บทที่ 5 การเยี่ยมเยือนในยามวิกาลของบุคคลปริศนา
เสียงร้องโหยหวนทำให้องครักษ์ทั้งหมดเข้ามารวมกำลังกันอย่างรวดเร็ว องครักษ์ทุกนายในโรงเตี๊ยมต่างถือคบเพลิงกระจายกำลังโอบล้อมจุดที่เสียงดังออกมาอย่างแน่นหนา
ความสนใจของทุกคนพุ่งตรงมายังจุดนี้กันหมด จึงไม่มีใครทันสังเกตร่างในชุดดำที่ค่อยๆ เลียบกำแพงผ่านพวกตนแล้วกระโดดข้ามเข้าไปข้างใน
ทว่าความเคลื่อนไหวของคนผู้นี้ตกอยู่ในสายตาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่มายืนดูสถานการณ์อยู่ตรงริมหน้าต่างเข้าโดยบังเอิญ วันนี้มันอย่างไรกันนะ แค่ว่าที่สะใภ้จวนแม่ทัพจินมาเข้าพัก เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ไปได้ เถ้าแก่มั่นใจได้เลยว่าโรงเตี๊ยมที่ตนเปิดมาครึ่งชีวิตไม่เคยคึกคักขนาดนี้มาก่อน
คนชุดดำหลบหลีกองครักษ์เข้ามาข้างในได้อย่างง่ายดาย ทว่านึกสงสัยเป็นกำลัง เมื่อครู่เขาได้ยินพวกองครักษ์คุยกันแว่วๆ ว่ามีเสียงร้องของบุรุษดังขึ้นในโรงเตี๊ยม จึงต้องระดมกำลังตรวจค้นโดยละเอียด…แต่เมื่อครู่เขาไม่ได้ผ่านทางนั้น ซ้ำยังไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น หรือว่าจะยังมีนักฆ่าคนอื่น
คิดได้เช่นนี้คนชุดดำก็เกร็งเครียดขึ้นมา เมื่อพวกองครักษ์จากไปแล้วเขาก็รีบไปหาเรือนพักของเจียงเสี่ยวเซวียน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นห้องเทียนจื้อหมายเลขหนึ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองห้องพักชั้นบน แล้วพบว่าในห้องมีแต่ความมืด เจ้าของห้องน่าจะหลับไปแล้ว เหมาะจริง เวลาลงมือจะลดความยุ่งยากลงได้มาก!
ดวงตาลึกล้ำคมกริบส่องประกายวาบ เห็นแล้วชวนสะท้านใจ
ในเวลาเดียวกันนั้นอวี้ฉีหลินเพิ่งจะปีนออกจากถังอาบน้ำได้อย่างยากลำบาก แล้วถอดเสื้อผ้าเปียกๆ ออกมือไม้เป็นระวิง อยู่ๆ บานหน้าต่างก็ถูกเปิดออกดังผ่าง!
ก้อนเมฆค่อยๆ ลอยเข้ามาบังดวงจันทร์เอาไว้ แสงจันทร์ส่องลงมาได้เป็นพักๆ อวี้ฉีหลินเห็นคนชุดดำทะยานตัวเข้ามาทางบานหน้าต่าง ปลายกระบี่แหลมคมในมือพุ่งตรงมาหานาง
อวี้ฉีหลินหน้าผิดสีด้วยความตกตะลึง ทว่าวรยุทธ์ที่เฝ้าฝึกฝนมาหลายปีทำให้นางตั้งสติและมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างว่องไว ตกใจอยู่เพียงครู่เดียวก็หมุนตัวหลบคมกระบี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ปลายเท้าเล็กถีบก้นถังไม้ ทะยานตัวขึ้นจากน้ำพร้อมคว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนขอบถังมาคลุมร่าง
ผู้บุกรุกผงะไปเล็กน้อยที่นางหลบพ้น ก่อนจะตวัดกระบี่ใส่อีกครั้งอย่างไม่ลังเล
กระบี่สะท้อนแสงเป็นสีเงินวูบวาบ จู่โจมจุดสำคัญของร่างกายทุกครั้ง!
หญิงสาวเบี่ยงซ้ายบ่ายขวาเพื่อหลบหลีกการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามพลางตอบโต้กลับไปบ้าง
ดูเหมือนคนชุดดำจะคาดไม่ถึงที่นางรู้วรยุทธ์ พอเห็นนางโจมตีกลับจึงอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด อวี้ฉีหลินถือโอกาสนี้กวาดขาเตะจนอีกฝ่ายแทบล้มลงไปกับพื้น โชคดีที่ใช้เท้าไถลถอยร่นไปข้างหลังได้ทัน
“เจ้าเป็นใคร” นางถามกราดเกรี้ยว
ผู้มาเยือนไม่ตอบ พอทรงตัวยืนเต็มเท้าได้อีกครั้งก็พุ่งกระบี่เข้ามาใหม่ กระบี่ของคนผู้นี้สะท้อนแสงวาววับดุจสายฟ้า อ่อนพลิ้วดุจงู บางครั้งพุ่งแทง บางคราวพัวพัน รับมือยากยิ่ง
อวี้ฉีหลินวรยุทธ์เลิศล้ำก็จริง แต่ก็มีแค่มือเปล่า มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังได้เปรียบที่ขนาดร่างกาย ไม่นานนักนางก็ต้านรับการโจมตีไม่ไหวแล้วถูกไล่ต้อนให้จนมุม
กระบี่คมกริบพุ่งเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง อวี้ฉีหลินคว้ากระบวยในถังอาบน้ำขึ้นมาตักน้ำร้อนสาดฝ่ายตรงข้าม
คนชุดดำไม่คาดคิดว่านางจะมาไม้นี้จึงเปียกชุ่มโชกไปทั้งตัว
หญิงสาวฉวยโอกาสกระโดดข้ามร่างสูงใหญ่ไปอยู่อีกทาง แล้วชนเข้ากับตู้วางเครื่องกระเบื้องเข้าโดยบังเอิญจนตู้ไม้ล้ม
เสียงกระเบื้องแตกระเนระนาดดังขึ้นในห้อง
เสียงอึกทึกเช่นนั้นย่อมเข้าหูองครักษ์ที่อยู่ข้างนอกด้วยเช่นกัน องครักษ์หาตัวผู้บุกรุกทางด้านหลังไม่เจอ พอได้ยินเสียงที่ดังขึ้นก็ฉุกใจคิดได้ว่าบางทีผู้ต้องสงสัยอาจลอบเข้าไปในห้องคุณหนูเจียง จึงตะโกนบอกกันให้ยกพลมาด้านนี้
อวี้ฉีหลินฝีไม้ลายมือจัดจ้าน เล่นงานยาก เสียงองครักษ์ด้านนอกก็ใกล้เข้ามาทุกที คนชุดดำรู้ว่าคงจัดการนางตอนนี้ไม่ได้แน่ จึงยกกระบี่ต้านการจู่โจมของหญิงสาวแล้วกระโจนหนีออกไปทางหน้าต่าง
คนชุดดำกระโดดจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง หลบรอดสายตาของพวกองครักษ์อย่างยากลำบาก เร่งรุดเร้นกายไปยังเฉลียงทางเดินสายยาวที่ค่อนข้างปลอดคนของโรงเตี๊ยม
พอไปถึงที่หมายกลับเห็นจินหยวนเป่าเดินลับๆ ล่อๆ มาจากอีกทางพอดี เขามองซ้ายมองขวา ไม่เห็นที่ใดพอจะให้ซ่อนตัวได้ จึงกระโดดขึ้นไปห้อยหัวลงมาจากขื่อคาน
จินหยวนเป่าเดินเข้ามาอีกสามสี่ก้าวก็เห็นแอ่งน้ำบนพื้นเฉลียงได้แต่ไกล สัญชาตญาณที่บ่มเพาะมาจากหน้าที่ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมาทันที จึงสาวเท้าเดินเข้าไปก้มตัวลงมองแอ่งน้ำบนพื้นอย่างเพ่งพิศ ทันใดนั้นน้ำเย็นๆ หยดหนึ่งก็ร่วงลงมาบนต้นคอ ทำเอาขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
ชายหนุ่มสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ มือใหญ่ยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองโดยที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างนึกสงสัย จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนช้าๆ
ประกายอำมหิตวาบขึ้นในดวงตาคนชุดดำเมื่อเห็นดังนั้น เขาค่อยๆ กระชับมือเข้ากับด้ามกระบี่ พร้อมจะชักออกจากฝักทุกเมื่อ!
เสียงร้องเอะอะพลันดังขึ้นในจังหวะนั้น “ด้านนี้ยังไม่ได้ดู มาช่วยกันค้นทางด้านนี้ก่อน! น่าจะหนีไปได้ไม่ไกลหรอก!”
ได้ยินดังนั้นจินหยวนเป่าก็วิ่งเหยาะๆ ไปทางอีกด้านของเฉลียงโดยไม่ลังเล
คนชุดดำพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก พลางมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของชายหนุ่มอย่างนึกกังขา พอเสียงองครักษ์ดังเข้ามาใกล้กว่าเดิม เขาก็กระโดดลงมาบนพื้น เข้าไปโอบต้นเสาไต่ขึ้นหลังคาแล้วทะยานตัวจากไปอย่างคล่องแคล่ว
“หืม?” จินหยวนเป่าเดินไปทางห้องพักของเจียงเสี่ยวเซวียนพลางสังเกตสถานการณ์รอบตัวด้วยความระแวง ทำไมตรงนี้ถึงได้มีรอยน้ำเหมือนกัน แล้วไหนจะ…รอยเท้าที่ดูเหมือนของบุรุษ? ชายคนนั้นรองเท้าเปียกน้ำ ดูเหมือนจะกระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องนี้ ใครกันนะที่ไม่ยอมเดินออกทางประตู ต้องออกทางหน้าต่างแทน อีกอย่างผลักหน้าต่างกระโดดออกมาราวกับหนี…
ระหว่างที่กำลังคิดเช่นนั้น เสียงแจ้วๆ ของหญิงคนหนึ่งก็ดังออกมาจากข้างใน “นี่มันเสื้อผ้าบ้าอะไรกันนี่ ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปักอะไรรุงรังไปหมด ย่ามของเสืออ้วนยังสวยกว่าเสียอีก! ใส่ยากเป็นบ้า! ยุ่งยากชะมัด!”
ทำไมในห้องถึงไม่มีแสงไฟ จินหยวนเป่าผลักประตูเข้าไปข้างในตามสัญชาตญาณ
ภายในมืดสลัว มองเห็นหน้าค่าตาเจ้าของร่างนั้นไม่ถนัด เห็นได้เพียงรางๆ ว่าแม้นางจะสวมเสื้อผ้าพะรุงพะรัง แต่รูปร่างก็อ้อนแอ้นแบบบางจนสังเกตได้ แสงจันทร์นวลเย็นที่ส่องเข้ามาทำให้อาภรณ์ขาวพร่างทั้งชุดดูงดงามยิ่งกว่าเดิม
แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเขาเป็นคนร้าย จึงได้คว้ากล่องข้างตัวขึ้นมาเขวี้ยงใส่ “ไอ้โจรบ้ากาม ยังกล้ามีหน้ามาอีกนะ!”
โจรบ้ากาม!?
ชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบละล่ำละลักอธิบาย “เจ้าคือคุณหนูเจียงสินะ ข้า…ข้าไม่ใช่…”
ยังไม่ทันได้อธิบายให้จบ ไม้กวาดก็ปลิวตามมา
“ข้าจะเล่นงานเจ้าให้ตายเลยคอยดู!”
ฝ่ายตรงข้ามตวาดอย่างเดือดดาลพลางเขวี้ยงของใส่เขาเป็นพัลวัน หยิบอะไรได้ก็เขวี้ยงดะ โดยที่ปากยังคงก่นด่าไม่หยุด “ไอ้โจรบ้ากาม! ใจทราม! หน้าด้าน!”
จินหยวนเป่าหลบซ้ายหลบขวาให้วุ่น “อย่าเพิ่งเขวี้ยง ข้าไม่ใช่…”
“ทำไมจะไม่ใช่! บุกรุกเข้ามาในห้องสตรีค่ำๆ มืดๆ! ข้าจะเอาเจ้าถึงตาย!”
เมื่อครู่จินหยวนเป่าถูกสุนัขดำงับบั้นท้ายเข้าอย่างจัง ต้องเดินกะเผลกเป็นทุนอยู่แล้ว ตอนนี้มาอยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ ไม่ว่าจะพยายามหลบอย่างไรก็ยังถูกเขวี้ยงโดนอยู่หลายครั้ง
เขาทั้งเจ็บทั้งโมโห จากที่เมื่อครู่ยังรู้สึกละอายแก่ใจอยู่บ้างที่ตนเองบุกรุกห้องของสตรี มาตอนนี้ความรู้สึกผิดดังกล่าวหายวับไปสิ้น “ไหนบอกว่ามาจากตระกูลบัณฑิต หญิงอย่างเจ้ามันกักขฬะชัดๆ!”
“ว่าอย่างไรนะ!? ข้ากักขฬะ!?”
อวี้ฉีหลินเดือดจัด ยิ่งคว้าของมาเขวี้ยงใส่ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นกว่าเดิม จินหยวนเป่าที่หลบไม่พ้นทำได้แค่คว้าแขนอีกฝ่ายไว้
หญิงสาวพยายามสลัดเท่าไรก็สลัดไม่หลุด นางทั้งโกรธทั้งอาย ไอ้โจรบ้ากามคนนี้มันกล้าบ้าบิ่นเหลือเกินจริงๆ! มืออีกข้างที่ว่างตวัดออกไปอย่างไม่ลังเล
จินหยวนเป่าคว้าแขนเล็กข้างนั้นเอาไว้ตามสัญชาตญาณแล้วตะคอกใส่ “เจ้านี่เหมือนคนบ้าไม่มีผิด!”
เพราะคว้าแขนหญิงสาวเอาไว้โดยแรง ร่างของทั้งคู่จึงแทบจะแนบชิดกัน แสงจันทร์สาดส่องลงมาให้สองหนุ่มสาวมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
เดิมทีอวี้ฉีหลินยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย มาตอนนี้แสงจันทร์เหมือนช่วยดึงเสื้อคลุมที่นางสวมไว้อย่างหมิ่นเหม่ให้เลื่อนหลุด เปิดเผยส่วนสงวนวอมแวม
ที่น่าโมโหก็คือผู้บุกรุกมองตรงไหนไม่มอง ดันบังเอิญไปมองเนินอกขาวผ่องที่โผล่พ้นร่มผ้าของนางเข้าพอดี
เสียงบึ้มดังขึ้น…จินหยวนเป่ารู้สึกหน้ามืดเหมือนเลือดร้อนๆ ฉีดขึ้นไปคั่งในหัว เขารีบปล่อยมือหมุนตัวผินหลังให้แล้วเดินเลี่ยงออกไปหลายก้าว
“หืม?” อวี้ฉีหลินมองตามด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ต่อเมื่อรู้สึกเย็นวาบๆ ตรงหน้าอกถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
“กรี๊ด…”
นางสาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยอับอายขายหน้าเท่านี้มาก่อน และไม่เคยหวีดร้องเสียงแหลมสูงขนาดนี้ด้วยเช่นกัน
หญิงสาวรีบกระชับสาบเสื้อมือเป็นระวิง ขณะจ้องมองศีรษะด้านหลังของฝ่ายตรงข้ามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “ไอ้โจรบ้ากาม!”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ!” จินหยวนเป่าละล่ำละลักอธิบาย “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นจริงๆ!”
ยิ่งเขาแก้ตัวแบบนี้ อวี้ฉีหลินยิ่งเดือดหนัก อยากจะเข้าไปเล่นงานก็กลัวว่าเสื้อจะหลุดซ้ำสอง เลยทำได้แค่กระชับคอเสื้อไว้แน่นพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าอย่างฉุนเฉียว “ไอ้โจรบ้ากามไร้ยางอาย! ไอ้โจรบ้ากามที่ควรตายเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง!”
“จะ…เจ้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มผินหน้าไปเหลือบมอง พอเห็นอีกฝ่ายหลบไปยืนตรงโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ค่อยโล่งใจ “ความจริงข้าไม่ใช่โจรบ้ากาม ข้าคือ…”
เพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ อะไรบางอย่างมันๆ เหนียวๆ ก็โปะลงบนใบหน้า อวลกลิ่นหอมซีอิ๊วเข้มข้น…
เขาสูดดมฟุดฟิด ดูเหมือนจะเป็น…
หมูสามชั้นน้ำแดง!?
ชายหนุ่มฉุนกึกขึ้นมาทันที เขาอาศัยแสงจันทร์ก้มลงมองสภาพตัวเอง เสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมอยู่แล้วยิ่งเลอะเทอะจนดูไม่ได้
“จะ…จะ…เจ้า!” ชายหนุ่มโกรธเสียจนพูดไม่เป็นคำ ได้แต่ตะกุกตะกักในคอ
จังหวะนั้นเสียงสุนัขเห่าพลันดังขึ้นด้านนอก ทั้งยังฟังดูใกล้เข้ามาทุกที
จินหยวนเป่าขนลุกเกรียวทั้งตัว
อวี้ฉีหลินวิ่งออกไปที่ประตูอย่างคล่องแคล่วแล้วร้องบอกสุนัขดำที่กำลังตรงเข้ามาทางนี้ “มาๆๆ! กัดเลยๆ!”
กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของหมูสามชั้นปลุกสัญชาตญาณสัตว์ของเจ้าสุนัขดำให้ลุกโชน มันพุ่งเข้าใส่จินหยวนเป่าอย่างไม่ลังเล
“เหวอ…” อารามร้อนรนทำให้คนถูกจู่โจมกระโจนหนีออกมาทางหน้าต่าง แล้วตะโกนทิ้งท้ายพลางวิ่งอ้าว “เจียงเสี่ยวเซวียน! ฝากไว้ก่อนเถอะ…”
อวี้ฉีหลินคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์กับคำฝากแค้น หึๆ ข้าไม่ได้ชื่อเจียงเสี่ยวเซวียนเสียหน่อย! เสียงสุนัขเห่าก้องกังวานเข้าหูอยู่หลายครั้ง แค่จินตนาการว่าอีกฝ่ายถูกเจ้าสุนัขดำโถมตัวเข้าใส่จนล้มลงไปกองกับพื้น นางก็รู้สึกสะใจเป็นที่สุด
ท้องฟ้ามืดสนิท เพราะเมฆดำกลืนพระจันทร์ไปแล้วทั้งดวง
จินหยวนเป่าหนีกระเซอะกระเซิงออกมาจากโรงเตี๊ยม เสียงเห่าของสุนัขกับเสียงตะโกนโหวกเหวกยังดังไล่หลังมาแว่วๆ
อาฝูที่ยืนหลบมุมรอรีบชูเสื้อคลุมเจ้านายวิ่งโร่เข้าไปหาพลางโบกไม้โบกมือให้ “คุณชาย! คุณชาย! ตรงนี้ขอรับ!”
มือปราบหนุ่มวิ่งเข้ามาพลางสะบัดเสื้อที่สวมอยู่ คราบซีอิ๊วผสมน้ำมันเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อ
“คุณชาย ไปโดนอะไรมาขอรับ” บ่าวคนสนิทถามอย่างประหลาดใจขณะส่งเสื้อคลุมไปให้
จินหยวนเป่ารับเสื้อคลุมมาสวมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อาฝูทำจมูกฟุดฟิดสูดหายใจเข้าไปแรงๆ แล้วถามอย่างฉงน “หมูสามชั้นน้ำแดง? ว่าที่ฮูหยินน้อยชวนคุณชายกินหมูสามชั้นน้ำแดงหรือขอรับ”
ผู้เป็นนายทำหน้าบูดหมุนตัวเดินจากไป
อาฝูเป็นคนหัวช้าจึงไม่ทันรู้สึกผิดสังเกตแล้วซักต่อ “ฮูหยินน้อยรูปงามหรือไม่ แล้วก็อ่อนหวานเรียบร้อยอย่างที่เขาพูดกันหรือไม่ขอรับ”
“หึ!” จินหยวนเป่าแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเหยียดหยาม “เป็นหญิงหยาบช้าขี้โวยวายที่ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” อาฝูยิ่งงุนงงหนักกว่าเดิม
คนถูกถามถลึงตามองมาทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินดุ่มๆ จากไปอย่างคร้านจะสนใจ
บ่าวคนสนิทรีบวิ่งตามไปติดๆ “คุณชาย แล้วหลังจากนี้จะไปไหนขอรับ”
“กลับบ้านไปอาบน้ำ!”
สายฝนโปรยปรายลงมาในค่ำคืนมืดมิด
ตะเกียงอ่อนส่องแสงในความสลัว บางครั้งสว่าง บางคราวมืด สร้างบรรยากาศงดงามแบบคลุมเครือ
ทว่านอกรัศมีแสงตะเกียงคือความดำสนิทที่มองอะไรไม่เห็น
เวลานี้บุรุษร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังกอดห่อผ้ายืนอยู่ในเงามืด เสียงเอะอะที่ดังแว่วมาจากทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลทำให้เขาร้อนใจขึ้นทุกที
ทันใดนั้นเงาร่างสีดำก็กระโดดลงมาจากหลังคาโรงเตี๊ยม วิ่งตรงมาทางนี้
ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหา พลางแกะห่อผ้าที่อุ้มอยู่หยิบเสื้อผ้าในนั้นมาสลัดออกแล้วส่งไปให้ แสงตะเกียงส่องให้เห็นใบหน้าเจ้าตัวชัดขึ้นทุกที ชายคนนี้คืออากุ้ย หัวหน้าองครักษ์คฤหาสน์สกุลจินนั่นเอง
คนชุดดำเดินเข้ามาใกล้ ถอดชุดพรางตัวเปียกชุ่มออกแล้วรับเสื้อผ้าที่อากุ้ยยื่นให้
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” อากุ้ยถาม
“ข้างในมียอดฝีมือ เลยฆ่าไม่สำเร็จ” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงเจ็บใจ ขณะก้าวเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในเงามืด
“ยอดฝีมือ? ยอดฝีมือจากไหนกัน หรือว่าพวกมันเตรียมวางแผนป้องกันตัวไว้แล้ว โดยใช้คุณหนูเจียงตัวปลอมล่อให้พวกเราเข้าไปติดกับ?” อากุ้ยตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“พูดยาก ข้ามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ถนัด” คู่สนทนาก้าวออกจากเงามืด โยนชุดเปียกๆ ไปให้อากุ้ย “กลับจวนไปเตรียมคนเอาไว้ ข้าจะไปลองสืบดูก่อน!” แสงตะเกียงวอมแวมทาทาบลงบนใบหน้าคนพูด จะเป็นใครไปได้ หากไม่ใช่หลิ่วเหวินเจา
“ขอรับ”
“อีกอย่าง หาทางกำจัดเสื้อผ้าพวกนี้ทิ้งเสีย”
“รับทราบ”
หลิ่วเหวินเจายืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองตามร่างที่ห่างออกไปทุกทีของอากุ้ย เขาขมวดคิ้วช้าๆ ดวงตาเต็มไปด้วยประกายคมกริบน่ากลัว
โรงเตี๊ยมเหิงชางในเวลานี้เต็มไปด้วยความอลหม่าน
พอได้รู้ว่ามีนักฆ่าบุกเข้าไปในห้องพักของคุณหนู สี่เอ๋อร์ก็ตกใจจนแทบลมจับ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะตั้งสติวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว วิ่งยังไม่ทันถึงที่หมายก็ส่งเสียงไปก่อนตัว “คุณหนู! คุณหนู! เมื่อครู่มีนักฆ่าบุกเข้ามา ท่านปลอดภัยดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”
อวี้ฉีหลินกำลังมะงุมมะงาหราสวมเสื้อผ้าอยู่ในห้อง เครื่องแต่งตัวของเจียงเสี่ยวเซวียนซับซ้อนมากชิ้น ยุ่งยากกว่าชุดที่นางสวมใส่ยามปกติไม่รู้เท่าไร ระหว่างที่กำลังกลุ้มจนเหงื่อตก เสียงหวานเจื้อยแจ้วปานนกขมิ้นของสี่เอ๋อร์ก็ดังเข้าหู เล่นเอานางตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เหมือนดื่มน้ำเย็นๆ เข้าไปตอนอากาศหนาวจัด
“คุณหนู คุณหนู?” เมื่อนางไม่ส่งเสียงตอบ สี่เอ๋อร์ก็คิดว่าคุณหนูคงเสียขวัญจนนิ่งอึ้งไปแล้ว จึงได้คว้าตะเกียงที่แขวนไว้หน้าประตูพรวดพราดเข้ามาในห้อง “คุณหนู ปลอดภัยดีนะเจ้าคะ?” นางปิดประตูลง วางตะเกียงไว้บนโต๊ะ เดินเข้าไปหาอวี้ฉีหลินพร้อมยกมือจะจับ
ทว่าพริบตาต่อมา สี่เอ๋อร์ก็ชะงักตัวแข็ง!
ใบหน้าแบบนี้ไม่ใช่คุณหนู! ไม่ๆๆ หญิงผู้นี้เป็นใครกัน ไม่ใช่คุณหนูของข้าเสียหน่อยนี่นา!
อวี้ฉีหลินเห็นฝ่ายตรงข้ามเบิกตาโตอ้าปากค้างก็นึกว่าจะหวีดร้อง จึงรีบเอามือตะปบปากอีกฝ่ายไว้ “อย่าร้องนะ ข้าไม่ใช่คนร้าย!”
ไม่ใช่คนร้าย? ไม่ใช่คนร้ายแล้วปิดปากข้าไว้ทำไมกัน! สี่เอ๋อร์มองคนตรงหน้าอย่างพรั่นพรึง พอแน่ใจว่าดวงตาคู่นั้นไม่ฉายแววมาดร้ายถึงค่อยพยักหน้าอย่างลังเล
เมื่ออีกฝ่ายให้ความร่วมมือด้วยดี อวี้ฉีหลินจึงค่อยๆ เอามือออกพลางพรูลมหายใจเบาๆ
“เจ้าเป็นใคร แล้วคุณหนูของข้าเล่า” สี่เอ๋อร์มองซ้ายมองขวาด้วยความกังวลใจ ด้วยไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณหนู
สีหน้าร้อนรนของนางทำให้อวี้ฉีหลินรีบอธิบาย “คุณหนูของเจ้าหรือ คงจะอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกไปแล้วกระมัง!”
“จบกัน…” สี่เอ๋อร์ทิ้งตัวนั่งแปะลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “คราวนี้คุณหนูหนีไปแล้วจริงๆ”
ท่าทางคนพูดจะไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เจียงเสี่ยวเซวียนหนีไป อวี้ฉีหลินมองสาวใช้คนนี้ด้วยความฉงน “ดูเหมือนเจ้าจะรู้ว่าคุณหนูของเจ้าจะหนีไปเลยนะ”
สี่เอ๋อร์มองหญิงสาวอย่างกลัดกลุ้ม แล้วทำปากเบะพยักหน้าเหมือนจะร้องไห้ “คุณหนูหนอคุณหนู ท่านทำเช่นนี้เท่ากับฆ่าข้าชัดๆ!”
เสียงตบประตูที่บ่งบอกความร้อนใจพลันดังขึ้นข้างนอก ตามมาด้วยเสียงเหล่าหญิงสูงวัยที่ติดตามขบวนเจ้าสาวมาด้วย
“คุณหนู เปิดประตูหน่อยเจ้าค่ะ!”
“คุณหนูปลอดภัยดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“สี่เอ๋อร์เปิดประตูให้พวกเราเข้าไปดูคุณหนูซิ!”
สี่เอ๋อร์ลุกพรวดขึ้นมาหันรีหันขวางอย่างร้อนรน “ทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ ก่อนออกเดินทางท่านราชเลขาย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องคอยดูคุณหนูให้ดี คุณหนูมาหนีไปภายใต้การดูแลของข้าแบบนี้ ท่านราชเลขามิจับข้าถลกหนังแย่หรือ”
อวี้ฉีหลินแย้งขันๆ “นางหนีไปของนางเอง ถ้าจะถลกหนังก็ต้องถลกหนังนาง จะมาถลกหนังเจ้าทำไม”
เสียงเรียกหน้าห้องดังขึ้นกว่าเก่า ใครบางคนตะโกนบอก “คุณหนูเปิดประตูหน่อยเจ้าค่ะ หากไม่เปิดพวกเราจะพังประตูเข้าไปล่ะนะ!”
“จบกัน!” สี่เอ๋อร์แทบร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ สมองตันตื้อ อับจนหนทางไปเสียทุกอย่าง ได้แต่มองหญิงแปลกหน้าอย่างขอความช่วยเหลือ “จะทำอย่างไรดี”
“อืม…” อวี้ฉีหลินนิ่งคิดก่อนจะแนะไปเบาๆ “บอกไปว่าคุณหนูเสียขวัญมาก ให้ใครเข้าพบไม่ได้”
“อืมๆ!” สาวใช้พยักหน้าถี่แล้วหันไปตะโกนบอกข้างนอกเหมือนนกแก้ว “คุณหนู…เมื่อครู่คุณหนูเสียขวัญมาก ให้ใครเข้าพบไม่ได้”
เสียงเคาะประตูของพวกหญิงสูงวัยที่อยู่ข้างนอกเบาลงไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น กระนั้นก็ยังยืนพูดล้งเล้งอยู่หน้าประตู ไม่มีวี่แววจะจากไป เหมือนยังไม่ยอมตัดใจง่ายๆ
สี่เอ๋อร์มองเงาคนที่ทาบลงบนกระดาษปิดประตูแล้วให้ร้อนรนประหนึ่งมดในกระทะตั้งไฟ
ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็แล่นวาบเข้ามาในสมอง นางเดินฉับๆ ไปที่เตียง หยิบเสื้อผ้าของเจียงเสี่ยวเซวียนขึ้นมาสวม
“นั่นเจ้า…จะทำอะไรน่ะ” อวี้ฉีหลินมองตามอย่างงุนงง
“ไม่เห็นหรือว่าท่านป้าพวกนั้นไม่ยอมไปเสียที” สาวใช้ตอบพลางหันไปมองบานประตูตาขุ่นแล้วว่า “ข้าไม่สนแล้ว ข้าจะสวมชุดคุณหนูหันหลังไปทางประตู น่าจะพอตบตาได้ ถึงอย่างไรพวกนางก็ไม่จับตามองคุณหนูตลอดเวลาหรอก”
“หา?” คนฟังผงะพร้อมคว้ามือเจ้าตัวเอาไว้ “เจ้าปลอมตัวเป็นคุณหนู แล้วใครจะปลอมตัวเป็นเจ้าเล่า”
จริงสินะ…สี่เอ๋อร์อึ้งไป ใครจะปลอมตัวเป็นข้า คุณหนู คราวนี้ท่านผลักสี่เอ๋อร์เข้ากองไฟจริงๆ แล้ว!
คิดๆ ไปนางก็เริ่มทำปากเบะเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ทำไมข้าถึงได้เกิดมารันทดขนาดนี้!”
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นข้างนอกในจังหวะนั้น ท่าทางจะเป็นคนกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว
สักพักเสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นตรงหน้าประตู “ทำไมถึงอยู่ข้างนอกกันหมดล่ะ”
“คุณหนูไม่อนุญาตให้เข้าไปเจ้าค่ะ” หญิงสูงวัยคนหนึ่งรายงาน
“เกิดอะไรขึ้น คุณหนูปลอดภัยดีหรือไม่”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ ประตูลงดาลจากข้างใน สี่เอ๋อร์บอกว่าคุณหนูเสียขวัญ ให้ใครเข้าพบไม่ได้”
“ให้ใครเข้าพบไม่ได้?”
“เจ้าค่ะ…”
“จะได้อย่างไรเล่า! หากเกิดอะไรกับคุณหนูขึ้นมา พวกเจ้าก็รอหัวหลุดจากบ่าได้เลย!” ชายหนุ่มข่มขู่อย่างดุดันแล้วเดินเข้ามาเคาะประตูเบาๆ พลางเอ่ยเสียงก้องกังวาน “คุณหนูเจียง ผู้น้อยหลิ่วเหวินเจา พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลจิน คุณหนูโปรดเปิดประตูให้พวกเราเบาใจหน่อยเถิด”
พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลจิน อวี้ฉีหลินผงะแล้วหันไปสบตาสี่เอ๋อร์
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณหนูเจียง เวลานี้เรายังจับตัวนักฆ่าไม่ได้ เพื่อยืนยันความปลอดภัยของคุณหนู หากท่านยังไม่เปิดประตู พวกเราก็ต้องพังเข้าไป!”
“จบกันๆๆๆๆๆ…” สี่เอ๋อร์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างหมดแรง นัยน์ตาหม่นทื่อไร้ประกายชีวิต ได้แต่ขมุบขมิบปากพึมพำคำเดิมซ้ำๆ
อวี้ฉีหลินเดินเข้าไปฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น “มา รีบช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า!”
สี่เอ๋อร์ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะทำความเข้าใจทัน แล้วรีบช่วยอวี้ฉีหลินใส่เสื้อผ้ามือเป็นระวิง
คนข้างนอกรออยู่นาน คนในห้องก็ยังไม่ส่งเสียงและไม่มีวี่แววว่าจะเดินมาเปิดประตูเสียที ดังนั้นจึงยิ่งร้อนใจหนักกว่าเดิม
“ขออภัยที่เสียมารยาท!”
หลิ่วเหวินเจาพูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูก็ส่งเสียงดัง ‘ปึง’ เมื่อถูกถีบให้เปิดออก
อวี้ฉีหลินกับสี่เอ๋อร์ดึงเสื้อผ้าบนร่างตัวเองให้เรียบร้อยแล้วขึ้นไปนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนเตียง หันหลังให้ประตู
สี่เอ๋อร์ก้าวออกมาขวางทุกคนเอาไว้พลางแสร้งทำขุ่นขึ้ง “นี่มันอะไรกัน!”
หลิ่วเหวินเจาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แล้วตวัดสายตาไปยังแผ่นหลังของอวี้ฉีหลินโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ทำท่าจะเดินเข้าไปดู
สาวใช้ปราดเข้ามาขวางหน้า “ทะ…ทุกท่านโปรดหยุดยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อครู่คุณหนูเสียขวัญมาก พวกท่านเข้ามากันเยอะๆ เกรงว่าจะไม่ดีแน่”
พ่อบ้านหนุ่มยอมหยุดตามคำขอ นัยน์ตาคมยังจับจ้องแผ่นหลังแบบบางที่เห็นอย่างพิจารณาเหมือนเดิม เขานิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะค้อมกายให้สี่เอ๋อร์ “แม่นางท่านนี้ ข้าคือหลิ่วเหวินเจา พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลจิน เห็นว่ามีนักฆ่าบุกเข้ามาในห้องคุณหนู ข้าได้รับคำสั่งจากจินฮูหยินให้มาไถ่ถามเหตุการณ์ให้กระจ่าง ขอแม่นางโปรดอำนวยความสะดวก ข้าจะได้กลับไปรายงานเจ้านายได้”
จะ…จินฮูหยิน? คำคำนี้ทำให้สี่เอ๋อร์นิ่งไปด้วยความยำเกรง ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เสียงแผ่วๆ ของอวี้ฉีหลินดังขึ้นในจังหวะนั้น “สี่เอ๋อร์ ในเมื่อเขาเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์สกุลจินก็จะเสียมารยาทไม่ได้ เชิญพ่อบ้านหลิ่วเข้ามาข้างใน”
“เจ้าค่ะ” สี่เอ๋อร์ปล่อยให้ชายหนุ่มเข้ามาในห้องอย่างใจคอไม่สู้ดีนัก ก่อนจะพูดขึ้นกับคนที่เหลือ “คุณหนูบอกแค่ว่าให้เชิญพ่อบ้านหลิ่วเข้าไปข้างใน พวกท่านไม่ต้องตามเข้ามาด้วยหรอก”
“รับทราบ” ทุกคนรับคำ
หลิ่วเหวินเจาตามสี่เอ๋อร์เข้าไปในห้อง แล้วหยุดยืนห่างจากเตียงนอนประมาณห้าหกก้าว ก่อนจะค้อมศีรษะทำความเคารพ “ผู้น้อยหลิ่วเหวินเจา เห็นว่าเมื่อครู่มีนักฆ่าบุกเข้ามา ไม่ทราบว่าคุณหนูได้รับบาดเจ็บใดๆ หรือไม่” แม้ใบหน้าจะก้มต่ำ ทว่าสายตายังคงจ้องร่างแบบบางเขม็ง
“ขะ…ข้าปลอดภัยดี” อวี้ฉีหลินแสร้งกดเสียงต่ำๆ ให้ฟังดูพรั่นพรึง
“เช่นนั้นก็วิเศษ…แต่…” น้ำเสียงของหลิ่วเหวินเจาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พรุ่งนี้เป็นวันมงคล ถ้าอย่างไรเหวินเจาตามหมอมาตรวจคุณหนูหน่อยดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง!” หญิงสาวรีบร้องห้าม “ข้าแค่ตกใจ ไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนพักสักคืนก็หายแล้วล่ะ”
“อ้อ…ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งวิเศษ” หลิ่วเหวินเจาลองหยั่งเชิงต่อ “ไม่ทราบว่าคุณหนูได้ทันเห็นหน้านักฆ่าหรือไม่”
“ตอนนั้นในห้องมืดมาก ข้ามองอะไรไม่เห็น”
“อ้อ?” พ่อบ้านหนุ่มค่อยๆ หยัดตัวยืนตรง แล้วมองเห็นด้วยความตาไวว่าสี่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่อีกด้านเนื้อตัวสั่นเทา บนหน้าผากมีแต่เหงื่อเม็ดเป้งๆ ดูผิดปกติอย่างยิ่ง
เขาหรี่ตาพลางถามต่อ “นักฆ่าคนนั้นมีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่ายหรือไม่ขอรับ”
อวี้ฉีหลินแอบเหลือบตามองคนถามเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ทันได้สนใจ แต่ดูเหมือนรูปร่างจะใกล้เคียงกับพ่อบ้านหลิ่วมากทีเดียว”
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจแล้วแย้งว่า “คนรูปร่างใกล้เคียงกันมีอยู่มากมาย บอกแค่นี้ก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรนะขอรับ”
“พ่อบ้านหลิ่วกล่าวถูกแล้ว ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
“ข้าทราบแล้วว่าเหตุการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างไร โชคดียิ่งนักที่คุณหนูปลอดภัยดี เช่นนั้นเหวินเจาไม่กล้ารบกวนแล้ว ขอลากลับก่อน”
“อ้อ…ค่อยๆ เดินนะ!”
หลิ่วเหวินเจาก้าวถอยออกไปด้วยสีหน้าระแวงสงสัย
พอเขาเดินออกจากห้อง พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลเจียงกับเหล่าหญิงสูงวัยก็รีบกรูเข้ามาถาม “เป็นอย่างไร คุณหนูปลอดภัยดีหรือไม่”
ชายหนุ่มยิ้มบาง “พ่อบ้านหวังโปรดวางใจ คุณหนูปลอดภัยดี”
“อมิตาภพุทธ ฟ้าดินคุ้มครองแท้ๆ!”
“แต่…” หลิ่วเหวินเจาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเครียดขรึม “จะปล่อยให้เวรยามในครึ่งคืนหลังหละหลวมไม่ได้เป็นอันขาด ข้าพาคนสกุลจินมาด้วย พวกเราผลัดเวรกันเฝ้าตรวจตรา อย่าให้ไอ้นักฆ่านั่นมันมีโอกาสย้อนกลับมาได้”
“ขอรับๆๆ!” พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลเจียงพยักหน้ายิก “พ่อบ้านหลิ่วคิดการณ์รอบคอบถ้วนถี่ ตกลงตามนี้ เด็กๆ ล้อมเรือนพักของคุณหนูไว้เป็นอันดับแรก!”
พอชายหนุ่มเดินออกไป สี่เอ๋อร์ก็เดินตามไปปิดประตูลงช้าๆ หญิงสองคนที่อยู่ในห้องมองหน้ากัน จวบจนได้ยินเสียงกลุ่มคนที่อยู่หน้าประตูแยกย้ายกันไปแล้ว ถึงค่อยถอนหายใจเหยียดยาวด้วยความโล่งอก
สี่เอ๋อร์รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งตัว นางเดินลากขาเข้าไปหาหญิงสาวแปลกหน้าเหมือนศพเดินได้แล้วว่า “ทำอย่างไรดี พวกเขาจะล้อมที่นี่เอาไว้”
ระหว่างที่พูดเช่นนั้นเสียงเอะอะก็แว่วมาจากนอกหน้าต่าง อวี้ฉีหลินรีบย่องไปชะโงกหน้าดู แลเห็นเงาคนอยู่ด้านล่างขวักไขว่ พวกองครักษ์พากันส่งสัญญาณคำสั่งล้อมเรือนแห่งนี้เอาไว้อย่างแน่นหนาจนแทบไม่มีช่องว่าง
นางขมวดคิ้วแล้วสาวเท้าเดินไปดูตรงหน้าต่างอีกบาน สถานการณ์เหมือนกันทุกประการ
สี่เอ๋อร์ทิ้งตัวลงนั่งปวกเปียกอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ดวงตามองตามความเคลื่อนไหวของอวี้ฉีหลินที่กำลังหาลู่ทางกระโดดหนีออกไป สักพักหนึ่งพอเห็นอีกฝ่ายทำคอตกก็พึมพำถาม “ไม่มีทางออกล่ะสิ”
อวี้ฉีหลินพยักหน้าหนักๆ “คราวนี้จบเห่กันจริงๆ แล้ว รอบเรือนถูกองครักษ์ปิดล้อมเอาไว้ กระทั่งแมลงวันสักตัวก็คงบินออกไปไม่ได้”
“ฮึก…” สี่เอ๋อร์สะกดอารมณ์อยู่นาน สุดท้ายน้ำตาก็ยังร่วงพรูลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ “จบกันๆๆ จะทำอย่างไรดีนะ พรุ่งนี้เป็นวันวิวาห์ วันนี้เลี่ยงได้ก็จริง แต่จะเลี่ยงได้ถึงเมื่อไร คุณหนูหนีไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องตายอยู่ดี”
อวี้ฉีหลินมองอีกฝ่ายร้องไห้แล้วให้รู้สึกรำคาญนิดๆ กระนั้นก็ยังนั่งลงสงบสติอารมณ์ กลอกดวงตากลมโตสุกใสของตนไปมาระหว่างพยายามคิดหาทางออก “กลัวอะไรกันเล่า พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงเสียหน่อย พอถึงเวลาจริงต้องมีทางแก้ไขบ้างล่ะน่า”
สี่เอ๋อร์ปาดน้ำตา “ยังจะมีทางแก้อะไรอีกเล่า คุณหนูหนีไปแล้วนะ!”
นี่แหละโอกาสของข้า! ความคิดนี้วาบเข้ามาในหัว อวี้ฉีหลินวางแผนอยู่ในใจก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ขอเพียงเจ้าให้ความร่วมมือกับข้า บางทีทั้งเจ้าและข้าอาจไม่ต้องตายทั้งคู่”
“ให้ความร่วมมือ?” ดวงตาชุ่มน้ำของสี่เอ๋อร์กะพริบปริบๆ มองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“อือฮึ” อวี้ฉีหลินอมยิ้มเจ้าเล่ห์
‘ก๊อก!…ก๊อกๆ’ เสียงเคาะเกราะไม้ช้าหนึ่งครั้งเร็วสองครั้งดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคุ้นหูของคนบอกโมงยาม “อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ ปิดประตูหน้าต่างให้ดี ระวังหัวขโมย!”
ยามสามแล้ว
โรงเตี๊ยมเหิงชางที่อลหม่านอยู่พักใหญ่ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบทีละน้อย ร่างระหงอ้อนแอ้นวิ่งออกจากมุมมืดในตรอก เหลียวมองรอบตัวอย่างระมัดระวังจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น ถึงค่อยขยับห่อผ้าที่สะพายอยู่บนไหล่ออกวิ่งต่อ
กลิ่นอายราตรีเข้มข้นขึ้นทุกที
ลมเย็นรำเพยผ่านใบไม้ที่พราวไปด้วยหยดน้ำฝน โชยมาหาเปลวไฟอ่อนในดวงโคมใต้ชายคา และพัดผ่านอาภรณ์ชั้นในเปียกชื้นของหลิ่วเหวินเจาผู้มีสีหน้านิ่งขรึม
เขาเดินกลับห้องตัวเองด้วยฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็วเหมือนอย่างปกติ คล้ายไม่เกิดเหตุใดๆ ขึ้นทั้งสิ้น
แต่ใครเลยจะรู้ว่าใจเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความคิดละเอียดซับซ้อน
ราชเลขาเจียงเป็นขุนนางบุ๋น เหตุใดจึงมีธิดาเยี่ยมยุทธ์ได้ อีกอย่างก่อนหน้าที่เจียงเสี่ยวเซวียนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เขายังไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อนว่าคุณหนูเจียงมีวรยุทธ์สูงส่ง
เรื่องนี้ดูมีพิรุธอย่างยิ่ง จะต้องหาโอกาสตามสืบให้กระจ่าง เจียงเสี่ยวเซวียนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ…
พ่อบ้านหนุ่มคิดพลางพาร่างชื้นๆ อันแสนอ่อนเพลียของตนผลักประตูเดินไปยังโต๊ะกลมที่ตั้งอยู่กลางห้องช้าๆ แล้วหยิบแท่งขีดไฟมาจุดเทียน ห้องมืดสลัวสว่างไสวขึ้นมาทันตา
เขาครอบฝาตะเกียงแล้วเดินไปที่เตียงนอนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก… ทันใดนั้นก็ชักกระบี่หันขวับไปอีกทาง!
คมกระบี่สะท้อนแสงเป็นสีเงินวาววับ พาดเข้ากับลำคอของคนที่ยืนอยู่ในมุมมืด หลิ่วเหวินเจาผงะไปเล็กน้อย หันไปคว้าตะเกียงมาส่องจนเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดแล้วยิ่งตกใจกว่าเดิม
เขาเก็บกระบี่คืนฝักช้าๆ “เจ้านั่นเอง”
“ข้าเอง…”
เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงสตรีที่ฟังดูเหนื่อยล้าอ่อนระโหย แฝงไว้ซึ่งความทุกข์ใจ “คุณชายหลิ่ว ข้าเข้ามารอท่านอยู่ในนี้ตั้งนาน”
หลิ่วเหวินเจาขมวดคิ้วมองใบหน้าอิดโรยของนางอย่างไม่ใคร่พอใจนัก “ประกาศจับเจ้าถูกปิดไปทั่วเมือง เจ้ากล้ามาหาข้าถึงนี่ได้อย่างไร” พูดจบก็หมุนตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะกลม
หญิงสาวก้มหน้าเดินตามไปเล็กน้อย “ข้าไม่มีที่ไป จึงต้องมาหาท่าน”
แสงจากตะเกียงส่องให้เห็นใบหน้านางได้ชัดเจนขึ้น ใบหน้าดวงนั้นงดงามหยาดฟ้า ดูแปลกตาแบบคนต่างแดน หญิงสาวคนนี้คือนางโลมคนดังแห่งหอเชียนเจียว…ฉู่ฉู่
“ฉู่ฉู่ เจ้านี่กล้าไม่น้อยจริงๆ” ชายหนุ่มยกป้านชาขึ้นมารินใส่จอกด้วยสีหน้าราบเรียบ ยกขึ้นจิบอึกหนึ่งแล้วพูดต่อ “รู้หรือไม่ว่าไม่เพียงแต่ทางการที่หาตัวเจ้าให้ควั่ก กระทั่งนายเหนือหัวก็ตามหาเจ้าอยู่”
ฉู่ฉู่เม้มปากถาม “เจ้านายของพวกเราเป็นใครกันแน่”
คำถามนั้นทำให้หลิ่วเหวินเจาหันมามองนางด้วยแววตาเคร่งเครียดแล้วบอกเป็นเชิงขู่ “เจ้านายเป็นใคร นายเหนือหัวเป็นใคร เจ้ายิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น อย่าตามสืบส่งเดช รีบหายไปจากเมืองหลวงเสีย แล้วเจ้าจะมีชีวิตรอด”
“นึกหรือว่าข้าไม่อยากไปจากที่นี่โดยเร็ว ข้าไม่มีเงินติดตัวสักแดง จะหนีไปทางไหนก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น”
พ่อบ้านหนุ่มวางจอกชาลงกับโต๊ะ นิ่งเงียบไม่ตอบคำ
ดูเหมือนจะพอมีโอกาสนะ? ฉู่ฉู่รีบพูดต่อ “ข้าไม่มีญาติมิตรที่ไหน คุณชายหลิ่ว มีแต่ท่านที่ช่วยข้าได้”
หลิ่วเหวินเจาหันไปมองนางพร้อมรอยยิ้มเย็นชาตรงมุมปาก “รู้ได้อย่างไรว่าข้าจะช่วยเจ้า ไม่ใช่ฆ่าเจ้า!?”
“คุณชายหลิ่วไม่ทำอย่างนั้นหรอก…” นางโลมคนดังสบตาเขาอย่างมั่นคง “ฉู่ฉู่ระหกระเหินเร่ร่อนมาตั้งแต่เล็ก ที่จำใจต้องทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้ก็เพื่อความอยู่รอด เพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาทั่วไปสักวัน พวกเรารู้จักกันไม่ถึงสามปีก็จริง แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่เหมือนคนพวกนั้น”
ไม่รู้เพราะเหตุใดฉู่ฉู่ถึงได้รู้สึกว่ามีแต่บุรุษตรงหน้าเท่านั้นที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้นางในเวลาเช่นนี้…
ทว่าเขากลับมองนางด้วยแววตาเฉยชา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทางสีหน้า
ความหวังของฉู่ฉู่ค่อยๆ มอดดับลงทีละน้อยขณะขมุบขมิบปากพึมพำ “ช่างเถิด…ข้ารู้ว่าท่านเองก็มีความทุกข์ของท่าน”
ประโยคนั้นเป็นเสมือนเข็มแหลมที่เสียดแทงเข้ามาในหัวใจหลิ่วเหวินเจา
ไม่ได้เจ็บปวดรุนแรงและใช่ว่าจะทนไม่ไหว ทว่าก็สัมผัสรับรู้ได้อย่างชัดเจน
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองฉู่ฉู่อย่างครุ่นคิด อีกทั้งยังสบตานางที่กล้าจ้องมองกลับมาอย่างอาจหาญ
ชายหนุ่มยกจอกชาขึ้นบดบังเสี้ยวความรู้สึกที่สะท้อนออกมาทางสีหน้า “เจ้าต้องหลบๆ ซ่อนๆ มานานขนาดนี้คงจะเหนื่อยเต็มที คืนนี้พักผ่อนที่นี่เสียให้สบาย พรุ่งนี้ข้าจะหาทางส่งเจ้าออกจากเมืองหลวง”
คำพูดของเขาเป็นราวกับเสียงสวรรค์ก็ไม่ปาน
ฉู่ฉู่รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยภาระหนักอึ้ง นางรีบก้มตัวลงคำนับ ค้อมศีรษะต่ำ เอ่ยขอบคุณเขาจากใจจริง “ขอบคุณ! ขอบคุณมาก! ข้านึกอยู่แล้ว…”
เสียงหวานยังไม่ทันได้พูดจบ หลิ่วเหวินเจาก็เงื้อมือขึ้นฟาดท้ายทอยนางเสียก่อน
นางโลมผู้น่าสงสารล้มพับลงไปโดยไม่มีโอกาสจะได้ส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ
ประมาณหนึ่งเค่อ* ให้หลัง หลิ่วเหวินเจาก็เดินหน้าเครียดออกจากห้องแล้วปิดประตูลง
เขาสาวเท้าเดินฉับๆ ไปทางเรือนนอนข้ารับใช้สกุลจิน ระหว่างทางยังปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว จนกลับมามีใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์อีกครั้ง
พอเดินมาถึงเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ลึกที่สุด เขาก็ยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามครั้ง
“มาแล้วๆ ดึกขนาดนี้ยังมีใครมาอีกนะ” เจ้าของเรือนรีบส่งเสียงตอบรับ ตามมาด้วยเสียงสวบสาบคล้ายกำลังสวมเสื้อผ้า
“อากุ้ย ข้าอยากปรึกษากับเจ้าเรื่องการรักษาความปลอดภัยในงานมงคลวันพรุ่งนี้สักหน่อย” หลิ่วเหวินเจาบอกเสียงก้อง
บานประตูเปิดออกดัง ‘แอ๊ด’ อากุ้ยโผล่หน้าออกมามองซ้ายมองขวา ก่อนจะหัวเราะในคอพลางต้อนรับอย่างสนิทชิดเชื้อ “พ่อบ้านหลิ่วนั่นเอง เชิญเข้ามาก่อนเร็วเข้า!”
เขารอจนแขกก้าวเข้ามาข้างในแล้วปิดประตูลง
หลิ่วเหวินเจาเอื้อมมือเข้าไปหยิบเครื่องประดับศีรษะเปื้อนเลือดที่มีลักษณะเหมือนของจากแดนตะวันตกออกมาพลางพูดเบาๆ “ไปรายงานนายเหนือหัว ฉู่ฉู่จะไม่โผล่มาให้เห็นอีกแล้ว”
“ฉู่ฉู่ตายแล้วหรือ” อากุ้ยผงะไปเล็กน้อย
“อืม” อีกฝ่ายพยักหน้า
อากุ้ยรับเครื่องประดับชิ้นนั้นมาอย่างเข้าใจแล้วถามต่อ “ฆ่าเจียงเสี่ยวเซวียนไม่ได้ จะไปรายงานนายเหนือหัวอย่างไรเล่า”
คำถามนั้นทำให้หลิ่วเหวินเจานึกถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ นัยน์ตาคมฉายประกายเหี้ยมเกรียมขณะแค่นเสียงดุดัน “ฆ่าไม่ได้ก็ทำลายเสีย”
“ทำลาย?” คู่สนทนามีสีหน้างุนงง
“นายเหนือหัวไม่ต้องการให้สกุลจินกับสกุลเจียงแต่งงานกันไม่ใช่หรือ ทำให้เจ้าสาวกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์เสีย ต่อให้จินหยวนเป่าแต่งงานกับนางจริงก็ทำไปเพราะความจำใจ เท่ากับทำลายจุดประสงค์แอบแฝงของไทเฮา พรุ่งนี้จงไปจัดการเตรียมพลุไว้ทำให้เจ้าสาวเสียโฉม!”
“รับทราบ!”
* เค่อ เป็นการนับช่วงเวลาอย่างหนึ่งของจีน 1 เค่อเทียบเวลาประมาณ 15 นาที
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments