X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โปรดยิ้มตอบข้าด้วยไมตรี บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 19

บทที่ 5

ตอนเช้าหลินฟางโจวไม่ได้ถูกเสียงตะโกนขายหูปิ่งปลุกให้ตื่นเฉกเช่นทุกที แต่เป็นเพราะถูกเขย่าตัวปลุกให้ตื่น

เสี่ยวหยวนเป่าเขย่าไหล่และเรียกนางไปด้วย “พี่ฟางโจว พี่ฟางโจว”

เขากดเสียงให้เบาลงจากปกติมากราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนอะไรเข้า

หลินฟางโจวลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย นางมองเขาแวบหนึ่งแล้วหลับตาลงนอนต่อ

“พี่ฟางโจว ตื่นๆ”

“ทำอะไร หนวกหูจะตายแล้ว”

“พี่ฟางโจว”

“ทำไม”

“กลับมาแล้ว”

ทั้งสามคำนี้ทำให้หลินฟางโจวตกใจเสียจนเหงื่อชุ่มหน้าผาก นางลุกขึ้นมานั่งในทันทีพลางกอดผ้าห่มมองไปรอบด้าน “ใคร ใครกลับมาแล้ว เป็นพวกเขาหรือ!”

สีหน้าของเสี่ยวหยวนเป่าดูยากเกินบรรยาย เขายกมือชี้ขึ้นไปเหนือศีรษะ

หลินฟางโจวแหงนหน้าขึ้นมองตาม ก่อนจะเห็นว่าบนคานนั้นมีนกเค้าแมวตัวหนึ่งเกาะอยู่

นางพรูลมหายใจออกมา “กลับมาก็กลับมาสิ นกมอมแมมตัวหนึ่งก็คุ้มค่าให้ตื่นตูมเช่นนี้หรือ” พูดไปนางก็เช็ดหน้าผากไปเนื่องจากหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ

“มันยังเอาของขวัญมาให้ด้วย” เสี่ยวหยวนเป่าพูดพร้อมกับชี้ไปที่หัวเตียง

หลินฟางโจวหันหน้ามองตาม ก่อนจะมองเห็นหนูตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง นางสะอิดสะเอียนจนหนังศีรษะชาวาบ “ลุงเจ้าสิ!”

นกเค้าแมวตัวนั้นยืนอยู่บนคานพลางส่งเสียงกุ๊กกูๆ ราวกับกำลังโต้ตอบกับนางอยู่

หลินฟางโจวมองไปที่มันอย่างเย็นชา “เจ้าตัวนี้กำลังพูดว่าอะไร”

เสี่ยวหยวนเป่าถอดความให้ทันที “แทนคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่เทียบเท่ากับคำขอบคุณที่มีให้ ได้โปรดรับมันด้วย”

“ใครให้เจ้าตอบกัน”

เดิมทีหลินฟางโจวก็ขยะแขยงหนูอยู่แล้ว ตอนนี้กลายเป็นขยะแขยงมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก

หลินฟางโจวคีบหางหนูแล้วเปิดหน้าต่างโยนมันออกไป

เสี่ยวหยวนเป่าพูด “ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และหมอนต้องเอาไปเปลี่ยนด้วยหรือไม่”

“เจ้าบ่นกับข้าหรือ พรุ่งนี้ข้าจะเอาหนังหนูมาทำเสื้อกั๊กให้เจ้าใส่ทั้งวันเลย”

ตอนกินอาหารเช้าเสี่ยวหยวนเป่าเอาแต่พูดไม่หยุดอยู่ข้างหูนาง ราวกับว่าหากนางไม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอน หลังจากนั้นยามที่นอนหลับจะต้องมีหนูมาเข้าฝันทุกคืน

ภายหลังหลินฟางโจวจึงทำได้เพียงไปซื้อผ้าผืนหนึ่งมาจากร้านผ้าแพรไหม แล้วนำผ้าปูที่นอนผืนเก่าไปเปลี่ยนเสีย เขาจึงได้หยุดพูดมากเสียที

หลินฟางโจวเห็นเสี่ยวหยวนเป่าพูดซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ได้ก็คิดว่าอาการป่วยของเขาคงดีขึ้นมากแล้ว นางจึงพาเขาไปเดินเล่นข้างนอก ซื้อของใช้เล็กน้อยอย่างพวกรองเท้าถุงเท้า เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ฝักเจ้าเจี่ยว ไม้สีฟัน เสี่ยวหยวนเป่ารู้จักไม้สีฟันแต่กลับไม่รู้จักผงสีฟัน เขานึกว่านั่นเอาไว้ทาบนใบหน้า จึงเอ่ยเตือนหลินฟางโจวด้วยเสียงเบา “ข้าเป็นบุรุษ ข้าไม่ผัดหน้า”

หลินฟางโจวพูด “เจ้าโง่นี่ เจ้าไม่เคยสีฟันหรือ”

“เคย ตอนอยู่บ้านก็สีฟันทุกวัน”

“เช่นนั้นเจ้าอยู่บ้านใช้อะไรสีฟัน”

“ขี้ผึ้งหอมสีฟัน”

“ขี้ผึ้งหอมสีฟันคืออะไร”

“ใช้ชะมดเชียง พิมเสน และเครื่องหอมหลายอย่างเคี่ยวกับน้ำผึ้ง”

“ชิๆๆ ใช้ชะมดเชียงกับพิมเสนสีฟันหรือ ฟันของพวกคนมั่งคั่งเช่นพวกเจ้าล้วนทำมาจากทองสินะ”

เสี่ยวหยวนเป่าลูบตลับกระเบื้องซึ่งใส่ผงสีฟันเอาไว้พลางเอ่ยถาม “เจ้าสิ่งนี้ก็คือหยาเซียงใช่หรือไม่”

“เจ้าพูดเกินไปแล้ว สิ่งนี้ไม่หอมเลยสักนิด”

หลังจากซื้อของเสร็จและนำกลับมาบ้านแล้ว หลินฟางโจวก็ไปหาช่างก่อสร้างมาซ่อมแซมและขยายพื้นที่บ้าน

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยถาม “ทำไมถึงได้รีบร้อนเช่นนี้”

“เจ้าไม่เข้าใจ ถือโอกาสที่เงินยังไม่ถูกใช้ไปจนหมดรีบทำเถิด”

เสี่ยวหยวนเป่าไม่เข้าใจจริงๆ แต่ไรมาเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเงินสักเท่าใด ยามนี้เขาคล้ายเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ทว่าทุกสิ่งที่อยู่ในใต้หล้านี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้พอ

ตอนที่เหล่าช่างก่อสร้างซ่อมแซมบ้านก็ทำให้นกเค้าแมวที่อยู่บนคานบ้านตกใจจนบินหนีไป ซึ่งหลินฟางโจวพอใจเป็นอย่างมาก

ทว่าความพอใจของนางไม่อาจคงอยู่ได้นาน เพียงแค่วันที่สองนางก็ถูกเขย่าปลุกให้ตื่นอีกแล้ว

“พี่ฟางโจว พี่ฟางโจว…”

“เป็นอะไร”

“กลับมาอีกแล้ว”

หลินฟางโจวลืมตาขึ้นทันที นางเห็นนกเค้าแมวเกาะอยู่บนคานบ้านจึงเอียงใบหน้ามองขึ้นไปทางหัวเตียง บนนั้นมีหนูนอนอยู่…สองตัว!

นางโมโหแทบตายแล้ว จึงหันไปแผดเสียงใส่นกเค้าแมว “ใครจะกินหนูกันเล่า! ช่วยไสหัวไปหามารดาเจ้าซะ!”

นกเค้าแมวร้อง “กุ๊กกูๆ”

หลินฟางโจวเสียงดังทันที “นกบ้านี่กำลังพูดอะไรอีก”

เสี่ยวหยวนเป่าทำหน้าที่ถอดความเช่นเดิม “หนึ่งคนหนึ่งตัว…ไม่ต้องทะเลาะกัน”

หลังจากนั้นเขาก็ถูกหลินฟางโจวถีบตกจากเตียง

 

พอพวกช่างก่อสร้างมาทำงาน นกเค้าแมวก็ตกใจจนบินหนีไปอีก ขณะที่หลินฟางโจวก็ไปซื้อผ้าปูที่นอนมาอีกผืน

หลังจากนั้นนางก็พาเสี่ยวหยวนเป่าออกไปข้างนอก วันนี้มีงานสำคัญ

การให้คนเถื่อนคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในทะเบียนเรือนค่อนข้างยุ่งยาก ทั้งต้องหาคนมารับรอง ทั้งให้สินบนกับเจ้าหน้าที่บันทึกรายชื่อครัวเรือนในที่ว่าการซึ่งย่อมจะขาดเงินเลี้ยงสุราเลี้ยงข้าวไปไม่ได้เลย มิเช่นนั้นไม่ว่าใครก็สามารถขัดขวางเรื่องนี้ได้

กระนั้นเรื่องของเสี่ยวหยวนเป่าก็มีดีอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยเขายังดูอายุน้อย พอมองดูแล้วก็ไม่ใช่คนชั่วที่ทำผิดหลบหนีเพื่อปกปิดตัวตน ดังนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินเรื่องต่างก็ไม่มีปัญญาไปค้นเกี่ยวกับตัวเขาได้ละเอียดนัก

มีเงินก็จ้างผีโม่แป้งได้* หลินฟางโจวใช้เงินไปทั้งหมดสองตำลึงกว่า ทะเบียนเรือนก็จัดการไวยิ่งนัก ใช้เวลาเพียงสามวันเสี่ยวหยวนเป่าก็มีตัวตนแล้ว

หลายวันที่จัดการเรื่องทะเบียนเรือน นกเค้าแมวก็กลับมาอีกแล้ว ครั้งนี้มันนำงูมาให้ตัวหนึ่ง

หลินฟางโจวตกใจจนแทบจะปัสสาวะราด นางเข้าใจในทันทีว่าพวกสัตว์ตัวเล็กอย่างหนูก็มีจุดที่น่ารักของมันอยู่ นางกับเสี่ยวหยวนเป่าจึงใช้ ‘วิธีที่ค่อนข้างน่าขยะแขยง’ สุดท้ายก็ทำให้นกเค้าแมวเชื่อว่าทั้งสองคนชอบกินหนูจริงๆ…ด้วยเหตุนี้มันจึงกลับมามอบหนูให้เช่นเดิม

หลินฟางโจวคาดหวังอยู่ทุกวันทุกคืน หวังว่าบ้านจะซ่อมแซมและขยายเพิ่มเสร็จ สามารถอุดรูรั่วทุกที่ในบ้านนี้ได้หมด และนกเค้าแมวตัวนั้นบินไปได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี

นางเองก็เคยคิดจะฆ่านกเค้าแมวให้ตายเช่นกัน แต่เจ้านั่นมีกรงเล็บที่มีพลังและแหลมคมอย่างมาก มันสามารถทำให้ไม้ที่แข็งถูกครูดจนพังได้ นาง…เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่

ในยามที่มันโกรธแค้นขุ่นเคือง…นางไม่กล้านึกถึงผลที่ตามมาเลย

 

หลังจากอดทนอยู่หลายวัน ในที่สุดบ้านก็ซ่อมแซมและขยายเสร็จ นางมีห้องนอนใหม่แล้ว ซึ่งห้องนั้นฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของดิน

หลินฟางโจวย้ายไปอยู่ที่ห้องนอนใหม่ในคืนนั้น ด้านนอกฝนตกฟ้าร้องลมแรง ฟ้าแลบแทบจะเปลี่ยนกลางคืนให้เป็นกลางวัน เสียงฟ้าร้องราวกับตีกลองดังครืนครั่นไปทั่วผืนดิน

เสี่ยวหยวนเป่ากอดผ้าห่มและยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของหลินฟางโจวพร้อมกับเรียกนางเสียงเบา “พี่ฟางโจว”

“เป็นอะไรไป”

ฟ้าแลบสว่างวาบ หลินฟางโจวเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาแลดูหวาดกลัว

เสี่ยวหยวนเป่ามองไปที่หลินฟางโจวพร้อมกับพูด “ข้ากลัวฟ้าร้อง”

“ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็คุ้นชินเอง”

“ข้านอนกับท่านได้หรือไม่”

หลินฟางโจวที่นอนพันผ้าห่มอยู่บนเตียงพลันเอ่ยอย่างเหลืออด “ไม่ได้! รีบไสหัวไปซะ เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ยังกลัวฟ้าร้องอีกหรือ หน้าไม่อาย ฟ้าร้องมีอะไรให้กลัวกัน ไม่ใช่ว่าเทพเหลยกง ตอกค้อนหรอกหรือ เขาทุบของเขาไป เจ้าก็นอนของเจ้าไป ใครขัดขวางใครได้เล่า ค้อนของเขาก็ไม่ได้มาเคาะบนหัวเจ้าเสียหน่อย ถ้ายังไม่ไปอีกข้าจะมัดเจ้าไว้ข้างนอก สร้างความกล้าให้เจ้าเอง!”

เขาไปแล้วจริงๆ ด้วย

หลินฟางโจวนอนไม่หลับ นางกำลังนึกถึงเรื่องการเรียนของเสี่ยวหยวนเป่า นางควรส่งเขาไปที่ไหนดี จะเป็นห้องเรียนชั้นต้นทั่วไปหรือว่าสำนักศึกษา ห้องเรียนชั้นต้นเริ่มจากระดับผู้เริ่มเรียน ข้อดีคือค่าเล่าเรียนถูก ความรู้ที่เรียนในสำนักศึกษาจากระดับต้นถึงระดับสูงล้วนมีหมด อีกทั้งรูปแบบการเรียนและอาจารย์ที่นั่นต่างก็ดีมาก คุณธรรมก็ดี เพียงแต่ค่าเล่าเรียนแพงกว่า ชิๆๆ เงินมากมายปานนั้นพอให้ข้าไปเล่นที่ลานพนันได้หลายวันเชียวนะช่างเถอะ เลี้ยงดูเสี่ยวหยวนเป่าให้โตขึ้นก่อน หลังจากนั้นให้เขาสอบเป็นซิ่วไฉ ก็นับว่าเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ในชีวิตนี้ข้าไม่มีอะไรให้คาดหวัง ก็คาดหวังว่าเขาจะกตัญญูต่อข้าล่ะนะ

หลินฟางโจวนำเรื่องชีวิตหลังจากนี้มาคิดสะเปะสะปะครู่หนึ่ง ถึงขั้นคิดไปถึง…เสี่ยวหยวนเป่าได้เป็นขุนนางใหญ่เมื่อใด นางก็สามารถกลับคืนสู่ความเป็นหญิงได้แล้ว ทั้งไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะต้องไปปลูกแตงโมที่ดินแดนตะวันตกด้วย ความเป็นไปได้เช่นนี้นางครุ่นคิดไปจนดึกดื่นแต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่มากจนนอนไม่หลับ

ที่ด้านนอกเทพเหลยกงยังคงตอกค้อนพังๆ ของเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยแม้แต่น้อย

หลินฟางโจวยังคงเป็นห่วงเสี่ยวหยวนเป่าอยู่บ้าง หากเขาตกใจจนขวัญกระเจิดกระเจิงไปจริงๆ ชีวิตนางก็ลำบากแล้ว หลินฟางโจวเลิกผ้าห่มแล้วลุกออกจากเตียง นางเดินไปที่ห้องติดกันด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เห็นเสี่ยวหยวนเป่านอนอยู่บนเตียง หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงเบาๆ ฟ้าแลบพลันสว่างวาบขึ้น นางมองเห็นใบหน้าของเขาซึ่งกำลังนอนหลับอย่างนิ่งสงบ

เหอะ นอนหลับสบายเชียวนะ

นอนหลับเช่นนี้ กลัวฟ้าร้อง?

กลัวลุงเจ้าสิ!

นางสะกดกลั้นความหุนหันที่จะเข้าไปทุบตีเขาให้ตื่นเอาไว้ แล้วหันหลังเดินกลับห้องและนอนหลับไป

 

ในยามเช้าหลินฟางโจวก็พบว่านกเค้าแมวมุดเข้ามาทางปล่องควันอีกครั้ง มันผ่านความยากลำบากเข้ามาอย่างเงียบเชียบ และเป็นอีกครั้งที่มันนำหนูซึ่งพวกนาง ‘ชอบกิน’ มาให้ด้วย ไม่เพียงแค่นั้น มันยังวางหนูทั้งสองตัวแยกให้บนหัวเตียงของแต่ละคนด้วยความใส่ใจ

เมื่อมองนกเค้าแมวที่ยืนสะบัดฝุ่นอยู่บนคาน หลินฟางโจวก็ซาบซึ้งใจจนอยากจะร้องไห้ทีเดียว

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยถามหลินฟางโจว “ทำไมมันถึงได้พยายามไม่หยุดหย่อนเช่นนี้”

หลินฟางโจวส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “มันคงถือว่าที่นี่เป็นบ้านแล้วกระมัง” พูดไปนางก็ตีอกตนเองอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยลอดไรฟันออกมา “ข้าค่อยทำความดีทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ขอด่ามารดามันให้ลงนรกสิบแปดขุมก่อนเถอะ!”

เสี่ยวหยวนเป่าอยู่ร่วมกับหลินฟางโจวที่อารมณ์โมโหร้ายขึ้นๆ ลงๆ ได้ตั้งนานแล้ว เขากอดอกยืนห่างออกมาไกลพลางมองนกเค้าแมวสะบัดขน หลังจากมองอยู่สักครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อมันถือว่าที่นี่เป็นบ้านแล้ว พวกเราก็ตั้งชื่อให้มันเถอะ”

“แค่สัตว์ตัวหนึ่งก็ต้องตั้งชื่อด้วยหรือ ข้าคือเหล่าต้า เจ้าคือเหล่าเอ้อร์ เช่นนั้นมันก็คือเหล่าซาน นับจากนี้เรียกมันว่า ‘เหล่าซาน’ เถอะ”

“ไม่เหมาะ ข้างบ้านก็มีเสี่ยวซานคนหนึ่งแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าตัวนี้ควรชื่ออะไร”

“ข้าว่าชื่อ ‘ฝูเหยา’ เป็นอย่างไร”

“ข้ารู้สึกเฉยๆ นะ”

เสี่ยวหยวนเป่าอธิบาย “ตำนานโบราณมีเผิง ใน ‘ตำราจวงจื่อ บทอิสรจร’ กล่าวว่า ‘เผิงเคลื่อนตัวไปถึงทะเลทางใต้ พายุบ้าคลั่งหมุนเป็นเกลียวบนผิวน้ำทะเล พุ่งขึ้นไปในอากาศเก้าหมื่นหลี่’ นกเค้าแมวตัวนี้แม้หน้าตาเหมือนแมวแต่ก็เป็นนก ใช้ชื่อนี้เหมาะสมมาก”

ประโยคยาวเช่นนั้นหลินฟางโจวฟังแล้วกลับเข้าใจแค่เพียงสองคำ…เก้าหมื่น

หลินฟางโจวจึงพูด “ทำไมไม่ชื่อว่า ‘จิ่ววั่น’ เสียเลยเล่า ก็มาจากจวงจื่ออะไรนั่นของเจ้าเหมือนกันนี่”

เสี่ยวหยวนเป่าอ้าปากอยู่หลายครั้ง เห็นหลินฟางโจวไม่เหมือนกำลังพูดหยอกล้ออยู่ สุดท้ายเขาจึงส่ายหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรงพร้อมกับเอ่ย “ในเมื่อท่านชอบจิ่ววั่น เช่นนั้นก็ชื่อว่าจิ่ววั่นเถอะ”

ด้วยเหตุนี้ชื่อของนกเค้าแมวจาก ‘เผิงสูงส่ง’ ตัวหนึ่งจึงกลายเป็น ‘ไพ่นกกระจอก’ ใบหนึ่งไปเสียได้

หลินฟางโจวเงยหน้าพลางตะโกนไปทางนกเค้าแมวตัวนั้น “จิ่ววั่น! เจ้าไปตายซะ!”

จิ่ววั่นร้องกลับมาทันที “กุ๊กกูๆ”

เสี่ยวหยวนเป่า “มันพูดว่า…”

หลินฟางโจวสวนทันควัน “เจ้าหุบปากไปเลย!”

 

ในคืนนี้ไม่มีเสียงฟ้าร้องและฝนตกอีก เสี่ยวหยวนเป่ากอดผ้าห่มมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูห้องของหลินฟางโจวอีกครั้ง “พี่ฟางโจว หนูนั่นน่าขยะแขยงมาก ข้ามานอนกับท่านได้หรือไม่”

หลินฟางโจวโมโหจนกลอกตาทันที “เจ้ารังเกียจหนูนั่น แล้วข้าไม่รังเกียจเช่นกันหรือ เจ้าอย่าลืมไปเสียเล่า เจ้ากับข้าได้มาคนละตัว!”

“หากคนสองคนเผชิญหน้าร่วมกันย่อมจะแข็งแกร่งกว่าคนเพียงคนเดียวนะ”

“ไสหัวไป!”

เสี่ยวหยวนเป่ารังเกียจหนูมากจริงๆ ผ่านไปสองวันเขาก็นึกวิธีใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้ง

หลินฟางโจวและเสี่ยวหยวนเป่าแสร้งกินหนูเข้าไป หลังจากนั้นก็แสร้งล้มลงบนพื้นโดยไม่ลุกขึ้นมาอีก ทั้งสองนอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับพร้อมกับจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่เป็นนาน จิ่ววั่นกระวนกระวายกระโดดอยู่บนตัวพวกเขาอยู่นาน สุดท้ายจึงคาบหญ้าที่ไม่รู้จักชื่อกลับมาด้วย

ไม่มีประโยชน์ พวกเขายังคง ‘แกล้งหลับเหมือนตาย’ อยู่เช่นเดิม

รอกระทั่งพวกเขา ‘ได้สติ’ ขึ้นมา จิ่ววั่นก็จับหนูมามอบให้อีกครั้งแล้ว ทั้งคู่จึงใช้อุบายเดิม แสร้งล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง หลังจากลองทำเช่นนี้อยู่สามรอบ ในที่สุดนกเค้าแมวตัวนั้นก็ไม่มอบของขวัญใดๆ ให้อีก

“ฮ่าๆๆๆ!” หลินฟางโจวแทบน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มยินดีแล้ว นางกอดเสี่ยวหยวนเป่าด้วยความตื่นเต้น ทั้งหัวเราะและกระโดดไปพร้อมๆ กัน “ในที่สุดก็ไม่ต้องกินหนูแล้ว ฮ่าๆๆ!”

เสี่ยวหยวนเป่าที่ถูกนางกอดจนแทบจะหายใจไม่ออกเค้นเสียงพูดออกมา “พวกเราไม่เคยกินหนูนะ”

 

หลินฟางโจวยืมหนังสือหลายเล่มมาจากคุณชายลั่ว นางวางแผนว่าจะส่งเสี่ยวหยวนเป่าไปห้องเรียนชั้นต้น ค่าเล่าเรียนหนึ่งปีก็ใช้เพียงแค่หนึ่งตำลึงเท่านั้น

แต่ว่า…อาจารย์ที่ห้องเรียนชั้นต้นก็ไม่ได้รับเด็กทุกคนเข้าเรียนหรอก หากโง่หรือซุกซนเกินก็ล้วนแต่ไม่ได้เข้าเรียนทั้งสิ้น ซึ่งก่อนที่จะรับเข้าเรียนอาจารย์ยังต้องทดสอบพื้นฐานของเด็กด้วย เป้าหมายหลักในการทดสอบก็คือการสอนตามระดับสติปัญญาของผู้เรียน ซึ่งไม่ใช่เพราะพื้นฐานของผู้เรียนแย่เกินไปจึงปฏิเสธที่จะรับ

หลินฟางโจวคิดว่าในเมื่อต้องทดสอบทั้งที อย่างน้อยๆ การสอบให้ได้ดีก็สามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่อาจารย์ได้มากกว่า เพราะเหตุนี้นางจึงถามขอบเขตของการทดสอบมาจากอาจารย์แล้ว ทั้งยังยืมหนังสือจากคุณชายลั่วมาด้วย

พอเข้ามาในบ้านนางก็โยนหนังสือพวกนั้นให้กับเสี่ยวหยวนเป่าแล้วเอ่ย “ท่องหนังสือพวกนี้ให้หมด”

เสี่ยวหยวนเป่ามองหลินฟางโจวแวบหนึ่ง ตำราพวกนั้นคือ ‘ตำราพันอักษร’ ‘วิชาคำนวณเบื้องต้น’ เป็นตำราสำหรับเด็กที่เริ่มเรียน เล่มที่ยากที่สุดก็คือ ‘คัมภีร์กวี’ ซึ่งเลือกมาเพียงแค่กลอนสิบบทแรก โดยข้างในเขียนเน้นส่วนสำคัญและคำอธิบายเอาไว้ เขาเอ่ยถาม “ท่องหนังสือพวกนี้ไปทำไม”

“ให้เจ้าท่องก็ท่องไปเถอะ อีกไม่กี่วันอาจารย์จะทดสอบความรู้ของเจ้าแล้ว หากเจ้าตอบไม่ได้ ยามที่กลับบ้านมาข้าจะไม่ให้เจ้ากินอาหารเลย”

‘ไม่ให้กินอาหาร’ คำขู่เช่นนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ช่วงนี้เสี่ยวหยวนเป่าชอบกินอาหารมาก นอกจากนั้นเขายังรู้สึกว่าความอยากอาหารของเขาในช่วงนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย เขากลัวหลินฟางโจวจะเมินเฉยต่อเขา เพราะเหตุนี้จึงไม่กล้าพูดมาโดยตลอด

ผ่านไปหลายวันหลินฟางโจวนำของขวัญและเงินที่ห่อไว้อย่างดีไปที่ห้องเรียนชั้นต้นใกล้ๆ แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีเด็กเรียนอยู่สิบกว่าคนกับอาจารย์หนึ่งท่าน อาจารย์ผู้เฒ่าไว้เคราแพะ เขามองหลินฟางโจวซึ่งพาเสี่ยวหยวนเป่ามาอยู่ตรงหน้าเขา เขาลูบเคราพร้อมกับคิดในใจ เด็กบ้านนี้ต่างเกิดมาหน้าตาดี

อาจารย์กวาดตามองเสี่ยวหยวนเป่าแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ชื่ออะไร”

หลินฟางโจวรีบตอบแทนเสี่ยวหยวนเป่าอย่างว่องไว “หลินฟางซือ”

“อายุเท่าใดแล้ว”

“สิบขวบ”

“อืม สิบขวบนับว่าเริ่มต้นค่อนข้างช้าไปหน่อยแล้ว แต่ว่าการจะรู้จักหลักการย่อมมีลำดับขั้นตอน เมื่อได้เรียนรู้จึงจะเข้าใจถึงข้อบกพร่องของตนเอง นั่นคือความเหมาะสม”

“ชะ…ใช่” หลินฟางโจวรีบเอ่ยตอบรับ ทั้งที่จริงนางฟังแล้วไม่เข้าใจเลยสักนิด คิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงรีบเอ่ยเสริม “แต่ก่อนตอนที่เขาอยู่บ้านก็เคยเรียนในสำนักศึกษามาบ้างเหมือนกัน”

“เช่นนั้นข้าจะลองทดสอบดู” อาจารย์หยิบหนังสือขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มทดสอบเสี่ยวหยวนเป่า

หลินฟางโจวดื่มชาอยู่อีกด้านหนึ่ง เดิมทีนางอยากแสร้งทำเป็นตั้งใจฟังการทดสอบนั้นดู กระทั่งตั้งใจฟังจริงๆ นางก็รู้สึกว่าบทกวีและสำนวนเหล่านั้นราวกับแมลงนับร้อยนับพันตัวที่ชวนให้ง่วงงุนพุ่งตรงมาที่หูและทะลุเข้าไปในสมองนาง ในเวลาอันรวดเร็วนางก็ผล็อยหลับไปบนโต๊ะโดยไม่ทันรู้สึกตัวเลยสักนิด

หลังจากนั้นก็เป็นเสี่ยวหยวนเป่าที่มาเขย่าตัวนางเพื่อปลุกให้ตื่น

หลินฟางโจวขยี้ตาพลางเอ่ยถาม “ทดสอบเสร็จแล้ว?”

เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้า เขาเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดพร้อมกับมีสีหน้าที่รู้สึกผิดเล็กน้อย

หลินฟางโจวเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าไม่ดีแน่แล้ว สีหน้านางพลันเคร่งเครียดขึ้นมาพลางเอ่ยตำหนิ “สอบไม่ได้? ข้าสอนเจ้าที่บ้านว่าอย่างไร!”

“เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องสั่งสอนเขาแล้ว” อาจารย์ผู้เฒ่ามีสีหน้าค่อนข้างแย่ เขายกมือโบกเบาๆ “เชิญพวกเจ้ากลับไปเถอะ ของก็นำกลับไปด้วย”

หลินฟางโจวประหลาดใจเล็กน้อย “อาจารย์ ท่านไม่รับเขาหรือ”

“น้องชายของเจ้าคนนี้ข้ารับไว้ไม่ได้”

“ทะ…ทำไมกัน”

อาจารย์ผู้เฒ่ามีสีหน้าอับอายอยู่บ้าง เขาตะคอกออกไปเสียงดัง “อารามเล็กๆ ของข้ารับพระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไว้ไม่ได้หรอก รีบไปเสียเถอะ!”

หลังจากนั้นหลินฟางโจวกับเสี่ยวหยวนเป่าก็ถูกไล่ออกมา

หลินฟางโจวจึงถามเสี่ยวหยวนเป่า “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่”

“สิ่งที่เขาทดสอบข้า ข้าล้วนท่องออกมาได้หมดทั้งสิ้น”

“จากนั้น?”

“จากนั้นเขาก็โมโหมาก”

หลินฟางโจวตบหน้าผากตนเองฉาดหนึ่งพร้อมกับเอ่ยขึ้นทันที “เขาคิดว่าข้าพาเจ้าไปลองภูมิเขาสินะ”

“คิดแล้วคงจะเป็นเช่นนั้น”

“เจ้าโง่อะไรเช่นนี้ ใครให้เจ้าท่องหนังสือพวกนั้นออกมาทั้งหมดกัน”

“ท่าน”

 

สุดท้ายหลินฟางโจวก็ส่งเสี่ยวหยวนเป่าไปเข้าสำนักศึกษา อำเภอหย่งโจวมีสำนักศึกษาอยู่เพียงแห่งเดียว ชื่อว่าสำนักศึกษาหอถิงอวิ๋น เดิมทีหอถิงอวิ๋นเป็นเพียงอาคารเล็กๆ หลังหนึ่งที่คหบดีผู้หนึ่งสร้างขึ้น ต่อมาคหบดีผู้นั้นเชิญอาจารย์ผู้มีความรู้ท่านหนึ่งมาเป็นแขกและพักอยู่ที่หอถิงอวิ๋น นักเรียนจากร้อยกว่าหลี่ต่างไปฟังเขาสอนที่หอถิงอวิ๋น สำนักศึกษาจึงค่อยๆ ก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แม้บัดนี้อาจารย์ผู้มากความรู้ท่านนั้นจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่สำนักศึกษาก็ยังคงเปิดทำการต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้

หอถิงอวิ๋นสร้างขึ้นตามแนวคิดที่ว่า ‘การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น’ ที่นี่ประกอบไปด้วยห้องเรียนชั้นต้น ค่าเล่าเรียนหนึ่งปีสองตำลึง เทียบกับสำนักศึกษาทั่วไปแล้วแพงกว่าหนึ่งเท่าตัว แม้ค่าเล่าเรียนที่นี่จะแพงกว่า กระนั้นบรรดาครอบครัวคนที่มีฐานะค่อนข้างธรรมดาทั่วไปก็ยังยินยอมที่จะส่งบุตรหลานไปศึกษาขั้นเริ่มต้นที่หอถิงอวิ๋นเลย เพราะว่าอาจารย์และบรรยากาศการเรียนของที่นั่นดี

อาจารย์ห้องเรียนชั้นต้นที่สำนักศึกษาหอถิงอวิ๋นก็ต้องทดสอบความรู้พื้นฐานด้วยเช่นกัน หนนี้เสี่ยวหยวนเป่ารู้จักฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว ยามที่ตอบคำถามจึงจงใจแกล้งโง่ อาจารย์ผู้นั้นประเดี๋ยวก็พยักหน้า ประเดี๋ยวก็ส่ายหน้า จากนั้นก็ให้เสี่ยวหยวนเป่าเขียนตัวอักษรสักหน่อย

เสี่ยวหยวนเป่าเขียนชื่อของตนเอง อาจารย์มองตัวอักษรตัวใหญ่สีดำปี๋สามตัวพลางขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “บทเรียนยังพอผ่าน เพียงแต่ตัวอักษรเหล่านี้…น่าเกลียดยิ่ง”

เสี่ยวหยวนเป่าก้มหน้าไม่พูดจา

หลินฟางโจวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างใช้ฝ่ามือตบไปที่ศีรษะเขา “ฟังคำพูดของอาจารย์ให้ดี หลังจากนี้เจ้าต้องตั้งใจคัดตัวอักษร รู้หรือไม่”

เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

“อย่าตีเด็ก” อาจารย์ขมวดคิ้วไม่พอใจที่หลินฟางโจวหยาบคายเป็นอย่างมาก “เจ้าให้เขากลับไปเตรียมตัวสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ก็มาที่นี่เถอะ”

 

ตอนที่ออกจากสำนักศึกษามาแล้ว หลินฟางโจวจึงหันไปถามเสี่ยวหยวนเป่า “เจ้าจงใจท่องไม่ได้ใช่หรือไม่ หรือว่าที่เคยท่องได้ก่อนหน้านี้ล้วนลืมหมดสิ้นแล้ว”

“จงใจ”

“เพราะเหตุใด”

“ตัวตนของข้าไม่ธรรมดา ไม่เหมาะที่จะเป็นจุดสนใจของผู้อื่น หากก่อนเข้าเรียนข้ามีระดับความรู้แค่ธรรมดาๆ หลังจากเข้าเรียนแล้วก็มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ผลงานเหล่านั้นล้วนแต่เป็นของอาจารย์ อาจารย์จะต้องยิ่งชอบใจมากขึ้นแน่”

หลินฟางโจวพยักหน้า นางนึกถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวหยวนเป่าจะนึกถึงเรื่องนี้ด้วย

เมื่อนึกถึงความจริงของเสี่ยวหยวนเป่า นางก็ส่ายหน้าอย่างไม่ชอบใจอีกครั้ง “ตัวอักษรของเจ้าแย่ยิ่งกว่าของข้าเสียอีก”

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยตามตรง “ข้าไม่ควรเปิดเผยลายมือของตนเอง ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะต้องเปลี่ยนลายมือ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลินฟางโจวลูบคาง แววตาเผยประกายดีใจ “เห็นอายุน้อยๆ เช่นนี้ แต่ความคิดช่างซับซ้อนนักนะ”

หลังจากแก้ไขปัญหาเรื่องเข้าสำนักศึกษาเสร็จแล้ว หลินฟางโจวก็ดีใจอย่างมาก นางรู้สึกว่าภาระที่กดทับบนร่างนางล้วนถูกสลัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ยามที่นางเดินอยู่นั้นก็อดจะครวญเพลงออกมาไม่ได้ ทั้งยังร้องว่า…

“ส่งเจ้าบ่าวไปเดินเคียงไหล่…แสงโคมห้องเจ้าสาวสว่างจ้า…ปลดเสื้อนอกที่บังตา…สองกายาปล่อยตามครรลอง”

เสี่ยวหยวนเป่าฟังทำนองเพลงนั้นก็รู้สึกว่าไพเราะและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวายิ่งนัก แต่เมื่อตั้งใจฟังเนื้อเพลงให้ดีๆ เขาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ใบหน้าเขาแดงซ่านขณะเอ่ยเตือนหลินฟางโจว “ข้ายังเป็นเด็กอยู่นะ”

หลินฟางโจวดีใจจนลืมตัว

ยามนั้นคนหลังค่อมแซ่ซุนขับรถม้าผ่านมา พอเห็นหลินฟางโจวเขาก็เอ่ยเรียกนางเอาไว้ “ต้าหลาง นั่นคือลูกพี่ลูกน้องของเจ้าที่มาจากแดนไกลหรือ”

“ใช่แล้ว พรุ่งนี้จะไปเข้าเรียนที่หอถิงอวิ๋นแล้วนะ”

“เด็กดี ต่อไปก็สอบจ้วงหยวนให้ได้ แล้วกลับมาเป็นหน้าเป็นตาให้กับพี่ชายของเจ้าเล่า!”

“ฮ่าๆๆ จ้วงหยวนสอบได้ง่ายเสียที่ใดเล่า สอบได้ทั่นฮวาก็พอแล้ว!” หลินฟางโจวพูดกลั้วหัวเราะ

“ต้าหลาง ไม่เจอกันนานเลย เจ้าไม่ไปเล่นที่ลานพนันสักหน่อยหรือ” จู่ๆ คนหลังค่อมแซ่ซุนก็เปลี่ยนเรื่องพูดไป

“ไปสิ ไป!”

ระยะนี้หลินฟางโจวมีเรื่องที่หนักใจอยู่มาก อีกทั้งนางก็ไม่ได้เล่นไพ่นานแล้ว วันนี้เมื่อคนหลังค่อมแซ่ซุนพูดขึ้นมา นางก็รู้สึกโหยหาการเล่นพนันขึ้นมาทันที จึงคิดจะไปเล่นที่ลานพนัน

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยถาม “ท่านจะไปทำไม”

“ข้าจะไปเที่ยว เจ้ากลับบ้านไปก่อนนะ”

“ข้าจะไปกับท่าน” เขากลับยืนกรานอย่างไม่เชื่อฟัง

หลินฟางโจวเสียงเข้มขึ้นทันที “กลับบ้านไปซะ หากเจ้ายังไม่กลับบ้านไปอีก คืนนี้ก็ไม่ต้องกินอะไรแล้ว!”

“แต่ข้ากลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรให้ทำนี่”

“เอาฟืนมาผ่าให้หมดสิ วันๆ ไม่ทำอะไรกลับดีแต่กินทั้งวัน งานการก็ไม่รู้จักทำ”

 

เสี่ยวหยวนเป่าจึงทำได้เพียงกลับไปผ่าฟืนที่บ้านเท่านั้น แต่ไรมาเขาก็ไม่เคยผ่าฟืนมาก่อน จึงลองเลียนแบบท่าทางของหลินฟางโจว ผ่าไปได้สักพักที่ฝ่ามือก็มีตุ่มพองขึ้นมา เขาจึงหาผ้าขาวสะอาดผืนหนึ่งมาพันฝ่ามือ ก่อนจะผ่าฟืนต่อไป

ต่อมาตุ่มน้ำก็แตกจนผ้าขาวเปียกชื้น เขาประคองฝ่ามือเอาไว้ เจ็บเสียจนใบหน้าซีดเผือด มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามหน้าผาก

ตอนที่เสี่ยวหยวนเป่าผ่าฟืนเสร็จเรียบร้อย ฟ้าก็มืดลงแล้ว

เขาหิวจนท้องร้องโครกคราก อยากจะออกไปหาหลินฟางโจวที่ข้างนอกดูสักหน่อย ทว่าพอเปิดประตูบ้านก็เห็นนางกลับมาแล้ว

หลินฟางโจวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อนางเห็นเสี่ยวหยวนเป่าก็ตรงเข้าไปกอดเขาเอาไว้ทันทีแล้วร้องไห้ออกมา “ฮือๆๆ”

เสี่ยวหยวนเป่าตกใจ เห็นหลินฟางโจวร้องไห้เสียใจเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเสียใจตามไปด้วย เขากอดอีกฝ่ายไว้อย่างระมัดระวังพลางเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ยะ…อย่ากลัว…”

“เสี่ยวหยวนเป่า!”

“อืม”

“ข้าใช้เงินหมดแล้ว! ฮือๆๆ”

เสี่ยวหยวนเป่าผ่อนลมหายใจเบาๆ สำหรับเขาแล้วไม่เคยคิดว่าเรื่องเงินเป็นปัญหาใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าวันนี้ข้าโชคดีแค่ไหน ข้าชนะจนได้หกสิบกว่าตำลึงแล้ว เงินกองเป็นภูเขาเชียวนะ! แต่ต่อมา…ก็แพ้ไปแล้ว…ฮือๆๆ ชีวิตข้าช่างขมขื่นอะไรเช่นนี้!” หลินฟางโจวยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ หกสิบตำลึง! โตขึ้นมาจนป่านนี้นางยังไม่เคยเห็นเงินมากมายเช่นนั้นเลย หากไม่เคยได้รับมาก่อนนางก็คงไม่รู้สึกเสียดาย ทว่าทั้งหมดนั้นเคยเข้ามาอยู่ในถุงเงินของนางแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับต้องควักคืนคนอื่นไป ทั้งยังต้องนำเงินของตนเองใส่ลงไปอีกหลายตำลึง…สวรรค์! หัวใจข้ากำลังหลั่งเลือด!

เสี่ยวหยวนเป่าปลอบนางอย่างเงอะงะ “ไม่เป็นไรนะ เงินไม่มีแล้วก็ค่อยหาใหม่”

“จะหาเงินมากมายเช่นนั้นได้ง่ายๆ ที่ไหนเล่า!”

“หาง่ายสิ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ในอดีตหลินฟางโจวก็เคยแพ้พนันเสียเงินมาก่อนเช่นกัน แต่นางไม่เคยเสียมากมายเช่นนี้เลย จิตใจนางนับว่าพังทลายลงไปจริงๆ แล้ว นางร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งน้ำตาค่อยๆ หยุดไหล เมื่อได้สติกลับมาแล้วก็พบว่าเมื่อครู่ตนเองกอดเด็กนี่ร้องไห้อยู่นาน…ช่างน่าอับอายยิ่งนัก

นางใช้ผ้าเช็ดหน้าสั่งน้ำมูก แสร้งทำเป็นว่าเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยถาม “ท่านกินอาหารเย็นมาหรือยัง”

“ไม่ได้กิน เงินใช้หมดไปแล้วจะเอาอะไรมากินอีก”

“อ้อ” เพราะความหิวโหย จิตใจของเขาจึงรู้สึกหดหู่ไปเล็กน้อย

หลินฟางโจวรู้สึกผิดอยู่บ้าง นิ้วของนางถูจมูกตนเองไปมา “ขะ…ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้หิวมากเท่าไร” เพิ่งจะพูดจบประโยค จู่ๆ ท้องของเขาก็ส่งเสียงโครกครากขึ้นมาอย่างไม่รู้สถานการณ์เสียเลย

หลินฟางโจวลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปขอยืมข้าวสารจากบ้านคนขายเนื้อแซ่เฉินมาสักเล็กน้อย”

“ไม่ต้องไป” เสี่ยวหยวนเป่าดึงนางเอาไว้ “อย่าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นง่ายๆ เช่นนี้สิ”

ขณะที่หลินฟางโจวกำลังคิดไม่ตกว่าจะไปหรือไม่ไปอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บราวกับมีอะไรบางอย่างตบตีหน้าต่างอยู่ หลินฟางโจวพลันผลักหน้าต่างออก ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งบินพึ่บพั่บเข้ามา

นางตะโกนด้วยความตกใจ “สวรรค์ วันนี้หนูที่จิ่ววั่นจับมาตัวใหญ่มาก!”

น้ำเสียงตกใจนั้นมันอะไรกันนะ…เสี่ยวหยวนเป่าตกใจจนร่างกายสั่นเทา เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปพลางพูดไปด้วย “มันไม่ได้เอาหนูมาให้พวกเราแล้ว”

จิ่ววั่นอ้าปากปล่อย ‘กลุ่มก้อนสีเทา’ ที่มันคาบไว้ลงมาโดยตกลงบนเตียงพอดี

ตอนที่สิ่งนั้นตกลงบนเตียง ทั้งสองคนถึงได้เห็นชัดเจนว่านั่นคือกระต่ายสีเทาตัวหนึ่ง

กระต่ายน้อยยังไม่ตายสนิท มันยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่พร้อมกับเหลือกตาขึ้น มันพยายามพยุงกายด้วยขาหลังอันไร้เรี่ยวแรง…

 

อาหารเย็นในวันนี้ของหลินฟางโจวกับเสี่ยวหยวนเป่าคือเนื้อกระต่ายย่าง เป็นเนื้อกระต่ายที่ทั้งสดนุ่มและให้รสชาติที่อร่อยยิ่ง หลินฟางโจวกินด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก กระทั่งเครื่องในของกระต่ายก็ไม่ให้เสียเปล่า จิ่ววั่นเห็นพวกเขาโยนเครื่องในทิ้งแล้ว มันจึงคาบไปกินอีกด้านหนึ่งทันที

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้วเสี่ยวหยวนเป่าจึงกางโต๊ะเล็กบนเตียงเพื่อคัดอักษร หลินฟางโจวที่เท้าคางอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะเล็กลูบพุงไปมาอย่างเกียจคร้าน นางลูบพุงพลางโบกมือให้จิ่ววั่นที่อยู่บนคานไปด้วย

จิ่ววั่นพลันพุ่งลงมาราวกับลูกธนูแล้วเกาะบนตัวของหลินฟางโจว นางลูบที่หลังของมันเบาๆ ครู่หนึ่ง มันก็ยอมให้ลูบอย่างแสนเชื่อง

“จิ่ววั่น” หลินฟางโจวลูบขนของมันพลางเอ่ย “หลังจากนี้เจ้าเป็นพี่น้องทางสายเลือดของข้าแล้ว!”

มือของเสี่ยวหยวนเป่าที่จับพู่กันพลันสั่นไปวูบหนึ่ง ตัวอักษรตัวหนึ่งจึงเขียนเบี้ยวไป เขามองหลินฟางโจวแวบหนึ่งพลางส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

ผ่านไปครู่หนึ่งยามที่เขาก้มหน้าก็อดยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้

ตอนเช้าเสี่ยวหยวนเป่าตื่นขึ้นมาค่อนข้างเร็วเนื่องจากสำนักศึกษาอยู่ห่างจากบ้านค่อนข้างมาก ประการแรกเพราะไม่มีเกี้ยว ประการที่สองเพราะไม่มีม้า หลินฟางโจวเองก็ทำใจไม่ได้ที่จะใช้เงินจ้างรถม้าให้กับเขา และแน่นอนว่าตอนนี้ต่อให้อยากจ้างก็จ้างไม่ไหวแล้ว…สรุปคือเขาทำได้เพียงเดินไปสำนักศึกษาเท่านั้น

เสี่ยวหยวนเป่าล้างหน้าบ้วนปากและสวมเสื้อผ้าอย่างเบามือเบาเท้า เขาได้จัดเตรียมพวกเครื่องเขียนและตำราเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเสื้อผ้า เครื่องเขียน และตำราใหม่เอี่ยมแล้วก็พลันเข้าใจขึ้นมาว่าเพราะอะไรหลินฟางโจวต้อง ‘ถือโอกาสตอนที่เงินยังใช้ไม่หมด’ รีบซ่อมแซมบ้านและซื้อของเช่นนี้ เพราะหลินฟางโจวมีความสามารถในการใช้เงินที่มีให้หมดได้ภายในหนึ่งคืนจริงๆ

เสี่ยวหยวนเป่ากำลังจะออกไปก็เห็นหลินฟางโจวเดินออกมาจากห้องพอดี อีกฝ่ายเดินไปด้วยขยี้ตาไปด้วย

หลินฟางโจวเอ่ยถาม “น้องชายข้าเล่า”

เสี่ยวหยวนเป่ายกมือขึ้นพร้อมกับพูด “อยู่นี่”

หลินฟางโจวกวาดตามองมาที่เขา “ใครหมายถึงเจ้ากัน ข้าหมายถึงจิ่ววั่นต่างหาก”

“ต้องให้จิ่ววั่นพักผ่อนบ้าง” เสี่ยวหยวนเป่ารู้ว่าหลินฟางโจวมีความคิดอะไรอยู่ในหัว คงไม่พ้นจะให้มันออกไปหาอะไรมาให้กินอีก

หลินฟางโจวมองเสี่ยวหยวนเป่าตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง เขาสวมชุดสะอาดที่พอดีตัวแล้วก็ยิ่งขับให้ใบหน้าของเขาโดดเด่นยิ่งขึ้น กิริยาท่าทีก็น่าเอ็นดู นางค่อนข้างพอใจจึงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ยังพอได้เรื่องอยู่บ้าง”

“ข้าไปล่ะ” เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยลา

“ช้าก่อน” หลินฟางโจวเรียกเขาเอาไว้แล้วพูดขึ้นมา “เจ้าไปกินอาหารเช้าที่ร้านป้าอ้วนนะ กินให้มาก กินให้อิ่มหน่อย กินเสร็จแล้วบอกป้าอ้วนว่าหากข้ามีเวลาว่างจะไปจ่ายเงินให้ ตอนกลางวันเจ้าก็อดทนหน่อยแล้วกัน แล้วค่อยกลับมากินอาหารเย็น”

“แล้วท่านเล่า”

“วันนี้ข้ามีธุระ เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก”

“อืม” เสี่ยวหยวนเป่าแสดงท่าทีรับรู้แล้วเดินจากไป

หลินฟางโจวไปที่จุดซ่อมแซมกำแพงเมือง

พานเหรินเฟิ่งได้รวบรวมเงินเรียบร้อยแล้ว เขาวางแผนซ่อมแซมจุดที่กำแพงเมืองพังและจุดที่มีโอกาสพังทั้งหมด เขาเปิดรับคนงานมาทำงานนานแล้ว วันนี้เพิ่งเริ่มงาน แต่เป็นเพราะเงินน้อยงานหนัก คนที่มาจึงยังมีไม่มากพอ ดังนั้นประกาศรับคนงานที่ติดไว้ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ก็ยังใช้ได้อยู่

แม้เงินที่ได้จากการทำงานจะน้อยนิด ทั้งยังต้องทำสิบวันเต็มจึงสรุปเงินได้หนึ่งครั้ง แต่งานนี้ก็มีข้อดีอยู่เล็กน้อยคือมีอาหารให้กิน

หลินฟางโจวไปถึงกำแพงเมืองแล้วก็ลงชื่อก่อน จากนั้นจึงกินอาหารเช้า อาหารเช้านี้มีแค่สามอย่างคือชุยปิ่ง ผักดอง และโจ๊ก สามารถกินให้อิ่มได้ แต่ไม่อนุญาตให้แอบนำกลับไป

นางทั้งก่อกำแพงไม่เป็น ทั้งผสมดินก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงแค่ขนดิน นางต้องขุดดินจากนอกกำแพงแล้วใช้รถเข็นล้อเดียวขนกลับมา ขนแค่รอบเดียวเหงื่อก็ออกเต็มศีรษะและปวดหลังปวดเอวแล้ว คนคุมงานไม่พอใจที่นางเชื่องช้า เอาแต่เอ่ยปากเตือนนางบ่อยๆ “ต้าหลาง เจ้าทำงานเชื่องช้าเช่นนี้ยังไม่เท่ากับชุยปิ่งพวกนั้นที่เจ้ากินเข้าไปเลย จะให้ใต้เท้าต้องสิ้นเปลืองเงินกับพวกเจ้าไม่ได้นะ!”

“เจ้ามาลองเข็นเองสักรอบสิ ไม่รู้ว่ารถเข็นนี่อายุกี่ปีมาแล้ว ทั้งเก่าทั้งหนัก แม้รถว่างอยู่ก็ยังทำให้ข้าเข็นจนเจ็บมือได้!”

คนคุมงานหัวเราะเย้ยหยันที่นางแรงน้อยเหมือนแมวตัวน้อย หลินฟางโจวอยากจะชกไปที่ใบหน้าเขาสักหมัดหนึ่ง แต่นางก็ไม่มีทางเลือกเพราะยังต้องกินอาหารภายใต้แรงกดดันของผู้อื่นอยู่ ตอนนี้นางจึงทำได้เพียงอดทนต่อไปเท่านั้น

 

ตอนกลางวันพานเหรินเฟิ่งสวมชุดธรรมดาออกมาตรวจงาน เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก ยามที่กำลังมองพวกคนงานกินอาหารอยู่นั้นก็ไม่มีคนงานคนใดมองเห็นการมาถึงของเขาเลย

พานเหรินเฟิ่งกวาดตามองไปตามกลุ่มคน เห็นหลินฟางโจวกำลังรับชุยปิ่ง หลังจากที่หลินฟางโจวรับชุยปิ่งไปแล้วสองชิ้นก็กลับไปนั่งคุกเข่าอีกด้านหนึ่ง ชิ้นหนึ่งกินเข้าไป อีกชิ้นหนึ่งก็สอดเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นก็เดินไปรับมาอีก

พานเหรินเฟิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือหงุดหงิดดี จากนั้นเขาจึงเดินไปตะโกนขัดขึ้นมา “หลินฟางโจว!”

“หืม? ใต้เท้า”

“เจ้าคนหนุ่มโลภมากไม่รู้จักพอ แม้แต่อาหารของทางการก็ยังลอบเอากลับไปอีกหรือ เจ้าเอาชุยปิ่งใส่ไว้ที่หน้าอกเช่นนี้ ยามทำงานจะได้มีแรงสินะ”

หลินฟางโจวรีบยิ้มประจบพร้อมกับเอ่ย “ใต้เท้า ขะ…ข้าน้อย…ที่บ้านข้าน้อยมีเด็กอยู่ขอรับ…ให้เด็กทนหิวไม่ได้หรอก”

“พูดจาเหลวไหล เจ้าไม่เคยแต่งภรรยา จะเอาเด็กมาจากที่ใดกัน” พานเหรินเฟิ่งยังคงไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อ

“ข้าน้อยเก็บมาได้”

พานเหรินเฟิ่งรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกล้อเล่นก็โมโหอย่างมาก “ยังกล้าพูดจาต่อปากต่อคำอีก? เอาคืนมา!”

“ขอรับ!” หลินฟางโจวเกือบจะถูกพานเหรินเฟิ่งขู่จนตกใจตายแล้ว นางรีบร้อนควักชุยปิ่งในอกเสื้อออกมา “ขะ…ข้าน้อยล้อเล่น ข้าน้อยใส่ชุยปิ่งเข้าไปก็เพราะกลัวว่าตอนทำงานได้สักพักหนึ่งแล้วจะหิวขึ้นมา ข้าน้อยจะกินมันให้หมดตอนนี้แหละ ใต้เท้าใจเย็น โปรดใจเย็นก่อน”

พานเหรินเฟิ่งหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

คนคุมงานหันไปทางกลุ่มคนพร้อมกับเอ่ย “เห็นกันหมดแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะรอดูว่าในพวกเจ้ายังมีใครกล้าขโมยอาหารของทางการอีก”

ทุกคนต่างพูดว่าไม่กล้าทั้งสิ้น

หลินฟางโจวรู้แก่ใจว่าพานเหรินเฟิ่งต้องการใช้นางมาเชือดไก่ให้ลิงดู ครั้งนี้ไม่ลงโทษตีนางสักรอบก็ถือว่าเป็นความเมตตาแล้ว แม้บอกว่าเหตุผลเป็นเช่นนี้ แต่ให้นางอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายนางยากจะกล้ำกลืน จึงอดที่จะก่นด่าบิดามารดาขุนนางสุนัขผู้นั้นอยู่ในใจไม่ได้

 

หลังจากที่พานเหรินเฟิ่งเดินออกมาแล้วก็ยังโมโหไม่หาย เขาเดินไปด้วยสบถไปด้วย “หลินฟางโจวผู้นั้น…ตายไปไม่สำนึกผิดจริงๆ!…ไม่ใช่ว่าหลายวันก่อนเขาเพิ่งได้รับเงินรางวัลสิบตำลึงหรอกหรือ เหตุใดยังวิ่งมาขโมยกินอาหารที่นี่อีก”

หวังต้าเตาได้ยินพานเหรินเฟิ่งถามเช่นนี้ก็รีบตอบไป “ใต้เท้า ยังมีบางเรื่องที่ท่านไม่รู้ เมื่อคืนหลินต้าหลางเล่นอยู่ที่ลานพนันจนดึกดื่นถึงได้กลับบ้าน เงินล้วนเสียไปหมดแล้วขอรับ”

“นะ…นี่…” พานเหรินเฟิ่งส่ายหน้าเอ่ย “หากข้ามีบุตรชายเช่นนี้ ข้าจะต้องจัดการสั่งสอนเขาอย่างแน่นอน!”

หวังต้าเตากับหลินฟางโจวมีความสัมพันธ์ที่ถือว่าไม่แย่เลย เมื่อเห็นพานเหรินเฟิ่งโกรธเคืองอีกฝ่ายเช่นนี้ เขาจึงพูดออกไป “แต่ใต้เท้าขอรับ มีความจริงเรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรพูดออกมา”

“พูดมา”

“ประโยคนั้นของหลินต้าหลางไม่ได้พูดผิดไปเลย เขาเก็บเด็กคนหนึ่งได้จริงๆ”

“หา?”

หวังต้าเตาจึงอธิบายความเป็นมาของหลินฟางซือให้ฟัง เมื่อพานเหรินเฟิ่งได้ฟังแล้วสีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยพลางเอ่ย “เจ้านั่นยอมรับญาติห่างๆ ผู้โชคร้ายมาเลี้ยงเช่นนี้ก็ถือว่ามีเมตตา”

“เขายังให้เด็กน้อยไปเข้าสำนักศึกษาด้วยขอรับ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ค่าเล่าเรียนหนึ่งปีก็สองตำลึงเชียวนะ!”

พานเหรินเฟิ่งเบิกตาโตจ้องมองหวังต้าเตา “หากไม่เอาเงินไปส่งเด็กน้อยนั่นเข้าเรียน เจ้าจะให้หลินฟางโจวเอาเงินไปใช้ในลานพนันทั้งหมดเลยหรือไร!”

“ที่ใต้เท้าพูดก็ถูกขอรับ” หวังต้าเตารับคำเสียงอ่อย

หลินฟางโจวใช้เรี่ยวแรงไปกับการทำงานตลอดทั้งวัน นางเหน็ดเหนื่อยจนรู้สึกเหมือนจะได้ไปพบกับมารดาของตนเองแล้ว ตอนที่กินอาหารเสร็จนางก็ไม่กล้าเอาชุยปิ่งใส่ในอกเสื้ออีก ด้วยกลัวว่าเสี่ยวหยวนเป่าจะหิว สุดท้ายนางจึงทำหน้าหนาให้ถึงที่สุดเสียเลย ในปากพลันคาบชุยปิ่งหนึ่งชิ้นแล้วเดินอาดๆ ออกมา

คนคุมงานจ้องมองหลินฟางโจวจนดวงตาแทบจะแข็งค้างไปแล้ว ในที่สุดก็ทำอะไรคนหน้าไม่อายผู้นี้ไม่ได้

 

ฟ้ายังสว่างอยู่ หลินฟางโจวจึงกลับบ้านไปหาหลัวมาใบหนึ่ง จากนั้นก็ไปตกปลาที่ริมแม่น้ำซึ่งอยู่นอกเมือง ถือว่านางยังมีโชคอยู่ ตกปลาหนีชิว และกุ้งมาได้หลายตัว และยังมีปลาจี้ ตัวใหญ่เท่าฝ่ามืออีกตัวหนึ่ง

หลินฟางโจวดีใจยิ่งนัก เมื่อสะพายหลัวขึ้นบนหลังแล้วก็เดินครวญเพลงกลับบ้าน ตอนกลับถึงบ้านนางก็เห็นเสี่ยวหยวนเป่ากำลังยกน้ำไปเทใส่โอ่ง หลินฟางโจวเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มลงมอง เห็นในโอ่งมีน้ำอยู่แล้วครึ่งหนึ่ง

“ใครใช้ให้เจ้ายกน้ำ” หลินฟางโจวเงยหน้าขึ้นมาถาม

เสี่ยวหยวนเป่าบอกตามจริง “ข้าอยากหาอะไรทำบ้าง”

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำการบ้านสิ”

“ทำเสร็จหมดแล้ว”

หลินฟางโจวหมดคำพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “น้ำเต็มถังนี้เจ้ายกไหวด้วยหรือ”

“ยกไม่ไหวหรอก ทุกรอบข้าจะตักน้ำมาแค่ครึ่งถัง”

หลินฟางโจวลูบคางพลางเอ่ย “ก็ดี ให้เจ้าได้ออกกำลังเสียบ้าง มิเช่นนั้นหากเจ้ายังรูปร่างเล็กเยี่ยงนี้ ภายหลังเจ้าคงเป็นแค่บัณฑิตที่ ‘ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง’ คนหนึ่ง”

หลินฟางโจวยกหลัวเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นมันหมูก้อนหนึ่งวางอยู่บนเตาทำอาหารก็แปลกใจยิ่งนัก “มันหมูมาจากที่ใด”

“คนขายเนื้อแซ่เฉินเพิ่งเอามาให้ เขาบอกว่าพรุ่งนี้เฉินเสี่ยวซานก็ต้องไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว ให้เฉินเสี่ยวซานไปด้วยกันกับข้าเลย”

หลินฟางโจวเอาปลาหนีชิวและกุ้งลงไปต้มรวมกันในหม้อเล็กก่อนจะเพิ่มมันหมูลงไปเล็กน้อย รวมกับชุยปิ่งที่ถูกกัดไปแล้วคำหนึ่งอีกหนึ่งชิ้น นี่ก็คืออาหารเย็นของเสี่ยวหยวนเป่า หลินฟางโจวชี้ไปที่ชุยปิ่งพลางเอ่ย “กว่าข้าจะนำชุยปิ่งออกมาให้เจ้าได้เช่นนี้ก็ต้องเสี่ยงโทษตาย เจ้ายังกล้ารังเกียจของที่ข้ากัดไปแล้วหรือไม่!”

“ไม่กล้า” เสี่ยวหยวนเป่าประคองชุยปิ่งแล้วกัดคำหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ท่านจะกินอะไร”

“ข้ากินอิ่มแล้ว ของกินที่จุดซ่อมแซมกำแพงเมืองนั่นสามารถกินได้ตามสะดวก เพียงแต่ไม่ให้นำออกมา”

เสี่ยวหยวนเป่าเอ่ยถาม “ท่านไปซ่อมแซมกำแพงเมืองมา?”

“ใช่แล้ว ข้าเหนื่อยแทบตายเลย”

เสี่ยวหยวนเป่าพูดด้วยความลังเล “ข้าไม่ไปเรียนแล้วดีหรือไม่ ข้าจะไปซ่อมแซมกำแพงเมืองกับท่าน”

“ช่างเถอะ ข้าจ่ายค่าเล่าเรียนไปหมดแล้ว เจ้าไม่ไปเรียน ไม่ใช่ว่าทำให้ข้าเสียเงินไปโดยเปล่าหรอกหรือ เจ้าไม่เพียงต้องเล่าเรียนเท่านั้น ยังต้องตั้งใจเรียนให้มากด้วย เอาค่าเล่าเรียนกลับมาคืนข้าให้ได้”

“ได้!”

เสี่ยวหยวนเป่ากินข้าวช้ามากจริงๆ ตอนที่เขากินปลาก็ยิ่งช้า…ช้าเกินไปแล้ว

หลินฟางโจวมองจนรู้สึกทนไม่ไหว นางจึงถามเขา “ตอนเจ้าอยู่บ้านก็กินปลาช้าเช่นนี้หรือ”

“ไม่ใช่”

“เพราะอะไรตอนนี้จึงกินช้าเล่า”

“ต้องแกะก้าง”

“เมื่อก่อนเจ้ากินปลาไม่แกะก้างเลย?” หลินฟางโจวถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้า “เพียงแต่…ข้าไม่เคยแกะก้างเองมาก่อน”

หลินฟางโจวแทบตกตะลึงตายแล้ว “ตอนที่เจ้ากินปลายังต้องมีคนแกะก้างให้เจ้าโดยเฉพาะเชียวหรือ คงไม่มีคนช่วยคีบอาหารให้เจ้าโดยเฉพาะหรอกนะ”

“อืม” เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้ารับ

“มีคนช่วยเก็บอึให้เจ้าหรือไม่”

เสี่ยวหยวนเป่าคิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาพยักหน้าโดยที่ใบหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด

หลินฟางโจวเอ่ยถาม “นี่เจ้ามีบ่าวอยู่เท่าใดกันแน่”

เขาหยุดคิดใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่มีบ่าว?”

เสี่ยวหยวนเป่าส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เคยนับ”

“เจ้าใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์โดยแท้” หลินฟางโจวเอนร่างไปบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจก่อนเอ่ย “ทำให้อยากใช้ชีวิตราวกับเป็นคนไร้ประโยชน์บ้างเชียวล่ะ!”

เสี่ยวหยวนเป่าไม่เข้าใจหลินฟางโจว เขาเพียงกินอาหารไปอย่างเงียบเชียบ

หลินฟางโจวเท้าคางมองเขาเม้มปากเคี้ยวอาหาร ดูไม่รีบไม่ช้า นิ่งสงบสง่างาม นางจึงพูดขึ้นมา “ตอนนี้ข้ายิ่งสงสัยที่มาของเจ้ามากขึ้นแล้ว”

“ข้า…”

“ไม่ต้องพูด ข้ากลัวเจ้าพูดออกมาแล้วจะทำให้ข้าตกใจ”

“ข้ามีคำถามหนึ่ง” จู่ๆ เขาก็หยุดกิน

“เจ้าถามมาสิ”

เขาจ้องตานางนิ่งแล้วเอ่ยถาม “ทำไมถึงยอมส่งข้าไปเรียน”

หลินฟางโจวหลุบตาลงก่อนจะยิ้ม ไม่บ่อยนักที่นางจะมีช่วงเวลาทำตัวจริงจังเช่นนี้ นางพูดด้วยเสียงเบา “คำถามนี้ข้าก็เคยคิดเช่นกัน ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะเจ้ากับข้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน…เจ้าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของที่นี่” ยากเกินกว่าจะอธิบายความรู้สึกออกไปได้มากกว่านี้ แต่ทันทีที่นางพูดคำเหล่านั้นออกไปแล้ว นางก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

“แต่ข้าชอบชีวิตที่นี่มาก”

หลินฟางโจวกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูข้างนอกดังปังๆๆ ต่อมาก็มีเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจดังขึ้น “ต้าหลาง เจ้าอยู่หรือไม่ ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้า!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ธ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 19

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: