บทที่ 2
ตอนเช้าเมื่อหลินฟางโจวลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่นางมองเห็นก็คือดวงตากระจ่างใสราวไข่มุกคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นใสสะอาดและมีขนตายาว กระทั่งเห็นดวงตาคู่นั้นกะพริบก็ราวกับมีประกายแสงส่องสว่างอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ
หลินฟางโจวพลันตื่นเต็มตาในทันที
“ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว!” หลินฟางโจวทั้งดีใจและประหลาดใจเป็นที่สุด นางลุกขึ้นนั่งอย่างฉับไวแล้วประคองไหล่เขาพร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านเอง!”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้า ดวงตาดำขลับเอาแต่มองมาที่นางโดยไม่ตอบอะไรกลับมา
“นี่ เจ้าพูดได้หรือเปล่า”
“…”
“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดใช่หรือไม่”
“…”
“คงไม่ตกลงมาจากหน้าผาจนโง่งมหรอกนะ”
หลินฟางโจวขยับเข้าไปใกล้แล้วจับศีรษะเขามามองซ้ายมองขวา เด็กชายก็ไม่ขัดขืน ยอมให้นางจับศีรษะเขาราวกับลูกหนังลูกหนึ่ง
หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่งหลินฟางโจวก็ยังหาสาเหตุไม่พบ นางจึงคาดเดาอีกครั้ง “หรือจะเป็นใบ้มาตั้งแต่เกิด”
หลินฟางโจวจึงลากเขามาหยุดยืนที่ข้างโต๊ะ ก่อนจะใช้นิ้วจุ่มน้ำและเขียนตัวอักษร ตอนที่นางเป็นเด็กเคยถูกมารดาเคี่ยวเข็ญให้เล่าเรียนหนังสืออยู่แค่ไม่กี่ปี นางในตอนนี้จึงพอจะเขียนอักษรง่ายๆ ได้อยู่บ้าง
หลินฟางโจวเขียนว่า ‘เจ้าเป็นใคร’
เขามองตัวอักษรเหล่านั้นด้วยแววตาเหม่อลอย
เด็กน้อยจากสกุลร่ำรวยสูงส่งที่มีอายุเท่านี้ล้วนต้องเคยเล่าเรียนมาแล้วทั้งสิ้น ไม่มีทางที่จะไม่รู้หนังสือ นอกจากนี้เขาเองก็ดูฉลาดมาก มิเช่นนั้นก็เป็นเพราะสมองกระทบกระเทือนจนโง่งมไปแล้ว
นางจูงเขากลับไปนั่งบนเตียง ขณะที่กำลังจะลองเอ่ยปากทดสอบดูอีกครั้ง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างปังๆๆ ดังขึ้นจากด้านนอก
หลินฟางโจวตะโกนออกไปสุดเสียง “ใคร! มีอะไร!”
“ข้าเอง”
นั่นเป็นเสียงของคนขายเนื้อแซ่เฉิน หลินฟางโจวกับเขาเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายปีเช่นนี้ นางย่อมจะจดจำเสียงเขาได้อยู่แล้ว
หลินฟางโจวเอ่ยออกไปอย่างอารมณ์ไม่ดี “แค่ไป๋ถังเกาก้อนเดียว เหตุใดท่านต้องตามมาถึงบ้านข้าด้วย พรุ่งนี้ข้าคืนให้ท่านหนึ่งก้อนก็ได้ ขี้เหนียวจริงเชียว!”
“เจ้าอันธพาลไม่รู้จักดีชั่วนี่ ใครเขาเสียดายขนมเน่าก้อนเดียวจากเจ้าเล่า อีกอย่างต่อให้เจ้าอยากใช้คืนก็ไม่มีทางหามาคืนได้หรอก” เขาหยุดชั่วครู่แล้วพูดต่อ “คนขาเป๋แซ่เว่ยที่ขายไป๋ถังเกาผู้นั้นแขวนคอตายเมื่อคืนแล้ว!”
หัวใจของหลินฟางโจวพลันร่วงหล่น นางรีบร้อนวิ่งออกไป เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคนขายเนื้อแซ่เฉินแล้ว ใบหน้าคล้ำของอีกฝ่ายเคร่งเครียดยิ่ง ไม่เหมือนว่ากำลังหลอกนางแม้แต่น้อย นางจึงเอ่ยถาม “เพราะอะไรจึงแขวนคอตาย”
“ไม่รู้ ข้าก็เพิ่งได้ยินมาเหมือนกัน คนขาเป๋แซ่เว่ยไม่มีพี่น้อง ลูกหลานก็ไม่มี ตัวคนเดียวไร้ญาติ ย่อมจะไม่มีคนจัดงานศพให้เขา ข้าเลยอยากจะเก็บเงินค่าฝังศพจากพวกเราบ้านใกล้เรือนเคียงสักหน่อย ซื้อโลงศพธรรมดาสักใบหนึ่งไว้ฝังเขา”
แม้คนขายเนื้อแซ่เฉินจะมีหน้าตาดุ ทว่าเนื้อแท้กลับเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นมากที่สุด ยามเจอเรื่องราวเช่นนี้ก็ได้เขาเป็นผู้ออกหน้าเสมอ
หลินฟางโจวพยักหน้ารับ “นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
คำตอบนี้ทำให้คนขายเนื้อแซ่เฉินประหลาดใจอยู่บ้าง “ข้านึกว่าเจ้าจะพูดว่าไม่มีเงิน”
“ข้าก็ไม่มีเงินจริงๆ”
“เจ้าอันธพาลนี่ กล้ามาล้อข้าเล่นหรือ เสี่ยวซาน เอามีดปังตอข้ามา!”
“อย่าๆๆ…ข้าจะถือธง โยนจาน อาสาเป็นบุตรชายของเขาไม่ได้หรือ!”
สีหน้าของคนขายเนื้อแซ่เฉินดูผ่อนคลายลง “ข้าก็ไม่ได้บังคับให้เจ้าออกเงินเสียหน่อย เพียงแต่เจ้าไม่ควรมาล้อข้าเล่นเช่นนี้”
“ข้ารู้ ข้าเองก็กินไป๋ถังเกาจากคนขาเป๋แซ่เว่ยโดยที่เขาไม่เอาเงินไปหลายก้อนแล้ว ตอนนี้ก็สมควรที่ข้าจะชดใช้คืนให้เขาเสียที”
ถือธงและโยนจานล้วนเป็นเรื่องที่บุตรชายพึงกระทำ หากไม่มีบุตรชาย บุตรสาวก็สามารถกระทำแทนได้ บางคนไร้ญาติ ไม่มีทั้งบุตรชายและบุตรสาว กลัวว่าหลังจากตายไปจะไม่สามารถไปยมโลกได้อย่างราบรื่น ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงตระเตรียมเรื่องพิธีศพทุกอย่างไว้เรียบร้อย รวมถึงจ่ายเงินเชิญคนมาถือธงให้ เพราะการถือธงนั้นถือเป็นเรื่องที่หยามเกียรติมากเรื่องหนึ่ง มีแต่เหล่าอันธพาลและพวกเสเพลเท่านั้นถึงจะยอมรับงานประเภทนี้ กระนั้นค่าตอบแทนก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
หากพูดอย่างจริงจังแล้ว ให้หลินฟางโจวมาถือธงโดยไม่เสียค่าตอบแทนยังคุ้มกว่าให้อีกฝ่ายออกเงินช่วยเสียอีก
คนขายเนื้อแซ่เฉินไม่อยากทำให้หลินฟางโจวลำบากใจจึงได้เอ่ยปาก “ถือธงไม่ถือธงอะไรกัน คนตายดุจเปลวไฟที่ดับแสงไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเป็นบุตรชายของเขาหรอก ข้าเองก็ไม่ได้จะมาปล้นเจ้าเสียหน่อย ออกเงินหรือออกแรงล้วนขึ้นอยู่กับความสมัครใจ เจ้าไม่มีเงินก็คือไม่มีเงิน หากมีความตั้งใจจริง แค่มาช่วยงานศพก็ใช้ได้แล้ว”
หลินฟางโจวลูบคาง นางพยายามสะกดความประหม่าเอาไว้ขณะพูดกับคนขายเนื้อแซ่เฉิน “หรือเราควรไปดูคนขาเป๋แซ่เว่ยกันก่อน”
คนขายเนื้อแซ่เฉินโบกมือพลางเอ่ย “ไม่ได้หรอก มือปราบกับเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาถึงแล้ว ตอนนี้กำลังชันสูตรอยู่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปใกล้ไม่ได้”
“ยังต้องชันสูตรทำไมอีก หรือคนขาเป๋แซ่เว่ยไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
“ฆ่าตัวตายก็ต้องชันสูตร ตรวจสอบที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน ข้าได้ยินคนที่ไปดูที่เกิดเหตุพูดกันว่าเขาแขวนคอที่บ้านตนเอง เป็นไปได้มากที่จะเป็นการฆ่าตัวตาย” คนขายเนื้อแซ่เฉินทอดถอนใจ “อย่างไรเสียการจากไปก็มิสู้มีชีวิตอยู่ ต่อให้ต้องอยู่อย่างลำบากยากเข็ญก็เถอะ ไม่รู้ว่าคนขาเป๋แซ่เว่ยมีปัญหาอะไรที่คิดไม่ตกกันนะ”
“รอดูหลังจากชันสูตรเสร็จแล้วก็ได้” หลินฟางโจวพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็สั่นเครืออยู่บ้าง โชคดีที่คนขายเนื้อแซ่เฉินกำลังคิดถึงเรื่องของคนขาเป๋แซ่เว่ยอยู่จึงไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติของนาง
คนขายเนื้อแซ่เฉินเอ่ย “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ไปก่อน ข้าจะลองไปถามบ้านอื่นดูด้วย”
“ได้ ลำบากพี่เฉินแล้ว”
หลังจากมองส่งคนขายเนื้อแซ่เฉินไปแล้ว หลินฟางโจวก็หมุนตัวเดินโซเซกลับเข้าไปในบ้าน พอเข้ามาในบ้านแล้วนางก็กระชากแขนของเจ้าเด็กโง่งมที่นั่งอยู่บนเตียงขึ้นมาก่อนจะตะคอกใส่ “คนขาเป๋แซ่เว่ยไม่ได้ฆ่าตัวตาย! เขาไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่ เขาถูกคนฆ่าตาย สรุปแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่!”
นางทั้งตื่นตระหนก ทั้งหวาดกลัวและโมโห เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุบๆ ดวงตาทั้งสองข้างวาวโรจน์ราวกับจะกินคนได้
เด็กคนนั้นมองใบหน้าบิดเบี้ยวของนางแล้วกะพริบตาช้าๆ โดยไม่มีคำตอบใดออกมา
เขาถูกนางกระชากขึ้นมาเหมือนกับว่าเป็นแค่หุ่นกระบอก สีหน้าของเด็กชายยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาดำขลับนิ่งสงบและใสสะอาดราวกับค่ำคืนที่ไร้ลม
หลินฟางโจวผลักเขากลับไปที่เตียง เนื่องจากนางออกแรงมากไปหน่อย เขาที่ไม่ทันได้ระวังจึงล้มลงไปนอนบนเตียง เพียงไม่นานเขาก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง ก่อนมองมาที่นางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“มารดาเจ้าเถอะ! อย่ามาแกล้งโง่ใส่ข้าเชียวนะ! ที่คนขาเป๋แซ่เว่ยต้องตายก็เป็นเพราะข่าวลือนั่น คนที่ลงมือพวกนั้น…มีเป้าหมายที่แท้จริงก็คือเจ้า พวกเขาต้องการจะฆ่าเจ้า ตกลงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่!”
เป็นไปตามคาด ยังคงไม่มีคำตอบใดๆ
หลินฟางโจวตะคอกต่ออีกครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง พึมพำด้วยสีหน้าหดหู่ “เป็นข้าเองที่ฆ่าเขา เป็นข้าเองที่ฆ่าเขา…”
ในใจหลินฟางโจวเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เสียใจ และโมโหยิ่งนัก นางพูดกับตนเองด้วยอาการเหม่อลอย แววตาว่างเปล่า เพียงครู่เดียวน้ำตาก็นองหน้า
จู่ๆ ก็มีสัมผัสเย็นๆ บนใบหน้า หลินฟางโจวกะพริบตามอง นางเห็นเด็กน้อยคุกเข่าอยู่ตรงหน้า เขากำลังยกมือเช็ดน้ำตาให้นาง มือของเขาเย็นและนุ่มมาก มือเล็กๆ เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า ดึงดันที่จะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้นางอยู่อย่างนั้น
หลินฟางโจวจับจ้องเขาไม่วางตา นางมองดวงตาคู่งามใสกระจ่างบริสุทธิ์คู่นั้น ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใครกันแน่”
หลินฟางโจวนำผ้าห่มสำหรับเอาไว้ใช้ช่วงฤดูหนาวไปที่โรงรับจำนำเพื่อแลกกับเงินสองร้อยอีแปะ ผ้าห่มของนางเพิ่งจะใช้มาได้เพียงสองปี แม้แต่รอยปะก็ไม่มีสักนิด ทว่าคนรับจำนำกลับทำสีหน้าเมินเฉยและให้เงินนางเพียงสองร้อยอีแปะ นี่มันสมควรแล้วหรือ!
เหอะ สองร้อยก็สองร้อยสิ ตอนนี้เพิ่งจะเข้าฤดูร้อน มาพูดถึงฤดูหนาวตอนนี้ออกจะเร็วเกินไปแล้ว รอให้ข้าค่อยๆ เก็บเงินซื้อคืนกลับมาก็ได้
หลินฟางโจวถือเงินจำนวนนี้ออกมาจากโรงรับจำนำ แล้วเดินไปที่บ้านของคนขายเนื้อแซ่เฉินก่อน นางวางเงินหนึ่งร้อยแปดสิบอีแปะลงไปบนโต๊ะ “พี่เฉิน นี่น้ำใจเล็กน้อยของข้า เอาไปซื้อโลงศพที่ดีสักหน่อยให้คนขาเป๋แซ่เว่ยเถอะ”
คนขายเนื้อแซ่เฉินประหลาดใจกับเงินเหล่านี้เสียจนดวงตาทั้งสองข้างยังจ้องไปที่เงินไม่หยุด “นี่มันของจริงหรือ ไม่ใช่ของปลอมแน่นะ มิเช่นนั้นข้าได้ตัดหัวเจ้าแน่ เจ้าอย่าได้สร้างหายนะให้ข้าเชียว”
“เป็นของจริง ถ้าเป็นของปลอมก็ขอให้ไม่ตั้งขึ้นตลอดชีวิต”
สำหรับบุรุษแล้ว ‘ไม่ตั้งขึ้นตลอดชีวิต’ ถือเป็นคำสาบานที่ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าห้าม้าแยกร่าง เสียอีก พวกเขาไหนเลยจะรู้ ไม่ว่าหลินฟางโจวจะผิดคำสาบานหรือไม่ ชั่วชีวิตนี้ก็ล้วนไม่ ‘ตั้ง’ ขึ้นมาอยู่แล้ว
คนขายเนื้อแซ่เฉินเก็บเงินไปแล้วแต่กลับยังมีสีหน้างุนงงอยู่บ้าง “ทำไมจู่ๆ เจ้าเกิดมีใจเมตตาขึ้นมา นี่ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย”
หลินฟางโจวแสร้งโบกมืออย่างไม่ยี่หระพลางเอ่ยตอบ “ช่วงนี้ข้าโชคไม่ค่อยดีเท่าไร คิดว่าน่าจะมาจากความประพฤติของข้า ไม่สู้ถือโอกาสนี้ทำความดีเสียเลย ไม่แน่อาจช่วยให้ข้าถอนทุนคืนมาได้บ้าง”
คนขายเนื้อแซ่เฉินกลอกตาใส่ “ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องตายในลานพนันแน่”
หลินฟางโจวหัวเราะออกมา “หากข้าตายอยู่ในลานพนัน ยังต้องรบกวนพี่เฉินช่วยเก็บเงินจัดงานศพข้าด้วย”
“ไสหัวไปหามารดาเจ้าเถิด! หากเจ้าตายจริง ข้าจะจุดประทัดฉลองสักสองวันสองคืนเลย!”
ใช้เวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ชันสูตรศพเสร็จแล้ว ก่อนจะเรียกให้คนขายเนื้อแซ่เฉินนำร่างของคนขาเป๋แซ่เว่ยไป ปกติที่ว่าการมักจะสะสางงานได้ล่าช้าเสมอ ทว่าครั้งนี้กลับลุล่วงรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้หลินฟางโจวรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
การตายของคนขาเป๋แซ่เว่ยทำให้นางรู้สึกหวั่นวิตกราวกับทุกคนล้วนเป็นศัตรู
เดิมทีหลินฟางโจววางแผนว่าจะเป็นคนถือธงและโยนจานให้กับคนขาเป๋แซ่เว่ย ในเมื่อชีวิตของเขาสูญสิ้นไปแล้ว หากนางจะเป็นบุตรชายให้เขาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เมื่อนางมาคิดอีกที ทำเช่นนั้นดูจะชัดเจนเกินไปหรือไม่ หากถูกคนสงสัยขึ้นมา ชีวิตน้อยๆ ของนางก็จะต้องเจอปัญหาไม่ใช่หรือ
อมิตาภพุทธ ตายหนึ่งอย่างไรก็ดีกว่าตายสองนะ…คนขาเป๋แซ่เว่ยเอ๋ย หากจะหาตัวการที่แท้จริงให้พบหรืออยากแก้แค้นจริงๆ ก็ให้ไปหาเด็กโง่คนนั้นนะ…ข้าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองเพิ่มไปให้ท่านด้วย ท่านอยู่ในยมโลกก็มีความสุขให้มากๆ เถิด ไม่ต้องคิดอยากกลับบ้านแล้ว…
ช่วงพลบค่ำหลินฟางโจวที่ไปสุสานมานั้นกำลังจะกลับบ้าน นางเห็นคนหาบเร่ขายหมั่นโถวอยู่ริมกำแพง
“หมั่นโถวขอรับ หมั่นโถวเนื้อแกะหอมๆ…”
หลินฟางโจวสูดกลิ่นหอมของหมั่นโถวพลางเอ่ยถาม “หมั่นโถวหนึ่งลูกราคาเท่าไร”
“หนึ่งลูกสามอีแปะ”
หลินฟางโจวเดินไปชะโงกหน้ามองในหาบ ภายในนั้นเหลือหมั่นโถวอยู่สามลูก นางจึงเอ่ย “ข้าซื้อหมดเลย เจ้าลดให้ข้าหน่อยเถอะ”
“ต้าหลาง การค้าของข้าเป็นเพียงการค้าเล็กๆ เท่านั้น ท่านเห็นใจข้าหน่อย”
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
หลินฟางโจวหันหลังทำท่าจะเดินผละไป พ่อค้าขายหมั่นโถวผู้นั้นก็รีบเรียกนางเอาไว้ เขาหยิบกระดาษไขห่อหนึ่งขึ้นมาพลางเอ่ย “ต้าหลางรอประเดี๋ยว มีหมั่นโถวลูกหนึ่งตกพื้น เลอะฝุ่นอยู่บ้าง ข้าไม่กล้าให้ของสกปรกเข้าปากลูกค้า เดิมทีคิดจะนำกลับไปกินเองที่บ้าน หากต้าหลางไม่รังเกียจ ลูกนี้ถือเสียว่าข้าไม่คิดเงิน ดีหรือไม่”
หลินฟางโจวลอบดีใจ ทว่าใบหน้ากลับยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม นางพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม “ช่างเถอะ แม้กินไม่ได้ อย่างน้อยเอากลับไปให้สุนัขกินก็ยังดี”
พ่อค้าขายหมั่นโถวดีใจยิ่งนัก เขาหยิบหมั่นโถวสามลูกที่เหลืออยู่ในหาบมาห่อด้วยกระดาษไข ยื่นห่อกระดาษไขสองห่อนี้ส่งให้นางทั้งหมด หลินฟางโจวหอบหมั่นโถวเนื้อแกะเต็มอ้อมแขน ความอบอุ่นแห่งความสุขแผ่กำจายไปทั่วร่าง
ตอนที่เดินผ่านหญิงชราขายชุยปิ่ง เห็นอีกฝ่ายมองมาที่นางด้วยแววตาคาดหวัง นางหยิบเงินออกมาหนึ่งอีแปะวางลงไปโดยไม่มีท่าทีลังเลเลยสักนิด “คืนเงิน!”
หมั่นโถวที่ตกพื้นเลอะฝุ่นแค่เล็กน้อย เพียงลอกผิวชั้นนอกออกก็กินได้แล้ว หลินฟางโจวลอกผิวชั้นนอกออกพลางกินไปด้วย นางค่อยๆ ละเลียดกินหมั่นโถวราวกับเป็นมันหวานย่างก็ไม่ปาน กระทั่งเดินเข้ามาภายในบ้าน
“ทำไมเจ้ายังไม่ตายอีก” นางเอ่ยขึ้น สายตาจ้องตรงไปยังเด็กน้อยบนเตียง
ถ้าเขายังไม่ฟื้นขึ้นมาเรื่องราวคงดีกว่านี้ นางจะได้ขุดหลุมแล้วเอาเขาไปฝังลงดินโดยไม่ให้ใครรู้เสียเลยยังดีกว่า ตอนนี้นางจะได้ไม่ต้องมาหวาดหวั่น ด้วยไม่รู้ว่าวันไหนจะตื่นขึ้นมาพบร่างตนเองห้อยต่องแต่งอยู่บนคานบ้าน
เด็กโง่ยังคงไม่ยอมพูด ดวงตาเขาจ้องมาที่ห่อกระดาษไขในมือนางไม่วางตา
หลินฟางโจวหยิบหมั่นโถวออกมาลูกหนึ่งและจงใจแกล้งเขา “จะกินหรือเปล่า อยากกินหรือไม่”
เดิมทีนางนึกว่าเขาจะกระโจนเข้าใส่เหมือนสุนัขพันธุ์ห่าปา เสียอีก ที่ไหนได้ เขากลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แม้แววตาจะเต็มไปด้วยความปรารถนา แต่ร่างกายเขากลับไม่ขยับเคลื่อนไหวเลยสักนิด ทั้งท่านั่งยังสง่าตัวตรง แม้อยู่บนเตียงหลังเก่าก็ยังรู้สึกได้ว่าท่าทางของเขานั้นหาใช่คนธรรมดา…แต่เป็นลูกหลานของชนชั้นสูง
หลินฟางโจวพลันหมดสนุก นางโยนหมั่นโถวที่อยู่ในมือทั้งหมดไปให้เขา “ข้าให้รางวัลเจ้า”
เขารับหมั่นโถวมากิน เพราะหิวมากจึงดูกินเร็วไปบ้าง
หลินฟางโจวนั่งไขว่ห้างบนเตียงพลางมองเขาและเอ่ยขึ้นมา “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร”
เขาไม่ได้ตอบอะไรนาง เพียงก้มหน้ากินหมั่นโถวต่อไป
“วันนี้ตอนที่ข้ากลับเข้ามาในเมือง” หลินฟางโจวเอาแต่พูดอยู่คนเดียว “เห็นที่หน้าประตูเมืองมีคนท่าทางโหดเหี้ยมอยู่หลายคน ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนที่มาเพื่อจับตัวเจ้า ขนาดข้ายังเจอพวกเขา ข้าว่าพวกคนของทางการก็ต้องเจอด้วยเช่นกัน แต่พวกเขากลับไม่ได้ไล่คนท่าทางโหดเหี้ยมพวกนั้นไป ถึงขั้นไม่ซักถามอะไรเลยด้วยซ้ำ…เจ้าว่าแปลกหรือไม่ คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่ข้ารู้ก็คือพวกเขากับพวกคนของทางการเป็นพวกเดียวกัน พวกนั้นต้องการจับตัวเจ้าโดยไม่ให้ผู้ใดรู้ อาจถึงขั้นฆ่าเจ้าทิ้ง…เจ้าที่สวมชุดเกราะและปรากฏตัวที่หย่งโจวโดยไม่มีกองกำลังใดๆ คอยติดตามเช่นนี้ บางทีเจ้าอาจจะเป็น…” แววตาของนางพลันจริงจังขึ้นมา “โจรกบฏ”
เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาดำขลับแวววาวจับจ้องมาที่นาง
“ทำไม ข้าพูดถูกแล้ว?” หลินฟางโจวมีท่าทางกระหยิ่มใจอยู่บ้าง
เด็กชายยังคงไม่พูดอะไร เขาเพียงยกมือขึ้นก่อนจะค่อยๆ สอดมือเข้าไปในห่อกระดาษไข แล้วหยิบหมั่นโถวออกมาหนึ่งลูก
หลินฟางโจวเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรก็ยิ้มหยัน “ดูเหมือนข้าจะปล่อยเจ้าไปไม่ได้แล้ว”
ยามกลางคืนหลินฟางโจวนอนพลิกตัวอยู่หลายครั้ง ในหูได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างกายเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขานอนนิ่งสงบราวกับกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันแสนหวาน นางลุกขึ้นมาแล้วลงจากเตียงไปอย่างเงียบเชียบ
แสงจันทร์ส่องทะลุผ่านม่านสีขาวที่ขาดรุ่ยเข้ามา หลินฟางโจวอาศัยแสงจันทร์นี้เพื่อเดินออกไปข้างนอก นางจำได้ว่าตนเองมีมีดทำครัวที่เป็นสนิมอยู่หนึ่งเล่ม
ขณะที่หามีดอยู่นั้นนางไม่ทันระวังไปเตะถูกหนูตัวหนึ่งเข้า ด้วยความตกใจทำให้นางสบถออกมาเสียงเบา “เจ้ามันสัตว์ไม่รู้ความ ข้าวสารสักเม็ดข้าก็ไม่มีหรอกนะ แต่บนเตียงข้ามีก้อนเนื้อติดมันอยู่ เจ้าคาบเขาไปเสียเลยสิ!”
หนูตัวนั้นคงจะคุ้นชินแล้วจึงไม่ได้กลัวคน พอมันถูกหลินฟางโจวเตะไปครั้งหนึ่งก็พลิกตัวกลับมามองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดให้มันกินจริงๆ จึงได้เดินเชิดหน้าจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
หลินฟางโจวคิดในใจว่าบ้านนางต้องเป็นสถานที่ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอันเลิศล้ำเป็นแน่ เพราะกระทั่งหนูยังได้รับการขัดเกลาจนมีท่าทีที่สง่างามเช่นนั้นได้
ในที่สุดนางก็หามีดเล่มนั้นพบ นางถือมีดทำครัวเดินเข้าไปในห้องนอน คนที่อยู่บนเตียงกำลังนอนอย่างสบาย เขาไม่ขยับราวกับเป็นคนตายอย่างไรอย่างนั้น เป็นไปได้มากว่ากำลังนอนหลับลึกอยู่ หลินฟางโจวมือหนึ่งชูมีดขึ้น อีกมือหนึ่งจับที่ไหล่เขาเบาๆ นางรู้สึกหวาดผวาอยู่บ้างจึงเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา “เจ้าเด็กโง่ เด็กโง่ เจ้านอนหลับไปแล้วหรือ”
เขาไม่ขยับและไม่ตอบอะไรนางสักนิด
ฝ่ามือของหลินฟางโจวชื้นเหงื่อและสั่นเล็กน้อย นางบอกกับตนเองอยู่ภายในใจไม่หยุดว่า ฆ่าเขาเลย เขาเป็นโจรกบฏนะ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องตาย ฆ่าเขาแล้วเอาเขาไปฝังไว้ เทพไม่รู้ผีไม่รู้ ทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ความสงบสุข
ฆ่าเขาซะ!
นางกัดฟัน มือที่ถือมีดค่อยๆ กดลงมา
จู่ๆ คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมา
ภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาดำขลับสดใสคู่นั้นมองมาที่นางอย่างนิ่งสงบ
ลมหายใจของหลินฟางโจวรัวเร็วขึ้นเล็กน้อย มีดทำครัวที่ชูขึ้นอยู่กลางอากาศนั้นราวกับมีของที่มองไม่เห็นซึ่งหนักนับพันจวิน* มาขวางกั้นเอาไว้ ทำให้นางไม่อาจกดมีดลงไปได้
หลังจากยืนค้างเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง หลินฟางโจวก็โยนมีดทิ้งไปอย่างแรง สุดท้ายนางก็ไม่กล้าลงมือ…
นางล้มตัวลงบนเตียงพลางพูดอย่างไม่พอใจ “นอน!”
วันถัดมาหลินฟางโจวก็นึกวิธีใหม่ขึ้นมาได้
เหตุผลที่หลินฟางโจวไม่กล้าแจ้งกับทางการเป็นเพราะว่านางช่วยชีวิตโจรกบฏเอาไว้ ทั้งยังให้ที่พักพิงแก่เขาอีก แต่ใครจะรู้เรื่องเหล่านี้กันเล่า นางก็แค่กล่าวอ้างไปว่าจู่ๆ เจ้าเด็กโง่นี่ก็โผล่เข้ามาในบ้านของนางและยังขโมยของของนางไปด้วย หลังจากที่จับตัวเขาไว้ได้ก็รู้สึกสังหรณ์ใจว่าเขาอาจเป็นโจรกบฏจึงได้ไปแจ้งเรื่องแก่ทางการ…เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไม่ใช่ว่านางสามารถส่งความหายนะนี้ออกไปพ้นตัวได้หรอกหรือ
หลินฟางโจวหาเชือกมามัดเจ้าเด็กโง่แล้วผลักเขาลงไปบนเตียง จากนั้นก็ออกไปข้างนอกมุ่งไปยังที่ว่าการ
พานเหรินเฟิ่งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ เพราะตอนนี้กำลังมีเสืออาละวาดอยู่บนภูเขา มันกินคนที่เดินทางผ่านไปเจอมันเข้าแล้วหลายคน เมื่อวานเขาเพิ่งประกาศหาผู้กล้าฆ่าเสือบนภูเขาโดยให้เงินรางวัลจำนวนมาก และก็มีนายพรานซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่งขึ้นไปบนเขาแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้นายพรานผู้นั้นก็ยังไม่กลับมา เกรงว่าสถานการณ์คงไม่สู้ดีนัก…
ไม่เพียงเท่านี้ เทพสังหารสองคนนั้นที่ออกตามหาเด็กก็กลับมาอีกครั้งแล้ว ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ในโถงรับแขกของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พานเหรินเฟิ่งรู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าหลายวันมานี้พวกเขาค้นหาคนไม่พบแท้ๆ ทว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมจากไปเสียที…
“เป็นไปได้หรือไม่…” พานเหรินเฟิ่งทำใจกล้าพูดสิ่งที่ตนเองคาดเดาอยู่ในใจออกมา “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะถูกสัตว์ป่าบนเขากินไปแล้ว”
ทั้งสองคนจ้องมาทางเขาอย่างใจเย็น ดังนั้นเขาจึงหุบปากไปทันที
ในห้องพลันเงียบกริบ พานเหรินเฟิ่งเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม* เขาหลุบตาลงต่ำ เมื่อสายตามองไปที่ดาบสั้นตรงเอวพวกเขาแล้ว ในสมองก็เกิดความคิดอันชาญฉลาดขึ้นมา เขาจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าทั้งสองกล้าหาญเกินใคร ต้องเป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับได้ยากในใต้หล้าแน่”
คนที่ดูอายุมากกว่ายังคงมีท่าทีเคร่งขรึม สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ขณะที่เทพสังหารคนที่สองกลับยิ้มแย้มพลางเอ่ย “เจ้านี่มันช่างประจบสอพลอ ข้ากับพี่น้องข้าล้วนฟังจนเบื่อแล้ว”
พานเหรินเฟิ่งยิ้มแห้งเอ่ย “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำให้ในพื้นที่มีภัยจากเสือ เป็นโชคร้ายของราษฎรในอำเภอนี้ที่มีข้าน้อยเป็นผู้ปกครองซึ่งไร้ความสามารถเช่นนี้ โชคยังดีที่ใต้เท้าทั้งสองท่านให้เกียรติย่ำเท้ามาที่นี่…”
เทพสังหารคนที่สองเอ่ยด้วยความเบื่อหน่าย “เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาเลย ข้ารำคาญพวกขุนนางที่ชอบอ้างคำพูดจากตำราอย่างพวกเจ้าเป็นที่สุด!”
พานเหรินเฟิ่งตกใจจนร่างสั่นเทิ้ม เขารีบร้อนพูดออกไป “ข้าน้อยต้องการจะพูดว่า…จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าใต้เท้าทั้งสองได้โปรดไปกำจัดเสือร้ายที่ทำร้ายผู้คนเหล่านั้น…”
ปัง!
เทพสังหารคนที่หนึ่งตบโต๊ะอย่างแรงคราหนึ่งพลางเอ่ยอย่างเย็นชา “พวกเรามาตามหาคน ไม่ใช่มาล่าสัตว์!”
“ขะ…ขอรับ” พานเหรินเฟิ่งรับคำกระท่อนกระแท่น
ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจ้าหน้าที่แจ้งมาจากด้านนอก “ใต้เท้า มีคนชื่อหลินฟางโจวบอกว่าต้องการจะพบท่านขอรับ”
“ให้เขากลับไปซะ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าวันนี้ไม่ต้องการพบแขก”
“แต่เขาบอกว่า…เขาบอกว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก อาจทำให้ใต้เท้าได้เลื่อนตำแหน่งเชียวนะขอรับ”
พานเหรินเฟิ่งกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาจึงบอกปัดไป “ไร้สาระ! ให้เขาไสหัวไป! หากยังไม่ไปอีกก็ให้โบยยี่สิบที!”
“ช้าก่อน!” เทพสังหารคนที่สองเหลือบมองพานเหรินเฟิ่งแวบหนึ่ง ใบหน้าเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ลองเรียกเขาเข้ามาไม่ดีกว่าหรือ ดูว่าจะเป็นเรื่องดีทำให้เลื่อนตำแหน่งได้อย่างไร”
ตั้งแต่หลินฟางโจวตัดสินใจเช่นนี้ นางมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร นางคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตนเองตื่นเต้นจนเกินไป ยามที่เดินเข้าไปในโถงรับแขก นางพบว่านอกจากพานเหรินเฟิ่งแล้ว ยังมีคนนอกนั่งอยู่ด้วยอีกสองคน
ใบหน้าของหนึ่งในนั้นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม แววตาเป็นประกายดุร้ายดั่งหมาป่า หลินฟางโจวถูกเขามองมาหนหนึ่งก็ตกใจเสียจนเย็นวาบไปทั้งร่าง ชาหนึบไปทั้งศีรษะ ราวกับสายตาของเขาตามติดนางประดุจภูตผีวิญญาณไปแล้ว นางยืนอยู่ตรงนั้นพลางปิดปากเงียบไม่พูดราวกับเป็นคนเขลาเบาปัญญา
“บังอาจนัก! เจ้าคนถ่อย เจอข้าแล้วทำไมยังไม่คุกเข่าอีก!” พานเหรินเฟิ่งเห็นคนที่เพิ่งเข้ามาแล้วก็อดวางโตสักหน่อยไม่ได้
จู่ๆ เทพสังหารคนที่สองก็เอ่ยขึ้น “ไม่ได้อยู่ในศาลเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไร เจ้าดูสิ เขาตกใจแทบแย่แล้ว”
พานเหรินเฟิ่งพยักหน้ารับ นั่งหลังตรงพลางเอ่ยถามหลินฟางโจว “เจ้าคือหลินฟางโจว?”
“ขอรับ” หลินฟางโจวพยักหน้าอย่างโง่งม
“เจ้ามาพบข้าเพื่อแจ้งเรื่องใดหรือ”
“ข้าน้อยจับ…” ยามที่นางเกือบจะหลุดคำพูดซึ่งท่องมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดทางที่เดินมาที่นี่นั้น นางก็สังเกตเห็นแววตาคมกริบเย็นเยียบของสองคนนั้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘จับ’ หลินฟางโจวพลันอกสั่นขวัญหายขึ้นมาทันที นางเข้าใจแล้วว่าตรงไหนที่ไม่ถูกต้องกันแน่!
หากทางการต้องการจับโจรกบฏจริงๆ เหตุใดจึงไม่ติดประกาศจับให้ได้รู้โดยทั่วกันเล่า ทำไมต้องจัดการอย่างมีลับลมคมในเช่นนี้ด้วย ทั้งที่คนขาเป๋แซ่เว่ยกับโจรกบฏไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด ทำไมยังต้องฆ่าเขากัน หรือต่อให้พวกเขาจะคิดว่าคนขาเป๋แซ่เว่ยกับโจรกบฏสมรู้ร่วมคิดกัน แล้วเหตุใดจึงไม่ชี้แจงเหตุผลที่เขาถูกฆ่าให้ผู้อื่นได้รู้เล่า ใช้เรื่องนี้บอกแก่ทุกคนว่าอย่าสมรู้ร่วมคิดกับโจรกบฏ มิเช่นนั้นจะพบจุดจบที่ทรมานอย่างมาก…
พวกเขาต้องการจับคนและฆ่าคนอย่างลับๆ
เรื่องนี้เป็นความลับ!
เพียงแค่รู้ความลับของพวกเขา หรือมีความเป็นไปได้ว่ารู้ความลับของพวกเขา…ก็ย่อมจะถูกฆ่าทิ้ง!
หลินฟางโจวราวกับอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง นางตกใจเสียจนความกล้าทั้งหมดได้สลายหายไป เหงื่อกาฬผุดพรายดุจเม็ดฝน
พานเหรินเฟิ่งเห็นหนุ่มน้อยผู้นี้พูดได้เพียงแค่สองคำก็เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขาประหลาดใจอย่างมากจึงเอ่ยถาม “เจ้าจับอะไรมาได้หรือ”
“ข้าน้อย…คิดวิธีจับเสือออกแล้ว!”
“หา? จริงหรือ! ลองพูดให้ข้าฟังซิ!” พานเหรินเฟิ่งมีสีหน้าปีติยินดี ในใจคิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นฝนถูกเวลาจริงๆ ตัวเขาเองกำลังเป็นกังวลเรื่องนี้อยู่พอดีเลย!
“ข้าน้อย…ข้าน้อยคิดว่า…เสือดุร้ายเกินไป พวกเรา…เอ่อ…ไม่อาจใช้ความแข็งแกร่งปะทะความแข็งแกร่ง ควรเอาชนะด้วยอุบายจึงจะดีที่สุด”
พานเหรินเฟิ่งพยักหน้าเห็นพ้องก่อนเอ่ย “ก็จริง ความดุร้ายของเสือไม่ควรใช้ชีวิตคนไปสู้ เป็นข้าที่สะเพร่าเอง ทำให้นายพรานเอาชีวิตไปทิ้งอย่างสูญเปล่า แล้วเจ้ามีวิธีดีๆ อะไรบ้าง”
เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ หลินฟางโจวจึงต้องคิดวิธีสักวิธีออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ความคิดของนางในยามนี้หมุนเร็วยิ่งกว่าลูกข่าง ชะงักไปเพียงครู่เดียวนางก็เอ่ยตอบ “ข้าน้อยเคยได้ยินคนพูดว่าเสือกลัวสิงโตเป็นที่สุด เช่นนั้นพวกเราก็หล่อสิงโตปลอมสักตัวหนึ่งไปหลอกให้เสือนั่นตกใจดีหรือไม่ ตอนที่มันหวาดกลัวจะต้องคิดหนีจนไม่ทันระวังหลังแน่นอน เมื่อได้เวลาก็ให้นักแม่นธนูมือดียิงมันจากทางด้านหลังของสิงโต…”
นางยังไม่ทันพูดจบประโยค พานเหรินเฟิ่งก็โมโหจนตบโต๊ะเสียงดังปังแล้ว “ใครก็ได้เข้ามาที! พาคนออกไปด้วย!”
เจ้าหน้าที่สองคนผลักประตูวิ่งเข้ามา จากนั้นก็หิ้วแขนหลินฟางโจวออกไป
หลินฟางโจวรีบพูด “ใต้เท้า ใต้เท้าโปรดพิจารณาสักนิดเถอะ หากวิธีการนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ ก็อย่าได้โบยข้าน้อยเลย หากโบยข้าน้อยแล้ว ภายหลังใครยังจะกล้าเสนอความเห็นกับท่านอีก!”
แม้จะเป็นความคิดที่โง่เขลาเพียงใด แต่ประโยคสุดท้ายของหลินฟางโจวก็ทำให้พานเหรินเฟิ่งเกิดความลังเลใจ เขาจึงออกคำสั่ง “แค่ไล่เขาไปก็พอ หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้เขาก้าวเข้ามาในที่ว่าการอีกแม้แต่ครึ่งก้าว!”
หลังจากเจ้าหน้าที่หิ้วหลินฟางโจวออกไปแล้ว ในที่สุดเทพสังหารทั้งสองก็อดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เทพสังหารคนที่สองตบโต๊ะพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆ! นี่เป็นตัวตลกจากที่ใดกัน! ใช้สิงโตกระดาษไปหลอกให้เสือจริงตกใจหรือ ฮ่าๆๆ!”
เทพสังหารคนที่หนึ่งก็รู้สึกว่าน่าขำไม่น้อย เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ หลังจากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “เขาดูเหมือนจะกลัวข้ามาก?”
เทพสังหารคนที่สองหัวเราะเสียจนน้ำตาไหลแล้ว พอได้ยินคำพูดนี้เขาก็เช็ดน้ำตาไปพลางพูดไปพลาง “เจ้ายังไม่รู้? ไม่ต้องพูดถึงคนแล้ว แม้แต่สุนัขเห็นเจ้ายังต้องหลบไปให้ไกล!”
พานเหรินเฟิ่งยิ้มสู้พลางเอ่ย “ไม่ต้องพูดถึงเขาที่เป็นราษฎรทั่วไป แม้แต่ข้าน้อยที่เป็นขุนนาง ครั้งแรกที่ได้พบกับใต้เท้าก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเลย”
เทพสังหารคนที่หนึ่งจึงไม่สงสัยหลินฟางโจวอีก
ตอนกลางคืน แม้หลินฟางโจวจะนอนอยู่บนเตียงทว่าสองตายังคงเบิกโพลงพลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ
ตอนที่เสียงเคาะเกราะในยามจื่อ ดังขึ้น จู่ๆ นางก็เขย่าร่างของคนข้างกายที่นอนหลับเร็วตั้งแต่หัวค่ำ “เจ้าเด็กโง่ ตื่นๆ”
เด็กคนนั้นถูกหลินฟางโจวปลุกให้ตื่น เขาหาวออกมาครั้งหนึ่ง ขณะกำลังจะพลิกกายนอนต่อ นางก็ผลักร่างเขา
“ไม่ต้องนอนแล้ว!”
เขามองนางอย่างมึนงง
“ไป ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยว” นางพูดพร้อมกับหาเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้เขาใส่
แม้เด็กคนนั้นจะยังมึนงงอยู่ แต่ก็เชื่อฟังคำพูดของนางมาก ยามที่นางจูงมือพาเขาเดินออกมาจากในบ้าน เขาก็ตามมาอย่างว่าง่าย
หลินฟางโจวอยู่ที่อำเภอหย่งโจวมาตั้งแต่เล็ก นางคุ้นเคยกับทุกที่ในอำเภอนี้เป็นอย่างดี มีอยู่ปีหนึ่งที่ฝนตกหนัก ฐานกำแพงทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอนี้ถูกน้ำซัดจนไม่แน่น คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นหากมีบ้านใครที่ขาดอิฐสักก้อนสองก้อนก็สามารถไปเอามาจากฐานกำแพงหลวมๆ นั่นได้ เมื่อเอาไปบ่อยๆ กำแพงเมืองก็เกิดเป็นช่องขึ้นมา ขนาดพอดีกับเด็กที่ไม่สูงไม่เตี้ยคนหนึ่งลอดเข้าลอดออกได้
รูปร่างของหลินฟางโจวผอมบาง อีกทั้งร่างกายยังผ่ายผอม นางเคยลองมาก่อนแล้วพบว่าตนเองสามารถลอดผ่านช่องนี้ออกไปได้
ในที่สุดหลินฟางโจวก็พาเด็กคนนี้มาถึงฐานกำแพงแห่งนี้ ทั้งคู่ต่างก็ลอดออกไป
หลังจากนั้นนางก็พาเด็กชายเดินต่อไป เพียงครู่เดียวก็เดินมาถึงริมแม่น้ำ
พระจันทร์ดวงโตมาก น้ำในแม่น้ำสะท้อนแสงนวล ที่ริมฝั่งมีวัชพืชกระจายอยู่ เงาต้นไม้กวัดแกว่ง สรรพสิ่งต่างหลับลึกไปหมดแล้ว แม้แต่เสียงร้องของแมลงก็ไม่มี
หลินฟางโจวกลัวว่าเขาจะกลับไปหานาง จึงใช้เชือกเส้นหนึ่งมัดมือทั้งสองข้างของเด็กชายเอาไว้ ที่ปลายเชือกอีกด้านหนึ่งก็มัดไว้กับต้นไม้ นางลูบศีรษะเขาพลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เป็นตายอยู่ที่โชคชะตากำหนด ร่ำรวยสูงศักดิ์ล้วนขึ้นอยู่กับฟ้า ข้าตัดสินใจผิดพลาดนับตั้งแต่ข้าช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้แล้ว เจ้า…อย่าได้ด่าข้าเลยนะ”
เด็กชายไม่ได้มีท่าทีขัดขืน เพียงแค่จ้องตานางเท่านั้น
จู่ๆ หลินฟางโจวก็นึกเสียใจขึ้นมา นางไม่กล้ามองเขาอีกครั้ง เพียงหันหลังก้าวเท้าจากมา
ทว่าเด็กชายกลับยังคงจ้องมองแผ่นหลังของหลินฟางโจวต่อไป จวบจนร่างของนางค่อยๆ หายไปจนมองไม่เห็นอีก ทิ้งให้เขาอยู่กับท้องฟ้าและผืนดินเพียงผู้เดียว
อยู่กับท้องฟ้าและผืนดิน เบื้องหน้าเต็มไปด้วยแสงจันทร์และมีลมเย็นพัดมาจากข้างหลัง
หลินฟางโจวกลับมาถึงบ้านก็พลันล้มตัวลงนอน
ปกติพอหัวถึงหมอนนางก็จะนอนหลับได้ง่ายมาก ทว่าครั้งนี้กลับนอนไม่หลับเสียได้ พอหลับตาลง ในหัวก็มีแต่ภาพเด็กคนนั้นเต็มไปหมด เขาที่มองนางอย่างทึ่มทื่อ คอยเดินตามนางไปอย่างโง่งม เขาที่เชื่อใจนาง เชื่อฟังนางเช่นนั้น…
เขาที่น่าสงสารเพียงนั้น วันพรุ่งนี้ก็จะมีคนมาพบตัวเขา ซึ่งเขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ปล่อยให้เขาตายไปเช่นนี้ กับใช้มีดทำครัวฟันเขาตายตรงๆ มีอะไรที่ต่างกัน
หลินฟางโจวใช้ผ้าห่มคลุมมิดหัวและบังคับให้ตนเองนอนหลับ
เพิ่งจะเคลิ้มหลับไปแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นนางก็ฝันเห็นเขาถูกคนฟัน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด เขาเงยหน้าขึ้นมามองนาง ถามนางว่าทำไมไม่ช่วยชีวิตเขา…
‘ข้าไม่อาจช่วยเจ้า! ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้!’ ในความฝันนั้นหลินฟางโจวตะโกนด้วยความร้อนรน เพียงแค่ครู่เดียวนางก็ตื่นขึ้นมา ทั่วศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม
นางเกาะหน้าต่างพลางกวาดตามองไปยังถนนด้านนอกผ่านผ้าม่านที่เก่าขาด
คนบอกเวลาผ่านมาพร้อมเสียงเคาะเกราะดังตึง…ตึงๆๆ
ช่วงยามโฉ่ว แล้ว
ผ่านไปอีกสองชั่วยามประตูเมืองก็จะเปิดแล้ว
อีกเพียงสองชั่วยามก็จะมีคนไปเจอเขาแล้ว
อีกเพียงสองชั่วยามเขาก็ต้องตายแล้ว
หลินฟางโจวหวาดกลัวเป็นที่สุด นางไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร นางทั้งไม่อยากทำร้ายเขาจนตาย ทั้งไม่อยากให้ภัยมาถึงตัวนาง หรือใต้หล้านี้จะไม่มีวิธีที่ทำให้พอใจไปทุกสิ่งเลย
ถึงมีก็รอไม่ได้อีก เพราะว่าเขากำลังจะตายแล้ว
เขาจะตายแล้ว เขากำลังจะตายแล้ว!
หลินฟางโจวไม่รู้ว่าตนเองกินยาลวงวิญญาณเข้าไปหรือไม่ เพราะจู่ๆ นางก็คว้าเสื้อวิ่งออกไปทันที ลอดกำแพงเมืองออกไป เอาแต่วิ่งตรงไปอยู่อย่างนั้น กระทั่งมาจนถึงริมแม่น้ำ
เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น แม้แต่ท่าทางก็ยังไม่เปลี่ยน ราวกับว่าเขาเป็นเพียงหินแกะสลักก้อนหนึ่งซึ่งถูกวางนิ่งอยู่ในใต้หล้านี้มานับพันปีตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม
หลินฟางโจววิ่งตรงเข้าไปแล้วแก้มัดเชือกให้โดยที่ไม่กล้ามองใบหน้าเขา นางเพียงแค่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นและพูดเสียงเบา “ไปเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน” พร้อมกับจูงมือเขาเดินไปด้วย
เป็นเพราะเขายืนนานเกินไป ขาทั้งสองข้างจึงเป็นเหน็บไปเสียแล้ว เขาเกือบจะล้มลงบนพื้นตั้งแต่ก้าวแรก โชคดีที่ได้นางช่วยจับเขาเอาไว้ สุดท้ายหลินฟางโจวก็ตัดสินใจแบกเขาขึ้นหลัง
กลางคืนอากาศเย็นอยู่บ้าง เมื่อครู่นางรีบวิ่งมา ทั้งร่างจึงเต็มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้ลมริมแม่น้ำพัดมา ทว่ากลับพัดแรงเสียจนทำให้นางต้องจามออกมา เมื่อจามเสร็จแล้วหลินฟางโจวก็เอ่ยถาม “เจ้าหนาวหรือไม่”
นางไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตอบคำถาม
ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นร้อนหยดลงมาบนแก้มทีละหยดๆ ราวกับเม็ดฝน ก่อนที่นางจะได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นที่ข้างหู “ขอบคุณมาก”
หลังจากนั้นตลอดทางที่เหลือหลินฟางโจวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ตอนที่ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านที่มีลมลอดผ่านเข้ามาทั่วทั้งหลังนั้น เด็กคนนั้นก็พูดขึ้นมา “ขอโทษ”
หลินฟางโจวกัดฟันพูดอยู่บ้าง “ที่ผ่านมาเจ้าแกล้งโง่มาตลอด?”
“อืม”
“บิดามารดาเจ้าเถอะ! ที่แท้เจ้าก็แกล้งโง่มาโดยตลอดหรือนี่! เจ้าเกือบทำให้ข้าตายแล้ว!”
“ขอโทษ” เขาเหมือนกับนกขุนทองที่พูดเป็นแค่คำเดียวซ้ำๆ
ภายใต้แสงจันทร์ยามราตรีดึกสงัด รูปร่างที่ดูผอมบางอ่อนแอของเขากลับดูขัดกับท่าทีดื้อรั้นนี้เสียได้
หลินฟางโจวไม่สงสัยเลยสักนิด หากให้เด็กชายเลือกได้อีกครั้งหนึ่ง เขาจะต้องเลือกทำเป็นแกล้งโง่เหมือนเดิมแน่ นางสะกดความหุนหันอยากจะทุบตีเขาเอาไว้ จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชา “เหตุใดจึงแกล้งโง่”
“หลายปีที่ผ่านมา…ข้าต้องพบเจออันตรายอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลย”
“พูดเกินจริงไปหรือเปล่า! เจ้าอายุแค่นี้ก็ตกอยู่ในอันตรายบ่อยครั้งแล้วหรือ”
พอหลินฟางโจวถามออกไปก็รู้สึกว่าตนเองกำลังตั้งคำถามไร้สาระอยู่ เจ้าเด็กน่าเกลียดนี่กำลังถูกคนตามฆ่าอยู่มิใช่หรือ!
นางพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ความโกรธระลอกนั้นได้จางหายไปมากแล้ว บางที…เขาคงตกอยู่ในอันตรายจริงๆ กระมัง
หลินฟางโจวถามอีกครั้ง “เจ้าเป็นใครกันแน่!”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางพลางเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าอยากรู้ให้ได้จริงๆ หรือ”
“ข้า…”
จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา ทุกคนล้วนมีความสงสัยภายในใจ แต่ความเป็นมาของเด็กชายผู้นี้ดูน่ากลัวอยู่บ้าง หลินฟางโจวไม่แน่ใจว่าหลังจากที่นางได้รู้สถานะที่แท้จริงของเขาแล้วจะยังสามารถหลับลงได้อีกหรือไม่ ทั้งยังจะแสร้งทำเป็นว่าไม่รับรู้อะไรได้อีกหรือเปล่า และยังจะสามารถ…
“ช่างเถอะๆ” นางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ใครเขาสนว่าเจ้าจะโผล่ออกมาจากหินก้อนไหน!”
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนพึมพำโดยใช้น้ำเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน “ที่จริง…เจ้าไม่ควรย้อนกลับไปหาข้า”
“เจ้าพูดอะไรนะ”
“ไม่มีอะไร นอนเถอะ”
แท้จริงแล้วคนเราต้องทำเรื่องที่ดีจึงจะนอนหลับได้สนิท ในที่สุดหลินฟางโจวก็นอนหลับได้เสียที
วันต่อมายามแสงแดดสว่างจ้า หลินฟางโจวก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเร่ขายหูปิ่ง นางสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ตื่นเต็มตาดี
เด็กโง่นั่นก็ตื่นแล้วเช่นกัน ไม่สิ ตอนนี้ไม่ควรเรียกเขาว่า ‘เด็กโง่’ แล้ว เขาดูฉลาดกว่าลิงเสียอีก
หลินฟางโจวหาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยถามเขา “ข้าว่า…ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร”
“เจ้าอยากเรียกข้าว่าอะไรล่ะ” เด็กชายถามกลับไป
“เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่า ‘หยวนเป่า’ นะ”
“…”
“ทำไม…ไม่ชอบ?”
“ช่วยเปลี่ยนได้หรือไม่”
“อ้อ เช่นนั้นก็ ‘เอ้อร์ถ่ง’ แล้วกัน” นางเสนอชื่อขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
เด็กชายตอบกลับไปอย่างว่องไว “ข้าขอเลือกหยวนเป่า”
ยามที่หลินฟางโจวลุกขึ้นนั่ง นางก็ยังได้ยินคนขายหูปิ่งตะโกนอยู่ด้านนอกด้วยเสียงดังฟังชัดเป็นอย่างยิ่ง “หูปิ่งขอรับ หูปิ่งเพิ่งขึ้นมาจากเตา หูปิ่งทั้งหอมทั้งกรอบและเมล็ดงาใหญ่มาก!”
นางกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะตะโกนออกไปทางช่องหน้าต่าง “คนขายหูปิ่ง!”
“แม่นางอยากจะซื้อหูปิ่งหรือ”
“แม่นางบิดาเจ้าสิ! ถ่างตาถั่วๆ ของเจ้าดูให้ดี!”
คนขายหูปิ่งคิดในใจ เจ้าอยู่หลังหน้าต่าง ต่อให้ข้าตาดีแค่ไหนก็ถ่างตาไม่เห็นเจ้าอยู่ดี เดิมทีเขาเป็นคนอารมณ์ดีและไม่โต้เถียงกับลูกค้า ขณะนั้นจึงทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเอาใจพลางเอ่ย “ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ท่านอย่าได้ลดตัวลงมาทะเลาะกับข้าน้อยเลย ท่านต้องการหูปิ่งกี่ชิ้นขอรับ”
“เจ้ามีอยู่กี่ชิ้น”
“ยังเหลืออีกห้าชิ้นขอรับ วันนี้เหลือเพียงเท่านี้ ขายหมดก็กลับบ้านแล้ว”
“หนึ่งชิ้นราคาเท่าไร”
“หนึ่งชิ้นสองอีแปะ สามชิ้นห้าอีแปะ หากท่านเหมาหมด ข้าน้อยยังสามารถลดให้ได้อีกเล็กน้อย”
“ข้ามีแค่หนึ่งอีแปะ ช่วยขายให้ข้าครึ่งหนึ่งได้หรือไม่”
“…”
“ได้หรือไม่”
“ไม่ได้!”
“ให้ข้ากัดหนึ่งคำก็ได้”
“ไสหัวไป!”
หลินฟางโจวพลันเกิดเบื่อหน่ายขึ้นมา เดิมทีนางยังอยากจะด่าคนขายหูปิ่งไปสักประโยค ทว่าการทำเช่นนั้นไม่อาจจัดการความหิวโหยในท้องของนางได้ อีกทั้งนางก็ไม่มีเรี่ยวแรงไประบายอารมณ์กับใครแล้วด้วย นางลุกจากเตียงก่อนจะค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมรอบหนึ่ง อยากลองหาดูว่ายังมีสิ่งมีค่าใดเหลืออีกบ้าง
นางเจอของที่ดูมีราคาอยู่หลายชิ้น แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดล้วนเป็นของเด็กโง่นั่น ไม่สิ ของเสี่ยวหยวนเป่า
หลินฟางโจวลูบเกราะหนังของเขาพลางเอ่ยถาม “ของสิ่งนี้ทำมาจากหนังอะไรหรือ ข้าลูบแล้วไม่รู้เลยจริงๆ”
“เจียว”
“เจียว…คือสิ่งใด”
“สัตว์ประหลาดกินคนที่อยู่ในน้ำ”
หลินฟางโจวตัวสั่นเทิ้ม แต่เพียงชั่วครู่นางก็ยังลูบเกราะหนังนั้นต่อ แววตาเปลี่ยนเป็นรักใคร่ “สิ่งนี้จะต้องมีราคาสูงมากเป็นแน่”
เมื่อเสี่ยวหยวนเป่าได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ย “ข้าก็ไม่แน่ใจ”
หลินฟางโจวยังคงลูบไล้มันด้วยความรักใคร่ “หากข้านำมันไปขาย…”
“จะมีภัยถึงแก่ชีวิต”
มารดามันสิ เกือบลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้ว!
สุดท้ายกระทั่งเกราะหนังที่ทำมาจากสัตว์หายากเช่นนั้นก็ไม่อาจแลกหูปิ่งมาได้สักชิ้น หลินฟางโจวลอบเสียดายอยู่เงียบๆ หลังจากนั้นนางก็โยนเกราะหนังทิ้งแล้วหันไปดูหยกงามชิ้นนั้นแทน นางมองพร้อมกับเอ่ยชม “งูบินน้อยของเจ้าช่างดูงดงามเสียจริง!”
หัวคิ้วของเสี่ยวหยวนเป่าเลิกขึ้นเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่งู”
“ไม่ใช่งูแล้วเป็นอะไร”
“มังกร”
“เหลวไหล! เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ มังกรจะไม่มีเท้าได้อย่างไร”
เสี่ยวหยวนเป่าอธิบายอย่างใจเย็น “นั่นมันเลียนแบบรูปแบบดั้งเดิม…เลียนแบบมังกรโบราณน่ะ”
“ความหมายของเจ้าคือ…มังกรโบราณไม่มีเท้า แต่มังกรยุคหลังเพิ่งจะมีเท้างอกออกมา?”
การถกเถียงอย่างจริงจังของหลินฟางโจวทำให้เสี่ยวหยวนเป่าสะอึกจนไม่รู้จะพูดอะไร เดิมทีเขาก็เป็นคนไม่ชอบพูดมากอยู่แล้ว หนนี้เขาจึงหันหน้าไปเอ่ยตัดบทเสียเลย “เจ้าจะพูดว่าอะไรก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
หลินฟางโจวพยักหน้าหงึกหงักแล้วถามอีกรอบ “สรุปอันนี้ก็ขายไม่ได้?”
“นั่น…งูบินน้อย ไข่มุกที่คาบอยู่ในปากสลักเป็นชื่อข้าด้วย”
หลินฟางโจวแยกแยะได้ว่าอะไรคือไข่มุกอะไรคือผลึกแก้วใส นางเคยรู้มาจากช่างฝีมือว่าผลึกแก้วใสก้อนเล็กๆ บางประเภทสามารถทำให้เห็นสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าขยายได้ถึงสิบเท่า ผลึกแก้วใสนั้นล้ำค่ามาก เป็นของแสนรักของช่างฝีมือ ไม่ให้ใครได้แตะเลยสักนิด คงเช่นเดียวกับไข่มุกนี้ แม้จะขยายภาพสิ่งของไม่ได้แต่ก็คงล้ำค่ามากไม่ต่างกัน
สรุปคำตอบได้ในหนึ่งประโยค…ของพวกนี้ดีร้อยดีพันก็ไม่สามารถขายได้!
หลินฟางโจวนำพวกมันกลับไปวางไว้ที่เดิมรวมกับชุดยาวสีขาวชุดนั้นที่เสี่ยวหยวนเป่าใส่มาในตอนแรก จากนั้นนางจึงเอ่ย “อีกครู่หนึ่งข้าจะเผาทิ้งให้หมด”
“อืม”
นางจ้องหยกงามชิ้นนั้นแล้วก็ให้ปวดใจเล็กน้อย สุดท้ายจึงหยิบมันมาไว้ในอ้อมอก “อันนี้ให้ข้านะ”
เสี่ยวหยวนเป่าเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไว้ไม่ได้เอ่ยออกมา สุดท้ายเขาก็ทำเพียงแค่หลุบตาลงพร้อมกับพยักหน้า “อืม”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ธ.ค. 62
Comments
comments
No tags for this post.