X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ

ทดลองอ่านนิยาย เจรจา-ต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 4

 

วุฒิภาศลงจากรถตู้มาตามลำพัง เขาปล่อยให้ปารุสก์ทำงานต่อด้านใน ทันทีที่เหยียบถึงพื้น ชายคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาทักเขา

“ว่าไง มันยอมปล่อยตัวประกันรึยัง”

คนถูกถามชะงักเพราะไม่รู้ว่าชายคนนี้คือใคร วุฒิภาศยังไม่ตอบ อีกฝ่ายคงจะรู้ตัวว่าตนเองผลีผลามเกินไปจึงรีบแนะนำตัวก่อน

“ผมเป็นผู้จัดการเขตของธนาคาร”

“อ้อ ครับ”

วุฒิภาศรับทราบแล้วทำท่าจะผละออกไปทันที แต่กลับถูกขัดขวางโดยการดึงข้อศอกไว้

“ผมถาม คุณยังไม่ตอบ”

“เรากำลังดำเนินการอยู่ครับ ถ้าคุณจะช่วย…กรุณาปล่อยผมให้ทำหน้าที่ แล้วผมขอประวัติพนักงานทุกคนในธนาคารอย่างละเอียดด้วยครับ พวกเขาทำงานมาแล้วกี่ปี แต่งงานรึยัง มีลูกกี่คน ผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง มีใครที่มีปัญหาเรื่องการเงินรึเปล่า ความขัดแย้งภายในสาขามีมั้ย…”

ถวิลอ้าปากหวอ เขาค่อยๆ ปล่อยมือจากข้อศอกของวุฒิภาศ ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นอีกครั้ง

“รบกวนด่วนด้วยครับ”

คนในทีม NIC พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน ถวิลรู้สึกอย่างนั้น ไม่มีใครบอกเขาว่าทำไมรายชื่อและประวัติของพนักงานธนาคารในสาขาจึงมีความสำคัญหรือจำเป็นต่อการช่วยชีวิตพนักงานออกมาจากสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นนัก แต่ทุกคนเอาแต่สั่งๆๆ ให้เขาต้องหาคำตอบมาให้ได้

 

วุฒิภาศกำลังจะมุ่งหน้าไปยังรถกระบะซึ่งมีหัสยุทธนั่งรออยู่ พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่วิ่งเข้ามาใกล้สถานที่เกิดเหตุพอดี นายตำรวจหนุ่มแค่รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว เขาไม่ได้หยุดรอใครหรือสิ่งใด ขณะนี้สิ่งที่เขารับรู้จำเป็นต้องถูกรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

แสงแดดอ่อนตัวแรงอีก แต่ผู้คนซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกกลับเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างหนาตา โอบเกียรติเข้ามาประกบตัววุฒิภาศแล้วพาเขาไปส่งยังรถกระบะ ดูเหมือนทางตำรวจสืบสวนสอบสวนเองก็เครียดไม่น้อย

“จะค่ำแล้ว ผมไม่ชอบ” โอบเกียรติพูดขณะที่เดินไปด้วยกัน

“ไม่มีใครชอบหรอกครับ ต้องมีการเจรจาอีกรอบก่อนเส้นตาย”

“ผมบอกเจ้าหัสไปแล้วว่ามีทางเดียวที่ตำรวจพอจะบุกเข้าไปได้คือหลังคา หากจำเป็น…เราจะขึ้นไปที่ดาดฟ้าตึกแล้วให้หน่วยสวาทโรยตัวลงมา มีหน้าต่างอยู่สองช่องที่พอจะพังเข้าไปได้”

“ขอบคุณครับ”

วุฒิภาศกลับมานั่งตำแหน่งเดิมบนรถกระบะอีกครั้ง ตอนนี้หัสยุทธมีกระดาษหลายแผ่นวางพิงไว้กับพวงมาลัยรถ บนนั้นมีการวาดแผนผังอาคารคร่าวๆ ไว้ด้วย เมื่อวุฒิภาศนั่งเรียบร้อยแล้วก็เริ่มรายงานทันที

“ปืนประกอบเองครับ กระบอกปืนเป็นโลหะทรงกลมคล้ายท่อเหล็ก เสียงที่รุสก์บอกว่าแปลกๆ น่าจะเป็นเพราะเขาไม่เคยได้ยินเสียงปืนที่ประกอบขึ้นเองมาก่อน”

“เอาปืนประกอบเองมาปล้นธนาคารเหรอ”

“ครับ แล้วในกล้องวงจรปิดมีภาพของผู้ต้องสงสัยสองคน”

“สองคน?” หัสยุทธหยุดลากเส้นบนแผนผังของเขา “ปืนกี่กระบอก”

“เท่าที่เห็นจากกล้องวงจรปิดมีคนละกระบอกครับ”

“ได้ประวัติของพนักงานรึยัง”

“ยังครับ ผมกำชับกับผู้จัดการเขตไปแล้ว ตอนนี้รุสก์กำลังแคปภาพคนร้ายออกมา แล้วรถพยาบาลก็มาถึงแล้วครับ”

“อีกกี่นาที” จู่ๆ หัสยุทธก็ถามเรื่องเวลาขึ้น และคนที่ตอบก็คือปารุสก์

“สิบจุดห้าสองนาทีครับ”

“โอเค ให้รถพยาบาลสแตนด์บาย ถ้าเรียกแล้วให้เข้ามาจอดหน้ารถตำรวจทันที”

“รับทราบครับ”

หัสยุทธยื่นหน้าออกมาทางหน้าต่างที่เปิดกระจกไว้แล้วตะโกนบอกโอบเกียรติ “จะเจรจาอีกรอบ มีความเป็นไปได้ว่ามีคนร้ายสองคน พวกมันใช้ปืนประกอบเอง รัศมีของกระสุนไม่น่าไกลมาก แต่ก็อย่าประมาท หลังจากนี้อาจจะเรียกรถพยาบาลเข้า นายคอยเคลียร์เส้นทางด้วยแล้วกัน”

“เออ”

หัสยุทธพูดกับเครื่องรับสัญญาณของเขา “ต่อสายเลยรุสก์”

“ครับ เจ้านาย”

 

เสียงโทรศัพท์ในธนาคารดังขึ้นอีกครั้ง โอ่งหันไปดูนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝาผนังทันที เวลาที่เขาเป็นคนกำหนดนั้นยังไม่หมด โจรปล้นธนาคารจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา มันหันไปมองหน้าลูกน้องซึ่งตอนนี้ออกจะขาวซีด

“ไม่รับเหรอพี่”

“มันยังไม่ถึงเวลา”

“พวกมันอาจจะมีอะไรบอกเรา”

“เราต้องเป็นคนตั้งกฎ ไม่ใช่ตำรวจ”

“แต่…”

โอ่งตวัดสายตาจ้องมองตุ่นคล้ายกับต้องการสะกดให้เชื่อฟัง และมันก็ได้ผลเมื่อคนเป็นลูกน้องไม่โต้แย้งอะไรอีก แต่คนที่ทนต่อไปไม่ได้กลับเป็นผู้จัดการสาขา

“รับสิ เผื่อตำรวจจะมีข้อเสนอดีๆ มาให้พวกนาย”

“หุบปาก! พวกกูไม่ได้ถาม”

ตุ่นตวาดแล้วโบกปืนในมือไปมา ตัวประกันต่างหวีดร้องแล้วขดตัวแน่น

“ก็ได้ กูจะรับ” โอ่งบอก

“อ้าว ทำไมพี่ต้องเชื่อมันด้วย มันเป็นผู้จัดการ มันอาจจะเล่นตุกติกร่วมมือกับตำรวจได้นะ”

“มันทำอะไรไม่ได้หรอกน่า เอ็งมัดมันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

ตุ่นเริ่มเห็นด้วย เขาจึงเงียบไป โอ่งรอให้เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกสองครั้งจึงรับ แต่เขาไม่ได้กรอกเสียงลงไป กลับรอให้ฝ่ายตรงข้ามพูดขึ้นมาก่อน

“รถพยาบาลมาถึงแล้ว เราต้องให้คนเจ็บได้รับการรักษาด่วน”

“แล้วรถกระบะที่ขอล่ะ ถ้ารถกระบะไม่มาก็อย่าหวังว่ากูจะให้คนออกไป”

“ฉันว่าถ้ารอนานกว่านี้คนเจ็บจะไม่รอดนะ แล้วจากคดีปล้นมันจะกลายเป็นฆ่าคนโดยเจตนาด้วย”

หัสยุทธได้ยินเพียงความเงียบ เขารู้สึกถึงความคิดที่วิ่งวนในสมองของคนร้ายแม้จะอยู่ห่างกันหลายเมตร เขารู้ดีว่าคนร้ายทุกคนต่างก็พยายามหาทางรอดของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครอยากตาย…ถ้าพวกมันยังมีสติดีอยู่

นานเกือบนาทีในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับ

“แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าตำรวจจะเอารถมาให้จริง”

“นายเห็นรถตำรวจที่จอดเยื้องหน้าธนาคารไหม”

โอ่งขยับตัวออกจากเคาน์เตอร์นิดหนึ่งแล้วมองผ่านกระจก เขาเห็นรถคันเดิมที่จอดนิ่งอยู่นานแล้ว

“เห็น”

“ถ้าส่งมอบตัวประกันครบทุกคนเสร็จ นายก็เอาคันนี้ไปเลย”

“เฮ้ย!”

เสียงโอบเกียรติดังมาจากทางด้านหลังรถกระบะ เขาแอบฟังอยู่และนึกอยากจะเตะหัสยุทธขึ้นมาทันที

“แต่ตอนคุยกัน ฉันไม่ได้บอกว่าจะปล่อยตัวประกันทุกคน”

“แล้วนายจะทำอะไรกับพวกเขา เอาพวกเขาไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าตำรวจจะไม่ตามจับตายนายงั้นเหรอ”

โอ่งเงียบอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องใช้ความคิด สายตาเหลือบไปมองผู้จัดการสาขาที่ตอนนี้เริ่มขยุกขยิก เพราะปมเชือกที่มัดข้อมือไว้ทำให้ผู้จัดการสาขารู้สึกอึดอัด

“ขอเวลาคิดก่อน” เขาพูดออกมาในที่สุด

“ได้ แต่ตอนนี้นายต้องส่งคนเจ็บออกมาก่อน เวลาทุกนาทีสำคัญกับเธอนะ”

“ยังไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า”

แต่ริมฝีปากที่ซีดเซียวและดวงตาที่หรี่ลงจนแทบจะลืมไม่ขึ้นของคนเจ็บก็ทำให้เจ้าวายร้ายเริ่มไม่มั่นใจในคำพูดของตนเองเช่นกัน

“ฉันจะเป็นคนเข้าไปรับคนเจ็บเอง ตกลงไหม” หัสยุทธเริ่มรุกขึ้นไปอีกขั้น

“ไม่ ไม่ต้องเข้ามา ฉันจะส่งมันออกไปพร้อมแม่บ้านกับ รปภ.”

เป็นการตัดสินใจใหม่ ณ ขณะนั้น เพราะด้วยสภาพของคนเจ็บแล้วโอ่งคิดว่าเธอไม่สามารถเดินออกไปได้ด้วยตัวเองแน่ และแม่บ้านหรือ รปภ. คนใดคนหนึ่งก็คงจะรับน้ำหนักที่ต้องประคองเธอไม่ไหว เขาต้องการให้สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นอยู่ในการควบคุม

การตัดสินใจของคนร้ายก็ทำให้หัสยุทธเอะใจเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้พูดอะไรถึงมัน

“ไม่มีการยิงสวนออกมา รับปากอย่างลูกผู้ชาย เพราะถ้านายผิดคำสัญญา หน่วยจู่โจมคงไม่ยอมแน่…ตกลงไหม”

“ตกลง ถ้าตำรวจจะไม่เข้ามาใกล้ธนาคารเกินสามเมตร”

“โอเค ฉันจะเรียกรถพยาบาลเข้ามาจอดหน้าธนาคาร นายปล่อยคนเจ็บกับตัวประกันอีกสองคนออกมา” หัสยุทธรีบตอบรับ เขาไม่แย้งเลยว่าคนร้ายได้ปล่อยตัวประกันจำนวนมากกว่าที่เคยตกลงกันไว้

“ได้”

โอ่งวางหูโทรศัพท์ลงทันที ส่วนหัสยุทธก็เริ่มออกคำสั่ง

“มันเปลี่ยนใจปล่อยตัวประกันเพิ่มอีกหนึ่ง น่าจะเป็นคนแก่ทั้งคู่ คาดว่าสภาพของคนเจ็บคงแย่มาก ให้รถพยาบาลเข้ามาจอดหน้ารถกระบะได้ ถอยหลังเข้ามานะ แล้วให้อาสขึ้นมาในรถด้วย”

“รับทราบครับ”

ปารุสก์ติดต่ออาสดาไปยังเครื่องรับสัญญาณของเขาเพื่อย้ำคำสั่งอีกครั้งทันที

“รู้ไหมว่าทำไมมันพูดถึงระยะสามเมตรที่ไม่ยอมให้เราเข้าใกล้”

“ถ้าใกล้กว่านั้นมันจะรู้สึกไม่ปลอดภัยเหรอครับ” วุฒิภาศตอบในลักษณะของการถามกลับ

“อาจจะใช่ มันคงเป็นระยะที่ผู้ร้ายรู้สึกปลอดภัยถ้าตำรวจจะอยู่ห่างมันสามเมตร แต่มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือตัวเลขนี้อาจจะอยู่ในจิตใต้สำนึกของมัน ในเวลาที่ถูกบีบให้ตัดสินใจมันจึงพูดออกมา”

“สามเมตร…” วุฒิภาศพยายามคิดว่าระยะสามเมตรหรือเลขสามนั้นจะมีความสำคัญอย่างไรบ้าง ไม่นานเขาก็ทำตาโต “ระยะที่ทรงประสิทธิภาพของปืนเหรอครับ”

หัสยุทธยิ้มมุมปากนิดเดียว “ถูก ปืนของพวกมันอาจจะทำงานได้ดีในระยะนั้น ห่างไปกว่านั้นมันจะไม่ควบคุมทิศทางตามที่ต้องการไม่ได้”

“แต่…แล้วทำไมมันไม่อยากให้เราเข้าไปล่ะครับ ถ้าเข้าไปใกล้มันจะยิงได้ถนัดกว่าไม่ใช่เหรอ ผมไม่เข้าใจ”

“พวกมันไม่ได้อยากยิงตำรวจหรอก นั่นเป็นระยะที่มันคิดจะควบคุมตัวประกันต่างหาก”

“หัวหน้าคิดอย่างนั้นเหรอครับ”

“อืม งานนี้มันพกปืนประกอบขึ้นเองมาปล้น นายคิดว่ามันจะกล้าดวลปืนกับตำรวจงั้นเหรอ ดูท่าทางเหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่พวกมันวางแผนไว้ ตอนนี้เลยเป็นการตกกะไดพลอยโจนไปแล้ว จากการเจรจาเมื่อครู่มันคงกำลังรู้สึกเสียเปรียบเราอยู่ คราวนี้ก็ได้แต่รอให้เราพลาดเพื่อที่จะตอบโต้กลับ จากนั้นมันก็จะโยนความผิดให้เราทันทีว่าทุกการกระทำของมันเป็นผลมาจากการผิดสัญญาของเรา เพราะฉะนั้นต้องระวังทุกฝีก้าว ฟ้ามืดลงทุกที…”

หัสยุทธเห็นรถพยาบาลกำลังกลับรถหันด้านหลังมาทางเขา และคนขับก็ค่อยๆ เคลื่อนมันมาจอดด้านหน้ารถกระบะ

“บอกอาสให้คนขับรถพยาบาลปิดไฟให้หมด”

ไม่ถึงห้าวินาทีรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็ปิดไฟหน้าและไฟเหนือหลังคารถ เหลือเพียงไฟถอยหลังเท่านั้นที่ยังส่องแสงสีแดงนำทางอยู่ เมื่อรถฉุกเฉินมาจอดปิดด้านหน้ารถกระบะเรียบร้อยแล้ว หัสยุทธก็ลงจากรถเป็นครั้งแรก เขาเดินไปที่ประตูคนขับซึ่งตอนนี้ถูกเลื่อนกระจกลงช้าๆ อาสดานั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างคนขับรถนั่นเอง

“มันจะปล่อยคนเจ็บมาพร้อมตัวประกันอีกสองคน ไม่ต้องให้ใครเดินออกไปรับ รออยู่ที่รถจนกว่าตัวประกันทุกคนจะเดินมาถึง พาพวกเขาขึ้นรถแล้วพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล อาส…”

“ครับ”

“นายตามไปโรงพยาบาลด้วย แล้วสอบสวนตัวประกันอีกสองคนได้เลย”

“ครับผม”

หัสยุทธพยักหน้า เขากำลังจะเดินกลับขึ้นรถอีกครั้ง แต่โอบเกียรติกระโดดลงจากกระบะหลังมาดักทางเขาไว้เสียก่อน

“นายเชื่อใจพวกนั้นได้ไงว่ามันจะไม่ยิงสวนออกมา”

“ถ้านายไม่เชื่อก็เล็งปืนรอได้เลย แต่ฉันว่าไม่คุ้ม เพราะถ้านายยิงเข้าไปอาจโดนตัวประกันคนอื่นได้”

โอบเกียรติถอนใจ เขาไม่ได้กลับขึ้นไปประจำบนตำแหน่งเดิม กลับรออยู่ด้านหน้ารถกระบะเพื่อมองทะลุกระจกรถพยาบาลไปยังประตูของธนาคาร ส่วนหัสยุทธยื่นหน้าเข้าไปในรถกระบะเพื่อคุยกับวุฒิภาศอีกครั้ง

“ถ้าพวกมันมีความมั่นใจว่าจะปล้นธนาคารได้ด้วยปืนที่ประกอบขึ้นเอง นายคิดว่ามันจะเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน”

สายตาของวุฒิภาศมุ่งมั่นก่อนตอบ “คนในธนาคารครับ”

“อืม หาให้เจอว่าเป็นใคร”

 

คนในธนาคารต่างก็เห็นแล้วว่าด้านหน้ามีรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลจอดรออยู่ ดวงตาของตัวประกันทุกคนมีความหวังว่าตนจะได้ออกไปจากที่นี่ แต่ดูเหมือนคนที่มีหน้าที่ตัดสินใจว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไรไม่ได้คิดเช่นนั้น โอ่งไม่ชอบใจเลยที่มองไม่เห็นรถกระบะอยู่ในสายตาแล้ว ตุ่นขยับมาใกล้หัวหน้าของมันแล้วถามเบาๆ

“มันจะทำอะไร”

“แบบนี้เราจะขึ้นรถลำบาก ต้องให้ตำรวจเอารถกระบะมาจอดหน้ารถพยาบาล แล้วเราจะออกไปพร้อมคนเจ็บกับตัวประกันตามที่ตกลงกับมันไว้”

“พี่คิดอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ เอ็งไปพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้นซิ”

“จ้ะ”

ตุ่นเหน็บปืนของตัวเองไว้ที่ขอบกางเกงยีนแล้วเดินไปที่กลุ่มตัวประกัน ส่วนโอ่งเดินเข้าไปที่เก้าอี้แล้วปลดพันธนาการของ รปภ. และแม่บ้านออก คนทั้งคู่ตัวสั่นระริกและคงไม่คิดจะต่อสู้ ต่างก็คลำข้อมือของตนเองเพื่อสำรวจรอยบาดของกุญแจมือ

“มานี่”

โอ่งกวักมือเรียกคนทั้งคู่ให้เดินออกมาจากกลุ่ม แม่บ้านดูจะหวาดกลัวมากกว่าคนเจ็บและ รปภ. เมื่อตุ่นพยุงพนักงานหญิงให้ยืนขึ้นและกึ่งประคองกึ่งลากมาตรงกลางห้องเพื่อสมทบกับโอ่งและตัวประกันอีกสองคนแล้ว มันจึงหยิบปืนที่เหน็บไว้ขึ้นมาถือเหมือนเดิม

“มาแล้วพี่ ท่าทางจะไม่ไหว”

“ให้แม่บ้านกับ รปภ. พยุงคนเจ็บไว้ แล้วเอ็งไปเอาผู้หญิงคนนั้นมา เราจะพาขึ้นรถไปด้วยกัน”

โอ่งชี้มือไปทางสุภาพสตรีคนเดิมที่มันเคยพาเธอหนีไปทางด้านหลังของธนาคาร หญิงคนนั้นหันมองคนรอบข้างคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครสบตากับเธอเลยนอกจากผู้จัดการสาขา วิรุฬถูกมัดติดกับเธอ ดังนั้นเมื่อตุ่นจะแกะเชือกก็จำเป็นต้องแกะปมที่ผูกคนทั้งคู่ออกด้วย

“เอาฉันไปแทน” วิรุฬพูด

“ไม่! แกไม่มีสิทธิ์ต่อรอง” โอ่งขู่

แล้วในจังหวะที่เชือกถูกปลด วิรุฬก็คลั่งขึ้นมาอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนแล้วโถมตัวเข้าหาโอ่ง ตุ่นตกใจจนเกือบจะลั่นไกใส่เขา แต่ในเสี้ยววินาทีที่วิรุฬไปถึงตัวโอ่ง มันก็ใช้แขนตวัดล็อกคอเขาได้ทันท่วงที

“อย่าเพิ่งยิง! เปลืองกระสุน”

“พี่ไหวไหม” ตุ่นถาม

“ไหว เอ็งคุมคนไว้ ใครตุกติกยิงแม่ง เดี๋ยวกูจะเอาไอ้นี่ไปจัดการให้มันเชื่องก่อน”

พูดจบแล้วโอ่งก็ลากตัวผู้จัดการสาขาร่างอ้วนเข้าไปด้านหลังตรงบริเวณห้องครัว เสียงพนักงานธนาคารร้องลั่นเพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายผู้จัดการของตน แต่โอ่งไม่สนใจ เมื่อลากวิรุฬไปถึงห้องน้ำแล้วมันก็ปิดประตู ไฟในห้องน้ำถูกเปิดขึ้น แขนแข็งแกร่งปล่อยลำคออวบนั้นให้เป็นอิสระ ใบหน้าที่มีเลือดแห้งเกรอะกรังซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกมองตรงมายังเงาสะท้อนที่อยู่ด้านหลังของเขา

“มึงผิดสัญญาทุกอย่าง ไอ้ห่า…”

คนด้านหลังซึ่งสูงกว่ายืนนิ่ง แววตาไม่อ่อนลงแต่ก็ไม่กร้าวเหมือนเมื่อตอนอยู่ด้านหน้าธนาคาร

“มึงปล่อยให้ลูกน้องมึงทำร้ายกู”

“มันเลยเถิดน่า ฉันห้ามไม่ทัน ก็นายบอกเองว่าไม่ให้ฉันบอกลูกน้องเรื่องนี้”

“แล้วมึงว่าคนอย่างไอ้นั่นมันจะเก็บความลับได้ไหม” วิรุฬกัดฟันพูดแล้วเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างคราบเลือดอย่างลวกๆ “มึงทำให้เรื่องมันบานปลายแล้วจะทิ้งกูไปง่ายๆ ไม่ได้ พวกมึงต้องเอากูไปด้วย แล้วค่อยไปปล่อยไว้ที่ไหนก็ได้ กูจะเบี่ยงเบนความสนใจของตำรวจให้เอง”

โอ่งพยักหน้าช้าๆ

“แล้วถ้ามีใครสักคนต้องตาย” วิรุฬถ่มน้ำลายลงไปในอ่าง กลิ่นคาวเลือดติดอยู่ในปากเขา มันคงมีบาดแผลสักแห่งในนั้น “ก็ต้องเป็นลูกน้องมึง”

ดวงตาที่เคยกร้าวไหวระริก แต่มันก็เป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว เขารับทำงานใหญ่นี้มาแล้วไม่มีทางที่จะถอยกลับ

 

ชายสองคนออกมาจากทางด้านหลังของธนาคารด้วยสภาพที่ฝ่ายหนึ่งโดนหิ้ว เนื้อตัวเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจนถึงกลางหลัง เสื้อเชิ้ตสีขาวลู่ติดลำตัว คอของวิรุฬห้อยพับแต่เขายังไม่หมดสติ ตัวประกันในห้องโถงต่างร้องคราง

“พี่ทำอะไรมันน่ะ” ตุ่นถามเสียงสั่น

“ให้มันหายใจในน้ำนิดหน่อย คราวนี้ไม่กล้าหือกับเราแล้ว นั่งตรงนี้อย่าคิดจะทำอะไรอีกนะมึง”

โอ่งขู่ก่อนจะผลักร่างอวบของตัวประกันให้ลงนั่งบนเก้าอี้แถวแรก พนักงานํธนาคารร้องเรียกชื่อของวิรุฬเพื่อให้แน่ใจว่าเขายังมีสติดีอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง โอ่งรู้ดีว่าตำรวจกำลังรอให้มีการแลกเปลี่ยนตัวประกันเกิดขึ้น เขาพยักหน้าให้ลูกน้องเพื่อให้ตุ่นควบคุมพนักงานที่บาดเจ็บให้ยืนขึ้นพร้อมกับแม่บ้านและ รปภ. เมื่อทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่พวกมันพอใจแล้วโอ่งจึงรับสาย

“เมื่อไรนายจะส่งตัวประกันออกมา” หัสยุทธเปิดฉากถามก่อน

“ไม่ จนกว่ารถกระบะจะมาจอดใกล้หน้าธนาคารมากกว่านี้ ให้คนขับรถมาจอดหน้าประตู ติดเครื่องยนต์ไว้ แล้วก็ลงจากรถ ถ้าไม่ทำตามที่สั่งก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้ตัวประกัน”

หัสยุทธกระดิกนิ้วให้สัญญาณวุฒิภาศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พวกเขารู้กันเพียงสองคน วุฒิภาศลงจากรถทันที แล้วส่งสัญญาณบอกอาสดาที่นั่งอยู่บนรถตู้ต่อ จากนั้นเขาก็เรียกโอบเกียรติมาคุย

“ว่าไง” โอบเกียรติถาม

“มันจะหนีแล้ว มันจะปิดการเจรจาแค่นี้ครับ”

“งั้นตัวประกันที่เหลือล่ะ”

“มีความเป็นไปได้หลายทาง ถ้าทุกคนไม่ถูกควบคุมไว้ก็อาจจะตายแล้ว”

“ตั้งหลายคนเนี่ยนะ”

“หากมันปิดการเจรจาในที่เกิดเหตุ แสดงว่ามันต้องหาทางหนีทีไล่ที่มีตัวประกันไปด้วย เพื่อรับรองว่าตัวเองจะปลอดภัยจนกว่าจะพ้นรัศมีการติดตามของตำรวจ”

“งั้นจะเป็นใครก็ได้สิ”

“ใช่ครับ อาจจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”

โอบเกียรติกำลังใช้ความคิด แล้ววิทยุตำรวจซึ่งเหน็บไว้ข้างสะโพกของเขาก็ส่งเสียงเรียก นายตำรวจร่างใหญ่รีบรับแล้วสื่อสารทันที วุฒิภาศกำลังจะกลับไปประจำที่ของตนแต่โอบเกียรติก็หยุดเขาไว้ก่อน

“คนของผมแจ้งว่าตอนนี้มีญาติของตัวประกันมารายงานตัวแล้วสามคน”

“สามคน…ถ้ารวมกับพนักงานเจ็ดคนก็เป็นสิบ เรามีตัวประกันอยู่ในนั้นไม่ต่ำกว่าสิบ” วุฒิภาศทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนพูดเบาๆ “ผมไม่คิดว่ามันจะฆ่าคนทั้งหมดได้หรอก”

“งั้นก็ต้องเตรียมบุกแล้ว” โอบเกียรติสั่งให้ลูกน้องของตนพร้อมจู่โจมทุกวินาที

 

กลับมาที่การเจรจาอีกครั้ง ดูเหมือนหัสยุทธจะยอมจำนนต่อความต้องการของผู้ร้าย เนื่องจากมันให้ผู้จัดการสาขามาพูดกับเขาเป็นครั้งที่สอง น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นไม่สู้ดีนัก และคงยังยืนยันว่ารถกระบะของตำรวจต้องจอดอยู่หน้าประตูธนาคารเท่านั้น

หัสยุทธครุ่นคิดเพียงลำพัง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขารู้ดีว่าในสถานที่เกิดเหตุมักจะเกิดความเครียดได้ง่าย และการที่คนถืออาวุธไว้ในมือเกิดความเครียดแบบสะสมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย หากคนร้ายต้องการจะจบการเจรจาจริง เขาก็ต้องเพิ่มความมั่นใจว่าตำรวจจะสามารถทำงานต่อได้ เพราะเรื่องมันจะต้องไม่จบลงตรงที่ผู้ร้ายสามารถหนีไปได้อย่างลอยนวล

“เอาล่ะ ตกลง ฉันจะเป็นคนขับรถกระบะไปจอดหน้าธนาคารเอง”

“ติดเครื่องไว้ ลงจากรถไปให้ห่างมากที่สุด แล้วการปล่อยตัวประกันถึงจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น”

“โอเค” หัสยุทธวางสายลง เขาเริ่มพูดกับปารุสก์อีกครั้ง “ฉันจะทิ้งเครื่องมือสื่อสารของนายไว้ในรถ จับสัญญาณไว้ให้ดีนะ”

“ครับเจ้านาย”

“เตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่อยู่รอบสถานที่ให้เตรียมตัวให้พร้อม หากผู้ร้ายพาตัวประกันออกจากพื้นที่ได้สำเร็จต้องมีการติดตามอย่างเร่งด่วน”

ปารุสก์รับคำสั่ง หัสยุทธจึงเริ่มดึงเครื่องมือสื่อสารที่ติดตัวเขาออก แต่ไม่ได้ปิดการรับส่งสัญญาณ โอบเกียรติเดินเข้ามาเกาะขอบหน้าต่างฝั่งคนขับเพื่อวางแผนร่วมกันกับหัสยุทธ

“ฉันสั่งให้ลูกน้องเตรียมการแล้วนะ ทีมแรกจะอยู่กับนาย ทีมที่สองจะบุกเข้าไปทางด้านหลังของธนาคารทันทีที่คนร้ายเดินออกมา ส่วนทีมสุดท้ายรออยู่ในรถอีกคันแล้ว ถ้าคนร้ายออกจากตรงนี้เมื่อไรพวกนั้นก็พร้อมติดตามทันที”

“อืม”

โอบเกียรตินึกหมั่นไส้ เขาอุตส่าห์พูดตั้งยาว แต่อีกฝ่ายครางอืมออกมาแค่คำเดียว หัสยุทธกำลังซุกเครื่องมือลงใต้เบาะนั่งข้างคนขับ เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็ลงจากรถอีกครั้ง

“วิญญูหามุมยิงได้แล้ว ถ้าจำเป็น…”

หัสยุทธหันมาสบตาเพื่อนร่วมงานด้วยใบหน้าเรียบเฉย

 

ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟ อาคาร ป้ายโฆษณา และรถราบนท้องถนนเท่านั้น ภายในธนาคารก็ยังคงมืดสนิท แม้แต่แสงจากหน้าจอโทรทัศน์ที่เคยกะพริบผ่านกระจกให้เห็นตอนค่ำก็ถูกคนด้านในปิดไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

หัสยุทธยืนขึ้นเต็มตัว เขาสูงไล่เลี่ยกับโอบเกียรติแต่ตัวไม่หนาเท่า สีหน้าท่าทางของเขาดูเย็นชาไม่ค่อยแสดงอารมณ์นัก นักเจรจาต่อรองของกรมตำรวจกระดิกนิ้วเรียกลูกน้องของตนและลูกน้องของโอบเกียรติที่อยู่รอบๆ รถกระบะมารวมตัวกัน เขาพยายามจะยืนใกล้ๆ กับคนขับรถฉุกเฉินเพื่อให้อาสดาได้ยินแผนการต่อไปด้วย

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้ร้ายน่าจะมีด้วยกันสองคน มันต้องการรถ ฉะนั้นก็รับประกันได้เลยว่ามันจะหยุดเจรจาทันทีเมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการ จากข้อมูลที่พยายามรวบรวมมาทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะมีตัวประกันอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคน หนึ่งในนั้นบาดเจ็บและกำลังจะออกมาพร้อมกับ รปภ. และแม่บ้าน พวกมันคงตั้งใจจะใช้สามคนนี้เป็นโล่ มันเพิ่งออกคำสั่งให้ตำรวจเอารถกระบะไปจอดหน้าธนาคาร ถ้าไม่ทำ มันจะไม่ปล่อยใครออกมาเลย”

โอบเกียรติขมวดคิ้วแน่น “แสดงว่าจะหนีแน่”

“ใช่ มันจะขึ้นรถก่อนแน่นอน แล้วคาดว่าจะเอาตัวประกันคนอื่นไปด้วย คงต้องให้หน่วยของนายรับมือต่อ ฉันจะพยายามเจรจาจนถึงที่สุด ถ้าหยุดมันไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันเอารถไป”

“แล้วเรื่องอาวุธล่ะ ฉันควรระวังอะไรบ้าง”

“จากกล้องวงจรปิดวุฒิบอกว่าน่าจะเป็นปืนประกอบขึ้นเอง”

“ถ้าเป็นเหมือนปืนปากกา มันก็ต้องใส่กระสุนทีละนัด”

“อืม เป็นโชคดีของเรา มันคงไม่ยิงมั่วแน่ แต่ถ้ามันมีตัวประกันอยู่ด้วย เราก็ไม่ควรเสี่ยงให้มันใช้ปืนอยู่ดี มีอะไรจะถามอีกไหม” หัสยุทธ์กวาดสายตามองทุกคน “ถ้าไม่มีก็เริ่มทำงานกัน”

โอบเกียรติตบบ่าหัสยุทธครั้งหนึ่งแล้วหันไปสั่งงานลูกน้องของเขา ได้ยินแว่วๆ ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแบ็คอัพให้หัสยุทธสามนาย และแน่นอนว่าทุกนายมีสิทธิ์ที่จะใช้อาวุธปืนทันทีที่มีความจำเป็น

การทำงานระหว่างทีมของโอบเกียรติกับหัสยุทธไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก นอกจากการปฏิบัติงานภาคสนามที่เกิดขึ้นจริงหลายครั้งแล้ว การฝึกหลายรูปแบบพวกเขาก็เคยผ่านมาด้วยกัน เพราะฉะนั้นแทบจะไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมานอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้าหัสยุทธอยู่ข้างหน้า โอบเกียรติต้องประกบด้านหลัง และถ้าหัสยุทธไร้ซึ่งอาวุธ โอบเกียรติต้องมั่นใจว่าเขามีคนมากกว่าคนร้ายหลายเท่าเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมงานของเขา

 

หัสยุทธตรวจสอบเสื้อกันกระสุนของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย บรรยากาศด้านนอกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเมื่อหน่วยจู่โจมของโอบเกียรติพร้อมอาวุธครบมือมายืนประจำจุดของตน ผู้คนด้านนอกธนาคารสามารถมองเห็นพวกเขาได้ง่ายกว่าคนที่อยู่ด้านใน ตอนนี้หน้าอาคารพาณิชย์ห้องอื่นต่างก็มีตำรวจซุ่มอยู่ ดวงไฟถูกเปิดไม่มากนัก ทั้งนี้เพื่อต้องการพรางสายตาจากคนร้าย ฝูงชนถูกกันออกห่างกว่าเดิม แม้กระทั่งถนนใหญ่ก็ถูกกั้นเส้นทางเดินรถไปแล้วหนึ่งเลน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้คนที่จะสัญจรผ่านไปมา

วุฒิภาศทดสอบสัญญาณที่เครื่องรับของตนเป็นครั้งสุดท้าย “หัวหน้าจะขึ้นรถแล้ว นายพร้อมนะ”

“พร้อมครับพี่ สัญญาณบนรถชัดเจนดี กล้องบนหลังคารถของเราเปิดเรียบร้อย ถ้าไอ้ลูกหมาออกมาเมื่อไรผมถ่ายภาพได้แน่นอน”

“ดีมาก ฉันจะอยู่ด้านขวามือของหัวหน้า ส่วนอาสจะอยู่บนรถตู้ การเจรจาจะจบตรงที่ผู้ร้ายขึ้นรถ”

“มีคำสั่งสกัดไหม”

“ไม่มี หน่วยจู่โจมจะรับเรื่องต่อ นายติดตามสัญญาณในรถต่อไป”

“รับทราบ”

เมื่อพูดธุระกับปารุสก์จบ วุฒิภาศก็เดินไปเกาะหน้าต่างรถด้านคนขับเพื่อแจ้งข่าวสารกับหัวหน้าของเขาก่อนปฏิบัติการจะเริ่มขึ้น

“รุสก์พร้อมแล้วครับ หัวหน้าโอเคไหม”

“หิวข้าว”

วุฒิภาศอมยิ้ม “มีอะไรที่ผมต้องห่วงไหม”

“เมื่อหน้าที่ของหน่วยเราจบ ต้องมั่นใจว่าตัวประกันทุกคนจะถูกจับแยกสอบสวนตั้งแต่คืนนี้ เราต้องการข้อมูลทุกอย่างเพื่อบันทึกคดี”

“ผมทราบดีครับ”

“งั้นก็เริ่มกันเลย”

หัสยุทธสตาร์ตรถกระบะแล้วเตรียมเคลื่อนมันไปยังด้านหน้ารถฉุกเฉินของโรงพยาบาล เขายกมือออกมานอกหน้าต่างเป็นสัญญาณบอกเจ้าหน้าที่ทุกคนว่าภารกิจสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: