บทที่ 3 พลัดพรากจากลาใจอาวรณ์ อยู่พร้อมกับคนแต่เกิดมา
สวี่ผิงจวินหน้าถอดสีสิ้นแทบจะในทันที นางถามเสียงแหลม “เหอเสี่ยวชี พวกเจ้าไปมีเรื่องชกต่อยกันอีกแล้วใช่หรือไม่ แล้วใครทำใครตาย ปิ้งอี่ไม่มีทางฆ่าใครได้”
“คุณชายหลี่จากฉางอันมาท้าพี่ใหญ่ชนไก่ พอแพ้ก็พาลพาโลจะซื้อไก่ของพี่ใหญ่ให้ได้ นิสัยของพี่ใหญ่ พี่สวี่ก็รู้ หากพูดคุยตกลงกันดีๆ ต่อให้เป็นสิ่งของล้ำค่าสักแค่ไหนก็ไม่เป็นปัญหา ยิ่งถ้าพูดคุยถูกคอกันด้วยแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ซื้อขายกันเลย ต่อให้ขอกันเปล่าๆ พี่ใหญ่ก็ย่อมยินดียกให้ แต่คุณชายหลี่ผู้นั้นรังแกกันเกินไป พอพี่ใหญ่อารมณ์ขึ้น ไม่ว่าเขาจะเสนอเงินให้มากสักแค่ไหนพี่ใหญ่ก็ไม่ยอมขาย คุณชายคนนั้นจากอายกลายเป็นโกรธ เลยสั่งให้คนลงมือทุบตีพี่ใหญ่ เห็นแบบนั้นพวกเรามีหรือยังจะทนได้อีก ก็เลยเรียกพี่น้องอัดคนพวกนั้นกลับ ต่อมาเรื่องไปถึงหูทางการ พี่ใหญ่กลัวพวกเราจะพลอยติดร่างแหไปด้วยจึงยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ทางการเลย…เลยจับตัวพี่ใหญ่ไป”
“พวกเจ้า…พวกเจ้า…” สวี่ผิงจวินโมโหบิดหูของเหอเสี่ยวชีแน่น “ชาวบ้านห้ามไปมีเรื่องกับทางการ เรื่องเช่นนี้ทำไมพวกเจ้าถึงไม่เข้าใจ แล้วมีใครบาดเจ็บบ้างหรือไม่”
“พี่ใหญ่ห้ามไม่ให้พวกเราลงมือตลอด แต่เพราะทุกอย่างสับสนวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างชกกันจนตาแดงก่ำไปหมด สุดท้ายพวกของอีกฝ่ายถูกตีตายไปคนหนึ่ง ส่วนคุณชายคนนั้นก็ถูกพี่ใหญ่เล่นงานจนขาหัก…โอ๊ย!” เหอเสี่ยวชีกุมหูร้องโอดครวญ สวี่ผิงจวินเหวี่ยงเด็กหนุ่มทิ้งไปอีกทางก่อนจะรีบพุ่งออกไปจากหอสุรา
แม้จะได้ยินท่านอาฉางเถ้าแก่เจ้าของหอสุราถอนหายใจ แต่อวิ๋นเกอกลับแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “ท่านอาฉาง พี่สาวคนเมื่อครู่กับพี่ใหญ่คนนั้นเป็นอะไรกัน”
ท่านอาฉางถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง “วันหน้าเจ้าทำงานอยู่ที่นี่ ย่อมต้องมีโอกาสได้รู้จักมักคุ้นกับนางเอง ส่วนหลิวปิ้งอี่นั่นก็เป็น ‘คนดัง’ ประจำที่ราบเซ่าหลิง อย่างไรเจ้าก็ต้องได้รู้จักกับเขาสักวันเหมือนกัน ยายหนูสวี่เป็นพวกปากร้ายใจดี มีความสามารถ ทั้งๆ ที่เป็นแค่สตรี กลับเข้มแข็งกว่าพวกผู้ชายเสียอีก แต่หลิวปิ้งอี่เลี่ยงได้ก็จงเลี่ยงให้ห่าง ดีที่สุดคือไม่คบหาพูดจาด้วยชั่วชีวิต ได้ยินว่าคนในบ้านเขาตายหมดแล้ว เหลือแค่เขาคนเดียวเท่านั้น แต่แทนที่จะสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล กลับทำแต่เรื่องน่าขายหน้าไปวันๆ ทั้งๆ ที่เคยร่ำเรียนเขียนอ่าน หนำซ้ำยังเรียนได้ไม่เลว แต่เพราะนิสัยดื้อด้านไม่รักดี ชนไก่วิ่งสุนัข ชกต่อยพนันขันต่อเชี่ยวชาญเป็นที่หนึ่ง พวกอันธพาลในละแวกชานเมืองฉางอันเลยยกย่องให้เขาเป็นหัวหน้า พ่อของยายหนูสวี่เดิมทีเป็นขุนนาง ถึงแม้จะไม่ใช่ขุนนางใหญ่โตอะไร แต่ก็นับว่ามีกินมีใช้ไม่ลำบาก ต่อมาเพราะไปทำท่านอ๋องเจ้าศักดินากริ้ว เลยต้องรับโทษเรือนลับ* นับแต่นั้นแม่ของนางเลยต้องครองตนเป็นหญิงร้างสามี นับวันอารมณ์มีแต่จะฉุนเฉียวขึ้น…”
“อะไรคือ…” พอได้ยินคำว่าต้องโทษเรือนลับ อวิ๋นเกอก็นึกอยากถามว่าคือการลงโทษเช่นไร แต่พอได้ยินท่อนหลังที่ว่าครองตนเป็นหญิงร้างสามี ในใจก็ให้พอเข้าใจได้รางๆ อยู่หลายส่วน จึงรีบพูดกล้อมแกล้มออกมา “ไม่มีอะไร ท่าอาฉาง ท่านว่าต่อเถอะ”
“ตอนนี้เฒ่าสวี่วันๆ เอาแต่ดื่มเหล้าเมามาย ขอเพียงมีเหล้า ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เฒ่าสวี่พูดคุยถูกคอกับหลิวปิ้งอี่เป็นที่สุด แต่ไม่รู้พวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน ยายหนูสวี่ถึงได้เกลียดหลิวปิ้งอี่นัก แต่เจอกับจอมเสเพลอย่างหลิวปิ้งอี่เข้า นางหรือจะมีปัญญาทำอะไรได้ เลยได้แต่ทำเป็นมองผ่านไม่แยแสอีกฝ่าย นางกับหลิวปิ้งอี่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก สนิทกันเหมือนญาติ เฮ้อ! ก็เพราะหลิวปิ้งอี่นี่แหละ ชีวิตของยายหนูสวี่ถึงไม่เคยสงบสุขอย่างคนเขา เกรงว่าหลิวปิ้งอี่คราวนี้คงหนีไม่พ้นโทษตาย หัวหลุดออกจากบ่า แผลใหญ่เท่าปากชาม สงสารก็แต่นาง!” ท่านอาฉางพึมพำจบก็รีบหันไปเรียกลูกค้า
* โทษเรือนลับ (กงสิง) แท้จริงหมายถึงโทษทัณฑ์ของผู้ผิดประเวณี โดยคำว่ากง หมายถึงเครื่องเพศของสตรี เพราะโดยมากใช้ลงโทษฝ่ายหญิง แต่ในสมัยฮั่นได้กำหนดให้ลงโทษฝ่ายชายโดยการตอนด้วยเช่นกัน ในที่นี้จึงหมายถึงโทษตอน
อวิ๋นเกอนิ่งคิด มิน่านิสัยของพี่หลิงถึงได้เปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้ ที่แท้ชีวิตก็พบพานเรื่องเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงนี่เอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ญาติสนิทของเขาถึงได้ตายกันหมด
“ทำร้ายคนถึงตายต้องชดใช้ด้วยชีวิตใช่หรือไม่”
“กฎหมายว่าไว้เช่นนั้น แต่คำว่าขุนนางมีสองปาก…ก็ต้องดูว่าผู้ตายเป็นใคร แล้วคนที่ทำร้ายผู้อื่นถึงตายเป็นใคร” เมิ่งเจวี๋ยเม้มริมฝีปากยิ้ม แต่สายตาที่หลุบต่ำกลับไม่ปรากฏรอยยิ้มแม้แต่น้อย
อวิ๋นเกอถาม “หมายความว่าอย่างไร”
“ข้ายกตัวอย่างให้เจ้าฟังก็แล้วกัน หากชาวบ้านหรือขุนนางธรรมดาทำท่านอ๋องท่านโหว* โกรธ เจ้าว่าจุดจบของพวกเขาจะเป็นเช่นไร พ่อของสวี่ผิงจวินทำผิดเพียงเล็กน้อย แต่กลับต้องรับโทษเรือนลับ เช่นเดียวกันกับกรณีของขุนนางชั้นหนึ่งแห่งราชวงศ์ฮั่น ในสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ทรงครองราชย์ แม่ทัพเพี่ยวฉี** ฮั่วชวี่ปิ้งยิงธนูสังหารกวนเน่ยโหว*** หลี่ก่าน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงไม่แคล้วมีภัยถึงเรือนแล้วเป็นแน่ แต่เพราะคนที่สังหารผู้อื่นเป็นฮั่วชวี่ปิ้งขุนนางคนโปรดของจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ หนำซ้ำยามนั้นสกุลเว่ยเรืองอำนาจเป็นอันมาก ดังนั้นการตายของโหวคนหนึ่งจึงถูกบอกให้ผู้คนทั่วหล้ารับรู้ด้วยคำว่า ‘ถูกกวางชนตาย’ ง่ายๆ เพียงประโยคเดียว”
พอนึกว่าหลิวปิ้งอี่ยามนี้กำลังตกระกำลำบาก นึกไปถึงคุณชายที่มาจากในเมืองฉางอันที่เหอเสี่ยวชีพูดถึง อวิ๋นเกอก็กินอะไรไม่ลง นางรู้สึกว่าตัวเองน่าจะสืบที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดให้ชัดเจนดูเสียหน่อยจึงหันไปพูดกับเมิ่งเจวี๋ย “ข้ากินอิ่มแล้ว หากท่านมีธุระอะไรต้องไปทำก็ไปเถอะ! ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าไปเดินเล่นคนเดียวได้”
“ได้ งั้นเย็นนี้พบกัน ใช่แล้ว ที่พักเมื่อวานเจ้าชอบหรือไม่”
อวิ๋นเกอพยักหน้า
“ข้าเองก็ชอบมากเช่นกัน เลยตัดสินใจเช่าระยะยาวไว้เผื่อใช้เป็นที่พำนักชั่วคราว เรื่องอื่นพวกเราไว้ค่อยคุยกันวันหลัง ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปหาที่พักที่ไหน อยู่ทำอาหารเย็นให้ข้ากินทุกวันก่อน ถือเสียว่าเป็นค่าห้อง ข้าอยู่ที่นี่ไม่นานนัก คุยการค้าเสร็จก็จะไป เพราะฉะนั้นข้าจะถือโอกาสที่เจ้าติดค้างข้าอยู่นี้รีบหาลาภปากให้กับตัวเองหลายๆ วัน”
อวิ๋นเกอคิด เช่นนี้ต่างฝ่ายต่างล้วนได้ประโยชน์ นางเองแม้ต้องหาที่พัก แต่ก็ใช่ว่าจะหาได้ทันทีเสียเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับปาก
นางเดินเล่นอยู่ภายในเมืองฉางอันตลอดบ่าย แต่เพราะไม่คุ้นเคยกับการดำรงชีวิตของผู้คนที่นี่ ประกอบกับคดีนี้ดูเหมือนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างไม่ใช่คนธรรมดา คนที่แรกเริ่มพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใสกับนางพวกนั้น พอรู้ว่านางต้องการถามไถ่เรื่องอะไรก็พากันหน้าเปลี่ยนสี โบกไม้โบกมือไล่ ท้ายสุดก็สืบไม่ได้ความอันใดแม้แต่อย่างเดียว
อวิ๋นเกอจนปัญญา ได้แต่ไปหาสวี่ผิงจวินเผื่อจะมีข่าวคราวอะไรบ้าง
กำแพงที่ก่อจากดินเหลืองผสมกับฟางข้าวร้าวแยกหลายจุด บานประตูปริแตก หากมองผ่านเข้าไปจะเห็นเงาร่างของคนที่อยู่ในบ้านได้รางๆ
* โหว คือบรรดาศักดิ์ชั้นรองลงมาจากตำแหน่งอ๋องในสมัยฉินและฮั่น โดยระบบศักดินาในสมัยนั้นเรียกว่า “ศักดินา 20 ชั้น” ไล่เรียงจากชั้นที่ 20 ลงไปจนถึงชั้นที่ 1 โดยให้ชั้นโหวเป็นชั้นสูงสุด
** แม่ทัพเพี่ยวฉี (อาชาเหิน) บางตำราออกเสียงว่าเพี่ยวจี้หรือเปียวจี้ เป็นตำแหน่งแม่ทัพกองทหารม้า ตั้งขึ้นในสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ ยศขุนนางฝ่ายบู๊ลำดับหลักขั้นสองหรือลำดับรองขั้นหนึ่ง เป็นรองเพียงแม่ทัพใหญ่ ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์คือฮั่วชวี่ปิ้ง หลังจากสมัยฮั่นตะวันตก ตำแหน่งนี้ถูกรียกว่า แม่ทัพใหญ่เพี่ยวฉี
*** กวนเน่ยโหว คือบรรดาศักดิ์ชั้นที่ 19 ในระบบศักดินาจีนสมัยฉินและฮั่น
เสียงทะเลาะโวยวายที่ดังอยู่ภายในทำเอาอวิ๋นเกอลังเลว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าหลังจากเคาะประตูแล้วจะถามอีกฝ่ายเช่นไร และไม่รู้ด้วยว่าควรอธิบายตนเองอย่างไร
ครั้นเห็นเงาร่างของใครบางคนเดินตรงมาที่ประตู นางก็รีบหลบไปอีกด้าน
“ท่านแม่ไม่ต้องรู้ เงินพวกนี้ข้าเป็นคนหามาก็ย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะใช้มันเช่นไร” สวี่ผิงจวินตะโกนพลางรีบร้อนเดินออกจากบ้าน
สตรีรูปร่างอ้วนเตี้ยนางหนึ่งไล่ตามมาถึงหน้าประตูก่อนจะเอ่ยปากคร่ำครวญ “มีลูกสาวคนหนึ่งกลับทำตัวไม่ต่างอะไรกับศัตรู ชีวิตข้าทำไมถึงได้ลำเค็ญเช่นนี้ อดตายไปเลยก็ดี! จะได้หมดเรื่องหมดราวกัน! ต้องให้ทุกคนตายไปพร้อมกับเจ้าตัวซวยนั่นด้วยสินะเจ้าถึงจะพอใจ”
อวิ๋นเกอพิจารณาดูสตรีนางนั้นอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามสวี่ผิงจวินไปเงียบๆ
สวี่ผิงจวินวิ่งเลี้ยวผ่านมุมกำแพง ฝีเท้าเริ่มชะลอลง เห็นไหล่นางสั่นสะท้านเบาๆ เช่นนั้นอวิ๋นเกอก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังร่ำไห้
เพียงแต่ไม่นาน สวี่ผิงจวินก็เร่งฝีเท้าเลี้ยวเจ็ดอ้อมแปดเข้าไปในตรอกเงียบสงัดแห่งหนึ่ง นางยืนนิ่ง สายตาจับจ้องไปยังร้านตรงหน้าอยู่เป็นนาน
อวิ๋นเกอมองตามสายตาของสวี่ผิงจวิน พอเห็นอักษรคำว่า ‘จำนำ’ ที่ข้างประตู นางก็อดตกตะลึงไม่ได้
สวี่ผิงจวินยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดริมฝีปากเดินเข้าไปด้านใน
อวิ๋นเกอแอบเงี่ยหูฟังอยู่ข้างประตู
“หยกประดับชิ้นนี้สีสันไม่โดดเด่น ฝีมือแกะสลักหรือก็ใช้ไม่ได้…”
อวิ๋นเกอยิ้มเจื่อนส่ายหน้า ถึงแม้นางจะไม่เคยนึกสนใจในสิ่งของพวกนี้ แต่พี่สามของนางจู้จี้กับเรื่องอาหาร เสื้อผ้าอาภรณ์ และที่หลับที่นอนเป็นที่สุด ของที่ใช้ล้วนต้องดีเลิศ หยกประดับชิ้นนั้นเทียบกับเครื่องประดับของพี่สามแล้วไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก แต่เถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำผู้นี้กลับกล้าบอกว่าสีสันของมันดูธรรมดา หากเป็นเช่นนั้นจริง ใต้หล้านี้คงหาของดีไม่ได้แล้ว
เถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำหาเรื่องตินั่นตินี่อยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ทำทีไม่เต็มใจ เอ่ยปากบอกราคาไม่สมเหตุสมผลออกมาช้าๆ อีกทั้งยังต้องขายขาดถึงจะยอมให้ราคานี้ หากต้องการจำนำแบบสามารถไถ่ถอนคืนภายหลัง ราคาที่เขาให้มูลค่าได้ไม่ถึงหนึ่งในสามของราคาอยุติธรรมที่เสนอให้ในคราวแรกเสียด้วยซ้ำ
สวี่ผิงจวินก้มหน้า ลูบหยกประดับในมือ ครั้นเงยหน้าขึ้น แม้ดวงตาจะเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แต่น้ำเสียงของนางกลับเชื่องช้าหนักแน่น “ขายขาดก็ได้ แต่ราคาต้องเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง จะเอาก็เอา ถ้าไม่เอาก็แล้วไป”
เห็นสวี่ผิงจวินรับเงินรีบร้อนเดินจากไปแบบนั้น อวิ๋นเกอก็พอเดาออกว่าสวี่ผิงจวินจะเอาเงินไปทำอะไร
หลังจากมองดูโรงรับจำนำโดยละเอียด จดจำที่ตั้งของมันได้แน่ชัด อวิ๋นเกอก็ถอนหายใจหนักหน่วงเดินจากไปด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง
แม้นางจะเฝ้าคิดตรึกตรองไม่สิ้น แต่กลับไม่อาจช่วยหาทางออกอะไรให้กับสวี่ผิงจวินได้ หากเป็นพี่รอง แค่พึมพำเบาๆ ไม่กี่ประโยคก็คงคิดหาทางออกได้แล้ว ถ้าหากเป็นพี่สาม ยามเกือกม้าเขาย่ำผ่าน ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นจวนขุนนางหรือคุกหลวง คนก็คงถูกช่วยออกมาก่อนนานแล้วเช่นกัน ส่วนนางทำไมถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ หรือนางจะโง่เหมือนอย่างที่พี่สามว่าไว้จริงๆ
กว่าจะกลับมาถึงโรงเตี๊ยมท้องฟ้าก็มืดมิดไปจนสิ้น พอเห็นแสงตะเกียงจากในห้องของเมิ่งเจวี๋ย นางก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองรับปากจะทำอาหารเย็นให้เขากิน ถึงแม้ยามนี้จะไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย แต่นางก็ไม่ปรารถนาจะผิดคำพูด
ขณะกำลังพับแขนเสื้อเตรียมลงครัวทำกับข้าว เมิ่งเจวี๋ยก็ผลักประตูเดินออกมาพอดี “วันนี้ช่างเถอะ ข้าให้พ่อครัวของโรงเตี๊ยมจัดเตรียมอาหารไว้แล้ว หากเจ้ายังไม่ได้กินอะไร เช่นนั้นพวกเราก็มากินด้วยกันเถอะ”
อวิ๋นเกอเดินตามเมิ่งเจวี๋ยเข้าไปในห้อง นางถือตะเกียบค้างอยู่นาน แต่กลับไม่ได้คีบอะไรเข้าปากแม้แต่คำเดียว
เมิ่งเจวี๋ยถาม “อวิ๋นเกอ เจ้ามีเรื่องในใจใช่หรือไม่”
อวิ๋นเกอส่ายศีรษะ คีบกับข้าวขึ้นมา แต่สุดท้ายนางก็ฝืนใจกินไม่ลงอยู่ดี อวิ๋นเกอวางตะเกียบ “เมิ่งเจวี๋ย ท่านรู้จักฉางอันดีหรือไม่”
“ผู้อาวุโสในตระกูลข้าทำการค้าอยู่ที่นี่ไม่ใช่น้อย จะบอกว่ารู้จักก็คงพอได้อยู่ ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ก็พอมีคนคุ้นเคยอยู่บ้างเช่นกัน”
พอได้ยินประโยคหลัง อวิ๋นเกอก็ใจเต้น นางรีบเอ่ยปาก “เช่นนั้นท่าน…เช่นนั้นข้าพอจะรบกวนท่าน…รบกวนท่าน…”
นับตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น หนำซ้ำยังเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานอีกต่างหาก ดังนั้นคำพูดคำจาถึงได้ติดๆ ขัดๆ ไปหมด เมิ่งเจวี๋ยเองก็ไม่คิดเร่งเร้า เอาแต่ยิ้มน้อยๆ รอฟังนางอยู่เงียบๆ
“ท่านพอจะช่วยสอบถามดูสักหน่อยได้หรือไม่ว่าทางการจะจัดการเช่นไรกับหลิวปิ้งอี่ แล้วมีทางผ่อนหนักเป็นเบาอะไรได้บ้างหรือไม่ ข้า…รับรองว่าวันหน้าข้าต้องตอบแทนบุญคุณท่านแน่”
เดิมทีอวิ๋นเกอยังกังวลว่าจะตอบเมิ่งเจวี๋ยเช่นไรหากอีกฝ่ายถามว่าทำไมถึงห่วงใยคนแปลกหน้าอย่างหลิวปิ้งอี่นัก เพราะภายใต้สถานการณ์อย่างในเวลานี้ นางไม่อยากบอกคนอื่นว่านางกับหลิวปิ้งอี่รู้จักกันมาก่อน แต่นึกไม่ถึงว่าเมิ่งเจวี๋ยกลับไม่ถามอะไรมากความ เพียงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าพวกเราเป็นสหายกัน สหายดูแลสหายย่อมเป็นเรื่องสมควร คดีนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ข้าเองก็พอได้ยินมาอยู่บ้าง เจ้ากินอาหารไปพลางข้าเล่าให้เจ้าฟังไปพลางดีหรือไม่”
อวิ๋นเกอยกชามข้าวขึ้นมากินคำโตอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเป็นประกายจ้องมองดูเมิ่งเจวี๋ยไม่กะพริบ
“คนที่หลิวปิ้งอี่ไปล่วงเกินชื่อหลี่สู่ บิดาของคุณชายหลี่แม้จะเป็นขุนนาง แต่ก็มิใช่ขุนนางแถวหน้าแต่อย่างใด ขณะที่พี่สาวของหลี่สู่กลับเป็นถึงอนุของแม่ทัพเพี่ยวฉีซางเล่อโหว ซั่งกวนอัน”
อวิ๋นเกอสีหน้างุนงง “ตำแหน่งของซั่งกวนอันใหญ่มากกระนั้นหรือ”
“เจ้ารู้ชื่อสกุลของพระอัครมเหสีแห่งต้าฮั่นองค์ปัจจุบันหรือไม่”
อวิ๋นเกอส่ายหน้าอับอาย
“ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร” เมิ่งเจวี๋ยยิ้ม คีบกับข้าวให้นาง “เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะเล่าให้ฟังโดยละเอียด เอาเป็นว่าข้าเล่าให้เจ้าฟังคร่าวๆ ก็แล้วกัน ตอนจักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ยังทรงพระเยาว์ ดังนั้นองค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หลิวเช่อจึงได้ทรงแต่งตั้งสี่ขุนนางใหญ่อันประกอบไปด้วย ซั่งกวนเจี๋ย ซางหงหยาง จินรื่อตี และฮั่วกวงให้เป็นเสาหลักช่วยค้ำราชบัลลังก์ ในสี่คน นอกจากจินรื่อตีที่ป่วยเสียชีวิตไปก่อน ที่เหลือทั้งสามยามนี้ล้วนเป็นขุนนางใหญ่มีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดินต้าฮั่น พระอัครมเหสีองค์ปัจจุบันคือซั่งกวนเสี่ยวเม่ย เป็นหลานปู่ของซั่งกวนเจี๋ย และหลานตาของฮั่วกวง แม้ปีนี้จะอายุเพียงสิบสอง แต่ก็เป็นพระอัครมเหสีมาแล้วถึงหกปี”
“ซั่งกวนอันเป็นพระญาติของพระอัครมเหสี?”
“บุตรีของซั่งกวนอันก็คือพระอัครมเหสีซั่งกวน ส่วนบิดาของซั่งกวนอันก็คือหัวหน้าขุนนางค้ำราชบัลลังก์แม่ทัพซ้ายซั่งกวนเจี๋ย หนำซ้ำยังมีสมุหกลาโหมฮั่วกวงเป็นพ่อตาอีก”
อวิ๋นเกอร้อง ‘อา’ ออกมาคำหนึ่งก็กลืนอาหารต่อไม่ลง แม่ทัพซ้ายสมุหกลาโหมอะไร นางจนปัญญาไม่อาจเข้าใจแจ่มชัดว่าฐานะของพวกเขานั้นใหญ่โตขนาดไหน แต่คำว่าพระอัครมเหสีนางกลับเข้าใจชัดแจ้ง พระอัครมเหสีซั่งกวนได้รับการเรียกตัวเข้าวังแต่งตั้งเป็นพระอัครมเหสีตั้งแต่อายุหกขวบ นั่นก็บอกชัดอยู่แล้วว่าไม่ใช่เพราะตนเอง และเพียงเท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่าอำนาจของตระกูลที่คอยหนุนหลังพระอัครมเหสีอยู่นั้นมากมายมหาศาลขนาดไหน มิน่าสวี่ผิงจวินถึงได้ร้องไห้ ถึงได้ตัดใจขายขาดหยกประดับชิ้นนั้น หากไม่มีคนแล้ว ยังจะมีอันใดให้อาลัยอาวรณ์อีก
“แต่ว่าเมิ่งเจวี๋ย คนคนนั้นไม่ได้ถูกหลิวปิ้งอี่ฆ่าตายเสียหน่อย! หลิวปิ้งอี่ต่อให้ทำผิดกฎหมาย มากที่สุดก็แค่ทำร้ายคุณชายคนนั้นเท่านั้น พวกเรามีทางหาคนร้ายที่ฆ่าคนตายออกมาได้หรือไม่”
“หลิวปิ้งอี่เป็นหัวหน้าจอมยุทธ์พเนจรในละแวกนี้ หากคนที่ทำร้ายผู้อื่นตายเป็นลูกน้องของเขาแล้วล่ะก็ แค่ความจริงที่ว่าคนพวกนี้เห็นคุณธรรมสำคัญกว่าชีวิต เจ้าคิดว่าพวกเขาจะทนดูหลิวปิ้งอี่ตายได้กระนั้นหรือ คนที่คิดจะรับโทษแทนมีมากกว่าคนอยากมีชีวิตอยู่เสียอีก ทว่าที่พวกเขาต่างถูกทางการไล่กลับไปจนหมดนั่นก็เพราะว่าคำให้การทำให้ข้อแก้ต่างทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยช่องโหว่”
อวิ๋นเกอขมวดคิ้วครุ่นคิด “ความหมายของท่านคือ…คือ…ไม่ใช่สหายของหลิวปิ้งอี่ฆ่าคนตาย ถ้าเช่นนั้นแล้วเป็นใครกัน…คงเป็นไปไม่ได้ที่คุณชายคนนั้นจะเป็นคนร้ายฆ่าคนกระมัง นอกเสียจากว่าจะมีคนแอบ…ไม่อย่างนั้น…”
เมิ่งเจวี๋ยพยักหน้าชม “แม้ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง หลิวปิ้งอี่ไม่ใช่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคุณชายหลี่ เขาถึงได้พยายามควบคุมอารมณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อีกฝ่ายกลับเจตนาหาเรื่อง บางทีหลิวปิ้งอี่เองอาจไม่รู้เลยสักนิดว่าทำไม แต่อย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจอยู่ก่อนแล้วว่าไม่มีทางเป็นเพราะไก่ชนตัวเดียวแน่ ยามจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ทรงครองราชย์ เพราะทำสงครามบ่อยครั้งจึงแก้ภาษีจากอัตราหนึ่งต่อสามสิบที่ถูกกำหนดไว้ในรัชสมัยขององค์จักรพรรดิเหวินตี้มาเป็นหนึ่งต่อสิบเอ็ด ด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้นประกอบกับกองกำลังทหารที่ไปร่วมรบขาดแคลนทำให้ปลายรัชสมัยขององค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้แผ่นดินว่างเปล่า ประชากรลดไปกว่าครึ่ง บ้านเรือนส่วนใหญ่ร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เพื่อให้ประชาชนได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจึงทรงประกาศปรับลดภาษี กลับไปใช้อัตราภาษีเดิมที่เคยกำหนดไว้ในรัชสมัยองค์จักรพรรดิเหวินตี้ แต่ขุนนางในราชสำนักกลับมีความคิดเห็นขัดแย้ง แบ่งเป็นหลายกลุ่มหลายก๊วน เช่นกลุ่มเมธีที่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมปัญญาที่มีฮั่วกวงเป็นหัวหน้า กลุ่มขุนนางระดับกลางที่มีซางหงหยางเป็นหัวหน้า กลุ่มขุนนางชั้นสูงที่มีซั่งกวนเจี๋ยเป็นหัวหน้า…”
ดวงตาของเมิ่งเจวี๋ยก้มต่ำ จ้องมองดูถ้วยชาในมือ ใจเหมือนจมดิ่งอยู่ท่ามกลางอารมณ์ครุ่นคิดของตนเอง
เดี๋ยวเขาก็พูดถึงจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ เดี๋ยวเขาก็พูดถึงจักรพรรดิฮั่นเหวินตี้ อีกเดี๋ยวก็พูดถึงเรื่องภาษี อวิ๋นเกอเข้าใจได้แค่เพียงน้อยนิด ที่เหลือมากกว่าครึ่งนางไม่อาจฟังเข้าใจ
ถึงจะคล้ายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องของหลิวปิ้งอี่แม้แต่น้อย หากนางก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ดังนั้นจึงพยายามตั้งอกตั้งใจฟัง
สายตาของเมิ่งเจวี๋ยที่มองดูอวิ๋นเกอนั้นเหมือนกำลังครุ่นคิด นัยน์ตาดำขลับวับวาวเป็นประกายราวกำลังร้องขออะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังพยายามเปิดเผยบางสิ่งให้นางได้รู้
แต่อวิ๋นเกอกลับไม่เข้าใจ นางมองเมิ่งเจวี๋ยด้วยความรู้สึกเสียใจและนึกละอาย “ขอโทษด้วย ข้าฟังเรื่องภาษีเข้าใจแค่นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนเรื่องกลุ่มอะไรพวกนั้นข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด”
เมิ่งเจวี๋ยตกใจรู้สึกตัว เขารีบเก็บสายตากลับอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มจางๆ “ข้าพูดเหลวไหลไปเอง พูดให้ง่ายหน่อยก็คือขุนนางในทุ่งราบเซ่าหลิงล้วนเป็นคนของซั่งกวนเจี๋ย และพวกเขาก็ไม่ได้ทำตามพระราชดำรัสขององค์จักรพรรดิที่ต้องการให้ชาวบ้านอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข แม้ชาวประชาจะโง่งมยอมให้ข่มเหงรังแกกันได้ง่ายๆ แต่หลิวปิ้งอี่กลับไม่ใช่ เขาเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษีที่พวกขุนนางกำหนด เรื่องนี้หากใหญ่โตขึ้นมา ซั่งกวนเจี๋ยย่อมไม่มีทางเปลืองแรงช่วยเหลือพวกเบี้ยตัวเล็กตัวน้อยแน่ ขุนนางท้องถิ่นเองก็เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของตนเองเลยใช้หลี่สู่ผู้นั้นเป็นเครื่องมือ ส่วนที่ว่าหลี่สู่สมัครใจช่วยเหลือหรือถูกหลอกให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยนั้น ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้ เรื่องมาจนถึงบัดนี้ วิธีการที่พวกเขาใช้นับว่าแยบยลมิใช่น้อย ซั่งกวนอันเองก็คงปล่อยเรื่องนี้ไปตามน้ำ”
อวิ๋นเกอนั่งนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่นาน ไม่แม้แต่จะขยับตัว เมิ่งเจวี๋ยก็เอาแต่มองหน้านาง ไม่พูดอะไรแม้สักคำเดียว
ที่แท้เป็นกลอุบายที่ไม่มีทางแก้ ซั่งกวนเจี๋ย ซั่งกวนอัน ชื่อไม่คุ้นหูเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของอำนาจอันสูงส่งที่คนธรรมดาไม่อาจสู้รบตบมือได้ด้วยชั่วนิจนิรันดร์
อวิ๋นเกอผลุนผลันลุกขึ้นยืน “เมิ่งเจวี๋ย ท่านพอจะให้ข้ายืมเงินสักจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ เกรงว่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่ด้วย ข้าคิดจะติดสินบนพวกเจ้าหน้าที่เฝ้าคุกจะได้แวะเข้าไปเยี่ยมพี่หลิง…หลิวปิ้งอี่ แล้วข้ายังคิดจะซื้อของอีกอย่างด้วย”
เมิ่งเจวี๋ยประคองถ้วยชาขึ้น ยกจิบมันคำหนึ่ง “ยืมเงินไม่ใช่ปัญหา แต่ใช้เงินเพียงอย่างเดียวใช่ว่าจะช่วยคนได้ คนที่บ้านเจ้ามีหนทางอะไรกระนั้นหรือ”
นัยน์ตาของอวิ๋นเกอมีน้ำตาเอ่ยคลอ “หากอยู่ที่แดนตะวันตกหรือลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกอีกสักนิด ข้ามผ่านปามีร์ ตรงไปถึงเถียวจือ อันซี ต้าฉิน บางทีท่านพ่อของข้าอาจช่วยข้าคิดหาทางได้ ท่านพ่อแม้จะเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่ผู้มีอำนาจราชศักดิ์อะไร แต่ข้ารู้สึกว่าขอเพียงท่านพ่อคิดจะทำก็ไม่มีเรื่องอันใดที่ท่านพ่อจะทำไม่ได้ แต่ที่นี่คือแผ่นดินต้าฮั่น คือเมืองฉางอัน ท่านพ่อและท่านแม่ไม่เคยเหยียบแผ่นดินต้าฮั่นมาก่อน พี่รองและพี่สามก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น…ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่มีทางมาอีกด้วย”
ขณะที่อวิ๋นเกอพูด เมิ่งเจวี๋ยก็จ้องมองตานางอย่างใจจดใจจ่อราวกับสามารถตัดสินว่าคำพูดเหล่านั้นจริงหรือเท็จผ่านทางดวงตาของนาง สีหน้าแม้จะไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง แต่ในดวงตากลับฉายแววผิดหวังออกมาให้เห็นจางๆ
อวิ๋นเกอนั่งก้มหน้าท้อแท้ “ก่อนหน้านี้ข้ายังโกรธท่านพ่อท่านแม่ไม่หาย ตอนนี้กลับหวังให้ท่านพ่อหรือไม่ก็ท่านพี่เป็นผู้มีอำนาจในแผ่นดินต้าฮั่น แต่ไม่ว่าจะมีอำนาจสักเท่าใดก็คงไม่มีทางมากกว่าพระอัครมเหสีไปได้! นอกเสียจากว่าพวกเขาจะเป็นองค์จักรพรรดิ หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ข้าคงตั้งใจฝึกวรยุทธ์ให้ดี ป่านนี้ข้าก็คงเข้าไปปล้นคุกแล้ว ทำอาหารเป็นไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร”
ตอนพูดถึงเรื่องปล้นคุก สีหน้าท่าทางของนางดูปกติธรรมดาราวกับการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควร ต่างกับท่าทางอ่อนโยนนุ่มนวลในยามปกติ
เมิ่งเจวี๋ยอดยิ้มไม่ได้ “ปล้นคุกมีโทษมหันต์ ต่อให้เจ้ายอมปล้นคุก หลิวปิ้งอี่ก็ไม่แน่ว่าจะยอมพเนจรร่อนเร่สุดหล้าฟ้าเขียว ไร้บ้านให้กลับ ไร้เรือนให้อยู่ร่วมกับเจ้า”
สีหน้าของอวิ๋นเกอดูหม่นหมองขึ้นทุกที ศีรษะยิ่งก้มยิ่งต่ำ
“ทำอาหารงั้นหรือ” เมิ่งเจวี๋ยพึมพำครู่หนึ่ง “ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง คงพอลองดูได้ ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดีร่วมมือหรือไม่”
อวิ๋นเกอกระโดดขึ้นมาทันที “ได้! ได้! ไม่ว่าให้ทำอะไรข้าก็ตกลงทั้งนั้น”
“กินอาหารเสียก่อน กินเสร็จแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”
“ข้ากิน ข้ากินไปพลางท่านก็เล่าไปพลางได้หรือไม่”
อวิ๋นเกอสีหน้าเว้าวอน เมิ่งเจวี๋ยส่ายหน้าจนใจ ได้แต่ตกลงรับปาก “มีซั่งกวนเจี๋ยอยู่ ถึงแม้เขาไม่พูด ผู้คนในราชสำนักก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินซั่งกวนอันง่ายๆ จะมีก็แต่สมุหกลาโหมฮั่วกวงผู้เป็นเสาหลักค้ำราชบัลลังก์เหมือนกันเท่านั้นที่จะพลิกรื้อคดีนี้ได้ ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด เรื่องนี้แม้จะมีคนตาย แต่หลิวปิ้งอี่ไม่ใช่คนลงมือก่อน อีกทั้งคนที่ตายก็ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเขา”
“แต่ฮั่วกวงเป็นพ่อตาของซั่งกวนอันมิใช่หรือไร แล้วมีหรือที่เขาจะยอมช่วย”
เมิ่งเจวี๋ยขยับถ้วยชาในมือเล่นไปมา ยิ้มให้นางจางๆ “สำหรับราชนิกุล ญาติกับศัตรูก็แค่เส้นกั้นบางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น เปลี่ยนแปลงไปมาได้เสมอ ได้ยินว่าฮั่วกวงพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินมาก หากเจ้าสามารถดึงดูดความสนใจของเขา หาทางเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังโดยตรง รู้จักสำรวม คดีนี้โทษอาจไม่ถึงตายก็ได้ เพียงแต่โอกาสสำเร็จนั้นมีไม่ถึงหนึ่งส่วน หนำซ้ำดีไม่ดีเรื่องนี้อาจทำให้เจ้าต้องกลายเป็นศัตรูกับสกุลซั่งกวน ไม่แน่อาจพลาดพลั้งล่วงเกินสกุลฮั่วเข้าด้วย ผลที่ตามมา…เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
อวิ๋นเกอพยักหน้าหนักแน่น “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ถึงโอกาสจะมีไม่มาก แต่ข้าก็จะลองดู”
“ข้าจะลองติดสินน้ำใจคนของทางการดู เผื่อหลิวปิ้งอี่จะได้อยู่ในคุกสบายหน่อย ไม่ทรมานมากนัก หลังจากนั้นพวกเราค่อยคิดหาหนทางดึงดูดความสนใจของฮั่วกวง ให้เขายอมมากินอาหารฝีมือเจ้า ที่ข้าทำได้ก็คงมีเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องอื่นๆ เจ้าคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
อวิ๋นเกอลุกขึ้นยืน น้อมคำนับต่อเมิ่งเจวี๋ยด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของอีกฝ่ายเป็นอย่างสูง “ขอบคุณมาก!”
“ไยต้องเกรงใจกันด้วยเล่า” เมิ่งเจวี๋ยค้อมกายลงครึ่งหนึ่ง แสดงคำนับกลับแล้วเอ่ยปากถาม “ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงต้องพยายามช่วยเหลือหลิวปิ้งอี่มากมายเช่นนี้ด้วย ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเจ้าก็แค่คนแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้นเสียอีก”
อวิ๋นเกอถอนหายใจเบาๆ แต่ด้วยเพราะนางรู้สึกขอบคุณเมิ่งเจวี๋ยที่ช่วยเหลือจึงไม่ลังเลที่จะบอกให้เขารู้ “เขาเป็น…สหายคนสนิท…ของข้าเมื่อครั้งยังเล็ก เพียงแต่เพราะไม่ได้พบกันนานหลายปี เขาเลยลืมข้าไปจนสิ้น ส่วนข้าเองก็ไม่คิดจะรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีก”
เมิ่งเจวี๋ยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดพร้อมสีหน้ายิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ก็จริง! หลายปีผ่านไป พบหน้าแต่ไม่รู้จักย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”
แค่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่รู้เมิ่งเจวี๋ยใช้วิธีอะไรจึงสามารถเชื้อเชิญนางรำอันดับหนึ่ง ยอดกวี รวมถึงขุนนางใหญ่น้อยในเมืองฉางอันให้มาลิ้มชิมอาหารที่หอสุราชีหลี่เซียงได้ แม้แต่ติงไว่เหริน ‘บริจาฝ่ายใน’ คนโปรดขององค์หญิงใหญ่ก็ยังตั้งใจเดินทางมาลองลิ้มอาหารฝีมืออวิ๋นเกอ
ถึงตอนนี้อวิ๋นเกอก็ยังหน้าแดงขึ้นทุกครั้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางไม่รู้ประสีประสาถามเมิ่งเจวี๋ยว่า ‘บริจาฝ่ายในคืออะไร เป็นขุนนางระดับไหน’ แต่เมิ่งเจวี๋ยกลับตอบคำถามนางหน้าด้วยสีหน้าปกติราวกับเพียงตอบว่าวันนี้คือวันอะไรเท่านั้น
‘บริจาฝ่ายในไม่ใช่ตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นคำเรียกสถานะอย่างหนึ่ง หมายถึงคนที่ใช้เรือนร่างปรนนิบัติรับใช้องค์หญิง ไม่ต่างอะไรกับสนมชายา เพียงแต่สนมชายาจะมีลำดับขั้นก็เท่านั้น ติงไว่เหรินกำลังเป็นที่เอ็นดู จึงหยิ่งผยองและมักแสดงอำนาจบาตรใหญ่อยู่เสมอ วันหน้าเจ้าต้องระวังตัวให้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป นางรับเงินของข้าไปแล้ว ขอเพียงไม่มีอะไรผิดพลาด นางย่อมไม่มีทางหาเรื่องกลั่นแกล้งเจ้า’
เมิ่งเจวี๋ยแนะอวิ๋นเกอให้รับผิดชอบแค่เพียงหน้าที่ทำอาหาร ส่วนเรื่องโผล่หน้าออกมารับแขกนั้นให้ท่านอาฉางเป็นคนดูแลไป อวิ๋นเกอชอบเพียงทำอาหารมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้คนอยู่เป็นทุน ดังนั้นนางจึงยินดีที่จะทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย
ผลอันเกิดจากการมาเยี่ยมเยือนของผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น ผนวกกับฝีมือไม่ธรรมดาของอวิ๋นเกอ และการจัดวางแผนการเป็นอย่างดีของเมิ่งเจวี๋ย ทำให้คำเล่าลือแพร่สะพัดจากหนึ่งไปเป็นสิบ จากสิบไปเป็นร้อย เพียงไม่นานพ่อครัวลึกลับเช่นนางก็กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาของผู้คนทั่วทั้งเมืองฉางอัน
และเพราะอวิ๋นเกอ ชื่อเสียงของหอสุราชีหลี่เซียงจึงเริ่มขจรขจาย มีการเปิดสาขาย่อยขึ้นในตัวเมืองฉางอัน ท้าทายร้านที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานนับร้อยปีอย่างหอสุราอี้ผิ่นจวีโดยไม่หวาดหวั่น
ภายใต้แผนการที่ถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดีของเมิ่งเจวี๋ย พ่อครัวใหญ่ของหอสุราอี้ผิ่นจวีจึงถูกบีบให้ต้องท้าอวิ๋นเกอประลองเพื่อรักษาชื่อเสียง ‘พ่อครัวอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ของตนเอง ด้วยการตัดสินแพ้ชนะบนเวทีกลางแจ้ง
หลังผ่านการปรึกษาหารือกัน ในที่สุดหอสุราชีหลี่เซียงกับหอสุราอี้ผิ่นจวีก็บรรลุข้อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาตัดสินใจเชิญกรรมการอิสระห้าคนมาชิมอาหารต่อหน้าผู้คนเพื่อหาผลแพ้ชนะ
เมิ่งเจวี๋ยเสนอให้เพิ่มที่นั่งลับอีกสองที่ ขายให้กับคนที่ต้องการเข้าร่วมเป็นกรรมการตัดสิน แต่ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยฐานะต่อหน้าสาธารณชน ผู้ที่ยอมจ่ายเงินประมูลด้วยราคาสูงสุดก็จะได้ที่นั่งนั้นไป ที่นั่งลับจะถูกจัดไว้ภายในห้องซึ่งมีหน้าต่างเชื่อมต่อมาถึงยังเวที ทำให้สามารถลองลิ้มชิมอาหารต่อหน้าผู้คนได้ อีกทั้งเมื่อชิมอาหารเสร็จก็ยังตัดสินให้คะแนนตามความพอใจของตนอย่างลับๆ ได้อีกด้วย
หอสุราอี้ผิ่นจวีมีชื่อเสียงอยู่ที่ฉางอันนานนับร้อยปี คุณชายคุณหนูตระกูลใหญ่จำนวนมากล้วนมากินอาหารที่หอสุรานี้ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ส่วนชีหลี่เซียงก็แค่หอสุราเล็กๆ ชานเมืองฉางอันเท่านั้น ว่ากันด้วยเรื่องความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในฉางอันแล้ว แน่นอนว่าหอสุราอี้ผิ่นจวีย่อมเป็นต่อ พ่อครัวใหญ่ของหอสุราอี้ผิ่นจวีรู้สึกว่าข้อเสนอของเมิ่งเจวี๋ยนี้เป็นผลดีต่อตนเองจึงตอบรับด้วยความยินดี
ด้วยความพยายามของหอสุราอี้ผิ่นจวีและหอสุราชีหลี่เซียง การประลองคราวนี้จึงคึกคักเสียยิ่งกว่าการคัดเลือกยอดพธูเสียอีก ตั้งแต่เหล่าขุนนางไปจนถึงพวกพ่อค้าเร่ในตลาด ทุกคนต่างพากันพูดคุยถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าการประลองระหว่างหอสุราโอ่อ่าอย่างอี้ผิ่นจวี กับหอสุราธรรมดาๆ อย่างชีหลี่เซียง ฝ่ายใดกันแน่ที่จะเป็นผู้ชนะ
บางคนรู้สึกว่าพ่อครัวของหอสุราอี้ผิ่นจวีเปี่ยมล้นไปด้วยประสบการณ์ พิถีพิถันในการใช้เครื่องปรุง ยิ่งไปกว่านั้นการที่หอสุราอี้ผิ่นจวีสามารถยืนหยัดท่ามกลางลมมรสุมอยู่ในฉางอันมาได้นับร้อยปี นั่นก็แปลว่าอิทธิพลของผู้ที่อยู่หลังม่านนั้นไม่ใช่ธรรมดา ดังนั้นจึงย่อมต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถือหางหอสุราชีหลี่เซียง เห็นว่าอาหารของพวกเขาแปลกใหม่ มีลีลาเฉพาะตัว ยิ่งกับผู้มีใจด้วยแล้ว พวกเขายิ่งดูออกว่าการที่อวิ๋นเกอสามารถมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วฉางอันในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้ อิทธิพลของผู้ที่หนุนหลังก็ย่อมต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ บ่อนพนันที่เห็นเงินให้ทำกำไรก็รีบเปิดโต๊ะเชื้อเชิญผู้คนให้ไปวางเดิมพันประลองสุดยอดพ่อครัวที่ร้อยปีถึงจะมีสักครั้งนี้ จนการประลองในคราวนี้เลื่องลือถึงขีดสุด
อวิ๋นเกอกลับไม่ใส่ใจในผลแพ้ชนะ ส่วนลึกแล้วนางไม่ชอบบรรยากาศคึกคักหรูหราโอ้อวดเช่นนี้แม้แต่น้อย ที่นางนึกกังวลอยู่ในเวลานี้คือฮั่วกวงจะมาหรือไม่
“เมิ่งเจวี๋ย ทำเช่นนี้จะเรียกใต้เท้าฮั่วกวงมาได้จริงกระนั้นหรือ”
“โอกาสมีน้อยมาก แต่ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่ เรื่องคราวนี้ก็ลือกันไปทั่วทุกตรอกซอกซอยในฉางอันแล้ว ชื่อเสียงและฝีมือของเจ้ายามนี้เขาย่อมต้องได้ยินเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าช้าเร็วเขาก็ต้องมาชิมอาหารที่เจ้าทำแน่”
ได้ยินคำพูดหนักแน่นของเมิ่งเจวี๋ยเช่นนั้น อวิ๋นเกอก็รู้สึกสบายใจขึ้น จิตใจเริ่มสงบ นางหันกลับไปตั้งอกตั้งใจเตรียมอาหาร ในใจเฝ้านึกอธิษฐานขอให้ที่นั่งลับสองที่ที่เมิ่งเจวี๋ยคิดเตรียมการไว้นั้นสามารถดึงดูดฮั่วกวงให้มาดูการประลองได้จริง
การแย่งชิงที่นั่งลับสองที่นั้นดุเดือดกว่าปกติธรรมดาหลายเท่า จนในที่สุดก่อนหน้าการประลองหนึ่งวัน ที่นั่งดังกล่าวก็ถูกซื้อไปในราคาสูงลิบ
ที่นั่งนั้นทำให้ท่านอาฉางเถ้าแก่เจ้าของหอสุราชีหลี่เซียงถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าจะมีคนยอมจ่ายเงินราคาสูงเทียมฟ้าเพียงเพื่ออาหารไม่กี่จานเช่นนี้
มิใช่ว่าอดีตจักรพรรดิทำสงครามต่อเนื่องกันหลายปีจนชาวบ้านต่างพากันยากจนข้นแค้นหรือไร ดูท่าคนที่ได้รับผลกระทบคงมีเพียงชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น ส่วนเศรษฐีฉางอันพวกนี้ยังคงใช้เงินเป็นเบี้ยเหมือนดังเก่า
ครั้นนึกถึง ’ภาพเงินทอง’ แสนงดงามที่หอสุราชีหลี่เซียง ณ ฉางอันจะสร้างให้เขาในวันข้างหน้า สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อสายตาของท่านอาฉางก็มีแต่ทองคำส่องประกายระยิบระยับเต็มไปหมด เดิมเขาเห็นอวิ๋นเกอเป็นเสมือนสมบัติล้ำค่าอยู่แล้ว ยามนี้สายตาที่มองดูอวิ๋นเกอก็ยิ่ง ‘อบอุ่นนุ่มนวลราวสายน้ำ เร่าร้อนดั่งเปลวไฟ’
เมื่อถึงวันแข่งขัน กว่าเจ้าของที่นั่งลับทั้งสองจะมาถึง พวกเขาก็ต้องรออยู่เป็นนาน อวิ๋นเกอรีบลากเมิ่งเจวี๋ยออกไปดู
คนที่ยอมจ่ายเงินสูงลิ่วเช่นนี้ย่อมต้องมีฐานะสูงส่งไม่ธรรมดาและไม่ประสงค์จะออกหน้า ดังนั้นเพื่อให้เข้าออกที่นั่งลับได้สะดวก พวกเขาจึงสร้างระเบียงทางเดินให้เจ้าของที่นั่งลับเข้าออก
ยามนี้บนระเบียงทางเดิน คุณชายในอาภรณ์ยาวสีขาวกำลังเดินนวยนาดชมภาพวาดที่แขวนประดับอยู่บนผนังทั้งสองข้าง
อายุของชายหนุ่มห่างจากอวิ๋นเกอไม่กี่มากน้อย ใบหน้าโดดเด่นงามสง่า กิริยาการเคลื่อนไหวราวกิ่งหลิวสะบัดไหว อรชรอ้อนแอ้นยิ่งนัก หากแม้นเป็นสตรี คงจัดได้ว่างดงามเลิศล้ำเป็นที่สุด
“อายุน้อยเกินไป ไม่มีทางใช่ฮั่วกวงแน่” อวิ๋นเกอกระซิบพึมพำ
คุณชายผู้นั้นแม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าของอวิ๋นเกอและเมิ่งเจวี๋ย แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการสนอกสนใจพวกเขาแม้แต่น้อย สายตายังคงจับจ้องอยู่บนภาพที่แขวนอยู่บนผนังเงียบๆ ปล่อยให้พวกเขายืนนิ่งอยู่อีกด้าน
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ อีกฝ่ายก็เอ่ยปากถามด้วยภาษาถิ่น น้ำเสียงเย็นชา “อักษรภาพเหล่านี้พวกเจ้าให้ผู้ใดเป็นคนเลือกให้ แม้ในฉางอันจะมีผู้ที่เรียกได้ว่าในใจมีภาพอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ผู้ที่ทั้งในใจมีภาพ รสนิยมวิไล และสายตาแหลมคมเช่นนี้กลับมีไม่มากนัก”
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มตอบ “เข้าตาคุณชายเช่นนี้นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก อักษรภาพเหล่านี้ผู้น้อยเป็นคนเลือกเองทั้งหมด”
คุณชายผู้นั้นร้อง ‘เอ๋’ เบาๆ คำหนึ่ง พลางเอียงคอน้อยๆ สายตากวาดมองมาที่เมิ่งเจวี๋ย ชั่วพริบตาที่มองเห็นเมิ่งเจวี๋ย เขาก็อดตะลึงงันไม่ได้ ราวกับนึกประหลาดใจว่าเหตุใดพญาหงส์ถึงมาอาศัยอยู่ในเรือนพำนักซอมซ่อได้
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มน้อยๆ ค้อมคำนับอีกฝ่าย คุณชายผู้นั้นราวกับรู้สึกขัดเขิน ใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันสายตามองมาทางอวิ๋นเกอแทน
อวิ๋นเกอยิ้มน้อมคำนับอีกฝ่าย ทว่าเขากลับเชิดคางมองดูนาง ไม่แสดงท่าทางตอบรับ สีหน้าราบเรียบราวกับไร้อารมณ์ความรู้สึก
อวิ๋นเกอยิ้มยักไหล่ไม่สนใจ หลังจากนั้นก็ก้มหน้า แอบนึกอธิษฐานขอให้เจ้าของที่นั่งลับอีกคนเป็นฮั่วกวง
เมิ่งเจวี๋ยยื่นมือเชื้อเชิญคุณชายในอาภรณ์สีขาวให้เดินนำขึ้นไปก่อน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับ เสียงหัวเราะคิกคักของสตรีก็ดังขึ้น ตามมาด้วยกลิ่นหอมแตะจมูก พวกเขาทั้งสามต่างมองออกไปทางด้านนอก
ชายหนุ่มในอาภรณ์หรูกำลังโอบเอวสตรีหน้าตาสดสวยงดงามเข้ามาในระเบียง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำ แต่ไม่อาจเห็นได้ชัดว่าหน้าตาเป็นเช่นไร เพราะศีรษะของเขากำลังซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอของสตรีนางนั้น ท่าทางนางคล้ายหลบแต่ไม่หลบ เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังคิกคักไม่หยุด
คุณชายในอาภรณ์ชุดขาวไม่คิดดูต่อ เขาส่งเสียงประชดเย็นชาพร้อมเบือนหน้าไปอีกด้าน สายตาจับจ้องอยู่ที่ภาพวาดบนผนัง สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
อวิ๋นเกอใบหน้าร้อนผ่าว หากขณะเดียวกันก็รู้สึกนึกสนุก ชายหนุ่มเจ้าสำราญไม่สนใจต่อจารีตประเพณีเช่นนี้นับว่ามีค่าให้นางพิจารณาดูโดยถ้วนถี่ว่าแท้แล้วเขามีหน้าตาเช่นไร
อวิ๋นเกอเหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาราวกับมิได้ถอนหายใจของเมิ่งเจวี๋ย นางเอียงคอมองไปทางเขา แต่ทุกอย่างกลับยังคงเป็นปกติ สายตาที่จับจ้องไปข้างหน้ายังคงอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง
จนกระทั่งเดินผ่านพวกเขา ชายคนดังกล่าวถึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กระนั้นร่างกายยังคงแอบอิงอยู่กับร่างของสตรี สายตาเขาวาดผ่านใบหน้าของอวิ๋นเกอไปเพียงแผ่ว ก่อนจะซบศีรษะกลับลงบนไหล่ของสตรีนางเดิม โอบรัดพานางตรงเข้าสู่ที่นั่งของตนเอง
แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัด แต่อวิ๋นเกอก็รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นสุกสกาวยิ่งนัก
ม่านยังไม่ทันปิดสนิท เสียงแพรไหมฉีกขาดกับเสียงลมหายใจหอบถี่ก็ดังลอยมาให้ได้ยิน
คุณชายในอาภรณ์ชุดขาวที่อยู่อีกด้านมองดูบ่าวที่เดินนำอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา เมิ่งเจวี๋ยรีบพูด “ผู้น้อยจะรีบให้คนไปจัดห้องที่สงบกว่านี้ให้คุณชายใหม่ คุณชายจะได้ลองลิ้มชิมอาหารได้สะดวก”
เมิ่งเจวี๋ยส่งสัญญาณให้ผู้เป็นบ่าวถอยออกไป ก่อนจะขึ้นหน้าเดินนำทางไปด้วยตนเอง
ขณะที่คุณชายในอาภรณ์ชุดขาวกำลังมองดูท่วงท่างามสง่าของเมิ่งเจวี๋ยนั้นเอง เสียงครางสูงต่ำก็ทำเอาเขาถึงกับหน้าแดงจนต้องรีบก้มหน้าเดินตามเมิ่งเจวี๋ยไปเงียบๆ ท่าทางหยิ่งยโสจางไปจนสิ้น ท่าทางโอนอ่อนเฉกปุถุชนธรรมดาเพิ่มขึ้นหลายส่วน
อวิ๋นเกอเองก็ใบหน้าร้อนผ่าว นางก้มหน้าแลบลิ้น วิ่งออกไปข้างนอกไม่แม้แต่จะส่งเสียง ได้แต่นึกขบขัน พวกนางคงต้องเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ชายหญิงคู่นี้ด้วยกระมัง มิเช่นนั้นแล้วอีกสักครู่พวกเขาจะกลับกันเช่นไร
อา! อา! อวิ๋นเกอ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่
อวิ๋นเกอตบแก้มของตัวเอง ช่างไม่รู้จักอายเสียบ้างเลย! ครั้นได้ยินเสียงอึกทึกของผู้คนที่อยู่ด้านนอก นางก็ได้สติขึ้นมาทันที วันนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำไม่ใช่หรือไรกัน
ในเมื่อคนที่มาทั้งสองไม่ใช่ฮั่วกวง เช่นนั้นนางก็ยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้นไปอีก ชนะหรือไม่หาใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่นางต้องทำคือทำให้คนทั้งฉางอันจดจำอาหารของนาง พูดถึงอาหารของนางให้ได้ ในเมื่อฮั่วกวงชื่นชอบในวิถีแห่งอาหาร นางก็ต้องทำให้เขาอยากลองลิ้มชิมอาหารฝีมือนาง
หยาดน้ำค้างกลางบัว ใช้ลำไผ่แทนถ้วย สลักเป็นรูปใบบัว เอ็นวัวใสหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณไข่มุก ตุ๋นด้วยดอกเหมยหนึ่งฤดูกับน้ำค้างยามเช้า เมื่อแรกเข้าปากจะสัมผัสรสชาติได้ก็แต่เพียงจางๆ เท่านั้น แต่หลังจากกินเข้าไปสองสามคำ รสชาติสดชื่นกรอบอร่อยชุ่มคอกับกลิ่นหอมก็จะกำซาบติดอยู่บนลิ้นและฟัน ราวกับได้ดื่มน้ำค้างยามเช้าหยาดแรกแห่งคิมหันตฤดูที่อยู่บนใบบัว ร่างทั้งร่างประหนึ่งอาบอิ่มไปด้วยแสงจันทร์
หอมจรุงฟุ้งอาภรณ์ คือขนมโก๋สีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิ้นหนึ่ง วางอยู่บนจานหยกสีเขียวไม่มีสิ่งปรุงแต่งอื่นใด เมื่อแรกเห็นอาจรู้สึกประหลาดใจ ว่าของเช่นนี้นับเป็นอาหารได้ด้วยกระนั้นหรือ แต่พอลังเลกัดมันลงไปคำแรก กลิ่นหอมของผลซิ่งเขียว* โป๋เหอ** และส้มก็จะอบอวลไปทั่วทั้งปากและจมูก กลิ่นหอมสดชื่นนั้นทำให้คนกินอดย้อนรำลึกไปถึงสมัยหนุ่มสาวเมื่อครั้งยังใจเต้นระส่ำด้วยเพราะคนผู้หนึ่งไม่ได้ และเมื่อกัดลงไปเป็นครั้งที่สอง รสชาติเผ็ดอมหวานของกระวาน พริกไทย อบเชย ขิงหวานก็ทำให้หวนคิดไปถึงอารมณ์เคลิบเคลิ้มเปี่ยมสุขในยามค่ำ ครั้นกัดลงไปเป็นคำที่สาม กลิ่นหอมอ้อยอิ่งเนิ่นนานของสนอ่อน ใบหญ้า ดอกซ่อนกลิ่นก็จะทำให้อารมณ์ครุ่นคิดคำนึงถาโถมขึ้นในใจ…ทุกคำที่กัดล้วนสร้างกลิ่นรสที่แตกต่างกันออกไป ทั้งๆ ที่เป็นเพียงขนมโก๋ยาวเพียงลำนิ้ว และแม้จะกินหมดไปแล้วเนิ่นนาน แต่กลับยังคงรู้สึกว่าหอมจรุงฟุ้งอาภรณ์จานนี้ ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวในอ้อมแขน
ตลอดทั้งวัน อวิ๋นเกอได้แต่ขลุกตัวอยู่ในครัว ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดลงไปในอาหารที่นางทำ
สุดท้าย หลังผ่านการตัดสินของกรรมการทั้งห้าและกรรมการลับอีกสอง อาหารทั้งเก้าจาน อวิ๋นเกอชนะสามเสมอหนึ่งแพ้ห้า แต่ถึงแม้จะแพ้ นางก็แพ้อย่างทรงเกียรติ
แม้ด้านการจัดการโดยรวม ไม่ว่าการคัดสรรวัตถุดิบ การปรุงรส หรือชนิดของอาหาร อวิ๋นเกอจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความประณีตละเอียดอ่อน โดยเฉพาะความชำนาญในการนำโคลงกลอน ศิลปะ ท่วงทำนองของบทเพลงและการร่ายรำมาผสมผสานใส่ไว้ในอาหาร นับแต่ชื่ออาหารไปจนถึงวิธีการกินก็ล้วนน่าสนใจด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ห้องครัวสกปรกในสายตาคุณหนูคุณชายทั้งหลายกลับกลายเป็นสถานที่อันงดงามสูงส่ง จนได้รับการยกย่องสูงสุดจากเหล่าอัจฉริยะปัญญาชน และขนานนามให้นางเป็น ‘วิเสทประณีต’*
เพราะอวิ๋นเกอรับหน้าที่ทำอาหารเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้า ผู้คนจึงพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาถึงอายุและหน้าตาของวิเสทประณีตผู้นี้ บ้างก็ว่านางเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา บ้างก็ว่าใบหน้าของนางต้องอัปลักษณ์เป็นที่สุด ยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิดไปไกล อวิ๋นเกอฟังแล้วอดนึกขำไม่ได้
บางคนชื่นชมอาหารที่อวิ๋นเกอทำด้วยใจ บางคนก็เพียงแค่อยากมีหน้ามีตา บางคนปรารถนาเพียงได้โอ้อวดกับผู้อื่น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด คำสรรเสริญเยินยอนานาเหล่านั้นทำให้การได้กินอาหารที่วิเสทประณีตปรุงกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ผู้คนในฉางอันใช้วัดว่าใครเป็นผู้มีอันจะกิน ใครมีความรู้ความสามารถ ใครมีรสนิยมวิไล
เพียงไม่นาน การจองตัวอวิ๋นเกอจากเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้มีฐานะสูงส่ง อัจฉริยะปัญญาชน คุณหนูตระกูลใหญ่ก็เป็นไปอย่างไม่ขาดสาย แต่ถึงกระนั้นเทียบเชิญจากคฤหาสน์สกุลฮั่วก็ยังไม่เคยปรากฏ
แม้ความหวังจะเลือนราง ทว่าอวิ๋นเกอก็ยังคงเพียรพยายาม
ในที่สุดวันตัดสินคดีครั้งสุดท้ายของหลิวปิ้งอี่ก็มาถึง มิได้เลื่อนไปตามที่นางตั้งจิตอธิษฐานแม้แต่เพียงน้อย
* ผลซิ่งเขียว หมายถึง ผลแอปปริคอตดิบ
** โป๋เหอ หมายถึง ใบมิ้นต์
* วิเสทประณีต มาจากคำว่า ‘หย่าฉู’ แปลตรงตัวหมายถึงผู้ทำครัวที่งามประณีต
ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียว แต่สวี่ผิงจวินกลับผ่ายผอมลงถนัดตา หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความอ่อนล้าทุกข์ระทม
เพราะทำงานอยู่ที่หอสุราชีหลี่เซียงเหมือนกัน ประกอบกับอวิ๋นเกอพยายามทำตัวใกล้ชิด ส่วนสวี่ผิงจวินเองในยามนี้ก็โศกเศร้าไร้ที่พึ่งพิง อ่อนแอเลอะเลือน ไม่ปากคอเราะรายเหมือนดังเก่า ดังนั้นทั้งสองจึงเริ่มสนิทสนมกัน แม้จะไม่ถึงขนาดสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ก็นับว่าสนิทสนมกันไม่ใช่น้อย
เมื่อวันฟังคำตัดสินโทษมาถึง อวิ๋นเกอเดินทางไปเป็นเพื่อนสวี่ผิงจวิน ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘นำตัวนักโทษเข้ามา’ สายตาของพวกนางก็จับจ้องไปที่อีกด้านทันที
เพียงไม่นาน หลิวปิ้งอี่ในชุดนักโทษก็ถูกคุมตัวเข้ามาในศาล แม้จะดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แต่สายตาเย็นชาหยิ่งยโสที่มองดูผู้คนโดยรอบนั้นกลับแข็งกร้าวรุนแรง มุมปากแขวนไว้ซึ่งรอยยิ้มเกียจคร้าน เสมือนหนึ่งกำลังเล่นสนุก ไม่ได้นึกแยแสความเป็นความตายตรงหน้าแม้แต่น้อย
มังกรอยู่ในน้ำตื้น แม้แต่กุ้งก็ยังหาญรังแก พยัคฆ์หลุดจากพงไพร แม้แต่สุนัขก็ยังกลั่นแกล้ง จู่ๆ อวิ๋นเกอก็นึกขึ้นได้ถึงถ้อยคำที่เฒ่าโหวผู้สอนเคล็ดขโมยสิ่งของให้กับนางมักพร่ำบ่นอยู่เป็นประจำ นางอดนึกสะท้อนใจไม่ได้
ครั้นเห็นสวี่ผิงจวิน ใบหน้าของหลิวปิ้งอี่ก็ปรากฏร่องรอยของความเสียใจขึ้นจางๆ
แววตาของสวี่ผิงจวินเต็มไปด้วยถ้อยคำอ้อนวอน หลิวปิ้งอี่ส่งสายตาขอโทษนางครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
แต่พอเห็นอวิ๋นเกอและสวี่ผิงจวินกุมมือกัน สายตาประหลาดใจของหลิวปิ้งอี่ก็ชะงักหยุดอยู่บนใบหน้าของอวิ๋นเกอ
อวิ๋นเกอส่งยิ้มให้กับเขา หลิวปิ้งอี่เลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มตอบ
ถ้อยคำให้การและหลักฐานทุกอย่างที่นำมาใช้ตัดสินคดีล้วนเป็นข้อมูลจากฝ่ายเดียว ส่วนหลิวปิ้งอี่ก็เอาแต่ยิ้มฟังราวกับคนที่กำลังถูกดำเนินคดีไม่ใช่ตนเอง
ผลก็เหมือนอย่างที่คิดไว้แต่แรก ทันทีที่ป้ายพิพากษาสั่งประหารหลังสารทถูกโยนลงพื้น แม้มือเท้าของอวิ๋นเกอจะเย็นเยียบ แต่ใจนางกลับไม่นึกยอมแพ้ นางไม่มีทางปล่อยให้พี่หลิงต้องถูกประหารเด็ดขาด ความมุ่งมั่นเช่นนั้นเองที่ทำให้นางยังคงหยัดยืนอยู่ได้
ร่างของสวี่ผิงจวินโอนเอนอยู่สองสามคราก่อนจะทรุดพิงลงบนตัวของอวิ๋นเกอ นางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อาจฝืน “ปิ้งอี่ ในเมื่อเจ้าไม่ใช่ผู้ร้ายฆ่าคน แล้วทำไมเจ้าถึงไม่พูด หรือมิตรภาพระหว่างพี่น้องสำคัญกว่าชีวิต ทำไมเจ้าถึงต้องปกป้องคนพาลพวกนั้นด้วย”
เห็นเจ้าหน้าที่ที่ถือไม้โบยลงทัณฑ์ถลึงตามองมา อวิ๋นเกอก็รีบยกมือปิดปากสวี่ผิงจวินไว้
หลิวปิ้งอี่พยักหน้าน้อยๆ เป็นการขอบคุณ อวิ๋นเกอกึ่งลากกึ่งอุ้มพาสวี่ผิงจวินออกไปนอกศาล
ด้วยกลัวว่าพวกพี่น้องของหลิวปิ้งอี่จะก่อเรื่อง ทางการจึงไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปด้านใน ดังนั้นเมื่อเห็นอวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินออกมา ทุกคนที่รออยู่ด้านนอกจึงปรี่กันเข้าไปกลุ้มรุมห้อมล้อมไถ่ถามเรื่องราวจากพวกนางแทบจะในทันที
สวี่ผิงจวินร่ำไห้พลางเอ่ยปากด่าขับไล่คนพวกนั้นด้วยความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง
เหอเสี่ยวชีแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ฉลาดเป็นกรด เขารีบสั่งให้ทุกคนถอยกลับไปก่อน
แค่เห็นปฏิกิริยาของสวี่ผิงจวิน คนพวกนั้นก็พอเดาผลลัพธ์ได้อยู่หลายส่วน และเพราะรู้สึกละอายใจจึงยอมจากไปแต่โดยดี
เหอเสี่ยวชีเองก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ใช้สายตาถามอวิ๋นเกอ อวิ๋นเกอส่ายหน้า กำชับให้เขาส่งสวี่ผิงจวินกลับบ้าน ส่วนนางรีบมุ่งหน้าไปหาเมิ่งเจวี๋ย
เมิ่งเจวี๋ยกำลังนั่งดื่มชากับบุรุษวัยสี่สิบกว่า เจ้าของใบหน้าซูบผอมแต่เปี่ยมด้วยกำลังวังชา บุคลิกงามสง่า แม้ชำเลืองเห็นอวิ๋นเกอเดินเข้ามา แต่กลับทำเหมือนมองไม่เห็นถึงสีหน้าร้อนรนของนาง ยังไม่ทันที่อวิ๋นเกอจะเอ่ยปาก เมิ่งเจวี๋ยก็ชิงยิ้มพูดขึ้นมาก่อน “อวิ๋นเกอ พวกเรารอเจ้าจนดื่มชาหมดไปสองกาแล้ว รีบไปแสดงฝีมือทำอาหารที่เจ้าชำนาญที่สุดมาสักสองสามอย่าง วันนี้ข้าได้พบกับสหายรู้ใจ ยังไงก็ต้องฉลองกันสักเล็กน้อย”
อวิ๋นเกอนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอมองเห็นแววตาของเมิ่งเจวี๋ยนางก็เข้าใจได้ทันที จึงรีบเก็บงำความรู้สึกร้อนรนในใจ พยักหน้าตกลงแล้วผลุนผลันวิ่งหายเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเจวี๋ยใจลอยเผลอมองตามแผ่นหลังของอวิ๋นเกอไป แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาได้สติ หันกลับมายิ้มให้กับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า
เพียงชั่วเวลาสองถ้วยชา อวิ๋นเกอก็ส่งอาหารสามจานขึ้นโต๊ะ
บุรุษคนดังกล่าวกินอาหารจานหนึ่ง อวิ๋นเกอก็แจ้งชื่ออาหารออกมาเบาๆ คราหนึ่ง ยิ่งใกล้ถึงอาหารจานสุดท้ายมากเท่าไหร่ ความวิตกกังวลในใจนางก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น มือของอวิ๋นเกอกุมแขนเสื้อของตัวเองแน่น แม้แต่จะหายใจก็ยังไม่กล้า
จานหยกสีเขียวเข้ม ไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้ายามค่ำ แต้มเล็กๆ ที่ถูกจัดวางอยู่บนจานกลายเป็นภาพท้องฟ้ายามราตรีที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว บุรุษผู้นั้นคีบดาวดวงหนึ่งขึ้นมากัด ก่อนจะเอ่ยปากถาม “หวานอมขม ทั้งๆ ที่เห็นชัดว่าเป็นมะละกอ แต่กลับเปี่ยมด้วยรสขมของมะระ อาหารสามอย่าง จานแรกคืออาภรณ์เขียว จานที่สองคือนายพราน แล้วจานนี้เล่ามีชื่อว่าอะไร”
อวิ๋นเกอตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ดาราน้อย”
“ริบหรี่บนฟากฟ้าบูรพา สามดาราห้าดวงดาววับวาวอยู่ ฟ้ามืดมิดกองทัพเคลื่อนปราบศัตรู ทุกเช้าค่ำย่ำอยู่ตามบัญชา ด้วยชะตาฟ้าลิขิตให้ต่างกัน” บุรุษคนดังกล่าวพึมพำเบาๆ “อาภรณ์เขียว นายพราน ดาราน้อย อาหารเหล่านี้ต่างล้วนแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงขุ่นเคืองอาลัยหาถึงผู้จากไป แม่นางน้อย หรือญาติของเจ้ากำลังมีเรื่องเดือดร้อน ไม่ว่ามีเรื่องคับแค้นอันใด หากไม่รังเกียจก็จงเล่าออกมาเถอะ ชีวิตคนแม้ยากดีมีจนต่างกัน แต่ความยุติธรรมไม่ว่าเช่นไรก็ยังคงมีอยู่เสมอ”
อวิ๋นเกอชำเลืองตามองเมิ่งเจวี๋ย ครั้นเห็นเขาไม่แสดงอาการคัดค้าน นางก็ก้มหน้า เล่าเรื่องของหลิวปิ้งอี่ออกมาให้อีกฝ่ายฟังโดยละเอียด บุรุษวัยกลางคนฟังพลางกินอาหารฝีมือนางไปพลาง ไม่แสดงความรู้สึกอันใดออกมาแม้แต่น้อย
บุรุษตรงหน้าผู้นี้ความคิดลึกล้ำเกินหยั่ง อารมณ์ยินดีโกรธขึ้งแม้สักนิดก็ไม่เผยให้เห็น แม้แต่ยามได้ยินชื่อของผู้เป็นเขย มือที่กำลังคีบอาหารกลับไม่แม้แต่จะหยุดชะงัก
กว่าจะเล่าจบ แผ่นหลังของอวิ๋นเกอก็ท่วมไปด้วยเหงื่อเย็น
หลังฟังเรื่องของอวิ๋นเกอ แทนที่จะแสดงอาการสนใจนาง ตรงกันข้ามเขากลับยิ้มน้อยๆ หันไปถามเมิ่งเจวี๋ย “น้องชาย ในเมื่อเจ้าทายฐานะของข้าถูก ไฉนจึงกล้าปล่อยให้นางเล่าเรื่องราวพวกนี้ต่อหน้าข้าอีกเล่า”
เมิ่งเจวี๋ยรีบลุกขึ้นยืน ค้อมตัวแสดงคารวะต่ออีกฝ่าย “ใต้เท้าฮั่ว ตอนใต้เท้าเข้ามานั้น ผู้น้อยไม่ล่วงรู้ถึงฐานะของใต้เท้าจริงๆ ผู้ใดจะรู้ว่าบุรุษผู้เป็นถึงสมุหกลาโหมจะเดินเท้ามาถึงที่นี่เพียงลำพังไร้ผู้ติดตามเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังพูดคุยสนทนากับผู้น้อยประหนึ่งมิตรสหาย ดังนั้นเริ่มแรกผู้น้อยจึงเข้าใจว่าใต้เท้าเป็นเพียงนักเดินทางต่างถิ่นคนหนึ่งเท่านั้น แต่ครั้นสังเกตเห็นอากัปกิริยาของใต้เท้ายามกินดื่ม ในใจถึงได้เริ่มนึกสงสัย ยิ่งตอนเหลือบเห็นผ้าปักขุนนางในแขนเสื้อใต้เท้า ผนวกกับถ้อยวาจาของใต้เท้าในตอนแรก ผู้น้อยถึงได้เริ่มมั่นใจขึ้นอีกหลายส่วน แต่เพราะก่อนหน้านี้ผู้น้อยบังอาจร่วมนั่งดื่มชาสนทนากับใต้เท้าทำให้ผู้น้อยรู้สึกว่าบางทีอวิ๋นเกออาจพูดคุยกับใต้เท้าได้ทุกเรื่อง และใต้เท้าก็คงไม่ถือสา สามารถอภัยให้กับวาจาไม่ประสีประสาในข้อกฎหมายของนางได้เช่นกัน”
พอฟังคำพูดของเมิ่งเจวี๋ยจบ อวิ๋นเกอก็รีบแสดงคารวะต่อฮั่วกวง “ข้าน้อยอวิ๋นเกอน้อมคำนับใต้เท้าฮั่ว”
“เจ้าชื่ออวิ๋นเกอ? ไพเราะน่าฟังยิ่งนัก ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคงปรารถนาให้เจ้ามีอิสระไร้ทุกข์โศกไปชั่วชีวิตกระมัง” ฮั่วกวงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมเรียกให้อวิ๋นเกอลุกขึ้น “ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย แต่กลับต้องออกมาเผชิญโลกภายนอกตามลำพังเช่นนี้ ดูท่าเจ้าคงลำบากมิใช่น้อย ต่างจากลูกข้าเฉิงจวิน อายุอานามของนางก็ไล่เลี่ยกับเจ้า แต่วันๆ กลับดีแต่กระเง้ากระงอดเอาแต่ใจ”
อวิ๋นเกอพูด “คุณหนูฮั่วเสมือนหยกทองล้ำค่า ผู้น้อยจะกล้าไปเปรียบเทียบได้อย่างไร”
สายตาของฮั่วกวงหยุดอยู่บนใบหน้าของอวิ๋นเกอ แววตาเหม่อลอยน้อยๆ “ไม่รู้ทำไมเห็นเจ้าแล้วข้าถึงได้รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมาอย่างประหลาด นี่คงเป็นวาสนาแรกพบอย่างที่เขาว่ากันไว้กระมัง!”
คำพูดของอีกฝ่ายอยู่เหนือความคาดหมายของอวิ๋นเกอ จนนางลืมตัวเผลอใช้สายตาจับจ้องพินิจพิจารณาฮั่วกวงโดยละเอียดอยู่เป็นนาน บางทีอาจด้วยเพราะท่าทีอ่อนโยนของฮั่วกวงทำให้นางเองก็รู้สึกสนิทสนมกับอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยเช่นกัน อวิ๋นเกอคำนับยิ้ม “ขอบคุณใต้เท้าฮั่วที่เมตตา”
ฮั่วกวงลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเดินออกไปภายนอก “เรื่องที่เจ้าพูด ข้าจะให้คนสืบดูอีกครั้ง และจะให้พวกเขาดำเนินคดีตามหลักกฎหมายต้าฮั่นด้วยความยุติธรรม”
ครั้นแผ่นหลังของฮั่วกวงห่างออกไปไกล อวิ๋นเกอก็หันกลับมาหาเมิ่งเจวี๋ย นางจับแขนอีกฝ่ายไว้แน่นพลางกระโดดร้องตะโกนดีใจ “พวกเราทำสำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้ว! ขอบคุณมาก! ขอบคุณท่านมากจริงๆ! ขอบคุณมาก!”
ร่างของเมิ่งเจวี๋ยถูกอวิ๋นเกอเขย่าจนโงนเงนไปมา “พอแล้วๆ ไม่ต้องขอบคุณแล้ว!”
สุดท้ายเขาพบว่าอวิ๋นเกอไม่ได้สนใจฟังคำพูดเขาเลยแม้แต่น้อย แต่พอนึกถึงคิ้วของอวิ๋นเกอที่ขมวดแน่น กับรอยยิ้มที่ยากจะพบเห็นตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมิ่งเจวี๋ยก็ใจอ่อน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้อวิ๋นเกอกระโดดไปมาอยู่ข้างตัว
หลังจากกระโดดโลดเต้นส่งเสียงเอ็ดตะโรอยู่พักใหญ่ ครั้นสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังทำตัวสนิทสนมกับเมิ่งเจวี๋ยจนเกินงาม นางจึงรีบคลายมือออกจากแขนของเขา ชักเท้าถอยไปหนึ่งก้าวใหญ่ สองแก้มแดงระเรื่อพร้อมพึมพำพูด “ข้าจะไปบอกข่าวดีนี้ให้พี่สวี่รู้”
พูดไม่ทันขาดคำ อวิ๋นเกอก็รีบหันหลังออกวิ่ง ไม่กล้ามองหน้าเมิ่งเจวี๋ยอีก ร่างของนางหายลับไปบนท้องถนนที่อาบไปด้วยแสงตะวันส่องสว่างราวกับผีเสื้อตัวน้อย
เมิ่งเจวี๋ยมองดูแผ่นหลังของอวิ๋นเกอผ่านหน้าต่าง แววตาบอกไม่ถูกว่ากำลังเย้ยหยันหรือเวทนานางกันแน่
ช่างโง่งมยิ่งนัก!
คำพูดของฮั่วกวง เจ้าเข้าใจสักกี่ส่วนกัน
จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ช่างเถอะ! เขาไม่มีเวลาวุ่นวายกับนางอีกแล้ว
ท่าทางของนางที่มีต่อเขาในยามนี้ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายที่วางไว้นั้นบรรลุต้องตามวัตถุประสงค์เป็นที่เรียบร้อยทุกประการ และเขาเองก็ควรจะหยุดมือได้แล้ว
หลิวปิ้งอี่ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน
“อีเยวี่ย”
เงาร่างสีดำสายหนึ่งไม่รู้ลอยมาจากทางทิศไหน ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ แฝงตัวอยู่ในเงามืดภายในห้อง “เรียนคุณชาย นับแต่ฮั่วกวงย่างเท้าเข้าสู่หอสุราชีหลี่เซียง หากข้าน้อยคาดไม่ผิด คนที่นั่งชมจันทร์อยู่ใต้หน้าต่าง กับคนที่นั่งกินอาหารอยู่อีกฟากน่าจะเป็นพวกที่คอยติดตามอารักขาเขา”
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มน้อยๆ
ในบรรดาขุนนางผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสาม คนที่ระแวดระวังตัวที่สุดก็คือฮั่วกวง ไหนเลยจะยอมให้ศัตรูมีโอกาสลอบสังหารตนเองได้
“ไปบอกหลี่สู่ แผนการในคราวนี้ให้ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ฮั่วกวงยื่นมือเข้ามาแล้ว เขาคงไม่นึกอยากให้ซั่งกวนเจี๋ยต้องพลอยตื่นตระหนกไปด้วยเป็นแน่ เรื่องเงินทองเขาต้องการเท่าไหร่ก็มอบให้เขาไป เขาปรารถนาในตัวเยวี่ยจี เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเขาต่อไปอีกสักพักก็แล้วกัน ทางด้านติงไว่เหรินเจ้าคงต้องออกแรงเพิ่มอีกสักนิด อีกฝ่ายต้องการอะไรก็สรรหาของพวกนั้นไปประเคนให้เสีย ในเมื่อเขาชอบทำตัวสูงส่งนักก็จัดการให้เขาได้ตามที่ต้องการ ยกยอปอปั้นให้สุดสามารถ”
อีเยวี่ยพูดแผ่วเบา “กว่าจะจัดการเอาหลิวปิ้งอี่เข้าคุกโดยไม่มีเบาะแสสาวมาถึงตัวได้เช่นนี้ คุณชายต้องเสียเงินทองไปไม่ใช่น้อย ปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้ข้าน้อยอดนึกเสียดายไม่ได้”
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มจางๆ “ข้าย่อมต้องมีเหตุผลของข้า จะเอาชีวิตหลิวปิ้งอี่ โอกาสยังมีอยู่อีกมาก ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า”
การมาในครั้งนี้ความจริงเขาตั้งใจมาเพื่ออวิ๋นเกอโดยเฉพาะ แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับคนที่ดั้นด้นตามหามานานหลายปี
ตอนที่อวิ๋นเกอกำลังนิ่งอึ้งนั่งมองดูหยกประดับอยู่ใต้ร่มไม้ เขาที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็กำลังจ้องมองดูหยกประดับชิ้นนั้นด้วยความรู้สึกสับสนเช่นกัน
ถึงแม้จะเคยเห็นมันแค่เพียงครั้ง แต่เพราะหยกประดับนั่นอาบไปด้วยเลือดของญาติพี่น้องจำนวนนับไม่ถ้วน มันจึงสลักฝังลึกลงในกระดูก จารึกแน่นอยู่ในใจเขา
หลิวปิ้งอี่? แต่เขาจำได้ว่าชื่อจริงของชายเจ้าของหยกประดับชิ้นนั้นน่าจะเป็นหลิวสวิน
เขาเคยส่งคนมากมายออกไปตามหาชายที่ชื่อหลิวสวิน แต่ก็ไม่พบ จนเข้าใจว่าอีกฝ่ายอาจจะตายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าหลิวสวินจะใจกล้า ทำเพียงเปลี่ยนชื่อ หลบซ่อนตัวอยู่ใต้อุ้งเท้าองค์จักรพรรดิ แต่พอคิดทบทวนดูอีกที ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดมิใช่หรืออย่างไรกัน เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเขาก็รู้แล้วว่าตนเองจะประเมินหลิวปิ้งอี่ผู้นี้ต่ำเกินไปไม่ได้เป็นอันขาด
ภาพเหตุการณ์ที่เขาประสบพบเจอเมื่อครั้งยังเยาว์ปรากฏขึ้นในสมองภาพแล้วภาพเล่า สิ่งเดียวที่เขาอยากทำในเวลานี้คือเรื่องที่เขาเคยคิดมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ยังเล็ก นั่นคือสังหารหลิวสวิน
ท่านพ่อมิใช่เคยบอกว่าชีวิตของหลิวสวินสำคัญที่สุด สายเลือดของหลิวสวินสูงส่งที่สุดหรอกหรือ ก็ดี…ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะให้คนที่สูงส่งที่สุดต้องตายเพื่อคนที่ต่ำต้อยด้อยค่าที่สุด! เป็นถึงพระนัดดาเว่ย* แต่กลับต้องมาตายเพราะคนชั้นต่ำ หากท่านพ่อที่อยู่ในปรโลกรู้เข้าคงสนุกมิใช่น้อย
* หลิวสวินหรือหลิวปิ้งอี่ มีบรรดาศักดิ์ในวังเป็นพระนัดดาเว่ย (เว่ยหวงซุน) คือเป็นหลานของรัชทายาทเว่ยซึ่งเป็นโอรสในจักพรรดิฮั่นอู่ตี้กับพระอัครมเหสีเว่ยจื่อฟูพี่สาวของเว่ยชิง หลิวสวินจึงมีศักดิ์เป็นเหลนผู้สืบทายาทสายตรงของฮั่นอู่ตี้
เรื่องนอกเหนือความคาดหมายมีมากมายเหลือเกิน เมิ่งเจวี๋ยคิดไม่ถึงว่าเพราะอวิ๋นเกอเขาถึงได้พบกับหลิวสวิน หรือก็คือหลิวปิ้งอี่ และนึกไม่ถึงว่านางจะใส่ใจหลิวปิ้งอี่มากมายเช่นนี้ เวลานี้แม้เขากับฮั่วกวงจะเป็นสหายกันแล้ว แต่ท่าทีของฮั่วกวงที่มีต่อหลิวปิ้งอี่เป็นเช่นใดนั้น เขาเองก็ไม่อาจคาดเดา
ตอนนั้นเพื่อช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาท ทั้งเยี่ยนอ๋องและก่วงหลิงอ๋องต่างล้วนคิดการใหญ่ แค่ติดขัดตรงที่เว่ยชิงยังอยู่ทำให้แผนการไม่อาจลุล่วง
แต่ครั้นเว่ยชิงผู้เสมือนเทพปกป้องคุ้มครองสกุลเว่ยสิ้น การใส่ร้ายป้ายสีอย่างพร้อมเพรียงทั้งจากที่ลับและที่แจ้งก็บีบบังคับให้รัชทายาทเว่ยจำต้องก่อกบฏ เมื่อล้มเหลว พระอัครมเหสีเว่ยจื่อฟูปลิดชีวิตตนเอง ส่วนรัชทายาทก็ถูกสังหารทั้งตระกูล เหลือแค่เพียงหลิวสวินผู้สืบสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่ซ่อนตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น
เพื่อเป็นการขุดรากถอนโคน ทั้งเจียงชงที่อยู่ในที่แจ้ง ชางอี้อ๋อง เยี่ยนอ๋อง ก่วงหลิงอ๋องที่อยู่ในที่ลับ รวมทั้งซั่งกวนเจี๋ยกับโกวอี้ฮูหยิน** ต่างพยายามคิดหาหนทางสังหารหลิวสวิน แต่ฮั่วกวงกลับเสี่ยงอันตรายแอบให้การคุ้มครองหลิวสวินอย่างลับๆ จนผู้คนต่างเข้าใจไปว่าหลิวสวินตายไปนานแล้ว
ทว่าหลายปีมานี้ ฮั่วกวงกลับไม่เคยถามถึงหลิวสวินเลยแม้แต่สักครั้ง ได้แต่ปล่อยให้เขาเป็นตายตามยถากรรม ราวกับว่าส่วนลึกในใจของฮั่วกวงเองก็ปรารถนาจะเห็นหลิวสวินตายเช่นกัน
เมิ่งเจวี๋ยไม่แน่ใจว่าฮั่วกวงรู้หรือไม่ว่าหลิวปิ้งอี่ก็คือหลิวสวิน และเขาก็ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วฮั่วกวงคิดเช่นไรกับหลิวปิ้งอี่ นอกจากนี้ตัวเขาเองในเวลานี้ก็ยังไม่คิดอยากจะไปใส่ใจอะไรกับฮั่วกวงนัก
ยิ่งไปกว่านั้นถึงเขาจะไม่ชอบหลิวปิ้งอี่ แต่เขาก็ไม่อยากให้เรื่องของหลิวปิ้งอี่ทำให้ซั่งกวนเจี๋ยหวนคิดถึงเรื่องในอดีตจนเกิดหวาดระแวง ทำลายแผนการของเขาไปจนสิ้น
อีเยวี่ยค้อมกาย “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ขณะที่อีเยวี่ยกำลังจะจากไป เมิ่งเจวี๋ยก็พูดสำทับ “บอกคุณชายใหญ่ด้วยว่าขอให้เขาใส่ใจเพียงความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับหนึ่ง หากมีคนรู้ว่าเขาลอบมาฉางอันเพียงลำพังแล้วล่ะก็ โทษฐานก่อกบฏคงไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปแต่อย่างใด ขอให้เขารีบกลับชางอี้โดยด่วน”
อีเยวี่ยรู้สึกลำบากใจเป็นที่สุด เมิ่งเจวี๋ยนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “หากเขาไม่ฟังก็ช่างเถอะ อีกสองสามวันเขากับข้าก็ต้องกลับไปด้วยกันอยู่ดี ช่วงนี้เจ้าก็จับตาดูเขาไว้ให้ดี ระวังอย่าให้ใครสังเกตเห็นพวกเจ้าได้”
ครั้นค้อมคำนับเสร็จ เงาร่างของนางก็หายลับไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ
เมิ่งเจวี๋ยยืนมือไขว้หลังอยู่ริมหน้าต่าง ค้อมกายมองดูผู้คนในฉางอันเดินไปมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตน
แสงอาทิตย์ยามบ่ายลอดผ่านหน้าต่างเกิดเป็นเงามืดทาบทับลงบนร่างของเมิ่งเจวี๋ย ไออุ่นบนด้านที่สว่างลดน้อยลงไปหลายส่วน ขณะเดียวกันไอเย็นที่อยู่ในเงามืดกลับเพิ่มมากขึ้น
** ฮูหยิน (ฟูเหริน) เดิมเป็นตำแหน่งของสตรีในวัง ในสมัยโบราณเป็นบรรดาศักดิ์อนุภรรยาของกษัตริย์ ลำดับขั้นแตกต่างไปตามแต่สมัย ต่อมาใช้เป็นขั้นยศของภรรยาเอกขุนนางชั้นสูง (นายหญิงบรรดาศักดิ์) ก่อนจะใช้เป็นคำเรียกขานภรรยาเอกของผู้มีฐานะโดยทั่วไป บางสำนวนจึงแปลว่าคุณหญิงหรือคุณนาย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments