็กๆ มือข้างหนึ่งตกอยู่ข้างลำตัว สายตามองต่ำลงสามสิบองศา
ถึงขนาดต้องวางตนเช่นนี้ ฐานะชาติกำเนิดของดรุณีน้อยผู้นี้เกรงว่าจะไม่ธรรมดา
ขณะที่เฉินอิ๋งกำลังครุ่นคิด ดรุณีน้อยก็เหยียดตัวยืนตรง น้ำเสียงกระจ่างใสดั่งเสียงนกร้องคล้ายเสียงเพลงก็ดังขึ้น “ข้าแซ่เสวียชื่ออักษรตัวเดียวจื่อ เป็นบุตรีลำดับที่สองของตระกูล ข้าเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อตามหาน้องสาม เพราะได้ยินคนบอกว่านางยามนี้มาเป็นแขกของอาจารย์ใหญ่เฉิน ข้าด้วยเพราะร้อนใจ จึงรีบร้อนเดินทางมาตามอำเภอใจ มิได้ส่งเทียบแจ้งให้ทางนี้ทราบก่อน นับว่าเสียมารยาทยิ่งนัก ขออาจารย์ใหญ่เฉินได้โปรดให้อภัยด้วย”
เฉินอิ๋งสะท้านไปทั้งใจ
แซ่เสวีย? ดรุณีน้อยผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใดกับเสวียหรุ่ย
ครั้นคิดถึงจุดนี้นางก็เดินขึ้นหน้าสองก้าว ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าคุณหนูเป็นอันใดกับใต้เท้าเสวียผู้ช่วยเจ้าเมืองไท่อัน”
พอได้ยินเช่นนั้นเสวียจื่อก็ยกมือเลิกเปิดผ้าโปร่งยาวสีฟ้าอ่อน เผยให้เห็นใบหน้างดงามขาวสล้าง สองแก้มแดงระเรื่อน้อยๆ “เรียนอาจารย์ใหญ่เฉิน ใต้เท้าเสวียก็คือบิดาของข้า”
นางเป็นพี่สาวของเสวียหรุ่ยจริงๆ!
เฉินอิ๋งแม้จะประหลาดใจ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าอันใด นางอมยิ้มกล่าว “ที่แท้ท่านก็คือคุณหนูรองเสวีย เชิญเข้ามาพูดคุยกันในสำนักศึกษาเถิด อาจารย์เสวียยามนี้อยู่ในสำนักศึกษา”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นเสวียจื่อก็คล้ายตื่นเต้นหวั่นไหว ขอบตาแดงระเรื่อ นางแสดงคารวะออกมาอีกคราว เดินตามเฉินอิ๋งผ่านประตูสำนักศึกษาเข้าไปภายในโดยมีหลิวมามาคอยประคองอยู่ข้างๆ
จะว่าไปก็บังเอิญยิ่งนัก ทันทีที่ย่างเท้าขึ้นไปอยู่บนระเบียงที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เขียวครึ้ม เสียงเคาะระฆังก็ดังขึ้น เสียงใสกระจ่างดังอ้อยอิ่ง ฟังดูวังเวงท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
“นี่เป็นเสียงสัญญาณเลิกเรียน ข้าจะให้คนไปเชิญอาจารย์เสวียมา” เฉินอิ๋งหันไปบอกกับเสวียจื่อ เชิญพวกนางสองนายบ่าวไปนั่งอยู่ยังเรือนรับรอง ก่อนจะสั่งให้คนจัดเตรียมน้ำชาของว่าง หลังพูดคุยกันสองสามประโยค พวกนางก็สังเกตเห็นว่าท่ามกลางหมอกฝนนอกหน้าต่าง สตรีนางหนึ่งกำลังเดินตรงมาอย่างช้าๆ ที่แท้อีกฝ่ายก็คือเสวียหรุ่ย
ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันปีกว่าแล้ว ยามนี้ครั้นได้พบเจอกันอีกครั้ง เฉินอิ๋งก็อดประหลาดใจไม่ได้
เสวียหรุ่ยในยามนี้ทำนางไม่นึกอยากเชื่อสายตา เฉินอิ๋งอดพินิจพิจารณาดูอีกฝ่ายไม่ได้
เสวียหรุ่ยสวมกระโปรงหม่าเมี่ยนผ้าไหมสีฟ้าสด เสื้อสีฟ้าจาง เส้นผมดำขลับเกล้าเป็นมวยกลมไว้ทางด้านหลัง มีปิ่นหยกอักษรฝูประดับอยู่อันหนึ่ง
ยามนี้นางถือร่มผ้าแพรสีเขียว สวมเกี๊ยะไม้สีดำ ดวงตาสุกใสฟันขาวสะอาด อาภรณ์สะบัดไหว ย่างเยื้องอยู่ท่ามกลางสายฝนเล็กละเอียด แลดูไม่ต่างอันใดกับบุปผาอาบน้ำค้างเบ่งบาน งดงามจนคนมิอาจชักสายตาหลบ
เฉินอิ๋งตะลึงมองดูนาง
เสวียหรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าในยามนี้ต่างกับดรุณีในความทรงจำที่เอาแต่ก้มหน้าห่อไหล่ ไม่กล้าสบตาผู้คนนางนั้นราวกับเป็นคนละคน
“น้องสาม!” ครั้นเห็นเงาร่างคุ้นเคยนั่นแต่ไกล เสวียจื่อก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชักเท้าเดินตรงไปที่ข้างประตูทันที น้ำตาเอ่ยคลอคล้ายจวนเจียนหล่นร่วง
เสวียหรุ่ยเองก็มองเห็นอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน นางยิ้มโบกมือให้กับผู้เป็นพี่สาว ฝีเท้ายังคงไม่เร่งไม่ร้อน ศิษย์คนสองคนที่บังเอิญพบเจอนางเข้าต่างแสดงคารวะให้กับนาง เสวียหรุ่ยหยุดเท้าพยักหน้าส่งความปรารถนาดีให้ศิษย์เหล่านั้นน้อยๆ ท่วงท่าสุขุมเยือกเย็นเป็นที่สุด
บทที่ 532 เสียงระเบิด
ยิ่งเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็ยิ่งแปลกใจ
การเปลี่ยนแปลงของเสวียหรุ่ย หากจะบอกว่าเป็นการ ‘ถอดรกเปลี่ยนกระดูก’ ก็คงไม่ผิดอันใดนัก
ครั้นเดินมาถึงใต้ชายคาระเบียง เสวียหรุ่ยก็ถอดเปลี่ยนรองเท้าด้วยท่วงทีกิริยางดงาม เก็บร่ม เดินผ่านธรณีประตูเข้ามาช้าๆ อมยิ้มแสดงคารวะไปทางเสวียจื่อ “พี่รอง เหตุใดท่านถึงมีเวลาแวะเวียนมาที่นี่ได้”
ตั้งแต่หัวจรดเท้า เสวียหรุ่ยยามนี้ไม่มีอาการกลัวหัวหดเหมือนอย่างเช่นในกาลก่อน ตรงกันข้ามกลับงดงามวางตัวตามสบายชวนให้คนรู้สึกเหมือนได้ดื่มสุราหวานชั้นยอด
เสวียจื่อยามนี้กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา น้ำเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เล็กๆ “ข้ามาเพื่อเยี่ยมเจ้า เห็นเจ้าสุขสบายเช่นนี้ ข้ารู้สึกยินดียิ่งนัก”
เพิ่งพูดได้ไม่กี่ประโยคน้ำตานางก็ไหลพรากไม่หยุด เสียงสะอื้นดังอยู่เบาๆ
ครั้นเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็ไม่นั่งต่อ นางทักทายสองพี่น้องสกุลเสวียครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวไปพูดคุยกับเฉินเซียงที่ห้องอาจารย์ใหญ่
ที่นางกลับสำนักศึกษามาในยามนี้เหตุผลหลักๆ ก็เพราะต้องการส่งมอบและรับช่วงต่อจากรักษาการอาจารย์ใหญ่ เรื่องนี้ยุ่งยากมิใช่น้อย วันนี้เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน
เฉินเซียงรอคอยอยู่ในห้องอาจารย์ใหญ่นานแล้ว หลังเฉินอิ๋งเข้าไป ทั้งสองก็พูดจาโอภาปราศรัยทักทายกันอยู่พักใหญ่
จะว่าไปนับแต่เกิดเรื่องแยกตระกูล หลี่ซื่อก็มิใช่สะใภ้จวนกั๋วกงอีกต่อไป เฉินเซียงสองพี่น้องอยู่บ้านสกุลหลี่ต่อนับว่าชวนกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ได้อยู่ก่อนหน้า จึงส่งพ่อบ้านหลิวสองสามีภรรยามา ให้พวกเขาซื้อกิจการที่จี่หนานพร้อมจวนสามทางเข้าไว้หลังหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เฉินเซียงสองพี่น้องจึงนับได้ว่ามีที่ไป ส่วนครอบครัวของพ่อบ้านหลิวก็พำนักอยู่ที่ซานตง ชายดูแลเรื่องราวภายนอก หญิงดูแลเรื่องราวภายใน
นอกจากนี้เพราะไม่สะดวกที่จะเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาสกุลหลี่ เฉินเซียงกับเฉินหานจึงไปเป็นอาจารย์ชั่วคราวอยู่ที่สำนักศึกษาสตรี ทุกวันวุ่นวายอยู่กับการเตรียมบทเรียน เข้าสอน ยิ่งไปกว่านั้นเฉินหานยังหลงใหลในการทดลองอย่างยิ่งยวด ใช้ชีวิตยามปกติอย่างออกรสออกชาติ ชวนให้คนอุทานด้วยความตื่นตะลึง
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ให้คนส่งจดหมายมาหลายต่อหลายครั้ง ล้วนต้องการให้พวกนางช่วยเฉินอิ๋งจัดการสำนักศึกษาสตรีให้ดีๆ คล้ายใส่ใจต่อสำนักศึกษาสตรีเป็นพิเศษ ไม่รีบร้อนจะเรียกตัวพวกนางสองพี่น้องกลับเมืองหลวง ทำเพียงบอกให้พวกนาง ‘พำนักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเท่านั้นก็พอ’ แม้แต่เรื่องการออกเรือนของเฉินเซียง ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็เหมือนจะไม่รีบร้อนแต่อย่างใด
เมื่อครึ่งเดือนก่อนเฉินจิ่นออกเรือนไป ว่ากันตามหลักแล้วเฉินเซียงกับเฉินหานล้วนต้องเดินทางไปร่วมงานด้วยเพื่อแสดงน้ำใจของคนในครอบครัวเดียวกัน
เพียงแต่กฎเกณฑ์ที่จี่หนานเคร่งครัดไม่ใช่น้อย หากมิได้มีความจำเป็นยิ่งยวด สตรีที่ยังไม่ออกเรือนย่อมไม่อาจออกจากบ้านไปพบแขกตามลำพังได้ จวนจงหย่งป๋อเองด้วยเพราะหวังดี ห่วงใยในชื่อเสียงของพวกนางพี่น้องจึงมิได้ออกเทียบเชิญ ด้วยเหตุนี้ในงานเลี้ยงเฉินอิ๋งจึงมิได้พบเจอพวกนาง
หลังจากนั้นเฉินเซ่าก็ล้มป่วย เฉินเซียงกับเฉินหานไปเยี่ยมเยือนถึงเรือนชาน แต่ก็แค่พบหน้ากันประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น เพียงไม่นานก็แยกย้ายกันไปอีก
จนกระทั่งวันนี้เฉินอิ๋งถึงได้มีเวลาพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพูดคุยกับพวกนางหลายประโยค
“ยามนี้เจ้ากลับมาแล้ว ข้าก็เท่ากับสามารถปล่อยวางภาระหนาหนักพันชั่งนี้ได้เสียที ส่งคืนสำนักศึกษาสตรีแห่งนี้ให้กับเจ้า ข้ารู้สึกสบายใจยิ่งนัก” เฉินเซียงตบอกคล้ายโล่งอกโล่งใจ
พูดจบนางก็ผลักสมุดบันทึกหนาๆ สองสามปึกมาที่ข้างโต๊ะ “นี่คือสมุดบัญชี ผลการเรียน ตารางความขยัน บันทึกลงโทษตกรางวัลตลอดระยะเวลาหนึ่งปีนี้ ยังมีเอ่อ…รายงานสรุปผลการเรียนการสอนตลอดปีที่เหล่าอาจารย์เขียนไว้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ที่นี่แล้ว เชิญอาจารย์ใหญ่เฉินพิจารณา”
เฉินอิ๋งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “แม้แต่ท่านก็ยังชอบล้อเล่นด้วย เรียกแต่ข้าว่าอาจารย์ใหญ่เฉิน แล้วตัวท่านมิใช่อาจารย์ใหญ่เฉินหรือไร”
คำพูดนี้ทำเฉินเซียงถึงกับปิดปากหัวเราะ สองแก้มแดงระเรื่อ มิได้พูดสามประโยคก็ก้มหน้า มิกล้าพูดเสียงดังเหมือนเก่าก่อน นางกล่าว “เจ้าเองก็เลิกกระเซ้าข้าได้แล้ว ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่นี้น่าปวดหัวยิ่งนัก คำพูดที่ข้าพูดมาตลอดหนึ่งปีนี้เรียกได้ว่ามากกว่าสิบกว่าปีก่อนรวมกันไม่รู้กี่เท่า”
นางสองตาเรียวโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ทั้งคล้ายขัดเขินทั้งคล้ายนึกสนุก “ปลายปีที่แล้วสำนักศึกษาปิดภาคเรียน ในกฎของเจ้าเขียนเอาไว้ว่าต้องเปิดประชุมใหญ่ อาจารย์ใหญ่จำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่างต่อหน้าศิษย์และอาจารย์ทั้งสำนักศึกษา นี่มันต้อนเป็ดขึ้นเขียงชัดๆ ตอนขึ้นไปอยู่บนเวทีข้าสองขาสั่นกึกๆ จนแทบจะยืนไม่อยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดทุกอย่างให้จบครบถ้วนได้เช่นไร โชคดีที่ไม่ได้กลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นขบขัน พระพุทธองค์คุ้มครองโดยแท้”
พอพูดถึงยามนี้นางก็สองแก้มแดงระเรื่อมากขึ้นไปอีก สีหน้าท่าทางเบิกบาน สองตาเป็นประกายคล้ายดวงดาราบนท้องนภา
พอเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็นึกปลาบปลื้มยินดี
ตอนสมัยอยู่ที่จวนกั๋วกง เพราะไม่เป็นที่ชื่นชอบของเสิ่นซื่อ พี่น้องในบ้านหรือก็มีอยู่ด้วยกันหลายคน เฉินเซียงเพราะยอมอ่อนข้อให้ชาวบ้านมาโดยตลอด จึงกลายเป็นคนกลัวนั่นกลัวนี่ไปเสียทุกอย่าง ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง สุดท้ายเพราะเฉินหานเป็นเหตุ ทำให้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ส่งมาอยู่ที่จี่หนาน
ยามนี้ดูท่าอย่างน้อย ‘แผนดัดนิสัยหลานสาว’ ของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ประสบผลสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกครึ่งนั้นยามนี้เป็นเช่นไร
เฉินอิ๋งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รับเอารายงานพวกนั้นไว้พลางพยักหน้าขอบคุณ “ลำบากท่านแล้ว ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าไปครั้งนี้จะนานถึงหนึ่งปีเต็ม หากไม่มีท่านอยู่ สำนักศึกษาสตรีนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉินเซียงรู้สึกขัดเขินอยู่เล็กๆ นางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากยิ้ม “คำพูดนี้ข้าไหนเลยจะกล้ารับไว้ ไม่มีข้าอยู่ อาศัยกำหนดขั้นตอนของอาจารย์ใหญ่เฉินพวกนั้น สำนักศึกษาสตรีไหนเลยจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็สีหน้าแปรเปลี่ยนคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ทันใดนั้นสองแก้มที่แดงระเรื่อก็ซีดลงหลายส่วน
นางพิจารณาดูสีหน้าของเฉินอิ๋งพลางกัดฟัน พูดอย่างลำบากใจว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่งข้าต้องรายงานต่ออาจารย์ใหญ่เฉิน…ไม่สิ ควรต้องขออภัยต่ออาจารย์ใหญ่เฉิน คือ…”
ตูม!
นางยังไม่ทันพูดจบ เสียงตูมสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้นที่ด้านนอก หน้าต่างกระดาษสั่นสะเทือน
“เกิดอะไรขึ้น!” เฉินอิ๋งพรวดพราดลุกขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
หรือว่าจนถึงตอนนี้ยังมีพวกอันธพาลมาหาเรื่องอยู่อีก
“ไม่มีอันใด!” เฉินเซียงรีบลุกขึ้นกล่าว นางเคลื่อนไหวร้อนรนจนเกือบทำตั่งพลิกคว่ำ
นางไม่มีเวลาสนอกสนใจตั่งที่ส่งเสียง ‘กึงกัง’ นั่น เฉินเซียงรีบเดินขึ้นหน้าทำท่าขวางเฉินอิ๋งไว้ ปากยังคงพูดออกมาติดๆ กัน “ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไรจริงๆ อันที่จริง…”
เสียงของนางจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นแผ่วเบา สีหน้ากระอักกระอ่วน “นี่คือ…น้องสี่…น้องสามนาง…นางตอนนี้อยู่ในเรือนทดลอง”
เฉินอิ๋งยามนี้เดินไปถึงหน้าหน้าต่างแล้ว นางผลักหน้าต่างออกดู
ไม่มีอะไรผิดปกติ
ใต้ชายคาระเบียงคือเงาไม้สูงๆ ต่ำๆ ศิษย์สตรีสองนางกำลังเดินเรื่อยเปื่อย สีหน้าสงบเยือกเย็น เถาวัลย์ไต่อยู่บนอาคารเรียน ศิษย์สามสี่คนยืนพิงร่างอยู่ที่ข้างหน้าต่าง บ้างพูดคุยบ้างยิ้มแย้มหัวร่อ เคลื่อนไหวด้วยท่าทางสบายๆ แม้แต่เสียงอุทานตกใจอันใดก็ล้วนไม่มี และยิ่งไม่มีคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูกคล้ายเห็นเป็นเรื่องปกติ
หลังจากตะลึงไปชั่วขณะ ในที่สุดเฉินอิ๋งก็เข้าใจได้ทันที
“คงไม่ใช่คุณหนูสามกำลังทำการทดลองกระมัง” นางหันไปทางเฉินเซียง
เฉินเซียงหน้าแดงขึ้นน้อยๆ นางก้มหน้าท่าทางคล้ายนึกโมโหที่ไม่อาจขุดหลุมฝังตนเองได้พลางกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ใช่แล้ว อาจารย์ใหญ่เฉิน ทุกครั้งที่น้องสามของข้ากับหลี่เนี่ยนจวินจับคู่เข้าเรือนทดลอง มันก็มักจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นประจำ ทั่วทั้งสำนักศึกษาต่างรู้ดี ระยะนี้พวกนางกำลังทำการทดลอง…เจ้าสิ่งที่เรียกว่า…เครื่องจักรกลไอน้ำอะไรสักอย่าง”
เครื่องจักรกลไอน้ำ?
ศิษย์สองคนถึงกับวางแผนศึกษาคิดค้นเครื่องจักรกลไอน้ำ
เฉินอิ๋งตกตะลึง หลังจากนั้นนางก็รู้สึกไม่เข้าใจ
“พวกนางไปเอาวัสดุมาจากที่ใด” นางขมวดหัวคิ้ว
ส่วนประกอบของเครื่องจักรกลไอน้ำรวมถึงลูกสูบเครื่องยนต์ ข้อเหวี่ยงก้านลูกสูบ สไลด์วาล์ว ล้อดุนกำลังล้วนแต่ต้องอาศัยการผลิตจากเครื่องขึ้นรูปโลหะที่ละเอียดแม่นยำ
ทว่าต้าฉู่ในรัชศกหยวนจยาปีที่สิบเจ็ด ไม่มีเตาเป่าลมและยิ่งไม่มีเครื่องขึ้นรูปโลหะ การสร้างเครื่องจักรกลไอน้ำหาใช่เรื่องที่เป็นไปได้ไม่
บทที่ 533 เหตุตระหนกที่เรือนรับรอง
เฉินเซียงรู้เรื่องนี้มิใช่น้อย พอได้ยินเช่นนั้นนางก็กล่าวขึ้น “อาจารย์ใหญ่เฉินวางใจ ยามนี้พวกนางยังอยู่ในขั้นต้นของการศึกษาพัฒนาเท่านั้น ได้ยินว่าช่วงนี้มักเอาหม้อไปวางไว้บนไฟเพื่อทำการทดลอง บางครั้งควบคุมไฟไม่ดีก็อาจระเบิดขึ้นสักครั้ง แต่ความจริงแล้วหามีอันใดไม่”
คิ้วของเฉินอิ๋งกระตุก
ระเบิด?
หามีอันใดไม่?
เกิดระเบิดแล้วแท้ๆ ยังบอกว่าไม่มีอะไรอีก คนในสำนักศึกษานี้ไฉนประสาทแข็งเยี่ยงนี้
อีกอย่าง…หม้อ?
สีหน้าไม่นึกอยากเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินอิ๋ง “พวกนางคงไม่ใช่กำลังทดลอง…” หม้อต้มแรงดันสูง?
ใช้หม้อต้มน้ำทำไอน้ำเป็นร่างเดิมของหม้อต้มแรงดันสูง และหม้อต้มแรงดันสูงก็เป็นต้นกำเนิดของเครื่องจักรกลไอน้ำ
เท่าที่เฉินอิ๋งรู้ ในชาติภพก่อนปลายศตวรรษที่สิบเจ็ด นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่ยามนี้นางจำชื่อเขาไม่ได้แล้วนั้น หลังทำการสังเกตไอน้ำในหม้อต้มความดัน เขาก็เกิดแรงบันดาลใจสร้างแบบจำลองเครื่องจักรกลไอน้ำเครื่องแรกขึ้น
หรือว่าเฉินหานกับหลี่เนี่ยนจวินกำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน?
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร แต่เส้นทางที่พวกนางเลือกล้วนเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
ในใจเฉินอิ๋งระคนไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานา นางกลอกตามองไปทางทิศเหนือของสำนักศึกษา
อาคารเรียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนที่อยู่บนเส้นทแยงมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือเรือนทดลอง หน้าอาคารมีต้นเพ่าถง* อยู่หลายต้น ยามนี้ต้นไม้ยังไม่ทันโต ลำต้นยังบอบบาง กิ่งก้านเริ่มแตกใบอ่อน มีอยู่หลายต้นที่ออกดอกแล้ว ดอกสีม่วงคล้ายกระดิ่งเล็กๆ แขวนอยู่บนปลายกิ่ง ส่ายไหวรับลมแผ่วเบา
ยามนี้ควันขาวกลุ่มใหญ่กำลังลอยละล่องผ่านหน้าต่างบนอาคารชั้นสองที่อยู่หลังต้นไม้นั่น
เฉินอิ๋งถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง
ยังดีที่เรือนทดลองอยู่ค่อนข้างลับหูลับตาคน หนำซ้ำทั้งอาคารยังสร้างขึ้นจากหิน แข็งแกร่งมั่นคงเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะทนรับแรงระเบิดนั่นของเฉินหานไม่ไหว
“ไปกันเถอะ ไปดูเรือนทดลองกัน” จู่ๆ เฉินอิ๋งก็นึกสนุก นางชักเท้าเดินออกไปด้านนอกทันที
พอได้ยินเช่นนั้นเฉินเซียงก็หน้าแดงก่ำ นางเดินตามพลางบ่นงึมงำตำหนิ ในใจหรือก็นึกหงุดหงิด
ไม่ใช่ว่านางเป็นบุตรอกตัญญู ทว่านิสัยของเฉินหานนี้ไม่ต่างอันใดกับเสิ่นซื่อเลยแม้แต่น้อย ชอบเอาเปรียบผู้อื่นอีกทั้งยังทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ส่งนางมาที่จี่หนาน ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเพราะต้องการให้บทเรียนกับนาง
ยามนี้กลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก หลังมาอยู่ที่สำนักศึกษาสตรี เฉินหานไม่เพียงโยนนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายทิ้ง หากยังทุ่มเทความสนใจไปที่เรือนทดลอง วันทั้งวันเอาแต่คอยทำนั่นทำนี่ สามวันระเบิดเล็ก ห้าวันระเบิดใหญ่ ทำจนชาวบ้านที่อยู่รายรอบคุ้นชินหมดสิ้น วันใดไม่ได้ยินเสียงระเบิด ทุกคนต่างต้องวิ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เฉินเซียงพร่ำเอ่ยปากเตือนอีกฝ่าย ด่าก็ด่าแล้ว ลงโทษก็ลงโทษแล้ว ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือนทดลองล้วนหักออกจากเงินรายเดือนของเฉินหาน แต่นางกลับยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ควรทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ยิ่งพูดนางก็ยิ่งต่อต้าน ยิ่งแกล้งหนักมากยิ่งขึ้น
“เพราะข้าไม่เอาไหน ขออาจารย์ใหญ่เฉินอย่าได้เก็บใส่ใจ” เฉินเซียงก้มหน้าละอายใจ พูดน้ำเสียงแผ่วเบา
ตอนพูดถึงตรงนี้พวกนางกำลังเดินอยู่บนระเบียงคดยาวๆ ท้องฟ้านอกชายคาระเบียงสว่างไสว ยอดเขาเขียวยืนตระหง่านดุจหัวธนู กลิ่นหอมหวานของดอกเพ่าถงระคนอยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยมา
“เรื่องนี้หามีอันใดเกี่ยวกับท่านไม่ พูดไปพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าต่างหาก” เฉินอิ๋งตอบ ในใจนึกอับจนอยู่เล็กๆ
คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้คือนาง ตลอดหนึ่งปีมานี้จดหมายที่นางกับเฉินหานเขียนติดต่อถึงกันเนื้อหามีก็แค่สองเรื่องเท่านั้นคือถามกับตอบ
เฉินหานลุ่มหลงในการทดลองสารพัด จดหมายเต็มไปด้วยคำถามนานา เฉินอิ๋งเองก็ตอบกลับทุกข้อ แนวคิดเรื่องเครื่องจักรกลไอน้ำเฉินอิ๋งเคยเขียนไว้ในจดหมายมาก่อน และนี่ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายนึกสนใจเรื่องนี้
“ทั้งหมดล้วนเพราะข้าดูแลไม่เต็มที่” เฉินเซียงยังคงตำหนิตนเอง นางกัดริมฝีปากขมวดคิ้ว ทุกถ้อยคำล้วนกล่าวออกมาด้วยความยากลำบาก “น้องสาวข้ามีความผิด ทั้งหมดล้วนเพราะผู้เป็นพี่สาวเช่นข้าขาดการชี้นำ อาจารย์ใหญ่เฉินจะตำหนิก็ตำหนิเถิด เพียงแต่น้องสามอายุยังน้อย ข้า…” นางพูดต่อไม่ออก น้ำตาเอ่อคลอ
พวกนางสองพี่น้องอาศัยอยู่ที่ซานตง ไม่ว่าจะอันใดก็ล้วนไม่คุ้นชิน เพราะต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ความผูกพันของพวกนางสองพี่น้องจึงแน่นแฟ้นลึกซึ้งกว่าเก่าก่อน นางเป็นกังวลกลัวเฉินอิ๋งจะโมโหลงมือทำอันใดกับเฉินหาน
เฉินอิ๋งหยุดเท้า ชำเลืองดูอีกฝ่าย ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าสะอาดสะอ้านคือท่าทีจริงจัง “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางลงโทษหรือตำหนิคุณหนูสามแน่ ความจริงแล้วการที่คุณหนูสามให้ความสนใจต่อวิชาวิทยาศาสตร์เช่นนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขและนึกชื่นชมยิ่ง วิทยาศาสตร์ทำให้คนก้าวหน้า และมีเพียงวิทยาศาสตร์เท่านั้นถึงจะทำให้ต้าฉู่เป็นเจ้าแห่งยุคสมัย”
ริมฝีปากของนางยกโค้ง ดวงตาใสกระจ่างประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มน้อยๆ “ขอเพียงอยู่ภายใต้เงื่อนไขไม่ทำลายตนไม่ทำร้ายผู้อื่น ความเสียหายที่เกิดจากการทดลองวิทยาศาสตร์ ทางสำนักศึกษาล้วนยินดีแบกรับไว้ ในเวลาเดียวกัน สำนักศึกษาสตรีเองก็สนับสนุนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้ง ยกย่องทัศนคติการเรียนรู้เช่นนี้ ในสายตาของข้า คุณหนูสามสกุลเฉินกับหลี่เนี่ยนจวินนับเป็นแบบอย่างของสำนักศึกษาของพวกเรา”
เฉินเซียงตะลึงมองดูเฉินอิ๋ง ท่าทางเหมือนไม่อยากนึกเชื่อหูตนเอง จากเดิมที่คิดว่าจะถูกฉีกหน้า หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องถูกตำหนิแน่ เฉินเซียงนึกไม่ถึงว่าเฉินอิ๋งไม่เพียงไม่ต่อว่าต่อขาน ตรงกันข้ามกลับยกย่องชื่นชม ความเห็นที่มีต่อเฉินหานเรียกได้ว่าสูงส่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“นี่เป็นคำพูดจากใจของข้า คุณหนูรองเฉินไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าว จับมือนางไว้ก่อนจะหันกลับไปเดินขึ้นหน้า
เฉินเซียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดใบหน้าก็กลับมายิ้มแย้ม นางรีบชักเท้าเดินขึ้นหน้าตามเฉินอิ๋งพลางยิ้มเอ่ยว่า “คำกล่าวของอาจารย์ใหญ่เฉินเช่นนี้ข้าผู้เป็นพี่สาวหากล้ารับไว้ไม่ เจ้าไม่ตำหนินางเท่านั้นก็ดีมากแล้ว”
เฉินอิ๋งยิ้ม เอ่ยปากทอดถอนใจ “หากศิษย์ในสำนักศึกษาสตรีล้วนเป็นเหมือนอย่างน้องสามของท่าน ข้าไหนเลยจะต้องวิตกกังวลว่าสำนักศึกษาแห่งนี้จะไม่รุ่งเรือง ไม่แน่ว่าศิษย์จากสำนักศึกษาของพวกเราอาจสามารถทิ้งนามไว้ในประวัติศาสตร์ได้”
เฉินเซียงยิ้มไม่พูดอันใด ในใจแม้จะรู้สึกว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น ทว่าเฉินหานในยามนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมายจริงๆ นิสัยชอบยุให้รำตำให้รั่ว พูดจาบีบเค้นผู้คนหายไปหมดสิ้นแล้ว บางครั้งเห็นผู้เป็นน้องสาวอ่านหนังสือจนค่ำมืดดึกดื่น เฉินเซียงก็ให้รู้สึกว่าเฉินหานเช่นนี้ถึงจะน่ารักน่าใคร่
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยยิ้มหัวกัน เรือนทดลองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ตอนเฉินอิ๋งกำลังจะเดินตามบันไดขึ้นไป จู่ๆ เสียงเอะอะเอ็ดตะโรก็ดังขึ้น อีกทั้งยังแฝงไว้ซึ่งเสียงร่ำไห้เสียงหวีดร้องตกใจของสตรี
ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวน สองเท้าหยุดชะงัก เฉินเซียงใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่ ส่ายหน้าเอ่ยปากกระเซ้าเหมือนมีศิษย์ก่อเรื่องซุกซน “ที่นี่เหมือนเรือนทดลองเสียที่ใดกัน เด็กๆ พวกนี้นี่จริงๆ เลย”
เฉินอิ๋งกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ นางหันมองไป สีหน้าเคร่งขรึม “ไม่เหมือนศิษย์ จากเสียงคล้ายดังลอยมาจากเรือนหลัก”
ทันทีที่พูดจบเฉินอิ๋งก็สังเกตเห็นสตรีสองสามนางจู่ๆ ก็วิ่งออกมาจากเรือนรับรอง แต่ละคนต่างตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ทั้งร่ำไห้ทั้งร้องตะโกน
นางใจเต้นระส่ำ ถึงจะอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล ทว่าเฉินอิ๋งกลับมองออกภายในปราดเดียว สตรีที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงร่ำไห้หนักที่สุดคือเสวียจื่อ!
“ต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วแน่ๆ” เฉินอิ๋งเอ่ยปากสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว นางหันไปเอ่ยปากขออภัยต่อเฉินเซียง “เรื่องที่เรือนทดลองมอบให้ท่านจัดการก่อน ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
จนถึงตอนนี้เฉินเซียงเพิ่งจะตระหนักได้ นางไม่วายวิตกกังวล พยักหน้าติดๆ กันพลางกล่าว “ไปเถอะ ทางนี้มีข้าอยู่”
เฉินอิ๋งกล่าวขอบคุณก่อนจะรีบมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารสำนักงาน
เสวียจื่อร่ำไห้จนเสียงแหบแห้ง ขวัญหนีดีฝ่อ พอเห็นเฉินอิ๋งปรากฏตัวนางก็ราวกับคนตกน้ำคว้าฟางเส้นสุดท้าย พุ่งตรงเข้ามาดึงเฉินอิ๋งไว้ ร่ำไห้กล่าว “อาจารย์ใหญ่เฉิน ท่านต้องช่วยน้องสามของข้าด้วย! รีบช่วยนางเร็วเข้า!” พูดจบนางก็สองตาเหลือกลานเป็นลมหมดสติไป
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤษภาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.