บทที่ 9
คุณเคยรู้สึกไหม…กับบางคน พอคิดว่าสามารถเข้าใกล้จนเกือบจะสัมผัสถึงเขาได้แล้ว…กลับพบว่าอีกฝ่ายถอยห่างออกไป ไกลเกินกว่าที่จะเอื้อมมือคว้าราวกับว่าความรู้สึกที่ต่างรู้แก่ใจตัวเองดีนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย
สำหรับรัตน์สิกาแล้วชัชพลก็เป็นแบบนั้น ผู้ชายในม่านหมอกคนนี้อาจจะยอมเผยตัวครู่หนึ่ง และเสน่ห์ของเขาก็ทำให้เธอหลงเพ้อไปโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับไปอยู่ท่ามกลางหมอกหนา เหินห่างเย็นชาอีกครั้ง
นี่เป็นอีกครั้งที่ได้พบกันหลังจากค่ำคืนนั้น…ชายหนุ่มกำลังนั่งคุยอยู่กับคุณยายบัวทิพย์ วินาทีที่เขาหันมาเห็นเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ชะงักค้างก่อนจะจางหายไป
หญิงสาวไม่รู้จะทำตัวยังไงดี ทั้งอยากวิ่งเข้าใส่ พุ่งชาร์จตัว แล้วดูสิว่าเขาจะรู้สึกยังไง อาจจะเหมือนโดนแมลงสาบเกาะตัวอยู่…หรือไม่เช่นนั้น อีกใจหนึ่งเธอก็อยากวิ่งหนีออกไปให้ไกลจากเขาที่สุด
“อ้าว หนูใบบุญมาพอดี” หญิงชราเอ่ยทักทันทีที่เห็น ร่างบางจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปหาช้าๆ ส่งยิ้มสดใสราวกับว่าหัวใจของเธอไม่ได้รู้สึกขื่นขมอยู่
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
“อ้อ กำลังคุยกันเรื่องการจัดงานถนนคนเดินในตัวจังหวัดจ้ะ”
“งานถนนคนเดินงั้นเหรอคะ” รัตน์สิกาถามด้วยความสนใจ
“ใช่แล้วล่ะ ที่นี่เราจะจัดกันแค่ตอนหน้าหนาวเท่านั้น มีอาทิตย์ละวัน แล้วคืนนี้ก็เป็นอาทิตย์แรกของการจัดงานด้วย คนน่าจะครึกครื้นเลย ร้านผ้าทอของพวกเราก็ได้ไปออกร้านด้วยนะหนูใบบุญ เย็นนี้ศีลคงต้องไปดูความเรียบร้อย หนูสนใจอยากจะไปดูไหม”
“คุณยายครับ…” ชัชพลเอ่ยปรามไว้ คนเป็นยายถึงเพิ่งนึกได้ว่าหากรัตน์สิกาก้าวออกไปจากที่นี่ก็คงไม่ปลอดภัยนัก
“เอ้อ…” บัวทิพย์ทำเสียงตะกุกตะกัก แต่ผู้อ่อนวัยกว่ากลับมีสีหน้าระรื่น
“ดีเลยสิคะ นานๆ จะได้ออกไปเที่ยว เปิดหูเปิดตาบ้าง”
“จะดีเหรอ” หญิงชราเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ชัชพลจึงตัดปัญหาด้วยการรับอาสาซื้อของมาให้
“คุณอยากได้อะไรก็จดใส่กระดาษมาแล้วกัน เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
“แล้วฉันจะรู้ไหมล่ะคะว่ามันมีอะไรบ้าง ฉันยังไม่เคยเดินดูสักหน่อย”
“ผมต้องไปทำงาน” เขาอุตส่าห์พยายามยกเรื่องงานมาพูด
“เอาเป็นว่าถ้าคุณต้องดูร้านไม่มีเวลาเดินด้วยกัน คุณก็ทำงานของคุณไป ฉันเดินเองก็ได้”
ดูซิว่าจะหลบเลี่ยงไปทางไหน หญิงสาวตัดสินใจแล้ว ในเมื่อเขาอยากหนี เธอก็จะตามติดเป็นลูกลิงเลยคอยดู!
“คุณก็รู้ว่ากำลังโดนจ้องทำร้ายอยู่ จะออกไปหาเรื่องทำไมกัน”
“คุณบอกเองนี่คะว่าอยู่ใกล้คุณไว้ไม่เป็นไร หายห่วง ฉันเชื่อว่าคุณปกป้องฉันได้…จริงไหมคะคุณยาย” ท้ายประโยคเธอหันไปปะเหลาะเอากับคุณยายบัวทิพย์
“อ้อ…จ้ะ…ใช่จ้ะ”
ชัชพลรู้ดีว่ารัตน์สิกาจะต้องดื้อรั้นตามไปด้วยให้ได้ หากตัดสินใจไปแล้วต่อให้มีแผ่นดินแยกตรงหน้า อีกฝ่ายก็คงจะต้องข้ามไปให้ได้ ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาต่อล้อต่อเถียง เขาจึงตัดสินใจว่ารีบไปรีบกลับจะดีกว่า แต่สุดท้ายก็ยังไม่วายพูดขู่
“ไปก็ไป เกิดอะไรขึ้นผมก็ไม่ได้เจ็บด้วยหรอก”
สถานที่จัดงานถนนคนเดินตั้งอยู่ใจกลางเมือง เนื่องจากเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆ งานจึงไม่ได้ใหญ่โตแต่อย่างใด ดูเล็กแต่อบอุ่น มีเวทีสำหรับพิธีเปิดและจัดการแสดงของเยาวชนจากอำเภอต่างๆ ส่วนร้านค้าก็มีทั้งพ่อค้าแม่ค้าตัวจริงและมือสมัครเล่น โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่ทำอาหารพื้นเมืองหรือขนมแบบโบราณมาจำหน่าย รัตน์สิกาเดินมองตาปรอย อยากลองชิมจะแย่แล้ว แต่เนื่องจากตอนที่ทั้งสองเดินทางไปถึง ร้านรวงต่างๆ เพิ่งตั้งร้านจึงยังไม่พรั่งพร้อมกันดี แล้วชัชพลก็เดินตรงดิ่งไปหาร้านของตัวเองก่อนจนเธอได้แต่ข่มใจไว้
บูธสินค้าร้านผ้าทอของชัชพลดูกว้างขวางและตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ตอนไปถึงก็มีพนักงานของร้านกำลังจัดเรียงสินค้ากันอยู่อย่างขะมักเขม้น หญิงสาวยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าร้านขณะที่ชายหนุ่มคอยดูแลสั่งการลูกน้อง แต่ก็เพียงไม่นานเท่านั้นเมื่อทั้งร้านค้าและบนเวทีเปิดงานเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงที่สวมเสื้อยืดสีขาวจึงรับเสื้อผ้าฝ้ายสีอ่อนมาจากพนักงานคนหนึ่ง เป็นผ้าทอพื้นเมืองที่ไม่มีลวดลาย ตัดเย็บเป็นเสื้อแขนยาวคอกลมติดกระดุมจีนทำให้คนสวมดูภูมิฐานขึ้นมาหลายส่วน
ชายหนุ่มกวักมือเรียกหญิงสาวเข้าไปหาแล้วยื่นบางอย่างให้ อีกฝ่ายรับมาแบบงงๆ หยิบผ้าที่ถูกพับวางทบซ้อนกันนั้นขึ้นมาดูก็พบว่าน่าจะเป็นชุดผ้าทอของผู้หญิงชุดหนึ่ง
“อะไรเหรอคะ”
“ของคุณไง”
“ของฉัน?” เธอยังคงไม่ค่อยเข้าใจที่จู่ๆ ก็ถูกยัดเยียดเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาเป็นของตัวเอง ก่อนจะก้มตัวมองการแต่งกายของตนก็ไม่พบว่าดูไม่ดีตรงไหน “ฉันแต่งตัวไม่เรียบร้อยเหรอคะ”
“เปล่า…” เขาปฏิเสธแล้วอธิบายจนคนฟังถึงบางอ้อว่า “มาเป็นนางแบบให้หน่อย”
ร่างสูงผายมือไปทางหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่กั้นผ้าม่านไว้สำหรับลองเสื้อผ้า แต่อีกฝ่ายก็ยังลังเลใจ
“ซักแล้วไม่ต้องห่วง…”
“แต่มันดูมีราคามากเลยนะคะ” คนชอบผ้าทออย่างเธอจับดูก็รู้ว่าเป็นงานประณีตมากแค่ไหน สำหรับตนเองแล้วไม่รู้ว่าต้องเก็บเงินกี่เดือนหรือกี่ปีถึงจะได้มันมาสวมใส่สักครั้งหนึ่ง
“ใส่ๆ ไปเถอะ ผมให้ยืมเฉยๆ นะ ไม่ได้ให้หรอก”
“ฉันก็ไม่ได้คิดจะฮุบมาเป็นของตัวเองซะหน่อย”
หญิงสาวพูดเสียงสูง ตัดสินใจหยุดต่อล้อต่อเถียงแล้วสะบัดหน้าจากไปทันที
งานถนนคนเดินถูกใช้เป็นการโฆษณาเพื่อการท่องเที่ยวของจังหวัด พิธีเปิดจึงมีตัวแทนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ชัชพลต้องเข้าร่วมในฐานะเจ้าของร้านผ้าทอซึ่งมีชื่อเสียง ทั้งยังเป็นตัวแทนของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์รวมความรู้เรื่องผ้าโบราณที่มีความสำคัญระดับจังหวัด รัตน์สิกาจึงต้องมานั่งอยู่กับชัชพลที่หน้าเวที
หญิงสาวเพิ่งเข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นผ้าทอพื้นเมืองด้วย นั่นก็เพราะรายรอบตัวเธอในขณะนี้เต็มไปด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ที่แต่งกายด้วยผ้าทอเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่ช่างสรรหาผ้าซิ่นที่สวยงาม ทอและปักลวดลายอย่างอลังการงานสร้างจนนึกว่าเป็นเจ้านางจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
เสื้อผ้าของเธอออกจะเรียบๆ ไปบ้าง แต่นั่นก็นับว่าทำให้ผู้ใส่ดูสวยสมวัยด้วยเสื้อผ้าฝ้ายทอมือ แขนสามส่วน เอวเข้ารูป สีครีมอ่อนโทนเดียวกับของชัชพล ส่วนผ้าซิ่นนั้นเป็นผ้าตีนจก ลายผ้าโบราณซึ่งเกือบจะหายสาบสูญไปแล้วนั่นเอง ตัวซิ่นเป็นลายขวางสีเหลืองมะนาว และเนื่องจากเนื้อผ้าทอแทรกดิ้นทองเวลาที่เคลื่อนไหวจะมีประกายสะท้อนแสงเลื่อมพรายยิ่งเสริมให้คนสวมดูสวยสูงส่งเป็นพิเศษ
ในแง่การเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์รัตน์สิกาถือว่าทำได้ดีมาก มีสายตาหลายคู่คอยจับจ้อง บ้างก็คิดจะหาซื้อผ้าทอมาใส่เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มเจ้าของร้านคาดคิดไว้แล้ว แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ค่อยมีความสุขนัก
คิดว่าพอจะทำใจได้เพราะนี่ไม่ใช่แรกเห็น…แต่ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี
‘นางแบบกิตติมศักดิ์’ หันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้าง…ตั้งแต่โผล่พ้นม่านกั้นสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอสวมชุดนี้ริมฝีปากของเขาอาจจะแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาคู่นั้นก็ยังมีม่านแห่งความเจ็บปวดจางๆ
เขาทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร และเธอก็ทำเป็นว่ามองไม่เห็นบางสิ่งที่เผยออกมา
ระหว่างงานพิธีการที่แสนน่าเบื่อหญิงสาวจึงแอบถอนหายใจ บ่นออกมาเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น
“ทำไมไม่เห็นบอกเลยว่าต้องมาร่วมตอนเปิดงานด้วย”
“นี่คุณอยากมาเองนะ”
คนฟังมีสีหน้าอึดอัดใจ
“ฉันไปเดินเที่ยวก่อนได้ไหมคะ”
“พิธีเปิดยังไม่เสร็จจะหนีไปดื้อๆ ได้ยังไง”
“ในงานเขาเชิญคุณนะ ไม่ได้เชิญฉันสักหน่อย”
“คุณคิดว่าผมไม่เบื่อเหมือนคุณบ้างเหรอ แล้วลุกไปตอนนี้มันก็เสียมารยาท”
“ถ้ามีใครถามก็บอกว่าฉันไปเข้าห้องน้ำละกัน” เธออุตส่าห์หาข้ออ้างที่ดูดีสุดๆ แล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังทำหน้านิ่ง เอ่ยถามด้วยสายตาเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กน้อยอยู่
“คุณเป็นอะไรมากรึเปล่า ลุกลี้ลุกลนเหมือนเด็กอยู่ไม่สุขเลย”
“ก็ฉัน…”
“คุณทำไม”
“ฉันหิวข้าวนี่นา”
รัตน์สิกาสารภาพออกมาตามตรง ทำหน้าเบ้พลางเอามือกุมท้องตัวเองไว้ นี่ก็ค่ำแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอเลย นึกถึงบรรดาของกินที่เดินผ่านเมื่อครู่ก็ทำเอาแสบไส้ยิ่งกว่าเดิม สายตาเหลือบมองแก้วน้ำผลไม้ที่อยู่ตรงหน้าเธอก็ดื่มหมดจนไม่เหลือสักหยดไปนานแล้ว ชายหนุ่มมองตามสายตาอีกฝ่ายแล้วจึงหยิบแก้วเครื่องดื่มของตนเองมาให้
“ผมยังไม่ได้ดื่ม คุณดื่มรองท้องไปก่อนแล้วกัน”
“ฉันอยากกินข้าว…เข้าใจไหมข้าวน่ะ”
หญิงสาวมองซ้ายแลขวา แล้วหันมากระซิบบอกเขาอีกทีด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ให้ฉันไปเถอะนะคะ”
“ไม่ได้!” คำตอบที่เธอได้รับคือคำปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังจนไม่กล้าขัดขืนคำสั่ง
อากาศเริ่มเย็นลงจนเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือก ทว่าร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ เขากลับไม่มีทีท่าจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นเลยสักนิด
ชัชพลหันไปมองอะไรบางอย่างด้วยสัญชาตญาณ แล้วก็พบกับเงาดำมืดที่แฝงตัวอยู่มุมหนึ่งคล้ายกำลังคอยเฝ้าดูอยู่ นางพรายน้ำประสานสายตากับอีกฝ่ายแล้วชะงักไปนิดหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างก็มองกันนิ่งๆ ไม่มีใครขยับเขยื้อน แต่เพราะว่าโอกาสดีแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นางจึงหมายใจว่าจะต้องแก้มือจากคราวก่อนให้ได้
หากเพียงแค่สาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นเพียงก้าวเดียว…ดวงตาคมปลาบที่มองมานั้นยิ่งฉายแววแรงกล้า แสงสว่างชวนให้หวนนึกถึงการปะทะกันครั้งก่อน ฝ่ามือแผ่กว้างซึ่งเคยถูกเผาไหม้แม้ว่าวันนี้จะหายดีแล้วก็พลันร้อนวาบขึ้นมาราวกับแผลนั้นยังคงอยู่
พริบตาต่อมานั้นเอง…เงามืดทะมึนก็พลันหายวับไป
ชัชพลรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายเหลียวซ้ายแลขวามองหาให้แน่ใจอีกที เมื่อหันกลับมามองรัตน์สิกาที่ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มอยู่อย่างไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยก็ทำเอาคนมองถอนหายใจยาวๆ ทีหนึ่งแล้วประกาศกร้าว
“ในเมื่อคุณเลือกที่จะออกมาเองนะ…กฎข้อที่หนึ่งของเราวันนี้ ผมไปซ้ายคุณไปซ้าย ผมไปขวาคุณไปขวา ห้ามอยู่คลาดสายตาผมเด็ดขาด!”
ผ่านพ้นจากงานพิธีเปิดแล้ว รัตน์สิกาแทบจะลากตัวชัชพลออกมาจากงานในทันที ขณะนี้หญิงสาวจึงรู้สึกประหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางสวนสวรรค์ เข้าร้านโน้นชิมร้านนี้ อิ่มจนพุงกางจนแทบไม่มีที่ว่างในท้องให้ยัดอะไรแล้วนั่นแหละถึงได้เพลาๆ ลงบ้าง…แต่ถึงจะกินน้อยลงเธอก็ยังไม่วายซื้อติดไม้ติดมือเผื่อเอาไว้กลับบ้านด้วย ชายหนุ่มจึงต้องช่วยหิ้วของในระหว่างที่อีกฝ่ายเดินลั้ลลาเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
“จะซื้ออะไรกันเยอะแยะ”
“อ้าว ก็ซื้อกลับบ้านไงคะ”
“เอากลับไปให้ใคร” ชายหนุ่มหรี่ตามอง
“ก็…ก็เอาไปให้คุณยาย”
“คุณยายกินนิดเดียว ไม่เยอะแบบนี้หรอก”
“เอ่อ…ก็ให้ฉันด้วยไง” คนพูดหัวเราะแหะๆ
“นี่คุณยังกินไม่พออีกเหรอ”
“เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยอุ่นกินอีกทีก็ได้”
“ปากกว้างกว่าท้องจริงๆ” เขาเบือนหน้าหนี ส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ว่าไงนะคะ”
“เปล่า อิ่มแล้วก็กลับเลยไหม”
“เดี๋ยว! เดินให้สุดทางก่อนสิคะ ไหนๆ ก็มาแล้วจะเดินครึ่งๆ กลางๆ ได้ไง” เธอรีบปฏิเสธทันทีทันใด
ชัชพลจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามอีกฝ่ายไป เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่พบนางพรายน้ำหรือความผิดปกติใดๆ อีกจึงค่อยเบาใจมากขึ้น
ระหว่างทางรัตน์สิกาสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งขายไอศกรีมโบราณอยู่ ด้านหน้าของเธอคือหม้อสแตนเลสใบใหญ่ด้านในเป็นรูเหมือนลังถึงไว้เสียบกระบอกโลหะซึ่งภายในใส่น้ำหวาน แต่เนื่องจากตอนนั้นอากาศเริ่มเย็นแล้ว ร้านไอศกรีมจึงค่อนข้างจะเงียบเหงา
หญิงสาวชะงักกึก สาวเท้าไปยังทางนั้นโดยอัตโนมัติ
“ขายยังไงคะหนู”
เด็กหญิงอายุประมาณสิบกว่าขวบเงยหน้าขึ้นมามองด้วยดวงตาใสแจ๋ว ตอบเป็นภาษากลางอย่างฉาดฉาน
“แท่งละสองบาทค่ะ”
“หา?…สองบาท” ลูกค้าสาวอุทานออกมาเบาๆ
“ใช่แล้วค่ะ มีหลายรสนะคะ เลือกได้เลยค่ะพี่สาวคนสวย”
ร่างบางหันไปหาคนตัวสูงแล้วเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ
“เด็กฉลาดชาติเจริญค่ะ”
ชายหนุ่มทำหน้าเอือมระอา…
“เอาสองแท่งแล้วกันค่ะ คิดว่ารสไหนอร่อยสุดเลือกมาให้พี่เลย” รับสินค้าแล้วเธอจึงยื่นธนบัตรสีแดงให้อีกฝ่าย “ไม่ต้องทอนนะ”
เด็กน้อยลังเลใจนิดหนึ่ง ไม่กล้ายื่นมือไปรับเพราะมูลค่าของมันเกินค่าไอศกรีมของเธอไปหลายเท่า
“เอาไปเถอะ ถือว่าสำหรับคำชมไง”
แม่ค้าตัวน้อยยิ้มกว้างพนมมือไว้พร้อมเอ่ยขอบคุณ รัตน์สิกาเดินจากมาอย่างอารมณ์ดี จนโดนคนข้างๆ ค่อนแคะ
“เพิ่งรู้ว่าคุณบ้ายอขนาดนี้”
“ไม่ใช่ซะหน่อย” เธอทำสายตาค้อน “ก็เด็กเขารู้จักทำงานหาเงินตั้งแต่ยังเล็กแบบนี้ แต่อากาศเย็นๆ คนไม่ค่อยกินไอติมกันฉันก็ต้องอุดหนุนหน่อย”
“คุณก็เลยต้องเสียสละยอมกินเองว่างั้นเถอะ”
“ไม่ใช่แค่ฉัน…คุณด้วย” หญิงสาวว่าแล้วก็ยื่นไอศกรีมให้เขาแท่งหนึ่ง แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมไม่ชอบกินของหวาน”
“อ้าว…ได้ไงล่ะ ฉันอุตส่าห์ซื้อมาเผื่อคุณแล้วนะ”
“คุณกินเองแล้วกัน” ชัชพลไม่ยอมรับแล้วยังเดินหนีอีก
ในมือของรัตน์สิกาตอนนี้จึงต้องถือไอศกรีมเอาไว้ทั้งสองข้าง เธอมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะชิมแท่งทางซ้ายมือก่อน
“อร่อยจะตาย”
หญิงสาวมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย เห็นเดินนำลิ่วอยู่ข้างหน้าก็ต้องรีบก้าวยาวๆ ตามไป
“ไม่กินก็ไม่กินสิ…รอด้วยคุณศีล”
เดินมาจนสุดทางแล้วทั้งสองจึงต้องวกกลับไปทางเดิม แต่ยิ่งกินรัตน์สิกาก็ยิ่งรู้สึกเย็นไปทั้งตัว น้ำหวานที่ถูกทำให้แข็งเป็นรูปทรงกระบอกเริ่มละลายเธอก็ยังกินไม่หมด รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนมันไหลลงมาเปื้อนมือตัวเองนั่นแหละ
หญิงสาวตกใจเพราะเกรงว่าไอศกรีมที่ละลายแล้วจะหยดเปื้อนผ้าซิ่นที่สวมใส่อยู่
“เฮ้ย…อย่ากระเด็นโดนผ้านะ”
เธอยื่นมือออกให้ห่างตัว ก้มมองเสื้อผ้าว่ามีเลอะตรงไหนหรือเปล่า ท่าทางลุกลี้ลุกลนเพราะผ้าที่มีราคาแพงแบบนี้หากทำเปื้อนขึ้นมา…เธอไม่มีปัญญาซื้อใช้เขาหรอกนะ
รัตน์สิกามัวแต่พะว้าพะวังอยู่ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่มือใหญ่ยื่นมากุมมือเธอเอาไว้ แล้วคนที่เคยบอกว่าไม่ชอบกินอะไรหวานๆ ก็คว้าไอศกรีมที่อยู่ในมือเธอไปกินหน้าตาเฉย
ไหนเขาบอกว่าไม่ชอบกินของหวานไง
ร่างบางยืนตัวแข็งค้าง…อุณหภูมิจากมือของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลอมละลายไม่ต่างกับไอศกรีมที่อยู่ในมือ ใบหน้าพลันร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
ชัชพลรีบกัดกินคำโตๆ ก่อนที่มันจะร่วงลงจากไม้ เพียงไม่กี่คำเขาก็จัดการซะเรียบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายก็กำลังทำหน้าแปลกๆ
“ทำไม…คุณบอกว่าซื้อให้ผมไม่ใช่เหรอ”
“ไหนบอกว่าไม่ชอบอะไรหวานๆ ไงคะ”
“ทำไงได้ล่ะ” เขายักไหล่ด้วยท่าทางไม่ยี่หระราวกับว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ ก่อนที่ทั้งสองจะพร้อมใจเบนสายตามามองมือที่กำลังจับกันอยู่…ชายหนุ่มรีบปล่อยมือออกทันที
“จับมือฉันนี่ไม่กลัวเห็นอะไรแล้วเหรอคะ”
“ผมลืมไป!”
ร่างสูงตอบสั้นๆ ทำสีหน้าเหยเกเหลียวซ้ายแลขวาพักหนึ่ง ก่อนจะเปิดฝาขวดน้ำดื่มของรัตน์สิกาที่เขาถือไว้ให้มาดื่มอึกๆ หญิงสาวเอ่ยห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“นั่นมัน…น้ำฉัน!”
“น้ำหวานนั่นติดปากผมจะแย่แล้ว ขอดื่มก่อนเดี๋ยวผมซื้อให้ใหม่ก็ได้” อีกฝ่ายกัดริมฝีปากตัวเองเหมือนกำลังคิดบางอย่าง เขาจึงถามต่อ “มีอะไรอีก”
“คุณไม่คิดว่า…”
“คิดว่าอะไร”
“นั่นมันจูบทางอ้อมเชียวนะ!”
“ผมไม่นึกว่าคุณจะคิดอะไรแบบนี้ด้วย”
“คุณจะหาว่าฉันคิดอะไรเหมือนเด็กๆ อยู่รึไง”
“หรือไม่ใช่…ถ้ามีคนจมน้ำจะตายอยู่รอมร่อต่อหน้าต่อตาคุณก็จะไม่ยอมช่วยผายปอดให้เพราะมันเป็นจูบทางอ้อมงั้นเหรอ”
“นั่นมันคนละเรื่องแล้วไหมล่ะ”
“คนละเรื่องเดียวกันนั่นแหละ”
ยิ่งเขาเถียงคำไม่ตกฟากเธอก็ยิ่งโมโห หญิงสาวหน้าแดงก่ำโดยที่ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออาย เธออยากจะตะกุยหน้าของอีกฝ่ายนัก
บทสนทนาคงจะยืดยาวออกไปอีกถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนกลั้นขำอะไรสักอย่าง จึงรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าบรรดาแม่ค้าที่นั่งขายของอยู่ใกล้ๆ ท่าทางสนุกเหมือนกำลังดูละครหลังข่าวกันอยู่
รัตน์สิกามีสีหน้าเจื่อนลง อายซะยิ่งกว่าอาย ชายหนุ่มเริ่มออกเดินนำไปก่อน เธอจึงบ่นกับตัวเองโดยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทันได้ยิน
“นั่นมันเฟิร์สต์คิสของฉันเชียวนะ เอาคืนมา…”
ชัชพลหันหลังกลับมาอีกครั้ง ร่างสูงยืนตรงหน้าเธอแล้วถามสั้นๆ
“หรือจะให้ผมจูบคืน?”
ร่างบางชะงักกึก คำถามเดียวแต่รู้สึกเหมือนตัวเธอล้มลงไปนอนแผ่หลาที่พื้นแล้วมีกรรมการมานับหนึ่งถึงสิบอยู่…เธอน็อคตายคาที่ทันที
ชายหนุ่มได้แต่ทำเสียงอึกอักในลำคอ แล้วตัดสินใจได้ว่าควรจบประเด็นนี้ทันที แต่ก็ยังไม่วายกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“กฎข้อที่สองของเราวันนี้…ห้ามคุณทำอะไรไม่คิดอีก”
คุณไม่คิด แต่ฉันน่ะคิด!
ดูเหมือนว่าการออกมาเที่ยวครั้งนี้จะคุ้มค่า การต่อล้อต่อเถียงระหว่างเธอกับเขาช่วยให้สถานการณ์ระหว่างทั้งสองดีขึ้นมาก หลังจากนั้นรัตน์สิกาจึงพยายามทำเป็นยั่วโมโหชัชพลเป็นระยะๆ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ทำหน้าเย็นชาหรือทำท่าทางห่างเหินใส่เธออีก แต่บางครั้งก็กลับกลายเป็นตัวเองถูกยั่วโมโหแทนซะอย่างนั้น
สุดท้าย…ก่อนที่จะเดินทางกลับหญิงสาวต้องไปที่บูธร้านผ้าทออีกครั้งเพื่อเอาชุดไปคืน ตอนออกมาจากห้องลองเสื้อก็พบว่าชัชพลกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ แม้จะพยายามทำทีไม่สนใจแต่ก็ได้ยินประโยคสนทนาแว่วมา ดูเหมือนจะมีคนโทรมาขอความช่วยเหลือบางอย่าง เธอพยายามจับใจความการสนทนาหากก็จับได้ไม่มากนักเพราะไม่เข้าใจในบางคำ รู้แต่ว่าเขาดูจริงจังเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยน้ำเสียงหนักใจ พูดกันอยู่พักหนึ่งสุดท้ายก็จบการสนทนาแล้วหันมาบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวผมคงต้องไปทำธุระใกล้ๆ นี้แหละ คิดว่าคงไม่นาน คุณจะรออยู่ที่นี่หรือไปด้วยกัน” เขาบอกน้ำเสียงร้อนรนเหมือนมีเรื่องด่วน
“ฉันไปด้วยก็ได้ค่ะ”
เธอคิดว่ามันคงจะดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่เฉยๆ เห็นอีกฝ่ายเร่งรีบก็เลยต้องเป็นไปกับเขาด้วยโดยอัตโนมัติ
จุดหมายของชัชพลอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง สีสันของไม้ซีดจางตามกาลเวลา ทว่ามีข้อดีตรงพื้นที่รอบบ้านเป็นสีเขียวชอุ่ม ต้นไม้ใหญ่น้อยให้บรรยากาศชื่นฉ่ำใจ หน้าประตูมีชาวบ้านมามุงดูเหมือนมีเรื่องน่าสนใจบางอย่าง สองหรือสามคนในนั้นเป็นผู้ใหญ่ชายหญิง นอกจากนั้นก็เป็นเด็กๆ ที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น
ร่างสูงก้าวฉับๆ เข้าบ้านไปด้วยความไวแสง หญิงสาวจึงรีบแทรกตัวตามเขาไป พบกับสตรีต่างวัยสองคนรออยู่ด้านใน คนหนึ่งอยู่ในวัยเกือบกลางคนแล้ว มีรูปร่างท้วม ใบหน้ากลม ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นหญิงสาวท่าทางแก่กว่าเธอไปไม่กี่ปี รูปร่างผอมแห้ง หากยังไม่ทันเพ่งดูฝ่ายหลังให้ชัดเจน หญิงรูปร่างท้วมก็ลุกขึ้นเดินมาหาผู้มาใหม่ด้วยท่าทางร้อนใจ
“ศีล…มาก่ดีละ ลองไปช่วยอู้สักหน้อยเต๊อะ พี่ลองแล้วแต่อู้กันบ่ฮู้เรื่อง”
“ครับ พี่แข”
แขไขคือญาติร่วมสายเลือดทางฝั่งตาของชัชพล ทำอาชีพหมอดูซึ่งก็ถือว่ามีชื่อเสียงคนหนึ่ง วันนี้มีลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีชื่อว่ากุ้ง เป็นหญิงสาวอายุเข้าสู่วัยเบญจเพส และคิดว่าอาจด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้ประสบปัญหาอย่างหนักหนาสาหัส จึงคิดจะมาให้หมอดูตรวจดูดวงให้เผื่อว่าจะมีทางแก้ไข แต่แล้วจู่ๆ ท่าทางของลูกค้าสาวก็เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนจนแขไขเกินจะรับไหว สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาญาติผู้น้องซึ่งเธอได้รับรู้มาตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็กว่ามีความพิเศษต่างไปจากคนอื่น
มาถึงตอนนี้รัตน์สิกาถึงเพิ่งมีโอกาสสังเกตความผิดปกติของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่นั่งไม่พูดไม่จา…หลังของอีกฝ่ายงองุ้ม ไหล่ตก ก้มหน้าลงจนคางเกือบชิดอก มือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่าอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ตัวสั่นไหวตลอดเวลา ลักษณะท่าทางเช่นนั้นดูคุ้นตาทำเอาเธอใจหายวาบ เข้าใจได้ว่าทำไมชัชพลถึงต้องถูกเรียกมาที่นี่…ร่างบางทรุดตัวลงนั่งเพื่อดูความเป็นไปอย่างเงียบๆ
แว่วเสียงของแขไขไล่ชาวบ้านที่มาทำตัวเป็นไทยมุงอยู่ราวกับจะรู้ใจชายหนุ่มดี เขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิไม่ไกลกับร่างผอมแห้งนั้น
“คิดจะมาช่วยพูดให้มันอีกคนใช่ไหม…มึงรู้ไหม กูเป็นใคร” เสียงตวาดแฝงการวางอำนาจใหญ่โต ทว่าคนฟังยังสงบนิ่ง มั่นคงดุจขุนเขา ราวกับไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนความหนักแน่นของเขาได้ นั่นเพราะเป็นปกติที่พวกเล็กๆ มักจะทำตัวกร่างจนเขาชินเสียแล้ว
“เจ้าแม่…ผมพูดถูกใช่ไหม” เขาเอ่ยแผ่วเบา เบาจนหญิงสาวที่นั่งห่างๆ แทบไม่ได้ยิน ร่างที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัวนั้นชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ใบหน้าผอมตอบเงยขึ้นมามองชายหนุ่ม เปลือกตาหรี่จนแทบไม่รู้ว่ายังลืมตาอยู่ไหม
“มึงเป็นใคร รู้จักกูได้ยังไง”
“ผมเป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่เจ้าแม่ต้องการอะไรก็บอกเลยดีกว่า”
“กูเคยบอกแล้ว…นางคนนั้นมันก็รู้ดีกว่ากูต้องการอะไร”
สายตาของทุกคนในที่นั้นหันไปมองแขไขเป็นตาเดียวกัน เจ้าตัวจึงรีบบอก
“กุ้งมันฮู้ดีว่ามันมีองค์อยู่ แต่ก็บ่ยอมไปรับขันธ์ มันบอกว่ามันยังบ่พร้อมเตื้อ”
“แล้วเจ้าแม่ไม่รู้เหรอว่าการใช้ร่างของคนที่เขายังไม่ได้รับขันธ์แบบนี้ สังขารเขาจะเสื่อมเร็วนะ”
“กูไม่สน…”
คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ…มิน่าพี่แขถึงบอกว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง
“ถ้าเจ้าตัวเขายังไม่พร้อมก็ยืดเวลาไปสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้! รู้ไหมว่ากูรอมานานแล้ว ตั้งแต่มันรู้ตัวก็ผ่านมาตั้งสองปี รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่เคยสนใจ”
“ถ้าอย่างนั้น…หากเขาไม่อยากเดินเส้นทางนี้ เจ้าแม่ก็ปล่อยเขาไปได้ไหม” ชายหนุ่มพยายามประนีประนอม
ปัง!
เสียงฝ่าเท้ากระแทกพื้นดังปัง ร่างผอมแห้งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง เป็นคำปฏิเสธโดยที่ไม่มีคำพูด
ช่างเป็นเจ้าแม่ที่ไม่มีความเรียบร้อยเลย นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มคิด
พริบตานั้น…นิมิตบางอย่างก็เกิดขึ้น เป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย ไม่ใช่ร่างกายผ่ายผอมของหญิงสาวที่ชื่อกุ้ง ทว่าเป็นรูปกายดำมืดเหมือนกำลังอยู่ในมุมมืดที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง
อีกไม่นาน…ก็อาจจะเปลี่ยนภพภูมิ ทว่าเป็นภพภูมิที่ตกต่ำลง
ชัชพลรู้สึกสะท้อนใจ ความหมั่นไส้และความรำคาญกลับกลายเป็นเวทนา ความสงสารฉายชัดผ่านทางแววตา…สิ่งที่เห็นทั้งหมดทั้งมวลนี้มีแต่ต้องเก็บไว้เพราะจะทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้น หรือจุดเพลิงโทสะของอีกฝ่ายจนทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นไปอีก
ผู้ถูกมองกลับไม่ชอบใจนัก แม้ไม่รู้ว่าสายตาเช่นนั้นหมายถึงอะไรแต่มันก็ทำให้ร้อนรุ่ม อึดอัด จากที่ตอนแรกแขไขพูดยังไงก็ยังไม่ยอมออกจากร่างของกุ้งง่ายๆ มาถึงตอนนี้กลับรู้สึกไม่อาจทานทนสายตาคู่นั้นได้
“แค่บอกมัน…หากยังไม่ยอม มันจะโดนยิ่งกว่านี้”
“หมายความว่ายังไงครับ…”
“มึงคิดว่าที่ชีวิตมันเจอแต่ปัญหาจนต้องวิ่งแจ้นมาหานังหมอดูนี่เพราะอะไร”
ชัชพลสะอึกกับประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้น และคนถามก็เป็นฝ่ายเล่าเอง
“ข่มให้สังขารมันอ่อนแอลง…เพิ่งโดนรถชนมา เฝือกยังเพิ่งถอดได้ไม่นานมานี้…ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้น…กู้หนี้ยืมสิน เอาเงินไปลงทุนก็เหมือนละลายหายไปในแม่น้ำ…แต่มันก็ทนทานจริงๆ!”
เสียงฮึ่มฮั่มในลำคอดูราวกับเหลืออดเหลือทนแล้ว
“นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย หากมันยังไม่ยอมอีกล่ะก็…กูจะทำให้ชีวิตมันสิ้นไร้จนถึงที่สุด…จนแม้แต่ชีวิตของมันเองก็ไม่เหลือ!” เป็นเสียงตวาดกร้าวสุดท้ายก่อนที่ร่างผอมแห้งนั้นจะคอพับคออ่อนฟุบลงกับพื้น
แขไขรีบพุ่งเข้ามาดูอาการ ส่วนชายหนุ่มทอดถอนหายใจเมื่อการช่วยเจรจาไม่ได้ผลอันน่าพึงพอใจ พอมาถึงตอนนี้สายตาคมเพิ่งเหลือบเห็นหญิงสาวที่นั่งนิ่งอยู่ริมประตู เมื่อเขาหันไปมองรัตน์สิกาเต็มๆ ตา บางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจ เหมือนจู่ๆ สวิตช์ไฟในสมองก็ถูกเปิด หลอดไฟในหัวสว่างวาบขึ้นมาทันที
เขานึกรู้…ว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่!
ระหว่างที่เดินทางกลับ รัตน์สิกาตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง สิ่งที่ได้พบเจอราวกับเป็นเรื่องแปลกใหม่ หญิงสาวอาจจะคุ้นเคยกับภาพลักษณ์ที่ดูดีของคนเป็นร่างทรงเฉกเช่นย่าของเธอและพ่อปู่อัคนิรุทร ไม่ใช่มุมมืด การกดขี่ข่มเหง เพียงเพื่อสนองอัตตาของตนเหมือนอย่างเช่นวันนี้…
ชัชพลจึงมีโอกาสลอบพินิจพิจารณาอีกฝ่าย…ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตางอน ปลายจมูกโด่งเชิดขึ้น และริมฝีปากบางเฉียบ
เหมือนกัน แต่แตกต่างกัน
รัตน์สิกาในวันนี้ไม่คล้ายคำแก้วในวันนั้น
หากดูโดยทั่วไปแล้วอาจไม่ผิดแผกกันนัก ลักษณะต่างๆ ยังคงความเหมือน เพียงแต่ว่าคำแก้วนั้นมีรูปร่างผอมบาง ดูอ่อนแออมโรค ที่สำคัญคือแววตา…นัยน์ตาโศกของคนในอดีตช่างแตกต่างกับนัยน์ตาสุกสกาว ที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองของคนปัจจุบันนี้
แม้จะรู้สึกไม่อยากมองหน้า ไม่อยากพูดด้วย อยากหนีไปให้ไกลจากผู้หญิงคนนี้ให้มากที่สุด แต่กลับไม่อาจห้ามความรู้สึกอีกด้านที่พุ่งสวนทางกันมา นั่นคืออยากคอยอยู่ใกล้ๆ ทั้งยังไม่อาจห้ามสายตาไม่ให้มองหาอีกฝ่ายได้ ดังนั้นชายหนุ่มในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับการตกอยู่ท่ามกลางลมพายุที่พัดมาทั้งทิศเหนือทิศใต้ ทำเอาซวนเซไปซ้ายทีขวาที
ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนแต่ยากที่จะทำใจยอมรับมันคือความรู้สึกที่ว่า…ทำไมไม่เชื่อใจกัน
ทำไมถึงไม่เชื่อว่าสิงห์คำจะสามารถปกป้องเธอได้…
สวนหลังบ้านครึ้มด้วยร่มไม้ใหญ่ ปลูกไม้ดอกเล็กๆ และไม้ประดับจำพวกเฟิร์น ทั่วทั้งบริเวณจึงเต็มไปด้วยสีเขียวขจี ให้ความรู้สึกเย็นหูเย็นตา เย็นใจ และเย็นด้วยอุณหภูมิอากาศอีกด้วย
บึงบัวขนาดปานกลางซึ่งถูกขุดขึ้นกึ่งกลางสวนบัดนี้มีน้ำใสล้นปรี่ สามารถมองเห็นฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ไปมา ลำตัวของมันพลิ้วไหวท่ามกลางสายน้ำและกอบัวสาย ดอกบัวสีชมพูเข้มจัดชูช่อสลอนขึ้นมาจากน้ำ แม้จะไม่ได้มีบัวอยู่แน่นขนัด แต่พอตัดกับสีเขียวเข้มของทั้งสวนก็ให้ความรู้สึกลงตัว
ร่างสูงโปร่งและเรือนร่างเพรียวบางเดินทอดน่องไปยังกึ่งกลางของสะพานไม้ที่ข้ามผ่านกลางบึงบัว
“มีอะไรจะคุยเหรอคะ”
ชายหนุ่มเหมือนจะเตะถ่วงให้เวลายืดออกไปอีก รอบกายมีเพียงความสงบ…ครั้นเห็นว่าคงไม่มีใครมาขัดจังหวะการสนทนาครั้งนี้แล้ว เขาจึงเปิดปากพูด
“วันก่อนคุณเคยพูดถึง…ย่าของคุณท่านบอกว่าคุณมีองค์งั้นเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ…แล้วยังไงคะ”
“ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”
รัตน์สิกายังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขา แต่ก็บอกเล่าให้ฟังแต่โดยดี
“ก็ตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็กๆ แล้วล่ะค่ะ พ่อปู่อัคนิรุทรของย่าเคยบอกว่าฉันมีเทพที่ปกปักรักษามาตั้งแต่เกิด”
“รู้ไหมว่าท่านชื่ออะไร”
“อืม…ไม่เคยได้ถามแฮะ ฉันไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนี้ ตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่เขาพูดอะไรก็ฟังไปอย่างนั้นแหละค่ะ ยิ่งพอโตขึ้นมาก็ไม่ได้คลุกคลีกับ ‘ทางนั้น’ เท่าไหร่”
“แล้วคุณรู้อะไรบ้างไหมเนี่ย” น้ำเสียงเขาติดจะขุ่นเขียว
“เฮ้อ…ฉันจะไปอยากคุยเรื่องนี้กับย่าได้ยังไงล่ะคะ เวลาที่คุยโทรศัพท์กันก็ต้องเลี่ยงให้ห่างเรื่องนี้ที่สุด ไม่งั้นบทสนทนามันก็จะวกไปจุดที่ว่าย่าเอาแต่คะยั้นคะยอให้ฉันไปรับขันธ์นั่นแหละ”
ชายหนุ่มมีทีท่าชะงักไปก่อนจะครางเสียงแผ่ว
“ทำไม…คุณไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้”
“แล้วทำไมต้องบอกด้วยคะ คือฉันไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไร ก็แค่คำแนะนำที่ฉันไม่อยากปฏิบัติตาม” หญิงสาวถามด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ไม่ใช่แค่สำคัญ แต่สำคัญมากเชียวล่ะ”
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” คราวนี้หญิงสาวรู้สึกใจเต้นผิดจังหวะแบบแปลกๆ แล้วก็เหมือนหัวใจหล่นวูบไปอยู่แทบเท้าเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเขา
“ผมคิดว่า…ผู้ที่ทำร้ายคุณอยู่ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก แต่เป็นองค์ของคุณเอง!”
หางเสียงของชัชพลยังดังก้องอยู่ในหัวของรัตน์สิกานานหลายนาที ร่างบางรู้สึกมึนงงเหมือนใครเอาไม้มาตีที่หัว ถึงกับเผลอเซถอยหลังไปหลายก้าวจนต้องคว้าราวสะพานไว้ ตั้งนานกว่าที่เธอจะค้นหาเสียงของตัวเองเจอ
“พูดเป็นเล่นไปน่า…”
“ผมไม่ได้พูดเล่น คุณก็รู้ดี เรื่องสำคัญแบบนี้ใครเขาจะเอามาพูดเล่นกัน” น้ำเสียงเคร่งขรึมราวกับเป็นคำตอกย้ำ
“แต่คุณบอกว่าวิญญาณที่ตามทำร้ายฉันเป็นผีผู้หญิง แล้วก็มีสภาพน่าเกลียดน่ากลัวด้วย”
“นั่นคงเป็นเพียงบริวารที่ถูกใช้มาเท่านั้นแหละ”
“เทพที่ควรจะคอยปกป้องเรา…จะมาทำร้ายกันได้ยังไงคะ” หญิงสาวยังคงพยายามที่จะปฏิเสธความจริงที่ได้รับรู้ ทั้งที่สังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่มีทางผิดพลาด
“คุณก็เห็นตัวอย่างจากกรณีของคุณกุ้งแล้ว เรียกว่าเป็นวิธีการบีบคั้นอย่างหนึ่ง”
“บีบคั้น…”
ร่างบางพึมพำในลำคอ นึกถึงสิ่งที่ผู้หญิงร่างผอมแห้งคนนั้นต้องเผชิญ ทั้งปัญหาสุขภาพร่างกายและปัญหาเรื่องงานล้วนไม่ต่างอะไรกับเธอเลย พอคิดมาถึงตอนนี้ริมฝีปากก็ถูกกัดจนห้อเลือด มือเรียวบางกำแน่นเข้าหากันพร้อมๆ กับที่ความดันเริ่มพุ่งสูงปรี๊ดทันทีทันใด
“นี่มันบ้าไปแล้ว…”
“ใจเย็นๆ คุณ” ชายหนุ่มพยายามเอ่ยปลอบเมื่อเห็นความโกรธที่ฉายชัดผ่านแววตา แบบที่ว่า…ไม่เคยเห็นเธอโกรธใครเท่านี้มาก่อนเลย
“จะให้เย็นได้ยังไงคะ! ฉันก็อุตส่าห์เครียดมาตั้งนานเพราะนึกว่าชาติที่แล้วตัวเองไปฆ่าใครตายหรือเปล่าถึงถูกตามรังควานแบบนี้ แล้วดูตอนนี้สิ…มันไม่ใช่ความผิดฉันเลยนะ”
รัตน์สิกาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง น้ำเสียงไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่กำลังฟ้องผู้ปกครองอยู่ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย…เธอถูกกลั่นแกล้ง
“ผมเข้าใจน่า…”
“เป็นใครถึงกล้ามาทำกับฉันแบบนี้…มาเบียดเบียนมนุษย์แบบนี้มันถูกแล้วเหรอ เทพก็เทพเถอะทำตัวไม่น่านับถือเลย น่าจะหัดดูการวางตัวของพ่อปู่อัคนิรุทรซะบ้าง” อารมณ์ของหญิงสาวยังคงพลุ่งพล่าน อีกฝ่ายจึงพยายามเบี่ยงหัวข้อสู่ประเด็นสำคัญยิ่งกว่า
“แต่ตอนนี้คุณคงต้องเครียดกว่าเดิมแล้วล่ะ ในเมื่อรู้แล้วว่าต้นเหตุมาจากใคร หลังจากนี้คุณจะเอายังไงต่อไป”
“นั่นสินะ…” หญิงสาวหลุบตาลงครุ่นคิด สิ่งที่ผ่านมาก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรต่อไปต่างหาก เมื่อพยายามใช้ความคิดเธอจึงเริ่มสงบลง… “แล้วฉันควรจะทำยังไงดีคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยขอความเห็น รู้สึกมืดมนจนไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ร่างสูงจึงตอบด้วยอาการสงบ
“มันก็ไม่มีอะไรมาก มีแค่สองทาง…เส้นทางที่ง่ายที่สุด ราบเรียบที่สุด แล้วชีวิตของคุณจะไร้ปัญหาอีกต่อไปก็คือการ ‘ยอม’…ส่วนอีกทางคือทางที่ยากลำบาก ชีวิตของคุณจะต้องเผชิญกับปัญหาโดยไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น ก็คือการยืนยันความต้องการของตัวเอง”
“หากฉันไม่ต้องการก็ไม่มีใครมาบังคับกะเกณฑ์หรือบีบบังคับฉันให้ทำตามใจใครได้ทั้งนั้น” หญิงสาวพูดเสียงแข็ง
สมกับเป็นคุณจริงๆ ชายหนุ่มร่างสูงคิด ทว่าสิ่งที่เอ่ยออกไปกลับเป็น…
“ถามตัวเองให้ดีเสียก่อน คุณหนักแน่นพอไหม หากดึงดันแล้วท้ายที่สุดก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามมันจะเสียเวลาซะเปล่าๆ”
คำตอบของคำถามนั้นทำให้ใจซึ่งเคยร้อนรุ่มด้วยความโกรธเคืองค่อยเย็นลงราวกับมีสายน้ำมารินรดใจ
“บอกตรงๆ นะคะคุณศีล คุณคือไอดอลของฉันเลยนะ ตั้งแต่ที่ได้รู้จักคุณมันทำให้ฉันอยากมุ่งมั่นในพระธรรมคำสอน ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าจริงๆ…แต่ก็เอาเถอะ เห็นพูดแบบนี้ฉันก็ยังเคารพพ่อปู่อัคนิรุทรซึ่งเป็นองค์ของย่าฉัน นับถือเทพที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคอยช่วยเหลือผู้คน เพียงแต่จะไม่ยึดเป็นสรณะ และไม่ได้แอนตี้การเป็นร่างทรงนะคะ แต่สำหรับฉัน…มันไม่ใช่ คุณเข้าใจฉันใช่ไหมคุณศีล”
ถ้อยคำที่ได้รับรู้จากปากของรัตน์สิกาทำให้เขายิ้มออกมาได้ จึงบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมดีใจที่คุณเลือกเส้นทางธรรม ผมจะคอยช่วยเหลือคุณอีกแรงหนึ่งเอง”
และจะทำให้คุณได้รู้…ว่าผมปกป้องคุณได้ นั่นคือความคิดที่ดังก้องอยู่ในหัวของชัชพล
ในอีกมิติหนึ่ง…
“มันน่ากลัวเหลือเกินเจ้า…”
นางพรายน้ำผู้เป็นบริวารนั่งกองอยู่กับพื้น ก้มหน้ายอมรับความผิดที่ไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้
“มันมีดีอย่างใด! ขนาดสูที่มีพลังสูงสุดในบรรดาบริวารของข้ายังเยียะอะหยังมันบ่ได้” น้ำเสียงแหบพร่าทว่าเปี่ยมอำนาจบางอย่างจนชวนขนหัวลุกตวาดถามผู้อยู่ใต้อำนาจ
“ข้าเจ้าบ่ฮู้ว่ามันเป็นตัวอะหยัง แก่นต๋า* มันนี่น่ากลัวนัก รอบตัวมันมีแต่แสงสว่าง…แสงสว่างจ้า แต่มันฮ้อนขนาด ยิ่งตอนที่ข้าเจ้าจับตัวมันก็ปวดแสบปวดฮ้อนทรมานเหลือหลาย” สายตาของผู้พูดเหลือบมองฝ่ามือของตัวเองด้วยท่าทีหวาดผวา
“ฮึ…” ชายชราแค่นเสียงในจมูกราวกับกำลังดูถูก
“แล้วบ้านมันนี่นะ มีแต่อะหยังปะล้ำปะเหลือ** บ่ฮู้ ของดีมันมีหลายนัก ข้าเจ้าเข้าไปก็บ่ได้ พอฮ้องแม่ญิงคนนั้นออกมา ไอ้ตัวนั้นมันก็ออกมาขวางแหม” นางพรายน้ำพูดอย่างเจ็บใจ
“ถุย…ของเล่นละอ่อนน้อย*** แค่นี้…ข้าใคร่ไปแอ่วหามันสักกำ สูคอยผ่อก็แล้วกัน”
เจ้าของเสียงแหบพร่าพูดอย่างหมายมาด
นางรู้…ผู้เป็นนายเหนือหัวมีอำนาจมากมายแค่ไหน และคราวนี้จะไม่มีอะไรมาขัดขวางได้อย่างแน่นอน
เป็นเวลาย่ำค่ำในตอนที่ชัชพลพบว่ามีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกบริเวณโถงชั้นบน เนื่องจากอีกฝ่ายหันหลังให้จึงไม่ทันมองเห็นว่าเป็นใคร ร่างสูงเดินเข้าไปหาขณะที่ผู้มาเยือนลุกขึ้นยืนแล้วเอามือไขว้หลังไว้ราวกับรับรู้การมาถึงของเจ้าบ้านโดยไม่ต้องมองเห็น
“มาหาใครเหรอครับ”
เรือนร่างผอมบางหันกลับมา เผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น ใบหน้าให้ความรู้สึกหล่อหวานด้วยรูปหน้าเรียวยาว ดวงตาหวานหยาดเยิ้มตัดกับนัยน์ตาสีดำเข้มดุจขนนกกา เป็นดวงตาที่งามอย่างลึกลับทว่าดูไร้ชีวิตชีวา…ริมฝีปากบางเฉียบสีแดงจัดยกยิ้มที่มุมปาก แม้ใบหน้าจะหวานปานใดหากรอยยิ้มของอีกฝ่ายกลับทำให้รู้สึกว่ายิ้มนั้นช่างน่ากลัว
* แก่นต๋า แปลว่าดวงตา
** ปะล้ำปะเหลือ แปลว่ามากมายนัก
*** ละอ่อนน้อย แปลว่าเด็กน้อย
“สูเจ้าอยากพบข้าบ่ใช่กา”
“ผมน่ะเหรอครับอยากพบคุณ” น้ำเสียงของคนพูดมีแต่ความไม่เข้าใจ
ทันใดนั้น! ผิวหนังสีขาวอมชมพูของชายหนุ่มวัยกำดัดพลันแปรเปลี่ยนเป็นผิวเหี่ยวย่นจนเหลือหุ้มกระดูก…รูปร่างสูงสง่าย่อส่วนลงกลายเป็นร่างผอมแห้งของชายวัยชรา…เส้นผมสีดำเป็นมันขลับที่ถูกเกล้าเป็นมวยสูงไว้กึ่งกลางศีรษะค่อยๆ ซีดจางลงจนเป็นสีเทา…ดวงตาหวานหายไปกลายเป็นตาที่เบิกโพลงจ้องมองมา เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและดุดันจนชายหนุ่มมนุษย์ที่ถูกจ้องมองเกือบจะผงะถอยหลังกับการเปลี่ยนแปลงนั้น
ไม่ใช่เพียงแค่ดวงตากร้าว แต่ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นชายชราตรงหน้าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและน่าหวาดหวั่น…ก่อนเสียงแหบแห้งของคนแก่จะเอ่ยว่า
“พอจะเดาได้ละก่อ”
ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง ‘นึกรู้’ ได้ทันทีว่านี่คือองค์ของรัตน์สิกา
พอมาถึงตอนนี้ชัชพลเพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติ…มันคือความเงียบ…เงียบจนไม่มีแม้แต่เสียงของลมพัดใบไม้เสียดสีกันหรือเสียงนกบินผ่านไปมาเหมือนอย่างปกติ ราวกับสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ไม่กล้าเฉียดใกล้ หลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจของตัวเขาเองที่บัดนี้รู้สึกว่าได้ยินอย่างชัดเจนเหลือเกิน
ร่างสูงหันมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าศาลเจ้าที่ซึ่งตั้งอยู่หน้าบ้านนั้นหักโค่นลง ทุกอย่างล้มระเนระนาด แม้แต่เจ้าที่ก็หนีกระเจิงไปอยู่แห่งหนใดไม่อาจรู้ได้
ถึงเขาจะหมั่นอุทิศผลบุญให้กับผู้ทำหน้าที่ปกปักรักษาภายในอาณาเขตของบ้านให้มีฤทธิ์เดชที่สามารถป้องกันไม่ให้วิญญาณอื่นเข้ามาได้ แต่กับผู้บุกรุกที่มีอำนาจเหนือกว่าแล้ว ท่านเจ้าที่ก็ยังถึงกับพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และต้องยอมหลีกทางให้กับอีกฝ่าย
เสียงหัวเราะก้องกังวานดังสะเทือนเลื่อนลั่นเสียดแทงเข้าไปถึงแก้วหูชั้นในสุด คนฟังอย่างเขาก็ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายแสดงฤทธิ์เดชไป
“ผมไม่คิดว่าท่านจะมาพบเร็วขนาดนี้”
“ข้าก็อยากมาทักทาย สูเจ้ายังบ่ฮู้จักชื่อเสียงเรียงนามของข้าบ่ใช่กา”
“แล้วท่านชื่ออะไรล่ะ”
“ชื่อของข้าคือ…ปู่เจ้าพยัคฆินทร์!”
“ปู่เจ้าพยัคฆินทร์” ชายหนุ่มทวนชื่อนั้นเพราะรู้สึกเหมือนคุ้นเคยอะไรบางอย่าง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่าย แต่แล้วเขาก็สลัดความสงสัยมุ่งเข้าสู่ประเด็นสำคัญแทน
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมก็ขอเข้าเรื่องเลยละกัน…ผมขอให้ท่านปล่อยใบบุญไปตามทางของเธอ ในเมื่อเธอไม่ยินดีเป็นร่างก็อย่าบีบบังคับกันเลย”
“สูบ่ต้องอู้นัก ไปบอกอี่นางหน้อยหื้อมันรับขันธ์ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี”
“แต่ใบบุญไม่ต้องการอย่างนั้น หากท่านหวังดีต่อเธอ ทำไมต้องทำร้ายเธอด้วย” เขาเอ่ยแย้งจึงถูกชายชราตวาดใส่
“จะไปมาอวดหลวก* อี่นางหน้อยมันหัวแข็งนัก หากข้าบ่บีบบังคับมันจะยอมง่ายๆ กา บอกหื้อมันรับข้าไว้ใส่เกล้าเหนือหัวเหมือนที่เกยผ่านมา แล้วข้าจะทำหื้อทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แล้วยังมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีแต่คนเคารพนับถือที่ได้เป็นร่างของปู่เจ้าพยัคฆินทร์”
“ก็ไม่ใช่เพราะเธอหัวแข็งแบบนี้หรอกหรือ ท่านถึงติดค้างใจไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ”
ชัชพลพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเพราะไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะเรียกเขาเหมือนอย่างที่คำแก้วเรียกในนิมิต
“อู้เมืองกับข้าไอ้น้อย!” น้ำเสียงแข็งกร้าวตวาดก้อง “สูเจ้าเป็นลูกหลานคนเมือง จะไปมาสลิดอู้ไทยกับข้า”
“ได้ครับๆ ใจเย็นๆ ก่อนเน้อ” ชายหนุ่มพยายามโอนอ่อนผ่อนตาม เกรงว่าหากยั่วแหย่ให้อีกฝ่ายโกรธเอาเห็นจะคุยกันไม่รู้เรื่อง เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนน้อมแล้วชายชราจึงสงบลง
“ข้ากับอี่นางหน้อยเกี่ยวพันกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว บ่ว่าเมื่อใดมันก็ต้องเป็นม้าขี่ ร่างทรง หรือจะอะหยังก็ตามแต่จะเรียก แต่มันเป็นของข้า! ข้ากุมขวัญมันไว้แล้ว ต่อหื้อหนีไปไกลเท่าใดข้าก็จะตามหามันพบ มีแต่สู…ไอ้น้อย บ่ว่าเมื่อใดก็มีแต่จะพลาดหวังจากกัน”
“แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ชาตินี้เธอเลือกของเธอคนเดียว เลือกที่จะบ่เป็นร่างทรง เหตุใดต้องยึดติดขนาดนี้”
ร่างสูงกล่าวพลางทอดถอนหายใจ รู้สึกระอากับการไม่รู้จักปล่อยวางของปู่เจ้าพยัคฆินทร์ มีผู้คนมากมายบนโลกใบนี้แต่กลับมาฝังจิตฝังใจกับรัตน์สิกา แม้อีกฝ่ายไม่ยินยอมก็ยังจะดื้อดึง บีบบังคับเอาให้ได้…ยึดติดจนหลงผิดไปเสียแล้ว
เขาอยากจะให้ชายชราตรงหน้าละทิ้งความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่เพียงเพื่อรัตน์สิกา แต่มันหมายถึงคลายบ่วงที่ร้อยรัดตัวท่านเองด้วย ทว่าสายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายกลับทำให้คนถูกมองไม่พอใจ เพลิงในใจปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่เคยมีผู้ใดกล้าใช้สายตาราวกับสมเพชเวทนามองปู่เจ้าพยัคฆินทร์เช่นนี้มาก่อน! สายตาที่คู่ควรมองมาสำหรับท่านคือแววตาที่มีแต่ความยำเกรงหรือความเคารพนับถือต่างหาก
ชายชราขบกรามแน่นคิดหาทางจัดการเจ้าหนุ่มตรงหน้าให้รู้สำนึก ความเงียบที่อยู่รายรอบกายค่อยๆ บีบรัดแน่นเข้ามาหาจนชัชพลรู้สึกอึดอัด ก่อนที่จะได้ยินเสียงแค่นหัวเราะทีหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ไร้ความเกรี้ยวกราด แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งที่ห่อหุ้มเปลวอัคคีไว้ข้างใน
“หากสูจำเรื่องราวในอดีตได้ กึ๊ดว่าจะบ่ยึดติดได้กา เฮอะ…ข้าจะคอยดู”
พูดจบร่างผอมแห้งของชายชราก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง…และดูจะเปลี่ยนไปมากกว่าครั้งแรกอยู่หลายเท่า เพราะคราวนี้กลับกลายเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนขนาดใหญ่ หนุ่มมนุษย์ยืนมองนิ่งด้วยกำลังตกตะลึง ยังไม่ทันรู้ตัวก็พบว่าถูกปู่เจ้าพยัคฆินทร์ในรูปลักษณ์ของเสือกระโจนเข้าใส่ เสียงเสือโคร่งคำรามดังก้อง เขายกแขนขึ้นป้องกันตัวเอง แต่แล้วทุกอย่างก็มีเพียงความมืดมิด
* จะไปมาอวดหลวก แปลว่าอย่ามาสู่รู้
เสียงสะล้อซอซึงดังแว่วมาจากศาลาไม้ยกพื้นสูงซึ่งเป็นหอบูชาปู่เจ้า บรรยากาศวันนี้ครึกครื้นด้วยมีพิธีเลือกม้าขี่คนใหม่ ด้านบนหอสูงมีผู้คนหลากหลายยากจะแยกแยะว่าใครเป็นใคร บรรดาชาวบ้านที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็มานั่งรออยู่ตามใต้ต้นไม้ด้านล่างเพื่อรอชมว่าเป็นผู้ใดที่ได้รับตำแหน่งซึ่งมีความสำคัญในเมืองแห่งนี้
ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุม ตะวันยากจะทอแสงฝ่าลงมาได้ อีกไม่นานหยาดพิรุณก็คงจะโปรยปรายลงมา
ชาวบ้านบางส่วนที่ไม่อยากตากฝนรอก็ทยอยกลับไปกันบ้างแล้ว เหลือเพียงคนที่อยากรู้อยากเห็นมากหน่อยแม้เจอฝนพรำก็ไม่หวั่นเกรง โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยแรกรุ่นที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าใครที่จะเป็นม้าขี่คนใหม่
เสียงฮือฮาอื้ออึงผสมปนเปจนดังไปทั่วบริเวณนั้นเรียกความสนใจของชายหนุ่มที่นั่งชันเข่าอยู่ใต้ต้นไม้อย่างไร้จิตใจ
น้อยสิงห์คำลุกขึ้นยืน ค่อยๆ หันไปมองทางเชิงบันไดหอบูชา
หัวใจหล่นหายวาบ…
ร่างเล็กบอบบาง…น้องน้อยของเขา บัดนี้นางยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่รายล้อม นุ่งผ้าซิ่นตีนจกสีเหลืองทองอร่ามตัดกับหัวซิ่นและตีนซิ่นที่เป็นสีแดงสดใส ลวดลายผ้าจกที่ชายด้านล่างละเอียดลออยากจะหาใดเสมอเหมือน
คำแก้วถูกเลือกแล้ว…วิญญาณของเขาคล้ายแหลกสลาย ที่ยังยืนอยู่ตรงนี้มีเพียงเศษซากร่างกายที่ไร้ชีวิตจิตใจ
อาจเป็นเพราะผ้าตีนจกสีสดใสนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ที่ทำให้หญิงสาวดูมีประกายบางอย่างแผ่ออกมา งดงามและสูงส่ง พริบตาที่ร่างแบบบางก้าวมายืนอยู่กลางลานโล่งกว้าง ท้องฟ้าด้านบนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง…
ท้องฟ้าที่เคยขมุกขมัวเต็มไปด้วยก้อนเมฆหนาทึบ มาบัดนี้กลุ่มเมฆหนาค่อยๆ แตกกระจายกันออกไป คล้ายกำลังหลีกเร้นเผยให้ดวงตะวันออกมาฉายแสงอย่างโดดเด่น ชาวบ้านทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้นมองฟ้า สุริยะฉายแสงแรงกล้า งดงามจนแม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ผ่านวันเวลามาอย่างยาวนานก็ยังพูดคุยกระซิบกันว่าต่างไม่เคยเห็นความงามเช่นนี้มาก่อนเลย
พระอาทิตย์กำลังทรงกลด…
ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์ที่ชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของปู่เจ้าบ่งบอกว่าม้าขี่คนใหม่นี้จะนำพาความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุกมาสู่ชาวเมือง
ในเวลานั้นเองที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตัดสินใจได้ คำแก้วเติบโตและเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองแล้ว เขาก็ต้องเลือกเช่นกัน!
กว่าจะเสร็จสิ้นพิธีก็เป็นเวลาเย็นแล้ว คำแก้วมายืนรอสิงห์คำอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ท้องฟ้าเป็นสีเทาแกมน้ำเงินใกล้จะมืดลงเต็มที
บางทีเขาคงไม่มาแล้ว…แต่หญิงสาวก็ยังยืนยันที่จะรอต่อไป
จวบจนได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่คุ้นชินดี เรือนร่างบอบบางหันไปตามทิศทางของต้นเสียง ยังไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมา มีเพียงรอยยิ้มยินดีทั้งที่ทุกข์ตรมเต็มอก
“อ้ายน้อย” น้ำเสียงหวานที่เอ่ยเรียกหวานซึ้งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่ความหวานกลับทำให้คนฟังรู้สึกขมปร่าในลำคอ
ชายหนุ่มลังเลใจอยู่นานกว่าจะกล้าออกมาที่นี่ มาเจอหญิงสาวตรงหน้า…หญิงสามัญที่ไม่ได้เกิดมาจากตระกูลสูงส่งแต่ก้าวไปสู่ฐานะที่สามารถสวมผ้าซิ่นตีนจกซึ่งมีลวดลายงดงามเลอค่า เป็นลายที่มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ใส่ได้…สตรีผู้ถือตำแหน่งม้าขี่
“อ้ายยินดีกับน้องโตย” แม้ในอกจะเจ็บราวกับใครเอาไม้มาทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ยังคงเอ่ยคำยินดีให้กับคนที่รัก
“น้อง…”
“บ่ต้องเป็นห่วงอ้าย เมื่อเห็นคนที่อ้ายฮักได้ตำแหน่งที่ทุกผู้ทุกคนในเมืองนี้ต้องยอมรับนับถือ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
น้ำตาของคำแก้วค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา ลำคอตีบตันจนต้องยกมือกุมอกไว้เผื่อว่าก้อนบางอย่างนั้นจะละลายหายไป ท่อนขาเรียวภายใต้ผ้าซิ่นผืนงามสั่นระริก อยากจะทรุดตัวลงนั่งกองกับพื้นแล้วร้องไห้โฮๆ เหมือนอย่างตอนเป็นเด็กแต่ก็ต้องฝืนไว้
“น้องได้เป็นม้าขี่ปู่เจ้า ต่อไปก็บ่มีไผกล้าหมิ่นแคลน อ้ายก็วางใจ ต่อไปอยู่ทางนี้ก็หมั่นสะสมบุญจากการเป็นม้าขี่ ช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็แผ่บุญกุศลมาหื้ออ้ายพ่องเน้อ”
“อ้ายอู้จะอี้หมายความว่าอย่างใด”
“อ้ายจะอาสาติดตามลุงที่เป็นแม่ทัพใหญ่ไปออกศึก เพิ่งปลงใจได้ก็เลยบ่ได้บอกน้องล่วงหน้า เก็บข้าวของบ่กี่วันก็คงร่วมเดินทางไปกับกองทัพ”
“อ้ายน้อย!” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจสุดขีด ร่างบางโผเข้าไปยึดต้นแขนล่ำทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยหยดน้ำตาเริ่มบิดเบี้ยว ราวกับกำลังอยู่ในฝันร้ายที่ไม่อาจตื่นขึ้นมาพบแสงตะวันตลอดกาล
“อ้ายอย่าไป…น้องขอ…ขอเต๊อะ” คำแก้วมีแต่ความว้าวุ่นใจ แต่สิงห์คำยังคงไม่เข้าใจ เหตุใดต้องห้ามเขา ใบหน้าหล่อเหลาแสนหม่นเศร้า ถ้อยคำที่กล่าวออกไปจึงแฝงความน้อยใจอยู่ด้วย
“ในเมื่ออ้ายยังบ่อาจห้ามน้องได้ น้องก็อย่าห้ามความตั้งใจของอ้ายเลย”
คนฟังสะอึกกับคำตอบนั้น แต่ก็ยังห้ามปรามปนสะอื้น
“เหตุใดต้องเป็นจะอี้…น้อง…น้องบ่กึ๊ดว่าจะกลายเป็น…มันอันตรายนักหนาอ้าย”
“บางทีจากตายคงจะดีเสียกว่า…”
“จะใดอู้อย่างอั้น มันเป็นลางบ่ดี” หญิงสาวยกมือปิดปากเขาเอาไว้ ส่ายศีรษะไปมา
สิงห์คำรวบร่างบางเอาไว้แนบอก ลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมดำขลับลื่นละเอียดราวกับเส้นด้ายเส้นไหม เด็กน้อยที่เขาปกป้องมานานหลายปี…ร่างเล็กได้แต่สะอื้นไห้กับอกเขาอย่างใจจะขาดรอนๆ
“ดอกแก้วดอกนี้มันอยู่ไกลเกินเอื้อมไปเสียแล้ว หากต้องหื้ออ้ายนั่งผ่อเช้าผ่อแลง* โดยบ่อาจเอื้อมคว้ามาแนบอกได้ หื้ออ้ายตายเสียยังดีกว่า…แต่อ้ายจะบ่ยอมตายง่ายๆ หรอก เมื่ออ้ายไปเป็นทหารก็จะปกป้องน้องที่อยู่ในกำแพงเมืองได้ ปกป้องดวงใจของอ้ายเหมือนอย่างที่เกยทำมาตลอด”
น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมา…เจ็บใดไหนจะเท่าเจ็บจากความรัก โดยเฉพาะรักที่ไม่อาจสมหวัง
รักใดไหนจะเท่ารักที่มีให้ต่อกัน…แต่จนใจที่ไร้วาสนา
ชาติหน้าฉันใดขอให้ได้อยู่ร่วม อย่าได้มีอุปสรรคนานัปการขัดขวางเอาไว้เช่นนี้เลย…
ในวันที่สิงห์คำจะจากไป ญาติสนิทมิตรสหายต่างมารวมตัวกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นจุดนัดพบ ชายหนุ่มรูปงามที่มีจิตใจเอื้ออารีมีแต่คนรักคนชอบเขาทั้งนั้น
นอกจากมีลุงเป็นแม่ทัพแล้ว น้าชายของสิงห์คำก็เดินทางมารับหลานด้วยตัวเองเพื่อไปรวมพลพร้อมกันก่อนจะเดินทางออกนอกกำแพงเมือง ชายวัยกลางคนที่ทำงานใกล้ชิดกับเจ้าเมืองแต่งตัวดีมีราศี ดาบประจำกายก็ดูมีราคาแพงนัก
สิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มทำก่อนจะจากไปคือหันมามองหน้าหญิงสาวอดีตคนรักผู้ซึ่งกลายเป็นม้าขี่ที่ได้รับการยอมรับนับถือ ชื่อเสียงของเธอได้รับการกล่าวขวัญไปทั่ว เจ้าเมืองเองก็ยังเชิญตัวเข้าวังเพื่อขอคำทำนายอันแม่นยำอยู่เป็นระยะๆ
ร่างสูงพยักหน้าให้พร้อมส่งยิ้ม คำแก้วจึงยิ้มตอบกลับไป ด้วยชาวบ้านที่มาส่งมีจำนวนมากเขาจึงถูกรายล้อมตัวเอาไว้ไม่อาจทำอะไรมากไปกว่านั้นอีก จวบจนได้เวลาจึงเดินทางไปพร้อมกับห่อผ้าและดาบคู่ใจ
สิงห์คำจากไปแล้ว…ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างก็ทยอยจากไป…แต่คำแก้วยังคงยืนอยู่
หญิงสาวมองตามทิศที่เขาเดินจากไปเนิ่นนาน…น้ำตาหยดหนึ่งค่อยๆ ซึมออกมา เขาเคยบอกว่าตราบใดที่มีเขาอยู่เคียงข้างจะไม่ยอมให้เธอต้องหลั่งน้ำตา แต่ตอนนี้…ไม่มีอีกแล้ว
น้ำตาที่เคยท่วมหัวใจกลับเอ่อท้นขึ้นมาและไหลออกจากตาโดยไม่อาจหักห้ามได้ หลังจากนั้นก็ล้นทะลักราวกับสายน้ำยามน้ำหลาก
คำแก้วหอบสะอื้นจนตัวโยน เป็นเสียงสะอื้นที่ไม่มีใครได้ยินแม้ว่าจะร่ำร้องราวขาดใจตายก็ตาม หญิงสาวกลั้นเสียงสะอื้น จ้องมองไปยังทิศทางที่เขาจากไป
“ตั้งแต่วันนั้น…วันที่อ้ายช่วยเหลือละอ่อนน้อยคนนี้ ใจของน้องก็ถูกผูกติดเอาไว้กับอ้ายแล้ว…แต่น้องบ่เคยนึกว่าชะตาของสองเฮาจะต้องจากกันอย่างนี้…มีบางคำที่น้องบ่เกยกล้าบอกออกไป พอมาถึงตอนนี้ก็คงบ่มีโอกาสอู้ต่อหน้าอ้ายเสียแล้ว”
ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม ในขณะที่ลิ้นรับรู้ถึงรสของน้ำตาที่แสนขื่นขม
“น้องฮักอ้าย…ฮักอ้ายน้อยคนเดียว และทั้งชีวิตนี้จะบ่มีวันฮักไผอีก” ถ้อยคำที่กล่าวออกมายังคงเจือเสียงสะอื้น “วันนั้น…น้องอยากบอก บอกว่าอ้ายรอน้องได้ก่อ ฮับใช้ปู่เจ้าสักระยะ จนลูกหลานรุ่นต่อไปเติบใหญ่อีกนิด น้องจะขอลาจากการเป็นม้าขี่…เฮาจะได้อยู่กันในบั้นปลายชีวิต แต่น้องบ่กล้าอู้ มันเห็นแก่ตัวเกินไป”
* ผ่อเช้าผ่อแลง แปลว่ามองเช้ามองเย็น
ใบหน้าซีดเซียวบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ราวกับก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายถูกบีบรัดจนแหลกเหลว ชาหนึบไปทั้งร่าง แม้จะสะอื้นไห้จนแทบขาดใจตายอยู่ตรงนั้นแต่ก็ยังดึงดันที่จะพูด
“น้องรับรู้ได้ถึงความฮักของอ้าย..แต่น้องบ่กล้าที่จะรับความฮักของอ้ายเอาไว้ บ่กล้าที่จะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ เพื่อที่จะได้อยู่กับอ้าย มีแต่การรับภาระเป็นม้าขี่เพื่อแลกกับชีวิตที่อยู่ดีมีสุขของอ้าย แต่สุดท้าย…”
เจ็บปวดทรมานนัก!
“ชาตินี้อยู่ร่วมบ่ได้ ขอเป็นชาติหน้า…น้องจะขอรออ้ายเสมอ”
หญิงสาวบอกทุกอย่างที่อยู่ในใจแล้วก็ทรุดตัวลงกองกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
แต่เขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว…น้อยสิงห์คำจากไปแล้ว และจะไม่มีวันได้รับรู้ถ้อยคำของเธอตราบสิ้นลมหายใจ!
ชัชพลยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ สิงห์คำจากไปแล้วโดยไม่ทราบความรู้สึกแท้จริงของคำแก้วเลย แต่เขายังคงอยู่ ได้รับได้รู้ทุกสิ่ง เสียงสะอื้นสั่นคลอนเข้าไปถึงหัวใจที่ห้อยอยู่ในอกข้างซ้าย หากเป็นเหมือนผลไม้ก็อยากจะเด็ดขั้วหัวใจแล้วปาทิ้งไปจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เจ็บปวดเพราะมองเห็นอีกฝ่ายเป็นคำแก้วหรือเป็นรัตน์สิกา ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ร่างเล็กที่นั่งก้มหน้ามองพื้นปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลเป็นทาง เขาค่อยๆ เอื้อมมือออกไปอย่างเลื่อนลอย ไร้ความนึกคิด เพียงแค่อยากปลอบประโลมแล้วบอกกับอีกฝ่ายว่า…อย่าร้องอีกเลยนะ
ชั่วขณะที่มือใหญ่แตะกับไหล่บอบบางนั้น โลกทั้งใบก็กลับพลิกย้อนคืน…หมุนทวนสู่กาลเวลาที่แท้จริง
บทที่ 10
มือของชัชพลยังยกค้างอยู่ แต่บุคคลที่อยู่ตรงกันข้ามกลับเป็นร่างของปู่เจ้าพยัคฆินทร์ที่ยืนเอามือไพล่หลังจ้องมองมาพร้อมเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“ว่าใดไอ้น้อย ถ้าสูบ่ฮู้สึกกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว เหตุใดข้าถึงสัมผัสความเจ็บปวดได้ชัดเจนขนาดนั้น”
ชายหนุ่มพูดไม่ออก ได้แต่อึกอักอยู่พักหนึ่ง ทว่าก็ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกของตนได้นานนัก เขาปิดกั้นสภาพจิตใจแล้วเอ่ยออกไปว่า…
“คำแก้วละทิ้งหัวใจเพื่อรับใช้ปู่เจ้า แล้วชาตินี้ยังต้องมาเจอแบบนี้ นี่คือสิ่งที่สมควรได้รับกา”
“สูบ่ฮู้ว่าอี่นางหน้อยเคยเคารพบูชาข้าขนาดไหน! มันอุทิศทั้งชีวิตเพื่อการเป็นม้าขี่ ทุกผู้ทุกคนในเมืองมีไผบ้างบ่เคยได้รับการช่วยเหลือจากมัน พลังแห่งศรัทธาของมันยิ่งใหญ่นัก ทั้งข้าและมันต่างก็สนับสนุนซึ่งกันและกันสร้างบุญปารมี*”
“ปล่อยเธอไป แล้วผมจะบอกหื้อใบบุญหมั่นทำบุญ สร้างกุศลสม่ำเสมอ ปู่เจ้าก็ได้บุญเช่นกัน”
“อวดหลวกนัก ข้าต้องการใช้ร่างของอี่นางหน้อยเพื่อโผดผาย** ชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก นั่นจึ่งเป็นการได้บุญกุศล”
ความยึดมั่นถือมั่นของปู่เจ้ารุนแรงเกินกว่าที่ชัชพลคาดคิด ปิดบังการมองเห็นจนมืดมัวไปหมด ต่อให้ชักแม่น้ำมาทั้งห้าสาย ยกเหตุผลมาเป็นร้อยพันก็คงไม่อาจทำให้มองเห็นความจริงได้
แล้วเขาจะช่วยรัตน์สิกาได้อย่างไร
“บุญกุศลบ่ใช่ว่าจะได้จากทางนั้นทางเดียวเน้อปู่เจ้า” ชายหนุ่มยังคงพยายามเกลี้ยกล่อม
“บ่ต้องมาสั่งสอนข้า…แล้วการเป็นร่างทรงของปู่เจ้าพยัคฆินทร์มันบ่ดีอย่างใด”
ดูเหมือนอีกฝ่ายเริ่มมีน้ำโหแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขามีบารมีคุ้มครองอยู่พอตัวก็เห็นทีจะโดนจัดการเสียเละตุ้มเป๊ะโทษฐานกล้าทำทุกสิ่งที่ปู่เจ้าเกลียดนัก
เขาอยากจะหัวเราะที่พูดไปเรื่องก็วนกลับมาที่เก่า…แต่ก็หัวเราะไม่ออก
“ใบบุญต้องการเดินสู่เส้นทางธรรม นั่นจะพัฒนาไปได้ไกลและรวดเร็วกว่าการเป็นร่างทรง ท่านซึ่งเป็นเทพเป็นองค์ของเธอช่วยสนับสนุนจะดีกว่า ลดทิฐิ ลดโทสะ บ่อั้น…บารมีของปู่เจ้าก็มีแต่จะเสื่อมลง”
สิ้นสุดประโยคนั้นมีเพียงความเงียบงัน ปู่เจ้าพยัคฆินทร์ยังคงยืนนิ่งอยู่จุดเดิมไม่ขยับเขยื้อนดั่งรูปปั้นที่ไร้ซึ่งชีวิต ทว่าหลังจากนั้นเพียงครู่ทุกสิ่งก็กลับตาลปัตร…
ใต้ฝ่าเท้าของร่างสูงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ท้องฟ้าภายนอกพลันมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว ก่อเกิดเป็นลมพายุที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเค้าลางสักนิด สายลมรุนแรงหนักหน่วงพัดมาปะทะประตูหน้าต่างดังพึ่บพั่บก่อนจะปิดเปิดดังปึงปังไปมาไม่ยอมหยุด เรือนไม้แทบจะสะเทือนไปทั้งหลัง ใบไม้ปลิวว่อน บางส่วนก็ถูกพัดเข้ามาภายในชั้นสองของบ้าน
ชายหนุ่มหรี่ตาลงป้องกันเศษดินและเศษใบไม้แห้งที่พัดเข้าตา ยังไม่ทันได้เตรียมตั้งรับก็ตามมาด้วยเสียงบางอย่าง…ซึ่งคงมีเพียงเขาที่สามารถได้ยิน
เสียงแหลมกรีดร้องผสมปนเปจนมั่วไปหมด ไม่อาจจับได้ว่าต้นเสียงเป็นตัวอะไรหรือมีจำนวนมากมายแค่ไหน รู้เพียงแต่ว่ามันดังอยู่รอบตัว จากทิศหนึ่งเคลื่อนไปอีกทิศหนึ่งโดยมีจุดศูนย์กลางคือตัวเขาและชายชรา
ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของปู่เจ้าพยัคฆินทร์ยิ่งเหี่ยวย่นหนักขึ้นไปอีก ดวงตาปูดโปน เส้นเลือดที่ขมับนูนเด่นขึ้นมาจนเห็นได้ชัด โทสะรุนแรงยิ่งกว่าพายุหมุนที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า เหล่าบริวารที่อยู่ใต้อาณัติสามารถสัมผัสได้ ต่างกรีดร้องวิ่งวุ่นด้วยความหวั่นเกรงเหมือนฝูงสัตว์ใหญ่น้อยแตกฮือเพราะผู้เป็นเจ้าป่า น้อยครั้งที่จะพบว่าผู้เป็นนายเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ บางส่วนจึงออกมาปรากฏตัวและพุ่งเข้าใส่ต้นเหตุแห่งเพลิงพายุด้วยหวังดับอารมณ์รุนแรงของเจ้านาย แต่กลับไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เพราะเมื่อพุ่งเข้าใส่มนุษย์ผู้นั้นก็ถูกขุมพลังบางอย่างกระแทกออกมา จึงทำได้เพียงรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนพัวพันเอาไว้รอบตัวเขา
ชัชพลเริ่มรู้สึกหวั่นใจเมื่อมองเห็นเพียงเงาดำที่หมุนวนอยู่รอบกาย มาถึงตอนนี้เขาจึงไม่สามารถมองเห็นปู่เจ้าพยัคฆินทร์ได้อีก ได้ยินเพียงเสียงคำรามของอีกฝ่าย
“สูจะไปทางใดก็เรื่องของสู แต่อี่นางหน้อยมันคือคนของข้า มันเป็นของข้า…จำไว้!”
ร่างสูงพยายามสลัดให้หลุดจากการพัวพันของเหล่าบริวารแต่ก็ทำไม่ได้ ร้อนรนอยากจะพูดคุยกันให้รู้เรื่องด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ทว่าต่อให้เขาร้องเรียกชื่อของปู่เจ้าแค่ไหนก็ไม่มีการตอบสนอง ราวกับว่าสติของอีกฝ่ายหลุดลอยไปแล้วพร้อมแรงระเบิดของโทสะ เขาจึงทำได้เพียงรับฟังเสียงโดยที่ไม่อาจมองเห็นตัวผู้พูด
* ปารมี แปลว่าบารมี
** โผดผาย แปลว่าโปรด
“ปิ๊ก* ไปบอกอี่นางหน้อยว่าข้าจะบ่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด ส่วนสูเจ้า…อยากสอดดีนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสูสนับสนุน อยากหื้อขัดขืนข้าเนี่ย อยากสู้กันนักก็มาลองดูว่าไผจะแน่กว่าไผ เป็นเพียงมนุษย์เดินดินคิดจะต่อกรกับข้าที่มีตบะแก่กล้ามาเป็นร้อยเป็นพันปี ข้าอยากจะฮู้นักว่าสูจะปกป้องอี่นางหน้อยมันได้ก่อ ข้าจะอ่อนหื้อ บ่ต้องลงมือเอง แค่ส่งบริวารที่มีพลังเพียงเศษเสี้ยวของข้ามาจัดการ จะทำหื้อสูได้ฮู้ได้เห็น…บ่มีผู้ใดกล้าขัดขืนความต้องการของปู่เจ้าพยัคฆินทร์!”
เขารู้ดีว่าตอนนี้มาถึงทางตันแล้ว สองมือกำหมัดแน่นจนสั่นสะเทือนด้วยแรงบีบเค้น ปู่เจ้าพยัคฆินทร์ก็จากไปโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เสียงหัวเราะของปู่เจ้าพยัคฆินทร์ยังสะท้อนก้อง แทนที่จะช่วยรัตน์สิกากลับเป็นการเปิดศึกกันเสียได้
เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง…เมื่อปู่เจ้าพยัคฆินทร์จากไปแล้วทุกอย่างจึงสงบลง กลับคืนสู่ความเป็นปกติราวกับว่าพายุรุนแรงเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย คงมีเพียงเศษใบไม้ที่กระจัดกระจายอยู่รายรอบตัวเขาซึ่งเป็นสิ่งยืนยันการมาถึงของอีกฝ่าย
ร่างสูงเดินไปทรุดตัวลงนั่ง มือใหญ่กุมศีรษะของตัวเองเอาไว้เพราะรู้สึกปวดหัวตุบๆ ซึ่งเป็นผลมาจากพลังของปู่เจ้านั่นเอง อิทธิฤทธิ์ที่ได้ ‘รับรู้’…ความยิ่งใหญ่ของปู่เจ้าพยัคฆินทร์คือของจริง! ไม่ใช่การกล่าวอ้างเกินตัวสักนิด
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ชัชพลย่อท้อ ไม่ได้บั่นทอนความรู้สึกตั้งมั่นที่จะช่วยรัตน์สิกาให้ได้
เขาหลับตานิ่งๆ สักพักความรู้สึกปวดหนึบในหัวเหมือนถูกใครบีบขมับเอาไว้ก็ผ่อนคลายลง ทว่า…ครู่หนึ่งมีเสียงกรี๊ดดังแว่วมา ดวงตาคู่คมหันมองไปทางห้องนอนแขกพร้อมกับหัวใจหลุดร่วงไปกองอยู่กับพื้น!
ไม่กี่นาทีก่อน…
ปัง!
ลมแรงพัดมาปะทะหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้จนกระแทกปิด พร้อมเสียงลมอื้ออึงจากภายนอกดังแว่วเข้ามา รัตน์สิกาสะดุ้งทีหนึ่ง…รู้สึกใจสั่นไหวชอบกล
เหมือนข้างนอกจะเกิดพายุ แต่วันนี้ท้องฟ้าก็ดูสว่างใสดีนี่นา
หญิงสาวรีบเดินไปลงกลอนหน้าต่างเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังอีก แล้วจึงหันมาทำสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ในทีแรกคือการอาบน้ำ
เสียงสวบสาบที่ดังขึ้นราวกับมีคนเดินตามอยู่ส่งผลให้คนได้ยินชะงักไปนิดหนึ่ง เธอหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองทางด้านหลังซึ่งก็พบเพียงความว่างเปล่า สุดท้ายจึงหันหลังกลับเดินเข้าห้องน้ำไปตามเดิม วูบหนึ่งที่เดินผ่านกระจกบริเวณอ่างล้างหน้าก็ยังไม่วายหันไปมองให้สบายใจ กระจกสว่างใสสะท้อนภาพของหญิงสาวร่างบางที่สวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวอยู่
“เฮ้อ…” เจ้าตัวถอนหายใจเบาๆ อีกไม่นานเธอจะต้องหวาดระแวงจนสติแตกแน่ๆ
* ปิ๊ก แปลว่ากลับ
น้ำอุ่นที่เปิดทิ้งไว้ในอ่างยังคงอุณหภูมิความร้อน ควันฉุยลอยละล่องขึ้นมาจากพื้นผิวน้ำ รัตน์สิกานึกดีใจที่บ้านของชัชพลและบัวทิพย์ถูกปรับปรุงครั้งใหญ่ก่อนที่จะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ รูปลักษณ์ต่างๆ ภายนอกและภายในยังคงความเป็นเอกลักษณ์ มีเพียงห้องน้ำที่ถูกทำให้ทันสมัยมากขึ้นถึงได้มีอ่างอาบน้ำให้แช่คลายความเครียดในวันนี้
หญิงสาวหย่อนตัวลงแช่น้ำร้อน ร่างกายที่เครียดเกร็งก็ผ่อนคลาย ปิดเปลือกตาลงหวังพักสายตาเพียงครู่
จ๋อม…
เสียงอะไรบางอย่างคล้ายหยดน้ำหยดเล็กๆ ที่ร่วงหล่นลงสู่อ่างอาบน้ำใบใหญ่ ร่างบางซึ่งเริ่มสะลึมสะลือด้วยความง่วงงุนเข้าจู่โจมค่อยลืมตาขึ้นมาช้าๆ และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ต้องตาเบิกโพลง
ขอบอ่างทางปลายเท้ามีเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่บริเวณนั้น…เนื้อตัวเน่าเฟะบวมอืด มีผิวเนื้อบางส่วนหลุดลอกออกมาราวกับกระดาษที่สามารถจับลอกออกมาเป็นชั้นๆ ได้ ชั่วขณะนั้นจึงรู้ว่าเสียงจ๋อมที่ได้ยินนั้นมาจากอะไร เมื่อได้มองน้ำเลือดน้ำหนองที่หยดลงจากร่างนั้นลงสู่อ่างอาบน้ำที่เธอแช่อยู่…หยดน้ำสีเหลืองอ๋อยเหนียวหนืดค่อยๆ ละลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำในอ่าง
ดวงตาถลนเกือบจะหลุดหล่นออกมาจากเบ้าคู่นั้นกำลังสานสบตากับเธออยู่!
แม้จะแช่อยู่ในน้ำอุ่น แต่พอมาถึงบัดนี้เลือดในกายของรัตน์สิกากลับเย็นเฉียบ ขนลุกพองไปทั้งตัว แม้แต่ผมบนหัวที่ถูกมัดรวบเอาไว้ก็แทบจะชูชันขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น
เสียงกรี๊ดดังลั่นยาวนานจนสุดเสียง แม้หมดลมที่จะกรี๊ดแล้วปากก็ยังอ้าค้าง ลืมหายใจไปในชั่วขณะ หัวใจแทบจะหยุดเต้น…
เสียงทุบประตูห้องดังปังๆ พร้อมเสียงเรียกของชัชพลฉุดให้หญิงสาวกลับมาหายใจได้อีกครั้ง สายตาของเธอหันขวับไปมองฝ่าผ้าม่านสีขาวขุ่นซึ่งกั้นบริเวณอ่างอาบน้ำราวกับอยากจะละลายม่านและประตูที่กั้นขวางให้สูญสลายไป
ครั้นหันกลับมามองยังขอบอ่างด้านตรงข้ามอีกครั้งกลับพบเพียงความว่างเปล่า!
รัตน์สิกาเตรียมผุดลุก เป้าหมายคือรีบพุ่งตัวออกจากห้องน้ำแล้วมุ่งไปหาคนที่เธอสามารถพึ่งพิงได้มากที่สุด ทว่า…กลับไม่อาจทำได้อย่างใจคิด
สัมผัสหยึยๆ แหยะๆ ที่ยึดจับข้อมือเรียวบางหยุดทุกสิ่งเอาไว้ทั้งร่างกายและความนึกคิด
หญิงสาวหันไปมองข้างตัวช้าๆ ราวกับภาพสโลว์โมชั่น…แล้วจึงพบกับใบหน้าที่ห่างกันเพียงคืบ
ใกล้เกินกว่าใกล้ หากอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่ก็คงจะสามารถสัมผัสถึงกระไอของลมหายใจที่พัดมากระทบหน้า เสียแต่ว่าอีกฝ่ายไม่มีมันแล้ว!
ใบหน้าบวมพองขึ้นอืดเน่าฟอนเฟะจนเห็นหนอนตัวเล็กๆ ชอนไชอยู่ในเนื้อเละๆ นั้นพร้อมกับที่เจ้าตัวส่งยิ้มกว้างมาให้…เป็นรอยยิ้มที่ออกจะกว้างเกินไปนิด เมื่อริมฝีปากค่อยๆ ฉีกกว้าง…จนถึงใบหู เผยให้เห็นลิ้นบวมอืดจุกคับปาก
พอมาถึงตอนนี้ร่างบางเริ่มกรีดร้องราวกับคนเสียสติ ทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลออกมาจนผสมปนเปกันไปหมด เธอก้มหน้าลงซุกเข่าที่กอดเอาไว้แน่น หลับหูหลับตากรีดร้อง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอะไรอีกแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู…
“ถ้าไม่อยากให้ฉันมาหาอีกก็อย่าดื้อด้านให้มันมากนัก!”
เสียงกรี๊ดของรัตน์สิกายิ่งดังเพิ่มขึ้นอีก ขนตรงต้นคอลุกเกรียว เธอสะบัดข้อมือที่ถูกยึดไว้ไม่ยอมหยุดจนกระดูกหัวไหล่แทบจะหลุดออกจากกัน
“ไม่!…ออกไป…อย่ามายุ่งกับฉัน…คุณศีล…ช่วยด้วย!” หญิงสาวหลับหูหลับตาตะโกนอย่างไร้สติ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เธอหวังพึ่งที่สุดก็คือชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้นเอง
เวลาที่ผ่านไปช่างแสนยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าจะมีเสียงโครมครามดังแว่วมา
ชัชพลทำลายประตูที่ขวางกั้นไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเลิกผ้าม่านพลาสติกสีขุ่น พบกับร่างบวมอืดเงยหน้าขึ้นมามองเขา มันแยกเขี้ยวปากฉีกถึงรูหู ส่งเสียงขู่ฟ่อในคอทีหนึ่งก่อนจะหายวับไปในทันที…หลงเหลือร่างบางที่นั่งขดตัวเป็นก้อนอยู่ในอ่างอาบน้ำ
ชายหนุ่มต้องรีบเบือนหน้าหนีแล้วปิดม่านลงตามเดิม สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วคว้าเสื้อคลุมที่ห้อยอยู่ตรงราวแขวนไปคลุมตัวรัตน์สิกาเอาไว้
“มีสติหน่อยสิคุณ”
หญิงสาวยังคงหลับตากรีดร้อง ซุกหน้าลงกับเข่าแต่มือไม้ผลักไสเขาพัลวัน เสื้อคลุมก็เลื่อนหลุดออกจากร่างจนจมอยู่ในน้ำ
เขาเผลอสบถออกมาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังนวลเนียนนั้นกระจ่างชัดแก่สายตา อยากจะตะโกนกรอกหูอีกฝ่ายนักว่า…ผมไม่ใช่พระอรหันต์ที่ตัดกิเลสได้หมดแล้วนะ รู้ตัวเองบ้างว่าคุณอยู่ในสภาพไหน
ทว่าสิ่งที่ทำได้มีเพียงหยิบเสื้อคลุมที่เปียกโชกนั้นพันตัวหญิงสาวเอาไว้อีกครั้ง เขารวบข้อมือบอบบางแล้วตวาดเรียกสติ
“ใบบุญ! นี่ผมเอง…มีสติหน่อยสิ!”
รัตน์สิกาเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดพร้อมกับดวงตาปรือๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใครสติก็เริ่มคืนมาแล้วโผเข้าไปหาเขา รู้สึกราวกับหลุดพ้นจากดินแดนสนธยามาพบกับความสว่างพร่างพราย
ในขณะที่เขาอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมา เจ้าตัวก็ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะคุณ มันไปแล้ว”
สัมผัสนุ่มนวลบนที่นอนและไออุ่นจากเรือนกายแข็งแกร่งทำให้หญิงสาวเงียบลง เพราะรู้ดี…เมื่อมีชัชพลเธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ชายหนุ่มเอาผ้านวมมาพันตัวเธอไว้ให้ร่างกายอบอุ่น แต่รัตน์สิกาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับคอเสื้อของคนตัวโตเอาไว้แน่นอีกทั้งยังสะอื้นไห้อยู่กับอกกว้าง
บัดนี้เสื้อเชิ้ตที่ชายหนุ่มสวมอยู่ได้เปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว เขาไม่ได้มีทีท่าจะผลักไสหญิงสาวออกไป กลับลูบศีรษะที่เปียกชื้นนั้นแผ่วเบา
“อย่าร้องอีกเลยนะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่ได้ยินทำให้อาการสะอึกสะอื้นของร่างบางค่อยๆ เบาลง ทว่าประโยคปลอบประโลมที่กล่าวออกไปก็เสียดแทงใจของคนพูดเอง
ไม่ว่าเมื่อไหร่…เขาก็ไม่เคยปกป้องเธอได้ นี่ขนาดผ่านมายังไม่ทันข้ามคืน ปู่เจ้าพยัคฆินทร์ก็รุกหนักขนาดนี้แล้ว มนุษย์เดินดินอย่างเขายังคิดจะเอาอะไรไปสู้ได้อีกหรือ
เสียงอู้อี้ของคนในอ้อมอกดังแผ่วเบาจับใจความแทบไม่ได้ แต่ถ้าให้เดาก็คงจะกำลังก่นด่าสาปแช่งต้นเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้นั่นเอง
“อย่าร้องเลย คุณร้องมามากพอแล้ว”
น้ำเสียงของผู้พูดเจือความรู้สึกผิด เพราะเสียงร้องไห้คร่ำครวญดั่งจะขาดใจในอดีตกาลที่ปู่เจ้าพยัคฆินทร์นำพาให้ไปพบเห็นยังคงติดอยู่ในหู…มาถึงตอนนี้ยังต้องมาได้ยินเสียงสะอื้นของหญิงสาวอีก ราวกับจะบีบหัวใจของเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ แม้จะมีผ้านวมผืนหนาคั่นเอาไว้ แต่แรงสะอื้นก็ยังรุนแรงจนรู้สึกได้ มือใหญ่เลื่อนไปตบแผ่นหลังที่สั่นสะท้านเบาๆ แล้วค่อยเลื่อนไปโอบประคองอีกฝ่ายไว้หลวมๆ…ก่อนจะกอดรัดเสียแน่น
กอดให้สาสมใจอยากกอด…
รัตน์สิกาสงบลงแล้วร่างผอมแห้งของบัวทิพย์ก็มาถึง…กว่าจะตามหาเสียงกรีดร้องที่ดังแว่วมา บวกกับร่างกายที่แม้จะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันแต่ก็ไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนคนหนุ่มสาว เวลาจึงล่วงไปพักหนึ่ง ทว่าก็ยังทันมาเห็นภาพของหลานชายโอบกอดคนที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม
พอชัชพลหันมาเห็นผู้สูงวัย เขาก็รีบผละออก…
นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นตาหรี่ลง มีอะไรที่พลาดไปอย่างนั้นหรือ หรือนอกจากท่าทีเป็นห่วงที่หลานชายเผลอแสดงออกมาบ้างในบางครั้งมันจะมีอะไรมากกว่านั้น
“คุณยาย…” เสียงแผ่วเบาของรัตน์สิกาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบัวทิพย์สาวเท้าเข้ามาหา ในขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วถอยออกมาให้ผู้เป็นยายนั่งแทน หญิงสาวจึงโผเข้ากอดร่างผอมแห้งนั้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก”
ดวงตาของคนฟังกลอกไปมา ใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตามองไปรอบห้องด้วยอาการหวาดผวา
“เมื่อกี้นี้…มันน่ากลัวมากเลยค่ะ”
“อะไรที่น่ากลัวรึ”
“ผะ…ผี…ผีค่ะคุณยาย” เธอตอบแผ่วเบาราวกับกลัวใครหรืออะไรมาได้ยิน
บัวทิพย์หันไปส่งสายตาหาคนเป็นหลานราวกับจะถามว่าจริงหรือ ในเมื่อแต่แรกนั้นรู้กันว่าไม่มีวิญญาณที่ไหนสามารถก้าวข้ามเขตแดนของบ้านเข้ามาได้ และแล้วก็ได้รับการพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบจากชายหนุ่ม
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะลูก ทำใจดีๆ ไว้ ยายเคยได้ยินคนโบราณเขาว่าเจอผีอย่าตกใจ ยิ่งกลัวจิตของเราจะยิ่งอ่อนกำลังลง จิตตกแล้วโรคภัยก็จะกล้ำกรายเข้ามา ถ้าหากขวัญหายจะลำบากเข้าไปอีก”
รัตน์สิกานิ่งฟัง หญิงชราจึงกล่าวต่อ
“เขาอยากให้เรากลัว เราก็อย่าไปเต้นตาม ต้องเข้มแข็งไว้เข้าใจไหม”
คนในอ้อมกอดพยักหน้ารับเบาๆ ผู้สูงวัยจึงเบาใจขึ้น
ชายหนุ่มถูกไล่ให้ออกไปอยู่นอกห้องระหว่างที่บัวทิพย์ช่วยดูแลเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับรัตน์สิกา เมื่อเรียบร้อยแล้วหญิงชราจึงก้าวออกมาสอบถามเรื่องราวทั้งหมดจากปากของชัชพล ซึ่งคาดว่าจะให้คำตอบได้ดีกว่าหญิงสาวที่ยังคงแตกตื่นอยู่ ตลอดเวลาที่สนทนามีเสียงถอนหายใจจากร่างผอมแห้งเป็นระยะๆ
คุยกันจบแล้วผู้สูงวัยก็กล่าวว่าจะไปหาชุดเครื่องนอนสำรองมาเปลี่ยนให้ เขาจึงรับอาสาแทน อีกฝ่ายนิ่งคิดแล้วสุดท้ายก็พยักหน้ารับ ขณะกำลังจะเอ่ยเตือนบางอย่าง หลานชายก็ยกมือห้ามไว้เสียก่อน
“ผมรู้ว่าคุณยายจะพูดอะไร ผมรู้ขอบเขตดี ไม่มีทางทำให้ใครเสียชื่อเสียงแน่นอน แล้ววันนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ”
“ทำเป็นรู้ดีนักนะว่ายายจะพูดอะไร”
“ผมเห็นตาเขียวปั้ดที่มองมาก็รู้แล้วล่ะครับ”
“อย่าให้บ้านเราเกิดเรื่องเสื่อมเสียได้ล่ะ ศีลน่ะยายไม่ห่วงหรอก แต่หนูใบบุญเขาเป็นผู้หญิง ถึงยายจะรักเหมือนลูกเหมือนหลานก็ยังได้ชื่อว่าเป็นแขกที่มาพักบ้านเรา ถ้ามี ‘ใคร’ ที่ทำให้หนูใบบุญเสียชื่อเสียง ยายคงรับไม่ได้”
“อันที่จริงผมว่าน่าห่วงใบบุญมากกว่าห่วงชื่อเสียงของเธอเสียอีก” เป็นคำพูดที่คนฟังไม่มีถ้อยคำใดจะกล่าวต่อ
เสร็จเรื่องแล้วทุกอย่างค่อยกลับคืนสู่ความสงบ ร่างบางนั่งพิงหัวเตียงอยู่บนที่นอน มีผ้าห่มหนานุ่มคลุมตั้งแต่ช่วงเอวลงมา เส้นผมยาวประบ่าเปียกน้ำหมาดๆ ถูกปล่อยสยาย
ชัชพลควรจะผละจากไปได้แล้ว…ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาเหม่อลอยของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งห่างจากเตียงนอนประมาณสองสามก้าว ไหล่หนาเอนลงกับพนักพิง จ้องมองหญิงสาวถูข้อมือตัวเองจนแดงเป็นปื้น และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้รู้ตัวเลย เขาจึงเอ่ยเตือน
“พอเถอะ…มือแดงหมดแล้ว”
รัตน์สิกาเพิ่งได้สติ ก้มมองมือตัวเองนิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาแผ่วเบา
“คุณทนมองเห็นอะไรพวกนี้มาตั้งนานได้ยังไง”
“นานๆ ไปมันก็ชิน…ผมเจอมาหลายรูปแบบจนไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”
“เมื่อไหร่ฉันจะทำได้แบบนั้นบ้างนะ”
“นี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่คุณเห็นจริงๆ จังๆ จะช็อกก็คงไม่แปลก ผมมันเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไปเล่นกับกุมารแถวป่าช้า กลับมาโดนแม่ตีก็หลายที”
เธอหันมามองคนพูดจึงพบรอยยิ้มบางๆ ที่แต้มบริเวณริมฝีปากเมื่อเจ้าตัวเอ่ยถึงความหลัง เห็นรอยยิ้มของเขาแล้วจิตใจที่เคร่งเครียดขมวดแน่นเป็นเกลียวก็ผ่อนคลายลงได้โดยไม่รู้ตัว
“เมื่อก่อนฉันไม่เคยมองเห็น ไม่เคยสัมผัสถึงอะไรเลย ยังนึกอยู่ว่าชีวิตราบเรียบมากเกินไปด้วยซ้ำ”
เกิดความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาคมกล้าคู่นั้นจะเอ่ยออกมา
“ก่อนหน้าที่คุณจะเจอวิญญาณนั่น ผมเพิ่งได้พบกับปู่เจ้าพยัคฆินทร์…องค์ของคุณเอง”
คนฟังทำตาวาวขึ้นมาทันทีก่อนเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ
“ฉันคงไม่ต้องถามสินะว่าการเจรจาสำเร็จไหม ที่เจอกับตัวนี่ก็ได้คำตอบชัดเจนมากๆ”
“ผมขอโทษ…”
“จะขอโทษไปทำไมคะ ไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย” รัตน์สิกาส่งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ
“ขอโทษที่ช่วยเหลืออะไรคุณไม่ได้ ผมเคยมั่นใจว่าจะปกป้องคุณได้ แต่พอมาถึงตอนนี้…”
ดวงตาคู่คมหม่นแสงลงเพราะความรู้สึกผิด หญิงสาวไม่อาจทำใจมองเช่นนั้นได้จึงเอ่ยปลอบ
“ฉันยังไม่โทษคุณเลย แล้วจะโทษตัวเองไปทำไมคะ ควรจะมองในแง่ดีว่าอย่างน้อยคุณก็มาช่วยฉันทันมากกว่า”
พอเอ่ยมาถึงตอนนี้เธอถึงได้เริ่มนึกถึงสภาพอเนจอนาถของตนเมื่อครู่ แล้วก็อยากจะยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อตัวเองเบาๆ ลำคอเกิดฝืดเฝื่อนจนต้องกระแอมสองสามที…แล้วไหนจะยังอ้อมกอดนั่นอีกเล่า ถึงสติจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวแต่เธอก็ยังจำได้นะ
ปลอบเฉยๆ ก็ได้ ทำไมจะต้องรัดแน่นขนาดนั้นด้วย
ร่างบางค่อยๆ เอนตัวลงนอนราบแล้วตลบผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งตัวจนเหลือเพียงลูกตา ไม่ยอมให้เขาเห็นใบหน้าของเธอเด็ดขาด พอหันไปมองอีกฝ่ายก็พบว่ากำลังเสมองเพดานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่
บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนพิกล ชัชพลจึงบอก
“คุณคงอยากพักแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ!” คนฟังรีบร้องห้ามทันที ก่อนจะบอกเสียงอ่อน “คุณศีล…อย่าเพิ่งไปสิ มาอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวเลย…มันวังเวง”
“โธ่เอ๊ย นึกว่าจะแน่” ชายหนุ่มหลุดขำเมื่อเห็นใบหน้านวลกลายเป็นยับยู่ยี่
รัตน์สิกานอนตะแคงข้าง หันหน้ามาหาเขาแล้วถามอย่างจริงจัง
“เล่าเรื่องที่คุณเจอปู่เจ้าพยัคฆินทร์องค์ของฉันหน่อยสิคะ”
ชัชพลถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเล่าให้ฟังโดยคร่าว เป็นจุดสำคัญที่หญิงสาวควรรู้ก็พอแล้ว ความลึกลับซับซ้อนต่างๆ อย่าได้รับรู้ให้ลำบากใจเลย…เขาจะเป็นคนรับมันไว้เอง
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางอย่างสะกิดใจคนฟัง ด้วยความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม รวมถึงเรื่องที่ว่าการพบเจอใครสักคน ได้มาเกี่ยวข้องรู้จักกัน ย่อมต้องเคยมีกรรมผูกพันกันมาไม่มากก็น้อย
“คุณบอกว่าฉันเคยรับใช้ปู่เจ้า พอมาถึงชาตินี้จึงอยากได้ฉันเป็นร่างให้ แล้วระหว่างเราก็เคยมีความข้องเกี่ยวกัน…ใช่ไหมคะ”
คนถูกถามไม่อยากตอบเท่าไหร่ หลบเลี่ยงสายตาของอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติแล้วจึงบอกสั้นๆ
“เราเคยเกื้อกูลกันมาก่อน”
เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว…เธอคลี่ยิ้มออกมาจางๆ ไม่ได้อยากรู้อะไรมากไปกว่านี้อีก
พูดคุยกันอีกสักพักรัตน์สิกาก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างสูงลุกเดินไปจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย…เวลาผ่านไปเท่าใดไม่อาจรู้ได้ เขารอจนแน่ใจว่าหญิงสาวหลับสนิทดีจึงเดินออกมาจากห้อง
ผ่านพ้นคืนอันแสนวุ่นวายไปอีกคืนหนึ่ง…
อรุณเบิกฟ้าเป็นการเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง แว่วเสียงฝูงนกตัวเล็กตัวน้อยที่บินผ่าน เสียงรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านที่เริ่มออกไปทำงานกสิกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลักของที่นี่ ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทาง ผ่านมาแล้วผ่านไป…ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าเมื่อคืนมีหญิงสาวคนหนึ่งได้พบเจอเหตุการณ์อันน่าสยดสยองเพียงใด
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปลุกให้ร่างบางที่นอนหลับใหลบนเตียงผวาตื่นขึ้นมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน เหลียวมองไปรอบตัว ทุกอย่างยังคงปกติดี ไม่มีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยือนอีก โคมไฟบนหัวเตียงส่องแสงสีเหลืองนวลไปทั่วทั้งห้องยังคงเปิดอยู่ตามที่ชัชพลเปิดทิ้งเอาไว้เพราะเกรงว่าเธอจะผวาตื่นขึ้นมากลางดึก
ความเอาใจใส่ของเขาทำให้หัวใจอุ่นวาบขึ้นมา…นับวันความรู้สึกบางอย่างก็ยิ่งชัดเจนจนไม่อาจปฏิเสธได้อีก เหมือนต้นกล้าค่อยๆ เติบโตกลายเป็นต้นไม้ที่หยั่งรากลึกลงในจิตใจ
โทรศัพท์ยังส่งเสียงต่อเนื่องไม่ยอมหยุด มือเรียวเอื้อมคว้ามากดรับโดยไม่ทันได้มองดูชื่อที่แสดงบนหน้าจอด้วยซ้ำ ริมฝีปากกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้มที่พยายามยังไงก็หุบไม่อยู่
“สวัสดีค่ะ”
“ใบบุญ…”
เสียงที่ได้ยินทำเอาเธอชะงักกึก ชักโทรศัพท์ที่แนบหูมาดูชื่อเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้หูฝาดไปจริงๆ
“คุณย่า”
“ก็ย่าแกนั่นแหละ นึกว่าใครล่ะ” นางแสงเอ้ยกรอกเสียงมาตามสาย สำเนียงออกจะแปร่งๆ ด้วยชีวิตประจำวันล้วนพูดภาษาท้องถิ่น ลิ้นจึงติดสำเนียงแบบเหนือๆ เล็กน้อย
“เอ่อ…ย่าโทรมามีอะไรเหรอคะ”
“ขึ้นมาทางเหนือทำไมไม่แวะมาหาย่า” หญิงสาวไม่ได้ถามว่าย่ารู้ได้ยังไง นึกเดาไปเองว่าคงเพราะพ่อหรือแม่เป็นคนบอก หารู้ไม่ว่าที่แสงเอ้ยรู้นั้นเป็นเพราะพ่อปู่อัคนิรุทรต่างหาก
“เอ่อ…” รัตน์สิกากล่าวตะกุกตะกักด้วยยังตั้งตัวไม่ติด
“ถ้าย่าไม่โทรมาหาก็คงจะไม่นึกถึงกันเลยใช่ไหม”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ”
“เจอเรื่องตั้งมากมาย ทำไมไม่คิดถึงย่าแกคนนี้” น้ำเสียงห่วงใยทำเอาคนฟังพูดไม่ออก
…ย่าคงรู้แล้วสินะ
“มาหาย่าแล้วคุยกันหน่อยสิ ที่โทรมานี่ก็เพราะพ่อปู่ให้ติดต่อหา ท่านว่า…’เป็นห่วงหลานน้อย’ ” แสงเอ้ยพาดพิงถึงพ่อปู่อัคนิรุทร หญิงสาวก็เลยไม่รู้จะเลี่ยงยังไงและไม่รู้ว่าจะเลี่ยงทำไม
บางที…พ่อปู่อัคนิรุทรอาจมีทางช่วยเธอก็ได้
ร่างบางที่ก้าวออกมาจากห้องนอนมีสีหน้าท่าทางดูดีขึ้นแตกต่างจากเมื่อคืนนี้มาก เพราะด้วยพื้นฐานของจิตใจมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว เพียงไม่นานก็สามารถตั้งสติได้…พอมาถึงตอนนี้หากถามว่ากลัวไหม แน่นอนเธอก็ต้องตอบว่ากลัว ทว่าก็ไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาส่งผลกระทบต่อชีวิตของเธอโดยเด็ดขาด ต่อให้เป็น ‘ใคร’ ที่ไร้ซึ่งชีวิตแล้วก็ตาม
รัตน์สิกาออกมาพร้อมๆ กับที่ชัชพลผลักประตูเปิดออกมาเช่นเดียวกัน
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มให้น้อยๆ คนฟังจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวกันเถอะ คุณเองก็คงจะหิวไม่น้อย เสียพลังงานไปตั้งเยอะนี่”
คำพูดของเขาทำเอาเธอหลุดขำออกมา…ก็แหงสิ นี่ยังปวดหัวไหล่ไม่หายเลย
ระหว่างทางที่เดินไปด้วยกัน รัตน์สิกาจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่ย่าของเธอโทรมาเรียกตัวให้ไปพบ อีกฝ่ายรับฟังแล้วนิ่งเงียบไป เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เพียงครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงทอดถอนใจ
“ก็ดีแล้ว ลำพังผมเองอาจไม่สามารถช่วยคุณได้ แต่ย่าคุณกับพ่อปู่อัคนิรุทรอาจมีทางช่วย”
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ คุณช่วยฉันมาตั้งเยอะแล้ว ตอนนี้แค่คิดว่าลองไปฟังย่าสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร”
“อย่างนั้นผมจะไปส่งคุณเอง พรุ่งนี้เราค่อยออกเดินทางไปพร้อมกัน”
“ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวยิ้มแย้มสดใสกับความใจดีของเขา อีกทั้งยังเริ่มมีความหวังขึ้นมารางๆ
ในตอนนี้เอง…ที่เธอเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนี้ชักจะพึ่งพาเขาจนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว แต่ก็เป็นเพราะใครกันล่ะที่ทำให้เธอกลายเป็นคนนิสัยเสียแบบนี้!
ทว่าในตอนเย็นวันนั้นแผนการทุกอย่างก็ต้องพังทลาย…เมื่อจู่ๆ บัวทิพย์ล้มป่วยลงอย่างฉับพลัน หญิงชรานอนซม มีไข้สูง ทั้งที่ไม่มีวี่แววว่าจะไม่สบายมาก่อนเลย ทั้งชัชพลและรัตน์สิกาต้องช่วยกันดูแล โดยเฉพาะคนเป็นหลานที่พอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้วคงไม่อาจละทิ้งผู้สูงวัยเพื่อเดินทางไปส่งรัตน์สิกาได้
ร่างสูงนิ่งมองร่างผอมแห้งที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าเคียดขึ้งจนเกินกว่าใครจะเข้าใจได้
“เป็นปกติของคนแก่น่ะลูก ร่างกายอ่อนแอ โรคภัยมันก็มาเยือนได้ง่ายๆ นี่แค่เป็นไข้ ไม่กี่วันก็น่าจะหายแล้วล่ะ”
“เพิ่งกินยาแก้ไข้ไป เดี๋ยวสักพักไข้ก็น่าจะลดลงค่ะคุณยาย” หญิงสาวที่เข้ามาช่วยดูแลอาการเอ่ยขึ้น
ครู่หนึ่ง…ชัชพลจึงผลุนผลันออกจากห้องไป สองหญิงต่างวัยมองตามด้วยความสงสัย
“หนูใบบุญลองตามไปดูหน่อยไป ไม่รู้ทำไมตาศีลเป็นอะไรไป ทำท่าทางแปลกๆ เดี๋ยวยายก็จะนอนเพราะยาคงเริ่มออกฤทธิ์แล้ว” บัวทิพย์บอก ร่างบางจึงลุกตามออกไป
ชายหนุ่มก้าวฉับๆ เข้าห้อง ผลักประตูให้งับปิดดังปึงปังอย่างไม่ใส่ใจนัก ใจนึกอยากจะระบายกับอะไรสักอย่าง สุดท้ายจึงระบายออกมาทางคำพูดแทน…
“ผมรู้นะว่านี่เป็นฝีมือท่าน” ร่างสูงพูดกับอากาศและความว่างเปล่า ถึงกระนั้นก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องสามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน ทำไมคนอย่างเขาจะไม่รู้ว่าการป่วยของผู้เป็นยายมีอะไรที่มากกว่าอาการป่วยตามปกติ
“ทำไม…ทำไมถึงไม่อยากให้ผมไปกับใบบุญ ถึงกับต้องมาลงกับคนแก่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร”
รัตน์สิกาเพิ่งเดินตามมาได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีก็ใจหายวาบเมื่อพบว่าตัวเองคือต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น เธอรู้สึกเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าช็อต…เจ็บชาไปทั้งตัว
ร่างกายอ่อนแรงลง และมือไม้สั่นจนต้องยกมือยันผนังไว้…
ปู่เจ้าพยัคฆินทร์ช่างเลือดเย็นนัก
หญิงสาวแอบมองผ่านช่องประตูที่แง้มปิดไม่สนิท เห็นร่างสูงยืนโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่
“ทำกับคนบริสุทธิ์แบบนี้ ระวังเถอะ ตัวท่านเองนั่นแหละที่จะต้องตกต่ำ!”
สิ้นประโยคสุดท้ายชัชพลก็ต้องอุทานเมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัว ความเจ็บปวดรุนแรงจนแทบทรุดลงทั้งยืน
“คุณศีล…” เสียงอุทานสั่นพร่า ไม่ต้องคิดอะไรก็ผลักประตูเข้าไปประคองเขาไว้โดยอัตโนมัติ “พอแล้ว…ไม่ต้องโมโหอะไรอีกแล้ว ฉันจะไปเอง! ลองดูซิว่าฝ่ายนั้นเขาจะทำอะไรฉันอีก โดนมาหมดแทบทุกแบบแล้วนี่”
ชายหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงหาอาทรปนเจ็บช้ำใจ…ความเจ็บปวดที่ศีรษะเริ่มจางหาย แต่เสียงทุ้มนุ่มที่กล่าวก็ยังคงอ่อนแรง
“รออีกสักสองสามวัน ให้คุณยายหายแล้วผมจะไปส่งแล้วกัน”
คนฟังกลับส่ายหัวช้าๆ เป็นเชิงปฏิเสธ
“ในเมื่อคุณก็รู้ว่าทำไมคุณยายไม่สบาย ถ้าฉันอยู่รอให้คุณไปด้วยกัน ยังคิดว่าคุณยายจะหายง่ายๆ งั้นเหรอคะ”
“ใบบุญ…”
รัตน์สิกาถอยกรูดจากร่างสูง ปัดมือที่พยายามเอื้อมมาหาตัวเธอ บางที…ตอนนี้อาจเป็นเวลาที่เธอสมควรถอยมาได้แล้ว เขาจะได้ไม่ต้องเจอปัญหายุ่งยากใจอีก…ไม่ใช่สิ ก็เธอมันเป็นตัวปัญหานี่นา ไม่มีเธอเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว คิดได้เช่นนั้นน้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมา
“พอแล้ว…ไม่ต้องแล้ว ฉันรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจที่จะช่วยเหลือของคุณ แต่คุณช่วยฉันมาตั้งมากมาย จนตอนนี้ฉันนำเรื่องลำบากมาให้คุณและครอบครัวของคุณ”
ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งหลั่งไหลหยดแล้วหยดเล่า สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายในความพร่าเลือนเพราะม่านน้ำตา…ห้วงความคิดไล่เรียงตั้งแต่วันที่ได้พบกัน ครั้งแรกที่ได้สานสบนัยน์ตาคมกล้าคู่นี้ และเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ประสบพบเจอ
“คุณศีล…ฉันรู้ว่าคุณชอบชีวิตที่สงบและเรียบง่าย แต่คุณลองคิดดูสิว่าตั้งแต่มีฉันเข้ามาในชีวิต คุณเคยอยู่อย่างสงบสุขบ้างไหม”
“ผมรับปากว่าจะช่วยคุณ ก็จะต้องช่วยจนถึงที่สุด” น้ำเสียงหนักแน่นกลับกรีดใจคนฟังเป็นรอยแผลลึก
หญิงสาวกรีดร้อง ตวาดใส่เขา…เป็นผู้ชายที่แสนโง่เง่าอะไรอย่างนี้
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นผู้วิเศษ…พระโพธิสัตว์…ต้องการช่วยโปรดสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างนั้นเหรอ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วทำไมจะต้องมาสนใจตัวปัญหาอย่างฉันด้วย!”
เธออยากขว้างปาทำลายล้างทุกอย่างที่อยู่รายรอบตัว หากทำได้ก็อยากจะปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านแล้วกระโดดลงมาตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่ในความเป็นจริงทำได้เพียงกำมือแน่น ตัวสั่นเทา ขณะกำลังตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเป็นเช่นนี้…
กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าถูกชัชพลรวบตัวเอาไว้ ก่อนจะผลักดันเธอจนแผ่นหลังชิดกับประตูพร้อมร่างสูงที่ตามติดจนหญิงสาวขยับเขยื้อนแทบไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นเกินใครก้มลงมาอย่างเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงารางเลือน ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะฉกวูบเข้ามาราวกับจ้าวแห่งอสรพิษ รวดเร็วและรุนแรงจนเหยื่อไม่ทันรู้ตัว
ความรู้สึกเหมือนถูกกลืนกินทีละนิด…ทีละนิด…โดนรุกไล่อย่างหมดทางหนีรอด…ทำเอาหัวสมองของรัตน์สิกาขาวโพลน ความนึกคิดทั้งหลายกระจัดกระจายดั่งปุยเมฆถูกกระแสลมพัดพาไป ล่องลอย รู้เพียงสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นร้อนที่ประทับลงมา ฝ่ามือของเธอรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจข้างในแผงอกกว้างหนาหนั่นของบุรุษเพศ จังหวะของมันหนักแน่นราวกับว่าไม่มีสิ่งใดจะมาสั่นคลอนได้ ความร้อนรุ่มในใจของเธอจึงสงบลง แทนที่ด้วยความอ่อนหวาน…หวานล้ำจนเกินที่จะรับไหว แทบจะสำลักความหวานนั้นจนขาดใจตาย
เนิ่นนาน…กว่าที่ชายหนุ่มจะถอนริมฝีปากออกมา ลมหายใจของเขายังพัดมากระทบใบหน้า หญิงสาวสูดอากาศหายใจเฮือกใหญ่ แข้งขาอ่อนแรงจนต้องยึดคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ เวลาผ่านไปเป็นนานกว่าเธอจะหาเสียงของตัวเองเจอแล้วอึกอักถามว่า
“นี่…นี่คุณ…ทำอะไรของคุณน่ะ”
“ก็คุณถามว่า…‘ทำไมจะต้องมาสนใจตัวปัญหาอย่างฉันด้วย’…ไม่ใช่เหรอ” เขาเลียนแบบเสียงของเธออย่างน่าหมั่นไส้ที่สุดก่อนจะอธิบาย “นี่คือคำตอบของผม แต่พอดีว่าผมเป็นคนไม่พูด…แต่ทำเลย!”
คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังทำหน้าเหวอ สีหน้าของรัตน์สิกาเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จากแดง…แดงจัด…แล้วกลายเป็นแดงเข้มที่สุด!
ติดตามต่อได้ใน ‘ปางบุญ’ ฉบับเล่มเต็ม
Comments
comments