บทที่ 3
เลขาฯ คนใหม่
เหตุการณ์สั้นๆ ไม่กี่นาทีเมื่อวานสั่นประสาทเธอได้อย่างรุนแรง ทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่เคยอยู่ในสายตาของพิชญ์เลย แต่กลับกลายเป็นว่าที่จริงแล้วเขารู้จักเธอมาตลอด แม้จะไม่รู้ว่ารู้จักมากแค่ไหนก็ตาม
นั่นเป็นเรื่องที่เธอควรยินดี แต่การสนทนาครั้งแรกระหว่างเธอกับเขาก็เลวร้ายเกินกว่าที่เธอจะมีแก่ใจจะยินดีได้ แค่คิดถึงก็อยากร้องไห้แล้ว
“ท่านรองฯ นี่น่ารักนะ ทั้งที่ดูเหมือนไม่สนใจใคร แต่กลับใส่ใจที่จะเก็บลิปสติกให้แกด้วย” เหมยลี่ดึงพัฒน์นรีให้ออกจากภวังค์ความคิด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมหลุดออกมาง่ายๆ
“เป็นอะไร นั่งหน้าเศร้าเหงาหงอยเป็นสาววัยแรกรุ่นเพิ่งมีรักแรก” นลินรัตน์เห็นอาการของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องก็เข้ามาสะกิดต่อมความเจ็บอีกแรง
“พี่นิดอย่ารู้เลย”
“หืม! แรงนะยะ”
“ขอโทษนะเจ๊ ตอนนี้ฉันกำลังอกหัก อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก” พัฒน์นรีพูดแล้วก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือ
“แล้วใครกันนะที่เคยบอกว่ารักด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังครอบครอง” เหมยลี่ยื่นหน้าเข้ามา “ถ้าไม่หวังจะผิดหวังขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ”
พัฒน์นรีเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดอย่างเซ็งๆ “แหม! ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา จิตใจของฉันมันอ่อนไหว ตอนมองเขาไกลๆ ก็คิดว่าหลุมรักน่ะตื้นแค่เข่า ที่ไหนได้ พอเดินเข้าไปใกล้…ดันลึกมิดหัวเลย”
“โอ๊ย! น้ำเน่า”
เหมยลี่กับนลินรัตน์ประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมาก่อนล่วงหน้า ยังดีที่แวววารีกับอินทิรายังมาไม่ถึงที่ทำงาน ไม่เช่นนั้นเธอต้องถูกสายตาสี่สาวรวมพลังกันสาปแน่ๆ
พอเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเพื่อนร่วมงานแล้ว พัฒน์นรีก็หลุดหัวเราะออกมา
“ช่างเถอะ ทำงานดีกว่า…” พัฒน์นรีขยับตัวนั่งตรงคล้ายอยากจะจบบทสนทนา แต่ไม่ทันได้วางมือลงบนแป้นพิมพ์ นลินรัตน์ก็พุ่งตัวเข้ามาจ้องหน้า
“นี่! ลิปสติกแท่งนั้นน่ะ แกคงเอาไปบูชาบนหิ้งแล้วสินะ”
“บ้า ใครจะไปทำอะไรแบบนั้นกันเล่า” พัฒน์นรีกลอกตาให้สายตาจับผิดของอีกฝ่ายก่อนจะยอมบอกความจริง “แค่เก็บไว้ใต้หมอน เอาไว้ดมทุกคืนก่อนนอนอ่ะ”
“หืม เอาไว้ดมเนี่ยนะ” นลินรัตน์ทำหน้าเหลือเชื่อ
“ใช่! แปลกหรือไง”
“มาก โรคจิต” คราวนี้เหมยลี่เป็นคนตอบ
บทสนทนาคงยังยืดเยื้อต่อไปอีกหากหัวหน้าจิรวัฒน์ไม่ทำให้วงแตกด้วยการขยับลุกจากเก้าอี้พร้อมประกาศด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ถึงเวลาประชุมแล้ว อย่ามัวจับกลุ่มนินทาคนอื่นอยู่เลย มันไร้สาระ”
พูดจบก็เดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไปทันที พัฒน์นรีกับคนอื่นๆ มองตามจนร่างนั้นหายลับไปทางมุมตึก จิรวัฒน์เป็นหนุ่มวัยสามสิบปลายๆ ที่ยังโสดสนิท เขาทุ่มเททำงานจนไม่มีความสนใจให้เรื่องอื่นเลย ใครๆ ต่างก็ทราบดีว่าชายหนุ่มวาดหวังไว้ว่าสักวันจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อำนวยการฝ่าย
ซึ่งนั่นก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว อายุเท่านี้นับว่าอนาคตยังอีกยาวไกล
แต่นั่นแหละ ความมุ่งมั่นอันมากล้นของหัวหน้าแผนกย่อมนำมาซึ่งความอึดอัดของลูกน้อง หลายคนจึงแอบหมั่นไส้ตามนิสัยมนุษย์ผู้รักอิสระย่อมไม่ชอบการถูกบังคับให้ทำนั่นทำนี่ เว้นก็แต่อินทิราที่ยิ่งจิรวัฒน์เข้มงวดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเท่มากขึ้นในสายตาเธอ
พัฒน์นรีเข้าใจในข้อนี้ดี เพราะเธอก็มีอาการแบบเดียวกันเมื่อเห็นท่าทีเคร่งขรึมของพิชญ์
ไม่เอาแล้ว
พัฒน์นรีสะบัดศีรษะไล่ความคิดออกจากหัว เธอควรเลิกคิดถึงเขาสักที
การประชุมยืดเยื้อมาจนถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน พัฒน์นรีอ่านวาระการประชุมในไอแพดอีกรอบเพื่อทบทวนเนื้องาน แม้ว่ามารีรินทร์จะเป็นห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งของเมืองไทยชนิดที่อันดับสองตามหลังห่างอยู่หลายขุม กระนั้นแผนกพัฒนาธุรกิจก็ยังสำคัญมากอยู่ดี
‘เพราะการย่ำอยู่กับที่เท่ากับตาย’
นั่นเป็นประโยคแรกที่ทำให้เธอตกหลุมรักรองประธานบริษัทผู้สูงส่ง ใครต่างก็มองว่าเธอโรคจิต ไม่ก็เป็นพวกมาโซคิสต์ถึงได้ตกหลุมรักผู้ชายด้วยคำพูดที่น่ากลัวแบบนั้น
เพราะคำพูดนั้นไม่ต่างจากคำพูดของแม่ทัพยามนำกองทัพออกสู้กับข้าศึก เพราะอะไรน่ะหรือ สู้ก็ตายไม่สู้ก็ตายอย่างไรล่ะ คนที่ยอมอุทิศตัวเพื่อบริษัทอย่างที่พิชญ์คาดหวังเห็นจะมีแค่วริษฐ์ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ตาย…แต่บาดเจ็บสาหัส
ถึงจะเป็นเช่นนั้นพัฒน์นรีก็ไม่เคยคิดว่าพิชญ์น่ากลัวเลย เพราะหากเจ้านายเป็นเขา เธอก็จะยอมตายถวายชีวิตให้เหมือนกัน
คิดบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย
ขณะที่กำลังเพ้อฝันไปหลุดโลก ร่างระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินผ่านหน้าเธอไปพร้อมตรึงสายตาเธอไว้ได้ในทันที ใบหน้าสวยหวานอย่างสาวไทย ผิวขาวนวล ร่างกลมกลึงสมส่วน ผมยาวถึงกลางหลังดัดเป็นลอนหลวมๆ ออร่าเจิดจรัสแสบตา
“นั่นมันคุณพริ้มเพรานี่” นลินรัตน์ผู้รู้ทุกสรรพสิ่งบนโลกกล่าวทำลายความสงสัยของคนอื่นๆ
พัฒน์นรีแทบจะทำไอแพดร่วงจากมือเสียให้ได้
“ว่าที่คู่หมั้นปรากฏตัวแบบนี้ สงสัยข่าวลือที่ว่าจะเป็นจริง”
เมื่อความตกตะลึงจางหายไป พัฒน์นรีก็คลี่ยิ้มออกมา ว่าที่คู่หมั้นของท่านรองฯ สวยเหมาะสมมากจริงๆ แบบนี้ค่อยเสียใจน้อยหน่อย
เพราะมีผู้หญิงระดับนั้นอยู่บนโลก เธอถึงต้องพลัดพรากจากพิชญ์แบบนี้
เหล้าที่เหลือจากงานเลี้ยงเมื่อกลางปีถูกเปิดในคืนก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์
งานเลี้ยงฉลองขึ้นบ้านใหม่ในแบบของแก๊งป้าข้างบ้านแห่งแผนกพัฒนาธุรกิจก็ไม่ต่างอะไรกับการเปิดวงสนทนาเรื่องชาวบ้านอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
หลังจากเม้าท์จนไถลไปเรื่องชาวบ้านเลยไปถึงเรื่องหมาแมวแถวออฟฟิศจนไม่มีเรื่องอะไรจะคุยแล้ว ทุกคนก็วกกลับมาที่เรื่องของสาวงามซึ่งปรากฏตัวเมื่อวันก่อน
“ตระกูลปัถมธาดานี่ไม่ธรรมดานะ เขาว่ากันว่าต้นตระกูลนี้มีเชื้อสายมาจากในรั้วในวัง เป็นผู้รากมากดี ตอนแรกฉันก็นึกภาพไม่ออกหรอกว่าไอ้ผู้รากมากดีนี่มันเป็นยังไง จนกระทั่งได้เจอคุณพริ้มเพราวันนั้น แกเอ๊ย! เหมือนหลุดออกมาจากละครเรื่องปริศนาอะไรเทือกนั้น” นลินรัตน์ยังคงครองอัตราส่วนการพูดมากที่สุดเหมือนเดิม และทุกคนก็ยินยอมให้เธอพูด เพราะเจ้าหล่อนมีความสามารถในการบรรยายได้อย่างออกรสออกชาติ
“จริง สวยมากด้วย ถ้าบอกว่าเป็นดาราก็เชื่อ” อินทิราเสริม แต่มิวายหันมามองเอฟซีท่านรองฯ อย่างพัฒน์นรี อีกฝ่ายคงเริ่มกรึ่มๆ จึงยิ้มใส่เพื่อนตาหวานฉ่ำ
“มองฉันทำไม”
“ก็อยากรู้ว่าคนบางคนที่แอบชอบเขาแบบไม่หวังครอบครองจะมีเงาริษยาในดวงตาหรือเปล่า”
“แล้วมีมั้ย” พัฒน์นรีถลึงตาให้อินทิรามองชัดๆ
“ไม่เห็นมี”
“ก็ใช่ไง ในบริษัทของเรามีผู้หญิงตั้งหลายคนที่คลั่งท่านรองฯ ขณะเดียวกันฉันก็เชื่อว่าไม่มีใครสักคนกล้าคิดว่าสักวันตัวเองจะโชคดีได้เป็นภรรยาของเขา คนระดับเขาก็ต้องคบกับคนระดับเดียวกันสิ อย่างคุณพริ้มเพรานั่นเรียกว่าโคตรเหมาะสมเลย” พัฒน์นรีทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ มองเพดานว่างเปล่าด้วยแววตาไร้ความหมายใด “มันก็น่าอิจฉาจริงๆ นั่นแหละ”
อีกสี่สาวพยักหน้าเห็นด้วยกับที่พัฒน์นรีพูด หลังจากนั้นทุกคนก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“ผู้หญิงธรรมดาไม่มีสิทธิ์เลยหรือไง” เหมยลี่พูดไปเรื่อยเปื่อย บ่งบอกว่าที่ดื่มไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
“ก็เพราะว่าผู้หญิงธรรมดามันธรรมดาไปไงยะ” พี่คนโตแสดงความเห็น น้ำเสียงชักจะรวนฟังดูอ้อแอ้เต็มที “ดูไม่มีความพยายาม”
“ก็มันง่ายกว่านี่” พัฒน์นรีพูดออกมาบ้าง เพราะเธอมีส่วนกับเรื่องนี้มากที่สุดในฐานะไปหลงรักผู้ชายไม่ธรรมดา “เกิดมาเป็นเด็กธรรมดา พอโตมาก็ได้เป็นผู้หญิงธรรมดาเลย ไม่ต้องพยายามอะไร”
“ใช่! อย่างคุณพริ้มเพรานั่นต้องลำบากแน่ เพราะไม่มีอะไรในตัวเธอที่ธรรมดาเลย” เหมยลี่เสริม
“นั่นแหละที่ฉันจะบอก” แวววารียกแก้วขึ้นดื่มอึกใหญ่ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นโทรศัพท์ของหล่อนก็แผดเสียงขึ้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าเสียงเรียกเข้าอันน่ารำคาญนี้มีแค่คนเดียวที่โทรมา
“ผัวพี่โทรมา” แวววารียักคิ้วหนึ่งที
พัฒน์นรีกลอกตามองแวววารีแล้วกลับมาถอนหายใจกับตัวเอง
บางทีเราควรทบทวนเรื่องมีสามีบ้างแล้วกระมัง คงจะดีถ้าหากว่าโลกนี้มีผู้ชายอย่างพิชญ์สองคน แต่ขอเป็นพิชญ์อีกคนที่ธรรมดากว่าเขาคนนี้ ให้มีหวังมากพอที่จะเอื้อมไปถึง
“แก้ม หัวหน้าเรียกให้ไปพบที่ห้องประชุม mr2”
พัฒน์นรีเงยหน้าขึ้นมองผู้ส่งสารเหมือนไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินคืออะไร
“ว่าไงนะ”
“หัวหน้าเรียกไปพบที่ห้องประชุม mr2” หญิงสาวย้ำอีกครั้ง หัวคิ้วเคลื่อนมาชนกันเพราะมั่นใจว่าตัวเองพูดชัดแล้ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “หัวหน้าจิรวัฒน์ไงล่ะ เรียกให้ไปพบ เดี๋ยวนี้เลยนะ”
พูดแค่นั้นเธอก็เดินกลับไปนั่งโต๊ะ พัฒน์นรีมองตามอย่างงงๆ จิรวัฒน์ไม่เคยเรียกใครไปพบเป็นการส่วนตัวแบบนั้น เว้นแต่ว่าบุคคลผู้นั้นไปทำอะไรผิดมา
ซึ่งพัฒน์นรีมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่เคยมาสาย แต่งกายเรียบร้อย งานก็เสร็จตรงเวลา
จะมีก็แต่เรื่องเดียวที่เป็นเหมือนชะนักติดหลัง นั่นคือการคลั่งพิชญ์เหมือนคนบ้า แต่ก็แค่บางครั้งเท่านั้น ไม่ได้ออกนอกหน้านอกตาจนน่าเกลียดเสียหน่อย
มัวแต่คิดไปเองก็ไม่มีประโยชน์
พัฒน์นรีลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องประชุม mr2 เธอเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปทันทีโดยไม่คาดคิดว่าภาพที่เห็นจะทำให้เธอช็อกจนหน้าซีด หญิงสาวรีบขยับขาถอยหลังโดยอัตโนมัติแล้วชะโงกมองเลขห้องอีกครั้งว่าตนเข้าห้องผิดหรือเปล่า
“จะไปไหนคุณแก้ม รีบเข้ามาสิครับ” จิรวัฒน์เรียกอย่างร้อนรนพลางมองคนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยความเกรงใจ
พัฒน์นรีได้ยินเสียงเรียกกอปรกับเห็นแล้วว่าตัวเลขไม่ผิดแน่จึงค่อยๆ ก้าวกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เมื่อปิดประตูอย่างแผ่วเบาเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมายกมือไหว้ทุกคนในที่นั้น ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะต้องพบกับคนมากมายขนาดนี้เธอจึงออกอาการประหม่า ร้ายไปกว่านั้นหัวใจเธอยังร่วงหายไปเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นใคร
พิชญ์มีสีหน้าเรียบเฉยดังปกติ เขาเหลือบตามองคนเพิ่งมาถึงเพียงครู่เดียว พัฒน์นรีเห็นแค่สายตาของเขาเคลื่อนจากเธอไปยังจิรวัฒน์ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนเลย แม้แต่กระดาษบนโต๊ะก็ไม่กระดิกสักนิดเดียว
“คนนี้เองเหรอ หัวหน้าจิรวัฒน์”
แม้ว่าเขาไม่ได้มองเธอ แต่พัฒน์นรีก็รับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความผิดหวังเล็กๆ แต่เพราะว่ายังไม่เข้าใจอะไรมากพอ เธอจึงได้แต่ทำหน้างง ปล่อยให้จิรวัฒน์ตอบคำถาม
ในระหว่างที่จิรวัฒน์พยายามจะอธิบาย พัฒน์นรีก็มีโอกาสได้สังเกตว่านอกจากพิชญ์ กรรมการสี่ฝ่าย หัวหน้าฝ่ายบุคคล และจิรวัฒน์แล้ว ยังมีคนอื่นที่เธอไม่ค่อยคุ้นหน้านั่งอยู่ด้วยอีกหกคน หนึ่งคนเป็นหญิง อีกห้าคนเป็นชาย แต่ละคนอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าปีโดยประมาณ
“ที่แผนกพัฒนาธุรกิจก็มีพัฒน์นรีนี่แหละครับเหมาะสมที่สุด ท่านรองฯ ลองสัมภาษณ์เธอดูก่อนเถอะครับ”
พัฒน์นรีหันมามองจิรวัฒน์เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง เขาบอกว่าเธอ ‘เหมาะสม’ หมายถึงอะไรกันแน่
พิชญ์พยักหน้าแล้วกวาดตามองทุกคน
“ได้ งั้นเริ่มเลย”
หลังจากงงไปแปดตลบ ห้านาทีต่อมาพัฒน์นรีถึงได้เข้าใจว่าตัวเองถูกเรียกตัวมาด้วยเรื่องอะไร
เนื่องจากวริษฐ์ เลขาฯ ของพิชญ์เจ็บหนักจากอุบัติเหตุครั้งนั้น และต้องใช้เวลารักษาตัวหลายเดือนเพราะขาหักเป็นสองท่อน พิชญ์จึงมีความจำเป็นต้องหาเลขาฯ ใหม่อย่างเร่งด่วน แต่การรับเลขาฯ ใหม่สำหรับรองประธานบริษัทไม่ใช่เรื่องง่าย และพิชญ์ก็ไม่สะดวกที่จะต้องสอนงานเลขาฯ ใหม่ทั้งหมด
เมื่อนำหลายเหตุผลรวมกัน ทำให้คณะกรรมการเสนอว่าให้เฟ้นหาคนในบริษัทที่มีความสามารถพอที่จะเป็นเลขาฯ ของพิชญ์ได้
แล้วเธอน่ะหรือที่จิรวัฒน์คิดว่าสามารถเป็นเลขาฯ ของพิชญ์ได้
หึ! ไม่เอาด้วยหรอก
พอได้รู้พัฒน์นรีก็แทบเผ่นแน่บออกจากห้องไปเสียตอนนั้น เธอปลื้มท่านรองฯ มากจริงๆ แต่ไม่ได้ปรารถนาจะได้เป็นเลขาฯ ของเขา เพราะเธอจะทำงานได้อย่างมีศักยภาพและเต็มความสามารถก็ต่อเมื่ออยู่ในที่ที่รู้สึกถึงความปลอดภัย แต่ก็เห็นอยู่ว่ากับพิชญ์นั้นไม่ใช่
เขาเป็นบุคคลอันตรายมากที่สุด ไม่ใช่กับร่างกาย แต่เป็นกับหัวใจ ดังนั้นแล้ว…เธอขอปลื้มเขาอยู่ห่างๆ ในมุมของตัวเองดีกว่า
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่พัฒน์นรีก็ไม่สามารถเลี่ยงบททดสอบในวันนี้ได้ เพราะตอนนี้เธอยังคงนั่งเผชิญหน้าอยู่กับพิชญ์และกรรมการการคัดเลือกโดยที่ไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้เลย
“คุณช่วยอธิบายเกี่ยวกับคำว่า ‘investment’ ให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย” พิชญ์ถามคำถามแรกกับพนักงานชายที่นั่งด้านซ้ายมือสุด สวรรค์! นั่นคือคำถามสัมภาษณ์หรือว่าข้อสอบปากเปล่าวิชาการเงินและการลงทุนกันแน่ พัฒน์นรีรู้สึกเหมือนนั่งเผชิญหน้ากับอาจารย์ตอนเรียนปริญญาตรีอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ความกดดันครั้งนี้มหาศาลกว่ามาก ด้วยบุคลิกที่ดูเหนือกว่าในทุกด้านของเขา ต่อให้เธอรู้คำตอบก็คงกดดันเกินกว่าจะพูดออกไปได้
“เอ่อ อินเวส…อะไรนะครับ”
พิชญ์หรี่ตาลงอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งห้องเงียบสนิท
“กฤตดนัย คือชื่อของคุณใช่มั้ย” พิชญ์ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้ววางลงบนโต๊ะ สายตาคมพุ่งตรงไปยังคู่สนทนา “ผมจำชื่อของคุณได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณแนะนำตัว…เพราะผมตั้งใจฟัง ดังนั้นการที่คุณไม่เข้าใจคำถามของผมนั้นมีเหตุผลอยู่สองอย่าง คือคุณไม่ได้ตั้งใจฟังคำถาม หรือไม่…ก็อาจเป็นเพราะภาษาอังกฤษของคุณไม่แข็งแรง”
กฤตดนัยหน้าซีดไปทันที เหงื่อแตกพลั่กทั้งที่แอร์เย็นฉ่ำ
“เอ่อ…คือว่า…”
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไร คุณก็ไม่ผ่านครับ ขอโทษด้วย”
การตัดสินเริ่มต้นและจบลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกว่าคนที่เพิ่งตกสัมภาษณ์มีสีหน้าเหมือนโล่งใจ
ไม่ใช่แค่เธอสินะที่ไม่อยากเป็นเลขาฯ ของเขา
“เอาล่ะ พวกคุณที่เหลือ ผมไม่อยากเสียเวลานะ คุณรู้มั้ยว่าการเป็นเลขาฯ ของผมมันสำคัญมากแค่ไหน แน่นอนว่าคุณจะต้องเหนื่อยมาก เลิกงานไม่เป็นเวลา มีปัญหาจุกจิกให้แก้ไขไม่เว้นแต่ละวัน แต่ขณะเดียวกันงานนี้ก็ให้ค่าตอบแทนสูงมาก อาจจะสามหรือสี่เท่าของเงินเดือนพวกคุณเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้ตกอยู่ในมือใครง่ายๆ คนฉลาดเท่านั้นที่จะรู้ว่าควรทำอะไร เพราะโอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆ”
พอพิชญ์กล่าวเช่นนั้น พัฒน์นรีก็เริ่มคำนวณตัวเลขในใจ ยอดที่ได้ทำให้หญิงสาวตาโต คนอื่นๆ ก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างจากเธอ
“คราวนี้ทุกคนพอจะแสดงศักยภาพให้ผมเห็นได้หรือยัง”
แม้เขาจะพูดเช่นนั้น แต่สถานการณ์ที่กดดันกลับทำให้ทุกคนได้แต่เงียบกริบ สมองที่บรรจุข้อมูลต่างๆ โล่งไปทั้งหัว
พัฒน์นรีคิดอะไรไม่ออก กอปรกับใจไม่ได้อยากเป็นเลขาฯ ของเขาทำให้เธอเอาแต่เงียบ ต่อให้เงินมากมายขนาดไหน เธอก็ไม่สามารถทำงานที่อาจจะทำให้อายุสั้นลงทุกวันได้
แต่ขณะที่กำลังข่มอาการสติเตลิดของตัวเองอยู่นั้น สายตาเธอก็เหลือบไปมองรองประธานหนุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เห็นถึงความผิดหวังที่ฉายชัดในดวงตาของเขา
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนพร้อมบอกกับกรรมการผู้คัดเลือก
“หาคนใหม่มา ผมจะสัมภาษณ์ตอนบ่าย”
พิชญ์หมุนตัวเตรียมเดินออกจากห้อง พัฒน์นรีใจเต้นรัวแรงด้วยความรู้สึกประหลาด เหมือนมีหินหนักอึ้งถ่วงขาขณะที่เธอกำลังจะจมน้ำ ทางเดียวที่จะทำให้รอดตายคือการถีบตัวเองขึ้นมาหายใจให้ทันเวลา
“ฉันขอตอบคำถามค่ะ” เธอลุกขึ้นยืน ความประหม่าหายไปหมดสิ้น แม้ว่าคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกที่สุดจะหันกลับมามองเธอด้วยแววตาที่คล้ายจะสาปให้เป็นหิน “Investment คือการลงทุน การลงทุนก็คือการจ่ายเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์ โดยหวังว่าสินทรัพย์นั้นจะมีมูลค่าสูงขึ้น หรือเพื่อให้นำมาซึ่งรายได้ของผู้ถือครองทรัพย์นั้น”
ทั้งห้องยังเงียบกริบเช่นเดิม แต่สายตานับสิบคู่มองพัฒน์นรีคล้ายกับลุ้นและเอาใจช่วยไปพร้อมกัน
“คุณอธิบายความหมายได้ดี” พิชญ์ยิ้มน้อยๆ ในแบบฉบับของเขา เป็นการยิ้มที่ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกที่แท้จริงได้ ไม่แน่ใจว่าเขาพึงพอใจหรือไม่กันแน่ “งั้นผมถามคุณหน่อยว่าเราจะสามารถลงทุนได้อย่างไรหากว่าเราไม่มีเงินออมแม้สักบาทเดียว”
“โลกของเศรษฐกิจถึงได้มีสถาบันการเงินเกิดขึ้นยังไงคะ” อยู่ๆ สมองของเธอก็ปราดเปรื่องขึ้นมาเสียดื้อๆ
พิชญ์ฟังด้วยความทึ่งที่หญิงสาวตรงหน้าให้คำตอบที่ตรงกับใจเขาอย่างยิ่ง แต่ก็ยังอยากลองภูมิต่อไปอีก
“ผมไม่เข้าใจ”
“ฉันทราบค่ะว่าท่านรองฯ เข้าใจ เพียงแค่อยากให้ฉันพูดมันออกมาเท่านั้น” นอกจากสมองจะลื่นเหมือนอินเตอร์เน็ตห้าจีเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ความกล้าของเธอก็มากล้นจนเหลือเชื่ออีกด้วย เธอยิ้มเก๋ให้กับชายในฝันก่อนจะอธิบายต่อ “ในโลกของเศรษฐกิจนั้นนักออมเงินกับนักลงทุนแทบจะติดต่อกันโดยตรงไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีสถาบันการเงินเป็นตัวกลางที่จะช่วยระดมทุนเพื่อจัดสรรให้นักลงทุนต่อไป ต่อให้คุณไม่มีเงินสักบาทเดียว แต่คุณมีแผนธุรกิจที่ดี น่าเชื่อถือว่าจะสร้างกำไรให้ได้ สถาบันการเงินก็จะเป็นที่พึ่งของคุณได้เช่นกัน อ้อ! ถ้าหากท่านรองฯ อยากจะให้ดิฉันอธิบายการเขียนแผนธุรกิจ ดิฉันรบกวนเชื่อมต่อไอแพดขึ้นจอตรงนี้ได้มั้ยคะ จะได้เห็นภาพชัดเจนไปเลย”
พิชญ์ไม่ตอบในทันที เพียงแต่เลื่อนเก้าอี้ตัวเดิมเมื่อครู่แล้วนั่งลง
“ผมพร้อมจะฟังแผนธุรกิจของคุณแล้ว…ตอนนี้เลย”
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 23 มีนาคม)
Comments
comments