X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โปรดยิ้มตอบข้าด้วยไมตรี บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่ 3

หลินฟางโจวออกมาจากบ้านด้วยความรู้สึกหิวเกินทน

วันนี้ออกจะน่าแปลกใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น จู่ๆ แปดในสิบคนที่อยู่บนถนนก็หยุดเรียกนาง ทั้งยังหัวเราะใส่นางด้วย…หัวเราะอะไรกัน!

สำหรับคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลยังชี้ไม้ชี้มือมาที่นางด้วย

หลินฟางโจวลูบจมูกพลางตะคอกใส่พวกเขา “ทำไม! ไม่รู้จักข้าผู้ยิ่งใหญ่แล้วหรือ!”

“ท่านหลินผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราต่างก็รอดูสิงโตกระดาษของเจ้าอยู่นะ! มีสิงโตกระดาษแล้วก็ขึ้นเขาไปฆ่าเสือได้พอดี! ฮ่าๆๆ”

ในที่สุดหลินฟางโจวก็เข้าใจเหตุผลที่นางได้รับความสนใจในวันนี้แล้ว

หลินฟางโจวรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง หลังจากด่าพวกเขาไปหลายประโยคแล้วนางก็สาวเท้าออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่น

บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนนี้ไม่มีเรื่องน่าสนุกเลย นางจึงวางแผนว่าจะออกไปเดินเที่ยวที่นอกเมืองสักหน่อย บางทีอาจจะจับปลาหรือไม่ก็ขโมยไข่นก อย่างน้อยก็สามารถเอามากินได้

 

ช่วงต้นฤดูร้อนอากาศยังไม่ร้อนมาก แสงแดดและสายลมนอกเมืองไม่เลวเลยจริงๆ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม มีลมพัดโชยอ่อน เสียงนกร้องจิ๊บๆ ช่างเสนาะหู หลินฟางโจวหิวเสียจนท้องแบนราบไปหมดแล้ว นางย่อมไม่มีอารมณ์มาเพลิดเพลินไปกับเสียงนกร้อง นางคิดเพียงอยากจะถอนขนนกตัวที่กำลังร้องอยู่นี้ออกให้หมดแล้วนำไปย่างกินเสีย ไม่รู้ว่าจะหอมน่ากินขนาดไหน…

ระหว่างที่เดินอยู่นั้นก็ผ่านสวนแตงเขียวขจีทั้งผืน ซึ่งหลินฟางโจวได้กลิ่นหอมของแตงตั้งแต่ยังมาไม่ถึงแล้ว นางค่อยๆ ย่อตัวลงก่อนจะแหวกเอาผลแตงออกมา สิ่งที่เห็นก็คือแตงหวานลูกกลมสีเขียวผิวมันลื่นที่มีขนาดใหญ่ราวกับหัวสุนัขอย่างไรอย่างนั้น

ฮะฮ่า!

หลินฟางโจวดีใจจนดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย นางเลิกแขนเสื้อขึ้น ด้วยเป็นกังวลว่าจะถูกคนจับได้คาหนังคาเขา นางจึงเงยหน้าขึ้นสอดส่ายสายตาไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง เห็นเพียงแค่เพิงเล็กๆ เพิงหนึ่งอยู่ไกลๆ ภายในเพิงนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด นางจึงไม่รู้ว่าเจ้าของสวนแตงอยู่ในนั้นหรือไม่

“ต่อให้มีคนก็คงต้องนอนอู้อยู่แน่” หลินฟางโจวพูดพึมพำพร้อมกับให้กำลังใจตนเองไปด้วย

นางเลือกแตงหวานลูกใหญ่สองลูกจากในสวนแตง โดยลูกหนึ่งถือไว้ในมือ ส่วนอีกลูกก็โอบไว้ในอ้อมแขน ทว่านางเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าทันที “โฮ่งๆๆ!”

หลินฟางโจวเห็นว่าหลบซ่อนต่อไปไม่ดีแน่ นางจึงกอดแตงหวานทั้งสองลูกพลางหมุนตัวออกวิ่งทันที

ท่ามกลางเสียงสุนัขเห่าที่ไล่ตามมาข้างหลัง นางก็ได้ยินเสียงแหบของคนมีอายุดังขึ้น “หยุดนะ! เจ้าหัวขโมย!”

หลินฟางโจวไหนเลยจะหยุดนิ่งให้ถูกจับได้ นางยิ่งวิ่งเร็วประดุจสายลม

ที่จริงหลินฟางโจววิ่งได้เร็วทีเดียว ทว่าน่าเสียดายที่ขาสองขามิสู้ขาสี่ขา เสียงสุนัขเห่าจากทางด้านหลังดูเหมือนยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที นางเริ่มจะกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังตัดใจทิ้งแตงหวานลูกโตๆ ในมือไปไม่ลง

ทันใดนั้นบนถนนเส้นเล็กที่อยู่เบื้องหน้าก็มีเกี้ยวหลังเล็กซึ่งมีคนแบกสี่คนผ่านมาพอดี หลินฟางโจวไม่ทันดูให้ดีเสียก่อนก็พุ่งตรงไปยังเกี้ยวหลังเล็กนั่นแล้ว ในใจคิดแค่เพียงว่า…มีคนมากแล้ว เจ้าสุนัขนั่นคงแยกไม่ออกว่าข้าอยู่ที่ไหน มันต้องไม่กล้าวิ่งตามมาอีกแน่

นางคงจะตกใจจนเลอะเลือนแล้วจริงๆ เป็นคนอยู่ดีๆ ก็ไปคาดเดาความคิดของสุนัขเสียได้

คนแบกเกี้ยวทั้งสี่มองเห็นชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งกอดแตงหวานสองลูกวิ่งมาราวกับสายลม ทางด้านหลังมีสุนัขตัวหนึ่ง และถัดออกไปก็เป็นชายชราคนหนึ่งเดินทุลักทุเลตามมา…ภาพนี้ช่างแปลกเกินไปแล้ว

พวกเขาพลันตกใจรีบหยุดเดินพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ทำอะไร! ทำอะไรกันน่ะ!”

ด้วยเหตุนี้เกี้ยวจึงโยกซ้ายโยกขวาไปมา น่าสงสารคนที่อยู่ข้างในยิ่งนัก เกรงว่าคนผู้นั้นคงจะถูกโยกจนวิงเวียนไปหมดแล้ว

หลินฟางโจววิ่งวนรอบเกี้ยวหลังนั้นรอบหนึ่ง ทว่าเจ้าสุนัขนั่นก็ยังไล่ตามนางไม่หยุด เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามมาทัน ทั้งยังกัดไปหนึ่งครั้ง แควก…มันกัดปลายกางเกงนางไปส่วนหนึ่งแล้ว

หลินฟางโจวตกใจจนเหงื่อออกทั่วร่าง ระหว่างที่ลนลานอยู่นั้นนางก็เห็นพวกเขาวางเกี้ยวลงกับพื้นแล้ว นางจึงก้มตัวลงพลางมุดเข้าไปในเกี้ยว

ในที่สุดชายชราก็ตามมาทัน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์วุ่นวายยิ่งนัก เขาจึงตะโกนใส่สุนัขที่กำลังจะพุ่งตามเข้าไปในเกี้ยวให้หยุด

“พวกท่าน…ข้า…นั่น…” ชายชราพยายามเอ่ยชี้แจง

แต่หนึ่งในคนแบกเกี้ยวกลับเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “พวกเจ้าต้องการจะทำอะไร! หากพุ่งชนเข้า…”

เขายังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความเดือดดาลมาจากข้างในเกี้ยวแล้ว “หลิน! ฟาง! โจว!”

ตามด้วยเสียงตกใจที่แทบจะสูญเสียการควบคุม “ตะ…ตะ…ใต้เท้า!”

หลินฟางโจวรีบออกมาจากเกี้ยวอย่างตัวสั่นงันงก นางเห็นชายชราคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้แต่สุนัขของเขาก็ยังหมอบลง ทว่าส่วนหางของมันกลับส่ายราวกับพัดใบกกอย่างไรอย่างนั้น เช่นนี้มิใช่ว่ามันกำลังดูแคลนผู้อื่นอยู่หรือไร!

หลินฟางโจวก็คุกเข่าลงแล้วเช่นกัน

พานเหรินเฟิ่งจัดหมวกขุนนางที่เอียงกระเท่เร่ให้เข้าที่ ก่อนจะเดินออกมาจากเกี้ยวอย่างไม่รีบไม่ร้อน ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ยามที่เขาเดินเหินจึงไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ย่างก้าวแต่ละก้าวล้วนมั่นคงสง่างาม เรียกได้ว่าเป็นท่าทางของขุนนางโดยแท้

หลินฟางโจวยิ้มทะเล้นพร้อมกับเอ่ย “ใต้เท้า ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”

หลินฟางโจวยังไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่พานเหรินเฟิ่งไปแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของนายพรานและถือโอกาสเชิดชูความกล้าหาญของเขาด้วย ระหว่างที่กลับมาก็เจอเข้ากับนางซึ่งกำลังถูกสุนัขพร้อมกับเจ้าของสวนแตงไล่ตามอยู่พอดี

พานเหรินเฟิ่งไม่สนใจหลินฟางโจว เขาไม่อยากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์น่าอายเมื่อครู่ที่ตนเองเพิ่งถูกชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกอดผลแตงหวานกระแทกจนล้ม

ชายชราผู้นั้นเห็นขโมยตีสนิทกับพานเหรินเฟิ่งก็กลัวว่าตนเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “ใต้เท้า คนผู้นี้ขโมยแตงหวานของข้าน้อยขอรับ!”

ตอนนี้ในอ้อมแขนของหลินฟางโจวยังคงกอดแตงหวานไว้อยู่เลย…

พานเหรินเฟิ่งมองหลินฟางโจวแค่เพียงแวบเดียวก็ทำสีหน้าจริงจังและเอ่ยตำหนิ “บังอาจนัก! เมื่อวานเจ้ามาล้อเล่นกับข้าหนหนึ่ง ข้าก็ไม่เก็บมาใส่ใจแล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าจะก่อเรื่องตอนกลางวันแสกๆ นี่มันเป็นการขโมยอย่างโจ่งแจ้ง ยังมีอะไรที่เจ้าไม่กล้าทำอีกหรือไม่!”

“ตะ…ตะ…ใต้เท้า ขะ…ขะ…ข้าน้อยก็แค่เล่นสนุกเท่านั้น เพียงแค่หยอกล้อเขาเล่น ข้าน้อยจะคืนให้เขาแล้วล่ะ” หลินฟางโจวพูดจบแล้วก็รีบส่งแตงหวานให้กับชายชราคนนั้นไป จากนั้นก็พูดกับชายชรา “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ท่านให้อภัยข้าสักครั้งเถอะนะ คราวหลังข้าไม่กล้าอีกแล้ว”

พานเหรินเฟิ่งถามชายชราผู้นั้น “ข้าตัดสินให้เขาคืนแตงหวานทั้งสองลูกแก่เจ้า เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”

ชายชรารีบเอ่ย “ขอบคุณใต้เท้าที่ตัดสินให้ข้าน้อย!”

หลินฟางโจวนึกว่าในที่สุดตนเองก็หนีโทษในครั้งนี้พ้นแล้วเสียอีก ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากพานเหรินเฟิ่งตัดสินเรื่องนี้เสร็จแล้ว จู่ๆ เขาก็ถลึงตาใส่ ทั้งยังเรียกชื่อนางด้วย “หลินฟางโจว”

“หา? ใต้เท้า ท่านดูสิ เรื่องของพวกเราสองคนจบเรียบร้อยแล้ว”

“เรื่องของเจ้ากับเขาเรียบร้อยแล้วจริง แต่เรื่องของพวกเรายังไม่จบ” พานเหรินเฟิ่งยิ้มกริ่มพร้อมกับเอ่ย “เจ้าไม่ใช่ว่าฉลาดนักหรือ ไม่ใช่ว่าอยากเอาชนะด้วยอุบายหรือไร ไม่ใช่ว่าใช้เวลาทั้งวันไปอย่างไร้ค่าหรอกหรือ ข้าขอสั่งให้เจ้าไปคิดวิธีปราบเสือร้ายนั่นมาให้ข้าภายในสามวัน หากคิดวิธีที่มีประโยชน์ไม่ได้ ข้าจะให้เจ้าไปกินข้าวในคุกชั่วชีวิต!”

“ยะ…อย่านะๆ ใต้เท้า นี่มันกดดันเกินไปแล้วนะ นี่…นี่ท่านใช้อำนาจ…” นางนึกได้ว่าตนเองพูดผิดไปจึงรีบกลืนคำหลังลงไปทันที

“หืม? เจ้าจะพูดว่าข้าใช้อำนาจมาแก้แค้นส่วนตัว?”

“ไม่ๆๆ ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย”

“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว” พานเหรินเฟิ่งยิ้มกริ่มก่อนจะกลับเข้าไปในเกี้ยวพร้อมสั่งออกมา “ยกเกี้ยว”

“ใต้เท้า รอก่อน ใต้เท้าขอรับ!”

หลินฟางโจวคุกเข่าบนพื้น นางได้แต่มองเกี้ยวหลังเล็กนั้นเคลื่อนจากไปอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร นางนั่งหมดแรงอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเหยเก “จบกัน”

ตอนนี้ชายชราพลันเกิดความรู้สึกสงสารนางอยู่บ้าง เขาจึงพูดขึ้นมา “ขโมยแตงหวานแค่สองลูก เมื่อคืนมาแล้วก็ช่างมันเถอะ ไม่เห็นต้องไปกินข้าวในคุกตลอดชีวิต ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้ากินข้าวในคุกตลอดชีวิตเสียหน่อย”

หลินฟางโจวโบกมือไปมา “ไม่ใช่เพราะท่านปู่หรอก เรื่องนี้พูดไปแล้วก็ยาว” อีกอย่างนางก็ไม่อยากพูดถึงเลยสักนิด

ชายชราหูผึ่งอยากฟังเรื่องนั้นว่าจะยาวสักเพียงใด

แต่หลินฟางโจวกลับพูดออกมาแค่เพียงว่า “ขอโทษท่านปู่ด้วย ข้า…ข้าแค่หิวมากเกินไป”

ชายชราผู้นั้นใจอ่อนขึ้นมาบ้างแล้ว เขามองคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายมีรูปร่างผอมแห้งและผิวซีดขาว เมื่อเทียบกับหลานชายเขาแล้วคนผู้นี้ยังดูเด็กกว่าเสียด้วยซ้ำ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยัดแตงหวานลูกหนึ่งใส่มือของหลินฟางโจว “เอาไปกินเถอะ ปกติหากมีคนผ่านทางหรือคนหิวมาขอกินแตงสักครึ่งลูกหรือหนึ่งลูกข้าล้วนไม่รับเงิน แต่เจ้าควรจะบอกข้าสักนิด อย่าขโมยของเช่นนี้”

หลินฟางโจวดีใจมาก “ขอรับ! ข้าเข้าใจแล้ว ครั้งหน้าหากอยากกินอีกข้าจะไปขอท่านตรงๆ เลย!”

ชายชราพูดอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

หลินฟางโจวหลุดหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ ข้าหยอกท่านน่ะ!”

“เจ้าเด็กนี่!” ชายชราก็หัวเราะตามไปด้วย

หลินฟางโจวหอบแตงหวานกลับไปที่บ้านแล้วผ่าครึ่ง โดยแบ่งให้เสี่ยวหยวนเป่ากินครึ่งหนึ่ง

หลินฟางโจวทั้งกินแตงหวาน ทั้งเล่าเรื่องอันน่าหดหู่ของตนเองให้เสี่ยวหยวนเป่าฟังไปด้วย หลังจากเล่าจบแล้วนางก็เอ่ยถามเขา “เจ้าเคยเห็นเสือหรือไม่”

เขากินแตงหวานอย่างไม่รีบร้อน เมื่อได้ยินนางถามก็พยักหน้า “เคยเห็น”

“ไม่ใช่ในรูปภาพตอนวันขึ้นปีใหม่นะ เป็นเสือตัวเป็นๆ เลย”

“เคยเห็น” เสี่ยวหยวนเป่ายังคงยืนยันเช่นเดิม

นางโบกมือไปมาอย่างไม่เชื่อ “เหลวไหลน่า หากเจ้าเคยเห็นเสือจริงๆ เสือก็ต้องจับเจ้ากินไปนานแล้วสิ”

“เสือที่ข้าเคยเห็นล้วนถูกขังไว้ในกรง” เสี่ยวหยวนเป่าพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลง “ข้ามีวิธีแล้ว”

 

ช่วงเวลากลางวันหลินฟางโจวก็มาถึงที่ว่าการ

พานเหรินเฟิ่งรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ตนให้ปัญหายากๆ แก่หลินฟางโจวก็เพียงแค่อยากจะสั่งสอนเขาเท่านั้น ไม่เคยคาดหวังเลยว่าเขาจะสามารถคิดหาวิธีแก้ปัญหาได้ ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือเขาคิด ‘แผนอันยอดเยี่ยม’ ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้…

พานเหรินเฟิ่งนั่งตัวตรงพลางจัดชุดพร้อมกับเอ่ยถาม “ครั้งนี้เจ้าคงไม่คิดจะให้หล่อช้างหรอกนะ”

“ไม่ใช่ขอรับ ใต้เท้าโปรดวางใจ รับรองว่าวิธีของข้าน้อยในครั้งนี้ได้ผลแน่นอน!”

“อ้อ ไหนลองพูดมาซิ”

“ใต้เท้า…” หลินฟางโจวลูบท้องตนเองพร้อมกับหัวเราะเสียงแห้ง

พานเหรินเฟิ่งพลันคิดไปถึงตอนที่ตนเองถูกสองเทพสังหารกดดัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ารอยยิ้มของเจ้าหนุ่มผู้นี้ดูอย่างไรก็ช่างละโมบ

ช่างเถอะ เพื่อชาวบ้าน ข้าจะอดทนแล้วกัน!

ด้วยเหตุนี้พานเหรินเฟิ่งจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เป็นมิตรมากขึ้น “เจ้าอยากได้อะไรล่ะ”

“ใต้เท้า ข้าน้อยยังไม่ได้กินอะไรเลย”

พานเหรินเฟิ่งเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่าเป้าหมายที่แท้จริงของหลินฟางโจวใช่เพียงมาขอกินอาหารหรือไม่ แต่เพื่อชาวบ้าน…เขาจะอดทนไว้!

ดังนั้นพานเหรินเฟิ่งจึงให้คนจัดเตรียมอาหารให้เรียบร้อย ทั้งสองคนนั่งลงประจำที่ กินไปพลางพูดคุยไปพลาง หลายวันแล้วที่หลินฟางโจวไม่ได้กินอิ่ม เมื่อเห็นของที่วางอยู่บนโต๊ะนางก็ราวกับโจรบ้ากามที่มองเห็นสาวงาม ไม่สนใจหน้าตาตนเองสักนิด

เดิมทีพานเหรินเฟิ่งนั้นก็เป็นบัณฑิตผู้รู้หนังสือผู้หนึ่ง เมื่อเขาเห็นมารยาทบนโต๊ะอาหารของหลินฟางโจวแล้วก็รู้สึกรังเกียจเสียจนกลอกตาใส่ทันที

หลินฟางโจวกินไปด้วยพูดไปด้วย “ใต้เท้า ท่านเคยได้ยินเรื่องยาสลบมาบ้างหรือไม่ เพียงหนึ่งหยิบมือเล็กๆ ก็สามารถทำให้บุรุษตัวโตคนหนึ่งล้มลงได้ ยาสลบนี้สามารถใช้ได้กับสุนัข แมว หมู หมาป่า ข้าน้อยคิดว่ากับเสือตัวนั้นก็น่าจะใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน”

“ข้าก็นึกว่าเจ้าจะมีความคิดอันชาญฉลาดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นความคิดเก่าคร่ำครึเช่นนี้เสียได้ ยาสลบนั้นข้าย่อมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว ทั้งยังรู้สรรพคุณของมันด้วย แน่นอนว่าข้าก็เคยนึกถึงวิธีนี้มาก่อน ทว่าวิธีนี้พูดง่ายแต่ทำได้ยาก พื้นที่บนภูเขากว้างใหญ่เกินไป ลำบากต่อการค้นหา ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราจะทำให้มันสลบไปได้หรือไม่ ต่อให้ยานั้นทำมันสลบจริง แต่พวกเราจะตามหาตัวมันเจอได้อย่างไรเล่า ยาสลบมีเวลาออกฤทธิ์ที่จำกัดนะ แค่ทำให้มันสลบได้ก็ว่ายากมากแล้ว หากยังหาตัวมันได้ไม่ทันเวลา รอจนเสือตัวนั้นฟื้นคืนจากฤทธิ์ยา นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าหรอกหรือ และหากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าเสือตัวนั้นจะต้องระวังตัวมากขึ้นแน่ ภายหลังมันคงไม่โดนหลอกง่ายๆ เช่นนั้นอีก วิธีการนี้จำเป็นต้องใช้เหยื่อล่อ และการตามหาเสือก็จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก ให้คนเหล่านั้นไปตามหาทั่วภูเขา แล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับเสืออย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นไม่ใช่ว่าเอาชีวิตคนไปทิ้งอีกหรือ หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ อย่าเพิ่งไปเสี่ยงอันตรายเลยจะดีกว่า”

“ใต้เท้า ข้าน้อยยังไม่ได้พูดว่าให้วางเหยื่อล่อโดยตรงเสียหน่อย”

“เจ้าจะทำอย่างไร”

“ใช้กรง”

“ฮ่าๆ” พานเหรินเฟิ่งหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าคิดว่าเสือตัวนั้นมันโง่หรือ จะเดินเข้าไปในกรงเองได้อย่างไร ต่อให้ใช้กรงจริงก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ใครจะเป็นคนไปจับมันใส่กรง”

“ใต้เท้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้พูดว่าใช้กรงจับเสือ ความหมายของข้าน้อยคือกรงขังนี้เอามาใช้เพื่อให้คนอยู่ต่างหาก หากเสือมากินเหยื่อที่วางล่อเอาไว้แล้ว มันย่อมไปไหนไม่ได้ไกล อีกอย่างหากขังคนเอาไว้ในกรง เสือก็เข้ามาทำร้ายไม่ได้ด้วย”

พานเหรินเฟิ่งเป็นคนฉลาดเฉลียว เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้แล้วก็เข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที เขาลูบคางพลางเอ่ยชื่นชม “เยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

ในขณะที่มือซ้ายของหลินฟางโจวมีน่องไก่ มือขวามีขาหมู นางก็เอ่ยชื่นชมไปด้วย “หอม หอมจริงๆ!”

พานเหรินเฟิ่งตวัดสายตาหันมามองหลินฟางโจวด้วยสีหน้าสงสัยพลางเอ่ยถาม “วิธีนี้เจ้าเป็นคนคิดเอง?”

หลินฟางโจวกลัวว่าพานเหรินเฟิ่งจะสงสัย นางจึงได้คิดข้อแก้ตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว “ไม่ใช่”

“ข้าก็คิดไว้แล้วว่าไม่ใช่ เป็นความคิดของผู้ใดกัน”

“ใต้เท้า ระหว่างทางที่ข้าน้อยกลับมา ข้าน้อยได้พบกับชายชราคนหนึ่ง คนผู้นั้นสวมชุดนักพรตทั้งตัว มีหนวดเคราสีขาว ที่เอวผูกน้ำเต้าใบใหญ่ใส่สุราเอาไว้…เป็นเขาที่บอกวิธีนี้แก่ข้าน้อย”

“ช่างเป็นผู้สูงส่งเหนือทางโลก เหตุใดเขาจึงให้เจ้าได้พบนะ” พานเหรินเฟิ่งไม่อยากยอมรับอยู่บ้าง

หลินฟางโจวคิดในใจ มารดาท่านสิ คิดว่าข้าเต็มใจพบนักหรือ!

เมื่อกินอิ่มแล้วหลินฟางโจวก็นำของที่เหลืออยู่บนโต๊ะห่อกลับไปด้วยทั้งหมด

พานเหรินเฟิ่งไม่เคยพบเคยเจอคนที่ยากจนถึงเพียงนี้มาก่อน

หลังจากนั้นหลินฟางโจวจึงเอ่ยถามพานเหรินเฟิ่ง “ใต้เท้า รอให้จับเสือได้จริงก่อน เงินรางวัลพวกนั้นข้าน้อยยังจะได้อยู่หรือไม่”

“ย่อมได้แน่นอน ข้าจะไม่ให้ขาดแม้แต่หนึ่งอีแปะ”

“แหะๆๆ…ใต้เท้า…” หลินฟางโจวดวงตาเป็นประกาย นางขยับร่างเข้าไปใกล้พานเหรินเฟิ่ง

“เจ้าจะทำอะไร ไปห่างๆ ข้าหน่อย” พานเหรินเฟิ่งรีบขยับถอยห่างออกมา

“ใต้เท้า ข้าน้อยกำลังลำบาก ในบ้านข้าน้อยกระทั่งข้าวสารสักเม็ดก็ยังไม่มี ท่านดูสิ จะช่วย…เอ่อ…ให้รางวัลข้าน้อยไปใช้ล่วงหน้าสักนิดได้หรือไม่”

พานเหรินเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้หล้านี้จะมีคนน่าเกลียดและหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่ ยังไม่ทันได้เริ่มก็ยื่นมือมาขอเงินผู้อื่นแล้ว เขาทำหน้าจริงจังพร้อมกับเอ่ย “นี่ไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้”

“เช่นนั้นก็ได้ หากรอให้จับเสือได้ก่อน เกรงว่าข้าน้อยคงหิวจนกลายเป็นแผ่นหนังละครหุ่นเงาไปแล้วกระมัง ใต้เท้า พอถึงยามนั้นท่านก็เผาเสือตามไปให้ข้าน้อยด้วยเถอะ ใต้เท้าไม่ต้องคิดถึงข้าน้อยหรอกนะ เพราะทั้งช่วงปีใหม่และเทศกาลอื่นๆ ข้าน้อยก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนท่านแน่นอน!”

คิ้วของพานเหรินเฟิ่งกระตุกอย่างแรง ในที่สุดเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับจอมอันธพาลเช่นนี้อย่างไรดี เขาจึงพูดว่า “ก่อนที่จะจับเสือ เจ้ามากินอาหารที่นี่ได้ทุกวันเลย”

“ขอรับ! ขอบคุณใต้เท้า!!!”

เมื่อได้รับคำสัญญาจากพานเหรินเฟิ่งแล้ว หลินฟางโจวก็ดีใจอย่างมาก นางถือห่ออาหารที่เหลือพร้อมกับวิ่งไปด้วยความดีอกดีใจ

ทิ้งให้พานเหรินเฟิ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะอาหารที่มีชามและถ้วยสะอาดราวกับไม่เคยใส่ข้าวหรืออาหารใดๆ ไว้เพียงคนเดียว “ดูเหมือนข้าจะตัดสินใจผิดพลาดไปเรื่องหนึ่งแล้ว”

 

หลินฟางโจวถือห่ออาหารกลับมา จวบจนวันนี้ในที่สุดเสี่ยวหยวนเป่าผู้นั้นก็ได้กินอิ่มอย่างเต็มที่เสียที นางพบว่าไม่ว่าเขาจะหิวมากเพียงใด การกินอาหารของเขาก็มักจะเชื่องช้า ไม่เร่งรีบ มองแล้วช่างดูดีไม่น้อย

หลินฟางโจวถามเขา “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”

“สิบขวบ”

“ดูแล้วไม่เหมือนเลย เฉินเสี่ยวซานที่อยู่ข้างบ้านตอนนี้เพิ่งแปดขวบครึ่ง เทียบกับเจ้าแล้วรูปร่างก็พอๆ กันเลย”

“ข้าร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

“พวกคนร่ำรวยพิลึก”

เสี่ยวหยวนเป่าก้มหน้าก้มตากินอาหาร เรื่องที่นางเหน็บแนมมานั้นก็ไม่คิดแก้ตัวแต่อย่างใด

 

พานเหรินเฟิ่งติดประกาศหาช่างตีเหล็กไปทั่วเมือง สั่งให้พวกเขาทำกรงเหล็กหนึ่งกรง กรงเหล็กนั้นไม่เหมือนกับกรงเหล็กทั่วไปเล็กน้อย ประตูจะเปิดเข้าไปข้างใน และข้างในนั้นจะมีไม้คานขวางอยู่ คนที่ยืนอยู่ข้างในสามารถยกกรงเดินได้ ข้างนอกกรงมีตะขอยื่นออกมาเล็กน้อย สะดวกต่อการแขวนบางอย่าง

เหล่าช่างตีเหล็กใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อรีบสร้างกรงเหล็กเช่นนี้ขึ้นมาสิบกรง ในตอนเช้าของวันถัดมาพานเหรินเฟิ่งก็ประกาศหาบุรุษที่มีใจกล้าหาญยี่สิบคน ซึ่งก็มากันครบในเวลาอันรวดเร็ว แบ่งเป็นกลุ่มละสองคน พวกเขาจะต้องยกกรง แบกพวกอาหารแห้งและวัตถุจุดไฟต่างๆ ส่วนด้านนอกกรงแขวนเนื้อหมูสดที่ผ่านการแช่ยาสลบมา จากนั้นก็เดินออกจากเมืองขึ้นภูเขาไปอย่างสง่างามเช่นนี้

หลินฟางโจวซึ่งเป็นหนึ่งในผู้วางแผนการปราบเสือครั้งนี้โชคดีที่ได้ปะปนเข้าไปกับกองทัพที่ทางการส่งมาจึงพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย นางดูหล่อเหลาโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มบุรุษผู้หยาบกระด้าง ราวกับหินแม่เหล็กก้อนหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของบรรดาสตรีรุ่นใหญ่ที่ยังไร้คู่ รวมไปถึงเหล่าสาวน้อยที่แต่งงานแล้ว

พานเหรินเฟิ่งรู้สึกเกลียดหลินฟางโจวเข้าเสียแล้ว

ตอนที่พิธีการเสร็จสิ้นพานเหรินเฟิ่งได้ปฏิเสธคำขออันไม่สมเหตุสมผลของหลินฟางโจวที่จะใช้เงินของทางการไปกินอาหาร นางจึงทำได้เพียงกลับไปที่บ้าน

ตอนที่ถึงบ้านแล้วหลินฟางโจวก็เห็นเสี่ยวหยวนเป่ากำลังเกาะหน้าต่างมองออกไปข้างนอก

หลินฟางโจวเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เจ้ากำลังดูอะไร”

“สัตว์ต่อสู้กัน”

“อะไรกำลังต่อสู้กันหรือ” หลินฟางโจวสงสัยจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะอุ้มเสี่ยวหยวนเป่าไปไว้ที่ด้านข้าง ท่าทางของนางดูเกเรไม่น้อย หลังจากนั้นนางก็ยืนค้ำอยู่ตรงตำแหน่งนั้น “ข้าขอดูหน่อย”

เมื่อมองไปแล้วหลินฟางโจวก็โมโหเสียจนย่นจมูก “ที่แท้ก็เป็นแมวกับนกสู้กัน นี่มันน่าดูตรงไหนฮึ!”

ช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเลยจริงๆ ทว่าสำหรับเสี่ยวหยวนเป่าผู้มีเวลาว่างมากเป็นที่สุด อีกทั้งยังออกไปข้างนอกไม่ได้ก็ทำได้เพียงดู ‘แมวกับนก’ สู้กันแก้เบื่อแล้ว

เสี่ยวหยวนเป่าถามหลินฟางโจว สายตาจ้องตรงไปที่นก “นั่นเป็นนกอะไร”

หลินฟางโจวสังเกตก่อนจะตอบ “ดูเหมือนจะเป็นนกเค้าแมวนะ”

“นกเค้าแมวไม่ใช่ว่าบินได้หรอกหรือ”

“ถูกแล้ว ทำไมมันไม่บินล่ะ” หลินฟางโจวแปลกใจเช่นกัน

เมื่อดูให้ดีอีกครั้งนางก็เห็นว่านกเค้าแมวตัวนั้นคุดคู้อยู่บนพื้น ปีกลู่ลงมา ดูปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง แมวหลีฮวา* ตัวนั้นค่อยๆ เข้าไปใกล้มันทีละก้าวอย่างช้าๆ

หลินฟางโจวพูดขึ้นมา “มันบาดเจ็บ”

พูดจบนางก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าโอกาสอันหาได้ยากเช่นนี้ เหตุใดถึงปล่อยให้แมวป่าตัวนั้นได้ไปง่ายๆ ล่ะ

ด้วยเหตุนี้นางจึงวิ่งออกไป เก็บหินก้อนเล็กมาก้อนหนึ่งแล้วขว้างไปที่แมวหลีฮวาตัวนั้นก่อนเอ่ย “นี่! เจ้าก็เป็น ‘แมว’ มันก็เป็น ‘แมว’ ล้วนเป็นพี่น้องกัน เจ้าจะไปรังแกมันได้อย่างไร ต่างก็มาจากรากฐานเดียวกัน ทำไมต้องทะเลาะกันด้วย!”

เสี่ยวหยวนเป่าที่อยู่ข้างในได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้น

แมวป่าที่ถูกไล่วิ่งหนีไปแล้ว หลินฟางโจวเดินไปกดนกเค้าแมวเอาไว้ ก่อนจะจับมันเข้าไปในกรงนกอันผุพัง ที่ปีกของนกเค้าแมวตัวนั้นมีเลือดไหล มันไม่มีอาการขัดขืนเลยแม้แต่น้อย น่าจะเป็นเพราะเสียเลือดมากจึงทำให้สมองสับสนมึนงง

หลินฟางโจวเดินถือกรงนกเข้ามา เดินไปด้วยพูดไปด้วย “หลายวันนี้ยังไม่ขาดแคลนอาหาร เช่นนั้นก็เลี้ยงมันเอาไว้ก่อน รอให้เลี้ยงจนอ้วนค่อยถอนขนแล้วย่างกิน”

มุมปากของเสี่ยวหยวนเป่าเผยอขึ้น ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

หลินฟางโจววางกรงนกลง นางพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เสี่ยวหยวนเป่ามองแมวกับนกต่อสู้กันด้วยท่าทางสนอกสนใจและกระตือรือร้นยิ่ง…นางจึงถามเขา “เจ้าคงเบื่อมากกระมัง อยากออกไปข้างนอกใช่หรือไม่”

“อืม”

“รอก่อนนะ ข้านึกวิธีที่ดีวิธีหนึ่งออกแล้ว”

“วิธีอะไร”

“ผ่านช่วงนี้ไปแล้วค่อยพูดก็ไม่สาย รอพวกเขาล่าเสือได้ก่อนเถอะ”

พวกเด็กๆ ก็มักจะสนใจสัตว์ตัวเล็กกันทั้งนั้น เสี่ยวหยวนเป่ามองนกเค้าแมวในกรงนกพลางเอ่ยถามหลินฟางโจว “นกเค้าแมวกินอะไรหรือ”

“เหมือนแมวเลย…กินหนู”

“ข้ามีหนูนะ”

หลินฟางโจวฟังแล้วไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร”

เสี่ยวหยวนเป่าลุกจากเตียง เขาเดินนำหลินฟางโจวไปยังห้องครัวแล้วชี้ไปที่เตาทำอาหาร นางเปิดฝาหม้อด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นหนูน้อยตัวหนึ่งนอนหงายอยู่ในหม้อดำมิดหมีนี้

“…” หลินฟางโจวอึ้งงัน

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยขึ้นมา “ข้าเห็นหนูตกลงไปในหม้อเลยขังมันเอาไว้ ไม่ให้มันหนีไปได้”

หลินฟางโจวไม่เห็นด้วย “เจ้าเป็นบ้าหรือไร” ทำไมต้องขังไม่ให้มันหนีไปด้วย ไม่ใช่ว่าควรให้มันรีบไสหัวไปให้ไกลหรอกหรือ

เสี่ยวหยวนเป่าก้มหน้าพลางเม้มปากไม่พูดจา

หลินฟางโจวก้มลงมองแล้วคีบหางหนูน้อยตัวนั้นออกมาจากในหม้อ หนูน้อยตัวนั้นน่าจะเพิ่งหย่านมมา ตัวของมันเล็กมาก สีขนยังอ่อนอยู่ พอถูกหลินฟางโจวจับหางเอาไว้มันก็พยายามดิ้นสุดชีวิต ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด

หลินฟางโจวเอ่ย “หยวนเป่า! เอาไปตุ๋นรวมกับหัวไช้เท้าครึ่งหัวสำหรับคืนนี้เพื่อบำรุงร่างกายให้เจ้าดีหรือไม่”

เมื่อมองเห็นสีหน้าตกตะลึงของเสี่ยวหยวนเป่าแล้ว หลินฟางโจวก็หัวเราะเสียยกใหญ่ นางโยนหนูน้อยตัวนั้นเข้าไปในกรงนก ตัวของมันกลิ้งม้วนไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันได้หนีมันก็ถูกนกเค้าแมวคาบไปแล้ว

ภาพที่นกเค้าแมวกินหนูค่อนข้างจะ…เกินบรรยาย

หลินฟางโจวกับเสี่ยวหยวนเป่าต่างไม่อยากมอง นางจึงชี้ไปที่หม้อใบนั้นพลางพูดขึ้นมา “ข้าจะให้เจ้าดูอะไรสนุกๆ”

นางยืนบนเตาทำอาหาร เมื่อยกหม้อใบนั้นออกมาวางข้างๆ แล้ว บนเตาอาหารก็ปรากฏช่องจุดไฟเตาให้เห็น นางพลันกระโดดลงไปในช่องนั้น ได้ยินเสียงครูดคราดคล้ายหินเคลื่อนอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นร่างของนางก็หายไปจนไม่เห็นตัวคนแล้ว

เสี่ยวหยวนเป่าตกใจรีบเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะเห็นนางอยู่ที่ก้นโพรงและกำลังเงยหน้ามองเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง

แท้จริงแล้วใต้เตานี้ยังมีอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่

เดิมทีมารดาของหลินฟางโจวนึกว่าตนเองจะร่ำรวยได้ในสักวันหนึ่ง ซึ่งก่อนจะถึงวันที่ร่ำรวย มารดาก็ได้คิดสถานที่ซ่อนเงินไว้เรียบร้อยแล้ว โดยขุดโพรงใต้เตาเอาไว้โพรงหนึ่ง ยามจุดไฟทำอาหารก็ใช้แผ่นหินมาปิดเอาไว้…ช่างเป็นสถานที่ที่ดีซึ่งแม้แต่เทพเซียนก็ยังหาไม่เจอ!

หลินฟางโจวคุกเข่าอยู่ที่ก้นโพรงนั้นพลางพูดกับเสี่ยวหยวนเป่า “โพรงนี้ใหญ่มาก ยามมีเรื่องจำเป็นเจ้าก็สามารถใช้ที่นี่ซ่อนตัวได้ด้วย”

“หากข้าซ่อนอยู่ข้างล่าง แล้วข้างบนมีคนจุดไฟขึ้นมาจะทำเช่นไร”

“เช่นนั้นเจ้าก็กลายเป็นไก่อบดินน่ะสิ”

เสี่ยวหยวนเป่าเลิกคิ้วขึ้น

“ข้าถึงว่าว่าเจ้าโง่อย่างไรเล่า!” หลินฟางโจวปีนขึ้นมาจากข้างในโพรง นางสะบัดขี้เถ้าดำๆ ออกจากตัวพร้อมกับพูด “เพียงแค่กั้นช่องจุดไฟเตาด้วยแผ่นหิน ต่อให้ไฟอยากแผดเผาลงมาก็เผาเจ้าไม่ได้หรอก”

เดิมทีหลินฟางโจวคิดว่าการไปจับเสือตัวนั้นจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่ายามรุ่งสางของวันที่สองนางก็ถูกเสียงเคาะประตูปังๆๆ ปลุกให้ตื่นแล้ว

“ต้าหลาง! จับได้แล้ว! เสือตัวนั้นถูกจับแล้วจริงๆ!”

หลินฟางโจวรีบสวมเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกไป “จริงหรือ!”

“จริงสิ! เมื่อคืนเสือมากินเนื้อ คนในกรงต่างนอนหลับไม่รู้สึกตัว เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาก็เห็นเสือตัวนั้นนอนหลับเหมือนตายอยู่ข้างนอกแล้ว!”

“ใครเป็นคนเจอ”

“พวกคนขายเนื้อแซ่เฉินน่ะ คนขายเนื้อแซ่เฉินเป็นกังวลว่าเสือจะตื่นจึงใช้มีดหั่นเนื้อแทงที่คอมันสองที ข้าเห็นเลือดไหลออกมา คาดว่าเสือตัวนั้นต้องตายแล้วแน่นอน”

“ตายแล้วก็ดี เอาแบบมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีประโยชน์…แล้วพวกเขาล่ะ”

“พวกเขากำลังเดินทางมา แล้วส่งคนฝีเท้าเร็วไม่กี่คนกลับมาส่งข่าวก่อน ต้าหลาง ครั้งนี้ล้วนเป็นไปตามแผนที่เจ้าวางไว้จริงๆ หลังจากนี้ข้าจะไม่ล้อเจ้าเรื่องสิงโตกระดาษอีกแล้ว!”

หลินฟางโจวคิดในใจ เจ้านี่นะ! เรื่องอื่นมีไม่พูด กลับเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้อยู่ได้

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็มองเห็นหวังต้าเตาวิ่งตรงมา เมื่อเห็นหลินฟางโจวเขาก็โบกมือให้พร้อมกับพูด “ต้าหลาง! ใต้เท้าเรียกให้เจ้าไปหา”

“ไปหาทำไม”

“ไปต้อนรับกลุ่มคนล่าเสือที่กลับมาด้วยชัยชนะ เจ้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่”

หลินฟางโจวกอดอก นางส่ายหน้าพร้อมเอ่ย “ไม่ต้อง ข้าไม่มีชุดให้เปลี่ยนแล้ว ไปเถอะ”

หวังต้าเตาผู้นั้นกับชายหนุ่มที่มาส่งข่าวต่างก็กล่าวชมเชยหลินฟางโจวไปตลอดทางจนร่างนางแทบจะโบยบิน

 

เมื่อถึงที่ว่าการนางก็เห็นพานเหรินเฟิ่งมีใบหน้าดีใจเปี่ยมสุขและเปลี่ยนเป็นชุดขุนนางเรียบร้อยนานแล้ว หลินฟางโจวคิดในใจว่า…เสือตัวนั้นช่างหน้าหนาเสียจริง ยังต้องรบกวนให้ใต้เท้าสวมชุดขุนนางออกมาต้อนรับด้วย

พวกคนขายเนื้อแซ่เฉินที่ต้องแบกเสือมานั้นคงจะเดินทางมาถึงช้าแน่นอน ซึ่งพานเหรินเฟิ่งก็ไม่ได้ดูรีบร้อนออกไปรอด้านนอกแต่อย่างใด ยังคงนั่งรออยู่ในที่ว่าการด้วยท่าทางที่สำรวมอยู่มาก

หลินฟางโจวกินขนมของที่ว่าการไปพลางพูดกับพานเหรินเฟิ่งไปพลาง “ใต้เท้า ยามนี้อากาศร้อน อีกทั้งเสือตัวนั้นก็ตายแล้วด้วย เกรงว่าแบกกลับมาไม่ถึงหนึ่งวันก็จะมีหนอนขึ้นเป็นแน่ พวกเราต้องรีบถลกหนังมันออกให้เร็วสักหน่อย”

“เพียงแค่ถลกหนังเองหรือ” พานเหรินเฟิ่งส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “ไม่ใช่เพียงแค่หนัง เสือตัวนี้ทั้งตัวล้วนแต่ล้ำค่า เนื้อเสือสามารถกินได้ กระดูกเสือ ไส้เสือ และอื่นๆ ล้วนทำเป็นยาได้ อวัยวะเพศของเสือ…”

“อวัยวะเพศของเสือทำไมหรือขอรับ”

“เฮ้อ อวัยวะเพศของเสือในอำเภอแห่งนี้กลับไม่ใช่ของหายากเลย ใครๆ ก็หามากินบำรุงได้”

“ใต้เท้า ในตัวของเสือมีหลายสิ่งที่มีประโยชน์มากมายเพียงนั้น เช่นนั้นท่านต้องหาคนที่มีฝีมือดีๆ มาชำแหละเสือจึงจะถูก”

“จริงอย่างที่เจ้าพูด ข้าจะส่งคนไปเชิญนายพรานมาประเดี๋ยวนี้”

“ช้าก่อนขอรับ ใต้เท้ายังไม่ต้องรีบ”

พานเหรินเฟิ่งกวาดตามองหลินฟางโจวแวบหนึ่งพลางยิ้มอย่างรู้ทัน “เจ้ามีแผนการอะไรอีกหรือ”

“ใต้เท้า ข้าน้อยเคยได้ยินว่าครั้งก่อนท่านประกาศหานายพรานขึ้นเขาไปปราบเสือ นายพรานมากมายเหล่านั้นต่างก็ปฏิเสธท่านมาแล้ว มีเพียงนายพรานคนเดียวที่ยอมขึ้นไป”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง พานเหรินเฟิ่งส่งคนไปเชิญพวกเขามา ผลปรากฏว่าต่างก็อ้างว่าป่วยบ้าง มาไม่ได้บ้าง ความรู้สึกกลัวตายย่อมเป็นธรรมดาของมนุษย์ซึ่งสามารถเข้าใจได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าในใจของพวกเขาจะรู้สึกดีด้วย

ยามนี้เมื่อได้ยินหลินฟางโจวพูดถึงขึ้นมา ใจของพานเหรินเฟิ่งย่อมเป็นกังวลอยู่บ้างแน่นอน เพียงแต่สีหน้ายังคงสงบเยือกเย็น

หลินฟางโจวยังคงพูดต่อไป “พวกเขาไม่ไว้หน้าใต้เท้าเลย แล้วเหตุใดใต้เท้าต้องไว้หน้าพวกเขาด้วยเล่า เรื่องดีอย่างชำแหละเสือนี้ไม่ควรตกไปอยู่บนบ่าพวกเขาโดยเด็ดขาด”

“หืม? ทำไมเรื่องชำแหละเสือถึงกลายเป็นเรื่องดีไปแล้ว”

“ใต้เท้า ท่านลองคิดดูนะ นอกจากเสือจะก่อเรื่องจนเป็นที่พูดถึงไปทั่วแล้ว มันยังทำร้ายคนมากมายจนถึงตายอีก พวกเราเสียแรงไปมากกว่าจะจับเสือมาได้ เสือตัวนี้ต้องชำแหละต่อหน้าธารกำนัลเพื่อให้คนทั่วทั้งเมืองรู้ว่าใต้เท้าได้กำจัดภัยร้ายในชีวิตของพวกเขาไปแล้ว”

คำพูดเหล่านี้กระทบก้นบึ้งหัวใจของพานเหรินเฟิ่งอย่างยิ่ง ใครบ้างจะไม่อยากพยายามมีชื่อเสียงที่ดีกัน ได้เป็นขุนนางที่ใกล้ชิดราษฎรและได้รับเสียงชื่นชมว่าดีจากพวกเขาย่อมสามารถช่วยให้เขาได้เลื่อนขั้นในวันหน้า

ทว่าพานเหรินเฟิ่งก็เป็นคนที่เคยเล่าเรียนมามาก เขาล้วนมีข้อโต้แย้งอยู่จึงส่ายหน้าเอ่ย “ไม่เหมาะสม ข้าไม่ใช่พวกชอบเป็นที่สนใจ”

“แต่ทุกคนต่างก็อยากเห็นกันทั้งนั้นนะขอรับ ใต้เท้า ท่านก็ช่วยลดตัวลงมาสักนิดเถอะ!”

พานเหรินเฟิ่งพบว่าหลินฟางโจวผู้นี้มีความคิดเฉียบคมจริงๆ อีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่เขลาอย่างที่เขาคิดไว้ในตอนแรกเลยสักนิด

ในที่สุดพานเหรินเฟิ่งก็พยักหน้า ‘อย่างจำยอม’ หัวข้อสนทนาจึงวนกลับไปที่เรื่องเมื่อครู่นี้อีกครั้ง เขาถามหลินฟางโจว “หากนายพรานทำไม่ได้ แล้วยังจะไปหาใครได้อีก คนขายเนื้อหรือ”

“ข้าน้อยคิดว่าคนขายเนื้อแซ่เฉินเหมาะสมมาก เขาชำแหละเนื้อขายมาหลายปีแล้ว ทั้งหมู แกะ วัวก็ล้วนแต่เคยชำแหละมาแล้วทั้งสิ้น”

“ข้าเคยได้ยินว่าเจ้ากับคนขายเนื้อแซ่เฉินเป็นเพื่อนบ้านกัน”

หลินฟางโจวตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะเสียงแห้ง “แหะๆๆ”

พานเหรินเฟิ่งตวาดขึ้นอย่างเย็นชา “อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ามีความคิดอะไร เจ้ากับเขาเป็นเพื่อนบ้านกัน มีเรื่องดีเช่นนี้เขาย่อมมีชื่อเสียงไม่น้อย เขาจะให้ผลประโยชน์อะไรแก่เจ้าหรือ!”

“ใต้เท้า คนขายเนื้อแซ่เฉินมีชื่อเสียงที่ดี การใช้มีดก็ดี และเรื่องเสือในครั้งนี้ก็เป็นเขาที่จับมาได้ เรื่องนี้ก็ควรมอบให้เขาทำสิ”

“ถึงแม้คำพูดจะฟังดูดี แต่เขาก็เป็นแค่คนขายเนื้อสัตว์ทั่วไปคนหนึ่ง จะเคยชำแหละเสือมาก่อนได้อย่างไร”

“เสือตัวนั้นก็ไม่ได้มีเขางอกแปดเขาหรือมีขาหกขาเสียหน่อย เทียบกับหมู วัว แกะแล้วก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร เหตุใดคนขายเนื้อแซ่เฉินจะชำแหละมันไม่ได้เล่า”

“เหตุผลของเจ้านี่นะ” พานเหรินเฟิ่งส่ายหน้า ในที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

ตอนที่คนขายเนื้อแซ่เฉินแบกเสือกลับมา พอได้ยินว่าพานเหรินเฟิ่งมอบหมายให้เขาชำแหละเสือต่อหน้าผู้คนทั่วทั้งอำเภอ เขาก็รู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นยิ่งนัก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกังวลและไม่สบายใจไปด้วย

หลินฟางโจวตบบ่าของเขาพลางเอ่ย “พี่เฉิน ถือโอกาสอันดีนี้ทำให้ตัวท่านเป็นที่รู้จักเถอะ ภายหลังท่านก็จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้มีดอันดับหนึ่งของหย่งโจวแล้ว”

“น้องชาย ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เจ้าต้องมีส่วนช่วยเหลือด้วยแน่ จากนี้มีอะไรเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว หากมีเวลาว่างก็ไปดื่มสุราที่บ้านข้าเถอะ”

“ได้เลย ไม่มีปัญหา…พี่สะใภ้เป็นสตรีที่ขี้อาย เป็นผู้ช่วยท่านครั้งนี้จะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”

“นางขี้อายยามที่มีคนอยู่มากๆ เช่นนี้ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดีเหมือนกัน แค่ให้นางช่วยล้างทำความสะอาดพวกเนื้อให้ คิดว่าไม่น่ามีปัญหานะ”

“ข้าจะเป็นคนดีให้ถึงที่สุดแล้วกัน” หลินฟางโจวตบๆ ลงไปบนแขนของคนขายเนื้อแซ่เฉิน “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะคอยเป็นผู้ช่วยท่านกับพี่สะใภ้อีกแรงนะ”

คนขายเนื้อแซ่เฉินซาบซึ้งใจอย่างมาก “เจ้าเป็นน้องชายที่ดีนัก”

 

ช่วงเวลากลางวันคนขายเนื้อแซ่เฉินซึ่งตระเตรียมเครื่องมือไว้เรียบร้อยแล้วก็ไปยังที่โล่งริมแม่น้ำ เขาจัดวางโต๊ะสำหรับการชำแหละเสือ ที่นั่นมีพื้นที่กว้างเหมาะกับการให้ผู้คนมารับชมยิ่งนัก

คนทั่วทั้งอำเภอต่างก็ตื่นเต้น ใครที่เดินไหวก็ล้วนแห่มาดูกัน ฝูงชนแน่นขนัดเป็นอย่างมาก และยังมีบางส่วนถือโอกาสนี้ขายเมล็ดทานตะวัน ถั่วเขียวต้มน้ำตาลแช่เย็น และขนมอื่นๆ อีกมากมาย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ เรื่องใหญ่เช่นนี้พอที่จะเขียนบันทึกลงในเรื่องราวประจำอำเภอแล้ว

คนขายเนื้อแซ่เฉินกรีดท้องเสือและดึงอวัยวะภายในออกมาวางไว้ด้านข้างให้หมดเสียก่อน ต่อมาก็เริ่มถลกหนังและเลาะกระดูก หลินฟางโจวอยู่อีกด้านหนึ่ง นางคอยช่วยภรรยาคนขายเนื้อเก็บอวัยวะภายในใส่ชามแล้วนำไปล้างที่ริมแม่น้ำ

ผู้คนส่วนใหญ่ต่างชอบดูการถลกหนังและเลาะกระดูกมากกว่า คนที่แทรกเข้าไปไม่ได้จึงมาดูการล้างอวัยวะภายในนี้แทน

หลินฟางโจวประคองชามแล้วเดินกลับมาเก็บอวัยวะภายในของเสือกับคนขายเนื้อแซ่เฉินอีกครั้ง นางม้วนแขนเสื้อขึ้นก่อนจะยื่นมือไปหยิบอวัยวะที่ดูกลมอวบอ้วนชิ้นหนึ่งใส่ลงไปในชาม มันแทบจะเต็มชามเล็กทั้งชามแล้ว นางจึงเอ่ยถามคนขายเนื้อแซ่เฉิน “นี่คืออะไรหรือ”

“นั่นคือกระเพาะเสือ ทำเป็นยาได้”

“อ้อ เช่นนั้นกระเพาะนี้ให้พี่สะใภ้ผ่าเองเลยดีหรือไม่ ใช้มีดเล่มไหนดี”

คนขายเนื้อแซ่เฉินหยิบมีดอีกเล่มหนึ่งขึ้นมา ตอนที่กำลังจะส่งมีดให้หลินฟางโจวเขาก็เป็นห่วงกลัวว่าภรรยาที่ใจไม่สู้ของตนเองจะทำพลาด ดังนั้นเขาจึงถือมีดแล้วค่อยๆ กรีดกระเพาะเป็นรอยยาวด้วยท่าทางที่คล่องแคล่วว่องไว

ผู้คนโดยรอบต่างปรบมือพลางเอ่ยชื่นชม

“ฝีมือดีมาก!”

“ใช้มีดเก่งมาก!”

“คราวหลังที่ข้าซื้อแกะต้องเชิญคนขายเนื้อแซ่เฉินมาชำแหละให้แล้ว!”

สีหน้าของคนขายเนื้อแซ่เฉินเผยความฮึกเหิม เขาวางมีดลงพลางพูดกับหลินฟางโจว “นำไปให้นางล้างก็พอแล้ว”

“ขอรับ!”

หลินฟางโจวประคองกระเพาะเสือส่งให้ภรรยาคนขายเนื้อ ก่อนจะนั่งลงอีกข้างมองนางล้าง เมื่อนางเปิดกระเพาะเสือ ผู้คนโดยรอบต่างก็ทำท่าจะอาเจียนออกมา…

เนื้อหมูที่เสือกินไปเมื่อคืนจนถึงตอนนี้ก็ยังย่อยไม่หมด แผ่นเนื้อหมูยุ่ยๆ ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเริ่มส่งกลิ่นเหม็นออกมา

หลินฟางโจวตบหน้าอกตนเองพลางเอ่ย “พี่สะใภ้ ข้าว่าท่านทิ้งมันไปเลยเถอะ”

ภรรยาคนขายเนื้อสะกดกลั้นความรู้สึกพะอืดพะอมพลางเปิดเอาสิ่งที่อยู่ในกระเพาะออกมาจนหมด

ไม่รู้ว่าคนบริเวณรอบๆ คิดอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าช่างน่าสะอิดสะเอียนเพียงใดแต่ก็ยังจะดูต่อให้จบ เมื่อเห็นภรรยาคนขายเนื้อยังคงล้างกระเพาะต่อ ทุกคนต่างก็ยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับเอ่ยชม “เป็นยอดหญิง!”

ภรรยาคนขายเนื้อพบว่านอกจากเนื้อหมูยุ่ยๆ แล้วก็ยังมีของทรงกลมสีขาวชิ้นหนึ่งปะปนอยู่ด้วย ไม่เหมือนเนื้อและไม่เหมือนกระดูก นางคีบมันขึ้นมาด้วยความสงสัยและพบว่าเป็นหยกชิ้นหนึ่ง

“หา!” ภรรยาคนขายเนื้อส่งเสียงร้องด้วยความตกใจจนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนโดยรอบ

ผู้คนที่เคยมีท่าทางอยากอาเจียนเหล่านั้นก็มองมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นที่มือของภรรยาคนขายเนื้อถือหยกเอาไว้จึงพูดกันเสียงดังระงม

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“เสือก็กินหยกด้วยหรือ มันเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารหรือเปล่า”

“พบได้ไม่ง่ายเลยนะ ต้องเป็นตอนที่มันกินคนแล้วไม่ทันระวังจึงได้กลืนหยกลงไปแน่ หยกก็คือหิน มันไม่สามารถย่อยได้อยู่แล้ว หยกถึงได้ค้างอยู่ในกระเพาะเช่นนี้”

“ต้องเป็นเช่นนี้แน่! ความคิดคุณชายช่างยอดเยี่ยม!”

“มิกล้าๆ เพียงแค่ใช้หลักทั่วไปมาคาดเดาเท่านั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือนำหยกชิ้นนี้ส่งให้ทางการ ดูว่าเป็นเหยื่อจากสกุลไหน”

“มีเหตุผล”

“น่าสงสารจริงๆ”

ผู้คนต่างกำลังถกเถียงถึงเหยื่อที่น่าสงสารผู้นั้น โดยไม่มีผู้ใดสังเกตว่ามุมปากหลินฟางโจวค่อยๆ ยกโค้งขึ้น

เมื่อมองตามสายตาของคนที่อยู่โดยรอบ เห็นว่าสายตาทุกคู่ล้วนมารวมอยู่ที่ตนเอง ภรรยาคนขายเนื้อก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีแล้ว นางได้แต่มองหยกในมือแล้วนิ่งอึ้งไป

หลินฟางโจวเอื้อมมือมาหยิบหยกชิ้นนั้นพลางเอ่ย “เป็นข้าที่เจอก่อน”

ผู้คนเห็นนางพูดโกหกเช่นนี้ต่างก็กล่าวดูถูกนาง

คุณชายผู้พูดเรื่องหยกคือหินซึ่งไม่สามารถย่อยได้ในกระเพาะพูดขึ้นมา “ต้าหลาง เจ้าอย่าละโมบนักเลย หาเหยื่อที่ตายให้พบก่อนสำคัญกว่า”

หลินฟางโจวนำหยกชิ้นนั้นไปล้างในแม่น้ำ ทั้งที่นางล้างจนสะอาดแล้วแต่ก็ยังคงมีกลิ่นเหม็นติดค้างอยู่ไม่จางหาย

ภรรยาคนขายเนื้อรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา “ต้าหลาง เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตคน เราควรแจ้งทางการก่อนดีหรือไม่”

“ใช่แล้ว แม้เจ้าของหยกจะไม่อยู่แล้ว แต่บางทีครอบครัวของเหยื่ออาจกำลังตามหาเขาอยู่ก็ได้ รอให้ข่าวการตายส่งไปถึง พวกเขาต้องระลึกถึงความเมตตาที่เจ้าช่วยปราบเสือแน่ หากเจ้าอยากได้หยกสักชิ้นหนึ่ง เขาจะไม่ให้เจ้าเชียวหรือ”

สถานการณ์เช่นนี้หากเกิดขึ้นในยามปกติ หลินฟางโจวคงถูกพูดจาเยาะเย้ยเสียดสีไปนานแล้ว และมีโอกาสมากที่จะถูกจับส่งทางการ เพียงแต่ตอนนี้ที่เสือถูกจับมาได้นั้นเกิดขึ้นเพราะความคิดของเขา ของที่อยู่ในท้องเสือตัวนั้นหากเขาอยากเอาไปสักชิ้นหนึ่งก็สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้เขายังกินอาหารกับนายอำเภออยู่บ่อยครั้ง ออกความเห็นใดนายอำเภอก็รับฟัง…และเพราะเหตุนี้ทุกคนจึงทำได้เพียงเสนอความเห็นด้วยถ้อยคำที่ดีโดยไม่กล้าทำให้หลินฟางโจวโกรธ

สุดท้ายหลินฟางโจวก็ฝืนพูดออกไป “ตกลง ทุกคนล้วนเห็นด้วยกันหมดแล้วนะ หยกชิ้นนี้เป็นของข้า พวกเจ้าล้วนเป็นพยาน”

ผู้คนต่างก็สาปแช่งหลินฟางโจวอยู่ในใจ

 

เส้นทางเล็กๆ ที่มุ่งไปยังภูเขามีคนสองคนกำลังเดินอยู่ เป็น ‘สองเทพสังหาร’ ที่พานเหรินเฟิ่งหวาดกลัวนั่นเอง

เทพสังหารคนที่สองเดินไปพลางพูดไปพลาง “หามาตั้งนานเช่นนี้ยังหาไม่เจอ ข้าว่าเป็นไปได้มากที่เขาจะไม่มีชีวิตรอด เด็กคนหนึ่งตกลงมาจากหน้าผาสูงเช่นนั้นย่อมต้องตาย…ไม่รอดแน่นอน”

“มีชีวิตอยู่ต้องเห็นคน ตายแล้วต้องเห็นศพ” เทพสังหารคนที่หนึ่งพูดอย่างไม่ถอดใจ

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เทพสังหารคนที่สองก็มองเห็นกลุ่มคนที่ริมแม่น้ำ ด้วยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน เขาจึงจับดาบไว้ตามสัญชาตญาณพลางเอ่ยถามเทพสังหารคนที่หนึ่ง “เหตุใดจึงได้มีคนมากมายเช่นนั้น วันนี้เป็นวันอะไรหรือ”

“ไม่รู้สิ”

“ลองไปดูกันเถอะ”

ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปใกล้ริมแม่น้ำก็มองเห็นว่าที่ผู้คนมารวมตัวกันนี้ก็เพื่อดูการชำแหละเสือ พวกเขารู้สึกว่าช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ขณะที่กำลังจะเดินออกมาพวกเขาก็เห็นคนหลายคนกำลังห้อมล้อมหนุ่มน้อยคนหนึ่งซึ่งเดินไปด้วยพูดไปด้วย

“ต้าหลาง อย่าล้อเล่นอีกเลย ไปแจ้งทางการก่อนเถอะ”

“รีบทำไมเล่า ถึงอย่างไรคนก็ตายแล้ว เร็วหรือช้าไปสักหน่อยก็ล้วนไม่ต่างกัน…งูบินน้อยนี้งดงามมาก”

เทพสังหารคนที่สองจับจ้องอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นหยกชิ้นหนึ่งที่หนุ่มน้อยคนนั้นเอามาเล่นในมือ เขาหรี่ตาลงทันทีพลางก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ “ได้ของชิ้นนี้มาจากที่ใด!”

หลินฟางโจวตกใจ เดิมทีนางเพียงแค่อยากจะแกล้งพวกคนอื่นๆ ให้สาแก่ใจก่อน หลังจากนั้นค่อยแสร้งทำเป็นว่าถูกทุกคนเร่งให้ไปแจ้งทางการแล้วจึงยอมไป ใครเลยจะรู้ว่าจู่ๆ ก็มีคนของทางการมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเช่นนี้ เดิมทีนางก็กลัวพวกเขาจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้นางจึงตกใจจนสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ…พูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย

นางทำใจกล้าเอ่ยออกไป “ท่านหมายถึงหยกนี่หรือ หยกชิ้นนี้พวกเราเพิ่งจะเอาออกมาจากกระเพาะของเสือเมื่อครู่นี้เอง กำลังจะนำไปแจ้งทางการเพื่อตามหาเจ้าของ ท่านผู้กล้าดูเหมือนจะรู้จักกับเจ้าของหยกชิ้นนี้?”

แขนของหลินฟางโจวถูกจับไว้แน่นจนแทบจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว เทพสังหารคนที่หนึ่งหยิบหยกในมือนางไป หลังจากนั้นเทพสังหารคนที่สองจึงได้ปล่อยมือจากแขนของนาง

เทพสังหารคนที่หนึ่งเพ่งมองหยกอย่างละเอียดแล้วเอ่ยถาม “ใครเป็นคนแรกที่เจอ”

ผู้คนล้วนแต่มองมาที่หลินฟางโจว นางไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีจึงได้แต่เอ่ยปากยอมรับ “ขะ…ข้า…ข้าเอง”

“เจ้า?”

ผู้คนมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรและไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ไม่ถูกสองคนนี้จับจ้องมา ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรทั้งสิ้น

ในตอนนี้คนขายเนื้อแซ่เฉินก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากทางนี้แล้ว เขาเดินแหวกฝูงชนตรงเข้ามา ขณะที่เดินก็ตะคอกด้วยความโมโหไปด้วย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

สีหน้าของคนขายเนื้อแซ่เฉินเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เขาถือมีดเลาะกระดูกเดินเข้ามาใกล้ กระทั่งมือก็ยังชุ่มโชกไปด้วยเลือด

เทพสังหารคนที่สองคิดว่าคนผู้นี้ก็แค่มาสร้างความยุ่งยากเพิ่มเท่านั้น เขาจึงยกดาบขึ้นมาชี้ตัวอีกฝ่ายเอาไว้

จู่ๆ คนขายเนื้อแซ่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายครึ่งซีกของตนเองสั่นเทาจนแทบหมดแรงประคองกายต่อไป เขาพลันทรุดร่างนั่งลงบนพื้น

คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างตกใจเป็นอย่างมาก

เทพสังหารคนที่หนึ่งเอ่ยขึ้น “พาไปให้หมด แล้วสอบถามอย่างละเอียด”

เมื่อรวมคนขายเนื้อแซ่เฉินด้วยแล้ว เทพสังหารทั้งสองก็พาคนสิบกว่าคนมุ่งตรงไปยังที่ว่าการ เทพสังหารคนที่สองนั่งสอบสวนคนอยู่ที่ศาล ส่วนเทพสังหารคนที่หนึ่งไปหาพานเหรินเฟิ่ง โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่

คนที่ถูกพากลับมายังที่ว่าการล้วนไม่กล้าพูดปด ต่างเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดว่า…ตอนที่ภรรยาคนขายเนื้อล้างกระเพาะเสือแล้วพบหยกชิ้นหนึ่ง หลินฟางโจวก็คิดจะยึดมาเป็นของตนเอง ทุกคนต่างพูดเตือนและแนะนำเขา เขาจึงบอกว่าจะมาแจ้งทางการ แต่เขากลับชอบล้อเล่นทำให้ยังไม่ได้มาแจ้งทางการเสียที…

ทุกคนต่างพร้อมใจกันโยนภัยทุกอย่างมาให้หลินฟางโจว

หลินฟางโจวรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเทพสังหารทั้งสองคน และรู้ว่าตนเองไม่มีทางถูกดาบฟันตายเพราะ ‘ต้องการหยกชิ้นหนึ่ง’ เป็นแน่ นางในตอนนี้จึงนับว่าใจเย็นลงมากแล้ว

หลังจากถูกสอบถามเสร็จแล้วพวกเขาต่างก็ล้วนถูกขังอยู่ในที่ว่าการ และเทพสังหารคนที่สองก็ยังคงพูดขู่พวกเขาอยู่ บอกว่าเรื่องในวันนี้ไม่อนุญาตให้นำไปเปิดเผยต่อคนข้างนอกแม้เพียงครึ่งคำ มิเช่นนั้นก็ไม่รับรองว่าพวกเขาจะได้แก่ตายกันหรือไม่ ทุกคนตกใจจนใบหน้าซีดเผือดและเหงื่อไหลประดุจเม็ดฝน

กระทั่งเทพสังหารคนที่หนึ่งปรากฏตัวอีกครั้ง ทุกคนจึงได้ถูกปล่อยตัว

ทุกคนวิ่งออกมาจากที่ว่าการด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะปัสสาวะราด

ในที่ว่าการเหลือเพียงเทพสังหารคนที่หนึ่งกับเทพสังหารคนที่สองเพียงสองคน เทพสังหารคนที่สองพลันเอ่ยถามขึ้นมา “ค้นหาทุกบ้านแล้วหรือ”

“อืม”

“หาอะไรเจอหรือไม่”

เทพสังหารคนที่หนึ่งส่ายหน้า “ไม่เจอ”

“ข้าเคยบอกแต่แรกแล้วมิใช่หรือ เขาต้องตายไปแล้วแน่นอน” เทพสังหารคนที่สองเอ่ยขึ้นมา

“ต้องตรวจสอบให้ดีก่อน”

“ตอนนี้ยังต้องตรวจสอบอะไรอีกหรือไม่”

“ไม่ต้องแล้ว”

เทพสังหารทั้งสองคนพรูลมหายใจออกมา “ในที่สุดก็จะได้กลับไปรายงานผลเสียที”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ธ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: