X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย โฉมสะคราญล่มเมือง เล่ม 1 บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 19

บทที่สาม

 

ศาลาเงียบสงบทอดยาวไปในสระน้ำ ไม่มีรั้วรอบอันใด สายน้ำสีครามและบันไดหยก* สีขาวหลอมรวมเป็นหนึ่ง ร่างอรชรร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดหยก ประสานรวมกับสายน้ำและแผ่นหยกงาม

ผมยาวดำขลับราวแพรไหมถูกผูกไว้ด้วยแถบผ้าไหมสีเงิน ยิ่งทำให้กุยหวั่นดูผิวขาวราวหิมะ บนใบหน้างดงามนั้นมีรอยยิ้มบางๆ นางนั่งเงียบๆ อยู่บนบันไดหยกตามลำพังเนิ่นนานแล้ว จมอยู่ในโลกของตนเองพลางยื่นมือไปกวักน้ำเล่นอย่างสบายใจ ระลอกน้ำจากปลายมือนางกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้าง นางรู้สึกสนุกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้จึงทำซ้ำแบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ความคิดนั้นล่องลอยไปไกล เรื่องที่เกิดขึ้นในครึ่งเดือนนี้ชวนให้น่าขบคิดยิ่ง นางต้องจัดการความคิดของตนเองให้ดี

ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้นางกลายเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง แต่งเข้ามาในจวนอัครเสนาบดี แต่งงานกับผู้ที่มีฐานะเป็นรองแค่เพียงองค์ฮ่องเต้เท่านั้น

รูขาดบนชุดแต่งงานนั้นด้วยฝีมือยอดเยี่ยมของหลิงหลงทำให้ดูตำหนิอะไรไม่ออกเลย แต่ว่า…ดูไม่ออกก็เท่ากับไม่มีแล้วหรือ รอยขาดถูกการเย็บปักอันประณีตปกปิดไว้ รอยขาดนั้นก็ไม่คงอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ…นางไม่ชอบหลอกตนเอง

ระลอกน้ำกระจายตัวออกไปวงแล้ววงเล่า นางรู้สึกถึงความเย็นที่ส่งมาจากมือ แต่กลับไม่คิดที่จะชักมือกลับ สามีของนางมีอำนาจล้นฟ้า และยังเป็นชายหนุ่มรูปงามเป็นที่โจษจันไปทั่วหล้า นิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล เข้าอกเข้าใจคนเป็นอย่างดี ดูเหมือนไม่มีข้อเสียใดเลย คิดแล้วก็น่าขำในชะตากรรมของตนเอง แม้นในคืนวันแต่งงาน สามีผู้ซึ่งเพียบพร้อมไร้ที่ติตามคำเล่าลือนั้นนางยังไม่เห็นเลยว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร

‘ในวังเรียกตัวด่วน ไม่อาจปฏิเสธได้ ขอฮูหยินได้โปรดเข้าใจด้วยนะเจ้าคะ’ แม่นมจางอธิบายด้วยรอยยิ้ม

หลังจากลงกลอนประตูวังแล้ว ไม่มีบุรุษคนใดเข้าไปด้านในได้ไม่ใช่หรือ

แต่…ท่านอัครเสนาบดีจะเหมือนคนอื่นได้อย่างไร เขาได้รับป้ายคำสั่ง สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ทั้งฮ่องเต้ยังทรงสร้างเรือนตากอากาศให้เขาอีกด้วย…

สามีของนางช่างมีอำนาจเหนือสวรรค์จริงๆ

คืนวันแต่งงานผ่านไปอย่างงุนงงท่ามกลางคำอวยพรและคำชมของแขกเหรื่อ รวมถึงการประจบประแจงและสายตามองสำรวจของบรรดาบ่าวไพร่สาวใช้

วันรุ่งขึ้น เรื่องน่าตกใจยิ่งกว่ารอนางอยู่ ตอนกำลังกินอาหารเช้า ผู้เป็นสามีก็รีบรุดกลับมา

กุยหวั่นเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกตะลึง

สามีของนางก็คือชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเหยาอิ๋งคนนั้นซึ่งเคยได้พบกันในวัดหงฝูเมื่อครึ่งปีก่อน สิ่งที่แตกต่างจากครึ่งปีก่อนก็คือเขาดูเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม ดูมีบารมีเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า

กุยหวั่นรู้สึกงุนงง ครึ่งปีก่อนตอนที่พบเขา นางไม่รู้ฐานะของเขา คิดว่าเขากับเหยาอิ๋งเป็นคู่รักกัน แต่หลังจากไหว้พระได้หนึ่งเดือน นางก็ได้ยินว่าเหยาอิ๋งเข้าวังไปเป็นพระชายาเสียแล้ว ตอนนั้นนางเองยังรู้สึกสงสัยมาก บางครั้งก็จะนึกถึงชายหนุ่มอ่อนโยนที่อยู่ข้างกายเหยาอิ๋งผู้นั้นขึ้นมา

คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวตรงหน้านางอีกครั้ง และยังอยู่ในฐานะ ‘สามี’ ของนางเช่นนี้

กุยหวั่นเผยอปากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงตัดสินใจไม่พูด รอให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง

โหลวเช่อมองดูหญิงสาวที่งดงามจับใจตรงหน้าผู้นี้ ในใจรู้สึกผิดอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดกับนางอย่างไร สุดท้ายสิ่งที่โพล่งออกไปจากปากกลับเป็น “อาหารเช้าถูกปากหรือไม่”

* บันไดหยก เป็นคำเรียกอย่างไพเราะของบันไดหิน

ประโยคแรกตอนที่พบหน้านางกลับเป็นการถามว่า ‘อาหารเช้าถูกปากหรือไม่’ กุยหวั่นทนไม่ไหว หัวเราะออกมาในที่สุด นางดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นผู้ที่มีอำนาจบารมี

เสียงหัวเราะนี้ทำให้บรรยากาศอึดอัดสลายไป โหลวเช่อมองดูรอยยิ้มที่ราวกับดอกไม้ผลิบานของกุยหวั่นแล้ว ในดวงตาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น แต่แล้วเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ แม้ท่าทีจะไม่เปลี่ยน ทว่ารอยยิ้มในดวงตากลับค่อยๆ จางหายไป

เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขา กุยหวั่นก็หุบยิ้ม มองหน้าเขาอย่างสงบนิ่ง ความรู้สึกบอกนางว่าสามีของนางมีเรื่องสำคัญมากจะพูดกับนาง

และเป็นจริงดังคาด โหลวเช่อสั่งให้บ่าวไพร่ทั้งหมดออกไป ภายในโถงเหลือนางและเขาเพียงสองคน

แม้จะเตรียมใจเอาไว้อย่างดีแล้ว แต่คำพูดที่เขาพูดต่อมายังคงสร้างความตื่นตระหนกให้แก่นางไม่น้อย

โหลวเช่อบอกกับนางว่าตนเองไม่อาจเป็นสามีที่ดีได้ ขอให้นางอภัยให้

นางยิ้มแล้วถามเขาว่าเป็นเพราะเหยาอิ๋งใช่หรือไม่

โหลวเช่อมีท่าทางจนใจ ก่อนจะตอบนางว่าใช่แล้ว

ได้ยินคำตอบหนักแน่นเช่นนี้ กุยหวั่นก็ได้แต่ตกตะลึงแล้วเงยหน้าขึ้นมองโหลวเช่อ ชายหนุ่มอ่อนโยนยิ้มบางๆ ราวกับรู้สึกสบายใจ แต่ในดวงตาแฝงความขื่นขมที่ยากจะสังเกตเห็นเอาไว้

ที่แท้ชายหนุ่มผู้มีอำนาจล้นฟ้าผู้นี้ก็มีเรื่องที่ทำไม่ได้ มีความจนใจและเสียดายเช่นกัน ทั้งสองนิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่กุยหวั่นจะพูดขึ้นทันใด ‘เช่นนั้นต่อไปข้าควรจะทำอย่างไรเล่า’

โหลวเช่อพูดเสียงอ่อนโยน ‘นอกจากความรักแล้ว ไม่ว่าอะไรข้าก็สามารถให้เจ้าได้’

กุยหวั่นมองหน้าเขาอย่างตกใจ รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังให้คำสัญญากับนางอยู่ เป็นคำสัญญาที่ล้ำค่ายิ่ง

โหลวเช่อพูดกับนางต่อด้วยความจริงใจและอ่อนโยน ‘เจ้าเห็นข้าเป็นพี่ชายก็ได้ ขอเพียงเจ้ายินดี ข้าจะเป็นห่วงเจ้า ปกป้องเจ้าและรักเอ็นดูเจ้า ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทองของมีค่าหาได้ยาก หรือจะเป็นฐานะอำนาจ ข้าก็จะพยายามทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ’

กุยหวั่นตะลึงงัน นางจ้องนิ่งไปในดวงตาของเขาแล้วถามว่า ‘ทุกอย่างตามที่ข้าต้องการหรือ’

‘ใช่แล้ว ทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ ข้าจะให้ยศศักดิ์ที่หญิงทุกคนบนโลกนี้ใฝ่ฝันแก่เจ้า’

สามารถทำทุกอย่างตามที่นางต้องการได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ

 

มือแช่น้ำในสระนานเกินไปจนเริ่มเย็นเฉียบ นางจึงดึงมือกลับ มองดูคลื่นน้ำค่อยๆ สงบนิ่ง กุยหวั่นฉีกยิ้ม น้ำในสระสะท้อนเงาของนาง เหมือนสาวงามสองคนกำลังจ้องหน้ากัน ดูงดงามอย่างน่าประหลาด

ควรจะทำอย่างไร ควรจะทำอย่างไรดีหนอ

นางเติบโตมาในตระกูลสูงศักดิ์ เห็นการชิงดีชิงเด่นปัดแข้งปัดขากันมาจนเคย เห็นคนมีสามภรรยาสี่อนุมาจนชิน นางไม่ค่อยสนใจกับเรื่องความรักมากนัก และไม่ยึดติดจะไปค้นหา ฉะนั้น…สามีเช่นนี้นับว่าดีที่สุดแล้วกระมัง

ไม่ขออะไรจากนาง ทำให้นางไม่รู้สึกมีภาระอะไร ซ้ำยังสัญญาว่าจะให้สิ่งที่ดีที่สุดบนโลกนี้แก่นาง รูปโฉม ความร่ำรวยและฐานะ นางไม่ขาดอะไรเลย ครึ่งเดือนมานี้เป็นไปตามคำสัญญาของเขา ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเหมือนพี่น้อง เขารักใคร่เอ็นดูนางมาก ของล้ำค่าหายากทั่วแคว้นถูกส่งมาตรงหน้านางไม่ขาด พี่ชายของนางได้เลื่อนสามขั้นเพียงชั่วข้ามคืน ความรุ่งโรจน์ทุกอย่างล้วนพุ่งเข้าหานาง

เขากำลังเอาใจนาง พยายามทำให้นางพอใจ ได้สามีเช่นนี้ยังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ

ยังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ

กุยหวั่นฉีกยิ้ม ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ยิ้มอย่างหยิ่งทะนง ยิ้มอย่างเลื่อนลอย นางไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ นางได้ทุกอย่างแต่กลับเหมือนไม่ได้อะไรเลย สิ่งที่นางต้องการคืออะไรกันแน่ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้

นางรู้สึกว่านิ้วมือเย็นเฉียบจึงยกมือขึ้น จ้องไปยังสิบนิ้วเรียวของตนเอง จึงได้สังเกตเห็นว่าบนข้อมือสวมกำไลหยกเอาไว้ มันมีลักษณะกระจ่างใสเหมือนผิวของนาง เนื้อหยกขาวมีลายแดงราวเส้นเลือดอยู่ เมื่อยกมือขึ้นก็จะไหลเลื่อนเบาๆ เหมือนมีชีวิต กำไลวงนี้ทำจากหยกขาวมันแพะ* ที่เลื่องชื่อด้วยความประณีต เป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นต้าฉยง กำไลหยกขาวมันแพะริ้วแดงที่มีหนึ่งเดียวใต้หล้า บัดนี้สวมอยู่บนข้อมือของนาง

มูลค่าของมันเพียงพอจะให้คนทั้งเมืองหลวงกินอยู่อย่างบริบูรณ์ได้สามเดือน ของล้ำค่าเช่นนี้ หรูหราเช่นนี้ เสียดแทงใจเช่นนี้…

นางมักจะคิดถึงเหยาอิ๋งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในตำหนักใน

นั่นเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ กุยหวั่นถอนหายใจออกมาเบาๆ ครึ่งเดือนมานี้นางเข้าใจเหตุต้นผลปลายของเรื่องราวนี้อยู่บ้าง สำหรับหญิงสาวที่คุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้าผู้นั้น นางก็แยกไม่ชัดว่าตนเองแค้นหรือโมโห หรือว่าจนใจ

ลือกันว่าหลังจากเหยาอิ๋งเข้าวังก็ได้รับความโปรดปรานอย่างมาก เวลาไม่ถึงครึ่งปีก็ขึ้นเป็นกุ้ยเฟย** ได้แล้ว นางจะคิดอย่างไรกัน หรือว่าเพราะรู้สึกละอายใจจึงหาภรรยาที่มีรูปโฉมไม่ด้อยไปกว่าตนเองมาให้คนรักอย่างนั้นหรือ ตอนแรกที่กุยหวั่นได้รับราชโองการสมรสพระราชทานรู้สึกแค่เพียงไม่น่าเชื่อ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะมีสาเหตุเช่นนี้

แล้วสามีผู้อ่อนโยนนุ่มนวลของนางเล่าคิดอย่างไร รักหญิงคนเดียวกับฮ่องเต้ ดังนั้นจึงไม่อาจไม่ปล่อยมือ แต่กลับยินดีจะเล่นกับอำนาจเพื่อหญิงผู้นั้น นี่ถือว่าสำเร็จก็มีแผน ล้มเหลวก็มีแผนได้หรือไม่

ทุกอย่างล้วนวุ่นวาย ไม่เข้าใจก็วุ่นวาย เข้าใจก็วุ่นวาย ไม่จัดการก็วุ่นวาย จัดการแล้วก็ยังวุ่นวาย และอาจจะวุ่นวายซ้ำซ้อนยิ่งขึ้นก็เป็นได้

ไม่คิดแล้ว รำคาญใจแล้ว

กุยหวั่นตัดใจจากความคิดทั้งหมดนั้น ก่อนจะนวดคลึงต้นขาที่เริ่มปวดเบาๆ แล้วส่องหน้ากับผิวน้ำที่กระจ่างใส ปัดผมที่สยายลงมาขึ้นและจัดแต่งใบหน้าของตนเอง

 

โหลวเช่อเดินมาถึงสวนดอกไม้หลังเรือนของตนเอง สิ่งที่เห็นก็คือภาพความงามนี้

น้ำใสเคียงคู่กับบันไดหยก กุยหวั่นนั่งอยู่บนบันไดหยก กำลังส่องน้ำที่ใสดั่งกระจกสางจัดแต่งผม กิริยางดงามเป็นธรรมชาติ รูปโฉมงดงามจับใจ ช่างเป็นคนที่มีใบหน้าราวดอกไม้งาม ทรวดทรงอรชรดั่งกิ่งหลิวเสียจริงๆ ความงามที่บรรยายไม่รู้จบ ความสวยที่มองเท่าใดก็ไม่เบื่อ

ภรรยาของตนเองงดงามเพียงใด เขาเองก็รู้ดี นอกจากความงามแล้ว นางยังมีสิ่งที่ลึกล้ำไปกว่านั้น นางเรียบง่าย สูงศักดิ์ และยังมีท่าทางที่เป็นธรรมชาติ

เขาติดค้างความสุขแก่นาง จึงพยายามสุดความสามารถที่จะชดเชยให้นางจากสิ่งอื่น เขาสัญญากับนางว่าจะทำให้นางทุกอย่างตามที่ต้องการ เมื่อใดที่นางต้องการความสุข เขาก็ยินดีจะเป็นพี่ชาย ให้อิสระแก่นาง ปล่อยให้นางบินไปยังที่สูง

เขาเดินไปถึงด้านหลังของกุยหวั่นแล้วเอ่ยเรียกนางอย่างอ่อนหวาน “กุยหวั่น”

กุยหวั่นหันหน้ามาทันที ตอนที่เห็นว่าเป็นเขา นางก็ฉีกยิ้มงดงามออกมา “ใต้เท้าสามี”

* หยกขาวมันแพะ เป็นหยกสีขาวขุ่นเหมือนไขมันของแพะ เนื้อละเอียดไร้รอยตำหนิ เกลี้ยงเกลาและวาวแสง

** กุ้ยเฟย คือตำแหน่งพระอัครชายา มีศักดิ์รองจากหวงโฮ่วหรือฮองเฮา (พระอัครมเหสี) แต่สูงกว่าเฟย (พระชายา)

นี่เป็นสรรพนามเฉพาะที่นางตั้งให้เขาหลังจากแต่งงานกัน ใต้เท้าเป็นยศศักดิ์ สามีเป็นฐานะ ช่างเป็นคำเรียกที่สนิทสนมกันยิ่งนัก

โหลวเช่อได้ยินก็หัวเราะ เขาคุ้นเคยกับการเรียกชื่ออันอ่อนหวานของนางไปโดยไม่รู้ตัว “อยู่บ้านเบื่อมากหรือไม่” เขาถาม ครึ่งเดือนมานี้จะมีขุนนางผู้สูงศักดิ์มาเยือนที่บ้านทุกวัน เขารู้ว่านางจัดการทุกอย่างได้ดีมาก นางมีวิธีรับมือกับทุกผู้คนและยังทำได้อย่างชำนาญอีกด้วย

มีลักษณะนิสัยแตกต่างกับหญิงสาวผู้อ่อนแอที่อยู่ในวังผู้นั้น

กุยหวั่นไม่ได้ใสซื่อเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก เทียบกับความอ่อนโยนภายนอกแล้ว นางอาจจะมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งยิ่งกว่า

เมื่อประสานเข้ากับแววตาแฝงคำถามของนาง เขาก็เสนอขึ้นว่า “ข้าพาเจ้าออกไปเดินเล่นดีหรือไม่”

ในที่สุดก็ออกไปได้แล้วหรือ ในใจของกุยหวั่นลิงโลด นางรีบลุกยืนแล้วตอบไปตามตรง “ข้าเบื่อตั้งนานแล้ว ออกไปได้หรือ ไปที่ใด”

เห็นท่าทางตื่นเต้นของนาง โหลวเช่อก็รู้สึกดีใจตามนางไปด้วย จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้างนอกคึกคักมาก เจ้าต้องชอบแน่นอน”

“อืมๆ ข้าเองก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว” นางปัดฝุ่นบนตัวแล้วก้าวเดินไปยังทิศทางของประตูใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวกลับมา “บอกว่าจะออกไปไม่ใช่หรือ ไปกันเถิด ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว”

โหลวเช่อมองดูท่าทางราวเด็กเล็กของนางก็เหมือนซึมซับความยินดีของนางมา จึงรีบเดินตามไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่

เมื่อทั้งสองเดินไปใกล้จะถึงประตูใหญ่ก็บังเอิญชนเข้ากับพ่อบ้านที่เดินอย่างเร่งรีบผู้หนึ่ง

กุยหวั่นมองหน้าตาเคร่งขรึมของพ่อบ้าน ในใจก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงชะงักฝีเท้าแล้วยิ้มบางๆ

พ่อบ้านคำนับอย่างมีมารยาท “ท่านอัครเสนาบดี ฮูหยิน ในวังเรียกตัวด่วนขอรับ”

เป็นเช่นนี้จริงดังคาด กุยหวั่นไม่ได้ตกใจอะไรเลย โหลวเช่อรับหนังสือจากมือพ่อบ้านมาแล้วอ่านอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับกุยหวั่น พูดด้วยน้ำเสียงละอายใจ “กุยหวั่น ในวังเกิดเรื่อง วันนี้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ต้องขออภัยจริงๆ”

นางไม่ถือสา ริมฝีปากบางยังคงคลี่ยิ้มงามพลางกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าไปเองก็ได้”

“เช่นนั้นก็พาคนไปมากหน่อย” หญิงสาวออกนอกบ้านลำพัง โดยเฉพาะหญิงสาวที่มีความงามจนไม่อาจหาอะไรมาเทียบได้เช่นนาง ย่อมต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยมาเป็นที่หนึ่ง

กุยหวั่นยิ้มเจ้าเล่ห์ “วางใจเถอะ”

โหลวเช่อเห็นนางไม่ถือสาอะไรจึงวางใจ เดินต่อไปทางประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเขาก็เดินหายลับไปจากสายตาของกุยหวั่นแล้ว

กุยหวั่นเห็นพ่อบ้านยังคงยืนด้วยความเคารพอยู่ที่เดิม นางจึงสั่งการเขาว่า “เตรียมชุดบุรุษที่เหมาะกับข้าให้สักชุด”

พ่อบ้านพยักหน้าแล้วโค้งตัวถอยออกไปโดยไม่ได้ถามอะไร

กุยหวั่นมองดูแผ่นหลังของเขา รู้ว่าเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป* เสื้อผ้าก็จะมาอยู่ตรงหน้านางเป็นแน่ ด้วยนางเคยเห็นการทำงานของบ่าวไพร่ภายในบ้าน จึงทำให้นางรู้ว่าเหตุใดโหลวเช่อจึงสามารถอยู่ในแวดวงขุนนางได้อย่างไม่ติดขัด

* หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง

หลังจากเวลาหนึ่งก้านธูป ประตูด้านหลังของจวนอัครเสนาบดีโหลวก็ถูกเปิดออกจากทางด้านใน ร่างอรชรร่างหนึ่งเดินออกมา เสื้อตัวนอกปักด้ายเงิน มือถือพัดกระดาษ โฉมหน้างดงามล้ำเลิศ ท่าทางขณะกวาดตามองไปมา ชวนให้คนรู้สึกหวาดหวั่น

หลังจากมั่นใจในทิศทางแล้ว กุยหวั่นจึงเดินไปยังสถานที่ที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง…ถนนไป่หวา

 

ตลอดทางมีโคมไฟสีสันสดใส บรรยากาศคึกคักอย่างมากจริงๆ กุยหวั่นไม่เคยออกจากบ้านในเวลานี้มาก่อน ทุกอย่างที่ปรากฏในสายตาของนางล้วนแปลกใหม่หาใดเทียบได้ ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้นางรู้สึกสงสัย วันนี้ไม่ใช่เทศกาลอะไร เหตุใดจึงมีบรรยากาศเช่นนี้เกิดขึ้นได้

ทันใดนั้นนางก็บังเอิญเห็นชายชราหน้าตาใจดีผู้หนึ่งกำลังตั้งแผงขายของอยู่ จึงเดินเข้าไปแล้วถามขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านลุง วันนี้คึกคักเป็นพิเศษ เกิดจากสาเหตุอะไรหรือ”

ชายชราไม่ได้เงยหน้ามอง “พ่อหนุ่ม ปกติได้แต่เที่ยวเล่น ไม่สนใจเรื่องบ้านเมืองเลยสินะ วันนี้เป็นวันที่แม่ทัพน้อยหลินจะกลับมา อีกครู่หนึ่งกองทัพของท่านแม่ทัพจะเดินผ่านถนนไป่หวาแห่งนี้”

แม่ทัพหนุ่มที่ได้ฉายา กำแพงแห่งแคว้นฉี่หลิง ผู้นั้นน่ะหรือ

กุยหวั่นคิดใคร่ครวญ นึกอยากจะไปดูหน้าวีรบุรุษรุ่นเยาว์ผู้นี้ที่ลือกันว่ามีความสง่างามทัดเทียมกับสามีนางยิ่งนัก

ชายชรายังคงพร่ำพูดว่า “เด็กหนุ่มสมัยนี้ช่าง…” พูดยังไม่ทันจบ พอเงยหน้าขึ้นเห็นกุยหวั่นที่ใบหน้ามีรอยยิ้ม ชายชราก็ตะลึงงันไป คำพูดที่เหลือถูกกลืนลงท้องไปหมด พูดอะไรไม่ออกอีกเลย

กุยหวั่นฉีกยิ้มแล้วพูดขอบคุณเขา จากนั้นก็เดินไปยังศูนย์กลางถนนไป่หวา

ชายชรานิ่งอึ้งอยู่กับที่ ปากก็พูดว่า “เด็กหนุ่มสมัยนี้…หน้าตาดีขนาดนี้เชียวหรือ”

 

ความคึกคักเช่นนี้กุยหวั่นเพิ่งได้สัมผัสเองเป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเคยร่วมงานฉลองเทศกาล แต่จะนั่งอยู่บนหอสูง เฝ้ามองความยินดีของชาวบ้าน เหมือนถูกกั้นด้วยเยื่อบางๆ ภาพมัวไม่ชัดเจน ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันได้มาเบียดอยู่ในกลุ่มคน สัมผัสความยินดีของผู้คนด้วยตนเอง

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงขึ้นครองราชย์ การศึกแนวชายแดนได้รับชัยชนะ ราษฎรต่างตื่นเต้นยินดี ใบหน้าทุกคนล้วนเป็นมิตรและมีความสุข กุยหวั่นเหมือนซึมซับความรู้สึกเหล่านั้นมา ทำให้นางมีรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นกัน

หลังเดินวนอยู่ในตลาดเกือบหนึ่งชั่วยาม** ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แต่ยังคงไม่เห็นขบวนทหารอะไรเดินผ่านถนนไป่หวาเลย กุยหวั่นรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ท้องก็ร้องหิว ขณะที่กำลังลังเลก็เหลือบเห็นปากถนนมีร้านชื่อ ‘หอไหลฝู’ กลิ่นควันหอมลอยออกมาเป็นระลอก นางกำลังครุ่นคิดว่าจะกินอาหารนอกบ้านหรือไม่ แต่เท้ากลับเดินไปถึงใต้หอสุรานั้นตามใจต้องการเสียแล้ว

หอไหลฝูเป็นหอสุราระดับสองของเมืองหลวง ในร้านมีคนหลากหลายทั้งเหล่าขุนนาง บุคคลที่มีฐานะ และมีชาวยุทธ์ที่เดินทางผ่านไปมา ในโถงใหญ่มีคนนั่งอยู่เต็ม คึกคักอย่างมาก แม้ว่ากุยหวั่นจะไม่เคยเข้าหอสุราเช่นนี้มาก่อน แต่นางมีนิสัยสบายๆ สามารถรับเรื่องแปลกใหม่ได้เกินกว่าธิดาตระกูลอื่นจะเทียบได้ ดังนั้นจึงก้าวเข้าไปในหอสุราอย่างไม่ลังเล

** ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง

เสี่ยวเอ้อร์วิ่งไปทั่ว วุ่นวายอย่างมาก เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาอีกและสวมใส่อาภรณ์ดูภูมิฐานไม่ธรรมดา จึงรีบเดินรี่เข้าหา ปากก็ร้องตะโกนต้อนรับ “เชิญข้างในขอรับ” ทว่าพอเดินเข้าไปใกล้ หัวใจก็เต้นกระตุก เขาวิ่งวุ่นอยู่ที่นี่มาสามสี่ปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นบุรุษรูปงามเช่นนี้มาก่อนเลย

เมื่อกุยหวั่นเหยียบย่างเข้าไปในโถงก็ต้องรู้สึกเศร้าใจ ในโถงเสียงดังอึกทึก ไม่มีโต๊ะว่างแม้แต่ตัวเดียว เสี่ยวเอ้อร์เหมือนจะมองทะลุถึงความคิดของนาง จึงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้าแล้วพูดปลอบใจว่า “คุณชาย ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยท่านหาที่ดีๆ สักที่ รอสักครู่นะขอรับ” เพิ่งจะพูดจบเขาก็เดินแทรกไประหว่างโต๊ะเสียแล้ว ดูแคล่วคล่องอย่างมาก

กุยหวั่นยิ้มบาง เริ่มมองสอดส่องไปทั่วด้วยอารมณ์สนุกสนาน ผ่านไปเพียงไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็แทรกตัวเดินกลับมา พูดด้วยรอยยิ้มสดใส “หาที่นั่งให้ท่านได้แล้วขอรับ แต่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่น หวังว่าคุณชายจะไม่ถือสา”

กุยหวั่นฉีกยิ้มแล้วเดินตามหลังเสี่ยวเอ้อร์ไป ก่อนจะเดินทะลุโถงใหญ่ไปถึงโต๊ะที่อยู่ติดหน้าต่าง หน้าต่างเปิดออกเพียงครึ่งบาน แต่ก็เห็นภาพความครึกครื้นบนถนนได้อย่างชัดเจน บนโต๊ะมีลูกค้านั่งอยู่แล้วสองคน คนหนึ่งแต่งตัวเป็นบัณฑิตวัยกลางคน เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ท่าทางงามสง่าอยู่เช่นกัน อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่า หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาเปล่งประกายสดใส แต่ท่าทางเย็นชา ทำท่าเหมือนคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้

เมื่อเห็นกุยหวั่นเดินมา บัณฑิตวัยกลางคนพยักหน้าให้นางเป็นการทักทาย กุยหวั่นก็พยักหน้าตอบกลับ ส่วนชายหนุ่มเย็นชาราวน้ำค้างแข็งผู้นั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย ทำราวกับมองไม่เห็นนางอยู่ในสายตา

กุยหวั่นไม่สนใจ นางนั่งลงแล้วสั่งอาหารขึ้นชื่อสองสามอย่างที่เสี่ยวเอ้อร์แนะนำ ระหว่างรออาหารนางก็มองไปรอบๆ ที่นั่งนี้ไม่เลวจริงๆ ทั้งสามารถมองเห็นภาพทั่วทั้งโถง และสามารถเห็นสภาพด้านนอกอย่างชัดเจน ขณะที่กำลังสอดส่ายสายตา นางพบว่าชายหนุ่มเย็นชาที่นั่งร่วมโต๊ะนั้นก็กำลังมองไปนอกหน้าต่างเช่นกัน แม้ว่าเขาจะกลบเกลื่อนไว้อย่างดี แต่กุยหวั่นยังคงสังเกตเห็น ตอนที่เขาจ้องมองไปนอกหน้าต่างจะแฝงความเคารพยำเกรงเอาไว้

เพียงไม่นานอาหารที่กุยหวั่นสั่งก็มาวางที่โต๊ะ นางหิวนานแล้ว กินอะไรก็รู้สึกอร่อย บัณฑิตวัยกลางคนร่วมโต๊ะกินข้าวพลางพูดคุยกับชายหนุ่ม สิ่งที่พูดกันล้วนเป็นเรื่องสนุกในเมืองหลวงและข่าวลือของชาวเมือง เขาพูดเก่งมาก กุยหวั่นเองก็ฟังไปอย่างเพลิดเพลิน

“กล่าวได้ว่าอิ๋งกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอย่างที่สุด ได้ยินว่านางชื่นชอบทิวทัศน์ของเจียงหนาน* ฮ่องเต้จึงทรงมีบัญชาให้เตรียมการ จะสร้างตำหนักจิ่งอี๋ขึ้น” หัวข้อที่บัณฑิตวัยกลางคนพูดถึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหยาอิ๋ง กุยหวั่นจึงฟังอย่างตั้งใจยิ่งขึ้น

ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ สีหน้าก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาเล็กน้อย

ที่แท้เขาก็เป็นคนมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นกัน กุยหวั่นคิดในใจ

บัณฑิตวัยกลางคนสังเกตเห็นว่าเขาไม่พอใจเช่นกัน จึงฉีกยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “พูดไปก็น่าสนใจ ยังมีเรื่องที่คล้ายกันอีกเรื่อง อัครเสนาบดีโหลวก่อนหน้านี้ไม่นานแต่งภรรยา ได้ยินว่าโปรดปรานภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่มาก เพื่อทำให้ภรรยามีความสุข เขาถึงกับค้นหาของล้ำค่าหายากไปทั่ว”

กุยหวั่นเพิ่งจะกินผัดเนื้อวัวเส้นที่ลือกันว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของหอไหลฝู พอได้ฟังคำนี้ก็ตกตะลึง ถึงกับเผลอกลืนชิ้นเนื้อที่ยังไม่ได้เคี้ยวลงคอไป ทำให้นางต้องไอเบาๆ อยู่หลายที เป็นนานกว่าจะปรับลมหายใจได้ หลังจากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย อยากฟังว่าเขาจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร

บัณฑิตผู้นั้นกลับไม่พูดอะไรต่อ แต่เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาที่หน้าตาไร้ความรู้สึกที่หันกลับมาจากหน้าต่าง ประสานสายตาเข้ากับสายตาค้นหาของกุยหวั่นเข้าพอดี ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันใด

* เจียงหนานคือคำเรียกที่ราบลุ่มแม่น้ำทางด้านใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซูอันฮุยและด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง

ที่แท้เขาก็มีดวงตาที่งดงามคู่หนึ่ง กุยหวั่นคิดในใจ ก็แค่เย็นชาเกินไปเท่านั้น

ชายหนุ่มกวาดตามองบัณฑิตแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ไม่มีเรื่องอื่นให้พูดแล้วหรือ” ดูเหมือนเขาจะรำคาญหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ของบัณฑิตผู้นั้นมาก

บัณฑิตฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองหลวงในช่วงนี้เชียวนะ ไม่ว่าจะเป็นอิ๋งกุ้ยเฟยหรือฮูหยินอัครเสนาบดีโหลว ครอบครัวของพวกนางล้วนเป็นสุนัขระกาเยี่ยมวิมาน** ไปด้วย หากไม่ใช่การงานก้าวหน้า เลื่อนสามขั้นในคืนเดียว ก็ทรงพระราชทานเงินทองและที่นาให้”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “เพราะหญิงสาวสองคนหรือ”

บัณฑิตหัวเราะ “แน่นอน นั่นไม่ใช่หญิงทั่วไป แต่เป็นสาวงามที่รูปโฉมดั่งบุปผางาม” เห็นชายหนุ่มมีท่าทีไม่เห็นด้วย เขาก็พูดต่อไปว่า “บางเวลาความงามของหญิงสาวก็เป็นอาวุธอย่างหนึ่ง หญิงสาวยิ่งงามยิ่งอันตราย อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าดาบจริงหอกจริงเสียอีก”

กุยหวั่นได้ฟังคำพูดนี้ก็ตะลึงไป

ชายหนุ่มเย็นชาผู้นั้นฟังแล้วมีท่าทีครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ก็สบถเสียงดังว่า “ภัยร้าย!”

ฟังถึงตรงนี้กุยหวั่นทนไม่ไหวหัวเราะออกมา ในใจคิดว่าหากชายหนุ่มรู้ว่าผู้ที่นั่งกินอาหารอยู่ตรงหน้าก็คือ ‘ภัยร้าย’ ที่เขาพูดถึง ไม่รู้ว่าจะมีท่าทางอย่างไร

บัณฑิตและชายหนุ่มได้ยินเสียงนางหัวเราะจึงหันหน้ามา ไม่รู้ว่าผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะหัวเราะด้วยเหตุใด

ทว่าเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของกุยหวั่น ใบหน้าเย็นชาของชายหนุ่มก็ปรากฏสีหน้าที่ไม่อาจตีความได้ออกมา ส่วนบัณฑิตนั้นตกใจ ก่อนจะลอบสบถออกมา ช่วงเวลาต่อจากนั้นบัณฑิตไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนชายหนุ่มยังคงมองไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าระแวดระวัง ไม่รู้ว่านางมองผิดไปหรือไม่

หลังจากนั้นกุยหวั่นก็รู้สึกว่าทหารบนถนนเริ่มเพิ่มมากขึ้น นางรับรู้ถึงบรรยากาศเคร่งเครียดและผิดปกติได้รางๆ นางรู้สึกอิ่มพอดี คิดว่ารีบจากไปก่อนดีกว่า จึงยกมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาคิดเงิน มองดูความเอาใจใส่และขยันขันแข็งของอีกฝ่าย กุยหวั่นตัดสินใจจะให้เศษเงินเป็นรางวัลเขามากสักนิด แต่เมื่อยื่นมือไปคลำที่เอว สีหน้าของกุยหวั่นก็เปลี่ยนไปทันที

ก่อนออกจากบ้านนางจำได้แน่ชัดว่าตนเองพกถุงเงินมาด้วย เหตุใดตอนนี้จึงหายไปโดยไร้ร่องรอยเสียแล้ว เป็นเมื่อครู่ตอนที่เด็กกลุ่มนั้นวิ่งทะยานมาแล้วถูกกระแทกจนหล่นหายโดยไม่ระวัง หรือเบียดอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วถูกขโมยไปกันแน่

ทว่าสาเหตุไม่สำคัญแล้ว หากตอนนี้ไม่มีเงินจ่าย คงต้องอับอายและขายหน้าคนมากจริงๆ

เสี่ยวเอ้อร์เปลี่ยนจากใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับแขกเมื่อครู่เป็นนิ่งขรึม พูดตามจริง ถ้าปกติเจอลูกค้าที่ไม่มีเงินจ่ายเช่นนี้ เขาคงจะด่ากราดไปแล้ว แต่สำหรับชายหนุ่มที่งดงามเกินบรรยายผู้นี้ คำพูดรุนแรงนี้จะอย่างไรก็พูดไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเสี่ยวเอ้อร์มาหลายปี เขามองคนได้เก่งมาก ชายหนุ่มผู้นี้ดูเป็นคนมีชาติตระกูลสูงศักดิ์ ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นจริง จึงได้ไม่มีเงินจ่าย

กุยหวั่นเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ควรทำอย่างไร เครื่องประดับมีราคาต่างๆ ที่เคยใส่ติดตัวก็ด้วยเพราะต้องแต่งเป็นชายจึงเก็บเอาไว้ที่บ้าน บนตัวก็ไม่มีเงิน…เห็นสายตาจับจ้องของบัณฑิตผู้นั้น กุยหวั่นก็ยิ้มเศร้า ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะทำอย่างไรดี

** สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน เป็นสำนวน มีที่มาจากเรื่องที่จักรพรรดิองค์หนึ่งได้หลอมยาวิเศษเอาไว้ แล้วถูกไก่กับสุนัขที่เลี้ยงไว้ในเรือนมาแอบกินแล้วเหาะขึ้นสวรรค์ไป มีความหมายว่าผู้ที่รับราชการหากตามติดเจ้านายที่มีอำนาจแล้ว ก็จะพลอยได้ดิบได้ดีมีวาสนาไปด้วย

เมื่อสังเกตเห็นท่าทางอึดอัดของนาง แม้แต่ชายหนุ่มเย็นชาผู้นั้นก็ยังเลื่อนสายตากลับมา กุยหวั่นได้แต่ร้องครวญในใจ กำลังคิดจะเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์นำกระดาษพู่กันมาให้นางเขียนใบเป็นหลักฐาน ชายหนุ่มก็หยิบแท่งเงินแท่งหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ

เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแล้วหยิบแท่งเงินเดินจากไป กุยหวั่นตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนที่ภายนอกดูเย็นชาแต่มีน้ำใจ กุยหวั่นยิ้มให้เขาอย่างรู้สึกขอบคุณแล้วพูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณมาก”

ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเข้ม “ไม่เป็นไร” แล้วจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก

กุยหวั่นไม่ถือสา คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่คนที่ชอบคบค้ากับใคร แต่การติดค้างหนี้บุญคุณคนแปลกหน้าเช่นนี้ไม่เหมาะสมเลย นางเกิดความคิดในใจจึงถามเขาขึ้นว่า “พี่ชายบ้านอยู่ที่ใดหรือ พรุ่งนี้ข้าจะเอาเงินไปคืน”

ชายหนุ่มกำลังก้มหน้าดื่มสุรา ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองหน้ากุยหวั่น “ไม่ต้องหรอก เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

บัณฑิตผู้นั้นก็พูดกับกุยหวั่นด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิน้องชาย อยู่นอกบ้านก็ต้องมีเวลาขัดสนบ้าง เจ้าไม่ต้องเกรงใจหรอก”

ฝ่ายตรงข้ามพูดเช่นนี้แล้ว หากเกรงใจต่อไปคงน่ารำคาญ กุยหวั่นจึงลุกยืนแล้วโค้งคำนับชายหนุ่มและบัณฑิต “ขอบคุณมาก เช่นนั้นข้าขอลาก่อน” พูดจบนางก็หมุนตัวเดินจากไป

เดินออกจากหอสุราก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดมา กุยหวั่นเห็นว่าคนบนถนนเพิ่มจากตอนที่นางเข้าไปในหอสุรามาก ทหารก็เพิ่มจำนวนขึ้นไม่น้อย แบ่งกลุ่มละสองสามคนเหมือนกำลังค้นหาอะไรอยู่

คงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว กุยหวั่นคิดได้เช่นนี้ ความสนุกในการเดินเล่นต่อไปก็หมดลง ยิ่งไปกว่านั้นในตัวก็ไม่มีเงินเลย ย้อนคิดถึงภาพเมื่อครู่ กุยหวั่นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตั้งแต่เด็กจนโต เรื่องน่าอับอายเช่นนี้นับว่าได้ประสบเป็นครั้งแรก ความรู้สึกนี้ช่างแปลกใหม่เสียจริง

ชายหนุ่มผู้นั้นคงจะไม่ใช่คนธรรมดา ท่าทางเย็นชาเช่นนั้นและแววตาเคร่งเครียดจริงจัง กอปรกับบัณฑิตวัยกลางคนก็พูดจาไม่เหมือนชาวบ้าน สองคนนั้นต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน

เมื่อเงยหน้าขึ้นดูเห็นว่าท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว นางจึงตั้งใจจะกลับบ้าน แม้นางจะรู้ว่าวันนี้โหลวเช่อคงไม่ได้ออกจากวัง แต่ถ้ากลับดึก หลิงหลงคงจะเป็นห่วงไม่น้อย

กุยหวั่นตัดสินใจจะเดินกลับทางตรอกเล็ก จากนั้นจะได้เข้าทางประตูหลัง เพราะถ้าให้บ่าวไพร่เห็นตนเองแต่งตัวเช่นนี้ ชื่อเสียงของฮูหยินอัครเสนาบดีของนางจะต้องเสื่อมเสียเป็นแน่ แม้ว่าชื่อเสียงเกียรติยศจะเป็นสิ่งจอมปลอมจนน่ารำคาญใจ แต่อย่างไรนางก็ยังต้องปกป้องมันไว้ตลอดเวลา

ช่างเป็นเรื่องที่ขัดแย้งและจนใจเสียจริง

กุยหวั่นสบถในใจ ก่อนจะเดินไปจนถึงท้ายถนนไป่หวาแล้วเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่เงียบสงัดตรอกหนึ่ง

ต่อมากุยหวั่นรู้สึกเสียใจอยู่หลายครั้งกับการตัดสินใจเล็กๆ ของตนเองในตอนนั้น หากตอนแรกเลือกเดินทางถนนใหญ่ อาจจะไม่เกิดความยุ่งยากมากมายเช่นนี้ น่าเสียดายที่นางไม่รู้ในตอนแรก…

 

ในตรอกนี้ทั้งสะอาดและสงบเงียบ สาเหตุหลักคือสุดปลายตรอกอีกฝั่งทะลุผ่านประตูหลังของจวนขุนนางยศสูงในเมืองหลวงหลายตระกูล รวมไปถึงจวนอัครเสนาบดีโหลวด้วย ดังนั้นแม้จะเป็นช่วงกลางคืน ที่นี่ก็ควรจะปลอดภัยอย่างมาก

แต่แน่นอนว่าต้องมีช่วงเวลายกเว้น

และกุยหวั่นก็เหมือนจะพบกับช่วงยกเว้นนั้นเข้าพอดี นางเดินเข้าไปในตรอก เดินไปได้ไม่กี่สิบก้าวก็เห็นเงาดำแวบผ่านหน้าไป นางยังคิดว่าตนเองตาลาย แต่ชั่วอึดใจต่อมามีดสั้นเล่มหนึ่งก็มาจ่ออยู่ที่คอนางเสียแล้ว

ก่อนที่น้ำเสียงแปร่งหูจะดังขึ้นข้างหูนาง “อย่าหันมา เดินไปข้างหน้าช้าๆ”

กุยหวั่นเดินไปข้างหน้าช้าๆ อย่างเชื่อฟังในทันที ไม่มีทีท่าขัดขืนใดๆ หลังจากเดินไปได้ระยะสั้นๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงอึกทึกจากข้างนอกตรอกอีก เสียงด้านหลังนั้นจึงสั่งขึ้นว่า “หยุด” กุยหวั่นหยุดเดินอย่างเชื่อฟังโดยดี

แต่ด้านหลังกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ถึงตอนนี้กุยหวั่นรู้สึกร้อนรนใจ ความนิ่งเงียบที่น่าอึดอัดเช่นนี้ทำให้นางไม่รู้จะทำอย่างไร เสียงหายใจของคนด้านหลังดูไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวเบาเดี๋ยวหนักแปลกๆ

หรือว่าเขาบาดเจ็บ

ความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมองของกุยหวั่นอย่างรวดเร็ว ทว่าพอคิดดูโดยละเอียดแล้วต่อให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเช่นไรก็เห็นได้ชัดว่ามีวรยุทธ์ นางมิอาจอาศัยกำลังเอาชนะได้

ในตอนที่นางกำลังคิดหาวิธีรับมืออยู่นี้ มีดก็เลื่อนห่างคอของนางเล็กน้อย ก่อนที่คนด้านหลังจะเอ่ยปากขึ้น “ถอดเสื้อผ้าออกมา”

ได้ยินคำพูดนี้กุยหวั่นยิ่งรู้สึกปวดหัว หากเขามาปล้นทรัพย์ นางยังพอรับมือได้ แต่ตอนนี้เผชิญหน้ากับคำขอประหลาดเช่นนี้ นางยังมีชื่อเสียงของฮูหยินอัครเสนาบดีที่ต้องปกป้อง จะตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ทำได้เพียงลองสู้ดูสักตั้ง นางฉวยโอกาสที่มีดห่างจากคอหมุนตัวกลับทันที

ใบหน้าซีดขาวปรากฏต่อสายตานาง อาศัยเพียงแสงจันทร์ก็มองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน กุยหวั่นร้องครวญในใจ ความยุ่งยากยิ่งใหญ่มาถึงตัวข้าแล้ว

กรอบโครงหน้าชัดเจน ร่างที่สูงกำยำกว่าชายหนุ่มทั่วไปกอปรกับเสียงพูดแปร่งหู เห็นได้ว่าเป็นชายต่างเผ่า อีกทั้งยังสวมชุดนักโทษ แขนที่โผล่พ้นชุดออกมาเห็นรอยว่าเคยถูกจองจำมาได้อย่างชัดเจนยิ่ง ต้องเป็นนักโทษหลบหนีอย่างแน่นอน พอคิดเชื่อมกับการชนะศึกที่ชายแดนในครั้งนี้รวมถึงสภาพการณ์ที่มีทหารบนถนนเพิ่มขึ้นเมื่อครู่…

กุยหวั่นพอจะเดาฐานะของเขาได้แล้ว นี่ต้องเป็นหนึ่งในเชลยเผ่าหนู่ที่พ่ายศึกในครั้งนี้ นางลอบทอดถอนใจ เรื่องราวไม่เป็นมงคลดูเหมือนจะมาให้นางได้เจอพร้อมกันในวันเดียว

เยียลี่แทบจะไม่มีแรงถือมีดอยู่แล้ว การหนีออกมาได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้จะล้มลงไม่ได้ อีกเพียงก้าวเดียว ขอเพียงเปลี่ยนชุดกับชายหนุ่มตรงหน้า ฉวยโอกาสตอนฟ้ามืด เขายังมีโอกาสหนีออกจากเมืองหลวงได้ ไม่เช่นนั้นหากฟ้าสว่าง ทุกอย่างก็จบกัน ทว่าในช่วงที่เขากำลังผ่อนแรงเล็กน้อย ชายหนุ่มที่ถูกจี้บังคับกลับหันหน้ากลับมากะทันหัน ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว

ฆ่าเขาเสีย ในสมองมีความคิดนี้แล่นผ่าน เยียลี่รวบรวมกำลัง ทันใดนั้นก็เห็นใบหน้างดงามของชายหนุ่ม

เทพจันทราได้ยินคำอธิษฐานของเขา แล้วมาปรากฏกายต่อหน้าเขาหรือ

ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของชายหนุ่มต้องแสงจันทร์ อีกครึ่งหน้าอยู่ในความมืด ครึ่งหน้าที่อยู่ใต้แสงงดงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง อีกครึ่งที่ซ่อนในความมืดหมดจดงดงามหาใดเปรียบอย่างมาก คนที่อยู่ใต้แสงนวลตาตรงหน้าดูสวยงามไร้ที่ติ

เยียลี่ในสมองเกิดความลังเล ไม่อาจแทงมีดลงไปได้ ชนเผ่าหนู่ทุกรุ่นนับถือเทพจันทรา และชายหนุ่มตรงหน้าสร้างความตื่นตระหนกแก่เขาอย่างยิ่ง ในเวลาที่มีอันตรายรอบด้าน เขาไม่อาจแยกได้ว่านี่เป็นความฝันหรือภาพลวงตา เขาตัดสินใจเด็ดขาด ยกมีดสั้นกรีดลงไปบนข้อมือของตนเอง เลือดไหลนองลงมาในทันที เขาเจ็บไปถึงกระดูก แต่ก็ได้สติคืนมามากเพราะความเจ็บปวดนี้ เขาจ้องไปยังชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง

ได้ยินมาบ่อยครั้งว่าแคว้นฉี่หลิงมีชายหนุ่มรูปงามดั่งหญิงสาว เมื่อมาเห็นด้วยตาตนเอง เขายังไม่ค่อยเชื่อนัก ตอนนี้…ในใจเยียลี่รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง คิดว่าตนเองได้เห็นเทพจันทราก่อนตายเสียอีก

ทั้งสองล้วนไม่ส่งเสียง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

กุยหวั่นหัวใจเต้นแรง เสียใจที่ตัดสินใจหันมาเมื่อครู่ อึดใจที่ตนเองหมุนตัวมา นางเห็นไอสังหารในดวงตาของชายต่างเผ่าผู้นี้ก็รู้สึกหัวใจเย็นวาบไปกว่าครึ่ง มือจับไปที่ชายแขนเสื้อ หากไม่ถึงเวลาคับขันจริงๆ นางก็ไม่คิดจะใช้สิ่งนี้รักษาชีวิตไว้ ขณะที่กำลังลังเลใจ ชายหนุ่มก็แสดงท่าทางตกใจ สงสัยและไม่อยากเชื่อสายตาออกมาทันใด ปากก็พ่นคำออกมาเบาๆ ว่า “สั่วเก๋อถ่า?”

สั่วเก๋อถ่าคืออะไร คงจะเป็นภาษาชนเผ่าหนู่สินะ

ไม่ว่าจะหมายความอย่างไร คำนี้ก็ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ และช่วยชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้เช่นกัน ไม่เช่นนั้น จะต้องมีสภาพบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายแน่นอน

กุยหวั่นครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว คิดว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร ทันใดนั้นก็พบว่าแววตาของชายคนนั้นประหลาดขึ้นทุกที ถึงขั้นดูเลื่อนลอย…

เขาเริ่มไม่มีสติแล้วหรือ กุยหวั่นกำลังคิดว่าจะฉวยโอกาสสลัดตัวจากเขาแล้วหนีไปดีหรือไม่ อีกฝ่ายก็ทำอาการที่ทำให้นางไม่อาจขยับตัวได้ เขาใช้มีดสั้นกรีดตนเองอย่างไม่ปรานี

กุยหวั่นเข้าใจจุดประสงค์ของเขาในทันที แววตาของเขาจากเลื่อนลอยเปลี่ยนเป็นดุดัน ถลึงตามองนาง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กุยหวั่นไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าการขยับเพียงเล็กน้อยจะกระตุ้นให้เขาทำเรื่องบ้ายิ่งกว่าออกมา

เหงื่อที่กลางหลังผุดออกมาทีละชั้น กุยหวั่นยังคงส่งรอยยิ้มที่แทบจะเรียกได้ว่าสนิทสนมให้อีกฝ่าย หวังจะใช้สิ่งนี้ผ่อนความเป็นศัตรูของอีกฝ่ายลงได้

เยียลี่มองหน้าชายหนุ่ม ในใจรู้สึกนับถือ ในสภาพการณ์เช่นนี้เขากลับไม่ร้องตะโกนและไม่ดูลนลาน ทั้งยังคงมีรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะนั้นเยียลี่ดูเหมือนจะลังเลใจว่าควรจะสังหารเขาหรือไม่ เวลากำลังผ่านไป แรงก็ใกล้จะหมด ตอนนี้สังหารเขาไปคงไม่เกิดประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น…ใบหน้าของเขาก็งดงามราวกับสั่วเก๋อถ่า ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไร เยียลี่ก็สังเกตว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่เช่นกัน ความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมองในทันใด ชายหนุ่มที่มีรูปโฉมเช่นนี้ มีความสงบนิ่งเช่นนี้ คิดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป บางทีอาจจะอาศัยเขาช่วยชีวิตตนเองได้ และความรู้สึกของตนเองก็บอกว่าชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกแน่นอน

เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่กุยหวั่นยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกชายผู้นั้นจับแขนไว้ ปลายคางถูกบีบโดยแรง นางสบถเสียงเบาด้วยความเจ็บ ปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยถูกยัดเม็ดอะไรบางอย่างเข้ามา ยังไม่ทันได้รู้รสชาติมันก็ไหลลงท้องไปเสียแล้ว นางตื่นตระหนก รีบยื่นมือไปผลักชายผู้นั้นออกสุดแรงแล้วทรุดตัวลงพยายามอาเจียนออกมา

ชายผู้นั้นใช้พลังสุดท้ายจนหมดแล้ว เมื่อถูกกุยหวั่นผลักตัวออก เขาก็ล้มลงนอนบนพื้น หลังจากเห็นกิริยาของกุยหวั่น เขาก็สบถอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ไม่มีประโยชน์ นี่เป็นยาพิษหนอนกู่* ของชนเผ่าหนู่ เจ้าอาเจียนอย่างไรก็ไม่ออกหรอก”

ได้ยินดังนั้นกุยหวั่นก็รู้สึกตระหนกขึ้นทันใด นางเคยได้ยินชื่อยาพิษหนอนกู่มาก่อน เป็นยาพิษต้องห้ามที่เชื้อพระวงศ์ของชนเผ่าหนู่เท่านั้นที่มีได้ นางหันหน้ากลับมา มองชายที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา เมื่อคิดสักครู่ก็ไม่ได้โกรธ แต่กลับยิ้ม “เจ้าใกล้จะตายอยู่แล้ว? เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้า?”

* หนอนกู่ ตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นพญาพิษที่ถูกคนเพาะเลี้ยงโดยการนำหนอนพิษร้ายแรงมาอยู่ด้วยกัน และปล่อยให้กัดกินกันเองจนเหลือเพียงตัวสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุด

“ฉลาดมาก” เยียลี่ฉีกยิ้มเช่นกัน “เจ้าไม่มีทางเลือกไม่ใช่หรือ”

กุยหวั่นแค่นเสียงสบถ เลิกอาเจียน นางลุกยืนแล้วมองไปยังเยียลี่ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าอยู่ในเมืองหลวงพลิกฝ่ามือเป็นเมฆ คว่ำฝ่ามือเป็นฝน เจ้าคิดว่าข้าจะหาคนถอนพิษให้ไม่ได้หรือ”

“ถึงเจ้าจะพลิกเมืองหลวงหา ก็หายาถอนพิษไม่ได้หรอก” เห็นกุยหวั่นขยับปาก เขาจึงชิงพูดก่อนหน้านาง “รอจนเจ้าหาชาวเผ่าหนู่ที่สามารถปรุงยาถอนพิษได้ พิษคงออกฤทธิ์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นใช่ว่าชาวเผ่าหนู่ทุกคนจะรู้วิธีถอนพิษหนอนกู่”

กุยหวั่นรู้ว่าคำพูดของเขาไม่เท็จจึงนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าให้ข้ากินเมื่อครู่เป็นยาพิษหนอนกู่ ไม่ใช่ยาบำรุงร่างกาย?”

ชายคนนั้นนิ่งเงียบ ทันใดนั้นก็ยื่นมือ ใช้แรงทั้งหมดที่มีหยิบขลุ่ยสั้นสีเงินขนาดสองชุ่นออกมาจากถุงลับข้างเอว แตะไปที่ริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ

ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย กุยหวั่นกำลังนึกสงสัย ความเจ็บปวดทะลวงใจก็กระจายตัวมาจากกระเพาะ ลามไปจนถึงหัวใจ ปวดจนนางแทบจะหมดสติ กุยหวั่นกึ่งลุกกึ่งนั่ง พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป มือกุมไปตรงบริเวณหัวใจ รอให้ความเจ็บปวดผ่านไปอย่างทรมานยิ่ง

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา* ความเจ็บปวดค่อยๆ ทุเลาลง หลังจากความเจ็บปวดหายเป็นปลิดทิ้ง กุยหวั่นจึงลุกยืนอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าซีดขาว นางรู้สึกโมโหจึงถลึงตาจ้องไปยังชายชนเผ่าหนู่ผู้นั้น กลับเห็นเขานอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้น…

คงไม่ได้ตายไปแล้วหรอกนะ

นางรู้สึกตกใจจึงขยับเข้าใกล้เล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายมีลมหายใจแผ่วเบามาก แต่ยังไม่ตาย

กุยหวั่นในใจรู้สึกแค้นเคืองยิ่ง ดวงตาจ้องมองไปที่ชายเผ่าหนู่ผู้นั้น ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางลังเลใจว่าจะช่วยเขาหรือไม่ ถ้าไม่ช่วย นางก็ต้องรีบกลับไปหาสามี ให้คิดวิธีหาตัวชาวเผ่าหนู่ที่สามารถถอนพิษได้ แต่หากทำเช่นนี้ก็คงต้องเกิดความบาดหมางกับชาวเผ่าหนู่อีกครั้ง สงครามเพิ่งจะยุติ ย้อนนึกถึงภาพความยินดีของชาวเมืองบนถนนเมื่อครู่ กุยหวั่นก็ทนใจร้ายเช่นนั้นไม่ได้

อีกวิธีหนึ่งก็คือช่วยเขา อย่างไรเสียชีวิตของอีกฝ่ายก็อยู่ในมือของนาง ไม่กลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจคืนคำ ด้วยประสบการณ์ของนาง คนก่อนจะหมดสติไป คำที่พูดคงจะเป็นความจริง แต่จะพูดไปแล้ว ให้นางช่วยเขา ศักดิ์ศรีของนางก็เสียไปบ้าง อย่างไรเสียก็ขึ้นชื่อว่าถูกคนควบคุม

คิดอยู่สักครู่กุยหวั่นก็กัดฟันแน่น ตัดสินใจจะช่วยชีวิตชาวเผ่าหนู่ผู้นี้

ต้องเลือกสิ่งที่มีผลร้ายน้อยที่สุด ในสองวิธีนี้จะดูอย่างไรวิธีที่สองก็ง่ายกว่า แต่นางอวี๋กุยหวั่นไม่ใช่คนมีเมตตาที่รังแกได้ ไม่เคยคิดว่าจะให้อภัยคนที่ทำร้ายตนเอง ดังนั้น…ความอัปยศในวันนี้นางจะคืนให้แก่คนเผ่าหนู่ผู้นี้อย่างแน่นอน!

หลังจากคิดอย่างชัดเจนแล้ว กุยหวั่นก็มองหน้าคนเผ่าหนู่ที่หมดสติด้วยสีหน้าเย็นชา เสียงใสกังวานอยู่ภายในตรอก เหมือนจะพูดให้ตนเองฟังและเหมือนพูดให้คนที่หมดสติฟังเช่นกัน “เจ้าต้องเสียใจที่ให้ข้าช่วยเจ้า และเจ้าเองก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลวงแน่นอน”

พูดจบนางก็ครุ่นคิดอย่างใจเย็นว่าจะช่วยอย่างไร ด้วยกำลังของนางคนเดียวไม่สามารถทำได้ เห็นทีคงต้องใช้ฐานะของตนเองแล้ว

กุยหวั่นเดินย้อนไปถึงปากตรอก นางมองไปโดยรอบ ก่อนเหลือบเห็นว่าปากตรอกมีทหารนายหนึ่งเดินมา ดูการแต่งกายแล้วคงเป็นทหารลาดตระเวน มีทางช่วยแล้ว กุยหวั่นยกมือกวักเรียกอีกฝ่ายเข้ามาหาตนทันที

นายทหารผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วรีบเดินเข้ามาใกล้ นึกอยากจะสั่งสอนชายหนุ่มอวดดีผู้นี้สักนิด ใครให้เขาใจกล้ามาออกคำสั่งกับทหารเช่นนี้กัน

ทันทีที่นายทหารผู้นั้นอ้าปากกำลังจะเอ่ยวาจา ป้ายคำสั่งสีทองอร่ามอันหนึ่งก็แกว่งไกวอยู่ตรงหน้าเขา บนป้ายนั้นเขียนอักษร ‘โหลว’ เอาไว้ นายทหารเห็นดังนั้นก็ถึงกับเข่าอ่อน คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพโดยเร็ว

กุยหวั่นยิ้มน้อยๆ “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเพียงมีสองเรื่องอยากให้เจ้าไปทำ…”

* หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเปรียบ หมายถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำรากล่าวว่าเทียบได้กับเวลาประมาณ 10 – 15 นาที

บทที่สี่

 

ดวงอาทิตย์สาดแสงสดใส นกน้อยขับขาน ดอกไม้ผลิบานส่งกลิ่นหอม บนหอเก่าแก่มีชายหนุ่มร่างบางผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาจ้องนิ่งไปนอกหน้าต่าง บนใบหน้าไร้ความรู้สึก จมอยู่ในความคิดของตนเอง

ลมพัดแรงแล้ว…

ผมของชายหนุ่มพลิ้วไปตามแรงลม แขนเสื้อโบกสะบัด

ชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงคือกุยหวั่นในชุดบุรุษ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหยิบแถบผ้าไหมสีเงินเส้นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อและผูกผมขึ้นสูง สายตามองออกไปไกล ยังคงยืนรอต่อไป

ทันใดนั้นบนท้องฟ้ามีนกพิราบขาวราวหิมะตัวหนึ่งบินมา มันบินวนเหนือหอเก่าอยู่หลายรอบ จากนั้นก็กระพือปีก บินสวบลงมาเกาะบนราวจับ หัวเล็กๆ นั้นมองไปซ้ายขวา กุยหวั่นเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ในที่สุดก็มา” นางจับพิราบเอาไว้แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากห่วงบนขาของมัน เมื่ออ่านเนื้อหาในนั้นอย่างละเอียด นางก็แสดงความผิดหวังออกมาหลายส่วน

หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินเข้าไปในหอ

การตกแต่งภายในหอเมื่อเทียบกับความเก่าด้านนอกแล้วดูประณีตกว่ามาก ภายในมีสองห้อง ด้านนอกเป็นห้องหนังสือธรรมดาห้องหนึ่ง ด้านในเป็นห้องนอน กุยหวั่นเหยียบย่างเข้าไปในห้องนอน สาวใช้คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง

ได้ยินเสียงดังขึ้น หลิงหลงจึงหันหน้าไป ใช้น้ำเสียงแฝงความผิดหวังพูดขึ้นว่า “เขายังไม่ฟื้น”

กุยหวั่นเลื่อนสายตาไปที่เตียง ชายต่างเผ่าหลับตา ลมหายใจสม่ำเสมอ ท่าทางเหมือนนอนหลับสบายมาก แทบจะทำให้คนเห็นแล้วคิดว่าเขากำลังนอนกลางวันอยู่ อีกไม่นานก็จะตื่นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

เขานอนหมดสติมาสามวันแล้ว เหตุใดจึงยังไม่ฟื้นอีก

กุยหวั่นคิดถึงเมื่อสองวันก่อน ท่านหมอรับรองกับนางเป็นมั่นเหมาะว่าคนผู้นี้จะฟื้นวันนี้แน่นอน ตอนนี้ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว เขากลับไม่มีทีท่าจะฟื้นเลย มองดูใบหน้านอนหลับอย่างสบายใจของเขาแล้ว กุยหวั่นก็แสยะยิ้มเยาะเย้ย

ถึงเวลานี้แล้ว ยังนอนหลับสนิทขนาดนี้ได้อีก…

สามวันก่อนนางกลืนยาพิษหนอนกู่ลงไป ส่วนชายผู้นี้กลับนอนหมดสติไม่ยอมตื่น เพื่อหายาถอนพิษ นางใช้กำลังทั้งหมดของจวนอัครเสนาบดี รวมถึงสายสืบของทุกพื้นที่ด้วย แต่สามวันมานี้ข่าวที่รวบรวมมาจากทุกที่มีน้อยมาก มองดูคนบนเตียงที่หมดสติไม่ยอมตื่นแล้ว กุยหวั่นก็ถอนหายใจ ความหวังสุดท้ายอยู่กับตัวเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ

กุยหวั่นพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างเตียงว่า “หลิงหลง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” สามวันมานี้หลิงหลงวิ่งไปกลับจวนอัครเสนาบดีกับที่นี่เพื่อส่งข่าวและดูแลคนป่วย นางคงจะเหนื่อยแล้วกระมัง

“คุณหนู ท่านอัครเสนาบดีเป็นห่วงคุณหนูมากนะเจ้าคะ” หลิงหลงพูดเตือนอย่างอ่อนโยน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูของนางต้องช่วยเหลือชายต่างชนเผ่าที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนผู้นี้ด้วย คุณหนูทำอะไรด้วยความเหมาะสมมาตลอด คนอื่นมักจะบอกว่าตัวนางสมชื่อ ฉลาดน่ารัก แท้จริงคนที่ฉลาดเฉลียวตัวจริงก็คือคุณหนู นางติดตามคุณหนูมาหลายปี ไม่เคยเห็นคุณหนูทำเรื่องไม่เหมาะสมเลย

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

กุยหวั่นเข้าใจว่าหลิงหลงกำลังกังวลอะไรอยู่จึงยิ้มเศร้า มีหรือที่นางคิดจะหาเรื่องใส่ตัว แต่มันคือชะตาชีวิต นางก็ได้แต่จนใจ เรื่องนี้บอกกับหลิงหลงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้น

กุยหวั่นฝืนยกมุมปากยิ้มอย่างสบายใจ “ไม่ต้องกังวลหลิงหลง” เห็นหลิงหลงมีท่าทางสบายใจเพราะคำพูดนี้ของนาง กุยหวั่นจึงพูดเร่งขึ้น “รีบไปเถอะ กลับไปบอกท่านพ่อบ้าน เรื่องที่ข้าสั่งไว้จะให้คนนอกรู้ไม่ได้ ทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างลับๆ”

หลิงหลงรับคำแล้วปัดกระโปรงให้เรียบร้อย กำลังจะเดินออกจากหอไป กุยหวั่นก็เรียกรั้งนางไว้อย่างฉับพลัน “หลิงหลง เรื่องทุกอย่างที่นี่บอกท่านอัครเสนาบดีไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”

หลิงหลงแสดงท่าทางไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางคุณหนูไม่ยินดีจะพูดอะไรต่อ จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วเดินออกไป

กุยหวั่นเห็นหลิงหลงจากไปแล้วก็นั่งลงบนที่นั่งของนาง มองไปบนเตียงเห็นเขายังคงนอนหลับสนิท แต่สีหน้าดีกว่าเมื่อสามวันก่อนมาก

กินโสมร้อยปีไปหกต้น สีหน้าย่อมต้องดีขึ้น กุยหวั่นอดคิดในใจไม่ได้ว่าสิ่งที่นางให้เขากินคือโสมและเห็ดหลิงจือ แต่สิ่งที่เขาให้นางกินเป็นยาพิษ มันต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ

กุยหวั่นกำลังคิดจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นคนบนเตียงหนังตากระตุกเบาๆ นางหยุดชะงักแล้วนั่งลงที่เดิม จ้องนิ่งไปยังคนบนเตียง ในใจลอบยินดีว่าเขาจะฟื้นแล้ว

เยียลี่รู้สึกว่าแขนซ้ายเจ็บถึงกระดูก บีบให้เขาต้องฟื้นขึ้นมา ดวงตาลืมขึ้นช้าๆ สิ่งที่เห็นตรงหน้ารางเลือน ท่ามกลางแสงสว่างจ้ามีคนคนหนึ่งนั่งอยู่

เป็นใครกัน

เป็นเขา ชายหนุ่มรูปงามในตรอกคืนวันนั้น

เขารู้สึกว่าสิ่งรอบข้างหมุนติ้ว สมองมึนงงอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งมาประคองตนเอง เขาหันหน้ามาถามด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้านอนไปกี่วันแล้ว”

“สามวัน” น้ำเสียงใสกระจ่างของอีกฝ่ายช่างน่าฟัง แตกต่างกับนักรบผู้กล้าเผ่าหนู่ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

ยามนี้เองที่เยียลี่สัมผัสได้ว่าในคอเจ็บเหมือนถูกไฟเผา ระหว่างกำลังคิดอะไรอยู่นั้น น้ำแกงร้อนชามหนึ่งก็ถูกยกมาตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอมยิ้มของอีกฝ่าย

เยียลี่ยื่นมือไปรับน้ำแกงมา ในใจรู้สึกละอายอยู่บ้าง ตนเองวางยาเขา แต่เขากลับดูแลครบครันทุกสิ่งอย่างเช่นนี้

หลังดื่มน้ำแกงร้อนไปอึกใหญ่ เยียลี่รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง พลังก็กลับคืนมา นี่คงเป็นน้ำแกงโสมกระมัง พวกเขาชาวเผ่าหนู่ตอนป่วยหนักจึงจะกินโสมล้ำค่าเช่นนี้ แต่ที่แคว้นฉี่หลิงกลับมีอยู่ทั่ว

กุยหวั่นเห็นว่าหลังจากเขาดื่มน้ำแกงไปหนึ่งอึกแล้วก็เหม่อ นางจึงพูดขึ้น “ไม่อร่อยหรือ”

เยียลี่ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนดื่มน้ำแกงโสมที่เหลือรวดเดียวจนหมดแล้ววางชามลง เขามองไปทางกุยหวั่นแล้วพูดเสียงเบา “ขอบใจ”

กุยหวั่นตกตะลึง ตอบกลับไปทันที “เกรงใจอะไรกัน” เห็นเขาดื่มน้ำแกงโสมทั้งชามลงท้องไป สีหน้าดีขึ้นมาก กุยหวั่นเริ่มลังเลว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไร มีคำถามบางอย่าง นางรอมาสามวันแล้ว

ยังไม่รอให้กุยหวั่นคิดจนกระจ่าง เยียลี่ก็ชิงถามขึ้นทันใด “น้องชาย เจ้าชื่ออะไร” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเยียลี่จึงอยากรู้ชื่อของอีกฝ่ายยิ่งนัก

“สั่วเก๋อถ่า”

“อะไรนะ!” เยียลี่ตะโกนเสียงดังลั่น

เห็นการตอบสนองนี้ของชายหนุ่ม กุยหวั่นลอบขำอยู่ในใจ วันนั้นนางได้ยินเขาพึมพำว่า ‘สั่วเก๋อถ่า’ แม้แต่หมดสติไปแล้วก็ยังเรียกชื่อนี้ออกมาเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงอยากลองดู คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีการตอบสนองมากมายเช่นนี้

กุยหวั่นเห็นเขาใช้สายตาตกใจปนสงสัยจ้องหน้าตนเอง ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา “ข้าล้อพี่ชายเล่น ข้าจะมีชื่อประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าชื่ออวี๋หวั่น”

ได้ฟังคำตอบของนาง เยียลี่จึงเข้าใจ ที่แท้เป็นการล้อเล่น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดในใจเขาจึงเกิดความผิดหวังขึ้นมา

คนผู้นี้น่าสนใจจริง ตอนที่ได้ยินชื่อปลอมนั้น เขามีสีหน้าตื่นตระหนก รอจนนางบอกอีกชื่อหนึ่งแก่เขา เขาก็ดูเหมือนจะผิดหวังอยู่บ้าง เห็นทีชาวเผ่าหนู่ก็เป็นคนสัตย์ซื่อแสดงออกอย่างตรงไปตรงมามากเช่นกัน เมื่อคิดเช่นนี้กุยหวั่นจึงถามเขาว่า “ชื่อของข้า พี่ชายก็รู้แล้ว ชื่อของพี่ชายเล่า”

เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในตอนที่กุยหวั่นคิดว่าเขาคงไม่ตอบคำถามแล้ว เขาก็กำหมัดแตะไปบนแผ่นอก ท่องคำภาษาหนู่ จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับกุยหวั่นว่า “เดิมทีข้าไม่อาจบอกชื่อกับใครที่นี่ได้เลย แต่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ พวกเราชนเผ่าหนู่ถือบุญคุณที่สุด” พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดพูดไปทันใด แล้วกวาดตามองกุยหวั่นอย่างรวดเร็ว “ข้าชื่อเยียลี่”

“อะไรนะ!” ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นกุยหวั่นที่สบถเสียงเบาอย่างตกใจ

แม้จะเป็นเสียงร้องตกใจที่เบามาก แต่แววตาคมกริบราวสายฟ้าของเยียลี่กลับหันมองมา “ทำไมหรือ เจ้าเคยได้ยินชื่อนี้หรือ”

เคยได้ยินแน่นอน มิน่าเล่าเขาจึงสวมชุดนักโทษ มิน่าเล่าหลายวันนี้การเฝ้าระวังในเมืองหลวงจึงเข้มงวดเช่นนี้ มิน่าเล่าจึงได้ยินว่าแม่ทัพหลินนำกำลังมาจับนักโทษหลบหนีด้วยตนเอง ที่แท้…ที่แท้เขาคือองค์ชายเผ่าหนู่!

นางยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่เคยได้ยิน” เมื่อประสานสายตาแฝงความสงสัยของเขา นางจึงพูดเสริมว่า “เพราะแซ่เยียนี้ไม่เคยได้ยินในแคว้นฉี่หลิงมาก่อน”

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ท่าทางดุดันของเยียลี่จึงค่อยคลายลง เขาไม่อยากให้ฐานะเปิดเผยไปเพราะชื่อ นำมาซึ่งการฆ่าคนปิดปาก ในความคิดของเขา เขาไม่อยากชักดาบฟาดฟันชายหนุ่มผู้นี้ แต่เกรงว่าชายหนุ่มผู้นี้คงไม่ใช่คนสามัญธรรมดา เขาสามารถซ่อนตนเองอย่างปลอดภัยได้ถึงสามวัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้ เมื่อคิดถึงจุดนี้เขาก็เริ่มระวังตัวขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะถามว่า “ที่นี่คือที่ใด”

“ที่นี่คือเรือนด้านหลังของหอไหลฝู” กุยหวั่นเห็นเยียลี่มีสีหน้าสงสัย จึงคิดได้ว่าเขาเป็นชาวเผ่าหนู่ ดังนั้นจึงพูดเสริมว่า “ที่นี่คือถนนไป่หวา ห่างจากตรอกนั้นไม่ไกล”

พูดถึงตรอกนั้นแล้ว เยียลี่ก็ขมวดคิ้ว “อยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ไม่ปลอดภัยอย่างมาก มาอยู่เขตกลางเมืองหลวงเช่นนี้

“ที่นี่จึงจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุด” กุยหวั่นมองทะลุความคิดของเขา น้ำเสียงนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกำลังพูดคุยเรื่องทั่วไป “เหตุผลมีสองข้อ หนึ่งคือวันที่พี่ชายหนีออกมาที่นี่ถูกค้นไปแล้ว สองคือมีเพียงในเมืองที่พี่ชายจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ถ้าวันนั้นส่งพี่ชายไปยังที่ห่างไกลความเจริญ เกรงว่าพี่ชายคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว”

กุยหวั่นเห็นเยียลี่พยักหน้าเห็นด้วยจึงพูดต่ออีก “ตอนนี้ข้าช่วยพี่ชายแล้ว พี่ชายควรจะให้ยาถอนพิษหนอนกู่แก่ข้าได้แล้วกระมัง” รอมาสามวันเต็ม ความอดทนของนางใกล้จะหมดเต็มที

เยียลี่มองหน้ากุยหวั่นอย่างลำบากใจแล้วพูดขึ้นช้าๆ “ข้าให้ยาถอนพิษแก่เจ้าไม่ได้”

บรรยากาศเย็นเยือกลงทันใด สองคนมองหน้ากันไปมา ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน

สิ่งที่เยียลี่คิด…จะให้ยาถอนพิษแก่เขาไม่ได้ เขาไม่ได้อ่อนแอเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อได้ยาถอนพิษ เขาก็จะไม่ช่วยข้าอีก ข้าอยากจะไปจากเมืองหลวง ยังต้องการความช่วยเหลือจากเขา ขอเพียงสามารถไปจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ภายหลังค่อยตอบแทนบุญคุณเขา

ด้านกุยหวั่นคิดว่า…เขาไม่ยอมให้ยาถอนพิษ คงอยากให้ข้าช่วยเขาออกไปจากเมืองหลวง ได้คืบจะเอาศอกเสียจริง เช่นนั้นข้าจะยอมทนไปชั่วคราว รอให้ได้ยาถอนพิษเถอะ เขาอย่าหวังเลยว่าจะรอดชีวิตกลับไป

ทั้งสองคิดไปต่างกัน เยียลี่นั้นพูดอย่างจริงใจว่า “น้องอวี๋ ขอเพียงข้าไปจากเมืองหลวงได้ ข้าจะให้ยาถอนพิษแก่เจ้าแน่นอน เจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงไม่เป่าขลุ่ยกู่ตี๋ แม้ยาพิษหนอนกู่จะอยู่ในร่างกายเจ้า แต่จะไม่ออกฤทธิ์ไปชั่วชีวิต”

กุยหวั่นไม่ได้โกรธ ยังคงมีรอยยิ้มสดใส “พี่เยียลี่ก็จงวางใจ ข้าจะคิดหาวิธีส่งพี่ออกจากเมืองไปอย่างปลอดภัย”

ทั้งสองมองตากันแล้วยิ้ม ทำเช่นนี้ถือเป็นอันตกลง

สิ่งที่กุยหวั่นกังวลใจถูกขจัดไปชั่วคราว ในชั่วพริบตานี้หินก้อนใหญ่ในใจได้ถูกวางลงแล้ว ทั้งสองอยู่ในห้องนอน เรียกกันเป็นพี่น้อง พูดคุยสัพเพเหระก็รู้สึกเพลิดเพลินดี โดยเฉพาะตอนที่เยียลี่เล่าถึงทิวทัศน์และผู้คนแถวนอกชายแดนให้ฟังไม่น้อย ทำให้กุยหวั่นได้รับความรู้ใหม่ๆ อย่างมาก

ทันใดนั้นเหมือนกุยหวั่นจะนึกอะไรขึ้นมาจึงอดสงสัยไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นว่า “พี่เยียลี่ สั่วเก๋อถ่านี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่”

เยียลี่กำลังคิดจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นก็เห็นรอยยิ้มสดใสของกุยหวั่น ภาพการได้พบกันในตรอกคืนวันนั้นย้อนกลับมาในสมองอีกครั้ง เขาเห็นชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าผู้นี้เป็นราวกับเทพเซียน จึงไร้คำพูดไปทันใด ตอบอะไรไม่ออก

กุยหวั่นเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงคิดไปว่าตนทำผิดข้อห้ามอะไรของชาวเผ่าหนู่หรือไม่ “เรื่องเมื่อครู่ขอพี่ชายอภัยด้วย ข้าอายุน้อยไม่รู้ความ บังอาจใช้ชื่อของชาวเผ่าหนู่”

คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ เยียลี่ก็โบกๆ มือ “ไม่เป็นไรๆ” สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ดูเคร่งขรึม กุยหวั่นเห็นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

เงียบไปอีกพักใหญ่ เยียลี่จึงแสดงท่าทางลำบากใจออกมา กุยหวั่นลอบประหลาดใจ แต่ก็ได้ยินเยียลี่เอ่ยปากพูดว่า “อันที่จริง…เจ้าก็เหมาะกับชื่อนี้” พูดจบสีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ราวกับรู้สึกแย่มากที่ตนเองพูดคำเช่นนี้ออกมา

ได้ยินดังนั้นกุยหวั่นก็รู้สึกงุนงงขึ้นมา กำลังคิดจะถามว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เสียงเคาะประตูอย่างร้อนใจก็ดังขึ้นตัดบทสนทนาของพวกเขาสองคน

กุยหวั่นมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ส่งสายตาไปทางเยียลี่แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่ใต้เตียง เยียลี่รู้ความหมาย รีบลุกนั่งที่ขอบเตียงทันที จากนั้นก็มุดเข้าไปใต้เตียง

กุยหวั่นเห็นเขาซ่อนตัวดีแล้วจึงปัดผ้าปูเตียงให้เรียบ จากนั้นก็เดินไปที่ประตูแล้วเปิดออก

พอประตูเปิด กุยหวั่นก็ประสานสายตาเข้ากับดวงตาสวยงามคู่หนึ่ง ชั่วอึดใจนั้นคนทั้งในและนอกประตูล้วนพากันตกใจ ท่าทางเย็นชาและดวงตาที่งดงาม คนนอกประตูก็คือชายหนุ่มรูปงามที่ช่วยจ่ายเงินในหอสุราแทนนางเมื่อสามวันก่อน ได้พบหน้ากันอีกครั้งกลับมีทหารหลายนายยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มด้วย

ในช่วงที่กุยหวั่นตะลึงงันอยู่นี้ก็มีทหารอีกสองนายวิ่งมา คำนับชายหนุ่มเย็นชาที่อยู่ตรงปากประตูอย่างแข็งแรงแล้วพูดพร้อมกันว่า “ท่านแม่ทัพ โถงด้านหน้าไม่เจออะไรขอรับ”

ที่แท้เขาก็คือแม่ทัพหลินผู้มีฝีมืออายุน้อย ร่วมกับโหลวเช่อเป็นหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊คอยช่วยเหลือข้างกายองค์ฮ่องเต้

ขณะที่กุยหวั่นเดาฐานะของเขาออก นางก็รับรู้ถึงอันตรายเช่นกัน

กุยหวั่นสงบสติอารมณ์ลง พยายามไม่แสดงสีหน้าท่าทางผิดปกติอะไร เพียงแค่ทักทายด้วยรอยยิ้ม “เห็นทีเมืองหลวงจะเล็กมากจริงๆ”

คนมักพูดว่าคนพิเศษก็ต้องเจออะไรแบบพิเศษ หมายถึงสภาพการณ์เช่นในตอนนี้ใช่หรือไม่ กุยหวั่นยิ้มเศร้า

สังเกตเห็นดวงตาแสดงความตกใจที่ยากจะปกปิดของอีกฝ่าย กุยหวั่นก็เกิดความคิดอย่างรวดเร็ว บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสอันดี มอบตัวเยียลี่ให้แก่แม่ทัพหลิน นางไม่เชื่อว่าเยียลี่จะทนรับการลงทัณฑ์อย่างหนักได้และไม่ยอมคายวิธีถอนพิษออกมา

กำลังคิดเช่นนี้ นางก็เหลือบเห็นแสงเงินวาบที่มุมหนึ่งใต้เตียงในห้อง กุยหวั่นหัวใจกระตุกในทันที นางย่อมรู้ว่านั่นคือขลุ่ยกู่ตี๋ ความเจ็บที่ฝังใจไม่รู้ลืมในวันนั้นกลับเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง เยียลี่กำลังเตือนนางไม่ให้ทรยศต่อข้อตกลง!

จะรุกหรือถอยก็ยากทั้งสองทาง!

“ที่แท้คุณชายก็คือแม่ทัพหลินผู้โด่งดัง วันนั้นต้องขอบคุณมาก” กุยหวั่นทักทายอีกฝ่ายอย่างสดใส เตือนตนเองในใจว่าต้องสงบสติอารมณ์

หลินรุ่ยเอินพยักหน้าเบาๆ พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

สามวันก่อนชาวเผ่าหนู่ที่ถูกคุมตัวส่งเข้าเมืองหลวงหลบหนีไปกะทันหัน เขาวางกับดักไปทั่ว นำกำลังตามล่าตัว แต่กลับไม่ได้ผลอะไรเลย เวลาสามวันเต็ม เยียลี่ระเหยเป็นไอไปจากโลกนี้แล้วหรือ ทั้งเมืองหลวงถูกค้นหาไปทั่ว ปัญหาอยู่ที่ใดกันแน่

เวลากระชั้นชิด วันนี้เขาเป็นคนนำค้นด้วยตนเอง แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอกับชายหนุ่มผู้นี้อีก เมืองหลวงเล็กเช่นนี้จริงหรือ หลินรุ่ยเอินได้ฟังคำเปิดฉากของอีกฝ่ายก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง

เหตุใดตนเองจึงจำเขาได้ เพราะเรื่องวันนั้นที่เขาสวมใส่อาภรณ์ดูดีสูงศักดิ์แต่กลับไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารสร้างความทรงจำอย่างมากให้แก่เขาอย่างนั้นหรือ

ความรู้สึกรางๆ บอกว่าคำตอบไม่ใช่เช่นนี้ หลินรุ่ยเอินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากพูดขึ้น “ข้ารับคำสั่งให้มาตามจับนักโทษหลบหนี สองสามวันนี้เจ้าเคยเห็นชายหนุ่มต่างเผ่าได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่” เสียงพูดของเขาเย็นชาเหมือนกับสีหน้าท่าทางไม่มีผิด

เคยเห็นแน่นอน อยู่ใต้เตียงนั่นไงเล่า

“ไม่เลย สองสามวันนี้ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ได้ออกไปที่ใด” กุยหวั่นพูดอย่างนอบน้อมจริงใจ

หลินรุ่ยเอินพยักหน้าเล็กน้อย สายตามองไปรอบห้อง “พวกเราทำตามหน้าที่ เจ้าคงไม่ถือสาที่พวกเราจะเข้าไปดูข้างในใช่หรือไม่”

“ไม่ถือสาอยู่แล้ว” กุยหวั่นตอบอย่างรวดเร็ว ในใจก็ลอบตื่นกลัวเล็กน้อย

กุยหวั่นเดินนำเขาเข้ามาในห้อง ความคิดนับร้อยนับพันแล่นผ่านสมอง คิดวิธีได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่ออกเลย ครั้นหันไปมองสีหน้าสงบนิ่งเย็นชาของหลินรุ่ยเอินแล้ว นางคิดอะไรขึ้นได้ในทันใด จึงหันไปยิ้มอย่างงดงาม แล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ วันก่อนโชคดีที่ได้ท่านออกเงินช่วยเหลือ ข้าจะจดจำไว้ตลอดไป”

หลินรุ่ยเอินขมวดคิ้วแน่น เหตุใดชายหนุ่มผู้หนึ่งจึงมีรอยยิ้มงดงามไร้ที่ติเช่นนี้ได้ เป็นเพราะใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างนั้นหรือ ขาของหลินรุ่ยเอินหยุดชะงักไปในทันที

เห็นเขาหยุดเดิน กุยหวั่นจึงยื่นมือไปจับจูงเขาเดินมาที่ข้างเตียง แล้วชี้ไปยังเก้าอี้เพียงตัวเดียวที่อยู่ข้างเตียง “ท่านแม่ทัพเชิญนั่ง”

หากเป็นคนอื่นยื่นมือมาหาเขาอย่างฉับพลัน เขาคงจะบิดข้อมือของอีกฝ่ายไปโดยไม่ลังเล แต่ตอนชายหนุ่มผู้นี้ยื่นมือมาจูงมือเขา เขาเพียงแค่ตะลึงไปเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อดึงสติคืนมาได้ เขากำลังคิดจะสะบัดมืออีกฝ่ายออก แต่บนมือกลับรู้สึกถึงความนุ่มลื่นจึงก้มหน้าลงดู มืองามนั้นขาวกระจ่างใสนวลเนียนยิ่งนัก

ในสมองราวกับมีเสียงฟ้าคำราม นี่เป็นมือของหญิงสาวชัดๆ

เมื่อได้สติก็เห็น ‘เขา’ ชี้ไปที่เก้าอี้ตัวเดียวที่อยู่ข้างเตียง หลินรุ่ยเอินรีบสะบัดมือของ ‘เขา’ ออก แล้วมองไปยังเก้าอี้ ไม่รู้ว่าควรจะนั่งลงไปหรือไม่

กุยหวั่นเห็นหลินรุ่ยเอินจ้องไปยังเก้าอี้ หัวใจก็พลันเต้นรัว การกระทำเช่นนี้ของนางเป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างมาก นำหลินรุ่ยเอินมาข้างเตียง ทหารคนอื่นเห็นหลินรุ่ยเอินนั่งลงตรงนี้ก็จะไม่มาค้นใต้เตียง ปกติคนจะไม่ค่อยสนใจกับสิ่งที่อยู่ใกล้มือ นางต้องเสี่ยง เสี่ยงเพื่อบดบังจุดบอดหลังจากหลินรุ่ยเอินนั่งลง

แต่ตอนนี้เขาจ้องมองเก้าอี้ เขาพบอะไรเข้าแล้วหรือไร

หลินรุ่ยเอินลังเลใจมาก เห็น ‘เขา’ มองตนเอง ดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจ จึงคิดไปว่าบางทีที่ ‘เขา’ แต่งกายเป็นชายอาจจะมีความลำบากใจ แล้วตนเองจะเปิดโปงไปทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงนั่งลงแต่โดยดี

กุยหวั่นลอบถอนหายใจแล้วมองไปทางประตู เห็นทหารสี่นายเริ่มเดินเข้ามาค้นภายในห้อง

กุยหวั่นยิ่งมองคิ้วก็ขมวดแน่นยิ่งขึ้น ในที่สุดก็บ่นออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ทำไมป่าเถื่อนเช่นนี้” ทหารที่ค้นหาอยู่รอบห้องพลิกของไปมา ไม่เบามือเลยแม้แต่น้อย

หลินรุ่ยเอินได้ยินเสียงโอดครวญของ ‘เขา’ และคิดเชื่อมไปถึงฐานะความเป็นหญิงของ ‘เขา’ แล้ว ก็เอ่ยปากพูดออกมาอย่างห้ามใจไม่อยู่ “ระวังหน่อย”

ทหารสี่นายเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน มองไปยังหลินรุ่ยเอิน เห็นใบหน้าเย็นเยือกของเขา คนทั้งสี่ก็มองหน้ากัน ในสมองล้วนเกิดความคิดหนึ่งว่า… วันนี้ท่านแม่ทัพดูแปลกเสียจริง แต่คิดก็ส่วนคิด ทั้งสี่ทำงานเบามือลง เป็นครั้งแรกที่ทำการค้นหาอย่างระมัดระวังเช่นนี้

ห้องชั้นนอกค้นหาเสร็จอย่างรวดเร็ว ทหารสี่นายเดินมาตรงหน้าหลินรุ่ยเอิน ยืนอย่างนบนอบ รอให้ท่านแม่ทัพสั่งการต่อไป

ตามปกติแล้วจะค้นภายในห้องไปพร้อมกันด้วย แต่ครานี้หลินรุ่ยเอินเพียงเงยหน้าขึ้นมอง ‘เขา’ แวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว รู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปโดยรอบและพูดขึ้นว่า “ที่นี่ข้าดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ”

ได้ยินคำพูดนี้แล้วกุยหวั่นก็รู้สึกยินดียิ่ง ในที่สุดก็สามารถหลอกแม่ทัพหนุ่มเย็นชาผู้นี้ไปได้แล้ว เมื่อคิดเช่นนี้นางก็เงยหน้ามองเขา เพียงแค่สบตากัน ทว่าเขากลับเบือนหน้าหนีไป

เห็นทหารทั้งสี่นายถอยออกไป หลินรุ่ยเอินกำลังคิดจะลุกขึ้นเดินจากไป กุยหวั่นกลับถามขึ้นทันใดว่า “ท่านแม่ทัพ นักโทษหลบหนีที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่เป็นคนเผ่าหนู่ใช่หรือไม่”

หลินรุ่ยเอินพยักหน้าแล้วมอง ‘เขา’ อย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงถามคำถามนี้ขึ้นมา

กุยหวั่นอธิบาย “ข้ากำลังคิดว่าการค้นหาของท่านแม่ทัพเช่นนี้ เกรงว่าคงได้ประโยชน์น้อยมาก สู้ไปดักรอตรงทางที่เขาจะกลับเผ่าหนู่ดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดประโยชน์”

หลินรุ่ยเอินคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขามองอีกฝ่ายด้วยความคิดลึกซึ้งแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินไปทางประตู

แม้จะไม่ได้ยินคำตอบของเขา แต่กุยหวั่นรู้ว่าเขาฟังคำนั้นไว้แล้ว ในใจก็รู้สึกยินดี ขอเพียงเขาฟังคำนั้น แผนของนางก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง

เมื่อเห็นคนทั้งหมดจากไป กุยหวั่นก็ค่อยๆ ปิดประตูลงแล้วหันหลังพิงประตู เป่าลมออกจากปาก จากนั้นนางจึงหันหน้ามาพูดไปทางเตียงว่า “ตอนนี้ออกมาได้แล้ว”

เยียลี่คลานออกมาจากใต้เตียงช้าๆ ใช้สายตาลังเลมองสำรวจกุยหวั่น “ทำไมเจ้าจึงเสนอให้เขาไปปิดทางกลับบ้านของข้า”

กุยหวั่นฟังออกถึงความไม่พอใจของเขาจึงฉีกยิ้มบางพลางพูดช้าๆ “ข้าทำเช่นนี้ พี่ชายจึงจะมีโอกาสหนีกลับบ้านได้”

เห็นเขามีสีหน้าไม่เข้าใจและไม่เชื่อใจ กุยหวั่นจึงพูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “พี่ชายอย่าใจร้อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ฟัง”

 

ท้องฟ้ามืดดำไร้แสงจันทร์ เงาร่างคนสองคนค่อยๆ เดินไปทางประตูทิศเหนือของเมืองหลวง เห็นฝีก้าวเรื่อยเปื่อยของพวกเขาแล้ว เหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ เป็นการเดินเล่นท่ามกลางคืนมืดลมแรงเช่นนี้

พวกเขาเดินไปพลางสำรวจสภาพโดยรอบ กุยหวั่นหันหน้ามา มองเห็นแววตาเร่งร้อนและระแวดระวังที่เพิ่มมากขึ้นเพราะอยู่ในความมืด แล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องเคร่งเครียดขนาดนี้ก็ได้”

เยียลี่เห็นรอยยิ้มเป็นธรรมชาติของอีกฝ่ายเช่นนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ “พวกเราชนเผ่าหนู่ขอเพียงไม่ได้อยู่บ้านของตนเองก็จะระมัดระวังตัว”

“นั่นเป็นความเคยชินที่ดี” กุยหวั่นเอ่ยอย่างราบเรียบ ในน้ำเสียงเหมือนผสมปนเปทั้งความดีใจ ความจนใจ และการทอดถอนใจ

เยียลี่ฟังออกถึงความหมายแฝงในคำพูดของอีกฝ่าย เขาจึงหันมามอง แต่ท้องฟ้ามืดมาก จะอย่างไรก็มองสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเจน จิตใจของอีกฝ่ายเองก็เช่นกัน

เพียงพริบตาทั้งสองคนก็เดินไปถึงประตูเมือง พอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กุยหวั่นก็ชะงักฝีเท้า “เอาล่ะ ถึงแล้ว”

เยียลี่ที่หยุดฝีเท้าเช่นกันมองดูประตูเมืองเตี้ยเล็กตรงหน้าแล้วถามอย่างสงสัย “เช่นนี้จะทำได้จริงหรือ”

“แน่นอน ตอนนี้แม่ทัพหลินวางกับดักรอพี่ชายหลายชั้นที่ด้านตะวันออก เพราะนั่นเป็นทางที่พี่ต้องกลับไป แต่ตอนนี้พี่ชายออกไปทางทิศเหนือ ย่อมไม่มีทางเจอพวกทหาร เมื่อเป็นเช่นนี้แม้จะเดินอ้อมทางไกล แต่หนึ่งเดือนนับจากนี้ก็เปลี่ยนทิศจากเมืองเฟิงตู พี่ชายยังสามารถกลับไปที่เผ่าหนู่ได้ สูญเสียชีวิตดีกว่า หรือเดินทางอ้อมแต่ได้กลับบ้านดีกว่าเล่า คิดว่าพี่ชายคงคิดไว้แล้วกระมัง”

กุยหวั่นพูดยืดยาวรวดเดียว ไม่ให้เวลาเขาได้หายใจก็รีบพูดเร่งขึ้นว่า “ถ้ายังไม่ไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

เยียลี่จ้องหน้ากุยหวั่นแล้วพยักหน้า

“เช่นนั้น…” กุยหวั่นฉีกยิ้มแล้วพูดเตือนสติเขา “คำสัญญาที่ข้าให้พี่ชายไว้เป็นจริงแล้ว…”

เยียลี่นิ่งเงียบแล้วพลิกแขนเสื้อขึ้น เมื่อเห็นกุยหวั่นถอยหลังไปอย่างระวังตัว เขาก็หัวเราะออกมา “อย่าเข้าใจผิด แท้จริงแล้วข้าใช้เลือดเลี้ยงหนอนกู่ ยาถอนพิษก็คือเลือดของข้า”

กุยหวั่นเข้าใจในทันที ขณะเดียวกันก็ลอบโมโห ถ้ารู้แต่แรกว่ายาถอนพิษนอนอยู่ตรงหน้านางมาสามวันแล้ว นางจะต้องยุ่งยากไปทำไมกัน

กุยหวั่นอมยิ้ม มองดูเยียลี่ถือมีดกรีดบนแขนตนเองเป็นแผลเล็กๆ เลือดค่อยๆ ไหลลงมา กุยหวั่นก็ขนลุกซู่ ยังไม่ต้องพูดถึงกลิ่นคาวเลือดน่าสะอิดสะเอียน ตอนนี้ข้างกายไม่มีชามสักใบ จะให้นางเข้าไปดื่มเองหรือไร

“ทำไมหรือ” เยียลี่พูดอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมีสีหน้าลำบากใจ เขาควรจะดีใจที่สามารถถอนพิษได้จึงจะถูกไม่ใช่หรือ

ช่างเถอะ ชีวิตสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

เมื่อคิดเช่นนี้กุยหวั่นจึงเดินเข้าไป ก้มหน้าไปที่แผลของเขาแล้วดื่มเลือด

ชั่วขณะนั้นเยียลี่ตระหนกตกใจยิ่งด้วยริมฝีปากของกุยหวั่นที่แตะไปบนบาดแผลของเขานำมาซึ่งความรู้สึกชาวาบกระจายมาตามบาดแผล ราวกับเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดอีกเลย

นี่มันช่าง…

เยียลี่สะดุ้งเฮือก ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนงามจับใจ แต่อย่างไรก็เป็นชาย สองวันมานี้จิตใจเหม่อลอยไปเพราะเขาก็แล้วไป ตอนนั้นตนยังเกิดความรู้สึกหวั่นไหวไปอีก

เยียลี่นะเยียลี่ เจ้าเป็นอะไรกันแน่!

ความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจ เขาอดใจไม่ไหวก้มลงมองชายหนุ่มที่ดื่มเลือดอยู่ ผมดำราวแพรไหม ผิวขาวนวลราวหยก ปลายคางเล็กเรียว ต้นคองามระหง และยังมี…

เยียลี่จับแขนของชายหนุ่มเอาไว้ ไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้ “เจ้า…เจ้าไม่ใช่บุรุษหรือ”

ถูกจับแขนอย่างฉับพลัน กุยหวั่นจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความเจ็บ เมื่อมองเห็นความตกใจ สงสัย และยินดีแวบผ่านในดวงตาของเยียลี่ รวมทั้งได้ยินคำถามเมื่อครู่ของเขาแล้ว นางก็รู้สึกตกใจ แต่แล้วก็ตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง “ใช่แล้ว ข้าก็ไม่ได้บอกว่าข้าเป็นบุรุษเสียหน่อย”

บนริมฝีปากของกุยหวั่นยังมีคราบเลือดติดอยู่ ในความมืดเช่นนี้ทำให้ใบหน้านางยิ่งดูงดงาม เยียลี่รู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาทันที ความยินดีสะสมเพิ่มขึ้นทีละนิด ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมา

กุยหวั่นมองเขาเหมือนมองคนบ้าแล้วพูดเตือนสติว่า “บนกำแพงเมืองมีทหารยาม” เพิ่งจะพูดจบ เหมือนต้องการพิสูจน์ว่านางพูดจริง มีทหารยามสองนายวิ่งลงมาจากกำแพงเมือง เยียลี่ไม่มองหน้าพวกเขา แต่มองหน้ากุยหวั่นด้วยสายตาเร่าร้อน “เป็นสั่วเก๋อถ่าจริงๆ…”

ทหารสองนายเดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที เยียลี่ขยับตัวในทันใด เขาปราดเปรียวราวเสือดาว มือชักกระบี่ข้างเอวของหนึ่งในทหารสองนายนั้นพลางขยับตัวอย่างแคล่วคล่องแม่นยำ

ทหารทั้งสองไม่ได้แม้แต่ส่งเสียงก็ไปรายงานตัวยังอีกโลกหนึ่งเสียแล้ว

กุยหวั่นมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา เยียลี่ที่จัดการทหารเสร็จแล้วก็หมุนตัวมา เก็บกระบี่เข้าเอวของตนเองแล้วก้าวยาวๆ มาหากุยหวั่น

เขาเพิ่งจะฆ่าคน บนร่างยังมีกลิ่นคาวเลือดอยู่ กุยหวั่นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เยียลี่เพิ่มความเร็วฝีเท้า จับไหล่ของกุยหวั่นเอาไว้แล้วดึงตัวนางมาตรงหน้า พร่ำพูดด้วยท่าทางยินดียิ่ง “สั่วเก๋อถ่า เจ้าคือสั่วเก๋อถ่า”

กุยหวั่นไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังพูดเหลวไหลอะไร นางพยายามผลักเขาออกแล้วเตือนสติด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้ายังไม่ไปจะไม่ทันกาลแล้ว”

เยียลี่ถูกบีบให้ปล่อยมือ แต่ยังคงจ้องหน้ากุยหวั่นอยู่แล้วพูดออกมาทีละคำว่า “ข้าจะกลับมาแน่นอน” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินไปทางประตูเมืองทันที แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาหยุดชะงักแล้วหันหน้ามา พูดให้สัญญากับกุยหวั่นอีกครั้ง “ข้าจะกลับมาแน่นอน สั่วเก๋อถ่า”

กุยหวั่นไร้คำพูด มองดูเงาร่างของเขาค่อยๆ หายไปในความมืด จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากทางประตูเมือง คาดว่าเขาคงออกจากเมืองไปแล้ว สีหน้าของกุยหวั่นจึงเปลี่ยนไปจนยากจะคาดเดาได้ ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา นางพูดเสียงเบาว่า “คนเผ่าหนู่จะระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้นหรือ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือขึ้นตวัด เงาร่างคนสองคนปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดที่เดิมทีไร้ผู้คน เพียงพริบตาก็มาอยู่ข้างตัวนาง เห็นได้ว่าเป็นยอดฝีมือ

ทั้งสองมายืนขนาบหลังนาง หนึ่งในนั้นพูดด้วยเสียงแหบเบาว่า “รายงานแม่ทัพหลินแล้วขอรับ เขาออกไปทางนี้ มีแต่ตายสถานเดียว”

กุยหวั่นมองไปยังทางมืดมิดตรงหน้า บนใบหน้าไร้ความรู้สึก ได้ยินนางพูดเพียงเบาๆ เหมือนจะพูดให้คนด้านหลังฟัง แต่ก็เหมือนพูดกับตนเองด้วยเช่นกัน

“เจ้าไม่มีชีวิตรอดกลับไปแล้วยังจะกลับมาอีกได้อย่างไรกัน” นางชะงักไปชั่วครู่ ราวกับไม่อยากใจร้าย แล้วพูดขยายความต่อเสียงเบาว่า “ช่างโหดร้ายเสียจริง แต่ใครให้เจ้าเป็นคนต่างเผ่าเล่า เป็นโชคชะตาที่น่าจนใจเหลือเกิน…”

ไม่มีใครตอบนาง มีเพียงเสียงลมพัด พัดเอาเสียงพูดของนางลอยไปในความมืด ฝังอยู่ท่ามกลางกำแพงเมืองอันกว้างใหญ่เบื้องหน้านั้น

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 19

Comments

comments

Jamsai Editor: