X
    Categories: บทสัมภาษณ์

เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แบ่งเวลายังไงให้ปังทุกด้าน ‘นางร้าย’ เจ้าของนิยายรักวัยรุ่นมีคำตอบ

มีเพื่อนๆ หลายคนฝันอยากเป็นนักเขียน แต่ที่ยังไม่เริ่มต้น นั่นก็เพราะมีเรื่องอย่างอื่นให้ต้องคิดต้องทำอยู่ หลักๆ ก็คือการเรียนใช่มั้ยล่ะ หากเรามองว่าตัวเองยังไม่มีเวลาพอ โอกาสเริ่มต้นในอาชีพนักเขียนก็จะเกิดขึ้นช้าตามมาด้วยเช่นกัน

ฉะนั้น เราลองมาฟังเคล็ดลับการแบ่งเวลาให้ออกมาปังในทุกๆ ด้านของหนึ่งในนักเขียนนิยายรักวัยรุ่นของสำนักพิมพ์แจ่มใสอย่าง ‘นางร้าย’ หรือที่มีชื่อเล่นจริงๆ ว่า ‘น้องยิปซี’ นักเขียนผู้ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานเสริมอย่างการแต่งนิยายกันเลยดีกว่า

Q:สวัสดีจ้าน้องยิปซี ก่อนอื่นอยากรู้มากๆ เลยว่า ทำไมถึงตั้งนามปากกาว่า ‘นางร้าย’ ทั้งๆ ที่ตัวจริงหน้าตาน่ารักและดูเป็นคนใจดีขนาดนี้

A:สวัสดีค่า *โค้ง โค้ง โค้ง* พูดถึงที่มาที่ไปของนามปากกาแล้วจั๊กจี้ทุกทีเลยค่ะ แต่เราจะยืดอกตอบด้วยความภูมิใจว่า ที่ตั้งแบบนี้เพราะ ‘ถ้าเป็นนางเอกเราจะได้แค่พระเอก แต่ถ้าเป็นนางร้ายเราจะได้ผู้ชายทั้งเรื่องค่ะ!’ 55555555555

 

Q:น้องยิปซีก้าวเข้ามาเป็นนักเขียนของแจ่มใสได้ยังไง

A:ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นนักเขียนแจ่มใสจากการประกวดโครงการนักเขียนหน้าใสปี 2 ค่า จากโครงการนั้นทำให้มีนิยายเรื่องแรกในชีวิตคือเรื่อง ‘Haunted House ระวัง! บ้านนี้...ผีหล่อ!’ ครับโผม จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะเขียนมาเรื่อยๆ เพราะรักในความอบอุ่นของสำนักพิมพ์นี้และนักอ่านที่นี่มากๆ ค่ะ

 

Q:ช่วงแรกๆ ที่น้องยิปซีออกผลงานกับแจ่มใส ตอนนั้นเห็นยังเรียนหนังสืออยู่ อยากรู้เลยว่าสมัยเรียนแบ่งเวลายังไง มีเคล็ดลับอะไรเป็นพิเศษมั้ย เพราะเท่าที่ทราบมาคือตอนนี้น้องยิปซีเรียนจบสาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ (หลักสูตรนานาชาติ) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วด้วย โอ้โห เก่งมากๆ

A:จริงๆ เป็นคนที่ระบบการแบ่งเวลาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะคะ (ฮ่าๆๆ) ค่อนข้างทำอะไรตามอารมณ์มากๆ เพราะงั้นถ้ามีฟีลเขียนก็จะเขียนตุนไว้ก่อนเลยค่ะ แต่ถ้าเรื่องเรียนด่วนก็ต้องเอาเรื่องเรียนก่อน ไม่เชิงว่าแบ่งเวลาเป๊ะๆ เพียงแต่รู้สึกว่าการเขียนเป็นการพักผ่อน เลยสามารถทำควบกันไปได้แต่หลักๆ ก็ต้องอดทนค่ะ ส่วนมากแล้วความอดทนจะช่วยให้เราผ่านสิ่งต่างๆ ไปได้ดีเชียวล่ะ

 

Q:ทำไมถึงเลือกที่จะทำงานไปด้วย ทั้งๆ ที่เรียนหนักขนาดนั้น

A:สำหรับซีการเขียนนิยายเป็นสิ่งที่รักมากๆ ค่ะ เลยไม่ได้รู้สึกว่าการเขียนนิยายเป็นงาน (ที่หนักหน่วงในแง่นั้น) แต่รู้สึกว่าเป็นเหมือนกิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุข พอเรียนมาหนักๆ แล้วได้กลับบ้านมาเขียนนิยายเหมือนได้พักผ่อน ทำให้อารมณ์ดีมากๆ ค่ะ พอไม่เขียนแล้วเครียด พอเครียดก็กระทบกับการเรียน เลยคิดว่าที่เรียนผ่านมาได้ส่วนนึง เป็นเพราะเขียนนิยายไปด้วยนะคะ

 

Q:เคยรู้สึกท้อมั้ย และมีวิธีปลอบตัวเองยังไง หรือใครคือที่ปรึกษาของเรา

A:ท้อนะคะ บางทีก็ท้อมาก อีกนิดนึงใกล้จะได้ไปแย่งตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์กับลิงบนยาหม่องขาวตราลิงถือลูกท้อละค่ะ (ลิงค้อนละๆ 555) อะเค! กลับสู่โหมดจริงจัง *ขว้างลูกท้อทิ้ง* สาเหตุที่ท้อส่วนมากจะเกิดจากความกังวลของตัวเองค่ะ กลัวว่ายังเขียนได้ไม่ดีพอ, กลัวนักอ่านผิดหวัง, กลัวนักอ่านไม่ชอบ แต่พอถอยออกมาก้าวนึงแล้วมองดีๆ ก็รู้ว่างานอื่นๆ คงโหดกว่านี้เพราะเราไม่ได้รักมัน ทำให้ตระหนักได้ว่าเขียนนิยายคืองานที่เรารัก และการได้ทำงานที่รักโดยมีนักอ่านคอยให้กำลังใจอยู่...เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นอกจากนั้นก็จะทำใจกว้างๆ ว่าไม่มีงานใดสมบูรณ์ที่สุด มีดีบ้าง กลางๆ บ้าง สลับๆ ขึ้นลงไปเป็นธรรมชาติหมั่นอภัยตัวเองแล้วก็หมั่นขอบคุณตัวเองบ่อยๆ ค่ะ

 

Q:ในฐานะที่เราก็เป็นเหมือนไอดอลคนหนึ่ง มีอะไรอยากฝากถึงน้องๆ วัยเรียนที่อยากเป็นนักเขียนนิยายเหมือนเรามั้ยเอ่ย

A:*หดคอ* ค่อนข้างเกร็งกับคำว่าไอดอล คิดว่าตัวเองน่าจะยังไม่เหมาะกับคำนั้นเท่าไหร่นะค้าบ *หดคออีกรอบ ฮ่าๆ* ซีรู้ว่าหลายคนที่เขียนนิยายก็อยากเห็นเรื่องของตัวเองได้ออกมาเป็นรูปเล่มจับต้องได้ บ้างสมหวัง บ้างผิดหวัง แต่ความผิดหวังใดๆ ก็ไม่น่าเศร้าเท่าเลิกตามความฝันตัวเองไปนะคะ จริงๆ แล้วการทำงานที่รักไม่มีขาดทุนแน่นอน มีแค่กำไรกับเสมอตัว เพราะเราได้รับความสุขที่เงินซื้อไม่ได้ตั้งแต่ขณะลงมือทำมันแล้ว

แล้วก็การทำสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบ (ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดก็ตาม) บางทีไม่ต้องรอจนถึงตอนเรียนจบก็ได้ค่ะ หลายๆ คนที่เริ่มลงมือตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ทำให้มีโอกาสและเวลาได้พัฒนาตัวเองมาก ถ้ารู้ตัวว่าชอบอะไรอยากให้ลองลุยกับสิ่งนั้นดูค่ะ เพราะในความเป็นจริงเวลาผ่านไปทุกวันๆ โดยไม่เคยอู้เลย แถมไปเร็วมากด้วย ถ้าไม่อยากให้ตัวเองในอนาคตพูดว่า “ถ้าลงมือทำตั้งแต่ตอนนั้นก็คงดี” ก็คงต้องเริ่มเลยค่ะ เพราะคำว่า ‘ตอนนั้น’ ในวันโน้นก็คือ ‘ตอนนี้’ ในวันนี้นี่เอง

ถ้าพูดถึงเฉพาะในส่วนของงานเขียน ปัจจุบันนี้ก็มีช่องทางให้แสดงผลงานมากมาย ทั้งส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์พิจารณาตามปกติ ส่งเวทีประกวด ลงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และทำเป็น E-book เป็นต้น ทีนี้ก็เหลือแค่เราแล้วที่จะให้โอกาสตัวเราเอง

เป็นกำลังใจให้สุดๆ เลย อย่าให้อะไรมาหยุดความฝันเราได้นะคะ *โดดกอด*

 

Q:แล้วถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยเหมือนเดิมมั้ย

A:ทำแน่นอนค่า ♥

 

Q:ตอนนี้หลักๆ กำลังทำอะไรอยู่ และให้ฝากผลงานล่าสุดกันหน่อยดีกว่า

A:ตอนนี้เขียนนิยายเป็นหลัก รักนักอ่านเป็นรองค่ะ (น้ำตาไหลเป็นรูปหัวใจ ฮ่าๆๆ) ตอนนี้มีผลงานเรื่องใหม่ชื่อ 'Dear Mr. Postman ส่งด่วนพิเศษ ผู้ชายเกรด A' นะคะ เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของแม่ค้าออนไลน์ที่เรียบง่ายและเงียบเหงาต้องมาเปลี่ยนไป เพราะเสียงกดกริ่งของ 'ขอบฟ้า' บุรุษไปรษณีย์คนใหม่ที่หน้าตาดีสุดๆ และ...และ...และจะเปลี่ยนไปยังไงนั้น สามารถหาคำตอบได้ในเล่มเลยค่ะ 😀

Q:ในส่วนของผลงานเรื่องถัดๆ ไปล่ะ ได้แพลนไว้บ้างหรือยังเอ่ย

A:เรื่องหน้าเอาพระเอกอาชีพแปลกๆ อีกดีมั้ยคะ? หรือเอาแนวลึกลับ ตื่นเต้น สยองขวัญดีกว่า? หรือเกี่ยวกับ Phobia ดีน้า? (ノ´ヮ´)ノ*:・゚

 

Q:สุดท้ายนี้ คติประจำใจที่ทำให้น้องยิปซีประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียนคืออะไร

A:ถ้าหมายถึงการประสบความสำเร็จในความหมายทั่วๆ ไป คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จนะคะ รู้สึกว่ายังต้องพัฒนาอีกมากๆ (คูณไม้ยมกไปอีกสักร้อยตัว ฮ่า) แต่ถ้าเป็นความสำเร็จในแง่มุมส่วนตัว ในช่วงนี้มักจะนึกถึงประโยคหนึ่งของ Elizabeth Gilbert (เจ้าของหนังสือเรื่อง Eat, Pray, Love) มีช่วงที่เธอต่อสู้กับแรงกดดันรอบด้าน (โดยเฉพาะจากตัวเอง) ทำให้เขียนต่อไม่ได้ เธอเลยบอกตัวเองว่า "ถ้าเลิกเขียน ฉันก็จะสูญเสียงานที่ฉันรัก"

 

เป็นประโยคที่ทำให้รู้สึกว่า ‘การได้ทำงานที่รัก ก็เป็นการประสบความสำเร็จในตัวอยู่แล้ว’ แล้วส่วนตัวก็ชอบวัดความสำเร็จจากความสุขที่ได้รับน่ะค่ะ ถ้าทำแล้วยังมีความสุขกับมันอยู่ก็ถือว่าสำเร็จ (ถ้ามีความสุขมากก็แปลว่าประสบความสำเร็จมาก ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแบบนี้เลยค่ะ ฮ่าๆ) ส่วนคติประจำใจอื่นๆ ก็...มีเยอะนะคะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์และวันเวลา บางวันก็บอกตัวเองว่า...

กินชีสกับเบค่อนเยอะๆ จะได้มีแรงทำงาน! (ฮ่าๆๆๆ)

Comments

comments

Jamsai Editor: