X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ

ทดลองอ่านนิยาย เจรจา-ต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 5

 

“มันเอารถมาจอดแล้ว”

โอ่งพูดให้ลูกน้องของเขาได้ยิน ในตอนนี้มันจับสุภาพสตรีคนนั้นให้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วใช้มือข้างขวาซึ่งถือปืนอยู่ล็อกคอเธอให้อยู่ในตำแหน่งด้านหน้าตัวเขา ส่วนด้านหลังมีกระเป๋าเป้ซึ่งใส่เงินไว้เต็ม เธอดูตื่นกลัวและหวาดผวา มือไม้อ่อนคล้ายกับจะเป็นลม แสงไฟจากด้านนอกส่องผ่านกระจกของธนาคารเข้ามาไม่มากนักแต่ก็พอจะมองเห็นแววตาหลายคู่ที่จ้องมองความเคลื่อนไหวของพวกโจรในธนาคารได้ ทุกคนคงภาวนาให้เรื่องนี้จบลงเสียที

ตุ่นมีท่าทีลุกลี้ลุกลน มันเอาถุงผ้าของธนาคารมาผูกไว้กับเอวของตัวเอง มัดเงินในนั้นถูกเหวี่ยงไปมาเบาๆ ระหว่างที่มันขยับตัว ตุ่นจับถุงเงินให้ไปอยู่ด้านข้างลำตัว มันโผเข้ามาหาเจ้านายแล้วเขย่งเท้าขึ้นกระซิบถามเบาๆ

“แล้วทิ้งพวกนี้ไว้ในนี้เหรอพี่”

เขาหันมาดุเสียงเข้ม “เออ มึงจะเอาไปด้วยรึไง”

“แล้วถ้าเราโผล่ออกไป ตำรวจมันจะไม่ยิงสวนมาเหรอ กว่าจะไปถึงรถมันก็หลายก้าวอยู่นะ”

โอ่งหยุดคิดชั่วครู่แล้วตัดสินใจ “งั้นมึงเอาผู้จัดการไปเป็นตัวประกัน พอเราขึ้นรถเสร็จก็ถีบมันออกมาเลย”

ตุ่นยิ้มออกมาได้ “เออ ดี”

โอ่งคิดรอบคอบแล้วว่าในตอนนี้มีเพียงผู้จัดการสาขาคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะสามารถควบคุมได้ แม้ว่าตุ่นจะไม่ทราบเรื่องนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ดีว่าผู้จัดการจะไม่มีวันทรยศเขา เพราะต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้ว

ตุ่นเดินไปหาผู้จัดการสาขาอีกครั้งแล้วดึงตัวของเขาขึ้นจากเก้าอี้ “มากับกู”

“ไปไหน”

“อยากจะเป็นพระเอกไม่ใช่เหรอ โอกาสมาถึงแล้ว”

ในระหว่างที่ตุ่นกำลังยื้อยุดฉุดกระชากวิรุฬ โอ่งก็กำลังทอดสายตาออกไปยังเบื้องหน้า เมื่อเห็นว่ารถกระบะถูกจอดอยู่นานแล้วแต่คนในรถกลับไปยอมลงมาเขาก็นึกฉุน

“ทำไมมันไม่ออกไปจากรถซะทีวะ” เขาหันไปมองลูกน้องซึ่งลากวิรุฬออกมาด้วยได้สำเร็จแล้ว “มึงพาไอ้นี่ออกไปก่อน”

“พี่จะให้ฉันออกไปก่อนเหรอ”

“เออ มันตัวใหญ่กว่า เอามันบังไว้สิ ให้คนเจ็บกับคนแก่สองคนออกไปก่อน แล้วค่อยเดินออกไป เอาพวกมันเป็นโล่”

ตุ่นดูตื่นกลัวแต่ก็พยายามทำตามคำสั่ง มันใช้ปืนจี้ให้วิรุฬเดินนำหน้าโดยมีตัวเองประกบซ้อนอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้แม่บ้านกับ รปภ. พยุงพนักงานหญิงที่ได้รับบาดเจ็บออกไปก่อน

“ออกไป เดินช้าๆ นะมึง”

คนทั้งสามเดินไปถึงชั้นวางของที่ใช้กั้นประตูกระจก รปภ. ผลักให้มันเลื่อนออกไปบางส่วนเพื่อที่จะเปิดประตูได้สะดวก รปภ. เป็นคนไขกุญแจเปิด จากนั้นก็แง้มบานประตูโดนมีโอ่งกับวิรุฬยืนซ้อนหลังอยู่

“ช้าๆ อย่าเปิดทั้งบาน” ตุ่นพูด

เมื่อทั้งสามออกจากประตูได้แล้วก็ยืนเป็นระนาบเพื่อรอให้วิรุฬกับตุ่นตามออกมา

“ออกไปเลยนะพี่”

“เออ ค่อยๆ ออกไป กูก็จะตามมึงไปติดๆ นี่แหละ”

ตุ่นดึงหมวกไอ้โม่งลงมาปิดบังใบหน้าไว้ทั้งหมดแล้วเริ่มเคลื่อนที่ไปด้านหน้า หัวใจของทุกคนสูบฉีดอย่างแรงแม้กระทั่งคนที่ถูกพันธนาการไว้ด้านในธนาคาร นี่เป็นครั้งแรกที่จะมีคนออกไปจากธนาคารนับตั้งแต่ถูกปล้น เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาเกือบห้าชั่วโมงเลยทีเดียว

 

เมื่อประตูกระจกขยับ หัสยุทธซึ่งยังคงนั่งอยู่ในรถที่เปิดกระจกไว้กว้างประมาณห้าเซนติเมตรก็เริ่มขยับตัวเช่นกัน เขากำลังรอให้ฝั่งคนร้ายทำตามสิ่งที่ได้ให้สัญญาไว้ นี่ยังเป็นการประวิงเวลาให้หน่วยจู่โจมสามารถหาช่องทางที่จะเข้าประชิดตัวคนร้ายและตัวประกันอีกด้วย ขณะนี้ความกังวลยังมีอยู่หลายทาง เมื่อตัวประกันบางส่วนติดค้างอยู่ด้านในและตำรวจไม่รู้ว่าคนร้ายมีอาวุธอื่นอีกหรือไม่นอกจากปืนประดิษฐ์เอง

ประตูไม่ได้ถูกผลักให้เปิดกว้างทั้งบาน มันแค่ถูกเปิดแง้มๆ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที รปภ. คนเจ็บ และแม่บ้านก็ตามกันออกมา ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อชายร่างอ้วนซึ่งอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ปรากฏกายขึ้นด้วย หัสยุทธไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น แต่เขามั่นใจว่าคนคนนี้ไม่ใช่โจรปล้นธนาคารแน่ ตรงหัวไหล่ข้างซ้ายของชายร่างอ้วนมีมือของใครคนหนึ่งตรึงไว้ หัสยุทธรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนร้าย พวกมันกำลังจะใช้ตัวประกันเป็นโล่

หัสยุทธตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วก้าวขาลงทีละข้าง การขยับของตำรวจทำให้เกิดเสียงโต้ตอบจากฝั่งธนาคารขึ้น

“ยะ…อย่ายิงครับ ผมเป็นผู้จัดการสาขา” ชายคนนั้นร้องบอกตำรวจเสียงสั่น “มะ…มันสั่งให้คุณตำรวจลงจากรถแล้วถอยไปให้ไกลๆ ถ้าไม่ทำตาม มันจะไม่ออกไป”

หัสยุทธยืนขึ้นเต็มตัวแล้วพยักหน้า เขาไม่ละสายตาจากร่างของวิรุฬแม้แต่วินาทีเดียว หากแต่ไม่ได้มองแค่ผู้จัดการร่างอ้วน เขากำลังมองลึกเข้าไปถึงข้างใน นายตำรวจรู้ดีว่าคนด้านในก็กำลังจับจ้องเขาอยู่ หัสยุทธก้าวให้พ้นรัศมีการเหวี่ยงของประตูรถแล้วผลักบานประตูให้ปิด โดยที่ไม่ได้หันไปมองแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่มีอาวุธ

“ให้คนเจ็บมาที่รถพยาบาลก่อน” หัสยุทธเริ่มการต่อรองอีกครั้ง “นายสัญญาแล้ว แลกคนเจ็บกับรถ”

หลังจากเสียงของหัสยุทธเงียบไปไม่นาน กลุ่มคนหน้าธนาคารก็เริ่มขยับ แสงจากป้ายหน้าอาคารพาณิชย์แต่ละห้องให้ความสว่างเพียงพอที่หน่วยจู่โจมจะหาเป้าหมายของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ แต่ตอนนี้ทุกคนถูกสั่งให้พรางตัวเพื่อให้คนร้ายวางใจพอที่จะก้าวออกมาด้านนอก ขณะนี้สายตาทุกคู่จดจ้องมาที่ฝ่ามือของหัสยุทธซึ่งหากขยับเป็นสัญญาณเพียงนิด ทุกคนก็พร้อมจะเข้าจู่โจม แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังคงถูกปล่อยให้ดำเนินต่อไปอย่างเงียบๆ

“ถอยไปอีกครับ มันให้คุณตำรวจถอยห่างจากรถมากกว่านี้” ยังคงเป็นเสียงของวิรุฬที่สั่งกลับมา

“โอเค ผมจะถอยพร้อมกับที่ทั้งสามคนเดินมาที่รถพยาบาล”

หัสยุทธเห็นวิรุฬพยักหน้า เขาจึงเริ่มเดินถอยหลังทีละก้าวช้าๆ คนกลุ่มเล็กๆ ก็เริ่มขยับเช่นกัน เมื่อนายตำรวจหนุ่มถอยพ้นท้ายรถกระบะมาแล้ว เหลือก็เพียงหัวของรถพยาบาล สายตาของเขายังคงจดจ้องไปที่วิรุฬ นายตำรวจเห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นได้ชัดเจนว่าคนที่ยืนซ้อนหลังผู้จัดการสาขานั้นกำลังขยับตัว แต่เขาต้องการให้มันออกจากประตูมากกว่านี้ เขาต้องการความมั่นใจว่าคนร้ายไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งคน

แล้วตุ่นก็เคลื่อนตัวออกมาจากประตูในที่สุด มันผลักหลังวิรุฬให้เดินนำหน้า ส่วนตัวเองก้มศีรษะซุกด้านหลังชายร่างอ้วนจนมิด ไม่มีมุมที่หน่วยจู่โจมซึ่งอยู่ด้านหน้าธนาคารจะสามารถมองผ่านลำกล้องไปได้ แต่คนที่อยู่บนดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์ซึ่งขึ้นไปรออยู่แล้วนั้นจะสามารถทำได้

หัสยุทธเบี่ยงตัวหลบหลังรถตู้ทันทีที่พ้นมุม เขาแอบอยู่ข้างรถพยาบาลโดยที่ลอบมองผ่านกระจกรถไปยังเป้าหมายเป็นระยะ อาสดาเริ่มรายงานให้ได้ยินเบาๆ

“ออกมามากขึ้นแล้วครับ คนร้ายยังหลบอยู่หลังตัวประกัน”

“คนเจ็บมาถึงรถกระบะรึยัง”

“ยัง ท่าทางมันจะถ่วงเวลา”

“อย่าเพิ่งขยับ รอให้คนเจ็บขึ้นรถพยาบาลก่อน แล้วรีบเอารถออกไปเลย”

“ถ้ามันเอาตัวประกันไปด้วยล่ะครับ”

“ปล่อยเป็นหน้าที่ของไอ้โอบ อย่าผิดสัญญาที่เจรจาไว้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะยิงตัวประกัน รอ…”

ความกดดัน ความเครียด ความกลัว ถูกสาดซัดใส่เจ้าหน้าที่ทุกนายซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ แม้แต่สภาพแวดล้อมในรัศมีเกือบกิโลเมตรของสถานที่เกิดเหตุก็ยังเงียบผิดปกติ โอบเกียรติซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกระถางต้นไม้ซึ่งหล่อขึ้นด้วยปูนซีเมนต์ก็แทบจะไม่ได้หายใจ เขาอยู่ห่างออกไปทางด้านข้างของธนาคารซึ่งเป็นลานจอดรถจักรยานยนต์ ตรงนั้นสามารถมองเห็นผู้ร้ายกับตัวประกันด้านข้างได้ แต่เขาก็ไม่เสี่ยงที่จะใช้อาวุธระงับเหตุในตอนนี้ เนื่องจากตัวประกันหลายคนยังอยู่ในความควบคุมของคนร้ายอยู่

กล้องบนหลังคารถ NIC สามารถจับภาพคนร้ายได้ในบางมุม ปารุสก์กดคำสั่งให้กล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ รวมถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายไว้ได้วินาทีต่อวินาที เสียงของวุฒิภาศดังขึ้นในหูของเขา

“ตัวประกันที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นใคร”

“เดี๋ยวนะพี่ ผมได้รูปพนักงานมาแล้ว ขอเทียบแป๊บนึง”

ปารุสก์ดึงไฟล์ที่ฝ่ายบุคคลของธนาคารส่งมาให้ขึ้นมาดูประกอบภาพบนหน้าจอ ไม่ถึงนาทีเขาก็หาคำตอบให้เพื่อนร่วมงานได้ เพราะคนคนนั้นเป็นบุคคลแรกในไฟล์เลยทีเดียว

“ผู้จัดการธนาคารสาขาย่อย นายวิรุฬ พึ่งบุญ”

วุฒิภาศพยักหน้ารับรู้ข้อมูลนั้นแล้วจดบันทึกลงในสมุดของเขา ส่วนอาสดาเมื่อได้ยินคำตอบของปารุสก์ก็รีบรายงานหัสยุทธซึ่งยังคงหลบอยู่ข้างรถตู้

“ตัวประกันเป็นผู้จัดการครับ”

ยังไม่ทันที่หัสยุทธจะพูดอะไร ประตูกระจกของธนาคารก็ถูกดันออกมาอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นผู้หญิงในชุดแซ็กซึ่งปารุสก์จำได้ทันทีเพราะเคยเห็นเธอในกล้องวงจรปิดมาแล้ว วุฒิภาศก็เช่นกัน และเธอก็มีคนร้ายประกบอยู่ด้านหลังไม่ต่างจากผู้จัดการสาขา

“คนนี้ลูกค้าครับ” อาสดาแจ้งหัสยุทธเมื่อได้ยินปารุสก์บอกมาในเครื่องรับสัญญาณของเขา “คนร้ายใส่หมวกไหมพรมอำพรางใบหน้าทั้งสองคน”

“แล้วทำไมเลือกผู้หญิงวะ” หัสยุทธเริ่มโกรธ “อยากยั่วตำรวจนักรึไง ทุกคนอย่าเพิ่งขยับนะ รอให้มันออกมาพ้นประตูก่อน อย่าให้มันกลับเข้าไปข้างในอีก ไม่งั้นเราลำบากแน่ รอ…นิ่ง…”

ความกังวลของตำรวจมุ่งตรงไปที่ตัวประกันคนที่สองมากกว่าที่ออกมาชุดแรก เพราะเธอเป็นผู้หญิงและมีท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด หัสยุทธสงสัยว่าทำไมคนร้ายเลือกที่จะใช้ตัวประกันผู้หญิง เพราะนั่นคล้ายกับไม่อยากจบปัญหาง่ายๆ ตำรวจมักจะอ่อนไหวกับตัวประกันที่เป็นเพศหญิงมากกว่า เพราะพวกเธออ่อนแอกว่าผู้ชาย และตำรวจจะกัดไม่ปล่อยแน่เพื่อให้แน่ใจว่าคนร้ายจะได้รับการกระทำที่สาสมกับความผิดของพวกมัน โดยเฉพาะโอบเกียรติ…

การประเมินสถานการณ์ตรงหน้าจำเป็นต้องเกิดขึ้นทุกวินาทีและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หัสยุทธกับโอบเกียรติคิดไปในทางเดียวกันว่าหากกลุ่มที่มีคนเจ็บสามคนขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว คนร้ายต้องทิ้งตัวประกันคนหนึ่งไว้แน่ เนื่องจากรถกระบะของตำรวจเป็นแบบตอนเดียว จุผู้โดยสารได้สองคน ในเมื่อคนร้ายมีสองคน มันคงไม่คิดเอาตัวประกันไว้หลังรถแน่ แต่ถ้าหากจะเอาตัวประกันไปด้วย ก็น่าจะสามารถอัดคนเพิ่มเข้าไปได้แค่คนเดียวซึ่งควรจะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ไม่ใช่ชายร่างอ้วน ตอนนี้ตำรวจก็ต้องพยายามคิดให้ทันความคิดของโจรว่ามันจะทำอย่างไรต่อไป

ตุ่นกระซิบข้างหูให้วิรุฬเดินช้าๆ เพื่อที่เขาจะได้รอโอ่งให้เดินขึ้นมาประกบ การก้าวขึ้นรถกระบะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ โอ่งดึงตัวประกันหญิงให้เดินขึ้นมาเกือบจะเป็นระนาบเดียวกันกับวิรุฬ ขณะทุกคนกำลังเดินตรงมายังรถกระบะ หัสยุทธก็ยกมือซ้ายขึ้นเป็นสัญญาณให้บุกเข้าไปทางด้านซ้ายเพื่อโอบหลังคนร้ายก่อน ทิศนั้นโอบเกียรติคุมสถานการณ์อยู่ คนของโอบเกียรติได้รับคำสั่งต่อกันเป็นทอดๆ

การเคลื่อนไหวของหน่วยจู่โจมนายหนึ่งทำให้โอ่งรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย หางตาของเขาจับความเคลื่อนไหวนั้นได้ หัวหน้าคนร้ายหยุดเดินแล้วหันหลังชิดกับแผ่นหลังของลูกน้อง เขาประกาศก้อง

“อย่าขยับนะมึง ให้กูไปก่อน ไม่งั้นได้ตายหมดนี่แหละ กูวางระเบิดไว้ในธนาคารแล้วด้วย ถ้ากูไม่รอด พวกมันก็ตายห่าหมด…เลือกเอา”

หัสยุทธได้ยินคำประกาศนั้นชัดเจนทุกคำ คนเจ็บดูท่าทางไม่ดีเอาเสียเลย แม่บ้านก็เริ่มร้องไห้ ส่วน รปภ. ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมสติได้เช่นกัน ชายสูงวัยอาจจะไม่ได้ถูกฝึกมาให้เอาตัวรอดในสถานการณ์เช่นนี้ หัสยุทธจำเป็นต้องปรากฏตัวที่ด้านหน้ารถตู้อีกครั้ง เขาตะโกนเสียงดังเพื่อให้ผู้ร้ายเห็นว่ามันยังอยู่ในห้วงเวลาของการเจรจาอยู่ และยังไม่มีใครผิดคำพูดตามที่ได้ให้สัญญาไว้

“ใจเย็นๆ นายไปได้ เอารถไปเลย ฉันสตาร์ทรถไว้แล้ว แต่ระเบิดไม่อยู่ในสัญญา นายต้องให้ตำรวจเข้าไปช่วยคนในธนาคาร”

“ไม่ๆๆๆ จะไม่มีการเคลื่อนไหวตอนนี้”

โอ่งตะโกนเสียงดัง แขนข้างที่โอบสุภาพสตรีไว้เริ่มกระชับแน่นขึ้น ส่วนตุ่นก็ชักไม่มั่นใจว่าอาจจะมีใครสักคนกำลังเล็งปืนมาที่เขา

“เฮ้ นายต้องเข้าใจว่าตำรวจจะไม่ยอมเสียเปรียบไปมากกว่านี้” หัสยุทธเตือนสติ “การเจรจาจบลงไปแล้ว เราให้ในสิ่งที่นายขอ และต่อจากนี้นายจะไม่ได้อะไรเพิ่มอีก ถ้าจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนซะตั้งแต่ตอนนี้ ปล่อยตัวประกันให้เป็นอิสระแล้วมอบตัวซะ”

โอ่งเพิ่งสำนึกได้ว่าไม่น่าพูดเรื่องระเบิดขึ้นมาเลย ในทีแรกเขาต้องการให้ตำรวจเห็นว่าตนเป็นต่อและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับดักที่เขาวางไว้กำลังย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง ขณะนี้กลุ่มคนร้ายและตัวประกันยืนกระจุกตัวอยู่กลางลานกว้างหน้าธนาคาร อีกไม่ถึงสิบก้าวก็จะถึงรถกระบะอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนทุกคนไม่กล้าขยับ

“กูจะขึ้นรถ!”

คนร้ายเลือกทางเดินของตัวเองในที่สุด หัสยุทธไม่ขัด เขาผายมือไปยังรถกระบะ

“งั้นเชิญ แต่ฉันจะเดินเข้าไปรับคนเจ็บเอง โอเคไหม”

โอ่งสบตากับหัสยุทธภายใต้หมวกไหมพรม เขาพยายามหาความจริงใจ ความมั่นคง และความซื่อสัตย์จากดวงตาคู่นั้น

 

ในหัวของวิรุฬมีแต่ความระแวงและเป็นกังวล เขาเริ่มไม่ไว้ใจทั้งสถานการณ์และคนร่วมแผนการของเขา ตั้งแต่เห็นพาหนะที่จะหนีออกจากสถานที่เกิดเหตุเขาก็รู้แล้วว่าโอ่งคงไม่ยอมพาเขาไปด้วยแน่ และการติดอยู่ที่นี่ร่วมกับตัวประกันคนอื่นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เขาต้องการความมั่นใจว่าตนเองจะไม่เป็นที่สงสัยของใครต่อใคร โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา เมื่อคิดดังนั้นวิรุฬจึงเริ่มมองหาโอกาสที่จะทำให้สถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เขาเห็นพนักงานหญิงที่ถูกยิงเดินอย่างกะปลกกะเปลี้ยและใกล้จะเดินไปถึงรถกระบะ นักเจรจาต่อรองกำลังเดินเข้ามาหากลุ่มคนซึ่งคงจะถูกส่งต่อไปยังรถฉุกเฉิน คราวนี้ก็จะเหลือเขา ตัวประกันอีกหนึ่งคนกับโจรทั้งสองเท่านั้น เขารู้ว่าพวกมันคงพยายามกันเขาออกแล้วก็หนีไปด้วยกัน เขาไม่อยากถูกทิ้งอย่างไร้ค่าและถูกประณามว่าเป็นผู้จัดการสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหา เขาจำเป็นต้องหาโอกาสให้ตัวเอง

จังหวะที่หัสยุทธกำลังจะมาถึงตัวคนเจ็บและอีกไม่กี่ก้าวที่โอ่งกับตุ่นจะไปถึงประตูรถกระบะ จู่ๆ วิรุฬก็โผเข้าหากลุ่มคนเจ็บคล้ายกับการปกป้องพร้อมกับตะโกนลั่น

“ระวัง!”

“เฮ้ย!”

…เปรี้ยง!…

การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่มีปี่มีขลุ่ยของวิรุฬเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมทำให้ตุ่นตกใจสุดขีด มันไม่สามารถควบคุมนิ้วมือที่พักไว้ตรงไกปืนได้ จึงทำปืนลั่นอีกครั้ง และคราวนี้ลูกกระสุนไปฝังอยู่ที่หัวไหล่ของวิรุฬ ชายร่างอ้วนทรุดตัวลงกับพื้นแล้วยังไม่วายฉุดกลุ่มคนเจ็บให้ล้มกลิ้งลงพร้อมกันด้วย หัสยุทธพุ่งเข้าหาพวกเขาแล้วพยายามใช้แขนและร่างกายกดศีรษะของทุกคนให้ก้มลงกับพื้น เขารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

…เปรี้ยงๆๆ…

“กรี๊ดดดดดด…”

“ไอ้ตุ่น!…”

“อย่ายิงๆๆ ฉันท้องอยู่ มีเด็กอยู่ในท้องของฉัน!”

เสียงปืนสามนัดดังขึ้นมาจากฝ่ายของตำรวจ โอ่งพยายามยึดตัวประกันคนสุดท้ายไว้พร้อมกับหลบกระสุนไปด้วย เสียงของผู้หญิงคนนั้นทำให้หัสยุทธตกใจมาก เขาตะโกนลั่น

“หยุดยิง หยุด!”

ในเสี้ยววินาทีนั้นโอ่งหันมามองร่างของลูกน้องซึ่งนอนจมกองเลือดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเรียกสติของตนกลับมา เขากระชากประตูรถกระบะให้เปิดออกแล้วดันร่างของสุภาพสตรีท่านนั้นให้เข้าไปข้างใน ส่วนตัวเองก็รีบมุดเข้าไปนั่งประจำที่ของคนขับ

หัสยุทธยังคงนอนอยู่บนพื้นแต่เขาก็ตะโกนแข่งกับเสียงของเครื่องยนต์ซึ่งเพิ่งถูกกระชากออกไป

“ตาม ไอ้โอบตาม! ตัวประกันท้องอยู่…ระวังด้วย”

โอบเกียรติไม่ได้ตามรถกระบะไปด้วยตัวเองแต่เป็นทีมของเขาซึ่งประจำอยู่ในรถก่อนแล้ว หัสยุทธรีบลุกขึ้นยืน อาสดาลงจากรถฉุกเฉินมารับตัวคนเจ็บเพื่อให้ทุกคนไปถึงมือแพทย์อย่างเร็วที่สุด ส่วนวิรุฬร้องครวญครางเสียงดังลั่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้าหน้าที่ ส่วนวุฒิภาศก็รีบวิ่งตรงมายังหัวหน้าของเขา

“แล้วเรื่องระเบิดล่ะครับ”

“อาจแค่ขู่ คนของไอ้โอบเข้าไปแล้วนี่ คุณรีบไปช่วยลำเลียงคนออกมาจากธนาคารก่อน”

“ครับ”

หลังจากกระจายงานแล้วหัสยุทธก็หันไปสนใจร่างของเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นซีเมนต์ เขาเดิมเข้าไปหาร่างนั้นช้าๆ เจ้าหน้าที่เริ่มใช้เทปสีเหลืองกั้นบริเวณที่มีศพนอนอยู่เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาบันทึกภาพและเก็บหลักฐานซึ่งเป็นวัตถุปืนและถุงเงินไว้

หัสยุทธนั่งยองข้างร่างของตุ่น ถุงผ้าซึ่งใส่เงินไว้ยังคงผูกติดกับเอว นายตำรวจเห็นเลือดแดงฉานไหลนองพื้นก็พอเข้าใจได้ว่ากระสุนคงเข้าไปที่ร่างตุ่นทั้งสามนัด มันเป็นกฎการตอบโต้ หากคนร้ายเริ่มยิง เจ้าหน้าที่ก็สามารถจะโต้ตอบด้วยอาวุธปืนได้ แต่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย หากการเจรจาสำเร็จก็อาจจะไม่มีคนตายเกิดขึ้น

อาวุธปืนที่ตกอยู่ไม่ไกลนักเป็นอย่างที่วุฒิภาศสงสัย มันคงถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยฝีมือของคนใช้งาน เขาเห็นอักษรตัวที (T) ถูกสลักอยู่ตรงลำกล้องด้วย

“หัวหน้าครับ หน่วยจู่โจมพาตัวประกันออกมาได้ทั้งหมดแล้วครับ ตอนนี้กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุทั้งอาคารอยู่ว่ามีวัตถุระเบิดอย่างที่คนร้ายกล่าวอ้างไว้หรือไม่” วุฒิภาศกลับมารายงานความคืบหน้าให้หัสยุทธทราบ

หัสยุทธพยักหน้ารับ “คุณไปประกบฝ่ายสอบสวนเถอะ ผมจะไปหารุสก์”

“ครับ”

 

อีกเมตรเดียวหัสยุทธก็จะไปถึงประตูรถตู้ของ NIC แต่เขากลับถูกหยุดด้วยแขนของชายคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก

“คนของผมเป็นยังไงบ้าง”

หัสยุทธพยายามคิดว่าชายคนดังกล่าวเป็นใครแต่ก็คิดไม่ออก สีหน้าของเขาคงบอกความคิดได้ ชายคนนั้นจึงเริ่มต้นบทสนทนาใหม่

“ผมเป็นผู้จัดการเขต คุณเป็นคนเจรจากับคนร้ายใช่ไหม”

“อ๋อ ครับ คนของคุณ…คงหมายถึงพนักงานธนาคารใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“ตอนนี้ทุกคนปลอดภัย คนเจ็บอยู่ในมือแพทย์หมดแล้ว ส่วนที่เหลือกำลังจะถูกสอบสวน ตอนนี้ผมยังไม่หมดหน้าที่ ต้องขอตัวก่อนครับ”

หัสยุทธกำลังจะเบี่ยงตัวเพื่อเดินต่อไป แต่ถวิลกลับไม่ยอมให้เขาเลี่ยงไปได้ นายธนาคารยังคงต้องการสอบถามบางเรื่องอยู่

“แล้วคนร้ายล่ะ”

หัสยุทธต้องชะงักอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้น้ำเสียงเคร่งกว่าเดิม “ท่านครับ ตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับไปเป็นตัวประกัน คนร้ายจี้ตัวเธอให้นั่งรถไปกับมัน และที่สำคัญเธอยังท้องอยู่อีกด้วย คราวนี้ท่านจะปล่อยผมไปทำงานได้รึยังครับ”

“เอ่อ ดะ…ได้ งั้นผมรอให้พวกคุณทำงานก่อนก็ได้”

ถวิลยอมเบี่ยงตัวหลบให้หัสยุทธเดินตรงไปที่รถตู้ของเขา สถานการณ์ยังไม่เรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงาน เขาต้องพยายามเข้าใจและหาทางอื่นที่จะรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นให้ได้

 

“รุสก์…ถึงไหนแล้ว”

“อ่ะ เจ้านาย ผมประสานงานกับลูกน้องพี่โอบไปแล้วครับ” ปารุสก์รู้ดีว่าหัสยุทธถามถึงอะไร “สัญญาณจากเครื่องที่เจ้านายทิ้งไว้ในรถบอกว่ามันยังไปได้ไม่ไกล นี่ไง” เขาชี้ไปที่หน้าจอซึ่งมีแผนที่อยู่บนนั้น

“แล้วได้ยินเสียงอะไรในรถไหม” หัสยุทธลากเก้าอี้มานั่ง

ปารุสก์ส่ายหน้า “ไม่มีเสียงพูดคุย มีแต่เสียงเครื่องยนต์ ผมว่าถ้าเป็นอย่างนี้มันอาจจะทิ้งรถไว้แล้วหนีไป”

“อืม เป็นไปได้ ภาวนาให้มันไม่ทำอะไรตัวประกันก็แล้วกัน”

“ผมได้ยินว่าเธอท้องเหรอครับ”

“ใช่ ทุกคนก็เพิ่งรู้พร้อมกันนี่แหละ ถ้ารู้ก่อน ผมคงไม่เสี่ยงให้มันเอารถออกไปได้”

“สัญญาณกำลังจะขาดหาย ถ้ามันไปไกลกว่านี้เครื่องของผมก็จะจับสัญญาณไม่ได้อีก”

“ไม่เป็นไร คนของไอ้โอบตามอยู่นี่”

แล้วคนทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศภายในรถ คล้ายกับต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง นานเกือบสามนาทีในที่สุดปารุสก์ก็แจ้งว่ารถกระบะของตำรวจนั้นหลุดออกจากรัศมีของการจับสัญญาณแล้ว

“ไปได้ไม่ไกลหรอก คนของไอ้โอบไม่ปล่อยให้มันพาผู้หญิงไปได้แน่”

ปารุสก์ถอนใจหนัก “แล้วอีกคนตายไหมครับ”

“ไม่รอด สามนัด…ไม่พลาดสักนัด”

“ผมไม่ชอบเห็นคนตาย ตอนที่เสียงปืนดัง ผมก็ปิดตา”

หัสยุทธตบไหล่ของลูกน้องเบาๆ เขารู้จักปารุสก์ดี แม้จะตัวใหญ่แต่ใจของเขาเล็กนิดเดียว แถมยังอ่อนไหวเหมือนเด็ก

“เช็คกับอาสให้หน่อย คนเจ็บถึงโรงพยาบาลรึยัง”

“ได้ครับ”

“อย่างน้อยเราก็คิดถูกหลายเรื่อง ผู้ร้ายมีสองคน อาวุธเป็นปืนประดิษฐ์ แต่น่าเสียดายที่ต้องมีคนมาตายด้วย”

หัสยุทธเหยียดขาตรงแล้วเอนหลังไปกับพนักเก้าอี้ ปิดเปลือกตาลงแล้วระบายลมหายใจออกช้าๆ เขาต้องการการผ่อนคลายความเครียดและอาหารหนักท้องสักมื้อ

 

ตั้งแต่ขึ้นรถจนกระทั่งขับออกมายังถนนใหญ่โอ่งก็ยังไม่มีเวลาใส่ใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาถูกสั่งมาจากวิรุฬอีกทีว่าไม่ควรพูดอะไรเมื่อเข้ามานั่งในรถของตำรวจ เพราะไม่รู้ข้างในจะมีเครื่องดักฟังหรือวิทยุติดตามอะไรอยู่เหรอไม่ เขาควรเงียบและคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ควรจะเงียบด้วย เมื่อมีเสียงวิทยุในรถดังขึ้นโอ่งก็ตัดสินใจกระชากสายไฟเครื่องรับวิทยุภายในรถตำรวจออกเสียเลย

เมื่อคิดถึงวิรุฬ โทสะก็พุ่งขึ้นมาอีก เขาไม่น่าเห็นแก่ตัวแล้วทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า การกระทำของวิรุฬทำให้ไอ้ตุ่น ลูกน้องที่หัวหกก้นขวิดด้วยกันมาเกือบสิบปีต้องจบชีวิตลงเหมือนหมาข้างถนน มือที่กำพวงมาลัยรถบีบแน่นจนข้อนิ้วโปนปูด เขาเหลือบตามองกระจกหลังเห็นรถคันหนึ่งติดตามมาอย่างไม่ลดละ เดาไม่ยากเลยว่าคงเป็นรถของตำรวจแน่ ก่อนจะปล้นธนาคารเขาคิดแผนการหนีด้วยรถยนต์มาแล้ว และเขาจะยังใช้แผนเดิมนั่นคือการมุ่งเข้าสู่วงแหวนรอบนอกด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานครแล้วค่อยหาทางทิ้งรถไว้ตรงไหนสักแห่งที่เขาพอจะหนีต่อด้วยเท้าได้

สุภาพสตรีที่นั่งข้างเขารัดเข็มขัดนิรภัยโดยที่ไม่ต้องบอก รถยนต์ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ผิดกฎหมายอย่างไม่ต้องสงสัย ความมืดช่วยในการอำพรางรถได้ก็จริงแต่ถ้าเขาเจอด่านสะกัดของตำรวจ เขาก็จะไม่รอดแน่ โอ่งมองหาลู่ทางที่จะหลบออกนอกเส้นทางพิเศษมาตลอด เขาพยายามขับรถหลบระหว่างรถบรรรทุกพ่วงซึ่งขับตามกันมาเพื่อสลัดรถติดตามให้คลาดสายตา จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นชุมชนขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งปลูกอยู่ริมทางพิเศษ เขาขับผ่านบ้านคนกับร้านอะไหล่ยางรถยนต์มาได้เกือบครึ่งกิโลเมตร ชายหนุ่มจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะทิ้งรถ

“ตรงนี้แหละ”

เขาพูดเบาๆ แล้วหักหัวรถลงไปข้างทางซึ่งเป็นต้นหญ้าสูงท่วมศีรษะคน ดินข้างทางค่อนข้างนุ่มแต่รถก็ยังไม่จมลงไปมากนัก เขาปิดไฟหน้ารถแล้วจอดนิ่งอยู่ในป่าหญ้า รอจนกระทั่งเห็นรถที่ขับตามเขาขับผ่านไปแล้วโอ่งจึงรีบออกคำสั่ง

“ลงจากรถ”

สุภาพสตรีที่ตกเป็นตัวประกันจำต้องลงจากรถตามคำสั่ง เธอไม่ได้ดูตื่นกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่กลับดูมุ่งมั่นที่จะหนีเอาตัวรอด โอ่งคว้ากระเป๋าเป้ของมันซึ่งมีเงินบรรจุอยู่จนเต็มมาพาดบ่าไว้ นึกเสียดายเงินอีกถุงที่ติดอยู่กับตัวเจ้าตุ่น หากทุกคนรอดมาได้คงมีโอกาสเสวยสุขกับเงินก้อนนั้นไปอีกนาน แต่เมื่อพลาด…ชีวิตของมันก็มีค่าแค่นั้นเอง

“เดินย้อนกลับไป อาจจะหารถรับจ้างจากอู่ซ่อมรถที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ได้” โอ่งเดินอ้อมหน้ารถมารับตัวประกันจากอีกฝั่งของประตูรถ หญ้าที่สูงท่วมศีรษะนั้นน่ารำคาญแต่ก็ช่วยอำพรางตัวในความมืดได้มาก “แต่ต้องเดินลุยในป่าแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ ไหวไหม”

“ไหว”

เธอพูดออกมาเป็นคำแรกนับตั้งแต่ที่ตะโกนบอกตำรวจว่าตนตั้งครรภ์ กระเป๋าหนังปลอมที่คล้องไหล่อยู่ดูเกะกะ โอ่งพยายามจะคว้ามันมาถือให้แต่เธอกลับดึงกลับ

“ไม่ต้อง พี่นั่นแหละเอาสัมภาระมาแบ่งไว้กับฉันก็ได้ จะได้ช่วยกัน”

ในเป้มีทั้งเสื้อแจ็กเก็ต ปืน และเงินสด แต่โอ่งก็ไม่คิดให้ภรรยาของมันต้องรับผิดชอบข้าวของเหล่านี้

“ไม่เป็นไร ไปเถอะ”

คนทั้งคู่ออกเดินเท้า พยายามไม่เข้าใกล้ริมถนนมากนัก แต่ก็ต้องไม่เดินห่างออกไปไกลมากเพราะไม่อย่างนั้นคงจะหลงในดงหญ้าจนหาทางออกไม่เจอ โอ่งจูงมือภรรยาของแล้วพยายามมองหาแสงไฟข้างหน้าไปด้วย เสียงยวดยานยังคงดังก้องอยู่บนถนน

“ไอ้ตุ่นไม่น่าตาย พี่สงสารมัน”

“เพราะไอ้วิรุฬแท้ๆ เราไม่น่าไว้ใจมันเลย น่าจะหาทางกำจัดมันไว้ก่อน นี่มันรอดไปได้ไม่รู้จะใส่ไฟเราเรื่องอะไรบ้าง”

“แต่ถ้าไม่มีมัน เราก็คงไม่ได้เงินก้อนโตนะอิ๋ว”

สุภาพสตรีที่ถูกเรียกว่าอิ๋วถอนใจหนัก ดูเหมือนอารมณ์ของเธอยังร้อนอยู่ “มันทำเพื่อตัวของมันเอง มันแค่ใช้เราเป็นเครื่องมือ เราไม่น่าเชื่อมันเลยเรื่องที่มันห้ามไม่ให้เราบอกความจริงกับตุ่น”

โอ่งรู้สึกผิดต่อตุ่นกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเหตุผลที่วิรุฬให้ไว้ในตอนนั้นมันฟังดูมีน้ำหนัก เขาจึงยอมรับปากที่จะไม่บอกลูกน้องว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นแผนการของผู้จัดการสาขาที่พวกเขาตั้งใจปล้นทั้งสิ้น

การเดินย่ำไปในพื้นที่ชื้นแฉะและค่อนข้างมืดทำให้คนทั้งคู่ทุลักทุเล ยิ่งกับฝ่ายหญิงด้วยแล้วการใส่รองเท้ามีส้นกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญ อิ๋วเริ่มหายใจแรงจนคนข้างหน้าได้ยิน

“เหนื่อยเหรอ น่าจะอีกไม่ไกลแล้วนะ”

“มะ…ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ”

แล้วจู่ๆ เสียงหวีดหวอของรถตำรวจก็ดังขึ้น คนร้ายปล้นธนาคารพร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดตกใจสุดขีด โอ่งมั่นใจว่าพวกเขากำลังจะใกล้ถึงชุมชนแล้ว แต่เสียงหวอ เสียงเครื่องยนต์ และเสียงแว่วๆ ของผู้คนทำให้เขาเริ่มวิตกว่าอาจจะไปไม่ทันเวลา

“มันคงหารถเจอแล้ว”

“ทำยังไงดีพี่”

“ต้องเข้าดงหญ้าให้ลึกกว่านี้ ไป…”

แทนที่จะเดินเลียบขนานไปกับถนนซึ่งพอมองเห็นจากแสงไฟรำไร โอ่งต้องตัดสินใจที่จะเดินลึกเข้าไปในพงหญ้าเพื่ออำพรางตัวให้มากขึ้น สองหนุ่มสาวจึงเปลี่ยนเส้นทางการหนีใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าตำรวจจะไม่ตามพวกเขาเจอ

 

สองคนผัวเมียเร่งฝีเท้าเดินไปในทิศทางที่ตนเองไม่รู้จัก ท่ามกลางความมืดสลัวที่มีเพียงแสงของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวเท่านั้นที่นำทางพวกเขา นานเกือบสิบนาทีในที่สุดคนทั้งคู่ก็ไปโผล่ยังหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นที่ไหน แต่ที่น่าตกใจคือเบื้องหลังที่พวกเขาเดินจากมานั้นมีแสงไฟสว่างกว่าเดิม พงหญ้าก็ไม่ได้สงบราบเรียบแต่มันกลับสั่นไหวคล้ายใครแผ้วถางเพื่อจะค้นหาของที่หายไปอยู่เป็นจุดๆ

“ฉันไม่ไหวแล้วพี่”

ใบหน้าที่เคยขาวและถูกแต่งแต้มอย่างดีด้วยเครื่องสำอางราคาถูกนั้นกลับเปื้อนเปรอะและชื้นเหงื่อ มีเพียงริมฝีปากที่ยังคงเป็นสีแดงสดอยู่ เธอยกมือขึ้นกุมชายโครงแล้วทรุดตัวลงนั่งริมหนองน้ำ โอ่งทิ้งเป้ที่สะพายอยู่ลงบนพื้นข้างลำตัว

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องแยกกัน”

“อะไรนะ! พี่จะทิ้งฉันเหรอ” อิ๋วลุกขึ้นแล้วโผดึงคอเสื้อของสามี “พี่ทิ้งฉันไม่ได้นะ พี่สัญญาว่าจะดูแลฉันตลอดไปจำไม่ได้เหรอ!”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ” เขาจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอมากุมไว้ “พี่ไม่ได้ทิ้ง แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกัน เราอาจจะไม่รอดทั้งคู่ เธออยากใช้ชีวิตร่วมกับพี่ไม่ใช่เหรอ”

หญิงสาวที่อายุน้อยกว่าไม่กี่ปีน้ำตาไหลพราก เธอพยักหน้าหลายครั้ง

“ฟังพี่นะ ตอนนี้ทุกคนไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นพวกเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าตำรวจเจอเธอก็ให้ไปกับเขา บอกทุกคนว่าเธอถูกพาตัวมา ส่วนพี่จะพยายามหนีไปให้ไกลที่สุดแล้วค่อยหาทางกลับมาหา…ตกลงไหม”

แม้น้ำตาจะท่วมดวงตาคู่สวยแต่แววตานั้นก็บอกให้รู้ว่าเธอเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ดี

“แล้วเราจะติดต่อกันได้ยังไง”

โอ่งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนตอบ “บ้าน…ทิ้งข้อความไว้ที่นั่นว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วพี่จะไปหา เอานี่” ชายหนุ่มนั่งลงแล้วเปิดกระเป๋าเป้ “เอาเงินพวกนี้ติดตัวไป เธอต้องใช้มัน โชคดีที่ไอ้วิรุฬมันระวังเรื่องนี้ให้เราแล้ว แบงค์คละประเภทแล้วก็ไม่เรียงหมายเลข เธอเอาไปใช้ได้เลย”

มือน้อยนั้นยังสั่นตอนที่สามียื่นธนบัตรมาให้ปึกใหญ่ จนในที่สุดโอ่งจำเป็นต้องเป็นฝ่ายยัดมันไว้ในกระเป๋าถือของเธอเสียเอง

“พยายามพูดให้น้อยที่สุด ทำตัวให้น่าสงสารเข้าไว้ แล้วจะไม่มีใครสงสัยเธอ พี่จะหนีไปก่อนแล้วกบดานสักพัก รอให้ข่าวซาเราค่อยตามหากัน”

อิ๋วดึงข้อมือของโอ่งไว้อีกครั้ง “เราจะหากันจนเจอใช่ไหม”

โอ่งจ้องลึกลงไปในแววตาเศร้าและว้าเหว่นั้นอย่างมีความหมาย “แน่นอน เราต้องตามหากันจนเจอ เราเคยทำได้มาแล้วนี่ เราจะต้องทำได้อีกครั้ง เชื่อพี่…”

หญิงสาวโผเข้าหาอ้อมอกอุ่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วประกบริมฝีปากบางของเขาเป็นครั้งสุดท้าย เธอกับเขาจุมพิตกันอย่างดูดดื่มเพื่อเป็นการสั่งลา ก่อนที่เสียงแหวกพงหญ้าของผู้คนจะดังใกล้เข้ามาอีก เขาผลักเธอออกเบาๆ แล้วสะพายเป้ขึ้นบนไหล่อีกครั้ง

“อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเดินไปไหน พวกเขาจะได้หาเธอเจอ” มือข้างซ้ายแตะที่หน้าท้องของภรรยาเป็นครั้งสุดท้าย “ดูแลตัวเองให้ดีๆ พี่ไปล่ะ”

อิ๋วทรุดตัวลงนั่งคร่ำครวญในขณะที่โอ่งผลุบหายเข้าไปในพงหญ้าอีกด้านของหนองน้ำ หญิงสาวรู้สึกคลื่นไส้และเวียนศีรษะ นั่นอาจเป็นเพราะความเครียดที่สะสมมานาน เธอทั้งร้องไห้ทั้งอาเจียน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขยะชิ้นหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้กลางทุ่ง ถ้าเธอตายไปตอนนี้อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปีจึงจะมีคนพบศพ ในสมองมีความคิดวิ่งวนไปทั่ว เธอและเขาเดินเข้าสู่ประตูนรกมานานแล้ว ความทรมาน ความเจ็บปวด ความสูญเสียและสิ้นหวังไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เธอแค่ต้องผ่านมันไปทีละขั้น ทีละเรื่องก็เท่านั้นเอง

 

ยิ่งเดินต่อไปก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหลงทาง ชายหนุ่มหอบจนตัวโยน เขาเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างและรกทึบ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหยุดและวางเป้ลงบนพื้นเพื่อให้หัวไหล่ได้คลายความตึงเครียดลง มือข้างหนึ่งยังคงกำปืนแน่น โอ่งทรุดตัวลงนั่งทับต้นหญ้ากลุ่มหนึ่งจนมันล้มลู่ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวระยับ

“อีกนิดเดียว”

เขาอดรำพึงไม่ได้เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว เขาเริ่มเรื่องเหล่านี้เพราะตกกะไดพลอยโจนแท้ๆ เขาพลาดกับชีวิตมาเยอะแล้วและไม่อยากจะพลาดกับมันอีก เมื่อยังมีอีกสองชีวิตรอเขาอยู่ ถ้างานนี้สำเร็จพวกเขาจะได้เงินทั้งหมดที่ปล้นมาได้ และมันจะเป็นทุนสำหรับชีวิตในอนาคต ทุนของลูกที่จะเกิดมา เขาไม่ต้องการให้ลูกเป็นเหมือนเขากับอิ๋วที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ชีวิตของเด็กคนนี้ต้องดีกว่าพวกเขา

สวรรค์หรือนรกไม่รู้ที่ส่งวิรุฬมาให้ ทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง วิรุฬรู้ว่าโอ่งกับอิ๋วต้องการเงิน แต่เขาไม่รู้ว่าวิรุฬต้องการอะไร เขาแค่ทำตามความต้องการของเจ้าทุกข์ที่พวกเขาเคยไปปล้นบ้านเท่านั้น เพราะถ้าไม่ทำวิรุฬจะแจ้งความกับตำรวจ แล้วคราวนี้เขาก็จะต้องไปนอนในคุกโดยที่ไม่มีได้โอกาสเห็นหน้าลูกเลย พวกเขาต่างมีสัญญาง่ายๆ ต่อกันว่าเมื่อปล้นเสร็จเงินเป็นของเขา แล้วต้องหายไปจากชีวิตของวิรุฬชั่วนิรันดร์ ไม่อย่างนั้นวิรุฬจะตามล้างตามเช็ดไม่มีวันเลิกลา แม้โอ่งจะมีปืน แต่เขารู้ดีว่าปืนของเขาสู้อำนาจเงินของวิรุฬไม่ได้แน่ และสิ่งที่เกิดในธนาคารนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าผู้ชายคนนั้นใจโหดกว่าที่เขาเคยคิดมากนัก

เสียงแสกสากดังขึ้นข้างตัว โอ่งขยับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าเสียงของมันมาจากเบื้องต่ำ มันไม่ใช่เสียงของรอยเท้าหรือผู้คน บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงคลานบางชนิดที่เขาเผอิญเข้ามารบกวนการพักผ่อนของมันก็เป็นได้

“งู?”

ชายหนุ่มรีบดึงสายของเป้ขึ้นพาดบ่าอีกครั้ง เสียงแสกสากยังดังอยู่ใกล้ข้อเท้าของเขา แสงจากธรรมชาติมีน้อยเกินกว่าที่จะมองเห็น และนั่นมันยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้แก่เขา โอ่งตั้งสมาธิ เกร็งข้อและนิ้วมือเพื่อควบคุมอาวุธปืนของเขาอีกครั้ง แล้วในวินาทีต่อมาที่ได้ยินเสียงน่ากลัวนั้นอีกเขาก็เหนี่ยวไกปืน

…เปรี้ยง!…

เสียงปืนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งกำลังพยายามแพ้วถางป่าหญ้านั้นสะดุ้ง และพวกเขาก็เริ่มคาดคะเนใหม่อีกครั้งว่าผู้ร้ายกำลังหนีไปในทิศทางไหน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

Jamsai Editor: