บทที่ 4 ใจตรอมตรมเจ็บปวด ร้าวรวดใครเล่าเข้าใจ
อวิ๋นเกอยังคงเฝ้ารอการตัดสินคดีใหม่อย่างใจจดใจจ่อ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น
มีคนเข้าไปมอบตัวต่อทางการ บอกว่าขณะชุลมุนไม่ระวัง พลั้งมือฆ่าบ่าวสกุลหลี่ คำให้การนี้ไม่มีพิรุธอันใด
คดีฆ่าคนตายของหลิวปิ้งอี่คลี่คลายลงอย่างง่ายดาย โทษตายจึงถูกละเว้นไปด้วย
แต่เพราะรวมตัวก่อเรื่องวิวาท แม้โทษตายจะเว้นได้ แต่โทษเป็นไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นจึงมีคำตัดสินให้จองจำหลิวปิ้งอี่เป็นเวลาสิบแปดเดือน
แม้จะนึกสงสัยไม่หาย แต่ครั้นลองคิดดูอีกที ในเมื่อพี่หลิงไม่เป็นอะไรแล้ว นางยังจะต้องไปใส่ใจเรื่องอื่นให้มากความอีกทำไม
ยังไม่ทันดีใจจบ ข่าวดีอีกเรื่องก็ลอยมาเข้าหูอวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวิน องค์จักรพรรดิทรงมีราชโองการนิรโทษกรรมให้นักโทษทั่วหล้า
โทษของหลิวปิ้งอี่เองก็อยู่ในรายการนิรโทษกรรมเช่นกัน เพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน จู่ๆ หายนะที่เกือบทำหัวหลิวปิ้งอี่ตกสู่พื้นก็พลันมลายหายไปอย่างน่าประหลาด
อวิ๋นเกอเดินทางไปรับตัวหลิวปิ้งอี่พร้อมกับสวี่ผิงจวิน พอเห็นหลิวปิ้งอี่เดินออกมาจากคุกสวี่ผิงจวินก็เดินรี่เข้าไปหา
อวิ๋นเกอยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ เฝ้าคอยมองดูคนทั้งคู่อยู่ห่างๆ สวี่ผิงจวินหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลิวปิ้งอี่ ท่าทางคล้ายร่ำไห้ คล้ายโกรธขึ้ง หลิวปิ้งอี่ค้อมตัวเอ่ยปากขอโทษไม่หยุด สุดท้ายสวี่ผิงจวินก็ยิ้มออก
ชายหนุ่มผู้มีพันธสัญญาชั่วชีวิตกับนางกำลังปลอบใจสตรีอื่น
อวิ๋นเกอเบือนสายตาหนี มองจ้องไปยังท้องฟ้าไกลห่าง ในใจเศร้าสร้อยเกินบรรยาย
หลิวปิ้งอี่กับสวี่ผิงจวินเดินเคียงไหล่เข้ามาหานาง
สวี่ผิงจวินสีหน้าแช่มชื่น แต่หลิวปิ้งอี่ที่เพิ่งรอดพ้นจากปากประตูนรกกลับไม่มีท่าทางตื่นเต้นยินดีสักเท่าใดนัก
รอยยิ้มเกียจคร้านคล้ายอบอุ่นนั้นก็ยังคงเหมือนทุกครั้ง แต่อวิ๋นเกอกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มไม่ใส่ใจของเขาดูเย็นชายิ่งนัก
“ปิ้งอี่ นี่อวิ๋นเกอสหายใหม่ของข้า อย่าได้ดูแคลนนางเชียว! แม้จะอายุยังน้อย แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นคนดังแห่งฉางอันไปแล้ว กฎของนางคือหนึ่งวันจะทำอาหารให้กับลูกค้าแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น ขนาดองค์หญิงใหญ่อยากลองลิ้มอาหารรสมือนางก็ยังต้องส่งเทียบมาก่อนล่วงหน้า! วันนี้เจ้ามีลาภปากแล้ว อวิ๋นเกอจะเข้าครัวทำอาหารให้พวกเรากิน ให้เจ้าได้ล้างดวงซวย แต่ทั้งหมดนี้ก็ด้วยเพราะนางเห็นแก่หน้าข้าหรอกนะ” สวี่ผิงจวินพูดหัวเราะคิกคัก
อวิ๋นเกอมือกุมสายรัดเอวแน่นด้วยความกังวล แต่หลิวปิ้งอี่หลังจากได้ยินชื่อของนางกลับไม่แสดงอากัปกิริยาผิดปกติอันใด สายตาชะงักอยู่บนใบหน้านางครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มคำนับ “ขอบคุณแม่นาง”
มือของอวิ๋นเกอคลายออกอย่างช้าๆ ตกลงข้างตัวเหมือนคนไร้สิ้นเรี่ยวแรง
เขาลืมมันไปจนหมดแล้วจริงๆ! หลังแยกย้ายจากกันไปหลายร้อยหลายพันวัน ในที่สุดกาลเวลาก็ลบเลือนเหตุการณ์สองวันในทะเลทรายที่เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนหมดสิ้น!
นางรู้ว่าคำพูดขอบคุณของเขาล้วนเป็นไปเพื่อสวี่ผิงจวิน รอยยิ้มเจื่อนจางปรากฏขึ้นบนมุมปากของอวิ๋นเกอช้าๆ นางย่อกายคำนับตอบ “คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว”
สวี่ผิงจวินยิ้มพลางฉุดอวิ๋นเกอให้ลุกขึ้น โบกมือไปมาที่หน้าจมูก “เหม็นเปรี้ยวจะแย่! พวกเจ้าสองคนทำไมถึงทำตัวมากพิธีรีตองกันแบบนี้ อวิ๋นเกอ ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่สวี่ งั้นก็เรียกปิ้งอี่ว่าพี่ใหญ่ก็แล้วกัน ส่วนปิ้งอี่ก็ให้เรียกเจ้าว่าอวิ๋นเกอ เจ้าว่าดีหรือไม่”
อวิ๋นเกอเอาแต่ยิ้ม ยิ้มจนปากขมเมื่อยระบมไปหมด นางพยักหน้าหนักแน่น
“ดี”
อวิ๋นเกอกำลังปั้นลูกชิ้นอยู่ในครัว สองมือมันเยิ้ม พอได้ยินเสียงแหวกม่าน แทนที่จะหันกลับไปมอง นางกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน “พี่สวี่ ช่วยผูกผ้ากันเปื้อนให้ข้าที เชือกมันคลายหมดแล้ว”
ผู้ที่เดินเข้ามาช่วยนางผูกผ้ากันเปื้อนอย่างเชื่องช้าแผ่วเบา
อวิ๋นเกอรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง สวี่ผิงจวินชอบคุยเล่นสนุกสนาน ไม่ทำตัวเงียบเชียบเหมือนคนที่อยู่ด้านหลังนางในยามนี้
ขณะที่กำลังจะหันไปดู จมูกนางก็ได้กลิ่นกายชายหนุ่มระคนอยู่กับกลิ่นหอมของต้นหนามที่ผู้คนมักใช้ชำระร่างกาย อวิ๋นเกอรู้ได้ทันทีว่าผู้ที่มาเป็นใคร
ใบหน้านางร้อนผ่าว ร่างกายแข็งทื่อ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับตัว
หลังช่วยผูกผ้ากันเปื้อนให้นางเสร็จ หลิวปิ้งอี่ก็หลบไปยืนยิ้มอยู่ข้างๆ พร้อมเอ่ยปากถามเหมือนไม่ใส่ใจ “ยังมีอะไรต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ผักพวกนี้ต้องล้างหรือเปล่า”
อวิ๋นเกอก้มหน้า นางปั้นลูกชิ้นไปพูดไป น้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้”
แต่หลิวปิ้งอี่กลับยกผักที่วางเรียงรายอยู่ในอ่างไปล้าง “เจ้าทั้งออกเงิน ทั้งออกแรง แล้วจะให้ข้านั่งรอกินอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรกัน”
อวิ๋นเกอได้แต่ก้มหน้าปั้นลูกชิ้น ระหว่างนางและเขายามนี้มีเพียงความเงียบงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ นอกจากเสียงน้ำแล้วก็ยังคงไม่มีเสียงอื่น
อวิ๋นเกอรู้สึกว่าบรรยากาศภายในครัวเงียบสงัดเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นโครมครามอยู่เป็นแน่
นางรีบเอ่ยปากพูดทำลายความเงียบ “ท่าน…”
“เจ้า…” นึกไม่ถึงหลิวปิ้งอี่เองก็เอ่ยปากหมายพูดอะไรบางอย่างเช่นกัน
พวกเขาทั้งคู่ต่างนิ่งอึ้ง ก่อนจะเอ่ยพร้อมกันเป็นครั้งที่สอง “ท่าน/เจ้าพูดก่อน”
หลิวปิ้งอี่อดยิ้มออกมาไม่ได้ อวิ๋นเกอเองก็เช่นกัน ความสนิทสนมเริ่มก่อตัวขึ้นในใจโดยที่พวกเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว
หลิวปิ้งอี่ยิ้มถาม “เจ้าคิดจะพูดอะไร”
เดิมทีอวิ๋นเกอก็แค่คิดจะหาเรื่องพูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่พอเห็นหลิวปิ้งอี่ล้างผักเสียสะอาด อีกทั้งยังจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบสะดวกต่อการหยิบใช้ นางก็ยิ้มเอ่ยปากชื่นชม “พี่สามข้าชอบเรื่องอาหารการกินเป็นที่สุด แต่กลับไม่เคยยอมเข้าครัว พี่รองแม้จะยินดีช่วย แต่ทุกครั้งก็มัก ‘ช่วยให้ยุ่ง’ มากกว่า ‘ช่วยเหลือ’ ไม่เหมือนท่านที่ช่วย ‘ผ่อนแรง’ ข้าจริงๆ!”
“คนที่มีคนคอยดูแลรับใช้ย่อมไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้”
หลิวปิ้งอี่ยิ้มจางๆ ลุกขึ้นจัดวางผักเป็นอย่างดี ก่อนจะหันไปเก็บกวาดเศษผักที่ไม่ต้องการจนสะอาด ท่วงท่าแคล่วคล่องกระฉับกระเฉง
แม้จะอยากถามมากว่าที่บ้านเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมทุกคนในบ้านของเขาถึงตายกันหมด อีกทั้งยังอยากรู้ว่าหลายปีมานี้เขาดำเนินชีวิตเช่นไร แต่อวิ๋นเกอกลับไม่รู้เลยสักนิดว่านางควรเริ่มถามจากจุดไหน
บอกเขาว่าตนเองคืออวิ๋นเกอกระนั้นหรือ แต่เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำว่าอวิ๋นเกอเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่หรือไรกัน
ครั้นนึกถึงคำสัญญาที่ตกลงกันไว้ว่าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามลืม อวิ๋นเกอพลันเจ็บปวดใจ นางได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่พูดอะไรออกมาแม้สักประโยค
หลิวปิ้งอี่ยืนเงียบอยู่อีกด้าน มองดูอวิ๋นเกอด้วยแววตาครุ่นคิดค้นหา
รอยยิ้มที่เคยแขวนอยู่บนมุมปากหายลับ เขาจ้องอวิ๋นเกอเขม็งพลางถาม “ข้าเบื่อเกินกว่าจะค่อยๆ สืบหาความจริงแล้ว เจ้าพูดมาดีกว่าว่าเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงได้จงใจเข้ามาใกล้ชิดข้า”
อวิ๋นเกอตะลึงไปชั่วขณะกว่าจะเข้าใจได้ว่าที่แท้หลิวปิ้งอี่ก็จำได้แล้วว่านางคือขอทานขโมยหยกประดับคนนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
นางไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไรจึงได้แต่เพียงอ้ำอึ้งพูด “ข้าไม่ใช่คนเลว ตอนแรกข้าคิดว่าพี่สวี่รังแกเหอเสี่ยวชี เลยคิดจะเอาคืนนางบ้าง ทั้งหมดก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”
หลิวปิ้งอี่จ้องลึกเข้าไปในตาของอวิ๋นเกอราวกับจะมองผ่านเข้าไปให้ถึงจิตใจนาง
ลึกเข้าไปในดวงตาเขาเหมือนจะมีประกายดาบวาววับเย็นเยียบซ่อนอยู่
อวิ๋นเกอเริ่มรู้สึกกลัว นึกอยากเบือนสายตาหลบ แต่กลับไม่อาจขยับ
เขายื่นมือสัมผัสลงบนแก้มของอวิ๋นเกออย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ผ่านหว่างคิ้วของนาง มุมปากเผยยิ้มช้าๆ “ดวงตาของเจ้าไม่เหมือนคนร้ายจริงๆ”
นิ้วของหลิวปิ้งอี่เย็นเฉียบ แต่ทุกสัมผัสที่มันวาดผ่านกลับทำให้ใบหน้าของอวิ๋นเกอร้อนผ่าว
อวิ๋นเกอคิดหลบ แต่เขาเคลื่อนไหวเร็วกว่า มืออีกข้างจึงโอบเอวนางเอาไว้ ร่างของพวกเขาทั้งคู่แนบสนิทเข้าหากัน
ทันทีที่เห็นนัยน์ตาคุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า ใจของอวิ๋นเกอก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ร่างกายอ่อนระทวยหมดสิ้นเรี่ยวแรง
แต่ในเวลาเดียวกันดวงตาคู่นั้นก็เหมือนไม่ใช่ดวงตาที่นางคุ้นเคย เพราะที่นางมองเห็นก็มีแต่แววตาถากถางเย็นชาเท่านั้น
ซ้ำยังมีตัวนางที่กำลังจิตใจไหวหวั่นสะท้อนอยู่ในดวงตาทั้งคู่ของเขา
ร่างของนางสั่นสะท้าน ครั้นได้สติ อวิ๋นเกอก็รีบออกแรงผลักอีกฝ่าย
หลิวปิ้งอี่ไม่เพียงไม่ยอมคลายมือ ตรงกันข้ามกลับโอบอวิ๋นเกอที่กำลังดิ้นรนขัดขืนแน่น จากนั้นจุมพิตลงบนเปลือกตานาง
“ข้ามีค่าให้พวกเขาใช้แผนสาวงามมาจัดการด้วยหรือไรกัน ต้องการชีวิตข้า ใช้แค่คำพูดประโยคเดียวก็ได้แล้วมิใช่หรอกหรือ”
หลิวปิ้งอี่ยิ้มเหมือนไม่ยี่หระ แต่น้ำเสียงกลับรันทดยิ่งนัก
อวิ๋นเกอทั้งโกรธทั้งอาย มากไปกว่านั้นคือนางรู้สึกผิดหวังในตัวพี่หลิงของนาง แต่ด้วยเพราะตกใจกับคำพูดของเขาทำให้นางไม่ทันได้สนใจเรื่องโกรธเรื่องอายอะไรทั้งสิ้น อวิ๋นเกอรีบเอ่ยปากถาม “ใครคิดเอาชีวิตท่าน คนพวกนั้นเป็นใคร”
เดิมทีหลิวปิ้งอี่คิดว่าอวิ๋นเกอมาด้วยเพราะมีเจตนาอื่นแอบแฝง แต่ปฏิกิริยาของนางตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะดูเช่นไรก็ไม่เหมือนคนกำลังเสแสร้ง ยิ่งกับความห่วงใยที่นางมีให้เขาในเวลานี้ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่ามันพุ่งตรงออกมาจากส่วนลึกในดวงตานาง
แต่ไหนแต่ไรเขาก็มั่นใจว่าตนเองอ่านใจคนไม่เคยพลาด แม้จะเชื่อในคำว่า ‘แค่เรื่องบังเอิญ’ ที่อวิ๋นเกอพูดอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจถึงท่าทีห่วงใยเขาเกินกว่าธรรมดาของนางอยู่ดี หลิวปิ้งอี่อดจ้องมองพินิจพิจารณาดูอวิ๋นเกอไม่ได้
เมิ่งเจวี๋ยเลิกม่านเดินเข้ามา มองเห็นภาพพวกเขากำลังโอบกอดกันแนบแน่นพอดี
ฝ่ายหนึ่งกำลังจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ อีกฝ่ายหนึ่งกำลังน้ำตาคลอเบ้า สองแก้มแดงระเรื่อ
แววตาเย็นเยียบของเมิ่งเจวี๋ยปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นใบหน้ายังคงแขวนไว้ซึ่งรอยยิ้มอบอุ่นราวลมวสันต์ เขาเอ่ยปากขอโทษ “ดูเหมือนข้าจะเข้ามาผิดจังหวะ”
อวิ๋นเกอกระโดดออกจากอ้อมแขนของหลิวปิ้งอี่ในทันที ใบหน้าแดงก่ำ นางรีบอธิบาย “ไม่ ไม่ใช่”
หลิวปิ้งอี่กอดอก พิงร่างกับตู้ครัว วางตัวตามสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านคงเป็นพี่เมิ่ง ตลอดบ่ายสวี่ผิงจวินเอาแต่พูดถึงเรื่องของท่าน ไม่ผิดจากที่นางพูดจริงๆ พี่เมิ่งรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา กิริยาท่าทางหรือก็งามสง่าสูงส่ง โอกาสที่คนอย่างพี่เมิ่งจะยอมลดเกียรติมาเป็นสหายร่วมกับคนอย่างพวกเราเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก”
เมิ่งเจวี๋ยประสานมือคำนับ “เรียกข้าว่าเมิ่งเจวี๋ยก็พอแล้ว ว่ากันตามวรรณะทั้งสี่อันประกอบด้วย บัณฑิต กสิกร กรรมกร และวาณิช* แล้ว ข้าก็เพียงแค่พ่อค้าผู้มีฐานะต่ำต้อยที่สุดเท่านั้น ยังจะมีเกียรติอันใดให้ลดได้อีก”
“สมัยโบราณ วาณิชหลี่ว์ปู้เหวยใช้ตัวพระนัดดาของอ๋องเสมือนสินค้าล้ำค่า จนครอบครองการค้าทั่วหล้า แม้แต่องค์จักรพรรดิฉินสื่อหวง* ผู้รวมหกแคว้นเป็นหนึ่งก็ยังต้องเรียกเขาเป็นบิดาบุญธรรม” หลิวปิ้งอี่ชำเลืองมองไปทางอวิ๋นเกอ “การที่วิเสทประณีตสามารถมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วฉางอันภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ นางคนเดียวคงไม่อาจทำได้แน่ เกรงว่าคนที่ช่วยออกแรงวางแผนอยู่หลังม่านคงหนีไม่พ้นพี่เมิ่ง เช่นนี้แล้วผู้ใดไหนเล่าจะกล้าดูแคลนพี่เมิ่งได้”
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มจางๆ “พี่ปิ้งอี่ต่างหากเล่าที่สมควรแก่การยกย่อง เพิ่งพ้นคุกไม่ทันไรก็ล่วงรู้ถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ในฉางอันกระจ่างสิ้นแล้ว”
…
อวิ๋นเกอมองดูเมิ่งเจวี๋ยที่อ่อนโยนละมุนละไมทีหนึ่ง หันมองไปทางหลิวปิ้งอี่ที่ทำตัวอิสระตามแต่ใจอีกทีหนึ่ง นางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ก้มหน้าตั้งอกตั้งใจทำงาน ปล่อยให้พวกเขาถกปริศนาธรรมอยู่ตรงนั้นกันตามอำเภอใจ
อันนี้ตุ๋นได้ที่แล้ว ปิดฝาต้มต่ออีกนิดก็ใช้ได้
ลูกชิ้นยกลงจากเตาได้แล้ว
จานใส่ต้นหอมวางไว้ตรงนี้ จานใส่ขิงวางไว้ตรงนี้ จานใส่น้ำมันวางไว้ตรงนี้
อันนี้วาง…
ตรงนั้นหลิวปิ้งอี่ยืนขวางอยู่
ถ้าอย่างนั้น…
หลิวปิ้งอี่รับจานไปถือไว้โดยไม่รู้ตัว
อืม! วางตรงนี้ก็แล้วกัน
* สี่วรรณะของจีน มาจากคำว่าซื่อหมิน แปลว่าประชาชนสี่เหล่า เป็นระบบชนชั้นวรรณะของจีนโบราณที่แบ่งแยกและเรียงลำดับความสำคัญของประชาชนออกตามอาชีพซึ่งสร้างคุณูปการให้กับประเทศจากมากไปหาน้อย ได้แก่ บัณฑิต (ซื่อ) กสิกร (หนง) กรรมกร (กง) และวานิช (ซาง)
* จิ๋นซีฮ่องเต้
ยังมีอันนี้ มือของเมิ่งเจวี๋ยยังว่างอยู่
วางไว้ตรงนี้แล้วกัน!
ทันทีที่เดินเข้ามา ดวงตาของสวี่ผิงจวินก็พลันเบิกกว้าง
อวิ๋นเกอสาละวนคอยวิ่งอ้อมผ่านสองชายหนุ่มที่กำลังยืนนิ่งอยู่ในครัวเป็นพักๆ ไม่ต่างอะไรกับผึ้งตัวน้อยที่บินไปตรงนั้นทีตรงโน้นที
สองชายหนุ่มกำลังพูดคุยสนทนากันอยู่
พวกเขาต่างคนต่างถือจานคนละใบ ถือถ้วยคนละถ้วย
หลิวปิ้งอี่นั้นช่างเถอะ นางใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเขาถือถ้วยชามเสียเมื่อไหร่
แต่เมิ่งเจวี๋ย…คนอย่างเขา…ที่ควรกุมอยู่ในมือน่าจะเป็นมือของสตรี แก้วหยกราตรี พู่กันขนเพียงพอน…
เอาเป็นว่าไม่ใช่น้ำส้มข้าวสาลีดำๆ เช่นนี้ก็แล้วกัน
แต่สิ่งที่ทำให้สวี่ผิงจวินเบิกตากว้างเป็นที่สุดกลับเป็นความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งสวยงามได้ราวกับเป็นเพียงเรื่องธรรมดา รู้จักใช้ประโยชน์จากของเหลือใช้ให้ได้มากที่สุดของอวิ๋นเกอต่างหาก
สวี่ผิงจวินมือข้างหนึ่งถือชาม มือข้างหนึ่งถือจาน “ไปๆๆ จะพูดจะคุยอะไรก็ไปคุยกันข้างนอก มาเกะกะขวางทางอยู่ในนี้ทำไมกัน ไม่เห็นหรือว่าคนเขากำลังยุ่ง ยังจะมาขวางทางอยู่ได้”
พวกเขาทั้งสองพูดจาโต้ตอบกันไปมา จากเรื่องการค้าสมัยฉิน ลามไปถึงเรื่องห้ามมิให้พ่อค้าวาณิชขายเหล็กขายเกลือ อัตราภาษีในปัจจุบัน…แม้แต่นโยบายที่ราชวงศ์ฮั่นมีต่อพวกซยงหนูและชนเผ่าอื่นๆ รอบดินแดนต้าฮั่นก็ล้วนถูกนำออกมาถกเถียงกันจนสิ้น
เพราะต่างใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางชาวบ้านสามัญชนจึงมองเห็นและสัมผัสถึงความทุกข์ยากนานามากับตัว ต้องออกพเนจรร่อนเร่พบเจอกับความยากลำบากมากมายมาตั้งแต่ครั้งยังเล็ก ผนวกกับการเป็นคนฉลาด สนใจเรื่องการบริหารบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในราชสำนัก มุมมองความคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของพวกเขาจึงเหมือนกันอย่างน่าประหลาด
ระหว่างที่ตอบและทดสอบประลองเชาวน์ปัญญากันไปมา ใจของพวกเขาก็เผลอนึกนิยมชมชอบอีกฝ่ายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
คำพูดสอดแทรกของสวี่ผิงจวินทำให้พวกเขากลับมาได้สติอีกครั้ง หลังจากนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งคู่พลันปรากฏ
แม้จะต่างระแวดระวังซึ่งกันและกัน แต่ในเวลาเดียวกันความรู้สึกยกย่องชื่นชมอีกฝ่ายก็บังเกิดขึ้นในใจของพวกเขาทั้งสอง
หลิวปิ้งอี่คว้าเหล้าขึ้นมากาหนึ่ง พอเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจวี๋ยที่กำลังเดินผ่านชั้นวางจานชามก็เอื้อมมือคว้าจอกสุราขึ้นมาสองจอก พวกเขาทั้งคู่ต่างยิ้มรู้ใจ พากันเดินเคียงไหล่ออกไปจากห้องครัว
สวี่ผิงจวินกำลังช่วยหั่นผัก แต่พออวิ๋นเกอเห็นอีกฝ่ายหั่นพลาดจนเกือบถูกมีดบาดมือเข้าให้ นางก็รีบแย่งมีดมาถือไว้ “พี่สวี่ ข้าจัดการเอง! ท่านบอกว่าไปเอาเหล้าที่บ้านไม่ใช่หรือไร แล้วทำไมถึงไปนานนักเล่า”
สวี่ผิงจวินย้ายไปช่วยอวิ๋นเกอดูไฟในเตาแทน “ไม่มีอะไร แค่มีเรื่องให้เสียเวลานิดหน่อยเท่านั้น”
แม้จะผ่านไปครู่ใหญ่ แต่สวี่ผิงจวินก็ยังคงคิดไม่ตก และเพราะในยามนี้พวกนางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สวี่ผิงจวินจึงยอมเล่าความจริงออกมา “ข้าไปโรงรับจำนำมา ก่อนหน้านี้ข้าจำเป็นต้องใช้เงิน ถึงได้เอาหยกประดับที่ปิ้งอี่ฝากไว้ไปจำนำ ถึงแม้จะไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไร แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ครอบครัวของปิ้งอี่เหลือทิ้งไว้ให้เขาได้ระลึกถึง ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าจำนำแบบขายขาดไป ไม่อาจซื้อมันกลับได้อีก ข้าก็ยังไม่ยอมแพ้ คิดจะไปลองคุยกับเถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำดูสักครั้ง แต่เจ้าทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าเดินเข้าไปได้ไม่ทันไร พอเห็นข้าเท่านั้น เถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำก็รีบเดินตรงเข้ามาต้อนรับ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ทันที่ข้าจะเอ่ยปาก เขากลับบอกว่าหยกประดับของข้าขายไม่ออก หากข้ายอมคืนเงินให้เขาเท่ากับเงินที่เอาไป เขาก็ยินดีจะคืนหยกประดับให้ ข้าบอกกับเถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำว่าให้เก็บหยกประดับไว้ก่อน ข้าจะรีบไปรวบรวมเงิน แต่เขากลับคืนหยกประดับให้ข้า บอกว่าแค่ข้าประทับรอยนิ้วมือลงบนหนังสือใช้หนี้ก่อนเท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว ส่วนเงินรอข้ารวบรวมได้แล้วค่อยคืนให้เขาก็ได้ อวิ๋นเกอ เจ้าไม่คิดหรือว่าเรื่องนี้ออกจะประหลาดเกินไปหน่อย”
อวิ๋นเกอแอบขมวดคิ้วนึกโมโหเถ้าแก่โรงรับจำนำผู้นั้น เป็นถึงคนทำมาค้าขาย ไฉนถึงทำตัวราวกับเด็กเล่นขายของเช่นนี้
แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นเกอก็ได้แต่พูดน้ำเสียงเบิกบาน “ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากอะไร ไถ่หยกประดับกลับมาได้ก็ดีแล้วมิใช่หรอกหรือ! เงินเขาก็ไม่ได้ให้มาเปล่าๆ พี่สวี่เองก็ไม่ได้ติดค้างอะไรเขา ยิ่งไปกว่านั้นหยกก็เป็นของของพี่อยู่ตั้งแต่แรก”
สวี่ผิงจวินยิ้มส่ายหน้า “จะว่าไปก็ใช่ ได้หยกประดับกลับมาก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกกับปิ้งอี่เช่นไร อวิ๋นเกอ ไม่รู้ว่าเจ้าพอจะ…”
อวิ๋นเกอยิ้มตอบตกลง “ได้”
สวี่ผิงจวินยิ้มเบิกบาน “ขอบใจมาก น้องพี่ ถึงจะรู้ว่าเจ้าไม่ขาดเงิน แต่ยังไงข้าก็คงต้องพูดจาระคายหูบอกให้เจ้ารู้ไว้ก่อน เงินข้าคงคืนให้เจ้าได้ไม่เร็วนัก! แต่ไม่ว่าเช่นไรข้าก็จะค่อยๆ ทยอยจ่ายคืนให้แน่”
ไม่ขาดเงิน?
เฮ้อ! นางยังไม่ได้ลองคิดกับเมิ่งเจวี๋ยดูอย่างละเอียดเลย ไม่รู้ว่าเงินพวกนั้นเมื่อไหร่นางถึงจะใช้คืนเขาได้หมด
วันหน้าคงต้องหัดคิดคำนวณให้รอบคอบ รู้จักใช้สอยอย่างประหยัดอย่างพี่สวี่บ้างแล้ว
อวิ๋นเกอเอียงคอแลบลิ้นใส่สวี่ผิงจวิน “บอกวิธีการหมักเหล้าของท่านให้กับข้า แล้วข้าจะไม่เอาเงินคืน”
สวี่ผิงจวินยิ้มส่งเสียงประชดออกมาคำหนึ่ง “ฝันไปเถอะ! ความลับประจำตระกูล พันตำลึงทองก็ไม่ขาย!” นางเดินไปที่หน้าประตูห้องครัว มองออกไปด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นมั่นใจแล้วว่าไม่มีคนอื่น สวี่ผิงจวินก็เดินกลับไปยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเกอ “ความจริงข้าก็แค่หลอกชาวบ้านเท่านั้น พ่อข้าแม้จะดื่มเหล้าเก่ง แต่หมักเหล้าไม่เป็น เหล้าของข้าก็แค่เหล้าเกาเหลียงธรรมดาๆ เท่านั้น เพียงแต่ตอนหมักข้ามีเคล็ดลับนิดหน่อย นั่นก็คือแทนที่จะหมักในไหดินเผา ข้ากลับหมักมันไว้ในกระบอกไม้ไผ่แก่ๆ พอเปิดผนึกเหล้าเกาเหลียงก็จะมีกลิ่นหอมสดชื่นของไผ่แฝงอยู่”
อวิ๋นเกอยิ้ม “อา! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ข้าเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะเป็นกลิ่นไผ่ ข้าเคยลองเอาใบไผ่ไปแช่เหล้าดู ถึงเหล้าจะมีกลิ่นหอมสดชื่นของไผ่ แต่เพราะอายุของใบไผ่สั้น รสชาติฝาดขมของมันจึงเจือลงไปในเหล้าอย่างรวดเร็ว หากใช้น้ำค้างบนใบไผ่ แม้รสชาติจะอ่อนกว่าของพี่สวี่ แต่ก็นับว่ายังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่วิธีทำออกจะเปลืองแรงเกินไปหน่อย ทำเองดื่มเองยังพอไหว ให้เอาไปขายคงไม่คุ้ม นึกไม่ถึงว่าแท้ที่จริงจะง่ายดายเช่นนี้…พี่สวี่ ท่านนี่ฉลาดจริงๆ!”
“ข้าเองก็อยากรับคำชมของเจ้า น่าเสียดายคนที่คิดวิธีการนี้ไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นปิ้งอี่ ถึงแม้เขาจะไม่ชอบทำงานใช้แรงอย่างงานในไร่นาหรืองานบ้านต่างๆ แต่ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาเคยได้สัมผัส เขาก็สามารถหาวิธีเปลี่ยนงานยุ่งยากพวกนั้นให้ง่ายดายขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์”
อวิ๋นเกอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางรีบยิ้มพูด “พี่สวี่ ในเมื่อท่านบอกเคล็ดลับให้กับข้า เช่นนั้นเงินก็ไม่จำเป็นต้องคืนข้าแล้ว”
“ข้าบอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าข้าจะขายวิธีการหมักเหล้าของข้าให้กับเจ้า ยืมเงินก็คือยืมเงิน เลิกพูดมากได้แล้ว ถ้าเจ้าไม่ให้ยืม เช่นนั้นข้าจะไปยืมพี่เมิ่งแทน” สวี่ผิงจวินชักหน้าปั้นปึ่ง
อวิ๋นเกอรีบยิ้มพูดขอโทษ “พี่สวี่ ข้าพูดผิดไปแล้ว ยืมเงินก็เรื่องหนึ่ง วิธีหมักเหล้าก็อีกเรื่องหนึ่ง แบบนี้ถูกหรือไม่”
สวี่ผิงจวินมองค้อนใส่อวิ๋นเกอแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
อาหารของอวิ๋นเกอทยอยเสร็จไปทีละอย่าง เหลือก็แต่เพียงน้ำแกงอย่างสุดท้ายเท่านั้นที่ยังไม่เรียบร้อยดี
อวิ๋นเกอเรียกให้สวี่ผิงจวินเอาอาหารออกไปขึ้นโต๊ะก่อน “พวกท่านกินกันก่อนได้เลย! ไม่ต้องรอข้า ทางนี้อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
หลังบรรจุอาหารต่างๆ ลงในตะกร้า สวี่ผิงจวินก็เดินออกไปจากห้องครัว
อวิ๋นเกอเอาหม้อดินเผาร้อนๆ ใส่ลงไปในตะกร้าสาน คว้ามันเดินออกไปยังสวนดอกไม้
ฟ้าย่ำสายัณห์
เดือนเสี้ยวเรียวโค้งประหนึ่งคิ้วงามของสตรีเพิ่งลอยผ่านพ้นยอดหลิวออกมา
อากาศกำลังเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป
การได้ออกมาเดินอยู่ท่ามกลางพุ่มพฤกษ์ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของพรรณไม้นานาเช่นนี้ช่างสบายกายสบายใจยิ่งนัก
อวิ๋นเกออดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กลิ่นหอมเข้มของดอกแปะเจียกที่ระคนอยู่กับกลิ่นหอมจางๆ ของไม้จันทน์กำซาบซ่านไปทั้งหัวใจ
พลันนางชะงักฝีเท้า แม้จะพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่นางก็คุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าในสวนนี้ทุกต้น ที่นี่ไม่มีต้นจันทน์
เสียงอาภรณ์ยาวสะบัดไหวแว่วดัง
“ใคร ใครแอบอยู่ที่นั่น”
“ข้านอนชมจันทร์ของข้าอยู่ตรงนี้ดีๆ จะบอกว่าข้าแอบได้อย่างไรกัน”
ภายใต้สายลมยามค่ำกรุ่นกลิ่นดอกแปะเจียก น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มฟังดูเปี่ยมเสน่ห์ยิ่งนัก
อวิ๋นเกอประหลาดใจ คนที่พำนักอยู่ในเรือนนี้มีเพียงนางและเมิ่งเจวี๋ยเท่านั้น ทำไมถึงมีชายแปลกหน้าอีกคนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้
นางแหวกพุ่มไม้ออก เดินลึกเข้าไปอีกสองสามก้าว
ที่อยู่หลังต้นหลิวคือสวนที่เต็มไปด้วยต้นแปะเจียก
จากกิ่งที่ควรมีดอกบานสะพรั่ง ยามนี้กลับแทบไม่มีเหลือให้เห็น
ดอกแปะเจียกที่ควรบานเต็มสวนถูกริดลงมากองอยู่บนหินเขียวครามสิ้น
ท่ามกลางกลิ่นหอมอบอวลของกลีบดอกสีฟ้าจาง มีร่างของบุรุษหนุ่มในอาภรณ์ยาวสีม่วงเข้มเดินด้ายปักลายด้วยดิ้นทองเอนกายนอนอยู่
ใบหน้างดงามอย่างประหลาด นัยน์ตากึ่งหลับกึ่งตื่น มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยคล้ายอิ่มเอิบด้วยอารมณ์แห่งรัก แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายไม่มีใจ
เส้นผมดำขลับมิได้ถูกรวบมัด ผ้าคาดเอวถูกคลายออก กลีบดอกไม้กระจัดกระจายร่วงหล่นอยู่ระหว่างเส้นผมดำขลับกับอาภรณ์ยาวสีม่วงเข้มของเขา
ใต้แสงจันทร์กระจ่างยามราตรี ภาพที่เห็นดูงดงามเย้ายวนราวภาพลวง
โหดร้าย! เด็ดเสียจนไม่มีเหลือแม้แต่สักดอก!
อวิ๋นเกอถอนหายใจ กึ่งตกใจกึ่งขบขัน “ไม่ว่าเช่นไรท่านก็น่าจะเหลือดอกตูมให้ข้าสักสองสามดอก อุตส่าห์ตั้งใจว่าอีกสองสามวันจะมาเก็บเอาไปทำขนมอยู่เชียว!”
ชายหนุ่มปรือตาเล็กน้อย สายตายังคงจับจ้องอยู่ยังท้องฟ้าเบื้องบน “พื้นหินมันเย็นเกินไป”
พอเห็นดวงตาสุกใสเป็นประกายของอีกฝ่าย อวิ๋นเกอก็นึกออกทันที “ท่าน…ท่านคือคนที่ซื้อที่นั่งลับในวันนั้น แล้วเหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือว่าท่านเป็นสหายของราชันในหมู่หยก? แล้วทำไมเขาถึงไม่เชิญท่านมาร่วมกินอาหารกับพวกเราเล่า หรือเพราะเขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าท่านกับเขารู้จักกัน?”
คำพูดของอวิ๋นเกอ แม้จะเต็มไปด้วยประโยคคำถาม แต่นางก็ถามเองตอบเองจนสิ้น
ในที่สุดสายตาของชายหนุ่มก็เคลื่อนมาหยุดอยู่บนใบหน้าของอวิ๋นเกอ “ราชันในหมู่หยก? ชื่อนี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อย! แล้วเจ้าเล่าชื่ออะไร”
“อวิ๋นเกอ”
“ที่แท้ก็คือ…เจ้า” เสียงของชายหนุ่มแผ่วเบายิ่ง นางจึงได้ยินเพียงคำว่าเจ้าคำสุดท้าย “…เจ้าคือสตรีฉลาดเฉลียวผู้นั้น! เสี่ยวเจวี๋ยไม่ได้กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าพวกเรารู้จักกัน หากแต่เพราะเขาไม่ต้องการเห็นหน้าข้าที่ฉางอันนี้ต่างหาก ข้าลอบเข้ามาเอง”
ยามพูดมุมปากของเขายกยิ้ม
ยามยิ้มมุมปากเขากระดกขึ้นเพียงข้างเดียว ดูยั่วเย้าเปี่ยมเสน่ห์ยิ่งนัก
ส่วนแววตากลับกระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนคนกำลังเล่นแผลงซุกซน
อวิ๋นเกอยิ้ม เตรียมหันหลังเดินจากไป “เช่นนั้นก็เชิญท่านเล่นซ่อนแอบกับเขาต่อก็แล้วกัน! ข้าหิวแล้ว คงต้องขอตัวไปหาอะไรกินก่อน”
“เฮ้! ขอข้ากินด้วยคนสิ ข้าเองก็หิวแล้วเหมือนกัน!” ชายหนุ่มที่นอนอยู่ท่ามกลางกลีบดอกแปะเจียกรีบลุกนั่ง อาภรณ์ที่ถูกผูกไว้หลวมๆ บนร่างคลายออก แผ่นอกแน่นได้รูปเผยอยู่ท่ามกลางกระแสลมยามวิกาล
แผ่นอกของอีกฝ่ายปรากฏขึ้นในขอบเขตสายตาของอวิ๋นเกอพอดี นางหน้าแดง หวนนึกไปถึงภาพยามพบกันครั้งแรก
ชายหนุ่มไม่รู้สึกเขินอายแต่ประการใด ตรงกันข้ามมุมปากข้างหนึ่งกลับยกขึ้นน้อยๆ แฝงไว้ซึ่งรอยยิ้ม สายตาจับจ้องพิจารณาดูอวิ๋นเกอด้วยความสนอกสนใจ
พอเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย นางก็รีบหันหลังกลับ
“พวกเราจะกินข้าวแล้ว ท่านจะไปด้วยหรือไม่ จะได้ถือโอกาส ‘สร้างความประหลาดใจ’ ให้กับราชันในหมู่หยกไปในคราเดียวกันเสียเลย”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเกียจคร้าน จัดแจงอาภรณ์ยาวบนตัวให้เข้าที่ แต่ครั้นสายตาวาดผ่านแนวต้นหลิว เขาก็ชักมือกลับทันที
ริมฝีปากเม้มยิ้ม พอเดินไปถึงจุดที่อวิ๋นเกอยืนอยู่เขาก็แนบกายเข้ากับร่างของนาง มือข้างหนึ่งจับแขน มืออีกข้างสัมผัสอยู่ตรงเอวบาง ค้อมศีรษะเป่าลมใส่หูอวิ๋นเกอพลางพูด “ข้าว่าข้าพาเจ้าไปหาอะไรกินกันข้างนอกดีกว่า รับรองว่าเจ้าต้องพอใจ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่ากับคำพูดไม่กี่ประโยคของอีกฝ่ายทำเอาอากาศยามค่ำที่เย็นสบายอยู่แต่เดิมดูยั่วยวนแฝงไว้ซึ่งกลิ่นกำหนัดขึ้นมาอย่างประหลาด
อวิ๋นเกอคิดดิ้นรนขัดขืน
ชายหนุ่มเหมือนไม่ได้ออกแรง แต่แขนของอวิ๋นเกอที่ถูกอีกฝ่ายจับยึดไว้กลับไม่อาจขยับ ร่างกายไม่ว่าจะหันหนีเช่นไรก็ไม่อาจหลุดพ้นอ้อมแขนของอีกฝ่าย
อวิ๋นเกอเพียงแต่โมโห ไม่ได้นึกขัดเขินอะไร นางคิดตัดสินใจเฉียบขาด
ขณะกำลังจะฟาดตะกร้าสานในมือใส่ชายหนุ่ม หมายอาศัยน้ำแกงร้อนๆ ทำอีกฝ่ายบาดเจ็บ จะได้หลุดจากการเกาะกุม ทันใดนั้นจู่ๆ กิ่งหลิวที่ด้านหน้าก็ขยับได้เองทั้งที่ไม่มีลม เมิ่งเจวี๋ยก้าวเดินออกมาช้าๆ สายตาจับจ้องไปยังบุรุษที่อยู่ด้านหลังของอวิ๋นเกอ
รอยยิ้มของเมิ่งเจวี๋ยสุกสว่างประหนึ่งจันทรา เขาประสานมือคำนับอีกฝ่าย “มิทราบคุณชายมาถึงตั้งแต่เมื่อใด”
บุรุษหนุ่มมองดูเมิ่งเจวี๋ยสีหน้าเรียบเฉย มือที่จับยึดร่างของอวิ๋นเกอไว้คลายออก หมดสนุกเอาดื้อๆ
อวิ๋นเกอพลิกมือหมายตบหน้าอีกฝ่ายสักฉาด แต่ชายหนุ่มกลับปัดมือนางทิ้งพร้อมผลักนางออกเต็มแรง อวิ๋นเกอเซถลาล้มใส่เมิ่งเจวี๋ย เขารีบยื่นมือประคอง ร่างของนางตกเข้าสู่อ้อมแขนของเขาพอดี
ต่างจากกลิ่นแป้งไม้จันทน์หอมบนร่างของชายหนุ่มด้านหลัง บนกายของเมิ่งเจวี๋ยมีเพียงกลิ่นหอมสดชื่นเหมือนกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าหลังฝน
อวิ๋นเกอใจเต้นระส่ำ ใบหน้าแดงลามไปจนถึงใบหู
ชายหนุ่มรู้สึกสนุกสนาน เขาปรบมือหัวเราะเสียงดัง
ไม่เคยมีผู้ใดหยามเกียรตินางเช่นนี้มาก่อน
อวิ๋นเกอทั้งอายทั้งโกรธ นางบังคับน้ำตาที่เอ่อคลออยู่เต็มเบ้าให้ไหลย้อนกลับ
ในเมื่อรู้ว่าตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้ก็ไม่ควรอยู่รนหาเรื่องให้ต้องเสื่อมเสียเกียรติอีก
นางสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนเมิ่งเจวี๋ย เมิ่งเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยให้นางวิ่งจากไป
ครั้นเห็นแผ่นหลังของอวิ๋นเกอหายลับ เขาก็หันไปยิ้มให้กับอีกฝ่าย “คุณชายยังเที่ยวเล่นอยู่ในฉางอันไม่พออีกกระนั้นหรือ”
บุรุษหนุ่มยิ้มชายตามองดูเมิ่งเจวี๋ย “เป็นอย่างไรบ้างกับรสชาติโฉมสะคราญในอ้อมแขน เจ้าคิดจะขอบคุณข้าเช่นไร”
รอยยิ้มของเมิ่งเจวี๋ยดูไร้กลิ่นอายมนุษย์ “หากคิดจะใช้นางยั่วโมโหข้าแล้วล่ะก็ ท่านอย่าเสียเวลา อย่าสิ้นเปลืองแรงดีกว่า”
“ในเมื่อไม่โกรธ เช่นนั้นนางย่อมไม่ใช่คนสำคัญ ในเมื่อไม่ใช่คนสำคัญ แล้วไฉนเจ้าถึงยังเตร็ดเตร่อยู่ที่ฉางอันเพื่อนางด้วยเล่า หากเจ้ายอมแสร้งชักสีหน้าเสียบ้าง ต้องการสตรีเช่นไรมีหรือจะไม่ได้ ดูจากท่าทางของนาง คืนนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าได้กอดนาง จิ้งจอกเมิ่ง คำพูดกับการกระทำของเจ้าขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด ตกลงเจ้าคิดแผนอะไรอยู่กันแน่”
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยปากอธิบาย
แม้มุมปากของบุรุษหนุ่มจะยกยิ้มกว้าง แต่น้ำเสียงกลับยังคงอึมครึมทุ้มต่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าทำอันใดกับนาง เจ้าก็คงไม่ใส่ใจสินะ”
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ “อวิ๋นเกอไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ที่ท่านเคยเกี้ยวพาราสี และก็ไม่ใช่สตรีในหอคณิกาที่ท่านเคยหยอกเย้า หากพลาดพลั้งเสียทีขึ้นมา อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”
“อยากเด็ดบุปผามือเท้าต้องคล่องแคล่วฉับไว มิเช่นนั้น…อ้อ! เห็นสวนดอกไม้นั่นหรือไม่ ช้าเพียงก้าวก็จะถูกคนมือเท้าไวชิงไปเสียก่อน ได้ยินว่าความรู้สึกที่นางมีต่อเจ้าคนที่ชื่อหลิวปิ้งอี่นั่นไม่ธรรมดา…”
บุรุษหนุ่มเดินไปถึงข้างกายของเมิ่งเจวี๋ย ยื่นมือหมายวางลงบนไหล่ของเขา แต่กลับคว้าน้ำเหลว ฉวยคว้าได้ก็แต่ความว่างเปล่า ทั้งๆ ที่เมิ่งเจวี๋ยดูเหมือนจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย
เขาถอนหายใจหมดสนุก “คุยกับเจ้าช่างเปลืองแรงเสียจริงๆ ข้ารู้สึกว่ายิ่งพบเจ้าน้อยเท่าไหร่ ร่างกายข้าก็แข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น” มือทั้งสองของชายหนุ่มกุมอยู่ที่ท้อง ปั้นหน้านิ่วคิ้วขมวด “อา! ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ได้ยินว่าคืนนี้พวกเจ้ามีของกินอร่อยๆ โบราณว่าไว้ไม่มีผิด คนเรามาเร็วไม่สู้มาถูกจังหวะ”
หลิวปิ้งอี่กับสวี่ผิงจวินลุกขึ้นทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่อยู่หลังเมิ่งเจวี๋ย ส่วนอวิ๋นเกอกลับเอาแต่ก้มหน้ากินอาหาร ไม่นึกสนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มพูด “สหายข้าจู่ๆ ก็โผล่มาเยี่ยม หวังว่าพวกท่านทั้งสองจะไม่รังเกียจ เขาเองก็บังเอิญแซ่หลิว ว่ากันด้วยอายุแล้ว ในหมู่พวกเราเขาอายุมากที่สุด ดังนั้นพวกเราสมควรเรียกเขาว่าคุณชายใหญ่”
คุณชายใหญ่ประสานมือคำนับหลิวปิ้งอี่กับสวี่ผิงจวินด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่ครั้นสบสายตากับหลิวปิ้งอี่ เขาก็ออกอาการตื่นตระหนก หลังพิจารณาดูโดยละเอียด สีหน้าเขาก็เริ่มผ่อนคลาย กลับเป็นปกติเหมือนดังเดิม
หลิวปิ้งอี่กับสวี่ผิงจวินค้อมกายคำนับตอบคุณชายใหญ่ ส่วนอวิ๋นเกอนางไม่คิดจะใส่ใจอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก
พวกเขาทั้งสามไม่มีใครทันสังเกตเห็นอาการผิดปกติของคุณชายใหญ่เมื่อครู่เลยสักนิด
เมิ่งเจวี๋ยเลิกคิ้วน้อยๆ บนใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มจางๆ
ไม่ทันรอให้หลิวปิ้งอี่กับสวี่ผิงจวินคำนับเสร็จ คุณชายใหญ่ก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่สมควรเป็นของเมิ่งเจวี๋ยทันที
เขาสูดจมูก “อา…หอมจริงๆ!”
พอได้กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากชามดินเผาที่เปิดฝาไว้ครึ่งหนึ่งเขาก็ไม่นึกเกรงใจ ลงมือตักให้ตัวเองทันทีถ้วยหนึ่ง
อวิ๋นเกอหน้าบึ้งฉวยชามดินเผากลับมาจากมือคุณชายใหญ่ก่อนจะตักให้ตัวเองบ้างถ้วยหนึ่ง หลังจากนั้นก็ก้มหน้าตักมันเข้าปาก
ครั้นเห็นอวิ๋นเกอดื่มน้ำแกง คุณชายใหญ่ก็รีบเป่าไล่ความร้อนพลางตักน้ำแกงขึ้นดื่ม เพียงไม่นานเขาก็ดื่มเสียจนเกลี้ยงถ้วย ใบหน้าตื่นตะลึง “ยอดเยี่ยม! อยู่มาจนป่านนี้ข้ายังไม่เคยได้ลิ้มชิมน้ำแกงใดรสชาติดีเช่นนี้มาก่อน! ทั้งปากมีแต่กลิ่นหอม รสชาติละมุนลิ้นอบอวลไปทั่ว ร้อน! ร้อน!”
อวิ๋นเกอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองดูอีกฝ่าย นางใช้ช้อนค่อยๆ คนน้ำแกงในถ้วยพลางเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเชื่องช้า “ใช้ไฟเบาตุ๋นหน่อเนื้อจนมันละลายเข้าไปในน้ำแกง หน่อเนื้อเดิมทีก็อ่อนนุ่มละมุนลิ้นอยู่แล้ว เมื่อเอาไปตุ๋นทำน้ำแกงก็ยิ่งเพิ่มรสชาติ”
เห็นรอยยิ้มของอวิ๋นเกอกับนัยน์ตาแฝงรอยยิ้มของเมิ่งเจวี๋ย คุณชายใหญ่ก็รู้สึกเหมือนมีไอเย็นสายหนึ่งพุ่งขึ้นจากปลายเท้า
มือที่กำลังตักแบ่งน้ำแกงจากชามหดกลับ “หน่อเนื้อคืออะไร ตั้งแต่เล็กจนโตข้ากินอาหารชั้นหนึ่งมาไม่ใช่น้อย ไม่เคยได้ยินหน่อเนื้ออะไรที่เจ้าว่านี้มาก่อน”
อวิ๋นเกอพูดช้าๆ “ใช้ขาหมูชั้นหนึ่งเก็บไว้ในที่มืดไม่โดนแสง หลังจากผ่านไปสองสามวัน บนขาหมูนั้นจะเริ่มมีหนอนแมลงวันสีขาวปรากฏ ตัวของพวกมันอ่อนนุ่ม เนื้อของพวกมันลื่นเป็นมันอิ่มน้ำ ขนาดเนื้อลูกหมูชั้นเลิศก็ยังเทียบไม่ได้ จัดเป็นสุดยอดของเนื้อ ถึงได้ถูกเรียกว่าหน่อเนื้อ ใช้หน่อเนื้อขยุกขยิกสีขาวน้ำนมพวกนี้…”
คุณชายใหญ่ปลีกตัวออกจากโต๊ะ วิ่งไปอาเจียนอยู่อีกด้าน
อวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม ส่วนสวี่ผิงจวินที่กลั้นหัวเราะมาจนถึงตอนนี้ก็กลั้นต่อไปไม่ไหว นางกุมท้องระเบิดเสียงหัวเราะ หลิวปิ้งอี่เองก็เอาแต่ส่ายหน้าหัวเราะเช่นกัน
ทั้งล้างมือ ทั้งใช้น้ำชากลั้วปาก คุณชายใหญ่วุ่นวายอยู่เป็นนานกว่าจะกลับเข้ามาร่วมวงอีกครั้ง
เขายืนดูอวิ๋นเกอกับอาหารเต็มโต๊ะอยู่ห่างๆ รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์เอาแต่ใจหายลับไปจากมุมปากสิ้น “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะกินมันได้ลง นับถือใจเจ้าจริงๆ เสี่ยวเจวี๋ย ข้าเองก็นับถือเจ้ายิ่งนัก กับสตรีเช่นนี้ ไม่รู้เจ้าคิดอะไรอยู่”
อวิ๋นเกอตักน้ำแกงให้สวี่ผิงจวินช้าๆ ถ้วยหนึ่ง นางหันไปยิ้มให้กับคุณชายใหญ่ก่อนจะจิบดื่มมัน
คุณชายใหญ่เบิกตากว้างมองดูสวี่ผิงจวินอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งๆ ที่นางเองก็ได้ยินกับหูถึงสิ่งที่อวิ๋นเกอเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ แล้วทำไมยังกล้ากินน้ำแกงหนอนแมลงวันได้อีก
หรือเพราะไม่ได้มาฉางอันนานเกินไป เขาจึงไม่รู้ว่าผู้คนในฉางอันล้วนเปลี่ยนไปแล้ว
จากชายเจ้าชู้ผู้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ท่ามกลางตัณหาราคะ บัดนี้กลับกลายเป็นห่านโง่ตัวหนึ่ง
เห็นคุณชายใหญ่สีหน้าตื่นตะลึงเช่นนั้น อวิ๋นเกอก็ไม่วายเบ้ปาก “ปีนี้ท่านอายุเท่าไหร่ ผ่านพิธีสวมหมวก* แล้วหรือไม่”
คุณชายใหญ่รู้สึกประหลาดใจ เขาชี้มาที่ตัวเองพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เหลวไหล! เจ้าไม่มีตาหรือไรกัน ขนาดเสี่ยวเจวี๋ยก็ยังเรียกขานข้าว่าพี่ใหญ่”
“อา…” อวิ๋นเกอลากเสียงยาว ยิ้มตาหยีพูด “ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะตาข้าไม่ดี หากแต่คนบางคนฟังคำพูดชาวบ้านแค่ครึ่ง หนำซ้ำยังเชื่อคำพูดผู้อื่นง่ายดายราวกับเด็กสามขวบ”
คุณชายใหญ่ชี้นิ้วไปที่อวิ๋นเกอ หน้าตาหมดสิ้นสง่าราศี “เจ้าหมายความเช่นไร”
อวิ๋นเกอยิ้มพูด “เมื่อครู่ข้าพูดยังไม่ทันจบ ท่านก็วิ่งออกไปเสียดื้อๆ เช่นนั้นไม่เรียกว่าฟังคำแค่ครึ่งกันหรือไร ที่ข้าต้องการจะบอกก็คือแม้น้ำแกงที่ทำจากหน่อเนื้อจะมีรสชาติเป็นเลิศ แต่ก็น้อยนักที่จะมีคนกล้ากิน รสชาติน้ำแกงของข้าถึงจะเทียบเคียงได้กับน้ำแกงหน่อเนื้อ ทว่าวัตถุดิบที่เอามาปรุงล้วนเป็นของธรรมดาๆ อย่างเต้าหู้ ไข่ขาว สมองหมูเท่านั้น เพียงแต่วิธีการทำอาจจะพิเศษอยู่สักหน่อย ท่านเป็นถึง ‘พี่ใหญ่’ ไฉนปฏิกิริยาตอบสนองถึงได้รุนแรงนักเล่า”
คุณชายใหญ่ตะลึงนิ่งอยู่กับที่ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันไปถลึงตาใส่เมิ่งเจวี๋ย
คนที่ทั้งวันเอาแต่กลิ้งขลุกอยู่กับสตรีเช่นเขากลับถูกสาวน้อยนางหนึ่งปั่นหัวเล่น?
ภาพลักษณ์อันใด ท่าทีอันใด หมดสิ้นแล้วยามนี้!
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มแบมือ สีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘คราวนี้ท่านคงรู้แล้วกระมังว่าคนที่ไปหาเรื่องนางมีบทลงเอยเช่นไร’
อวิ๋นเกอเลิกใส่ใจอีกฝ่าย หันไปพูดคุยหัวเราะอยู่กับสวี่ผิงจวิน นางดื่มเหล้าไปพลางกินอาหารไปพลาง
* พิธีสวมหมวก ชาวจีนในสมัยโบราณเมื่อผู้ชายอายุครบ 20 ต้องเข้าพิธีสวมหมวกเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่
หลิวปิ้งอี่เองก็ยิ้มแย้มสนทนาอยู่กับเมิ่งเจวี๋ย
เห็นคนทั้งสี่กินดื่มสนุกสนาน คุณชายใหญ่ก็หัวเราะนั่งกลับเข้าที่ วางท่าตามสบายเหมือนดังเก่า “วันนี้ข้ายอมตายอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า ดูซิว่าพวกเจ้ายังจะมีลูกไม้อะไรอีก ข้าไม่เชื่อว่าอาหารบนโต๊ะนี้พวกเจ้ากินได้ ข้าจะกินไม่ได้”
แม้จะพูดจาอาจหาญเช่นนั้น แต่การกระทำกลับเป็นไปอย่างระแวดระวัง เมิ่งเจวี๋ยคีบอาหารจานไหน เขาก็คีบอาหารจานนั้น ไม่มีพลาดแม้แต่ตะเกียบเดียว
อวิ๋นเกอยิ้มรินเหล้าให้กับทุกคน คุณชายใหญ่รีบยกมือปิดถ้วยสุราของตนเอง “ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า”
ครู่ใหญ่ต่อมา สุรารินเวียนไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันหมดกา คุณชายใหญ่ก็หน้าตาแดงก่ำ รีบลุกขึ้นยืน ละล่ำละลักถาม “เสี่ยวเจวี๋ย ห้อง…ห้องน้ำอยู่ที่ใด”
เมิ่งเจวี๋ยกลั้นยิ้ม ชี้บอกทาง
คุณชายใหญ่แสยะยิ้มพูดกับอวิ๋นเกอ “เจ้าแน่มาก!”
พูดจบได้ไม่ทันไร คนก็วิ่งหายไปไกล
สวี่ผิงจวินหัวเราะจนสำลักเหล้า นางปิดปากไอพลางถาม “อวิ๋นเกอ เจ้าวางยาลงในอาหารจานไหน ทำไมพวกเราถึงไม่เป็นอะไร”
“ตอนคีบอาหาร ข้าลอบวางยาใส่ทุกจาน เพียงแต่ว่าเหล้าที่ข้ารินใส่ยาแก้พิษไว้ ในเมื่อเขาไม่ยอมดื่ม แล้วข้ายังจะทำอะไรได้” อวิ๋นเกอกะพริบตาปริบๆ ท่าทีราวกับสาวน้อยไร้เดียงสาไม่เป็นพิษเป็นภัยกับผู้ใด
สวี่ผิงจวินหัวเราะเสียงดัง “อวิ๋นเกอ ข้านับถือเจ้าจริงๆ ตกลงเขาล่วงเกินอะไรเจ้ากันแน่”
อวิ๋นเกอก้มหน้าเบ้ปาก “ไม่มีอะไร”
วันนี้ดูท่าคงต้องทำนายดวงชะตาดูสักหน่อยแล้วว่าตกลงมันเป็นวันอะไรกันแน่ จะเมฆดำคลุมครอบ หรือดอกท้อเต็มนภา
ตั้งแต่เด็กจนโต นอกจากท่านพ่อ พวกพี่ๆ กับพี่หลิงแล้ว นางก็ไม่เคยถูกใครกอดมาก่อน แต่วันนี้แค่วันเดียวกลับถูกชายหนุ่มกอดพร้อมกันถึงสามคน
สวี่ผิงจวินเป็นคนชอบร่วมวงเล่นสนุกกับผู้อื่น นางรีบพูดออกมาว่า “อวิ๋นเกอ เจ้ายังมีวิธีอื่นจัดการกับคุณชายใหญ่อีกหรือเปล่า ข้ากับเจ้ามาเล่นสนุกกัน…”
แม้คุณชายใหญ่ผู้นี้จะทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่กิริยาอาการเฉกเช่นชนชั้นสูงก็เห็นชัดต่อสายตา หลิวปิ้งอี่ไม่อยากให้อวิ๋นเกอกับอีกฝ่ายมีเรื่องหมางใจกัน
เขาพูดแทรก “อวิ๋นเกอ หากหายโกรธแล้วก็พอเถอะ ครั้งนี้ถือเสียว่าเป็นการตักเตือน หากเขายังกล้าหาเรื่องเจ้าอีก คราวหน้าเจ้าทำอะไรก็ไม่นับว่าเป็นการเกินไป”
อวิ๋นเกอเงยหน้าส่งยิ้มให้หลิวปิ้งอี่ “ได้ ข้าเชื่อพี่ใหญ่”
ภายใต้แสงจันทร์เลือนราง รอยยิ้มของอวิ๋นเกอสดใสประหนึ่งดอกไม้แย้มบานยามวสันต์
แววตาของหลิวปิ้งอี่อาบไว้ซึ่งความรู้สึกสงสัย แต่เพียงไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็อันตรธานหายไปจนสิ้น รอยยิ้มเกียจคร้านเป็นนิจแฝงไว้ซึ่งไออุ่นยากพบพาน
เมิ่งเจวี๋ยยิ้มตอบคำถามของสวี่ผิงจวินเกี่ยวกับเรื่องของคุณชายใหญ่ พูดคุยสนุกสนานเหมือนปกติ
เหล้าในถ้วยที่เมิ่งเจวี๋ยถืออยู่ จากที่ราบเรียบราวกระจก ยามนี้กลับกระเพื่อมไหวเป็นระลอก
“จากนิวาสสู่สมรภูมิรบ หลิวหยางยังเขียวสดพลิ้วไหว หวนถิ่นคืนฐานกลับเปลี่ยนไป หิมะโหมซัดใส่โปรยละออง หนทางย่างเยื้องแสนลำบาก หิวกระหายทุกข์ยากแสนเข็ญ ใจหม่นหมองตรอมตรมทั้งเช้าเย็น ทุกข์ลำเค็ญใครเล่าจะเข้าใจ…”
ท่วงทำนองเรียบง่ายแฝงไว้ซึ่งความทุกข์ระทมจางๆ
อวิ๋นเกอนอนไม่หลับอยู่แต่แรก ยามนี้พอได้ยินเสียงเพลง ใจนางก็ประหวัดนึกถึงอะไรบางอย่าง อวิ๋นเกอเปิดประตูออกไปเดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่อง
แม้จะได้ยินบทเพลงนี้มาตั้งแต่เล็ก แต่วันนี้นางเพิ่งจะเข้าใจความหมายแท้จริงที่แอบแฝงอยู่ภายใน
อดีตกับปัจจุบัน มากับไป แม้วันเวลาเปลี่ยน ภาพหลิวหยางภายในความทรงจำยังคงเขียวชอุ่ม แต่ที่ปรากฏต่อสายตากลับเป็นภาพหิมะซัดสาด
เวลาเปลี่ยนคนเราให้เฒ่าชรา ทำลายความรักความผูกพัน พรากซึ่งมิตรสหาย
เมื่อครั้นฤดูกาลผันผ่าน การแยกย้ายจากลาสุดท้ายย่อมมาถึงเข้าสักวัน
ท่อนที่ว่า ‘จากนิวาสสู่สมรภูมิรบ หลิวหยางยังเขียวสดพลิ้วไหว หวนถิ่นคืนฐานกลับเปลี่ยนไป หิมะโหมซัดใส่โปรยละออง’ นี้คงเป็นวาจาชวนทอดถอนใจอยู่ในโลกมนุษย์นี้ไปตราบชั่วนิรันดร์
ไม่ว่าจะคนหรือสิ่งใด คงล้วนแต่เป็นเช่นนี้!
จะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันวัน พี่หลิงในความทรงจำของนางก็หายลับไปจนสิ้นแล้ว ตอนนี้เหลือแต่พี่ใหญ่หลิวเท่านั้น
นับเป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเกอนึกอยากรู้ถึงความในใจของพี่รอง อยากรู้ว่าพี่รองที่เงียบสงบอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ที่แท้แล้วมีความในใจเช่นไรกันแน่ถึงได้ชอบร้องเพลงบทนี้นัก
พี่รอง หากท่านอยู่บ้าน บางทีข้าอาจไม่ออกจากบ้านมาเช่นนี้
แต่หากข้าไม่ออกมา บางทีข้าก็อาจไม่เข้าใจบทเพลงนี้ไปชั่วนิรันดร์ ข้าคงได้แต่เป็นน้องเล็กที่ต้องคอยให้ท่านพี่ปลอบใจ ให้ท่านพี่คอยคุ้มครอง
แม้จะหนีออกจากบ้านมาแค่ไม่กี่เดือน แต่ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน น้ำใจคนเปลี่ยนผัน อวิ๋นเกอรู้สึกว่าสองสามเดือนมานี้เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตนางเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง
เพียงไม่กี่เดือน อวิ๋นเกอก็เข้าใจเรื่องราวต่างๆ บนโลกได้มากกว่าเก่า เติบใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม ความในใจหรือก็มีมากกว่าในอดีต นางเองก็บอกไม่ได้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ บางทีไม่แน่ว่ามันอาจเป็นสิ่งที่คนเราต้องแลกมาเพื่อสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ที่ใต้ต้นไผ่ เมิ่งเจวี๋ยกำลังเคลื่อนนิ้วไปตามสายพิณ
อาภรณ์ยาวสีดำขับให้เขาดูงามสง่าประหนึ่งหยกชั้นเลิศ
ท่วงท่างดงามเหนือผู้ใด ใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งหยกสลัก สวรรค์เหมือนจะเมตตาเขายิ่งนัก
ไม่เพียงใบหน้างดงามเกินผู้ใดเทียบเทียม ความมั่งคั่งเกียรติยศสูงส่งเหนือคนทั่วไป สวรรค์ยังประทานความรู้กว้างขวางและความสามารถเปี่ยมล้นให้กับเขา จนเขาแทบจะกลายเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมไร้ที่ติ
แต่ทำไมเขาถึงได้ชอบบทเพลงบทนี้นัก หรือเขามีความในใจอะไรซ่อนอยู่?
จู่ๆ บทเพลงที่เมิ่งเจวี๋ยกำลังบรรเลงก็พลันเปลี่ยนท่วงทำนอง กลายเป็นบทเพลง ‘แบกหนามรับผิด’*
* ‘แบกหนามรับผิด’ มีที่มาจากสมัยจั้นกั๋ว เหลียนโพแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเจ้าตั้งแง่อิจฉาลิ่นเซียงหรูขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่อีกฝ่ายคอยแต่หลบฉาก ยอมลงให้อย่างให้เกียรติและเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน ภายหลังเหลียนโพรู้ความจริงจึงสำนึกผิดถอดเสื้อพันตัวด้วยกิ่งหนามมาขอขมาเพื่อชดใช้ความผิด
อวิ๋นเกอที่เดิมหลบอยู่หลังแนวต้นไม้ไม่อยากออกไปพบเขา พอได้ยินบทเพลงนี้ที่เขาเล่น นางก็ไม่คิดซุ่มหลบอีกต่อไป
นางเดินไปทรุดตัวนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆ ส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจวี๋ย ทุกสิ่งกระจ่างอยู่ในความเงียบงัน
ครั้นเมิ่งเจวี๋ยบรรเลงเพลงจบ อวิ๋นเกอก็คว้าพิณมาดีดกระท่อนกระแท่น เล่นบทเพลงเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้งพร้อมขับขาน
“จากนิวาสสู่สมรภูมิรบ หลิวหยางยังเขียวสดพลิ้วไหว หวนถิ่นคืนฐานกลับเปลี่ยนไป หิมะโหมซัดใส่โปรยละออง หนทางย่างเยื้องแสนลำบาก หิวกระหายทุกข์ยากแสนเข็ญ ใจหม่นหมองตรอมตรมทั้งเช้าเย็น ทุกข์ลำเค็ญใครเล่าจะเข้าใจ…”
แม้อวิ๋นเกอจะวางมือไม้ได้งดงาม แต่ยามบรรเลงมักเพี้ยนเสียงบ่อยครั้งจนยากจะเล่นต่อ เห็นได้ชัดว่านางมีอาจารย์ดีคอยสอนสั่ง เพียงแต่มิได้ใส่ใจฝึกฝน
เมิ่งเจวี๋ยนั่งลงข้างอวิ๋นเกอ ปลายนิ้วไล้แผ่วเบาอยู่บนสาย คอยดึงจังหวะ ดีดนำอวิ๋นเกอไปอย่างช้าๆ
ลมหายใจของเขาวนเวียนอยู่บริเวณปลายจมูกนาง มือถูกกันเป็นครั้งคราว หากแม้นผิดพลั้งเขาก็จะกุมมือนาง ช่วยส่งบรรเลงบทเพลงต่อ
อวิ๋นเกอใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นระส่ำ
เมิ่งเจวี๋ยกลับวางตัวราวไม่รู้สึกอันใด เขายังคงสอนอวิ๋นเกอดีดพิณด้วยท่าทางปกติ
ความรู้สึกขัดเขินวิตกกังวลของอวิ๋นเกอค่อยๆ จางหาย ร่างกายและจิตใจจมดิ่งเข้าสู่บทเพลง
อวิ๋นเกอเล่นซ้ำไปมาตามคำชี้แนะของเมิ่งเจวี๋ย จนจดจำท่วงทำนองได้หมดสิ้น ในที่สุดนางก็สามารถบรรเลงบทเพลง ‘เก็บฝักเวย’* ออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ภายใต้แสงดาวสุกสว่าง พวกเขาทั้งสองนั่งเคียงไหล่อยู่ด้วยกัน หนึ่งสตรีงดงามอ่อนโยน หนึ่งบุรุษนอบน้อมถ่อมตน
อวิ๋นเกอลูบคลำพิณเล่น พิณนี้แม้จะไม่ใช่พิณวิเศษมีชื่อ แต่คุณภาพเสียงของมันก็มิได้ด้อยแต่อย่างใด
ตัวพิณเรียบง่ายงามสง่าไร้ซึ่งลวดลายตกแต่ง จะเว้นก็ตรงบริเวณมุมเท่านั้นที่มีภาพดอกไม้เงินทอง* สลักไว้สองดอก เผยเจตนาอิสระแห่งบุปผาร่ายรำคล้อยตามสายลม
ผู้แกะสลักคงเป็นยอดฝีมือที่เข้าใจความหมายในภาพเป็นอย่างดีจึงสามารถสื่อมันออกมาได้ครบถ้วนกระบวนความโดยใช้เส้นสายเพียงไม่กี่เส้น แต่ลายเส้นเรียบง่ายเหล่านี้กลับเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้า ยิ่งดอกไม้งดงามมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้ผู้ที่ได้เห็นมันรู้สึกรันทดมากขึ้นเท่านั้น นึกถึงบทเพลงเมื่อครู่ อวิ๋นเกออดยื่นมือลูบผ่านดอกไม้เงินทองสองดอกนั้นไม่ได้
“พิณนี้ผู้ใดเป็นคนทำ แล้วใครสอนท่านเล่นบทเพลงบทนี้”
“พ่อบุญธรรมข้า” ยามพูดถึงพ่อบุญธรรม แววตาอบอุ่นที่ยากจะปรากฏให้ใครได้พบเห็นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเมิ่งเจวี๋ย รอยยิ้มบนริมฝีปากในยามนี้ต่างจากรอยยิ้มที่นางพบเห็นเป็นประจำโดยสิ้นเชิง
“เมื่อหลายวันก่อนท่านบอกว่าจะไปจากฉางอัน ท่านจะกลับไปพบท่านพ่อท่านแม่ใช่หรือไม่”
“ญาติข้ามีเพียงพ่อบุญธรรมเท่านั้น ข้าไม่มีท่านพ่อ ส่วนท่านแม่…นางจากโลกนี้ไปตั้งแต่ข้ายังเล็ก”
* เพลงเก็บฝักเวย บันทึกอยู่ในคัมภีร์กาพย์กลอน (ซือจิง) บทเสี่ยวหย่า บรรยายถึงความลำบากยากแค้นและความคิดถึงของทหารที่ถูกเกณฑ์ไปสู้รบ โดยเวยหมายถึงถั่วแระป่าที่เก็บมาทำอาหารระหว่างเดินทัพกลับ
* ดอกไม้เงินทอง แปลมาจากชื่อภาษาจีนว่า ‘จินอิ๋นฮวา’ มีชื่อไทยว่าดอกสายน้ำผึ้ง มีสรรพคุณในการแก้อักเสบ แก้ไข้ร้อนใน
เดิมทีอวิ๋นเกอรู้สึกว่าตนเองถามผิดไปจึงคิดอยากขอโทษ แต่น้ำเสียงของเมิ่งเจวี๋ยกลับราบเรียบไร้ความรู้สึกเจ็บปวด ทำเอาอวิ๋นเกอไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรต่อ
หลังเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดอวิ๋นเกอก็ถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วท่าน…ท่านคิดถึงท่านพ่อท่านแม่บ้างหรือไม่”
กับคนที่ไม่สนิท พวกเขาย่อมไม่มีทางใส่ใจใคร่ถามคำถามเช่นนี้กับเขา ส่วนคนที่พอสนิทชิดเชื้ออยู่บ้างนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดว่าจำเป็นต้องถาม
ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามเช่นนี้ เมิ่งเจวี๋ยจึงตั้งตัวไม่ทัน หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆ ความรู้สึกสับสนปรากฏอยู่ในนัยน์ตาดำขลับราวกับหินโมราแวบหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางหมอกชื้น
เมิ่งเจวี๋ยนั่งห่างจากอวิ๋นเกอแค่คืบ แต่นางกลับรู้สึกว่าจู่ๆ เขาก็เหมือนอยู่ห่างจากนางไปไกลราวกับมีคูน้ำขวางกั้น
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเมิ่งเจวี๋ยก็ตอบ “ข้าไม่รู้”
อวิ๋นเกอก้มหน้า มือลูบอยู่บนสายพิณโดยไม่รู้ตัว เขาไม่อยากคิด หรือไม่กล้าคิดกันแน่
เห็นเมิ่งเจวี๋ยเหม่อมองดูดวงดาวสองสามดวงบนฟากฟ้าเช่นนั้น อวิ๋นเกอก็กระซิบเสียงพูดแผ่วเบา “ตำนานของชาวเยวี่ยที่อาศัยอยู่บนดินแดนตะวันตกเล่าว่าดวงดาวบนฟากฟ้าคือวิญญาณของเหล่าญาติพี่น้อง คอยเปล่งแสงระยิบระยับด้วยความห่วงหาอาทร”
เมิ่งเจวี๋ยหันหน้ามองดูอวิ๋นเกอ ริมฝีปากเปี่ยมซึ่งรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาประหนึ่งหยกเหมันต์ “ท้องฟ้าสูงขนาดนั้น พวกมันจะรับรู้อันใด จะแลเห็นสิ่งใดแจ่มกระจ่าง” เขาลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง “ค่ำแล้ว พักผ่อนเถอะ!” เพียงไม่กี่ก้าว ร่างของเมิ่งเจวี๋ยก็ถูกกลืนหายไปท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้
อวิ๋นเกออยากร้องเตือนว่าเขาลืมพิณไว้ แต่ครั้นเห็นอีกฝ่ายเดินจากไปไกล นางก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย อวิ๋นเกอก้มหน้าลูบคลำพิณไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“บทเพลงมีไว้เพื่อหาความสำราญ แต่พวกเจ้าแต่ละคนกลับปั้นหน้าราวกับพ่อตายแม่เสียก็ไม่ปาน” คุณชายใหญ่มือข้างหนึ่งถือขนมเปี๊ยะย่าง มืออีกข้างถือเหยือกน้ำ นั่งกระดกเท้าอยู่บนเถาวัลย์ เขากินขนมเปี๊ยะคำน้ำคำ ท่าทางราวกับรสชาติของมันหวานหอมเป็นที่สุด
“ท่านต่างหากพ่อตายแม่เสีย!” อวิ๋นเกอส่งเสียงประชด ไม่แม้แต่จะแหงนหน้าขึ้นมอง
“พ่อแม่ข้าตายแล้วจริงอย่างเจ้าว่า! หากพวกเขายังอยู่ ข้ามีหรือจะสบายอกสบายใจเช่นนี้” คุณชายใหญ่ไม่เพียงไม่โกรธ ตรงกันข้ามกลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม
อวิ๋นเกอเงียบกริบ คนผู้นี้…ดูไม่ปกติสักเท่าไร
เห็นท่าทางเขาในยามนี้ พอหวนคิดถึงท่าทางราวคุณชายเอาแต่ใจของอีกฝ่ายก่อนหน้า อวิ๋นเกอก็อดหัวเราะไม่ได้ “ขนมเปี๊ยะอร่อยหรือไม่”
“กินอาหารเลิศรสมาก็มาก สมควรลองลิ้มชิมรสชาติความทุกข์ยากของพวกชาวบ้านดูบ้าง นี่ข้ากำลังศึกษาและสังเกตชีวิตของพวกชาวบ้านอยู่”
“ท่านพูดเสียราวกับตัวเองเป็นขุนนางใหญ่ปลอมตัวมากระนั้น”
“ข้าเป็นขุนนางใหญ่ในหมู่ขุนนางใหญ่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้หรือไร ทั่วทั้งฉางอันขุนนางที่พบข้าแล้วไม่คุกเข่าจะมีอยู่สักกี่คนเชียว” คุณชายใหญ่มองดูอวิ๋นเกอด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ท่านมีตำแหน่งอะไร…อา! ใช่แล้ว ท่านแซ่หลิว หรือว่าท่านเป็นท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ผู้น้อยกล้าล่วงเกินท่านอ๋อง มีโทษสมควรตาย” อวิ๋นเกอยิ้มกระเซ้า
“เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าก็คือท่านอ๋อง” หลังกินขนมเปี๊ยะคำสุดท้ายหมด คุณชายใหญ่ก็ถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ “เจ้ากล้าไร้มารยาทกับข้า สมควรตายจริงๆ”
อวิ๋นเกอรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเกิดในตระกูลสูงส่ง แต่เหล่าอ๋องทั้งหลายหากไม่มีรับสั่งขององค์จักรพรรดิ ล้วนห้ามออกจากเมืองในปกครองเข้ามายังฉางอันตามอำเภอใจเด็ดขาด ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดกบฏ กฎข้อนี้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว ผู้คนใต้หล้าล้วนรู้ดี
ต่อให้มีท่านอ๋องแอบเข้ามาฉางอันโดยพลการจริงก็ไม่มีทางพร่ำพูดว่าตัวเองเป็นอ๋องเช่นนี้
ดังนั้นถึงแม้ยามพูดจา แววตาของคุณชายใหญ่จะเป็นประกาย สีหน้าท่าทางไม่เหมือนคนพูดปด แต่อวิ๋นเกอกลับเห็นเป็นเพียงเรื่องขำขัน นางลุกขึ้นยืนน้อมคำนับคุณชายใหญ่ ทำทีเหมือนตกใจกลัว ปั้นเสียงพูด “ท่านอ๋อง ผู้น้อยโง่เขลา ขอท่านอ๋องได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตผู้น้อยด้วย”
คุณชายใหญ่ยิ้ม โบกไม้โบกมือ “เจ้ามันเอาแต่ใจ! ต่อให้ข้าเป็นอ๋อง เจ้าก็ใช่ว่าจะกลัวข้า ใช่ว่าจะไม่แกล้งข้า และแม้ข้าไม่ใช่อ๋อง ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่นับถือข้า เจ้ามันน่าสนใจยิ่งนัก เช่นนี้แล้วมีหรือข้าจะตัดใจเอาชีวิตเจ้าได้ลง เฮ้อ! น่าเสียดาย…น่าเสียดาย…ดันเป็นคนที่เจ้าสามหมายตาเสียได้…”
เขามองดูอวิ๋นเกอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ปากก็เฝ้าพึมพำอะไรบางอย่าง รอยยิ้มคลุมเครือมุมปากทำเอาอวิ๋นเกอรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด
อวิ๋นเกอพูดใบหน้าบึ้งตึง “ท่าน…ท่านอย่าได้คิดอะไรชั่วๆ เด็ดขาด หากท่านยังหาเรื่องข้าอีกล่ะก็ รับรองไม่มีทางจบง่ายๆ แบบครั้งก่อนแน่”
คุณชายใหญ่ทิ้งตัวลงจากเถาวัลย์ เขาค่อยๆ ย่างสามขุมตรงมาหาอวิ๋นเกอ “เดิมทีข้าก็ไม่คิดอะไร แต่พอได้ยินเจ้าพูดแบบนั้น ข้าก็ชักอยากรู้ขึ้นมาเหมือนกันว่าเจ้ายังจะมีลูกไม้อะไรอีก”
อวิ๋นเกอนึกหวั่นใจ แต่นางก็รู้ว่ายามนี้จะแสดงท่าทีหวาดวิตกให้อีกฝ่ายเห็นไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้ววันหน้าคงไม่แคล้วถูกบุรุษผู้นี้แกล้งจนตายเป็นแน่
นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองดูเขา “ลึกเข้าไปในดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น มีดอกไม้ชนิดหนึ่ง คนที่นั่นเรียกมันว่าดอกไม้กินแมลงวัน ของเหลวจากดอกของมันเหม็นชวนคลื่นเหียนเป็นที่สุด หากเปื้อนถูกตัว ต่อให้ผ่านไปเป็นปีกลิ่นก็ไม่จางหาย หากคุณชายใหญ่เผลอถูกมันเข้าแค่หยดสองหยด รับรองได้ว่าโฉมสะคราญพวกนั้นของท่านคงทุกข์ทรมานมิใช่น้อย แต่คนที่ทรมานเป็นที่สุดคงไม่แคล้วคือตัวคุณชายใหญ่เอง!”
คุณชายใหญ่ชะงักฝีเท้า เขายืนยิ้มพร้อมชี้นิ้วมาทางอวิ๋นเกอ “ลองพูดมาให้ละเอียดซิว่าข้าจะทุกข์ทรมานเช่นไร”
แก้มของอวิ๋นเกอร้อนผ่าว แม้ใจนึกอยากอ้าปากพูด แต่นางกลับพูดไม่ออก
“กล้าพูดแต่ไม่กล้าอธิบาย” คุณชายใหญ่ยิ้ม หันกลับไปนั่งลงบนเถาวัลย์เหมือนดังเก่า “ไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว อวิ๋นเกอ อีกสองสามวันเจ้าไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักข้าดีกว่า ที่นั่นมีของสนุกๆ น่าสนใจมากมาย”
อวิ๋นเกอยิ้มย่นจมูก “นอกจากเล่นๆๆ แล้ว ท่านไม่มีเรื่องอื่นใดให้ทำเลยหรือไร”
สีหน้าของคุณชายใหญ่เคร่งขรึมขึ้นมาทันทีราวกับกำลังครุ่นคิดจริงจัง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มมุมปากออกมาช้าๆ รอยยิ้มเหมือนไม่ยี่หระต่อสิ่งใด น้ำเสียงทุ้มต่ำลอยอยู่ท่ามกลางสายลมยามวิกาล ฟังดูวังเวงยิ่งนัก “ไม่มี และดีที่สุดก็คือไม่มีเรื่องอื่นใดให้ข้าต้องทำ วันๆ มีแต่เล่นๆๆ แล้วก็เล่นเท่านั้น เช่นนี้ไม่เพียงดีต่อข้า แต่ยังดีต่อผู้อื่นอีกด้วย”
อวิ๋นเกอแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกฝ่าย “อาศัยโอกาสพรุ่งนี้ไปจากฉางอัน ท่านกับข้าไปเที่ยวเล่นด้วยกันดีกว่า เอ่ยถึงเรื่องดื่มกินเที่ยวเล่นแล้ว ข้าพอมีความรู้อยู่บ้าง พวกเราออกทะเลไปหาอาหารทะเลกินกัน นอนดูนกนางนวลอยู่บนดาดฟ้าเรือ นอกจากนี้พวกเรายังไปปีนภูเขาหิมะด้วยกันได้ บนนั้นมีไก่ฟ้าหูขาวอยู่ชนิดหนึ่ง เหมาะจะเอามาตุ๋นกับบัวหิมะเป็นที่สุด รสชาติของมันรับรองว่าทำท่านลืมชื่อแซ่ได้ไม่ยาก แล้วท่านเคยไปเขาเทียนซานหรือยัง ทะเลสาบสวรรค์นับเป็นจุดชมจันทร์ชั้นยอด ยามค่ำพวกเราออกไปล่องเรือ มีเหล้าสักกา กับข้าวอีกสักสองสามอย่าง เรียกว่าสวรรค์บนแดนดินก็ไม่ได้เป็นการเกินเลยแต่อย่างใด คนเรารู้จักแต่ต้องปีนเขาขึ้นไปชมพระอาทิตย์ยามเช้า ทั้งที่ความจริงแล้วภาพพระอาทิตย์ยามเช้าในทะเลกว้างใหญ่ก็…”
อวิ๋นเกอพูดเบิกบานใจ คุณชายใหญ่ฟังแล้วก็ตะลึง เขาพิจารณาดูอวิ๋นเกอพลางเอ่ยปากยกย่อง “ข้าคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องกินเรื่องเที่ยวมากกว่าผู้ใด ดินแดนกว่าครึ่งของราชวงศ์ฮั่นข้าล้วนแอบเที่ยวมาจนสิ้น แต่พอเทียบกับเจ้าแล้ว ข้ากลับไม่ต่างอะไรกับนกขมิ้นในกรงที่คุยโตโอ้อวดกับพญาอินทรีว่าตนเองพบเจอสิ่งต่างๆ มามากมายขนาดไหน กรงทองชั้นหยกแล้วเช่นไร สุดท้ายก็แค่ถูกขังอยู่ในกรงเท่านั้น”
อวิ๋นเกอยิ้มแลบลิ้น ลุกขึ้นเดินจากไป “ข้าไปนอนล่ะ ไม่อยู่เล่นเป็นเพื่อนท่านแล้ว อย่าลืมเอาพิณคืนให้ราชันในหมู่หยกด้วย”
อวิ๋นเกอเดินจากไปไกล เสียงพิณทางด้านหลังดังไม่เป็นจังหวะ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงฟังออกว่าเป็นบทเพลงแบกหนามรับผิด
โดยไม่หันหน้ากลับไปมอง ริมฝีปากของอวิ๋นเกอเม้มยิ้ม
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments