X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา

ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา บทที่ 1-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 9

“เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา”

โดย tiara

บทที่ 1

 เขาตัดสินใจจอดรถยนต์ส่วนตัวไว้หน้าบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่ ที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาใหม่บนพื้นที่ดั้งเดิมในย่านเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร หัสยุทธลงจากรถมายืนมองตัวบ้านและอาณาเขตเบื้องหน้าด้วยความทึ่ง เขานึกภาพตัวเองไม่ออกเลยว่าหากต้องทำงานรับราชการเป็นตำรวจตลอดชีวิต และเมื่อเกษียณอายุแล้วจะมีบ้านหลังใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วกับท่านขจร อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่เขาพยายามขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวมากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

หัวหน้าหน่วยเจรจาต่อรองในสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรมจดจำวันที่เข้ารายงานตัวก่อนที่ตนจะเดินทางไปศึกษาหลักสูตรพิเศษในต่างประเทศได้ดี ท่านขจรพูดหลายครั้งว่าขอฝากความหวังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไว้กับผู้ที่ได้รับทุนทั้งหลาย และขอให้จดจำไว้ว่าการได้รับทุนเพื่อศึกษาต่อในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เป็นอยู่ไปได้อย่างสิ้นเชิง และความโชคดีในวันนั้นทำให้เขาต้องมาขอความกระจ่างจากอดีตผู้บังคับบัญชาในวันนี้ ความคับข้องใจ ระแวงสงสัยเกี่ยวกับหน่วยงานเจรจาต่อรองทำให้เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมกระดานของใครบางคน

ยังไม่ทันจะกดกริ่งที่หน้าประตู ชายรูปร่างผอมสูง ตัดผมสั้นเกรียนคนหนึ่งก็โผล่มาทางด้านข้างของประตูรั้ว คล้ายกับเขาแอบดูผู้มาเยือนอยู่ตรงนั้นมาพักหนึ่งแล้ว

“มาหาใครครับ”

“ผมมีนัดกับท่านขจร”

หัสยุทธอดคิดตามประสาคนชอบสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดคนรับใช้ในบ้านของอดีต ผบ.ตร. จึงดูคล้ายนายตำรวจในราชการชั้นผู้น้อยนัก สังเกตจากรูปร่าง ทรงผม ไปจนถึงท่าทางการยืน การเดิน หรือแม้กระทั่งการพูดก็เหมือนคนที่ถูกฝึกเพื่อมาเป็นข้าราชการตำรวจ แต่ด้วยเหตุผลใดจึงมาทำงานกับอดีตนายตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในสถาบันตำรวจเช่นนี้ได้

“ชื่ออะไรครับ”

“หัสยุทธ จากหน่วย NIC”

เมื่อเฉลยชื่อและสังกัดเพียงสั้นๆ เท่านั้นชายคนดังกล่าวก็ทำความเคารพด้วยท่าวันทยหัตถ์ทันที จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นข้าราชการตำรวจจริงๆ และแม้ว่าหัสยุทธจะไม่ได้สวมเครื่องแบบแต่เขาก็ทำความเคารพตอบ เขาคงเข้าใจสายการบังคับบัญชาในสถาบันเป็นอย่างดี จากนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านในก็เปิดประตูรั้วให้พร้อมกับกล่าวคำอนุญาตที่ถูกสั่งไว้

“เชิญสารวัตรขับรถเข้ามาจอดข้างในเลยครับ คนในบ้านสั่งไว้แล้วว่าให้เชิญสารวัตรเข้าไปได้เลย”

“ขอบใจ”

นายตำรวจหนุ่มใหญ่พยักหน้าแล้วหันหลังกลับขึ้นรถของตัวเอง เขาไม่รีบร้อนและพยายามเก็บรายละเอียดที่เห็นทั้งหมดไว้ในความทรงจำ

คฤหาสน์หลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยสวนสวยดูร่มรื่นสบายตาแต่กลับเงียบเหงา หัสยุทธเห็นคนดูแลต้นไม้อยู่สองคนซึ่งแต่งตัวไม่ต่างจากชายคนที่มาเปิดประตูรั้วให้เขา ท่าทางท่านขจรจะชอบให้คนรับใช้ในบ้านปฏิบัติตัวเหมือนตำรวจชั้นผู้น้อยที่คอยรับใช้นายตำรวจชั้นสูงกว่า เขาอาจจะชอบให้ตัวเองอยู่ในบรรยากาศแบบเดิมๆ เหมือนที่เคยเป็นก็ได้ ว่ากันว่าผู้ยิ่งใหญ่ในวิชาชีพของตนบางคนก็ยังเสพติดกับความสำเร็จในอดีตอยู่ แม้จะพ้นอำนาจวาสนามาแล้วแต่ก็อดที่จะใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้

ทันทีที่รถยนต์ของหัสยุทธจอดสนิทชายฉกรรจ์อีกสองคนก็เดินออกมาจากตัวบ้าน พวกเขาเดินตรงมาหาแขกอย่างไม่ลังเล แม้ใบหน้าจะดูไม่ดุดันอะไรนักแต่ก็เคร่งขรึมเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าเป็นคนใจดี หัสยุทธหันไปหยิบตะกร้าผลไม้บนเบาะด้านข้างแล้วจึงเปิดประตูรถออกไป ชายทั้งสองหยุดยืนห่างจากประตูรถไปราวสามก้าว เมื่อแขกยืนนอกตัวรถแล้วสายตาของพวกเขาก็ดูจะอ่อนลงเล็กน้อย คงเห็นว่ารูปร่างและบุคลิกภาพโดยรวมของผู้มาเยือนนั้นพวกเขาไม่สามารถข่มขวัญได้ง่ายๆ

“สารวัตร…” เป็นคำทักทายง่ายๆ ก่อนจะก้มศีรษะให้ “ท่านรออยู่ครับ”

“ครับ ผมเอานี่มาด้วย”

หัสยุทธยื่นตะกร้าผลไม้จากต่างประเทศที่จัดไว้อย่างสวยงามและน่ารับประทานให้ เขารู้ดีว่ามันจะต้องถูกตรวจสอบก่อนจะนำไปมอบให้ผู้เป็นเจ้าของบ้าน หนึ่งในนั้นรับตะกร้าในมือของเขาไปแล้ว อีกคนก็ตั้งคำถามก่อนที่หัสยุทธจะก้าวเดิน

“ไม่ได้พกอาวุธนะครับ”

คนถูกถามหันไปสบตานิ่งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “หากไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ผมก็ไม่พกอาวุธ แต่ถ้าจะตรวจก่อนก็เชิญ”

ไม่เพียงอนุญาตแต่ยังกางแขนให้ด้วย คนที่ถือตะกร้าผลไม้อยู่หันไปพยักหน้าให้เพื่อนแล้วเป็นฝ่ายตอบหัสยุทธเสียเอง

“ไม่เป็นไรครับ ท่านไว้ใจสารวัตร”

คำตอบนั้นทำให้หัสยุทธรับรู้ได้ทันทีว่าคนในบ้านมีการพูดถึงเขามาก่อนหน้านี้ และขจรเองก็คงรำลึกถึงเขาหรือแม้กระทั่งตรวจสอบประวัติของเขามาหมดแล้ว

จากนั้นชายร่างสูงทั้งสามก็เดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารสูงสามชั้นสีเทาและครีม มันถูกออกแบบได้อย่างทันสมัย ตัวตึกเน้นความโปร่งและร่มรื่นด้วยกระจกสีชากับระเบียงซึ่งมีกระถางต้นไม้วางประดับอยู่ คนที่อาศัยอยู่ที่นี่คงมีมากกว่าหนึ่งครอบครัว เพราะพื้นที่ในการใช้สอยมีมาก หัสยุทธประเมินสิ่งเหล่านี้จากจำนวนชั้นของอาคารและระเบียงที่ยื่นออกมา

เมื่อก้าวเข้าไปในอาคาร ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กระจายทั่วทำให้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวและเย็นชา ซึ่งแตกต่างจากอากาศด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ชายสองคนที่เป็นคนเชิญหัสยุทธเข้ามานั้นผายมือให้เขานั่งรอในห้องรับแขกซึ่งเป็นโถงใหญ่กลางบ้าน ภายในตกแต่งด้วยสีขาวเป็นหลัก ทั้งโซฟาและตู้ใส่รางวัลเกียรติคุณต่างๆ ในวิชาชีพของผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นล้วนเป็นสีขาวสะอาดตา

“รอที่นี่สักครู่นะครับสารวัตร”

หัสยุทธพยักหน้าให้ก่อนชายทั้งสองจะเดินห่างออกไป จากนั้นเขาก็มีโอกาสกวาดสายตามองภาพถ่ายซึ่งถูกติดไว้บนผนัง กรอบรูปสีทองทำให้ภาพของผู้คนในนั้นยิ่งเด่นชัด ชายในเครื่องแบบนายตำรวจเต็มยศดูทรงเกียรติและมีอำนาจนั่งอยู่ตรงกึ่งกลางภาพเคียงคู่ด้วยภรรยาในชุดไทยสีครีม และมีบุตรชายหญิงต่างก็สวมสูทยืนอยู่รายรอบ ถัดมาเป็นภาพครอบครัวซึ่งมีเด็กเล็กๆ รวมอยู่ในนั้นด้วย คงจะเป็นรุ่นหลานของขจร ภาพที่ใหญ่ที่สุดและเป็นจุดรวมสายตาน่าจะถูกถ่ายไว้หลังจากที่ท่านขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว เหรียญตราบนชุดนั้นบอกหัสยุทธให้รู้…

“สวัสดีสารวัตร…หัวหน้า NIC สินะ”

หัสยุทธลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินเสียงทัก เมื่อหันไปตามเสียงเรียกนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจ ชายคนที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนนั้นไม่ได้อยู่ในภาพลักษณ์ที่เหมือนเดิมอีกแล้ว อย่างน้อยในรูปถ่ายที่ถูกแขวนอยู่บนฝาผนังก็ไม่มีรูปไหนเลยที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้เขาดูชราภาพลงไปมาก หากจะเดาคร่าวๆ ก็คงมีอายุใกล้เจ็ดสิบปีเต็มทน แต่ที่เกินความคาดหมายของแขกกลับเป็นสภาพของท่านขจรบนรถวีลแชร์ นายตำรวจร่างใหญ่พยายามปรับสีหน้าของตนให้เป็นปกติโดยเร็วเพราะรู้ดีว่าชายสองคนที่เดินตามรถวีลแชร์ไฟฟ้าของท่านขจรมานั้นก็กำลังจับจ้องเขาอยู่เช่นกัน

“สวัสดีครับท่าน”

แม้จะไม่ได้สวมเครื่องแบบแต่หัสยุทธก็ยกมือวันทยหัตถ์ให้ เจ้าของบ้านบังคับรถด้วยตัวเองให้มาหยุดลงใกล้กับโซฟาตัวตรงข้ามกับที่แขกเคยนั่งอยู่ เขามีสายตาที่ฝ้าฟางเล็กน้อยแต่ก็ยังดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ผมสีขาวบางจนมองเห็นหนังศีรษะ ส่วนผิวพรรณนั้นก็ตกกระไปทั่ว หัสยุทธมองไม่เห็นขาใต้กางเกงแพรว่ามันลีบเล็กลงหรือไม่เพราะชายชรามีผ้าห่มวางไว้บนตักอีกชั้นหนึ่ง ส่วนขจรก็ใช้เวลาสังเกตหัสยุทธอีกนิดก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้เขานั่ง เมื่อทุกอย่างดูจะพร้อมสำหรับการสนทนาแล้วจู่ๆ ขจรก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ชายผู้ดูแลเจ้าของบ้านทั้งสองขยับตัวรอรับคำสั่งทันที

“ออกไปก่อน”

เสียงแหบห้าวนั้นสั่ง แม้จะไม่น่ากลัวแต่ก็เด็ดขาดพอที่จะไม่ปล่อยโอกาสให้คนฟังถามต่อ ทั้งคู่จึงได้แต่รับคำแล้วถอยห่างออกไปอีกครั้ง

“สารวัตรมาหาผมทำไม”

คำถามแรกก็ตรงประเด็นทันที มันทำให้หัสยุทธรื้อความทรงจำเกี่ยวกับท่านขจรขึ้นมาได้อีกข้อว่าเขาเป็นคนพูดตรงแค่ไหน… ’อย่าเพิ่งมีเมียฝรั่ง เรียนให้จบก่อน อย่าลืมว่าเอาเงินหลวงไปเรียน’ นั่นเป็นคำสั่งสุดท้ายที่พวกนักเรียนทุนอย่างเขาได้รับจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดในขณะนั้น

“ผมมาเยี่ยมท่านครับ”

ขจรยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันความคิดของคู่สนทนา “มีคนไม่น้อยที่มาเยี่ยมผมพร้อมกับคำพูดนี้ แต่นั่นเขาจะมาในช่วงที่ผมมีอำนาจอยู่”

ชายชราคนนี้ฉลาดเกินกว่าที่เขาจะล้วงความลับใดๆ ออกมาได้ง่าย เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคหัสยุทธก็รู้แล้วว่าเขาเดินเข้าถ้ำเสือเสียแล้ว

“ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากท่านครับ”

“นั่นน่ะสิ ถึงยังไงตอนนี้ผมคงให้อะไรกับสารวัตรไม่ได้ เพราะตำแหน่งที่สารวัตรดำรงอยู่มันก็มั่นคง สูงส่งกว่าคนแก่ที่นั่งรถเข็นอย่างผมอยู่แล้ว”

ขจรหัวเราะในลำคอ หัสยุทธจึงยิ้มรับตามมารยาท

“ท่านสบายดีนะครับ”

“ก็ตามสภาพที่คุณเห็น แล้วงานของสารวัตรล่ะเป็นยังไงบ้าง ผมเคยเห็นภาพข่าวการทำงานของหน่วย NIC” ชายชรายิ้ม “ช่างเป็นหน่วยงานที่น่าภาคภูมิใจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

“ขอบคุณครับ ผมพยายามกระตุ้นให้ลูกน้องในหน่วยทุกคนทำงานของพวกเขาให้ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด”

“ดี” ขจรพยักหน้า

“ถ้าท่านติดตามการทำงานของเรามาบ้าง ท่านคงทราบเรื่องของท่านกัมปนาท”

“อืม…ก็ได้ยินตามข่าว ผมคงรู้เรื่องนี้น้อยกว่าคุณแน่ เพราะคนที่เกษียณอายุราชการมาหลายปีอย่างผมจะไปรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ได้ยังไง”

โกหก…เขาหลบสายตา

“อย่าบอกนะว่าสารวัตรมาหาผมเพราะเรื่องนี้ เพราะดูเหมือนผมจะช่วยอะไรสารวัตรไม่ได้”

หัสยุทธยิ้มน้อยๆ “เปล่าครับ ผมแค่มาเยี่ยมท่านจริงๆ จู่ๆ ก็คิดถึงช่วงเวลาที่ตัวเองได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วก็อดคิดถึงความกรุณาของท่านไม่ได้”

“ความกรุณาอะไร…นักเรียนทุนของกรมตำรวจต่างก็ได้รับทุนเพราะความสามารถของตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่ความกรุณาของผมคนเดียวสักหน่อย”

“แต่ผมก็ต้องขอบคุณท่านครับ เพราะท่านทำให้ผมกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วย NIC ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่เอี่ยมที่ใครๆ ต่างก็หมายปองทั้งนั้น”

แววตาอันฝ้าฟางเล็กน้อยนั้นดูเหม่อลอยคล้ายกับกำลังรำลึกถึงความหลังที่เกิดขึ้นมานานแล้ว คำพูดของแขกที่มาเยือนช่วยกระตุ้นความทรงจำในช่วงเวลานั้นให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

“การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดก็คือการลงทุนกับคน ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานไหนๆ ก็ต้องคิดเหมือนกันทั้งนั้น”

“จริงครับ”

“สารวัตร…มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ผมเดาความในใจของคุณไม่ออกหรอกนะ”

เขาพูดความในใจทั้งหมดไม่ได้แน่ แต่หัสยุทธก็เตรียมสิ่งที่จะถามขจรมาแล้ว “สำนักงานตำรวจแห่งชาติของเรามีอิสระในการบริหารจัดการงานภายในทั้งหมดไหมครับ”

ขจรยิ้มเย็น “นี่เราจะคุยเรื่องการเมืองภายในกันสินะ เฮ้อ…ก็ได้ อย่างน้อยผมก็จะได้รู้ว่าคุณอยากรู้เรื่องอะไร”

ชายชราขยับรถวีลแชร์ไฟฟ้าของตนไปที่ตู้โชว์เหรียญตราและถ้วยรางวัล รวมถึงใบปริญญาบัตรของลูกๆ ซึ่งมีรูปถ่ายวางอยู่ใกล้กัน หัสยุทธมองความเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของเขาไปด้วย ดูเหมือนขจรจะคุ้นเคยกับพาหนะของเขาเป็นอย่างดี เขาคงใช้มันมาหลายปีแล้ว

“สมัยผมยังหนุ่มแน่นกรมตำรวจอยู่ในความปกครองของกระทรวงมหาดไทย แล้วย้ายมาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีเมื่อเปลี่ยนมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงมากมายในระดับบริหาร คุณเป็นคนรุ่นใหม่ก็คงพอจะรู้ว่าคนรุ่นเก่าบางคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง” ขจรหันมาสบตากับหัสยุทธ “มีทั้งคนพอใจและคนที่ไม่พอใจ แต่เราก็ต้องปรับตัว”

“NIC ก็เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงนั้นรึเปล่าครับ”

ขจรยอมรับ เขาพยักหน้าน้อยๆ “มันก็ยังมีอีกหลายหน่วยงาน เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ก่อนหน้านั้นมีความวุ่นวายทางการเมืองมากมายหลายระดับ ดังนั้นตำรวจจึงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือกับความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต งบประมาณจึงถูกตั้งให้มุ่งไปเพื่อเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ให้พร้อมเสมอสำหรับการปฏิบัติการ”

“การเมืองนี่เกี่ยวข้องกับตำรวจด้วยงั้นเหรอครับ”

“เราตัดการเมืองออกไปจากชีวิตได้ด้วยเหรอสารวัตร ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หากมีความวุ่นวายไม่ว่าจะตรงไหน เราก็ต้องเข้าไปดูแลจัดการทั้งนั้น” ขจรแค่นหัวเราะ “ว่าแต่ที่มาถามผมเรื่องนี้เพราะมีความคับข้องใจอะไรในการทำงานรึเปล่า หรือถูกใครบีบมา”

คนฉลาดมักถามคำถามที่ฉลาด หัสยุทธยอมทำตัวเป็นเด็กที่ต้องการคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ใจดีสักคน

“ครับ ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังไม่พอใจการทำงานของผมอยู่”

“เกิดไปขวางทางปืนใครเขาเข้าล่ะ”

“นั่นสิครับ กำลังหาตัวอยู่เหมือนกัน”

“อืม…” ขจรควบคุมรถวีลแชร์เข้ามาหาหัสยุทธใกล้ๆ “สมัยที่ผมเป็น ผบ.ตร. ก็ต้องบริหารจัดการคนหลายกลุ่ม รู้ทั้งรู้ว่ามีทั้งคนที่ชอบเราและคนที่ไม่ชอบเรา แต่ทำยังไงได้ การทำงานมันต้องเดินหน้าต่อ ขอให้สารวัตรมีหลักการที่ดีพอ ผมคิดว่าสารวัตรก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้”

“ถ้าเรื่องทำงานผมไม่เคยกลัวครับ กลัวแต่เรื่องถูกแทงข้างหลัง” หัสยุทธพูดเสียงเรียบแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อจะปรับเป็นเสียงกระซิบทั้งที่ไม่จำเป็น “NIC ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของตำรวจ ซึ่งในขณะนี้ทุกอย่างที่หน่วยของเรามีล้วนเป็นประโยชน์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดมีใครบางคนอยากจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อประโยชน์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง ผมควรจะทำยังไงดีครับ”

ชายสองวัยสบตากันนิ่งในระยะใกล้ จากนั้นหัสยุทธก็เปลี่ยนไปนั่งหลังตรงอีกครั้ง มีความคิดหลายสิ่งวิ่งวนอยู่ในหัวของขจร หนึ่งในสิ่งนั้นคือการประเมินผู้เป็นแขก

“มีใครติดต่อสารวัตรมางั้นเหรอ”

“เปล่าครับ…แล้วถ้าไม่มี NIC ไม่มีผม ข้อมูลทั้งหมดที่ NIC มีจะตกอยู่ในมือใครครับ”

“ตามระเบียบคนที่มีอำนาจในการเปิดข้อมูลทุกอย่างก็จะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากท่านนายกรัฐมนตรีด้วย สารวัตรรู้อยู่แล้วนี่”

“ครับ ตามระเบียบมันเป็นแบบนั้น”

“การทำงานที่เป็นอิสระของ NIC ก็มีอันตรายงั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง”

หัสยุทธแค่นยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่ากลัว ผมน่าจะจัดการทุกอย่างได้ เพียงแต่มีความสงสัยบางอย่างที่ผมยังไม่แน่ใจเท่านั้นเอง”

“อืม…แล้วคิดว่าผมช่วยได้งั้นเหรอ”

หัสยุทธกลั้นหายใจก่อนพูด “เวลาที่ผ่านมา NIC ได้รับการสนับสนุนในเรื่องงบประมาณแตกต่างกันออกไปในแต่ละสมัยของการบริหารจัดการภายใต้ ผบ.ตร. แต่ละคน จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า NIC ไม่ได้เป็นที่ต้องการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่าไรนัก บางครั้งเราถูกจับตาดูการทำงานจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ แต่ในบางคราวเรากลับได้รับอะไรใหม่ๆ จนเจ้าหน้าที่ในหน่วยอื่นเขม่น การจัดเก็บข้อมูลของเราก็เป็นอิสระกับฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราเข้าไปดูข้อมูลรวมได้ แต่คนอื่นไม่สามารถเข้ามาดูข้อมูลของ NIC ได้หากไม่มีการขออนุญาต ตรงจุดนี้อาจทำให้หน่วยงานอื่นมองเราเป็นคนนอกที่มีอภิสิทธิ์มากกว่า…”

“นี่สารวัตรกลัวเป็นแกะดำในสำนักงานตำรวจแห่งชาติงั้นเหรอ” ขจรหัวเราะหึ “ทำไมเพิ่งมากลัวตอนนี้”

“เปล่าครับ ไม่ได้กลัว แต่เพิ่งตระหนักหลังจากที่เราทำงานมาได้พักใหญ่และมีข้อมูลในมือมากพอ…” จู่ๆ เขาก็หยุดพูด

“พอ…พอที่จะอะไร”

“พอที่จะรู้ว่าเรามีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียดครับ”

ขจรยิ้มมุมปาก “เข้าใจตอบ…เฮ้อ โลกมันก็เป็นอย่างนี้ แต่สารวัตรรู้ไว้เถอะว่าผมตั้งใจสร้างหน่วยงานของคุณมาด้วยเจตนาอันดี และผลงานที่ผ่านมาของพวกคุณก็ทำให้ผมภูมิใจมาก หวังว่าคุณจะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างนี้ต่อไป”

“ครับท่าน”

“ผมดีใจนะที่คุณคิดถึงผม หวังว่าสักวันหนึ่งเราคงจะได้ทำงานร่วมกัน” แล้วเขาก็แค่นหัวเราะ “ผมก็พูดตลกอะไรเนี่ย คนแก่จะเข้าโลงแล้วจะไปช่วยอะไรหน่วย NIC ได้”

“ไม่แน่นะครับ ท่านอาจจะช่วยผมได้จริงๆ” หัสยุทธยิ้ม “เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอรบกวนท่านแค่นี้ดีกว่า ทานผลไม้ให้อร่อยนะครับ และขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง ผมขอตัวกลับก่อนล่ะครับ ขอบพระคุณท่านสำหรับวันนี้และทุกๆ อย่างที่ผ่านมา”

หัสยุทธลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพ ขจรยกมือวันทยหัตถ์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ยินดีและขอบใจสารวัตร หากมีอะไรลำบากใจก็มาปรึกษาผมได้ แม้จะไม่มีอำนาจแล้วแต่ก็ยังพอมีวาสนาให้คนฟังคำขอร้องได้บ้าง หากช่วยได้ผมก็ยินดี”

“ขอบพระคุณครับท่าน ผมลาล่ะครับ”

ขจรทำท่าจะขยับรถวีลแชร์ของตนให้เคลื่อนตามแขก แต่หัสยุทธห้ามไว้ เขาบอกว่าเขาสามารถเดินออกไปตามลำพังได้ และเมื่อนายตำรวจร่างใหญ่เดินพ้นประตูหน้าออกไป ขจรก็บังคับให้รถวีลแชร์มาหยุดที่กระจกบานใหญ่ที่สามารถมองทะลุไปยังลานหน้าบ้าน…บริเวณที่รถของแขกจอดอยู่ ชายสองคนที่ออกไปต้อนรับหัสยุทธเมื่อครู่เดินกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง พวกเขามายืนอยู่ทางด้านหลังของรถวีลแชร์และจับตามองรถยนต์ของแขกที่กำลังเคลื่อนออกไปจากลานจอดพร้อมกัน

“คงพยายามจะปะติดปะต่อเรื่องราวเพื่อหาตัวตนของฝั่งตรงข้ามกัมปนาทอยู่ แต่ท่าทางก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก” ขจรพูดขึ้นมาลอยๆ

“แล้วเราต้องทำยังไงครับ” บุรุษที่ยืนอยู่ทางด้านหลังหนึ่งในนั้นพูดขึ้น

“จับตาดูอย่างใกล้ชิด หากมีความเคลื่อนไหวจากฝั่งอื่นให้ยื่นข้อเสนอให้ NIC ทันที ถ้าได้ NIC มาอยู่กับเราจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย”

“ครับ”

แล้วชายชราก็ใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวขึ้นจากเก้าอี้ ผ้าซึ่งคลุมหน้าตักไว้เมื่อครู่หล่นลงไปกองตรงที่วางเท้า เขาใช้เวลาลุกขึ้นยืดตัวไม่นานก็สามารถยืนตัวตรงได้ ไม่เหมือนกับคนที่ต้องนั่งรถวีลแชร์อยู่ตลอดเวลาเลย

“สองฝ่ายนั้นตีกันก็ดี เป็นประโยชน์กับเรามากกว่าที่คิด” เขาเอามือไพล่หลังแล้วสูดลมหายใจลึกก่อนพูดต่อ “เฮ้อ…ยิ่งนานวันอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะควบคุมได้ยาก แต่เรามีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ยังไงก็วางมือไม่ได้หรอกนะ”

“ครับท่าน”

การขึ้นมามีอำนาจนั้นอาจยาก แต่การยอมละทิ้งซึ่งอำนาจนั้นยากยิ่งกว่า…

ในห้องประชุมขนาดห้าคูณห้าตารางเมตร เพดานสูง ถูกก่อผนังด้วยอิฐสีแดงทั้งสี่ด้าน และมีประตูเหล็กเป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียวนั้นตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของโกดังแห่งหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ไว้ต้อนรับกลุ่มคนพิเศษในวาระสำคัญอย่างเช่นวันนี้ ชายที่พ้นวัยเกษียณไปแล้วสามคนนั่งกระจายกันอยู่สองฟากฝั่งของโต๊ะประชุมสีขาวซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ทุกคนต่างเก็บสีหน้าเป็นกังวลได้อย่างมิดชิด หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เป็นกังวลใดๆ เลยเพราะพวกเขาต่างก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ต้องลงมือปฏิบัติงานด้วยตัวเอง

“…แล้วลูกสาวคนโตของท่านล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับ”

คนถูกถามหัวเราะในลำคอ “โน่น อยู่อเมริกา ขอเงินไปทำธุรกิจร่วมกันกับเพื่อน เขาเป็นคนมีหัวด้านนี้นะ ผมเลยปล่อยไป อยากทำอะไรก็ทำ เรามันแก่แล้วตามไม่ค่อยทัน”

“ทำธุรกิจที่โน่นก็ยุ่งยากไม่เบาเลยนะครับ”

“อื้ม แต่เขามีเพื่อนเยอะ ตัวเขาเองไม่ต้องออกหน้าอะไร แค่เป็นหุ้นส่วนแล้วรอรับผลประโยชน์เท่านั้น แล้วของคุณล่ะ…”

“ของผมยังเล็กอยู่ครับ สนใจแต่เรื่องรถนั่นแหละ นี่ก็หมดเงินไปเยอะแต่เห็นเขาสนุก เราเป็นพ่อก็ได้แต่ตามใจ”

บุคคลที่สามซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นด้วยก็ร่วมหัวเราะไปพร้อมกัน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบแต่ดูจากแววตาแล้วน่าจะเป็นคนมีความเมตตาสูง

“มีครอบครัวก็สนุกครึกครื้นดีนะ”

“โธ่ท่าน มันมีไปแล้วเราก็ต้องสนุกกับมัน ฮะฮะฮ่า ผมว่าท่านสิน่าอิจฉาที่สุด อยู่ตัวคนเดียวอยากทำอะไรก็ทำ”

ศิวากร ผู้อาวุโสที่สุดยิ้มมุมปาก “ชีวิตผมยกให้ประเทศชาติหมดแล้ว เรื่องส่วนตัวไม่มีอะไรต้องห่วง ให้ตายวันนี้ยังได้เลย”

“โอ๊ย ขอเถอะครับท่าน อย่าพูดแบบนั้นเลย ผมใจคอไม่ค่อยดี ขาดท่านไปสักคนงานของเราที่ร่วมทำกันมาหลายสิบปีมันจะไม่สำเร็จน่ะสิครับ อย่าเพิ่งทิ้งพวกเราไป ถือซะว่าเห็นแก่ประเทศชาติเถอะ อยู่กับเรานานๆ นี่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ท่านอยู่ถึงร้อยห้าสิบปี รอดูประเทศของเราเจริญรุ่งเรืองสู่ยุคแผ่นดินที่ปูลาดด้วยทองคำซะก่อนค่อยจากไปอย่างสงบ”

คนทั้งสามยิ้มกว้างแล้วหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข แต่ในที่สุดก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงประตูที่ถูกเปิดออก ชายร่างบึกบึนวัยประมาณสี่สิบปีใบหน้าเคร่งขรึมที่ปล่อยให้ศีรษะมีผมสีขาวแทรกประปรายอยู่นั้นกำลังก้าวเข้ามาในห้องแล้วทำความเคารพบุคคลทั้งสามด้วยความยำเกรงและให้เกียรติสูงสุด แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นเจ้าของสถานที่ประชุมแห่งนี้ก็ตาม

“ขอประทานโทษที่ทำให้ต้องรอครับท่าน ผมพยายามรวบรวมข้อมูลของหน่วยกับหัวหน้านะ…”

“คนนั้นสินะ” ศิวากรทักขึ้นก่อนที่จะมีการเอ่ยชื่อเป้าหมาย

“ครับ”

จากนั้นผู้เป็นเจ้าของสถานที่ก็เริ่มการบรรยายของเขาให้ชายสูงวัยอีกสามคนฟัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ นัยน์ตาดำใหญ่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรมากนัก มีเพียงบางครั้งที่สันกรามแข็งแรงจะกระตุกคล้ายกับคนที่ชอบขบกรามเป็นนิจ รอยแผลเป็นตรงหัวคิ้วยิ่งทำให้เครื่องหน้าดูดุดันมากขึ้น ทุกคำที่เขาเปล่งออกมาได้รับความสนใจจากผู้ฟังเป็นอย่างดี คนที่ควบคุมสถานการณ์กลับกลายเป็นคนที่เคยมียศน้อยที่สุดในห้อง

เมื่อการรายงานจบลง ศิวากรก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มีอำนาจ

“คุณให้ความสำคัญกับเขามากเกินไปรึเปล่า…อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงานใหญ่ เพราะมันอาจจะทำให้คุณจัดลำดับความสำคัญผิด”

“แต่ท่านครับ คนคนนี้มีข้อมูลอยู่ในมือมากเกินไป ผมเกรงว่า…”

“เดี๋ยวนะ…” อีกคนยกมือขึ้นห้าม “มันเป็นลูกน้องของใคร ใครแต่งตั้งหน่วยงานมันขึ้นมา”

“ตอนนี้ NIC ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ แต่ท่านขจร อดีต ผบ.ตร. เป็นคนตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมา”

“เป็นคนของพุฒิสรรค์เหรอ”

คนถูกถามส่ายหน้าทันที “ถ้าหากเราสงสัยว่าเขาเป็นคนของผู้บัญชาการคนปัจจุบันด้วย ผมคิดว่าเราด่วนสรุปเกินไป”

“อืม…ขจร ไอ้เฒ่าสารพัดพิษ” ศิวากรกัดฟันพูด “มันมีแผนอะไรเกี่ยวกับกรมตำรวจอีกรึเปล่า นอกจากจะยุ่งเรื่องการเมือง”

ทุกคนในห้องเงียบ เพราะยังไม่มีใครมีข้อมูลของขจรที่มากไปกว่าการรับรู้ว่าอดีต ผบ.ตร. คนนี้เป็นคนก่อตั้งหน่วย NIC และตอนนี้มีแผนที่จะลงเล่นการเมืองโดยการสนับสนุนให้ลูกชายขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อไม่มีคำตอบ ศิวากรจึงวกมาถามเรื่องหัสยุทธอีกครั้ง

“แล้วตอนนี้คุณคิดว่าเขาทำงานให้ใคร พูดชื่อมาสักคนซิ ในกรมตำรวจไม่มีใครที่ผมไม่รู้จัก”

แม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการจากกรมตำรวจแห่งชาติไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนคนพูดยังติดอยู่กับคืนวันเก่าๆ ที่ตนเคยเป็นใหญ่

เจ้าของสถานที่มีสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยก่อนตอบ “ผมคิดว่าเขาเป็นพวกอิสระ”

“ล้อเล่นน่านรบดี…ไม่มีคำว่าอิสระในกรมตำรวจ มันต้องเป็นเบี้ยของใครสักคน ถ้าหน่วยของมันถูกตั้งขึ้นโดยใคร คนคนนั้นก็ต้องมีอิทธิพลกับมัน หน้าที่ของคุณคือหาหลักฐานให้เจอว่าตอนนี้มันทำงานให้ใครกันแน่”

“ครับ”

ไม่มีการโต้เถียงกับศิวากร แต่นรบดียังมองไม่ออกว่าหัสยุทธทำงานให้ใคร เจ้าของสถานที่ลากเก้าอี้มานั่งเพื่อรอฟังสิ่งที่ผู้เป็นประธานในที่ประชุมพูด ส่วนเขามีหน้าที่ฟังแล้วรอรับคำสั่งจากผู้อาวุโสทั้งสาม

“เก็บ NIC ไว้ก่อน กลับมาพูดเรื่องของเราดีกว่า แน่ใจนะว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเป็นการระดมทุนของพรรคการเมืองอย่างเดียว”

“บังหน้าอยู่แล้วครับท่าน นี่มันต้องการฟอกเงินชัดๆ” หนึ่งในสมาชิกกล่าว “ผมเชื่อว่ามันมีเงินสกปรกอยู่เยอะ”

“ข่าววงในที่พอจะเชื่อถือได้บอกว่ามีลูกน้องคนสนิทของท่านขจรลงมาจัดการเรื่องนี้เอง เห็นว่าจะขายโต๊ะกินเลี้ยงเป็นหลักล้านเพื่อนำเงินมาสนับสนุนพรรคการเมืองที่ท่านขจรอยากให้ลูกชายขึ้นเป็นหัวหน้า งานนี้คงต้องการแสดงพาวเวอร์ให้คนในพรรคเห็นว่าลูกชายของตัวสามารถหาเงินสนับสนุนพรรคได้มากกว่าคนอื่น”

ศิวากรนิ่งไปนาน ทุกคนรู้ดีว่าเขากำลังใช้ความคิด แล้วในที่สุดเขาก็ออกคำสั่ง

“ต้องตามดูอย่างใกล้ชิด แม้กลุ่มนั้นทำท่าว่าจะลงเล่นการเมืองแต่เขาก็ยังมีอำนาจในกรมตำรวจอยู่”

นั่นเป็นคำสั่งที่นรบดีไม่มีสิทธิ์จะเพิกเฉย

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าจัดและแทบไม่มีเมฆก้อนใหญ่เลย สภาพเช่นนั้นทำให้อากาศบริเวณสนามกอล์ฟมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่พระอาทิตย์ยังไม่ตรงศีรษะ ก๊วนนักกอล์ฟในชุดสีขาวกำลังยืนจ้องหนึ่งในสมาชิกตั้งวงสวิงของตน เมื่อเขาหวดลูกออกไปแล้วทุกคนก็ปรบมือให้ทั้งที่ไม่มีใครสนใจผลลัพธ์หรือปลายทางของเจ้าลูกกอล์ฟลูกนั้นเลย และแทนที่นักกีฬาทุกคนจะมีความสุขกับการออกกำลังกายยามเช้า พวกเขากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าก๊วน เขายื่นไม้ให้แคดดี้แล้วเดินกลับไปที่รถกอล์ฟซึ่งจอดอยู่ริมสนามหญ้า เพื่อนร่วมก๊วนคนหนึ่งเดินมาประกบเขาในขณะที่อีกสองคนที่เหลือแยกไปขึ้นรถอีกคัน

เมื่อทุกคนนั่งประจำที่รถก็เคลื่อนกลับไปยังสโมสร สีหน้าที่เป็นกังวลของพุฒิสรรค์ทำให้คนที่กำลังเป็นสารถีให้อยู่นั้นไม่กล้าตั้งคำถาม เพียงแต่รอให้ผู้เป็นนายพูดขึ้นมาเอง

“กัมปนาทมารอแล้วใช่ไหม”

“ครับท่าน ผมเพิ่งรับรายงานเมื่อประมาณยี่สิบนาทีที่แล้ว”

เมื่อได้เอ่ยชื่อนั้นขึ้นมาแล้วสีหน้าที่เคยเคร่งยิ่งเพิ่มความดุดันขึ้น นั่นคงเป็นไปตามอารมณ์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันที่กำลังโกรธอยู่

“เรื่องนี้มันอาจจะถูกใช้เป็นข้ออ้างทำให้อั๊วหลุดจากตำแหน่งได้เลยนะ ไอ้บ้าเอ๊ย…ทำอะไรไม่รู้จักระวังตัว”

ต้นปาล์มขวดที่ปลูกไว้สองข้างทางกับพื้นสนามหญ้าสีเขียวสดไม่ได้ช่วยทำให้อารมณ์ของท่านพุฒิสรรค์ดีขึ้นเลย แต่เขาก็สามารถควบคุมความโกรธเหล่านั้นไว้ได้ดีทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่พาลกับคนอื่นที่อยู่ใกล้ เมื่อรถกอล์ฟเคลื่อนไปจอดที่หน้าบันไดหินอ่อนของอาคารสโมสรนักกอล์ฟก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบอีกนายหนึ่งเดินเข้ามากระซิบกระซาบข้างหูของ ผบ.ตร. คนปัจจุบันทันที

“ท่านกัมปนาทรอท่านอยู่ที่ห้องกระทิงครับ”

“ใครมาบ้าง” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“คนเดียวครับ”

“อือ”

เขารับคำแค่นั้นแล้วก้าวลงจากรถ จากนั้นคณะติดตามเล็กๆ ก็เริ่มเดินตามคนเป็นนายไปอีกทอดหนึ่ง

 

ห้องกระทิงเป็นห้องพบปะขนาดเล็กที่มีชุดรับแขกไม้ฝังมุกตั้งอยู่ชุดหนึ่ง บรรยากาศภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบจีน มีทั้งภาพวาดและธงอักษรจีนซึ่งมีความหมายถึงความมั่งคั่งรุ่งเรืองแขวนอยู่บนผนัง ชายร่างใหญ่คนหนึ่งนั่งหน้าซีดอยู่บนเก้าอี้ แม้เขาจะรออยู่ที่นี่ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ในฐานะของเขาที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้เขาไม่มีสิทธิ์จะบ่นอะไรทั้งนั้น กัมปนาทเหงื่อแตกซิกทั้งที่นั่งอยู่ในห้องปรับอากาศอย่างดี หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก และเมื่อประตูถูกเปิดออกกัมปนาทก็เลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ทันทีโดยที่ไม่มีใครสั่ง เข่าทั้งสองข้างถูกวางไว้บนพื้นห้องที่แข็งและเย็นเฉียบ

ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงฝีเท้าของคนที่เข้ามายืนจนประชิดตัว ชายที่สวมกางเกงขายาวสีขาวกับรองเท้าสีเดียวกันยืนอยู่ห่างจากหัวเข่าของกัมปนาทไปไม่ถึงฟุต เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ตอนนี้ทำได้แค่เพียง…รอเท่านั้น

ผัวะ!

มือข้างหนึ่งฟาดลงบนใบหน้าซีกซ้ายเต็มแรงจนใบหน้าของกัมปนาทสะบัดแต่ก็ยังไม่มีเสียงพูดใดๆ ต่อกัน จากนั้นการลงไม้ลงมือครั้งที่สองก็ตามมา แต่คราวนี้เป็นบริเวณกกหู คนถูกทำร้ายรู้สึกเหมือนแก้วหูของเขาเกือบแตก มันเจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่เขายังคงกัดฟันแน่นไม่ยอมให้มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของตนเองได้ เพราะไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงแย่ไปกว่านี้

“โง่! โง่คนเดียวไม่พอ เกือบจะทำให้กูซวยไปด้วย”

น้ำเสียงที่ด่าทอนั้นมีทั้งความโกรธและรังเกียจ เขาเดินวนกัมปนาทอยู่สองสามรอบก่อนจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นเตะไปที่ชายโครงของคนที่นั่งอยู่

ปึ้ก!

ร่างใหญ่ของกัมปนาทเกือบล้มลง ดีที่สามารถคว้าขอบโต๊ะไม้ฝังมุกไว้ได้ทัน เขารีบกลับมานั่งคุกเข่าลำตัวตรงอีกครั้งและยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพุฒิสรรค์

“นายกฯ หงุดหงิดมากที่รู้ว่ามึงเป็นคนของกู ไอ้พวกที่รอดูอยู่ก็รีบใส่ไฟกันใหญ่ นี่โชคดีแค่ไหนที่มึงไม่ถูกอุ้ม กลับไปขอบคุณบรรพบุรุษมึงได้เลย เพราะถ้าไม่ใช่คนในตระกูลสายตำรวจเก่าแล้วล่ะก็ ป่านนี้มึงได้เข้าไปอยู่ในถังแดง แล้ว”

“ขอโทษครับๆ…ขอบคุณครับท่าน”

กัมปนาทพูดเสียงสั่นพร้อมกับยกมือไหว้ปลกๆ จากนั้นเขาต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกว่าขาของพุฒิสรรค์ขยับเข้ามาใกล้ตนอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ถูกทำร้าย ความจริงคือพุฒิสรรค์แค่ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งประจันหน้าแทน

“มองกู…มอง!”

กัมปนาทกลั้นหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ มือสองข้างของเขาทำงานอัตโนมัติทันที นั่นคือการยกขึ้นมาประนมเหนือหน้าผาก สายตาของพุฒิสรรค์แทบจะมีประกายไฟลุกโชนอยู่ในนั้น ใบหน้าที่เคยเห็นว่าใจดีมีเมตตาบัดนี้มันแทบจะกลายเป็นใบหน้าของนักรบที่มีแต่ความโหดเหี้ยม คนแบบนี้แหละที่เขาเรียกกันว่า…ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา

“มึงต้องหายตัวไป…”

“หะ…หาย…ทะ…ท่านครับ อย่าฆ่าผมเลย อย่าทำอะไรผมเลย ไว้ชีวิตผมด้วย”

กัมปนาทมีสภาพที่น่าเวทนานัก เขาร้องไห้ฟูมฟายและกำลังร้องขอชีวิต

“กูไม่ได้จะฆ่ามึง แม้ความจริงอยากจะทำ ถ้าพี่มึงไม่เคยเป็นใหญ่ในกรมกูเก็บมึงไปนานแล้ว ตอนนี้มึงต้องหายหน้าไป เพราะถ้ามึงยังอยู่เรื่องมันจะไม่จบง่ายๆ มึงจะกลายเป็นจุดอ่อนให้กลุ่มของเราโดนโจมตี เข้าใจไหม”

“ละ…แล้วท่านจะให้ผมทำยังไง บอกผมมา ผมยอมทำทุกอย่าง แต่อย่าฆ่าผมเท่านั้น”

“ดี…มึงต้องชดใช้ความผิดที่ได้ทำไว้แน่”

กัมปนาทรู้สึกเสียวสันหลังวูบ แต่ก็ยังดีกว่าต้องตายในถัง เขาไม่อยากถูกเก็บ ถูกฆ่าโดยที่ไม่สามารถหาศพพบ ตอนนี้มีทางเดียวที่จะรักษาชีวิตไว้ได้ นั่นคือการทำตามคำสั่งทุกอย่างของพุฒิสรรค์

บทที่ 2

หัสยุทธไม่ได้บอกใครเรื่องที่เขาขอเข้าพบขจรที่บ้านพักเป็นการส่วนตัว เพราะยังไม่เห็นความสำคัญว่าเรื่องนี้มีความจำเป็นที่ทุกคนในทีมต้องทราบ เขาแค่ต้องการหาข้อมูล หรือถ้ามันจะเลยเถิดเป็นการแหย่รังแตน มันก็น่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่าให้ทุกอย่างเงียบเชียบอย่างที่เป็นอยู่ เพราะยิ่งเงียบ การตามหา Satan ก็จะยากขึ้นไปด้วย ดังนั้นเมื่ออยู่ในเวลางานหัสยุทธจึงพูดคุยกับทีมในสิ่งที่พวกเขายังค้างคาใจอยู่เท่านั้น

“ตอนนั้นผมก็รู้จักนรบดีพอสมควร เขาดูไม่เหมือนเด็กฝากของใครเลย เขาเก่งและมีความมั่นใจในตัวเอง…”

หัสยุทธพูดสรุปในห้องประชุมของหน่วยงานเจรจาต่อรองในที่เกิดเหตุอาชญากรรม หลังจากที่ลูกน้องทั้งสามของเขาผลัดกันสรุปรายงานที่ได้จากการสืบค้นประวัติของนรบดีมาให้ โต๊ะกระจกด้านหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคนที่ถูกพูดถึง

“แต่หลังจากผมไปเรียนต่างประเทศก็ไม่ได้ยินเรื่องของเขาอีก”

“แล้วหัวหน้ามั่นใจเหรอครับว่าเขาเกี่ยวข้องกับ Satan”

คำถามของวุฒิภาศทำให้หัสยุทธถอนหายใจหนัก “มันเป็นความต่อเนื่องมาจากคดีที่เกี่ยวข้องกับท่านกัมปนาทซึ่งพวกนายก็รู้กันดีอยู่แล้ว”

“ใช่ครับ พวกเราต่างก็สงสัยว่า Satan จะเป็นตำรวจ”

“นรบดีก็เป็นตำรวจ อย่างน้อยก็เคยเป็น เขารู้จักท่านกัมปนาท ไอ้โอบ แล้วก็ผม นั่นเป็นเหตุผลที่ผมคิดว่า Satan กับนรบดีมีความเกี่ยวข้องกัน”

“และเรายังมีข้อสันนิษฐานว่า Satan ทำงานกันเป็นทีม นรบดีอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น”

“ใช่ แล้วที่สำคัญที่สุด…”

“อะไรครับ” อาสดาถามเมื่อเห็นหัวหน้านิ่งไป

“ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือคนร้าย” สีหน้าของหัสยุทธดูหนักใจมาก “ในคดีของท่านกัมปนาท เขาเป็นคนเปิดโปงความชั่วของจตุรภัทร* กับตำรวจที่ประพฤติผิด แต่หลังจากนั้นเขากลับมาโจมตีผม นี่แหละเป็นจุดที่ทำให้ผมคิดว่าเขาต้องรู้จักผมดีพอสมควร”

ปารุสก์ยกมือขึ้นเหมือนขออนุญาตออกความเห็น หัสยุทธพยักหน้าให้

“การเข้าถึงข้อมูลหรือการใช้เครือข่ายของตำรวจมันไม่น่าเกิดขึ้นได้หากเขาลาออกไปแล้วนะครับ เรื่องนี้ผมยืนยันได้ว่าสิ่งที่ Satan รู้ไม่ใช่ข้อมูลทั่วไปที่หาได้ง่ายๆ”

ทุกคนในที่ประชุมเชื่อปารุสก์อย่างสนิทใจ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่โต้ตอบกับ Satan ด้วยเทคโนโลยีทางการสื่อสาร แล้ววุฒิภาศยังเสริมต่อ

“หน่วยงานที่พวกเขาเข้าถึงได้มีทั้งหน่วยสื่อสาร งานจราจร ห้องสมุด แล้วอาจจะเป็นฐานข้อมูลบางเรื่องของสถาบันตำรวจด้วย”

“ดูเหมือนจะมีเส้นสายที่ใหญ่เกินหน้าที่หรือตำแหน่งที่เขาเคยมีในสถาบันตำรวจ มันน่าแปลกไหมล่ะ ตัวไม่อยู่แต่ยังเข้าถึงหน่วยงานและข้อมูลสำคัญๆ ได้” หัสยุทธโยนคำถามไปกลางวงสนทนา

“อาจไม่ใช่แค่ทีมเล็กๆ แต่ Satan อาจจะเป็นเครือข่าย” อาสดาตั้งข้อสังเกต

“ถ้าเป็นเครือข่ายจริง มันก็ต้องมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง อย่างนั้นเราก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร การสร้างกลุ่มหรือทีมขึ้นมาจะต้องมีจุดมุ่งหมาย มีภารกิจ มีหน้าที่และความรับผิดชอบ ถ้าจะหาเครือข่ายนี้ให้เจอก็ต้องรู้เป้าหมายที่แท้จริงของพวกมัน”

“แล้วเราจะสืบจากอะไรได้บ้างล่ะครับ”

“จากผมนี่แหละ”

คำตอบของหัสยุทธทำให้ทุกคนทำตาโต

“ครั้งสุดท้ายที่สาย Unknown โทรเข้ามาคือเช้าวันที่ผมอยู่กับหมอบุษ”

“อืม…”

เสียงครางในลำคอดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็เกิดช่องว่างในอากาศเกือบห้าวินาที หัสยุทธหันมองทุกคนแล้วใช้สายตาแข็งกำราบไว้ ดังนั้นทุกคนจึงพร้อมใจกันทำสีหน้าจริงจังและไม่หลุดยิ้ม

“ผมไม่ได้รับ จากนั้นเขาก็ส่งข้อความมาถามว่า ‘หัวหมุนมั้ย’ …มันกำลังเล่นสงครามประสาทกับผม มันรู้จักคนใกล้ตัวผม”

“หัวหน้ากำลังจะบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่าง Satan กับหัวหน้าด้วยงั้นเหรอครับ” วุฒิภาศถาม

“ยังสรุปไม่ได้ตอนนี้ มันเหมือนกับว่าผมไปขวางทางพวกมันอยู่ มันเลยต้องการจะเล่นงานผม แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรไว้”

“หรือพวกมันจะแค้นเรื่องคดีของนายจตุรภัทรมากจนปล่อยวางไม่ได้” อาสดาเสนอความคิดบ้าง “มันแค้นที่เราเข้าไปแทรกเรื่องของมันกับการเปิดโปงนายจตุรภัทรกับพวก”

“นายพูดแบบนี้ทำให้ผมคิด…” แล้วหัสยุทธก็เงียบไปอีก ทุกคนกลั้นใจรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป “พวกมันแสดงบทคนดีเพื่อปราบตำรวจเลว แล้วถ้ามันเป็นตำรวจจริง มีเส้นสาย มีพวกพ้อง อย่างนั้นก็แสดงว่ามันมีทั้งมิตรแล้วก็ศัตรูในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วไงต่อวะ…”

หัสยุทธจนมุมกับความคิดของตัวเองจนได้ ทุกคนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะถึงยังไงก็ไม่รู้อยู่ดีว่า Satan ต้องการอะไร

“อย่างนี้เราก็ต้องรออย่างเดียวสิครับ เพราะถ้ามันไม่ปรากฏตัวออกมาเอง เราก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหามันได้จากที่ไหน” วุฒิภาศสรุป

“นายนรบดีไง” ปารุสก์บอก “อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเขาเปลี่ยนชื่อ มีงานมีการทำ แต่เท่าที่ผมค้นดูจากแฟ้มคดีอาชญากรรมต่างๆ ไม่มีชื่อนี้อยู่เลย เขาไม่เคยทำอะไรผิด”

“ก็ทำได้อย่างมากที่สุดคือ เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เพราะถ้ามันรู้ตัว มันอาจจะแว้งกลับมากัดเราอีก ถ้าข้อสันนิษฐานเราเป็นจริงก็อย่าเพิ่งทำให้มันโกรธตอนนี้จนกว่าเราจะรู้วัตถุประสงค์ของ Satan…เข้าใจที่ผมพูดมั้ย”

“ครับ”

ทุกคนรับปากกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ทำอย่างเงียบเชียบที่สุด

เมื่อบุษบงกชกับหัสยุทธจูงมือกันเข้ามาพบชนกานต์กับพิมพ์กมลอย่างเป็นทางการแล้ว ทุกคนในบ้านต่างก็รู้ทันทีว่าจะต้องมีงานมงคลเกิดขึ้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน เพราะหัสยุทธแสดงถึงความมุ่งมั่น จริงใจ และตัวบุษบงกชเองก็ต้องการให้บิดามารดาของตนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของพวกเขาในครั้งนี้ ด้วยอายุและวุฒิภาวะของคนทั้งคู่นั้นไม่มีสิ่งใดบกพร่องหรือจะเอามาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ได้ ชนกานต์กับพิมพ์กมลจึงอนุญาตให้คนทั้งคู่แต่งงานกัน ส่วนรายละเอียดในเรื่องพิธีการนั้นว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะรับผิดชอบเองทั้งหมด คนทั้งคู่ไม่ต้องการให้ผู้ใหญ่ต้องเดือดร้อนวุ่นวายไปด้วย

“หลังจากแต่งเขาจะไปอยู่กันที่ไหน…คอนโดฯ ยายบุษเหรอ”

คนที่ทำท่าว่ากำลังสนใจอ่านหนังสือพิมพ์ในมือนั้นจู่ๆ ก็ตั้งคำถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พิมพ์กมลต้องวางมีดปอกผลไม้ในมือลงก่อนตอบสามี

“ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับลูกเลยค่ะ แต่เห็นว่าสารวัตรเขาก็มีทาวน์เฮ้าส์อยู่”

“แต่ป้าของเขาก็อยู่ด้วย…มันจะสะดวกเหรอ”

พิมพ์กมลยิ้มน้อยๆ คนที่วางท่าเหมือนไม่มีอะไรเป็นกังวลต่อหน้าลูกนั้นขณะนี้กลับดูแอบห่วงอยู่ ชนกานต์เป็นพ่อที่ห่วงใยลูกสาวแต่ไม่ชอบพูดจากันตรงๆ มักจะคอยเซ้าซี้ถามจากคนเป็นแม่ นัยว่าไม่กล้าวุ่นวายกับลูกแต่ก็อยากรู้

“ก็คงแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนแหละค่ะ สารวัตรเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเข้าใจโลกและคงไม่ปล่อยให้ลูกของเราลำบากหรืออึดอัดใจหรอก อีกอย่างยายบุษเองก็น่าจะจัดการทุกอย่างได้”

“อย่าเพิ่งให้ลูกขายคอนโดฯ ทิ้งก็แล้วกัน เผื่อว่า…”

“อะไรคะ นี่ลูกยังไม่ทันแต่งก็จะให้เตรียมตัวหย่าแล้วเหรอ”

ชนกานต์พับหนังสือพิมพ์ในมือแล้วถอนหายใจหนัก “ไม่ใช่อย่างนั้น ผมก็พูดเผื่อไว้ว่าถ้าเกิดเบื่อบ้านของสารวัตรขึ้นมาจะได้หลบมานอนคอนโดฯ บ้างต่างหาก”

“อ๋อ…” พิมพ์กมลแอบขำ

“เฮ้อ ตอนที่เจ้าลูกชายแต่งเขาขอให้เราช่วยจัดการเรื่องบ้าน เรื่องโน้นเรื่องนี้ นี่ลูกสาวแท้ๆ กลับไม่ขอความช่วยเหลืออะไรเลย”

“เหงาเหรอคะ หรือน้อยใจ”

“ก็…ไม่เชิง” ชายชรายังไม่อยากยอมรับความจริง

“เราต่างก็รู้นิสัยของลูก ให้เขาทำเอง ตัดสินใจเองเถอะ วันหน้าถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาเขาจะได้ไม่โทษเราได้ว่าเป็นต้นเหตุ ยายบุษเป็นพวกหัวแข็ง ขืนไปยุ่งมากๆ จะรำคาญเราเอาได้”

“ดูคุณจะทำใจได้ดีกว่าผมนะเนี่ย”

พิมพ์กมลหัวเราะคิกคัก “พออะไรๆ มันลงตัวแล้วฉันก็พอทำใจได้แหละ สารวัตรดูรักลูกของเราดี ยายบุษก็ไม่เคยมีใคร เห็นมองเขาตาหวานเชื่อมขนาดนั้นฉันก็คิดว่าคงเป็นคนนี้จริงๆ นั่นแหละค่ะ แต่ความรู้สึกของคุณ ฉันคิดว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวมากกว่า คุณก็เลยห่วงยายบุษมากกว่าตาวุฒิ ยิ่งเขาไปอยู่กันไกลหูไกลตาก็เลยห่วงมากหน่อย แต่เดี๋ยวก็ชินค่ะ จำไม่ได้เหรอว่าตอนลูกซื้อคอนโดฯ เราก็เป็นแบบนี้กันไปรอบหนึ่งแล้ว”

“ก็จริง ยิ่งโตก็ยิ่งห่างจากอกไปเรื่อยๆ แล้วนี่ป้าของเขานัดเราเมื่อไรนะ”

“สัปดาห์หน้าค่ะ นัดทานข้าวประจำเดือนของครอบครัวเรานั่นแหละ ยายบุษว่าสะดวกดี”

“อืม ก็ดี เขาอายุเยอะกว่าเรานิดหน่อยนี่นะ ให้เกียรติเขาหน่อย”

“คนแบบไหนกันนะที่ยอมเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่สายเลือดของตัวมานานหลายสิบปี ฉันอยากรู้จักจริงๆ”

คู่ชีวิตวัยเกษียณที่ไม่มีเรื่องอะไรคิดนอกจากเรื่องของลูกหลานยังคงนั่งคุยกันไป ปรับทุกข์กันไป แต่โดยรวมแล้วทั้งสองก็มีความสุขกับการตัดสินใจแต่งงานของบุษบงกชอยู่มาก คงเหลือแต่การค่อยๆ ปรับตัวรับหัสยุทธเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกคน ด้วยความที่มีเวลาทำความรู้จักกันน้อยจึงทำให้ไม่รู้สึกสนิทสนมกันมากนัก นั่นก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ทั้งสองยังคงเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของพวกเขาอยู่

หลังจากตักบาตรหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันเสร็จแล้ว หญิงชราก็ออกมายืนเอามือไพล่หลังแล้วเงยหน้าขึ้นมองทาวน์เฮ้าส์ของเธออยู่นานจนเพื่อนบ้านข้างเคียงที่ลอบมองผ่านม่านหน้าต่างบ้านตนอยู่นั้นนึกสงสัย สีหน้าของละอองดาวดูสงบจนคาดเดาไม่ออกเลยว่าเธอจ้องมองบ้านของตัวเองด้วยความรู้สึกอย่างไรกันแน่ ในที่สุดเพื่อนบ้านก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว ต้องเดินออกจากประตูบ้านของตัวเองแล้วตะโกนถามละอองดาวผ่านรั้วซี่กรงเหล็กเตี้ยๆ นั้น

“มีอะไรเหรอพี่ดาว เห็นยืนมองอยู่นานแล้ว มีอะไรมันพังเหรอ”

“ไม่มีอะไรพังหรอก แค่ยืนมองมันเฉยๆ”

คนถามอายุน้อยกว่าเป็นสิบปีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ไม่อยากจะจี้ถามต่อจึงพยายามคิดหาเรื่องอื่นมาคุยแทน

“เอ่อ แล้วนี่หลานชายไม่อยู่เหรอ เห็นขับรถออกจากบ้านก่อนพระจะมาบิณฑบาตซะอีก”

“อื้ม ว่าจะไปหาแฟน”

“อ้าว นี่สารวัตรมีแฟนแล้วเหรอ ดีจัง ต่อไปพี่ดาวจะได้ไม่เหงาอีกแล้วนะ”

ละอองดาวยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เป็นการยิ้มทั้งปากทั้งตา มันเป็นยิ้มเพื่อรักษามารยาทเท่านั้นและดูเหมือนคนฟังยังไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยานั้น

“แล้วเด็กสาวคนสวยๆ ที่ฉันเคยเห็นนั่นเป็นใครล่ะ หลานของพี่ดาวอีกคนเหรอ”

“อ๋อ ก้อย…ใช่ หลานสาวอีกคน” ละอองดาวถอนใจอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้รั้วบ้านยิ่งขึ้นก่อนที่จะเอ่ยปากถามเพื่อนบ้านเบาๆ “นี่พอจะรู้จักนายหน้าขายบ้านบ้างมั้ย”

“นายหน้าขายบ้านเหรอ พี่จะขายบ้านที่ไหน”

“ก็หลังนี้แหละ”

“อ้าว ขายทำไมล่ะพี่ แล้วพี่ดาวจะไปอยู่ที่ไหน”

นางยิ้มน้อยๆ “นังเดือนเสี้ยวมันเบื่อบ้านหลังนี้แล้ว เลยว่าจะไปหาหลังใหม่ให้มันอยู่”

“ฮู้…”

คนฟังร้องเสียงหลงแต่ท่าทางไม่เชื่อเหตุผลที่ได้ยินนั้น ไม่รู้ว่าละอองดาวคิดอะไรอยู่กันแน่…

 

เสียงลมหายใจหอบเหนื่อยทำให้เช้าวันหยุดของสองหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความร้อนแรง เม็ดเหงื่อที่ชุ่มกายบอกให้รู้ว่าพวกเขาใช้เวลากับกิจกรรมนี้มาร่วมชั่วโมงแล้ว…

“พอเถอะค่ะคุณ…ฉันไม่ไหวแล้ว”

“ยัง…อีกนิดเดียว อดทนหน่อย”

“ทะ…ทำไมเราต้องทำอย่างนี้ในวันหยุดด้วย ระ…เราควรจะได้นอนตื่นสายสิถึงจะถูก!”

บุษบงกชเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าที่กำลังวิ่งอยู่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงทิ้งห่างเธอไปไกลอีก กว่าจะเร่งฝีเท้าให้ทันเขาก็เกือบจะแย่อย่างที่เห็น หัสยุทธหันมายิ้มยั่ว

“อ้าว ชอบแบบนั้นก็ไม่บอก จะได้อยู่บนเตียงด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเลย”

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!” อะดรีนาลินที่หลั่งออกมาหลังจากการออกกำลังกายอาจจะมีมากเกินจนไปกระตุ้นต่อมเดือดของคุณหมอเข้า “คุณไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม ไอ้โปรแกรมนี้ของคุณเนี่ย”

หัสยุทธหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะผ่อนฝีเท้าลงเพื่อคนที่วิ่งอยู่ข้างๆ

“คุณเป็นหมอ คุณก็ต้องรู้สิว่าผมไม่ได้หลอก เราสองคนอายุไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีลูกที่แข็งแรงก็จงออกกำลังกายซะ”

“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่เราจำเป็นต้องหักโหมตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานกันเลยเหรอ”

“ก็ถ้าไม่หักโหมเรื่องนี้ ผมก็จะไปโฟกัสเรื่องอื่นซึ่งมันจะไม่ยุติธรรมกับคุณนะ”

“โอ๊ย ทำไมเราต้องวกกลับมาเรื่องนั้นอีกเนี่ย”

บ่นแล้วเธอก็หยุดวิ่ง มันทำให้หัสยุทธต้องพลอยหยุดไปด้วย เขาเห็นสภาพของคนขี้บ่นแล้วอดยิ้มและหัวเราะขำไม่ได้

“เราไม่ได้กลับ…เรากำลังพูดถึงเรื่องนั้นเลยแหละ อย่าเพิ่งหยุดทันที เดี๋ยวบาดเจ็บ เดินก่อน ยกแขนขึ้นสูง หายใจเข้าลึกๆ ด้วย”

แม้จะหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งโดยดี พวกเขาเดินเคียงคู่กันไปช้าๆ ความจริงรอบข้างมีบรรยากาศของยามเช้าในเมืองหลวงที่ดีมาก มันเป็นช่วงเวลาที่ดูสงบ ร่มเย็น และสดชื่นมากที่สุดของวัน ที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านของหัสยุทธกับคอนโดมิเนียมของบุษบงกช เขาสามารถขับรถไปรับเธอได้ภายในสิบห้านาทีในตอนเช้ามืดของวันเสาร์ เสียเวลาปลุกคนขี้เซาลุกขึ้นจากเตียงนิดหน่อยโดยการขู่ว่าถ้าไม่ตื่นเขาจะจัดการให้ตื่นด้วยวิธีของเขา เท่านั้นก็ทำให้คุณหมอลุกขึ้นมาออกกำลังกายในสวนสาธารณะยามเช้าได้

แสงแดดเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ผู้คนที่มาออกกำลังกายเหมือนกับสารวัตรและคุณหมอดูหนาตาขึ้นมากกว่าชั่วโมงที่ผ่านมา เสียงนกร้องผสานกับเสียงน้ำพุกลางสระใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ของสวนเปิดต้อนรับผู้คนไว้ทำให้จิตใจสงบได้ไม่ยาก เด็กตัวเล็กๆ กำลังโปรยข้าวตอกให้นกกระจอกได้จิกกิน คนขี่จักรยานพยายามบังคับให้จักรยานอยู่ในลู่ของตน กลุ่มผู้สูงอายุรำไท้เก๊กยึดสนามหญ้าริมสระไว้เป็นที่ยืดเส้นยืดสายของพวกตน ทุกคนกำลังมีความสุขกับกิจกรรมและวันหยุดของพวกเขา ยกเว้นคนที่กำลังเดินหน้างอ ผมหางม้ากวัดแกว่งไปมาตรงข้างกายหัสยุทธนี่แหละที่ทำท่าว่าจะโจมตีเขาอยู่ตลอดเวลา

“จะมีลูกหรือให้ไปสมัครเข้าหน่วยรบพิเศษเนี่ย ทุกเย็นวันพุธต้องเข้ายิมเพื่อไปหัดต่อยมวยกับฝึกศิลปะป้องกันตัว เช้าวันเสาร์กับวันอาทิตย์ยังต้องมาวิ่งอีก”

“แล้วไม่พูดถึงวันที่ได้ไปกินของอร่อยๆ อีกสามสี่วันต่อสัปดาห์บ้างล่ะ”

คนสวยหันมาค้อนขวับ

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก็ได้ ผมให้คุณเลือกเลยว่าเช้านี้จะกินอะไร”

“ปาท่องโก๋กับโจ๊กชามโตๆ เลย”

“โอเค เลี้ยงง่ายดี แค่มีของกินก็อารมณ์ดีแล้ว”

มีบางอย่างแปลกไปหลังจากความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งซึ่งบุษบงกชไม่สามารถให้คำจำกัดความการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ เธอรับรู้ได้ถึงความห่วงใยซึ่งบางครั้งอาจจะล่วงไปถึงขั้นเป็นกังวล มีความเครียดบางอย่างเกิดขึ้นกับหัสยุทธแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากถามเขาอย่างไร เพราะยังมองไม่เห็นสาเหตุหรือปัญหาใดๆ เลย แต่เธอเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวเขาว่าทุกอย่างที่เขาทำนั้นย่อมมีเหตุผลและเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองด้วย หากเขาพร้อมที่จะแบ่งปันความกังวลนั้นให้เธอรู้ เธอก็คงรู้เข้าสักวัน

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จคนทั้งคู่ก็กลับมาที่คอนโดมิเนียมของบุษบงกชอีกครั้ง วันหยุดของพวกเขากลายเป็นวันเตรียมการจัดงานแต่งงานไปด้วย เนื่องจากคุณหมอกับสารวัตรต่างก็มีภารกิจรัดตัวด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นการวางแผนที่ดีจึงเป็นเรื่องจำเป็น หัสยุทธอาบน้ำเสร็จแล้วก็มาสมทบกับบุษบงกชที่โซฟาในห้องรับแขก อีวี่กำลังเดินไปมาทั่วพื้นห้อง แต่แขกร่างใหญ่ก็ดูเหมือนจะเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว นึกเสียว่าเป็นเจ้าเดือนเสี้ยวอีกตัวที่เขาต้องคอยระวังไม่เดินไปเหยียบมันเข้า

ว่าที่เจ้าสาวนุ่งกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด เธอนั่งขัดสมาธิ กางสมุดบันทึกที่มีตารางนัดต่างๆ ไว้บนตัก มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ ส่วนข้างตัวอีกฝั่งเป็นโน้ตบุ๊กที่เปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับบริษัทจัดงานแต่งงานไว้ ตอนนี้ผมยาวของคุณหมอกึ่งเปียกกึ่งแห้งมันจึงดูฟูฟ่องกว่าที่เขาเคยเห็น ใบหน้าขาวกระจ่างไม่มีเครื่องสำอางหลากสีนอกจากครีมบำรุงผิว ริมฝีปากขมุบขมิบคล้ายกับกำลังท่องจำอะไรบางอย่าง หัสยุทธเดินมาหยุดหน้าโซฟาแล้วกอดอกมองเธอด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ยากกว่าผ่าศพไหม”

บุษบงกชหยุดสนใจงานในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนกวน “ยากกว่าค่ะ เพราะผ่าศพมีลูกมือ แต่งานนี้ต้องทำคนเดียว”

ปลายประโยคกดเสียงต่ำจนคนถามเสียวสันหลัง เขายิ้มเอาใจแล้วพยายามหาที่นั่งข้างตัวเธอจนสำเร็จ

“ผมไม่รู้จะช่วยยังไงนี่นา คอยตามใจอย่างเดียว อยากได้อะไรบอกเดี๋ยวจัดการให้ สั่งมาเลย”

คุณหมอทำปากยื่น แกล้งงอนแล้วหันไปสนใจแผนงานของตัวเองอีกครั้ง หัสยุทธรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวแถมยังไงชอบกล ระหว่างนั้นก็เอาแต่นั่งมองอีวี่วิ่งไปวิ่งมาทั่วห้อง เจ้าเครื่องดูดฝุ่นยังมีประโยชน์มากกว่าเขาเลย บุษบงกชพอจะจับความรู้สึกของเขาได้ เธอจึงวางสมุดบันทึกในมือลงแล้วหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาวางบนตักแทน

“งั้นเลือกชุดดีกว่า คุณชอบแบบไหน” เธอยิ้มหวานฉ่ำอย่างเอาใจ “ช่วยคิดหน่อยสิคะ”

ดวงตาใสแป๋วคู่นั้นมันทำให้คนอยู่ใกล้ใจสั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วจู่ๆ หัสยุทธก็เอี้ยวตัวแล้วประคองใบหน้าของเธอด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้างของเขาก่อนที่จะประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากอิ่มนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“อื้อ…”

คนถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวอุทธรณ์เล็กน้อยก่อนที่จะปล่อยเลยตามเลยให้เขาจูบจนพอใจ รสจูบคราวนี้ไม่หวือหวา ร้อนแรง แต่กลับบรรจงอ้อยอิ่งคล้ายกับกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อหัสยุทธผละออกแล้วบุษบงกชก็เอาแต่จ้องมองเขานิ่งด้วยแววตาเป็นประกาย คนถูกมองกลับเป็นฝ่ายเขินซะเองที่ทำอะไรลงไปอย่างเมื่อครู่

“ฉันหมายถึง ‘think’ ค่ะ ไม่ใช่ ‘kiss’ ซะหน่อย”

“อ๋อเหรอ สงสัยจะฟังผิด” เขาแกล้งตีมึนแล้วยื่นมือไปหยิบโน้ตบุ๊กของเธอมาวางบนตักของตัวเอง “ไหนเอามาดูซิ”

บุษบงกชยิ้มขำกับท่าทางเหมือนเด็กโดนจับผิดของเขา เธอเคยชินกับการสัมผัสจากเขาแล้ว และทุกครั้งที่ทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันยิ่งตอกย้ำให้เธอเชื่อมั่นว่าคนคนนี้คือคนที่จะอยู่เคียงข้างเธอไปตลอดชีวิต

“ใส่สีดำจะหล่อมั้ย” หัสยุทธถามขึ้นมาลอยๆ

“ชัวร์…เสื้อยืดคอวีสีดำของคุณทำให้ฉันคลั่ง”

คุณหมอสารภาพแล้วเอียงศีรษะไปวางไว้ตรงบ่าของเขา หัสยุทธได้ยินแล้วก็หัวเราะในลำคอทันที

“ผมรู้…เลยใส่บ่อยๆ ไง”

คุณหมอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของเขา “เจ้าเล่ห์…”

หัสยุทธหัวเราะ แต่บุษบงกชกลับขมวดคิ้ว

“นี่ฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย บ้าจริง”

นายตำรวจหนุ่มใหญ่ก้มลงไปจูบที่หน้าผากของเธอเร็วๆ อย่างให้กำลังใจว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ลงเอยกันแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลกับการปล่อยไก่ของเธอในอดีตเลย

“แล้วคุณจะใส่ชุดไหน”

“ใส่แบบที่โป๊ๆ หน่อย”

“หืม…” คนฟังหันขวับมาด้วยสายตาสงสัยปนดุ “ไม่ได้ ไม่อนุญาต”

คุณหมอลอยหน้าลอยตาบอก “ไม่ได้ขออนุญาต”

“เดี๋ยวๆๆ มาตกลงกันก่อน ทำไมจู่ๆ เกิดอยากจะแต่งตัวโป๊ ปกติก็ปิดมิดชิดดี”

“หวงเหรอ”

“มากกกกกกก…”

“ใครอยากจะดูผู้หญิงวัยสามสิบเศษแต่งตัววับๆ แวมๆ”

“ผมไง”

บุษบงกชหัวเราะแล้วหันหน้าจอโน้ตบุ๊กมาฝั่งตน ก่อนที่จะเปิดภาพชุดแต่งงานภาพหนึ่งซึ่งได้บันทึกไว้ก่อนหน้าให้ว่าที่เจ้าบ่าวตรวจสอบ มันเป็นชุดแต่งงานสีงาช้างที่ด้านหน้าชายกระโปรงอยู่แค่ช่วงเข่าแต่มีหางยาวระพื้นเป็นเมตร ส่วนตัวเสื้อด้านหน้าเป็นคอวีลากลึกเกือบถึงสะดือ มีผ้าโปร่งบางๆ ปิดระหว่างร่องอก แขนเสื้อเป็นผ้าชนิดเดียวกันยาวถึงข้อมือ ส่วนด้านหลังก็คว้านลึกจนแทบจะเปลือยแผ่นหลัง ทั้งชุดนั้นปักด้วยคริสตัลเม็ดเล็กจนดูพริบพราวไปหมด หัสยุทธเห็นแล้วก็ส่ายหน้าเร็วๆ จนว่าที่เจ้าสาวหน้างอ

“ทำไมคะ สวยออก”

“ถ้าอยากใส่จริงก็ใส่ให้ผมดูคนเดียวพอ”

เธอหัวเราะคิก “ซื้อชุดเจ้าสาวมาใส่ให้เจ้าบ่าวดูคนเดียวเนี่ยนะคะ”

“ใช่ แล้วใส่ชุดอื่นที่ไม่โป๊ไปในงานแทน คุณสวยใส่อะไรก็สวย ไม่จำเป็นต้องโป๊เลย อีกอย่างถ้าใส่ชุดนี้นะผมต้องเร่งให้งานพิธีการจบลงไวๆ แน่ หรือไม่ก็ไม่ต้องลงไปเลี้ยงฉลองอะไรทั้งนั้น อยู่มันแต่บนห้องนี่แหละ”

คราวนี้คุณหมอขำจนตัวโยน “หื่น”

“รู้ก็ดี จะได้ไม่ยั่วผม ไม่งั้นตัวคุณนั่นแหละที่จะลำบากเอง”

บุษบงกชมองค้อนเพราะเขินจัด จากนั้นก็เลื่อนภาพชุดแต่งงานชุดอื่นขึ้นมาให้ว่าที่เจ้าบ่าวดูใหม่ “ชุดนี้ต่างหาก”

หัสยุทธยิ้มอย่างพอใจกับชุดกระโปรงสุ่มเหมือนเจ้าหญิงในนิทานฝรั่ง “อันนี้เลย ผมชอบ”

“อนุรักษนิยมมาก” บุษบงกชประชด

“จะบอกว่ารสนิยมของคนแก่ก็พูดมาเถอะ…ไม่เจ็บหรอก”

บุษบงกชหัวเราะเสียงดัง เธอชอบช่วงเวลาเช่นนี้มากที่สุด ได้พูดคุย หยอกล้อ แล้วก็หัวเราะไปด้วยกัน ยิ่งมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเท่าไร ช่วงเวลานั้นก็ยิ่งมีค่ามากสำหรับเขาและเธอ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งรู้สึกผูกพันและรักเขามากขึ้นทุกวัน จนบางครั้งเธอเริ่มกลัวว่าตัวเองจะยึดติดกับเขามากจนเกินไป จากที่เคยใช้ชีวิตอยู่ได้เพียงลำพัง เมื่อมีเขาเข้ามาความรู้สึกในใจเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอหลงใหลกลิ่นกายของเขา รักความอบอุ่นจากอ้อมแขนและอกแข็งแรง เธอไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้หายไป ยิ่งรู้สึกเป็นเจ้าของมากเท่าไรก็ยิ่งหวงและห่วงมากขึ้นเท่านั้น

“เอ่อ แล้วเรื่องที่อยู่…ตกลงคุณจะเอายังไง ผมอยากให้คุณเป็นคนตัดสินใจ”

เมื่อหัสยุทธเอ่ยถึงเรื่องนี้คนถูกถามก็นั่งตัวตรงทันที เธอเงียบไปอย่างคนใช้ความคิดจนนายตำรวจหนุ่มใหญ่รู้สึกว่าตัวเองกลั้นหายใจรอฟังนานเกินไปแล้ว เขาจึงถามซ้ำ

“พูดมาได้เลยนะ ผมอยากให้คุณสบายใจ”

“อืม ยังไงดี ความจริงฉันอยากให้คุณย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะมันสะดวกเวลาเราไปทำงานกันทั้งคู่ แต่…ฉันก็รู้ว่าคุณมีคุณป้าดาวอยู่ ถ้าทิ้งท่านไว้คนเดียว ฉันก็จะดูเป็นคนเห็นแก่ตัวเกินไป”

หัสยุทธเข้าใจความรู้สึกของคนรัก เขาก็คิดถึงประเด็นนี้เหมือนกันกับเธอ

“ถ้าอย่างนั้นก็เห็นจะมีแค่ทางเดียวคือ ไปๆ มาๆ ระหว่างคอนโดฯ ของฉันกับบ้านของคุณ” บุษบงกชยิ้มอย่างเอาใจแต่มันก็ยังดูแห้งแล้ง

“แต่ถ้าเราคิดจะมีลูก แบบนั้นมันก็ดูจะไม่นิ่ง ไม่มั่นคงสำหรับลูกนะ นอนตรงนั้นทีตรงนี้ทีมันดูเหมือนพวกนกหลงรัง คุณคิดไหมว่าถ้าเราซื้อบ้านหลังใหม่แล้วย้ายไปอยู่ด้วยกันสามคน…” หัสยุทธทิ้งท้ายคล้ายกับลองหยั่งเชิงบุษบงกช เมื่อเห็นเธอเอาแต่มองตาแป๋ว เขาจึงพูดต่อ “มันอาจจะดีกว่าแยกกันอยู่ อย่างน้อยก็จะได้ดูแลกัน”

“หรือเราจะจัดการเรื่องที่อยู่ก่อนแล้วค่อยแต่งงาน”

นายตำรวจร่างใหญ่ขมวดคิ้วทันที “ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย ก็แต่งก่อนนี่แหละ เรื่องบ้านค่อยขยับขยายก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากขายคอนโดฯ ผมจะขายบ้านเอง”

“อุ๊ย เดี๋ยวค่ะ นี่คุณคุยกับป้าดาวรึยัง อย่าด่วนผลีผลามตัดสินใจนะคะ ฉันไม่อยากให้ป้าดาวเข้าใจฉันผิดว่าเป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านกับชีวิตของคุณ”

“ก็ยังไม่ได้คุย แต่ป้าดาวเป็นคนที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ถ้าเราคุยกับท่านด้วยเหตุผล ยังไงท่านก็จะเข้าใจ”

คุณหมอลอบถอนหายใจ ผู้ชายมักจะคิดว่าทุกอย่างง่ายไปซะหมด แต่ผู้หญิงอย่างเธอจำเป็นต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องของจิตใจ ละอองดาวเป็นคนเลี้ยงดูหัสยุทธมา ไม่ใช่แม่ก็เหมือนแม่ เธอไม่อยากผิดใจกับผู้มีพระคุณของคนที่เธอรักไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดๆ ก็ตาม เธอไม่อยากให้เกิดสิ่งกระทบกระเทือนจิตใจของหญิงชรา คนทั้งคู่ต้องพยายามหาทางออกสำหรับเรื่องนี้

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ส.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: