บทที่ 3
ภายใต้สถานการณ์ที่มีแต่ความตึงเครียดนั้นอาสดาได้ช่วยหาข่าวดีมาให้ทีมงานของเขา เมื่อภาพจากกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้านถูกนำมามอบให้ตำรวจด้วยความเต็มใจและทันท่วงที
“ได้ภาพจากกล้องของห้องริมสุดมาแล้ว”
เขายื่นแฟลชไดรฟ์ให้ปารุสก์ในจังหวะที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รับคำสั่งให้กระทำการใดๆ อยู่พอดี
“ร้านสะดวกซื้อเหรอ”
“เปล่า ห้องอีกด้านที่เป็นโฮมออฟฟิศ ห้องอื่นยังไม่พร้อม”
ปารุสก์รีบนำแฟลชไดรฟ์ที่ได้มาเชื่อมต่อเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของเขา ไม่นานภาพในกล้องวงจรปิดก็ปรากฏขึ้นบนจอ
“ภาพค่อนข้างชัดเลย แต่ไม่แน่ใจว่าจะเห็นได้ไกลแค่ไหน เพราะห้องนี้ไม่ได้อยู่ติดกับธนาคาร ถ้าได้ของร้านอาหารหรือร้านเครื่องเขียนจะดีกว่า”
“นายไล่ดูไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันกลับไปตามเรื่องให้”
“ขอบคุณครับเฮีย”
อาสดาลงจากรถตู้หายไปอีกครั้ง ทิ้งให้ปารุสก์ทำงานของตนไป โดยที่หูของเขายังคอยฟังคำสั่งจากเจ้านายอยู่ตลอดเวลา ปารุสก์โหลดวีดิโอทั้งหมดลงในฮาร์ดดิสก์ของเขา เจ้าของห้องก็อปปี้เทปเวลาสองชั่วโมงมาให้ ซึ่งนั่นครอบคลุมเวลาก่อนเกิดเหตุไว้ด้วยแล้ว เขายังเห็นรถยนต์และรถจักรยานยนต์จอดไว้ด้านหน้าธนาคารอยู่เลย แสดงว่านั่นเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ
“ออกมา ออกมาไอ้สวะ”
สายตาของปารุสก์ยังคงจดจ้อง เมื่อเสียงของหัสยุทธเรียกเข้ามาจึงทำให้ชายร่างอวบสะดุ้งเล็กน้อย
“ครับเจ้านาย”
“โทรอีกครั้ง”
“ครับ”
ปารุสก์ละสายตาจากหน้าจอแล้วจัดการบันทึกเสียงอีกครั้ง เขากดหมายเลขของธนาคารแล้วรอ
กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงง
“รับ!”
ชายสวมเสื้อลายสก็อตผลักหัวไหล่ของผู้จัดการสาขาเพื่อกระตุ้นให้เขาเป็นคนรับสาย ชายวัยกลางคนหันมาสบตากับคนร้ายอีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ แต่เมื่อเห็นสายตาเอาจริงเอาจังของมัน เขาก็จำเป็นต้องทำ มือที่เย็นจัดค่อยๆ ยื่นออกไปกดปุ่มรับสายซึ่งอยู่บนเคาน์เตอร์ของธนาคาร มันต้องการให้เขาเปิดสปีกเกอร์โฟนในการสนทนา โดยมีสายตาของตัวประกันคนอื่นๆ จับจ้องอยู่ด้วย
“ฮะ…ฮัลโหล”
“นั่นใคร”
“ผะ…ผมเป็นผู้จัดการ”
“ผมเป็นนักเจรจาต่อรอง เกิดอะไรขึ้นในธนาคาร”
คนร้ายบีบหัวไหล่เขาเป็นเชิงเตือน “เอ่อ เรา…เราถูกปล้น”
“มีคนบาดเจ็บในนั้นรึเปล่า”
“มีครับ” เขารับเสียงเบา
“เราต้องการแลกตัวผู้บาดเจ็บกับสิ่งที่เขาต้องการ”
ผู้จัดการสาขาหันมาสบตากับคนร้ายคนที่ยืนประชิดเขาอยู่ แล้วในวินาทีต่อมามันก็ยื่นมือออกมากดปุ่มเพื่อยุติการสนทนา
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่ใช่โจรกระจอกแล้ว มันต้องการเล่นกับเรา” หัสยุทธสบถ
“อย่างน้อยก็รู้หนึ่งอย่าง…มีคนเจ็บ ผมจะตามรถฉุกเฉินกับแจ้งโรงพยาบาลให้เตรียมหน่วยกู้ชีพไว้”
วุฒิภาศบันทึกไว้อีก หัสยุทธหันไปสนใจปารุสก์แทน เขาถามขึ้นทันทีโดยไม่เอ่ยชื่อใคร เพราะรู้ดีว่าลูกทีมของเขาทุกคนจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดตลอดเวลา
“ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดรึยัง”
“ได้มาหนึ่งจุดครับ ผมกำลังดูอยู่”
“แล้วคนของธนาคารมารึยัง”
“ผมจะถามให้ครับ”
ปารุสก์ใช้ระบบการสื่อสารระหว่างทีมเพื่อเรียกไปยังอาสดา เขาได้รับการยืนยันว่าผู้จัดการเขตของธนาคารเพิ่งเดินทางมาถึง จึงแจ้งกลับไปยังหัสยุทธอีกครั้ง
“พาตัวเขาไปที่รถตู้ ให้เขาบอกชื่อพนักงานที่อยู่ในสาขาทั้งหมดมา ผมต้องการชื่อและประวัติของทุกคน”
“รับทราบครับ”
อาสดาได้ยินคำสั่งทั้งหมดอย่างชัดเจน เขาจึงเป็นคนนำตัวผู้จัดการเขตมาที่รถตู้ของ NIC
ผู้จัดการเขตเป็นชายร่างผอมสูง อายุคงอยู่ในวัยใกล้เกษียณ ผิวคล้ำ หน้าตาเคร่งเครียด ท่าทางเอาการเอางาน เขาพูดขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้งที่มาถึงสถานที่เกิดเหตุล่าช้าเกินไป สาเหตุก็เป็นเพราะการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วน อาสดาพาเขาขึ้นรถตู้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้พิเศษซึ่งวุฒิภาศเคยนั่งเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา ปารุสก์หันมาทักทายง่ายๆ แล้วบอกความต้องการของหัสยุทธให้เขาทราบ ถวิลฟังความต้องการนั้นแล้วก็นิ่งไปนิดคล้ายกับกำลังคิดหาหนทางในการแก้ไขปัญหา จากนั้นก็มีคำตอบเบื้องต้นให้ปารุสก์
“ผมต้องติดต่อกับฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผมไม่รู้จักชื่อของพนักงานทุกคนในนั้น จำได้แค่คุณวิรุฬ เขาเป็นผู้จัดการสาขา”
“งั้นก็ต้องติดต่อตอนนี้เลยครับ” ปารุสก์กำชับ
“อ่ะ ได้ แต่อาจจะช้าสักหน่อย เพราะมันเป็นวันศุกร์แล้วตอนนี้ทุกคนคงจะกำลังกลับบ้าน พวกแบ็คออฟฟิศไม่ได้ทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนสาขา พวกนี้ทำงานตรงเวลา”
ปารุสก์จ้องมองถวิลด้วยสายตาว่างเปล่า ภายใต้สีหน้านั้นบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่ยอมรับข้อจำกัด งานที่เขากำลังทำอยู่ถือเป็นงานที่ทำเพื่อธนาคารซึ่งเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงของถวิล เพราะฉะนั้นถวิลจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อกำจัดอุปสรรคทั้งหมด ไม่ใช่การพล่ามหาเหตุผลมาตอบเขาในตอนนี้
“ยังไงก็แล้วแต่…ผมต้องการข้อมูลตอนนี้ครับ นอกจากนั้นฝากถามเรื่องกล้องวงจรปิดภายในธนาคารด้วย ผมต้องการช่องทางที่จะเข้าไปดูข้อมูลในนั้น”
ปารุสก์สรุปแล้วหมุนตัวกลับไปจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ทิ้งให้ถวิลยกโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาเพื่อติดต่อประสานงานอย่างงกๆ เงิ่นๆ แต่ไม่วายยังบ่นงึมงำตามมาเบาๆ
“ไม่เคยเลย…ชีวิตนี้ไม่เคยที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ ไม่น่าเกิดในเขตของเราเลย”
ความจริงถวิลก็น่าสงสาร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุการณ์ปกติหรือสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นการทำงานครั้งนี้จะเป็นตัววัดว่าเขาสามารถรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีแค่ไหน
“เอายังไงดีพี่โอ่ง”
“ข้างหลังออกไม่ได้แล้ว”
คนร้ายสองคนกระซิบกันเบาๆ หน้าประตูหลังของธนาคาร แผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกดูเหมือนถูกทำลายลงไปแล้วด้วยฝีมือของวิญญู หากจะดึงดันทำตามแผนเดิมให้ได้ จุดจบของพวกเขาก็คงเป็นพื้นแฉะๆ ในตลาดเป็นแน่ คนที่ถูกเรียกว่า ‘โอ่ง’ กระชับปืนในมือแน่น เขาสั่งให้มัดผู้จัดการสาขาติดกับสุภาพสตรีคนที่เขาคิดจะพาไปเป็นตัวประกัน ในสมองพยายามคิดหาทางออกให้ตัวเองอย่างเร็วจี๋
“ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เราจะไม่รอดนะ ตำรวจไม่ชอบหรอกที่มีตัวประกันอยู่ในนี้”
“กูรู้น่า” เขาเอ็ดลูกน้องเสียงแข็ง “ถ้ามันโทรมาอีก เราจะเจรจา”
“พี่จะเจรจาว่าไง”
“เราจะยอมปล่อยคนเจ็บไปหนึ่งคนแลกกับรถเพื่อหนี”
“แล้วพะ…”
โอ่งตวัดสายตามามองแล้วพูดเสียงเข้ม “ให้ได้รถมาก่อนแล้วค่อยคิดหาทางออก”
คนฟังพยักหน้ารับอย่างจำใจ เพราะเขาก็ยังไม่เห็นทางรอดอย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องไว้ใจคนที่เป็นหัวหน้า
“มึงลองขึ้นไปสำรวจชั้นสองของตึกหน่อยสิ เผื่อจะมีทางหนีที่ดีกว่าทางนี้อีกทาง”
“ได้พี่”
คนเป็นลูกน้องรีบพุ่งไปที่บันไดซึ่งทอดตัวอยู่ด้านข้างผนัง ส่วนโอ่งเบนความสนใจไปที่ตัวประกันของเขาอีกครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยทุกคนให้เป็นอิสระได้ เพราะนั่นหมายความว่าความปลอดภัยของตัวเขาก็จะเป็นศูนย์
“อะฮ้า…ออกมาแล้ว น่าจะใช่ๆ”
ปารุสก์ยิ้มออกมาได้นิดหนึ่งก่อนที่จะถูกถวิลจับหัวไหล่แน่น
“อะไร ไหน เห็นคนร้ายแล้วเหรอ”
ปารุสก์ปัดมือของผู้จัดการเขตออกจากไหล่แล้วพูดเสียงเข้ม “วงจรปิดในธนาคารครับท่าน ผมต้องการดูภาพกล้องวงจรปิดในธนาคาร”
ถวิลถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ก่อนตอบ “เอ่อ ผมพยายามติดต่อคนของสำนักงานใหญ่แล้ว แต่มันค่อนข้างยุ่งยาก…”
“เอาชื่อและเบอร์โทรศัพท์มา ผมจัดการเอง”
ถวิลช่างเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเหมาะสมเอาเสียเลย แต่อีกใจปารุสก์ก็นึกสงสารว่าเขาคงไม่ได้พบโจรปล้นธนาคารบ่อยนักในชีวิตประจำวัน ไม่เหมือนตนที่ทำงานกับอาชญากรอยู่ทุกวัน มือของถวิลสั่นเทาในตอนที่ส่งโทรศัพท์มือถือของตนมาให้
ปารุสก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ของผู้จัดการเขตโทรไปหาคนของสำนักงานใหญ่ แต่เขาใช้หมายเลขเฉพาะของหน่วย NIC เพื่อติดต่อสื่อสาร เพราะหมายเลขนี้จะมีการบันทึกบทสนทนาไว้ด้วยทุกครั้ง เสียงสัญญาณรอสายดังต่อเนื่องอยู่พักใหญ่จึงมีคนรับสาย
“สวัสดีค่ะ ฝ่ายไอทีของ…”
“ผมโทรจากพื้นที่เกิดเหตุ มีคนร้ายบุกปล้นธนาคารของคุณ สาขาหน้าโรงเรียนอนุบาลลูกขวัญ มันจับตัวประกันซึ่งเป็นพนักงานกับลูกค้าไว้ประมาณสิบชีวิต”
“อะ…อะไรนะคะ”
“ขอสายคนที่มีอำนาจในการเข้าถึงกล้องวงจรปิดของธนาคารด้วยครับ ความช่วยเหลือของพวกคุณจะทำให้ชีวิตของคนข้างในปลอดภัย ยิ่งช้ายิ่งมีความเสี่ยง”
“คือ…เอ่อ…ฉันจะตามผู้จัดการให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
หูของปารุสก์รอสายในขณะที่มือก็พยายามล็อกภาพบุคคลต้องสงสัยในวงจรปิดที่ได้มาก่อนหน้านี้อยู่ เขารอไม่นานก็มีน้ำเสียงตื่นตระหนกติดต่อเข้ามาในสาย
“ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายไอทีครับ”
“ครับ ผมปารุสก์ ผู้ช่วยฝ่ายไอทีของหน่วย NIC ขณะนี้ตำรวจกำลังอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ผมต้องการภาพจากกล้องวงจรปิดภายในธนาคารเมื่อสองชั่วโมงก่อนจนถึงปัจจุบัน มีวิธีการไหนบ้างที่ผมจะเข้าถึงข้อมูลตรงส่วนนั้นครับ”
“ดะ…ได้ครับ ผมต้องตามตัวคนดูแลระบบมาก่อน”
“ขอบคุณครับ ด่วนเลยครับ กรุณาจดหมายเลขติดต่อกลับด้วยครับ”
“ครับๆ”
ปารุสก์ทวนหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติตต่อมายังรถเคลื่อนที่ของ NIC ได้โดยตรงให้แก่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของธนาคาร แล้วหันมามองถวิลอีกครั้ง
“ได้ข้อมูลพนักงานรึยังครับ”
“เอ้อ ดะ…ได้ตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้รายชื่อครบ”
“ก็ยังดี บอกมาเลยครับ” เขาหันกลับไปที่จอคอมพิวเตอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน
“ผู้จัดการสาขาหนึ่งคน” ถวิลพยายามดึงสมาธิของตนมาที่คำตอบซึ่งได้คุยกับแผนกบุคคลของสำนักงานใหญ่ไปเมื่อครู่ “ผู้ช่วยผู้จัดการสาขาอีกหนึ่ง พนักงานหน้าเคาน์เตอร์สาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่ง แล้วแม่บ้านอีกหนึ่ง รวมเป็นเจ็ดคน”
“ผู้ชายกี่คน”
“เอ่อ น่าจะสองหรือสาม”
“เอาให้แน่ครับ ตอนนี้เรารู้ว่าผู้จัดการสาขาเป็นผู้ชายแน่ เพราะเขาเพิ่งคุยกับหัวหน้าผมทางโทรศัพท์ แล้วพนักงานคนอื่นมีผู้ชายกี่คน ผู้หญิงกี่คน”
“ผมต้องรอให้แผนกบุคคลส่งรายชื่อกับประวัติที่คุณขอมาให้ แต่คุณก็รู้นี่ว่าพนักงานของธนาคารมีเป็นพันคน เขาก็ต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลก่อน” ถวิลพูดอย่างร้อนรน
“รับทราบ ถ้าอย่างนั้นท่านรอข้อมูลไปก่อน ได้เมื่อไรกรุณาแจ้งผมทันทีนะครับ ผมจะได้ตามส่วนอื่นต่อ”
ถวิลอดรู้สึกว่าถูกเด็กรุ่นหลังกดขี่ข่มเหงไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้บริหารระดับสูงซึ่งเคยชินกับการที่ทุกคนต้องเอารายงานมานำเสนอ เมื่อเป็นฝ่ายถูกจี้ให้ต้องทำงานเสียเองจึงรู้สึกแปลกและจับต้นชนปลายไม่ถูก อีโก้ส่วนตัวเกิดขึ้นวูบวาบจนนึกอยากจะเรียกผู้ช่วยให้เข้ามาในรถตู้นี้ด้วย แต่อาสดาบอกเขาว่าห้ามให้บุคคลอื่นเข้าไว้ก่อนหน้านี้
ด้านนอกรถตู้แม้ฝูงชนจะถูกควบคุมไม่ให้เข้าไปวุ่นวายภายในสถานที่เกิดเหตุแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ตะโกนเรียกตำรวจตลอดเวลาเพื่อให้หันไปสนใจพวกเขา ตำรวจในสังกัดของโอบเกียรติเอาแต่ยืนเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ไม่ได้สนใจว่าใครจะดูร้อนรนกระวนกระวายเพียงใด พวกเขามีหน้าที่รักษาการณ์ให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเท่านั้น มีเพียงอาสดาคนเดียวที่รู้สึกว่าผู้หญิงสูงวัยกับผู้ชายตัวสูงโย่งที่เอาแต่ตะโกนและโบกมือเป็นพัลวันนั้นมีบางอย่างที่น่าสนใจ เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลังเชือกกั้น
ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้ หญิงสูงวัยคนนั้นก็แทบจะพุ่งตัวข้ามเชือกมาดึงแขนของเขาไว้ อาสดาเบี่ยงตัวหลบนิดหนึ่งตามสัญชาตญาณที่ถูกฝึกมาให้มีปฏิกิริยาตอบโต้กับสิ่งผิดปกติ แต่หญิงคนนั้นก็ไม่ลดละความพยายามที่จะยื่นมือออกมาหา และเธอก็เริ่มร้องไห้
“คุณตำรวจคะ สามีฉันอยู่ข้างใน เขาเอาเงินไปฝากในธนาคาร ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย เขาต้องอยู่ข้างในนั้นแน่ๆ”
…ญาติของตัวประกัน…
นี่เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะได้รู้ว่ามีใครอยู่ด้านในบ้าง อาสดาเป็นฝ่ายกระโจนเข้าไปจับข้อมือหญิงสูงวัยคนนั้นไว้เอง
“เชิญมากับผมทางนี้ด้วยครับ”
นอกจากหญิงสูงวัยจะยินยอมตามมาด้วยความเต็มใจแล้ว ผู้ชายอีกคนที่น่าจะเป็นลูกของเธอก็รีบตามมาด้วย อาสดากันคนทั้งคู่ออกจากฝูงชน เขาต้องการสถานที่เงียบสงบสำหรับสอบถามข้อมูลกับญาติของตัวประกันรายนี้
“สิบห้านาทีแล้วรุสก์”
จู่ๆ เสียงกระตุ้นเตือนจากหัสยุทธก็ดังเข้าหู ปารุสก์สะดุ้งทั้งตัวก่อนตอบ
“คร้าบเจ้านาย ตอนนี้ผมได้รับอนุมัติจากฝ่ายไอทีให้เข้าตรวจสอบภาพในกล้องวงจรปิดของธนาคารแล้วครับ แต่ต้องใช้เวลาดาวน์โหลดข้อมูลหน่อย ยืนยันมีพนักงานของธนาคารทั้งหมดเจ็ดคน หญิงห้า ชายสอง ผู้จัดการสาขาชื่อวิรุฬ ประวัติแบบละเอียดยังไม่ได้ส่งมา เมื่อห้านาทีที่แล้วพี่อาสเจอญาติของหนึ่งในตัวประกัน ตอนนี้กำลังสอบปากคำอยู่และอาจจะมีญาติของคนอื่นอีกครับ”
“อืม”
“เจ้านาย…ผมอยากให้พี่วุฒิมาช่วยดูกล้องวงจรปิด ไล่ดูคนเดียวไม่ทันครับ ตอนนี้ล็อกภาพจากกล้องเอกชนห้องริมสุดได้สี่ห้าช็อต มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนร้ายครับ”
“โอเค ขอเจรจารอบสองก่อนแล้วจะปล่อยวุฒิไป”
“ครับผม แล้วเจ้านายจะให้ต่อสายเลยไหม”
“ได้”
“ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ครับ”
ปารุสก์กำลังจะต่อสายเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ แต่เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีแขกอยู่บนรถด้วยอีกคน ชายร่างอวบจึงหันไปคุยกับถวิลก่อน
“เชิญท่านลงจากรถก่อนครับ ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมผมจะเรียกไปอีกครั้ง”
“อ้าว ทำไมไม่ให้ผมอยู่ล่ะ บางทีผมอาจจะช่วยในเรื่องการเจรจาได้นะ”
ปารุสก์ตีหน้าเคร่งแล้วผายมือไปทางประตู “เชิญครับ คนของท่านคงรออยู่ด้านนอก”
ถวิลจ้องมองด้วยความไม่พอใจก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้แล้วเปิดประตูรถตู้ ปารุสก์รอให้ประตูถูกปิดอีกครั้งแล้วจึงเริ่มงานของเขา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม คนในธนาคารต่างหันไปมองเป็นตาเดียว โอ่งยืนอยู่ตรงนั้นในขณะที่ผู้ช่วยของมันยกปืนขึ้นแล้ววาดไปทั่วห้อง ทั้งพนักงานและลูกค้าจึงไม่มีใครกล้าส่งเสียง จากจุดที่วายร้ายยืนอยู่เขาสามารถมองเห็นรถตำรวจซึ่งจอดอยู่เยื้องหน้าธนาคารได้ถนัด แสงด้านนอกเริ่มโรยตัวลงแต่ก็ยังไม่มืด เงาของชายสองคนซึ่งนั่งอยู่ในรถนั้นเขาก็มองเห็น
โอ่งปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังอีกพักแล้วจึงยกหูขึ้นด้วยตัวเอง
“สวัสดี” เสียงของหัสยุทธทักขึ้นก่อน
“ฉันต้องการรถ”
“เดี๋ยวๆๆ คุยกันก่อน นายยิงปืนไปหลายนัด จับคนไว้ตั้งหลายคน”
หัวใจของโอ่งเต้นแรง เขาต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ เขาบอกตัวเองเช่นนั้น “แลกกัน”
“กับอะไร”
“คนเจ็บกับรถกระบะคันหนึ่ง”
เป็นครั้งแรกที่โจรปล้นธนาคารสารภาพกับตำรวจด้วยตัวเองว่ามีคนที่บาดเจ็บอยู่ด้วย
“นายมีคนเจ็บงั้นเหรอ”
โอ่งถอนใจอย่างหงุดหงิด “ใช่”
“นายทำให้คนบริสุทธิ์บาดเจ็บงั้นเหรอ”
“ใช่!”
“นอกจากจะปล้นธนาคารแล้ว นายยังทำให้คนบาดเจ็บด้วย”
“เออ! มึงจะเจรจาไหม!” ความนิ่งของหัสยุทธทำให้มันเริ่มโกรธ “ตอนนี้พนักงานเสียเลือดมาก ถ้ามันตาย กูไม่เกี่ยวนะ เป็นเพราะมึงเองนั่นแหละที่เอาแต่ถามซ้ำไปซ้ำมา”
“ใจเย็นๆ ฉันรู้แล้วว่านายมีคนเจ็บเป็นพนักงานธนาคาร เขามีบาดแผลที่ไหนล่ะ”
“ผู้หญิง…ลูกกระสุนเฉียดแขน มันจะกดสัญญาณเตือนภัย ฉันเลยต้องยิงมัน”
กลยุทธ์บีบคั้นโดยการถามคำถามซ้ำไปซ้ำมาและยื่นบาปให้คนร้ายกำลังได้ผล คนร้ายเริ่มบอกความจริงที่เกิดขึ้นให้รู้ทีละนิด
“โอเคๆ พนักงานหญิงมีบาดแผลที่แขน เสียเลือดไปมาก เธอต้องไปโรงพยาบาลนะ”
“ก็นั่นแหละ เอารถมาแลกสิ”
“พนักงานหนึ่งคนกับรถหนึ่งคัน ฉันว่ามันเป็นการเอาเปรียบกันมากเกินไปหน่อย”
โอ่งยกมืออีกข้างปิดหูโทรศัพท์ไว้แล้วกระซิบบอกลูกน้องของมันเบาๆ
“ไอ้ตุ่น…มันโยกโย้”
ตุ่นหันกลับไปสบตากับลูกพี่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “มันไม่ยอมเหรอพี่ แต่เราไม่มีทางออกอื่นแล้วนะ ข้างบนก็ไม่มีทางหนี”
โอ่งไม่ตอบ แต่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง “งั้นฉันจะยอมปล่อยอีกคน”
ทันทีที่เขาพูดออกไป ตัวประกันในห้องต่างก็ร้องโวยวายขึ้นมาพร้อมกัน เพราะทุกคนอยากเป็นคนที่ถูกเลือกให้ออกไปจากที่นี่พร้อมกับพนักงานหญิงที่บาดเจ็บทั้งนั้น
“เงียบ!” ตุ่นตะคอกพร้อมแกว่งปืนในมือไปมา
โอ่งยกมือขึ้นปิดหูโทรศัพท์อีกครั้ง เมื่อทุกเสียงสงบลงเขาจึงเริ่มการเจรจาใหม่ “คนเจ็บหนึ่งกับแม่บ้านอีกหนึ่ง”
การตัดสินใจของเขาทำให้แม่บ้านร้องไห้โฮด้วยความดีใจ แต่ลูกค้ากับพนักงานอีกหลายคนกลับน้ำตาซึมเพราะความผิดหวัง
“ผู้จัดการสาขา” หัสยุทธเป็นฝ่ายเลือกให้บ้าง แต่การเสนอของนายตำรวจอาจทำให้แม่บ้านยิ่งร้องไห้
“ไม่ได้” โอ่งปฏิเสธเสียงเข้ม “คนอื่น…รปภ.”
เสียงหัสยุทธถอนใจ “รปภ. แก่แล้วใช่ไหม”
“ใช่ กลัวว่ามันจะหัวใจวายตายซะก่อน”
“นี่นาย…นายคิดว่าเรื่องนี้มันจะจบลงยังไง”
โอ่งชะงักไปนิด เขาจ้องมองใบหน้าด้านข้างของตุ่นแล้วกรอกเสียงเรียบๆ ลงไปในโทรศัพท์ “ตกลงไหม”
“เมื่อนายได้รถ นายจะหนีไปอย่างมีความสุขงั้นเหรอ ทั้งที่ตรงนี้มีหน่วยสืบสวนอยู่ประมาณยี่สิบคนกับอาวุธครบมือ”
“ไม่ต้องพูดมาก ว่าไง…ตัวประกันสองคนกับรถกระบะ”
“อีกประมาณชั่วโมงฟ้าจะมืด คนจะเริ่มหิวเพราะถึงเวลาอาหารเย็น บางคนอาจจะต้องการทำธุระส่วนตัว แต่ในนั้นมันมืด ความมืดจะยิ่งทำให้เกิดความเครียด นายควบคุมความรู้สึกของคนทุกคนไว้ไม่ได้หรอก อีกไม่นานเหตุการณ์นี้มันจะจบ แต่ตอนนี้นายมีสิทธิ์เลือกว่าจะให้มันจบลงที่ตรงไหน”
โอ่งกัดฟันกรอด “อีกครึ่งชั่วโมงถ้ากูไม่ได้อย่างที่ขอ ตัวประกันสองคนที่ตกลงกันไว้จะออกไปอย่างไม่มีลมหายใจ”
…กึก…
“ไอ้เวร…” หัสยุทธสบถทันทีที่โทรศัพท์ถูกตัดการสื่อสารไป “สรุปนะ มีคนบาดเจ็บเป็นพนักงานธนาคารหญิงหนึ่งคน คนร้ายต้องการแลกตัวเธอกับรถ หากในครึ่งชั่วโมงมันได้ตามที่ขอ มันจะปล่อยแม่บ้านหรือ รปภ. มาให้ด้วย แล้วเรื่องกล้องว่าไงรุสก์”
“คร้าบ ล็อกภาพได้แล้วครับเจ้านาย ผมเพิ่งเข้าไปดูกล้องของธนาคารได้เมื่อครู่นี้เอง ขอพี่วุฒิมาช่วยดูหน่อยครับ เสียงปืนที่ได้ยินมันแปลกๆ”
“โอเค เดี๋ยวให้วุฒิไป เช็กด้วยว่ารถพยาบาลมาถึงรึยัง”
วุฒิภาศพยักหน้ารับคำสั่งแล้วเตรียมลงจากรถ เขาหันหลังกลับไปสบตากับโอบเกียรติซึ่งยังประจำการอยู่ด้านหลังรถกระบะผ่านกระจก วุฒิภาศทำสัญญาณมือว่าเขากำลังจะลงจากรถ โอบเกียรติพยักหน้ารับก่อนสั่งการให้ลูกน้องอีกคนมาประกบตัววุฒิภาศลงจากรถไป
“มาแล้ว”
วุฒิภาศรายงานตัวง่ายๆ กับคนที่กำลังครอบครองเทคโนโลยีทุกชิ้นบนรถคันนี้อยู่ เขาหยิบเก้าอี้พับสำรองตัวหนึ่งติดมือมาแล้วกางออกตรงตำแหน่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดปรากฏ นาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกำลังนับเวลาถอยหลัง นั่นเป็นเพราะปารุสก์กำลังจับเวลาเส้นตายที่คนร้ายขีดไว้ ชายร่างอวบโหลดทุกอย่างที่สงสัยขึ้นมาบนหน้าจอทุกจอที่มี แต่เขากลับถามเรื่องอื่นก่อน
“เจ้านายจะให้รถไหม”
“ยังไม่ให้อยู่แล้ว ต้องมีการขอเจรจาอีกครั้งก่อนเส้นตาย นายเจออะไร”
“พี่ดูนี่นะ ผู้ชายคนนี้” ภาพบนหน้าจอนิ่ง ปารุสก์ชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง “เขาเข้าไปแล้วไม่ออกมาอีกเลย”
“คนสุดท้ายเหรอ”
“ใช่ คนสุดท้ายที่เข้าไป จากนั้นก็ไม่มีใครเข้าออกจากธนาคารอีกเลย”
“นี่จากกล้องไหน”
“ร้านเครื่องเขียน”
กล้องวงจรปิดจากร้านเครื่องเขียนซึ่งอยู่ติดกับธนาคารให้ภาพที่ไม่คมชัดนัก แต่ก็อยู่ในรัศมีที่ใกล้กว่าโฮมออฟฟิศซึ่งปารุสก์ได้ภาพมาเป็นแห่งแรก
“ถือเป้ด้วยเหรอ”
“อืม มีเป้ แต่ไม่ได้ใส่หมวกหรือแว่นดำ มันก็ไม่ผิดกฎธนาคารืน่ะ รปภ. ก็คงให้เข้าไป”
“ไหนลองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ซิ”
ปารุสก์กำลังจัดการกับเทปตามคำสั่ง ในขณะที่หัสยุทธทักเข้ามาในหูฟังของเจ้าหน้าที่หน่วย NIC อีกครั้ง
“เสียงปืนว่าไง”
“ยังไม่ได้ฟังเลยครับ” วุฒิภาศตอบ
“ช้าไปแล้วนะ”
“กำลังดูภาพอยู่ครับ ได้ภาพคนสุดท้ายที่เข้าไปในธนาคารแล้ว”
“ดี แล้วรถพยาบาลล่ะ”
“อีกห้านาทีถึงครับ” ปารุสก์ตอบแทน เขาเป็นคนแจ้งไปยังหน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลซึ่งอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุที่สุดก่อนวุฒิภาศจะขึ้นมาบนรถตู้
“รักษาเวลาด้วย”
“ครับ”
หัสยุทธเงียบเสียงไป ปารุสก์หันมาสบตากับวุฒิภาศแล้วทำปากขมุบขมิบว่า ‘เกือบไป’ มือของเขากำลังเลื่อนเทปไปช่วงก่อนหน้าที่ชายคนสุดท้ายจะโผล่เข้ามาในกล้อง ไม่นานวุฒิภาศก็ออกคำสั่งอีกครั้ง
“หยุด…หยุดตรงนี้” วุฒิภาศจ้องภาพนั้นอึดใจ “ผู้ชายคนนี้มีซองสีน้ำตาล ซูม”
ปารุสก์ขยายภาพซองสีน้ำตาลซึ่งถูกเหน็บอยู่ใต้รักแร้ของชายคนหนึ่งเข้ามา เขาก็เพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าผู้ชายคนที่ใส่เสื้อลายสก็อตนั้นึถือซองเอกสารอยู่ด้วย
“ซองใส่เงินรึเปล่า”
วุฒิภาศส่ายศีรษะ “รอยยับบนซองไม่ได้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม เล่นเทปต่อซิ”
เทปถูกปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายคนนั้นเดินเข้ามาในรัศมีของกล้องแล้วหยุดยืนหน้าประตูกระจก เขาเลื่อนซองสีน้ำตาลซึ่งเหน็บไว้ใต้รักแร้มาถือไว้ในมือก่อนที่ประตูกระจกจะถูกเปิดออกจากด้านใน แล้วชายคนนั้นก็ผลุบหายเข้าไป
“ดูระยะห่างระหว่างผู้ชายคนที่มีซองเอกสารกับคนที่มีเป้ซิว่าสองคนนี้เข้าไปในธนาคารห่างกันกี่นาที”
ปารุสก์ต้องกลับมาสนใจเรื่องเวลา เขาจับจุดที่ชายคนที่มีซองสีน้ำตาลเหยียบเข้าไปในธนาคารและจุดที่ชายคนซึ่งมีเป้เข้าไปในนั้นเป็นคนสุดท้าย
“สามจุดหนึ่งสองนาที” ปารุสก์สรุป “สองคนนั้นเข้าไปในธนาคารห่างกันสามจุดหนึ่งสองนาที แต่ตอนนี้เราเหลือเวลาสิบเก้านาทีกว่าๆ ก่อนจะถึงเส้นตาย”
“โอเค ใจเย็นๆ ไอ้น้อง ไหนฟังเสียงปืนของนายซิ นายได้ยินเสียงปืนจากกล้องตัวไหน”
“กล้องธนาคารเลยพี่ ผมยังไม่ได้ดู แค่ฟังเสียง”
“อ้าว…”
“ก็บอกแล้วไงว่าดูไม่ทัน นั่งดูเทปของร้านเครื่องเขียนไปแล้วก็เปิดเสียงของเทปธนาคารไปด้วย เพราะเพิ่งได้เทปนี้มาเป็นเทปสุดท้ายก่อนที่พี่จะขึ้นรถมาไม่กี่นาทีเอง”
คราวนี้ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารถูกดึงขึ้นมายังจอด้านหน้าเก้าอี้ของปารุสก์ มันเป็นกล้องหน้าเคาน์เตอร์ที่สามารถมองเห็นด้านหลังของพนักงาน เก้าอี้ลูกค้า และประตูกระจก
“เลื่อนไปเวลาเดียวกันกับที่เราดูภาพจากกล้องร้านเครื่องเขียนเลย”
“ครับ ตั้งแต่บ่ายสามสิบนาทีนะ” ปารุสก์จับเวลาในเทปจากกล้องวงจรปิดในนาทีที่ต้องการได้แล้ว และในที่สุดเขาก็เห็น… “เข้ามาแล้ว คนใส่เสื้อลายสก็อต”
วุฒิภาศจับตาดูจอภาพอย่างตั้งใจไม่ต่างจากปารุสก์ เขายังติดใจเจ้าซองใส่เอกสารสีน้ำตาลที่ถูกพับครึ่งไว้อยู่ ชายใส่เสื้อลายสก็อตวางมันไว้บนเคาน์เตอร์ไม่ห่างตัว มองจากด้านหลังก็เห็นว่าชายคนนั้นกำลังจะเขียนเอกสารสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน
“ดูก็ปกตินะพี่”
วุฒิภาศไม่ตอบ เขายังใจเย็นพอที่จะดูภาพต่อไปเรื่อยๆ ผู้ชายคนนั้นใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่ยังหันหลังให้เคาน์เตอร์ธนาคาร เมื่อเลิกใช้แล้วก็เดินมานั่งที่เก้าอี้รอเรียกคิว คราวนี้สามารถเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้ชัดเจนมากที่สุด แต่ก็เป็นเวลาไม่นานนักเพราะความเคลื่อนไหวในจอถูกดึงความสนใจไปที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์และสุภาพสตรีท่านหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น เร่งเสียงหน่อยซิ”
“เต็มที่ได้แค่นี้แหละพี่ ดูเหมือนลูกค้าจะมีปัญหาอะไรซักอย่าง”
“คนนั้นใคร คนที่กำลังเดินออกมาจากห้อง”
“ป้ายตรงหน้าห้องบอกว่าเป็นผู้จัดการสาขา อย่าเพิ่งสนใจเลย นั่นมาแล้ว…คนถือเป้”
ปารุสก์กำลังจับตามองประตูกระจก ในขณะที่วุฒิภาศกลับสนใจบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นจุดให้บริการ เหตุการณ์ต่อจากนั้นเกิดขึ้นเร็วมากเมื่อชายคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตเดินเข้ามารับบริการ ไม่กี่วินาทีถัดมาเสียงปืนนัดแรกก็ดังขึ้น
…ปัง!…
“เฮ้ย!” ปารุสก์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปืน รู้ทันทีว่าตนเองจับตามองผิดคน
“มันยิงพนักงานก่อน”
…ปัง!…
ภาพในจอดับลงทันที
“แล้วนัดที่สองก็กล้องวงจรปิด”
ปารุสก์หันมาจ้องใบหน้าด้านข้างของวุฒิภาศ “อัจฉริยะ…พี่รู้ได้ยังไงว่าไอ้สองคนนี้มันมาด้วยกัน”
“ไม่รู้ แค่เดาจากท่าทางของมัน นายมีภาพแค่นี้เหรอ”
“ครับ”
“พยายามแค็ปหน้าคนร้ายออกมาให้ได้ภาพที่ชัดที่สุด”
“รับทราบ”
“เดี๋ยวฉันจะกลับไปรายงานหัวหน้าเอง” วุฒิภาศจ้องมองจอนิ่งแล้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเลือกคำตอบไว้ให้หัสยุทธ “ปืนประกอบขึ้นเอง”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments