X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักย้อนกาลสารทวสันต์

ทดลองอ่านนิยาย ย้อนกาลสารทวสันต์ เล่ม 1 บทที่ 1 – บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 35

บทที่หนึ่ง แรงงานหญิง

 

เรือสั่นโคลงอย่างรุนแรงไปชั่วขณะ มีคนไม่น้อยตกใจตื่นขึ้นมา ในห้องใต้ท้องเรือที่เล็กแคบและเตี้ยมีเสียงพูดคุยกันดังขรมด้วยความหวาดหวั่นขวัญผวา

ผนังห้องมีร่องเล็กๆ อยู่หลายร่อง เชียนโม่ขยับใบหน้าเข้าไปที่ร่องหนึ่งแล้วมองออกไป แสงสว่างส่องกระทบใบหน้าของเธอเป็นเส้น เพียงเห็นท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ข้างนอกกลับคล้ายมีหมอกขาวแผ่คลุม มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน ได้ยินแต่เสียงน้ำซัดสาดครืนครัน

เชียนโม่ขยับหัวไหล่ที่แข็งชาเล็กน้อย ท้องส่งเสียงร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิวมานานแล้ว คอแห้งผากจนแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมา แต่เธอก็เหมือนคนอื่นๆ ในห้องโดยสาร ไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า

ตั้งแต่ถูกจับตัวยัดเข้ามาในเรือลำนี้ก็ผ่านมาสองวันสองคืนแล้ว มือสองข้างถูกมัดโยงกับลำคอด้วยเชือกหยาบ ในห้องโดยสารอบอวลไปด้วยกลิ่นเลวร้ายของสิ่งปฏิกูลที่ขับถ่ายและอาเจียนออกมาผสมปนเปกัน เนื่องจากการหลบหนีและซุกซ่อนตัวในช่วงก่อนหน้านี้ เสื้อผ้าบนตัวของเชียนโม่จึงสกปรกเลอะเทอะจนไม่รู้ว่าสีอะไร แต่เธอเริ่มชินแล้ว จึงนั่งเอาแขนเท้าเข่าเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง

ท่ามกลางแสงสลัวเลือนราง หญิงกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างโอบกอดเด็กหญิงคนหนึ่งไว้ กำลังพูดอะไรกันเบาๆ ศีรษะของเด็กหญิงซุกอยู่ที่บ่าผู้เป็นแม่ส่ายไปมา คล้ายสังเกตเห็นว่าเชียนโม่กำลังมองอยู่ สายตาของหญิงคนนั้นจึงเบนมาพลางคลี่ยิ้มขวยเขิน

เชียนโม่ขยับมุมปากเล็กน้อยแล้วเบนสายตากลับ เด็กหญิงคนนั้นอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสอง เมื่อคืนเป็นไข้สูง โชคดีที่เวลาออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านเชียนโม่มักพกยาสามัญที่ต้องใช้ติดตัวมาด้วยเสมอจึงแบ่งให้ ช่วยให้เด็กหญิงคลายจากอาการตัวร้อนมาได้

ผู้เป็นแม่ซาบซึ้งในน้ำใจของเชียนโม่มาก พูดอะไรกับเธอมากมาย เชียนโม่เงี่ยหูตั้งใจฟัง แต่ก็จนปัญญา ภาษาพื้นเมืองที่เธอกอดบาทพระเมื่อจวนตัว* เรียนรู้มาด้วยตัวเองนั้นมีขอบเขตจำกัด เพียงฟังออกว่าอีกฝ่ายกำลังขอบคุณตน

 

เชียนโม่มาอยู่ในสถานที่บ้าบอแห่งนี้ด้วยความมหัศจรรย์พันลึก เธอจำได้เพียงว่าตนเองกำลังเดินอยู่บนภูเขากับสมาชิกของชมรมกิจกรรมกลางแจ้ง จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ทุกคนจึงรีบเคลื่อนย้ายเพื่อหาที่หลบเลี่ยงน้ำซึ่งอาจจะไหลบ่าลงมาจากยอดเขา เชียนโม่ไม่ทันระวังจึงลื่นล้มพลัดตกจากเนินเขาไป

เธอคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว ทว่าพอลืมตาขึ้นมาก็พบกับคนเหล่านี้ ภาษาที่พวกเขาพูด เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ บ้านเรือนที่พวกเขาอยู่อาศัยล้วนดูโบราณดั้งเดิมจนไม่อยากจะเชื่อ เชียนโม่รู้สึกราวกับตัวเองหลุดมาอยู่ต่างดาว

เชียนโม่ไม่ใช่คนที่เจอปัญหาก็ลนลาน หลังจากความร้อนใจและทำอะไรไม่ถูกในตอนแรกผ่านไป เธอก็ใช้วิธีสื่อสารกับผู้อื่นแบบพื้นฐานง่ายๆ ด้วยการยกมือทำท่าทำทาง และพักอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าเป็นหมู่บ้านหรือค่ายพักบนภูเขาแห่งนี้ คนเหล่านี้ไม่รู้จักเงิน แต่กลับให้ความสนใจเป้สะพายหลังของเธออย่างมาก เชียนโม่หยิบของออกมาจำนวนหนึ่ง เอามาแลกกับอาหารและกระท่อมผุพังของพวกเขาเพื่อพักแรม

* กอดบาทพระเมื่อจวนตัว มาจากสำนวน ‘ยามปกติไม่จุดธูปไหว้ ยามจวนตัวไซร้ค่อยกอดบาทพระ’ หมายถึงไม่เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อเรื่องมาถึงตัวแล้วถึงเพิ่งจะมาคิดหาหนทางแก้ไข

ภาษาและตัวอักษรที่เธอใช้มาจนเคยชินล้วนใช้ไม่ได้ในสถานที่แห่งนี้ เชียนโม่จะสอบถามเรื่องอะไรก็ทำไม่ได้ ด้วยความบังเอิญอย่างที่สุด เธอเห็นคนท่าทางคล้ายหัวหน้าคนหนึ่งถือสิ่งที่คล้ายแผ่นไม้ไผ่ม้วนหนึ่งกำลังอ่านอยู่ เชียนโม่เห็นตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่นั้นแล้วก็อดตื่นตระหนกไม่ได้

ปู่ของเชียนโม่เป็นผู้ศึกษาอารยธรรมโบราณของแคว้นฉู่ เชียนโม่เห็นจนชินตามาตั้งแต่เล็ก และรู้จักตัวอักษรฉู่จำนวนไม่น้อย

แม้จะฟังภาษาเหล่านั้นไม่ออก แต่ตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่นั้นเธอรู้จักทั้งหมด รูปแบบ โครงสร้างไม่ต่างจากตัวอักษรของแคว้นฉู่ เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ในฉับพลัน ลองใช้ตัวอักษรฉู่ที่ตนรู้จักสื่อสารกับหัวหน้าผู้นั้น แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาด คนผู้นั้นมองตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่แล้วมีท่าทางประหลาดใจยิ่ง

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เชียนโม่อาศัยตัวอักษรค่อยๆ เรียนรู้ภาษาขึ้นมา ปริศนาก็ค่อยๆ คลี่คลาย สถานที่ที่เธออยู่ในเวลานี้เรียกว่า ‘ซู’ ค่ายบนภูเขาแห่งนี้เป็นเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่งของซู หัวหน้าเผ่าเคยไปแคว้นฉู่ เขาบอกเชียนโม่ว่าภาษาที่เธอเรียนตามตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ก็คือภาษาฉู่

แม้เชียนโม่จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่หลังจากได้ทราบเรื่องเหล่านี้ก็ยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่ความเป็นจริงก็แบให้เห็นอยู่ตรงหน้า เพื่อจะทำความเข้าใจให้มากกว่านี้ จึงจำต้องเรียนรู้ภาษาฉู่และภาษาพื้นเมืองกับหัวหน้าเผ่าทุกวัน หวังว่าจะสามารถหาวิธีกลับไปได้

ทว่าผ่านไปไม่นานสงครามก็ปะทุขึ้น หัวหน้าเผ่าพาผู้ชายในค่ายออกไป เห็นว่าจะไปรวมตัวกับเผ่าอื่นเพื่อรับมือกับข้าศึก

แต่พวกเขาไม่ได้กลับมาอีก ถัดจากนั้นไม่กี่วันจู่ๆ ก็มีเรือใหญ่หลายลำปรากฏขึ้นที่ริมแม่น้ำ มีคนถือหอกยาว ถือธนูจำนวนมากกรูออกมา ผู้คนในค่ายบนภูเขาตื่นตระหนกตกใจวิ่งหนีกันอลหม่าน

เชียนโม่รู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่นอน แต่อยู่บนภูเขารกร้างเช่นนี้ เธอวิ่งเร็วสู้คนอื่นไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกจับตัวได้

คนเหล่านั้นไม่ได้ทำร้ายเธอ เพียงจับเธอโยนเข้ามาในเรือลำนี้…เรือที่มีแต่คนอยู่เต็มลำ

 

เรือสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้งคล้ายกระทบฝั่ง ช่องทางออกเหนือศีรษะเปิดออกในฉับพลัน มีบันไดไม้ไผ่อันหนึ่งยื่นลงมา แล้วบุรุษผิวดำมะเมื่อมรูปร่างล่ำสันสองคนก็ไต่บันไดลงมาในห้อง ผู้คนต่างส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกประหนึ่งฝูงแกะที่กำลังตื่นตกใจ พากันเบียดเสียดหลบไปอยู่ที่มุมหนึ่ง บุรุษท่าทางโหดร้ายดุดันส่งเสียงด่าอะไรบางอย่าง ตวัดแส้ที่อยู่ในมือฟาดออกไป ไล่คนที่อยู่ในท้องเรือให้ขึ้นไป

หลายคนส่งเสียงร้องไห้โอดโอย เชียนโม่ถูกเบียดให้ต้องปีนขึ้นไปบนบันไดไม้ไผ่ แสงอาทิตย์แรงกล้าเสียดแทงนัยน์ตา เรือโคลงเคลงไม่หยุด เธอเงยหน้าขึ้น บนเรือมีผู้คนอยู่ไม่น้อย ในมือถือหอกที่ทั้งคมทั้งยาวจ่อมาที่พวกตน ซึ่งก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่จับพวกเธอมาจากค่ายบนภูเขาเมื่อสองวันก่อน

แม้จะเป็นคนที่มีอุปนิสัยสุขุมเยือกเย็น แต่เชียนโม่ก็ถูกภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด ได้แต่ทำเหมือนคนอื่นๆ ก้มหน้าถูกไล่ต้อนให้เดินไปข้างหน้า ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยง เธออยากจะถามให้รู้แน่ชัดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแต่ก็จนปัญญา ภาษาที่คนรอบข้างพูดอยู่เธอล้วนฟังไม่เข้าใจ ภาษาฉู่และภาษาพื้นเมืองที่ตนเรียนมาจากค่ายพักบนภูเขาล้วนใช้การไม่ได้

ไม้กระดานยาวหนาแผ่นหนึ่งเชื่อมกราบเรือกับริมฝั่งเข้าด้วยกัน ผู้คนก้าวขึ้นไปอย่างระมัดระวัง เดินขึ้นไปบนฝั่ง

เชียนโม่แอบสังเกตไปรอบๆ ด้าน เห็นบริเวณริมฝั่งมีเรือแบบเดียวกันนี้อยู่สิบกว่าลำ เรือแต่ละลำกำลังปล่อยคนออกมาราวกับฝูงมด บนฝั่งมีเสียงเอะอะโวยวาย มีคนจำนวนมากกว่าเดิมถือหอกยาวชี้มาที่พวกตน มีคนใช้เชือกยาวมัดโยงคนทั้งหมดให้เชื่อมเป็นแถวยาวอย่างคล่องแคล่ว

ทาส!

คำนี้ผุดขึ้นมาในใจของเชียนโม่อย่างไม่มีอะไรให้สงสัย

เชียนโม่กับพวกหญิงสาวที่อยู่บนเรือถูกมัดรวมไว้ด้วยกัน ข้างหน้าคือเด็กหญิงที่ไม่สบายตอนอยู่บนเรือคนเมื่อครู่ ถัดไปอีกก็คือแม่ของเด็กหญิง

ข้างทางมีอ่างดินเผาวางเรียงอยู่หลายใบ ในนั้นมีข้าวต้มเหลวๆ บรรจุอยู่ ข้างอ่างแต่ละใบจะมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง ใช้กระบวยตักน้ำข้าวต้มขึ้นมาให้พวกทาสดื่ม ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ เชียนโม่ก็ได้กลิ่นเหม็นบูดแล้ว

พวกทาสทนหิวมาสองวันแล้ว ไม่อาจมัวมาคำนึงถึงอะไรมากมาย พอกระบวยถูกยื่นส่งมาก็ใช้สองมือประคองดื่มอึกๆ ลงไป

คนพวกนั้นก็ใช่จะมีความอดทนมากนัก หลายครั้งที่ยังไม่ทันดื่มหมดกระบวยก็ผลักคนให้เดินต่อ แล้วตักกระบวยใหม่ให้คนถัดไป หากทาสชักช้าอืดอาดสักหน่อยก็จะถูกโบยตีด้วยแส้

เชียนโม่เห็นแมลงวันตอมอยู่บนปากอ่างเหล่านั้น ทั้งในอ่างก็มีบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไรลอยอยู่ อดที่จะรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาไม่ได้

ต้องกินให้อิ่มจึงจะหนีออกไปได้! เธอพูดเสียงดังอยู่ในใจ ตอนกระบวยถูกยื่นส่งมา เชียนโม่ลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วก็ดื่มอึกๆ ลงไปทันที

รสชาติแย่มาก แต่กระเพาะที่ไม่ได้แตะถูกน้ำและข้าวมาสองวันกลับสบายขึ้นไม่น้อย

ทาสทั้งหลายถูกมัดโยงรวมกันกลุ่มละสิบคน เรียงเป็นแถวยาวเหยียดเดินช้าๆ ไปข้างหน้า ข้างทางมีคนถือหอกยาวเฝ้าดูพวกเขา บางคนก็มีท่าทีผ่อนคลาย จับเป็นกลุ่มสองสามคนพูดคุยเล่นกัน

ตอนเชียนโม่เดินผ่านพลันได้ยินคำบางคำลอยมาเข้าหู ดูมีความคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย คล้ายมีอะไรบางอย่างเคาะเข้ามาที่กลางใจ เธอหันไปมองคนเหล่านั้นอย่างห้ามใจไม่อยู่

ความจริงตอนที่ถูกจับตัว การแต่งกายของคนเหล่านี้ก็ได้ให้คำตอบนางรางๆ แล้ว

เส้นผมผูกรวบไว้บนศีรษะ เสื้อคอไขว้ ชายเสื้อยาวมาถึงต้นขา ยังมีรองเท้าของพวกเขา เชียนโม่เคยเห็นอยู่ในพิพิธภัณฑ์

ที่สำคัญที่สุดคือภาษาของพวกเขา

ภาษาฉู่ เชียนโม่ฟังออก พวกเขากำลังจ้องมองหญิงสาวในขบวน วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนนี้ดีไม่ดี คนนั้นดีไม่ดี…จู่ๆ ก็มีคนหัวเราะพลางร้องตะโกนออกมาคำหนึ่งแล้วเดินเข้ามาคว้าตัวเชียนโม่เอาไว้

เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เพียงเห็นพวกที่พูดคุยกันอยู่เมื่อครู่ต่างมองมาที่เธอ มีสองสามคนจ้องมาที่กางเกงของเธอแล้วหัวเราะอย่างไม่มีเจตนาดี ดูจากสายตาของพวกเขา เชียนโม่เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เธอสวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว เปรียบกับคนอื่นๆ ที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งแล้วเรียกได้ว่ามิดชิดที่สุด แต่ความเคยชินในการแต่งตัวของคนที่นี่กลับไม่เหมือนกัน พวกเขาต่อให้เสื้อผ้าปิดคลุมร่างกายไม่มิดเช่นไรก็ต้องเอาผ้าพันเอวพันสะโพกเอาไว้ แต่กางเกงที่อยู่บนตัวของเชียนโม่มองดูแล้วกลับเห็นขาสองข้างแยกกันอย่างชัดเจน ในสายตาของพวกเขาคงไม่ต่างอะไรกับการใส่บิกินีกระมัง ก่อนหน้านี้เชียนโม่ก็ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ และไปยืมผ้าผืนใหญ่มาพันเอวเอาไว้ แต่ตอนที่เธอถูกจับขึ้นเรือมา ผ้าผืนนั้นได้หายไปแล้ว…พอนึกถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นมาต่อจากนี้ เธอก็แทบจะเสียสติไปเลย

คนที่เดินมาหาเชียนโม่ใช้มีดตัดเชือกของเธอ คิดจะพาตัวเธอไป

“ไม่…ขอร้องท่าน…ไม่” เชียนโม่ดิ้นรน “ขอร้องท่าน…”

เขาได้ยินนางพูดภาษาฉู่ออกมาอย่างตะกุกตะกักก็มีท่าทางประหลาดใจ หญิงสาวคนที่เดินอยู่ข้างหน้าจู่ๆ ก็ไม่เดินต่อแล้ว พุ่งเข้ามาที่เชียนโม่แล้วร้องตะโกนเสียงดัง

ทาสจำนวนมากหันหน้ากลับมามอง ขบวนถูกดึงรั้งจนหยุดนิ่งไม่ไปต่อ คนเหล่านั้นเห็นสภาพการณ์แล้วโมโห ดึงแส้หนังออกมาจะโบยตี ในเวลานี้เองก็มีเสียงตวาดดังมาจากด้านหน้า คนผู้หนึ่งสะพายดาบทองแดงที่เอวเดินเข้ามาด้วยความเดือดดาล ด่าว่าพวกที่จะพาตัวเชียนโม่ไปด้วยเสียงดังลั่น

คนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นผู้นำ พวกเขารีบหยุดมือแล้วพากันเดินผละไป

ขบวนกลับมาเคลื่อนตัวใหม่อีกครั้ง เชียนโม่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง แม้จะโล่งอก แต่ยังคงอกสั่นขวัญหาย หญิงกลางคนผู้นั้นหันมามองเธอแล้วส่งยิ้มให้

เชียนโม่กลับยิ้มไม่ออกแม้แต่น้อย ได้แต่กล่าว “ขอบคุณ” ไปตามสัญชาตญาณ แล้วก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายอาจฟังไม่เข้าใจ จึงหันไปผงกศีรษะเป็นการขอบคุณให้หญิงผู้นั้น ร่างของเธอยังคงสั่นสะท้าน พยายามแข็งใจควบคุมความหวาดกลัวในจิตใจ ยกท่อนแขนขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้า

 

ฝนเพิ่งจะตกไป ถนนกว้างไม่ถึงสามเมตรทั้งเปียกทั้งลื่น หลังจากเดินผ่านป่าไม้ออกมา ภาพที่อยู่เบื้องหน้าพลันกว้างโล่ง

ชายทุ่งเปล่าเปลี่ยวยังคงปกคลุมไปด้วยหมอกรางเลือน เนินเขาสูงๆ ต่ำๆ ต้นไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์ ที่ลุ่มต่ำจะเป็นบริเวณที่ชื้นแฉะ มีต้นกกและหญ้าขึ้นอยู่เต็มไปหมด ถนนคล้ายแผ้วถางขึ้นมาเพื่อเชื่อมทะลุถึงริมน้ำ พอมีคนเดินผ่าน ฝูงนกไม่รู้ชื่อในพื้นที่ชุ่มน้ำก็ตกใจ โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้านับพันนับหมื่นตัว บินเวียนวนเป็นแถวเป็นแนว ราวกับผ้าโปร่งบางเบาผืนหนึ่งที่ถูกลมพัดพลิ้ว

เชียนโม่มองทัศนียภาพแปลกตาที่อยู่ตรงหน้า มือกำก้อนหินที่เก็บขึ้นมาเมื่อครู่ตอนแสร้งทำเป็นล้ม และถูกับเชือกบนข้อมือไม่หยุด ทว่ามือทั้งสองข้างล้วนถูกมัดไว้ จึงทำได้ไม่ถนัดและค่อนข้างเหนื่อยแรง อีกทั้งเชือกนี้เพิ่งถูกมัดใหม่เมื่อครู่ แน่นหนาเสียจนทำให้เธอท้อใจ ถูอยู่เป็นนานเชือกก็เพิ่งขาดไปเล็กน้อยเท่านั้น

ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมา สาดส่องผู้คนที่กำลังลุยน้ำข้ามภูเขา บนถนนไม่มีอะไรช่วยบดบัง ไม่นานก็รู้สึกร้อนอบอ้าวขึ้นมา

บางทีอาจเพราะไม่อยากยุ่งยากต้องดูแลคนเป็นลมแดด พอเดินได้ระยะหนึ่ง ทาสทั้งหลายก็จะได้รับอนุญาตให้ไปดื่มน้ำในลำธารเล็กๆ ข้างทางได้ ถึงกระนั้นเด็กหญิงที่เดินอยู่ข้างหน้าเชียนโม่ก็ออกจะประคองตัวไม่ไหวแล้ว ศีรษะห้อยต่ำลง

หญิงกลางคนสีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ อยากจะช่วยพยุง แต่มือก็ถูกมัดอยู่ ได้แต่ใช้ข้อศอกของตนประคองข้อศอกของเด็กหญิง เดินไปอย่างยากลำบาก

เชียนโม่อยู่ข้างหลัง เห็นเด็กหญิงก้าวเท้าตามไม่ทันก็จะเข้าไปช่วยประคอง ระหว่างทางมีคนที่ได้รับบาดเจ็บตอนถูกจับตัวทนทรมานไม่ไหวก็จะถูกลากออกจากขบวน นอนนิ่งไม่ขยับอยู่ข้างทาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความซึมเซาหม่นหมอง

เชียนโม่ไม่อาจทนมองได้ ช่วยประคับประคองสองแม่ลูก ก้มหน้าเดินผ่านไป

ในขณะที่เชียนโม่เข้าใจว่าคงต้องเดินอีกนาน ท่ามกลางแสงตะวันสุดท้ายที่เหลืออยู่ เธอก็เห็นผืนแผ่นดินคล้ายจู่ๆ ก็เว้าลึกลงไป หุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้า

เชียนโม่ไม่รู้จะใช้คำพูดอะไรมาบรรยายปรากฏการณ์ตรงหน้าได้ถูก

ถ้าจะพูดจริงๆ นี่ไม่อาจนับว่าเป็นหุบเขา ดูจากรอยขุดเจาะเป็นชั้นๆ ตามภูเขาหินที่อยู่รอบด้าน ที่นี่น่าจะเกิดจากคนขุดเจาะขึ้นมา

ในหุบเขาคล้ายเรียงรายไปด้วยรังที่เจาะเป็นช่องๆ มีโครงไม้ เพิงหญ้าที่สร้างจากไม้จำนวนนับไม่ถ้วน คนก็คล้ายมดที่ใช้ชีวิต เข้าๆ ออกๆ แต่ก็มีระเบียบอยู่ในโพรงจำนวนมากเหล่านี้ มีเส้นทางเดินทอดยาวลงไปสู่ด้านล่าง มองจากที่ไกลๆ เห็นเพียงควันหนาลอยอวล บดบังแสงตะวันที่เหลืออยู่บนท้องฟ้าไปจนหมดสิ้น

มีเสียงสับสนวุ่นวายดังมาจากด้านหลัง เชียนโม่และคนอื่นๆ ถูกทหารผลักไปที่ข้างทางเกือบจะล้มลงไป เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นรถม้าขบวนหนึ่งวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว กีบเท้าม้าแข็งแรง ล้อรถที่ทำด้วยไม้ส่งเสียงดังกึงๆ น้ำโคลนสาดกระเด็น เชียนโม่รีบหันหลังหลบ เธอคิดจะมองให้ชัดๆ อีกที ทว่ารถม้าขบวนนั้นก็ผ่านไปแล้ว เห็นเพียงธงที่อยู่ด้านหลังรถลากปลายหางยาว ปลิวสะบัดไปมาท่ามกลางสายลม

ใต้หินก้อนใหญ่ข้างทางก้อนหนึ่ง มีคนสองคนที่ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนระโหยยิ่งกำลังดื่มน้ำและพูดคุยกัน คนผู้หนึ่งท่าทางเหมือนผู้คุมหันมาเห็นเข้าก็ร้องด่าและคว้าแส้เดินเข้ามา พวกเขารีบเก็บกระบุงไม้ไผ่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วเร่งสาวเท้าเดินหนีไป

ในเวลานี้เองมีคนหลายคนแบกกระบุงไม้ไผ่เดินผ่านข้างกายเชียนโม่ไป พวกเขาผมยุ่งเป็นกระเซิง ใบหน้าเลอะเทอะเหมือนคนงานถ่านหิน ส่วนใหญ่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ กระบุงไม้ไผ่ของพวกเขาดูหนักมาก บ้างก็มีหินก้อนใหญ่สีเขียวอ่อนอยู่ในนั้น บ้างก็เป็นดินแร่สีแดงเข้ม

สายตาของเชียนโม่ชะงักนิ่ง

แร่ทองแดง?

เธอนิ่งอึ้งแล้วหันขวับกลับไปมองบ่อแร่ที่มีไม้ค้ำยันและปากช่องทางเหล่านั้น ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยภูเขาเหมืองแร่ตั้งเรียงรายเป็นระเบียบ

ลักษณะภูมิทัศน์ของภูเขาแม่น้ำค่อยๆ ทับซ้อนกับภาพที่อยู่ในความทรงจำ เชียนโม่เบิกตากว้าง หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมา

 

กงอิ่น* ประจำถงซานจู่ๆ ได้รับรายงานว่าฉู่หวัง* เสด็จมาก็ตั้งตัวไม่ทัน เขารีบมายังค่ายบัญชาการถงซาน เพิ่งจะเข้าประตูก็เห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งสวมรัดเกล้าสูงเสื้อคลุมยาวยืนอยู่หน้าโต๊ะ กำลังพลิกดูม้วนไม้ไผ่ในมือ

ฉู่หวังเห็นกงอิ่นแล้ว ใบหน้าด้านข้างส่องสะท้อนแสงสว่างจางๆ ดูน่าครั่นคร้ามทั้งที่ไม่ได้กราดเกรี้ยว

กงอิ่นในใจรู้สึกเป็นกังวล ฉู่หวังอายุน้อย ขึ้นชื่อว่าเป็นคนทำอะไรอย่างมีอิสระไร้กฎเกณฑ์ ไปมาดุจสายลม ทั้งอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยเอาแน่เอานอนไม่ได้ กงอิ่นจำเป็นต้องรับมืออย่างระมัดระวัง

“กว่าเหริน* มาเยี่ยมดูถงซาน” ไม่รอให้กงอิ่นกล่าวคำพูดตามพิธีรีตองจบ ฉู่หวังก็เอ่ยเสียงราบเรียบขึ้น สายตาละผ่านตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ “ระยะหลังมานี้จำนวนแร่จากถงซานลดน้อยลง หรือว่ามีปัญหาอะไร”

* กงอิ่น เป็นตำแหน่งขุนนางผู้ควบคุมดูแลคนงาน และจัดการเกี่ยวกับงานช่าง งานเหมือง หรือการก่อสร้าง

* ฉู่หวัง หมายถึงเจ้าผู้ครองแคว้นฉู่ ซึ่ง ‘หวัง’ หรือ ‘อ๋อง’ (王) ในสมัยชุนชิวนี้เป็นบรรดาศักดิ์เทียบเท่ากับกษัตริย์

* กว่าเหริน เป็นคำเรียกตนเองของกษัตริย์จีนโบราณ หมายถึงข้าพเจ้า

“ทูลต้าหวัง” กงอิ่นรีบกล่าว “ระยะนี้มีแร่ออกน้อย เป็นเพราะฝนตกหนักติดต่อกัน ทำให้ในบ่อแร่มีน้ำสะสมอยู่ อีกทั้งเมื่อเดือนที่แล้วในเหมืองแร่มีโรคระบาดเกิดขึ้นกะทันหัน แรงงานทาสตายไปจำนวนหนึ่ง เรื่องนี้กระหม่อมได้รายงานให้ลิ่งอิ่น** ทราบแล้ว สองวันนี้มีแรงงานทาสส่งมาถึงจำนวนไม่น้อย ในถงซานก็กำลังเร่งเตรียมการขุดแร่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังผงกศีรษะ วางม้วนอักษรไม้ไผ่ในมือลง เขาเดินออกจากห้องโถงไปหยุดที่ข้างราวลูกกรง ลมพัดโชยมา แขนเสื้อทั้งสองข้างของเขาปลิวขึ้นเล็กน้อย

อดีตหวังให้ความสำคัญต่อภูเขาเหมืองแร่ในเมืองเอ้อแห่งนี้ จึงสร้างค่ายบัญชาการไว้บนเนินข้างภูเขาถงลวี่เพื่อความสะดวกในการควบคุมดูแล และสามารถทอดสายตาลงมามองเห็นทั่วทั้งเหมืองแร่

ฉู่หวังมองขึ้นไปเหนือศีรษะ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล แสงสายัณห์โรยตัวลงมาแล้ว ตะวันที่คล้อยต่ำลอยอยู่เหนือยอดเขาไกลโพ้น แสงสุดท้ายที่เหลืออยู่อาบย้อมท้องฟ้าให้มีสีม่วงจางๆ แสงไฟในค่ายบัญชาการสว่างไสว ในเหมืองแร่ก็จุดคบไฟขึ้นมาละลานตาแล้ว ส่องสว่างบ่อแร่ที่เรียงรายอยู่แน่นขนัด คนที่กำลังทำงานเดินขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย

“เมื่อครู่กว่าเหรินผ่านเข้ามาในเขตเหมืองแร่ เห็นแรงงานทาสมาใหม่จำนวนมาก” ฉู่หวังพลันเอ่ยขึ้น “มาจากที่ใดกัน”

“แรงงานทาสที่มาใหม่ล้วนมาจากแถบชนเผ่าหยางเยวี่ยและชนเผ่าซู” กงอิ่นรีบตอบ “เดือนที่แล้วหัวหน้าเผ่าก่อกบฏ ซือหม่า*** ยกกำลังไปปราบปราม แรงงานทาสที่จับมาได้ส่งมาที่เหมืองแร่ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังมองแสงเทียนระยิบระยับที่อยู่ไกลๆ พลางเอ่ยถาม “แรงงานทาสในเหมืองแร่เวลานี้มีจำนวนเท่าไร”

“หนึ่งหมื่นสามพันกว่าคน” กงอิ่นตอบ “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สองวันนี้น่าจะเพิ่มถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคนพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยขึ้น “ระยะนี้ฟ้าฝนดี สภาพอากาศร้อนชื้น แรงงานทาสทำงานทั้งวัน ทั้งอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนั้น จะป้องกันโรคระบาดได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้มีคนงานเท่าไรก็ไม่พอ”

กงอิ่นมีท่าทีประหลาดใจ “ความหมายของต้าหวังคือ…”

“กว่าเหรินถามหัวหน้ากองร้อยแล้ว บ้านที่แรงงานทาสพักอาศัยไม่ได้ซ่อมแซมมาสองปีแล้ว ทั้งมีคนใหม่มาเพิ่มอีกจำนวนมาก ไม่มีที่ให้พักอาศัย ชะลอการออกแร่ไปก่อนไม่เป็นไร ตั้งแต่พรุ่งนี้ให้แรงงานทาสผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างบ้านพัก”

กงอิ่นได้ยินฉู่หวังสั่งการเช่นนี้ก็รีบรับคำ

 

เชียนโม่ไม่ได้คาดเดาผิด

คนที่อยู่ในเหมืองแร่รวมถึงตัวเธอเองด้วยมีจำนวนมากราวกับมดราวกับแมลง ส่วนใหญ่ก็เป็นทาสที่ทำงานหนัก

แต่อย่างน้อยเธอก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน กระทั่งอยู่ในราวยุคสมัยใด

ในสถานที่ที่ควบคุมโดยคนที่พูดภาษาฉู่โบราณย่อมต้องเป็นแคว้นฉู่ แคว้นฉู่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อาณาเขตในแต่ละยุคสมัยก็ไม่เหมือนกัน แต่ในสมัยปัจจุบันแหล่งเหมืองแร่ทองแดงขนาดใหญ่ที่รู้จักมีเพียงแห่งเดียวคือภูเขาถงลวี่

ภูเขานี้อยู่ระหว่างเมืองเอ้อกับเผ่าหยางเยวี่ย ตอนต้นยุคชุนชิว สยงฉวีผู้เป็นฉู่หวังในสมัยนั้นเข้ายึดครองแคว้นเอ้อ คนรุ่นหลังได้คาดคะเนว่าหลังจากแคว้นฉู่เข้าครอบครองภูเขาถงลวี่ แร่ทองแดงที่มีจำนวนมากมายมหาศาลได้ทำให้แคว้นฉู่มีกำลังแข็งแกร่งขึ้นมาก และได้สร้างรากฐานมั่นคงให้กับแคว้นฉู่จนได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าจักรวรรดิสืบต่อมาอีกหลายร้อยปี

** ลิ่งอิ่น เป็นตำแหน่งผู้บริหารราชการแผ่นดินของแคว้นฉู่ในยุคชุนชิว เทียบได้กับตำแหน่งอัครเสนาบดี

*** ซือหม่า เป็นตำแหน่งขุนนางผู้มีอำนาจควบคุมทางการทหาร เทียบได้กับตำแหน่งสมุหกลาโหม

ครั้งแรกที่เชียนโม่ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ เธอเหม่อมองเหมืองแร่ที่อยู่ห่างออกไป กลางฝ่ามือมีเหงื่อซึมออกมา

เธอเคยมาที่นี่

ในยุคสมัยที่เธอมีชีวิตอยู่ เธอเคยไปภูเขาถงลวี่กับคุณปู่คุณย่าหลายครั้ง ไปชมซากปรักหักพังที่เหลืออยู่ที่นั่น

ในความทรงจำโครงไม้ที่เหลืออยู่เหล่านั้นคล้ายฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาในพริบตาเดียว เปลี่ยนเป็นใหม่เอี่ยมแข็งแรง พวกมันวางชิดกันเป็นแผ่น เรียงติดกันเป็นกำแพง ค้ำยันอุโมงค์เหมืองแร่และช่องทางเดินที่มีจำนวนมากมายมหาศาล เธอจำได้ว่าตนเองเคยพินิจดูสิ่งของโบราณแต่ละชิ้นที่ขุดค้นได้จากอุโมงค์เหมืองแร่และนำมาตั้งแสดงโชว์ไว้ในแกลลอรี่ขนาดใหญ่ และเวลานี้ทาสที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ข้างกายเธอจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ก็คือเจ้าของสิ่งของโบราณเหล่านั้น

แต่การรับรู้ในเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เชียนโม่ตื่นเต้นดีใจนานนัก คืนแรกที่เธอมาถึงเขตเหมืองแร่แห่งนี้ แทบจะพูดได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีวิตอยู่ในแดนนรก

เพิงหญ้าโกโรโกโส นอนกันสิบกว่าคน แต่ละคนต่างไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเวลานาน เนื้อตัวมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวฉุนกึ้ก ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังมีหมัดและยุงเป็นฝูง เชียนโม่โตจนป่านนี้เพิ่งได้รับรู้รสชาติของการถูกหมัดกัดเป็นครั้งแรก พอเธอเพิ่งจะเคลิ้มหลับไปได้ก็พลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนมือ ตัวเย็นๆ ลื่นๆ เธอลืมตาขึ้นมา อาศัยแสงจันทร์มองเห็นอย่างชัดเจนแล้วก็ต้องกรีดร้องสะบัดมืออย่างแรง…นั่นเป็นงูตัวหนึ่ง!

เสียงกรีดร้องของเชียนโม่ทำให้คนที่อยู่รอบข้างตกใจตื่น หญิงกลางคนที่นอนอยู่ข้างเธอเห็นงูตัวนั้นก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน ยื่นมือมาด้วยหน้าตาที่งัวเงียจับงูตัวนั้นโยนทิ้งไปแล้วล้มตัวลงนอนต่อ ท่ามกลางสายตาตำหนิของคนรอบข้าง เชียนโม่ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าดอกไม้ในเรือนกระจก บัณฑิตผู้ไร้ประโยชน์*

นอกจากสภาพแวดล้อมแล้ว ภาษายังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ คนรอบข้างที่รู้ภาษาฉู่มีน้อยมาก วิธีการที่เชียนโม่ใช้ในการสื่อสารมากที่สุดยังคงเป็นการใช้มือทำท่าทำทางและยิ้มราวกับคนปัญญาอ่อน

เธอคิดว่าท่าทางเช่นนี้ของตน ในสายตาของผู้อื่นอาจเห็นว่าเป็นคนที่มาจากดินแดนป่าเถื่อนยิ่งกว่าป่าเถื่อนเสียอีก ไม่เพียงพูดภาษาไม่ได้ ทำงานไม่เป็น ยังสวมเสื้อผ้าแปลกประหลาด ทว่าเธอพบว่ายิ้มเซ่อซ่าก็มีประโยชน์ของยิ้มเซ่อซ่า เวลาเธอมีเรี่ยวแรงไม่พอหรือมือไม้เก้งก้าง คนเหล่านี้แม้จะมีสีหน้าดูแคลนและแปลกใจ แต่ยังคงเต็มใจให้ความช่วยเหลือเธอ

ในเมื่อเป็นทาส ย่อมไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก หลังจากเชียนโม่มาถึงที่นี่ งานในแต่ละวันก็คือต้องตามพวกสตรีไปหิ้วน้ำ ก่อไฟ และขนย้ายสิ่งของตั้งแต่เช้าจรดค่ำโดยมีผู้คุมคอยเฝ้าดู หากถูกพบว่าแอบขี้เกียจก็จะถูกโบยด้วยแส้ แม้ผลการเรียนวิชาพลศึกษาของเธอจะไม่เลว แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอทำงานหนักได้ หลังผ่านการทำงานอย่างหนัก ตอนกลับไปถึงเพิงที่พัก เชียนโม่ก็จะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายเช่นนั้น

ไม่ว่าหญิงหรือชาย ตอนค่ำหลังเลิกงานก็จะถูกมัดมือโยงกับลำคออีกครั้งและนอนไปทั้งอย่างนั้น ดีที่งานที่ทำตอนกลางวันเหน็ดเหนื่อยมาก ทำให้คนไม่มีเรี่ยวแรงจะมาใส่ใจว่าเชือกที่มัดคอในตอนกลางคืนทำให้ไม่สบายมากเพียงใด แม้เชียนโม่จะถูกมัดแต่ก็ยังหลับไปได้

เชียนโม่คิดว่าหากคุณปู่ได้มาที่นี่ด้วย ไม่รู้จะตื่นเต้นดีใจสักเพียงใด คุณปู่ศึกษามาทั้งชีวิต จุดมุ่งหมายก็เพียงเพื่อต้องการจะรู้ว่าที่แท้แล้วคนเหล่านี้พูดภาษาอะไรและมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร

* ดอกไม้ในเรือนกระจก บัณฑิตผู้ไร้ประโยชน์ หมายถึงคนที่ได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอมไม่เคยผ่านความยากลำบากย่อมไร้ประสบการณ์ บัณฑิตที่รู้เพียงหนังสือแต่ไม่มีความสามารถอื่น

แต่พอเธอนึกถึงสภาพความเป็นอยู่ของตนในเวลานี้ ก็คิดว่าคุณปู่ยังคงอย่ามาที่นี่จะดีกว่า

คนที่ถูกจับตัวมาเช่นเดียวกับเธอส่วนใหญ่ก็หาได้ยินยอมพร้อมใจ ทุกวันก็จะมีคนคิดหนี แต่เหมืองแร่แห่งนี้ทั้งสี่ด้านล้วนมีภูเขาและกำแพงล้อมรอบ มือเปล่ายากจะปีนข้ามไปได้ เธอเคยเห็นคนผู้หนึ่งฉวยโอกาสตอนทหารที่เฝ้าอยู่เผลอปีนกำแพงหนี เมื่อถูกพบเห็นเข้า ทหารก็เอาหอกยาวขว้างไปจากที่ไกลเต็มแรง

เป็นครั้งแรกนับแต่เกิดมาที่เชียนโม่เห็นภาพการสังหารคนต่อหน้าต่อตา ปลายหอกยาวแทงทะลุหน้าอก คนผู้นั้นร่วงลงมา ชักกระตุกสองสามครั้งแล้วก็แน่นิ่งไป

ตกกลางคืน เชียนโม่ฝันร้าย แต่ก็ยิ่งตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องหนี

 

เชียนโม่ไม่บุ่มบ่าม เธอกำลังพยายามมองหาโอกาสที่เหมาะสม

ไม่ถึงสองวัน โอกาสดีก็มาถึง ในเหมืองแร่มีคนมากเกินไป ไม่มีที่ให้พักอาศัย เจ้าหน้าที่เริ่มให้ทาสทั้งหลายลงมือสร้างบ้านพัก

กล่าวสำหรับเชียนโม่แล้ว บ้านพักเหล่านี้ต่อให้สร้างดีเพียงใดก็สู้บ้านคนเก็บขยะที่ชานเมืองไม่ได้ บ้านพักที่นี่เป็นเรือนแบบยกพื้นเตี้ย ใช้ไม้ไผ่ขัดตอกบุหญ้าคาทำเป็นผนัง หลังคาก็มุงด้วยหญ้าคา พอประทังไม่ให้ฝนรั่วเข้ามาได้

แต่…สร้างเรือนที่พักจำเป็นต้องใช้หญ้าคา และที่เก็บเกี่ยวหญ้าคาอยู่นอกเขตเหมืองแร่

เชียนโม่เดิมก็ทำหน้าที่ตัดหญ้าอยู่แล้ว ครั้งนี้จึงถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มที่ทำหน้าที่ตัดหญ้าคาโดยปริยาย

เธอสังเกตอย่างถี่ถ้วน สถานที่ตัดหญ้าคาอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากที่นั่นมีแม่น้ำสายหนึ่ง ยังมีป่าไม้อีกผืนหนึ่ง หากมีใจคิดจะหนี สถานที่แห่งนี้นับว่าไม่เลว เธอยังสังเกตเห็นว่าที่เสาต้นหนึ่งริมน้ำมีเรือเล็กเก่าๆ ลำหนึ่งผูกอยู่

กว่าจะสร้างกระท่อมเสร็จยังต้องใช้เวลาอีกหลายวัน เชียนโม่รอคอยจังหวะเหมาะ ตั้งแต่เล็กการว่ายน้ำก็เป็นสิ่งที่เธอเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ขอเพียงทหารเหล่านั้นคลายความระมัดระวังลงสักหน่อย เปิดโอกาสให้เธอได้ขยับเข้าไปใกล้ริมแม่น้ำ…

“โม่…” ในเวลานี้เองแขนของเชียนโม่ถูกคนกระตุก เธอหันหน้าไป อาหมู่กำลังมองเธอพลางชี้มือไปที่ใบหน้า

เชียนโม่เข้าใจทันที เมื่อครู่เหงื่อออก คันๆ ที่แก้ม เธอทนไม่ไหวจึงยกมือขึ้นเกา มองไปที่นิ้วมือดำๆ เป็นเถ้าเขม่าที่เช็ดออกมาจากใบหน้า เชียนโม่ก็ยิ้มอย่างขวยเขิน อาหมู่ไปเอาเถ้าเขม่าที่เตามาเติมใบหน้าให้เธอ

อาหมู่ก็คือหญิงกลางคนที่มาถึงเหมืองแร่พร้อมเชียนโม่ ลูกสาวของนางเรียกนางด้วยคำที่ออกเสียงคล้าย ‘อาหมู่’ เชียนโม่จึงเรียกอาหมู่ตามไปด้วย ชื่อของลูกสาวนางออกเสียงคล้ายคำว่า ‘อาหลี’ เชียนโม่จึงเรียกเด็กหญิงว่าอาหลีตามไปด้วย เชียนโม่บอกชื่อของตนกับพวกนาง แต่สอนลำบาก สุดท้ายจึงใช้วิธีพบกันครึ่งทาง ให้พวกนางเรียกตนว่า ‘โม่’

เชียนโม่กับสองแม่ลูกนับว่าเป็นเพื่อนที่คบกันในยามทุกข์ยาก พวกนางเองก็ช่วยดูแลเชียนโม่ดี

ในคืนที่มาถึงภูเขาเหมืองแร่ เชียนโม่ตามพวกสตรีไปล้างหน้าล้างตัวที่บ่อน้ำ เธอล้างคราบสกปรกบนใบหน้าจนสะอาดเอี่ยม พออาหมู่เห็นเข้าก็ดึงเธอไปทำมือทำไม้พูดอะไรอยู่เป็นนานสองนาน เชียนโม่ดูอยู่พักใหญ่จึงเข้าใจ นางกำลังบอกว่าไม่อาจล้างหน้าจนสะอาดสะอ้าน ไม่ปลอดภัย

เชียนโม่ผิวพรรณขาวนวลเนียน เดิมก็ดูต่างจากคนที่ทำงานหนักมาตลอดอยู่แล้ว อยู่ที่นี่สตรีมีจำนวนน้อยมาก ทาสหญิงที่ไม่มีฐานะใดๆ ให้เอ่ยถึง การมีรูปร่างหน้าตาดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่ใช่เรื่องดี ด้วยเหตุนี้พวกสตรีเพียงได้ยินเสียงนกเสียงลมก็หวาดผวา แม้แต่คนที่มีอายุแล้วยังเอาขี้เถ้าทาหน้าทุกวัน กลัวคนจะสนใจ

ไม่เพียงเท่านั้น เชียนโม่ยังเรียนรู้จากบทเรียนครั้งก่อน เธอเอาเสื้อแขนยาวผ่าหน้าที่สวมไว้ข้างนอกมาทำเป็นกระโปรง เอามาพันรอบเอวปิดช่วงล่างไว้ ให้การแต่งเนื้อแต่งตัวของตนมองดูแล้วกลมกลืนไปกับผู้อื่นอยู่บ้าง เธอยังตัดขากางเกงส่วนที่เลยข้อเท้าไปออกมา นำมาทำเป็นผ้าพันมือ เพื่อป้องกันไม่ให้มือของตนเป็นตุ่มพองเจ็บก่อนจะทันด้าน

บางครั้งเชียนโม่รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้าน่าเวทนาอย่างที่สุด แต่เมื่อมองดูผู้คนที่อยู่รอบข้าง จิตใจของเธอก็รู้สึกดีขึ้น

พวกอาหมู่ถูกปล้นสะดมพาตัวมาที่นี่ พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอน หลายต่อหลายคนเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ส่วนเชียนโม่ไม่เพียงมีเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว ยังมีรองเท้าคู่หนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นคนรวยคนหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามทำตัวไม่ให้โดดเด่น นอบน้อมถ่อมตน ไม่เคยซักเสื้อผ้า และปล่อยให้โคลนเลนเกาะติดรองเท้าเป็นชั้นๆ

 

กงอิ่นประจำถงซานเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้หนึ่งปี มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ครั้งก่อนจู่ๆ ฉู่หวังก็เสด็จมา ประทับอยู่สองวันก็เสด็จกลับ แม้เขาจะปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่อย่างดี แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าไม่พอ

ค่ายบัญชาการในเหมืองแร่แม้จะไม่เลว แต่ฉู่หวังอยู่ที่นครอิ่งตูมีชีวิตอยู่ดีกินดี ที่นี่กระทั่งคนขับร้องดีดสีตีเป่าสร้างความครึกครื้นในงานเลี้ยงสักคนก็ยังไม่มี เปรียบเทียบกันแล้วช่างลำบากยากแค้นนัก กงอิ่นไม่อยากพลาดโอกาสที่จะเอาอกเอาใจฉู่หวัง จึงออกจะร้อนใจ

โชคดีที่เสี่ยวเฉินฝู* ญาติผู้พี่ของเขาเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดของฉู่หวัง กงอิ่นจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเสี่ยวเฉินฝู คิดจะให้เขาหาหญิงขับร้องร่ายรำจากเมืองหลวงมาให้

คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเฉินฝูกลับด่าว่าเขาพักใหญ่

“เจ้าเข้าใจว่าอยู่ในวังหรืออย่างไร ฉู่หวังหาได้เลอะเลือน ถงซานสถานที่สำคัญเช่นนี้ ในค่ายบัญชาการถึงกับมีหญิงให้ความสำราญ ไยมิใช่หาเรื่องตาย”

กงอิ่นตื่นตระหนก แต่ก็รู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ “แต่เช่นนี้ก็เท่ากับไม่มีหนทางแล้วหรือ”

“ใช้สมองหน่อย” เสี่ยวเฉินฝูยิ้มๆ “แม้ต้าหวังจะคาดเดาอารมณ์ยาก แต่อย่างไรก็เป็นคนหนุ่ม ข้าได้ยินมาว่าระยะนี้ที่หนองน้ำใกล้เคียงมีจระเข้ดุร้าย ชาวบ้านต่างร่ำร้องให้จัดการจระเข้ รอต้าหวังมาแล้ว เจ้าก็กราบทูลให้ทรงทราบ…หือ?”

ดวงตาของกงอิ่นเปล่งประกาย

ล่าจระเข้ ฉู่หวังจิตใจฮึกเหิมเลือดร้อน ชอบล่าสัตว์ และเมืองเอ้อก็มีจระเข้มาก นี่เป็นความคิดที่ดี

คิดได้ดังนี้เขาก็รีบกล่าวคำขอบคุณแล้วกลับไปเตรียมการด้วยความดีใจ

 

เช้าตรู่ เชียนโม่ถูกคนทำให้ตกใจตื่นจากความฝัน

เธอขยี้หูขยี้ตา มองออกไปข้างนอก ท้องฟ้าใกล้สว่างแล้ว ผู้คุมกำลังร้องเร่งเสียงดัง ทาสทั้งหลายไม่กล้าชักช้า รับอุปกรณ์และอาหารแห้ง รีบเร่งออกไปทำงาน

ตอนมารับอาหารแห้ง เชียนโม่มาช้าไปหน่อย พอเวียนมาถึงเธอก็เหลือแต่เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว

เชียนโม่พยายามกอบให้เต็มมือแล้วยัดลงท้องให้หมด จะหลบหนีต้องมีเรี่ยวแรง อย่างน้อยเธอก็เรียนรู้ที่จะไม่เลือกกินแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น หลายวันมานี้เธอสะสมอาหารแห้งไว้วันละเล็กละน้อย ซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง

* เสี่ยวเฉิน เป็นตำแหน่งขันทีในวังหลวง

มีเสียงตวาดดังมาจากถนน เชียนโม่มองตามเสียงไปก็เห็นทหารจำนวนมากเดินมาขับไล่ฝูงชน ผู้คนรีบหลบไปอยู่สองฟากถนนจนเบียดเสียด รอทหารเดินมาถึงจึงได้เห็นว่าที่แท้ก็กำลังห้อมล้อมรถม้าคันหนึ่ง

เชียนโม่ขยับตัวไม่ได้ และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรถม้าในระยะใกล้เช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะจ้องตาเขม็ง

รถม้าทุกคันล้วนมีหลังคาคลุม ห้อยเครื่องประดับประณีตงดงามแตกต่างกันไป ดูไม่ต่างจากภาพวาดบนฝาผนังที่เธอเคยเห็นมาเมื่อก่อน บนรถม้ามีคนสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ขับขี่ อีกคนเป็นผู้โดยสารที่มีฐานะสูงศักดิ์

และที่ทำให้เธอให้ความสนใจก็คือรูปร่างลักษณะของรถม้า

รถม้าแอกเดียวปรากฏขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว ราชวงศ์โจวทั้งสอง* ต่างใช้มาโดยตลอด เป็นรูปแบบที่ใช้กันอยู่ทั่วไป

เชียนโม่รู้สึกหัวสมองพองโต ทันใดนั้นคนที่อยู่ข้างๆ ก็กระตุกแขนเธอ เชียนโม่ตื่นจากภวังค์ พบว่ารถม้าเหล่านั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เธอรีบก้มหน้าลงเหมือนคนอื่นๆ รอจนเสียงล้อรถไปไกลแล้วจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมอง

“โม่!”

มีเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง เชียนโม่หันไป แล้วก็เห็นชายหนุ่มผมยุ่งๆ คนหนึ่งกำลังส่งยิ้มให้เธอพลางยื่นอาหารแห้งแผ่นหนึ่งมาให้

เขาชื่อหมาง เชียนโม่ไม่รู้จักชื่อที่แท้จริงของเขา เพียงเรียกตามคนอื่น

หมางดูท่าทางอายุยี่สิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน รู้ภาษาฉู่ ภาษาซู และภาษาหยางเยวี่ยบางส่วน ทั้งยังเขียนหนังสือได้ เป็นหัวหน้ากลุ่มตัดหญ้า มีอำนาจบารมีในหมู่ทาสอยู่บ้าง

เชียนโม่คาดเดาว่าเขาน่าจะเป็นนักโทษคนหนึ่ง เพราะที่หน้าผากของเขามีรอยแผลเป็นสีดำอยู่รอยหนึ่ง แม้จะเห็นรูปร่างลักษณะไม่ชัดเจน แต่เชียนโม่รู้ว่านั่นเป็นรอยที่เกิดจากการสักหน้าแล้วทาด้วยหมึกเพื่อลงโทษและประจานผู้กระทำความผิด เป็นวิธีการที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในสมัยโบราณ

เพราะพูดภาษาฉู่ได้ หมางกับเชียนโม่จึงพูดคุยกันรู้เรื่อง อีกทั้งหมางก็มักพากลุ่มของเชียนโม่ไปทำงานอยู่เสมอ เชียนโม่จึงจงใจตีสนิทกับเขา หมางมีไมตรีจิตมาก เป็นคนหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยนและมองโลกในแง่ดีคนหนึ่ง เมื่อพบว่าเชียนโม่พูดอะไรไม่ได้เลยก็สอนเธอด้วยความใจดี หลายวันมานี้เชียนโม่เริ่มเรียนรู้ภาษาฉู่ได้มากขึ้นแล้ว

เชียนโม่เห็นอาหารแห้งในมือของเขาก็รีบสั่นหัว ผลักอาหารแห้งคืนกลับไป ทุกวันหมางต้องวิ่งไปวิ่งมา ยังต้องไปที่บ่อแร่ ทำงานหนักกว่าเธอมาก อาหารแห้งจำเป็นต่อเขามากกว่า

หมางงงงัน แล้วยื่นอาหารแห้งมาให้อีก

“ไม่เอา” เชียนโม่พูดด้วยภาษาฉู่

“กิน” หมางยิ้ม เอาอาหารแห้งยัดใส่มือเชียนโม่แล้วหมุนตัวเดินจากไป

เชียนโม่คิดจะไล่ตาม แต่ก็จนปัญญาเพราะผู้คุมร้องเร่งมาอีก เธอได้แต่มองตามด้านหลังศีรษะที่มีเส้นผมยุ่งเหยิงของหมางหายลับไปท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด

 

ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาผืนแผ่นดิน เป็นวันที่ทำงานหนักอีกวัน

งานของเชียนโม่ในวันนี้ยังคงเป็นการไปตัดหญ้าคาที่เนินเขา เคียวที่ใช้ตัดหญ้าทำมาจากเปลือกหอยกาบ แม้จะดูโบราณ แต่ขอบก็ถูกฝนจนคมกริบ

* ราชวงศ์โจวทั้งสอง ได้แก่โจวตะวันตก (ก่อนคริสตศักราช 1066-771 ปี) และโจวตะวันออก (ก่อนคริสตศักราช 770-256 ปี)

เศษผ้าที่เอามาพันมือถูกเสียดสีจนมองไม่เห็นสภาพเดิม เชียนโม่ตัดหญ้าไปช้าๆ ในใจยังคงคิดถึงรถม้าเมื่อครู่ก่อน

แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่มาวันนี้ได้เห็นหลักฐานยืนยันที่เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น จิตใจย่อมแตกต่างไปแล้ว ไม่รู้เพราะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ หรือเปล่า เธอจึงรู้สึกร้อนอบอ้าว จึงหยุดมือพักสักประเดี๋ยว เธอเหลียวมองไปรอบด้าน ด้านล่างเนินเขา แม่น้ำคดเคี้ยวสายนั้นอ้อมผ่านหาดตื้นแห่งหนึ่ง หญ้าคาขึ้นไปจนถึงริมแม่น้ำ เชื่อมต่อกับป่าต้นกก

ถ้าโชคดีอาจเข้าไปซุกหลบได้โดยไม่ถูกพบเห็น

เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจ

เธอไม่ใช่คนของที่นี่

หัวใจของเชียนโม่เต้นตึกตัก เธอหันไปมองที่ด้านข้าง อาหมู่กับหญิงสาวคนอื่นๆ ต่างทำงานอย่างแข็งขัน ข้างกายมีหญ้าคาล้มเอนอยู่กองใหญ่ เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า น่าจะสิบนาฬิกาได้ ตามกฎระเบียบในช่วงที่ผ่านมา เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ตรงหัว ผู้คุมก็จะให้พวกเธอกลับไปที่เขตเหมืองแร่ ไปทำอาหารให้ทาสทั้งหลายและทำงานจุกจิกอื่นๆ…

ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรมีคนส่งน้ำมาให้แล้ว เงาร่างหนึ่งเข้ามาบดบังอยู่เบื้องหน้าเชียนโม่ เธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นหมาง

ในมือของเขาถือชามดินเผาใส่น้ำมาเต็มชามหนึ่ง เขาส่งยิ้มให้นางแล้วยื่นชามมาให้

ทุกคนต่างฉวยโอกาสพักเอาแรงในช่วงดื่มน้ำ เชียนโม่เองก็วางเคียวเปลือกหอยลง หันไปกล่าวขอบคุณหมางแล้วรับชามใส่น้ำมา เธอนั่งลงบนพื้นหญ้า ดื่มน้ำทีละคำๆ น้ำนี้มาจากแหล่งน้ำบนภูเขา ใสเย็นชุ่มคอ หลังจากดื่มน้ำหมด เชียนโม่พบว่าหมางจ้องมองเธออยู่ตลอด

เชียนโม่งงงัน ลูบใบหน้าตัวเองโดยสัญชาตญาณ พลันนึกได้ว่าใบหน้าของเธอเดิมก็สกปรกอยู่แล้ว จึงรีบหยุดมือ

หมางยิ้มแล้วเอ่ยถาม “โม่ เจ้ามาจากที่ใด”

“ซู” เชียนโม่บอก

หมางกลับสั่นหัว “ไม่ เจ้าพูดภาษาซูไม่ได้ แต่กลับพูดภาษาฉู่ได้”

นี่เป็นปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจน เชียนโม่ได้แต่ยิ้ม ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

“เจ้ายังเขียนหนังสือได้” หมางเอากิ่งไม้ขีดๆ เขียนๆ ที่พื้นดินแล้วมองเธอ “เจ้าเป็นคนในวงศ์สกุลสูงศักดิ์”

เชียนโม่ตะลึงงัน จากนั้นก็ฝืนยิ้ม เธออยากจะบอกว่าเจ้าเคยเห็นคนในวงศ์สกุลสูงศักดิ์ต้องตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นข้าหรือ ทว่าต้องพูดหลายคำเช่นนี้ จำนวนคำศัพท์ที่เธอรู้ก็ไม่พอใช้แล้ว จึงได้แต่สั่นหัวบอก “ไม่ใช่” พูดจบเธอก็ย้อนถามบ้าง “เจ้าก็เขียนหนังสือได้ เจ้าเป็นคนในวงศ์สกุลสูงศักดิ์หรือ”

หมางยิ้ม มองจ้องเธอเหมือนยังอยากจะพูดอะไร ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น ทั้งสองหันไปมอง เห็นหญิงคนหนึ่งล้มลงกับพื้น เกร็งแข็งไปทั้งร่าง คนที่อยู่ข้างๆ รีบเข้าไปพยุง ทั้งตบๆ หน้า ทั้งกดที่จุดเหรินจง* แต่หญิงคนนั้นยังคงมือไม้เกร็งไม่หยุด ไม่นานก็หมดสติไป

หมางรีบวิ่งเข้าไป หลังจากตรวจดูแล้วก็เรียกคนให้พานางกลับไป คนอื่นๆ ต่างแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา เชียนโม่ยืนอยู่มุมหนึ่ง เห็นหญิงผู้นั้นเอามือโอบตัวร่างสั่นระริกคล้ายหนาวมาก

เธอมองผู้คนช่วยกันหามหญิงสาวคนนั้นกลับไป ในใจกลับคิดถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง

* จุดเหรินจง คือจุดชีพจรอยู่ตรงร่องใต้จมูกเหนือริมฝีปาก ใช้ปลายนิ้วกดคลึงแก้อาการเมารถ เมาเรือ หรือเป็นลม

ที่พักอาศัยในเหมืองแร่มีสภาพไม่ดีนัก ทั้งต้องทำงานหนักมาก หลังจากสองวันก่อนมีฝนตกลงมาก็มีคนไม่น้อยล้มป่วยลง ตอนแรกเชียนโม่เข้าใจว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาทั่วไป แต่ดูไปดูมาก็รู้สึกไม่ถูกต้อง การล้มป่วยของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน ทั้งปวดศีรษะ ทั้งมีเหงื่อออกเวลาหลับ นอกจากนี้ไข้นี้คล้ายมีการแพร่ติดต่อ ถ้าในเพิงที่พักมีคนล้มป่วย ไม่นานก็จะพบคนที่อยู่รอบข้างมีอาการในลักษณะเดียวกัน

“เป็นไข้จับสั่น” หมางกระซิบเสียงต่ำ

ไข้จับสั่น…เชียนโม่รู้จัก แคว้นฉู่ภูมิอากาศชื้น ในหนังสือประวัติศาสตร์เอ่ยถึงว่าเชื้อไข้จับสั่นเคยทำให้กองทัพแคว้นฉินที่ยกทัพลงใต้มาตีแคว้นฉู่ได้รับความเสียหายหนัก ในสมัยปัจจุบันคนจำนวนมากเห็นว่าไข้จับสั่นนี้ความจริงแล้วก็คือไข้มาลาเรีย ติดต่อโดยผ่านยุง ในยุคสมัยที่การแพทย์ยังไม่เจริญ มีผู้คนล้มตายเพราะมาลาเรียในขอบเขตกว้างขวาง มากจนไม่สามารถยกมากล่าวได้หมด

หญิงที่ล้มป่วยลงผู้นี้พักอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับเพิงที่พักของเชียนโม่ ถ้านางเป็นไข้มาลาเรียจริง ก็ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่ติดต่อมาถึงตน ที่นี่ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีหยูกยา เกิดตนติดโรคไปด้วย…

เชียนโม่ไม่กล้าคิดต่อ แต่เธอกลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

สมัยเด็ก เธอตามคุณย่าไปศึกษาภาคสนาม ไปพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนั้นคนในกลุ่มที่ไปศึกษาด้วยกันคนหนึ่งได้รับเชื้อมาลาเรียเข้า เชียนโม่จำได้ สถานที่แห่งนั้นห่างไกลความเจริญมาก ในเวลาอันสั้นไม่อาจส่งคนป่วยไปโรงพยาบาลได้ คุณย่ากับคนในทีมใช้วิธีรักษาแบบโบราณ ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร หลังจากคนป่วยกินยาลงไป นอนหลับไปคืนหนึ่งตื่นขึ้นมาก็หายแล้ว

สูตรยานั่นเชียนโม่พอจะจำได้ ในนั้นมียาตัวหนึ่งสำคัญมาก คุณย่าเคยบอกชื่อยาตัวนั้นกับเธอ และยังพาไปดูให้รู้จักแยกแยะ

ชื่ออะไรนะ…

วันเวลาผ่านมานานเกินไป เชียนโม่พยายามย้อนนึกดู แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

 

ตอนต้าฟู* อู่จวี่มาถึงถงซานก็มีคนเข้ามารายงานกงอิ่นเรื่องมีโรคระบาดเกิดขึ้นในเขตเหมืองแร่อีกแล้วเข้าพอดี

กงอิ่นฟังแล้วก็ชำเลืองตามองอู่จวี่ด้วยท่าทีอึดอัดลำบากใจ

เขาได้ทำตามรับสั่งของฉู่หวังแล้ว ให้เหล่าแรงงานทาสสร้างที่พักอาศัยเพิ่ม คิดไม่ถึงว่าฟ้าดินกลับไม่เป็นใจ เรือนพักยังไม่ทันแล้วเสร็จ ฝนก็ตกลงมา โรคระบาดก็แพร่กระจายขึ้นมาอีก ให้บังเอิญอู่จวี่ผู้เป็นขุนนางใกล้ชิดฉู่หวังมารู้เรื่องนี้เข้าพอดี

“ทำเช่นที่ผ่านมา ย้ายผู้ป่วยออกไป” กงอิ่นพยายามพูดให้เฉียบขาด “รีบไปเชิญหมอผีใหญ่มา ร่ายรำขับไล่สิ่งชั่วร้าย”

ลูกน้องรับคำสั่ง

กงอิ่นมองอู่จวี่ เอ่ยด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “ในเหมืองแร่อากาศร้อนชื้น มีโรคระบาดเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ป้องกันไม่หวาดไม่ไหว”

อู่จวี่ยิ้มแล้วว่า “กงอิ่นลำบากแล้ว”

* ต้าฟู เป็นคำเรียกผู้เป็นขุนนางในสมัยนั้นด้วยความยกย่อง

กงอิ่นรีบกล่าว “มิกล้า” พูดแล้วก็กลอกนัยน์ตาไปมา “หลายวันก่อนต้าหวังเสด็จมาที่ถงซาน บอกว่าอีกไม่นานจะเสด็จมาอีก ไม่ทราบ…”

“ข้ามาด้วยเรื่องอื่น” อู่จวี่กล่าว “ต้าหวังยังอยู่ที่เมืองอี๋ ข้ากำลังคุมการทำเครื่องทองแดงต่างๆ ในวัดของอดีตหวัง พาช่างมาเลือกทองแดง”

กงอิ่นรู้สึกเบาใจ รีบทำหน้ายิ้มแย้ม “ในเหมืองมีทองแดงทุกระดับ ต้าฟูเลือกได้ตามใจชอบ”

 

เชียนโม่คิดไม่ถึงว่าอาหมู่ก็จะล้มป่วยลงด้วย

อาหมู่นอนอยู่บนกองฟาง เดี๋ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็หนาว อาหลีเฝ้าอยู่ข้างๆ ร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก

ในเวลานี้เองพวกทหารก็จะมาพาตัวอาหมู่ไป ตอนแรกอาหลีไม่ยอม ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย แต่หลังจากนั้นไม่นานหมอผีที่สวมชุดอลังการมาถึง อาหลีก็เปลี่ยนจากเศร้าโศกมาดีใจทันที

เชียนโม่มองผู้คนย้ายคนป่วยมารวมกันที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง และก่อกองไฟขึ้นตรงกลาง หมอผีสวมเสื้อผ้าหลากสีสัน สวมหน้ากาก ทางหนึ่งหันหน้าเข้าหากองไฟแล้วร่ายรำ ทางหนึ่งก็ท่องบ่นคาถา

ไก่ตัวผู้ตัวหนึ่งถูกจับมา มันร้องอ๊อกๆ หมอผีจับคอไก่ไว้ เงื้อมือตวัดมีดลง เลือดอุ่นๆ สาดกระเซ็นไปทั่วพื้น

ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่รอบด้านรวมทั้งอาหลีต่างคุกเข่าหมอบกราบกับพื้น อธิษฐานด้วยความเคารพเลื่อมใส

เชียนโม่ย่นหัวคิ้ว

ในยุคสมัยนี้เรื่องเวทมนตร์กำลังเฟื่องฟู การแพทย์ยังไม่ได้แยกออกมาจากเวทมนตร์ โรคมาลาเรียติดต่อได้ การแยกคนป่วยออกจากคนแข็งแรงเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ดูจากลักษณะท่าทางในเวลานี้ พวกเขาคงคิดเพียงจะขอให้เทพเจ้าช่วย ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อคนป่วย

เชียนโม่มองไปที่อาหมู่ นางยังคงทุกข์ทรมาน ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ดูเหมือนจะร้อนจนทนไม่ไหว

เชียนโม่แอบร้อนใจ แต่ก็หาหนทางไม่ได้ ไม่นานผู้คุมก็มาไล่ทาสทั้งหลายให้ไปทำงาน เชียนโม่จำต้องตามคนอื่นๆ ไปทำงาน

บนเนินเขาที่เกี่ยวหญ้าคามีคนขาดหายไปจำนวนหนึ่ง ทาสทั้งหลายที่มาทำงานก็พากันแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา แม้จะฟังไม่ออก เชียนโม่ก็รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องโรคระบาด

หมางพาคนมาเก็บยาสมุนไพร เก็บหญ้าต้นเล็กๆ ที่เรียกว่าชิ่นเป็นกำๆ ใส่ไว้ในกระบุง เชียนโม่ก็กำลังเก็บสมุนไพรตามสูตรยาที่อยู่ในความทรงจำ หาไปทีละอย่างๆ

ที่ข้างกาย อาหลีเกี่ยวหญ้าสมุนไพรขึ้นมากำหนึ่งแล้วส่งให้หมาง หมางดูแล้วสั่นหัว บอกนางว่าไม่ใช่ อาหลีกำลังจะโยนทิ้ง ต้นหญ้าเล็กๆ กำนั้นกลับดึงดูดสายตาของเชียนโม่

เศษเสี้ยวของความทรงจำปะติดปะต่อกันขึ้นมา

‘…ต้นนี้เรียกว่าหวงฮวาเฮา* อย่าจำผิดล่ะ’ คุณย่าเอาหญ้าสมุนไพรวางในตะกร้าของเชียนโม่แล้วบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

 

ทุกคนต่างฝากความหวังไว้กับหมอผี แต่เหนือความคาดหมาย พอถึงช่วงหลังยามอู่** จู่ๆ หมอผีก็หมดสติล้มลง คนที่อยู่ข้างๆ รีบพยุงเขาขึ้นมา พบว่าเขาตัวร้อนจี๋ไปทั้งร่าง ทั้งกระตุกเกร็งไม่หยุด

* ชิ่นและหวงฮวาเฮาเป็นสมุนไพรตระกูลเดียวกับโกฐจุฬาลัมพา (Artemisia annua Linn.) มีสรรพคุณแก้ไข้ที่เกิดจากความร้อนในฤดูร้อน ไข้ต่ำๆ ที่ไม่มีเหงื่อ ไข้จับสั่น หรือไข้ที่เกิดจากวัณโรค

** ยามอู่ คือช่วงเวลา 11.00 น. ถึง 13.00 น.

ความหวาดผวาแพร่กระจายไปทั่วเขตเหมืองแร่ราวกับสายลม หมอผีก็ไม่สามารถยับยั้งปีศาจร้ายที่แพร่โรคระบาดได้ นี่ไม่ต่างอะไรกับภัยพิบัติที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

ตอนเชียนโม่เสร็จงานกลับมาถึง พบว่าผู้คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

อาหลีมองอาหมู่อยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางสิ้นหวังแล้วร้องไห้โฮออกมา

เชียนโม่ก็ตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าโรคระบาดจะพัฒนาจนเป็นเช่นนี้ เธอรีบไปหาหมาง เอาสมุนไพรที่ตนเก็บมาให้เขาดู พยายามอธิบายว่าสมุนไพรนี้สามารถรักษาโรคระบาดได้

หมางฟังอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจ

เขาเกาๆ ศีรษะ พูดตามตรง ในเขตเหมืองแร่ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดโรคระบาดขึ้นเป็นครั้งแรก พวกเขาก็เคยลองรักษาด้วยยา แต่ไม่เคยรักษาใครให้หายได้ เท่าที่เขาเห็น โรคระบาดเกิดจากการก่อกวนของผีร้าย หากแม้แต่หมอผียังกำจัดไม่ได้ กินยาจะมีประโยชน์อะไร

เขาอยากจะให้เชียนโม่ล้มเลิกความคิด แต่เธอกลับดึงดันจนไม่รู้จะอ้างเหตุผลเช่นไร

 

อู่จวี่ออกมาจากเขตผลิตแร่ ได้ยินข่าวโรคระบาดแพร่กระจายหนักก็รีบมาที่ลานว่าง

เขามองกองไฟขนาดใหญ่และคนป่วยที่นอนระเกะระกะอยู่ที่พื้น ยังมีหมอผีผู้นั้น แล้วเขาก็ขมวดหัวคิ้ว โรคระบาดเขาเคยพบเห็น ทุกครั้งที่เกิดโรคภัย ผู้คนชอบที่จะขอให้ภูตผีเทพเจ้าช่วย แต่การที่ภูตผีเทพเจ้ายอมให้ความช่วยเหลือนั้นมีน้อยจนน่าสงสาร

กงอิ่นกำลังตะโกนเอะอะ เดี๋ยวก็สั่งคนให้ไล่ฝูงชน เดี๋ยวก็สั่งให้สังหารคนป่วยเสีย แล้วเผาศพทิ้งตรงนั้นเลย

ฉับพลันนั้นเองอู่จวี่ก็ได้ยินเสียงคนร้องโวยวายเสียงดัง เขาส่งสายตามองไป แล้วก็เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังกอดหญิงกลางคนที่นอนอยู่บนพื้น ร้องไห้โวยวายไม่ยอมลุกขึ้น ที่ด้านข้างมีหญิงสาวคนหนึ่งกอดโถดินเผาไว้ กำลังโต้เถียงอะไรอยู่กับคนอื่น

อู่จวี่เดินเข้าไปถาม “มีเรื่องอะไรกัน”

ผู้คุมรายงาน “ต้าฟู แรงงานทาสสองคนนี้ไม่ยอมถอยออกไป”

“อ้อ” อู่จวี่มองไปที่คนทั้งสอง

หญิงสาวที่กอดโถดินเผาผู้นั้น คงเพราะเห็นอู่จวี่ฐานะสูงศักดิ์ก็รีบเดินเข้ามา พูดอะไรบางอย่างกับเขาด้วยความตื่นเต้น สำเนียงของนางฟังดูแปลกๆ น้ำเสียงก็ร้อนรน ในเวลาอันสั้นอู่จวี่ฟังไม่รู้เรื่อง อดที่จะงงงวยไม่ได้

หมางรีบเข้ามาดึงตัวเชียนโม่แล้วหันไปกล่าวกับอู่จวี่ “ต้าฟู แรงงานทาสผู้นี้บอกว่าบางทีนางอาจจะรักษาโรคระบาดได้ ขอร้องต้าฟูให้นางลองรักษาดู”

“เหลวไหล!” กงอิ่นตวาด “โรคระบาดนี้แม้แต่หมอผียังรักษาไม่ได้ เจ้านับเป็นตัวอะไร!”

อู่จวี่มองแรงงานทาสที่กอดโถดินเผาผู้นั้น ใบหน้าของนางมอมแมม เส้นผมปล่อยสยาย ดวงตางดงามยิ่ง สีหน้าท่าทางดูตื่นเต้นอยู่หลายส่วน แต่ไม่ยอมถอยหนี

“ยานี่เจ้าเป็นคนทำ?” อู่จวี่ถาม

หญิงผู้นั้นมองเขาแล้วรีบผงกศีรษะ “ใช่”

อู่จวี่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปกล่าวกับกงอิ่น “ให้นางลองดูสักหน่อยเถิด”

กงอิ่นดูประหลาดใจ “แต่…”

** ยามอู่ คือช่วงเวลา 11.00 น. ถึง 13.00 น.

“ไม่เป็นไรหรอก” อู่จวี่กล่าว “กงอิ่นสังหารผู้ป่วยแล้วเผาร่างทันที โรคระบาดก็ไม่แน่ว่าจะหยุด ไม่สู้ให้คนผู้นี้ลองดู พรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้นค่อยลงโทษก็แล้วกัน”

อู่จวี่เป็นคนใกล้ชิดฉู่หวัง กงอิ่นเห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่สะดวกจะโต้แย้ง จึงได้แต่รับคำ

เชียนโม่คิดไม่ถึงว่าคนที่แต่งตัวเรียบร้อยสวยงามตรงหน้าผู้นี้จะยอมช่วย เธอมองอู่จวี่ด้วยความประหลาดใจ พลันนึกได้ว่าต้องกล่าวขอบคุณ จึงรีบค้อมคำนับเขาด้วยท่าทางเก้งก้าง

อู่จวี่มองนาง ยิ้มแล้วหมุนตัวเดินจากไป

กงอิ่นสั่งกำชับทหารอีกหลายประโยค มองๆ เชียนโม่แล้วสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไปด้วยสีหน้าเยียบเย็น

“โม่ เจ้า…” หมางมองเชียนโม่ คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นนัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นของนางแล้ว สุดท้ายก็ได้แต่ทอดถอนใจ

อาหลีเดินเข้ามา พูดอะไรกูลูกูลีกับเชียนโม่ด้วยความซาบซึ้งใจอยู่ครู่หนึ่ง เชียนโม่ไม่เข้าใจแต่ก็กุมมืออาหลีอย่างปลอบใจ ในใจกลับกำลังสั่นรัว ความจริงแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าข้อวินิจฉัยของตนถูกต้องหรือไม่ และไม่รู้ว่าถ้าล้มเหลวจะมีผลตามมาเช่นไร แต่ในเมื่อมีความหวัง แม้จะเพียงน้อยนิด เธอก็เห็นว่าสมควรต้องลองดู

เธอสงบจิตสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่หน่วงเหนี่ยวเวลาต่อไปอีก

เธอถามหมางว่ามีวิธีไล่ยุงหรือไม่ หมางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วไปเอาอ้ายเฉ่า* แห้งมาจำนวนหนึ่ง

เชียนโม่ขอให้เขาไปหาอ้ายเฉ่าแห้งมาเพิ่ม แล้วเธอก็เอาหวงฮวาเฮาออกมา ก่อนจะขอให้คนอื่นๆ ไปช่วยเก็บมาอีก

คนอื่นๆ เห็นเธอเกลี้ยกล่อมกงอิ่นด้วยตัวเองคนเดียว จึงเต็มใจให้ความช่วยเหลือ และแยกย้ายกันไปทำงาน

สมุนไพรสดถูกเทลงในครกหินแล้วตำ จากนั้นก็ใช้ตะแกรงไม้ไผ่ร่อนกากออก น้ำยาส่งกลิ่นแปลกประหลาด ไม่นานก็ปรุงน้ำยาเสร็จ แต่เมื่อคิดถึงว่าต้องเข้าใกล้ผู้ป่วย หลายคนก็มีสีหน้าหวาดกลัว

เชียนโม่ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องลำบากใจ เธอกับอาหลีช่วยกันอุ้มโถใส่ยาไปป้อนให้ผู้ป่วยทีละคน

หลังจากจุดไฟเผาอ้ายเฉ่า ควันก็ตลบอบอวลไปในอากาศ ไล่ยุงที่กำเริบเสิบสานไปจำนวนมาก ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยต่ำ เชียนโม่เกรงว่าตอนกลางคืนคนป่วยจะได้รับความอบอุ่นไม่เพียงพอ จึงไปหาผ้าห่มและหญ้าแห้งมาห่มให้พวกเขา

หลังจากทำทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ได้แต่รอชะตาฟ้าลิขิตแล้ว

 

ท้องฟ้ามืดลงทุกที ผู้คนต่างแยกย้ายกันไป พวกผู้คุมกลัวจะติดโรคระบาดก็ไปยืนอยู่ห่างๆ หมางคอยช่วยเหลือมาโดยตลอด เวลานี้เขามองเชียนโม่แล้วก็มีสีหน้าเสียใจ

เชียนโม่ยิ้มแล้วสั่นหัว เธอทำเรื่องนี้ด้วยความเต็มใจ คนอื่นไม่มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือ หมางทำถึงขั้นนี้ก็แบกรับความเสี่ยงมากแล้ว

“กลับไปเถิด” เชียนโม่กล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

หมางมองเชียนโม่ ภายใต้แสงไฟ ดวงตาทั้งสองของนางดำขลับแวววาว เค้าโครงหน้างดงาม ในใจของเขาพลันเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้ว่าใบหน้าที่จงใจใช้ขี้เขม่าทาจนมอมแมมนี้ที่แท้แล้วมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร…เมื่อตระหนักถึงความคิดเช่นนี้ของตน เขาก็รู้สึกจะร้องไห้ก็ใช่ที่ จะไม่ร้องเสียเลยก็ไม่ได้ นี่มันเวลาอะไรแล้ว ตนถึงกับยังมีความคิดอื่นในสมองอีก หมางไม่โอ้เอ้ต่อไป บอกลาเชียนโม่แล้วกลับไปยังเพิงที่พักของตน

* อ้ายเฉ่า (Asiatic wormwood) เป็นสมุนไพรลักษณะเดียวกับโกฐจุฬาลัมพา มีกลิ่นหอม นิยมนำยอดมาบดละเอียด ตากแห้งแล้วนำมารมไฟ ใช้ประกอบการฝังเข็ม บ้างรับประทานเป็นยา หรือทำเป็นใบชาชงดื่ม หรือนำไปจุดไฟไล่แมลงและยุง

เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว เชียนโม่กับอาหลีก็กอดหญ้าแห้ง ล้มตัวลงนอนอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก แล้วผลัดเปลี่ยนกันลุกขึ้นมาดูแลคนป่วยเป็นระยะๆ

ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นควันจากอ้ายเฉ่า เชียนโม่จำได้ว่าโรคมาลาเรียติดต่อโดยการถูกยุงกัด และยุงในเหมืองแร่มีมากมายมหาศาล การไล่ยุงก็เป็นสิ่งสำคัญในการยับยั้งการระบาดของไข้มาลาเรีย

เธอเองก็จุดอ้ายเฉ่าไว้ข้างตัวเธอกับอาหลีอยู่หลายกอง ร่างกายก็เอาเสื้อผ้าห่อจนมิดชิด มีเพียงดวงตาสองข้างโผล่ออกมา นอนอยู่บนกองหญ้าแห้งมองดวงดาวบนท้องฟ้า

อาหลีง่วงมาก ไม่นานก็หลับไป เชียนโม่นอนไม่หลับ ในใจของเธอคล้ายกำลังตีกลองอยู่ตลอดเวลา ตนเองทำเช่นนี้นับว่าใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่นเกินไปหรือไม่ หากตัวเองต้องติดไข้มาลาเรียเพราะเหตุนี้ และรักษาไม่ได้ต้องจบชีวิตลง ก็คงเป็นเรื่องน่าสมน้ำหน้ากระมัง

เชียนโม่มองไปทางอาหมู่ เมื่อครู่นางได้ดื่มยาไปอีกครั้ง กำลังหลับสนิท

คิดเรื่องพวกนี้ไปทำไม! เชียนโม่หันมามองโลกในแง่ดี บอกกับตัวเองว่าถ้าเป็นเคราะห์กรรมย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้น อยู่ในสถานที่เช่นนี้ เดิมอนาคตก็น่าทุกข์ใจอยู่แล้ว ความตายไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี

เชียนโม่ดมกลิ่นควันอ้ายเฉ่าพลางคิดไปด้วยสติรางเลือน ไม่แน่ตายแล้วอาจพบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน เธอได้กลับไปแล้ว…

 

นอนหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เชียนโม่ถูกอาหลีเขย่าตัวให้ตื่น

อาหลีชี้ไปทางอาหมู่ด้วยท่าทางดูดีอกดีใจ เชียนโม่งงงัน รีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่ข้างกายอาหมู่ คลำๆ หน้าผากของอาหมู่ ไม่ผิด ตัวไม่ร้อนและก็ไม่เย็น อุณหภูมิของร่างกายปกติแล้ว อาหมู่กำลังหลับสนิท สีหน้าสงบสุข ลมหายใจไม่เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้าเหมือนเมื่อวานแล้ว

ได้ผลจริงๆ เชียนโม่รู้สึกโล่งอกจากก้นบึ้งหัวใจ หันไปมองสบตาอาหลีแล้วยิ้ม

ข่าวอาหมู่อาการป่วยดีขึ้นแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว หมางเร่งรุดมาก่อนใคร ตรวจดูอาการของอาหมู่อย่างละเอียด ตอนหันมามองเชียนโม่อีกครั้ง สายตาของเขาต่างไปจากเดิมมาก ผู้คนทั้งประหลาดใจและดีใจ พากันเข้ามาห้อมล้อมเชียนโม่ มีคนถามเธอว่าใช่รู้เวทมนตร์คาถาหรือไม่ มีคนขอให้เธอช่วยรักษาญาติพี่น้องของตน ส่งเสียงกูลีกูลู เชียนโม่ก็ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ได้แต่มองพวกเขาแล้วยิ้มซื่อ

สุดท้ายยังคงเป็นหมางที่มาช่วยแก้สถานการณ์ ให้คนรีบไปรายงานกงอิ่น แล้วจัดคนไปเก็บยาสมุนไพรมากขึ้นเพื่อนำมาให้คนป่วยกิน

กลิ่นอ้ายเฉ่าและหวงฮวาเฮาอบอวลไปทั่วเหมืองแร่อยู่หลายวันเต็มๆ แม้จะมีคนที่ป่วยหนักเสียชีวิตไป แต่ส่วนใหญ่ก็รอดมาได้

กงอิ่นดีใจเป็นล้นพ้น

แรงงานทาสแม้จะเหมือนมดปลวก แต่งานก็ต้องทำ ทุกครั้งที่มีโรคระบาด แรงงานทาสก็จะล้มหายตายจากไปจำนวนมาก ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการผลิตแร่ เวลากงอิ่นไปขอคนที่นครอิ่งตู ยังจะถูกลิ่งอิ่นทวงถามความรับผิดชอบ ไม่ว่าเรื่องใดก็จัดการยากไปหมด

ตอนอู่จวี่ได้ยินเรื่องนี้ เขากำลังติดตามฉู่หวังตระเวนสังเกตการณ์อยู่ที่เมืองอี๋

กงอิ่นประจำถงซานเห็นเป็นผลงานใหญ่ หลังจากโรคระบาดหมดไปก็รีบส่งคนไปกราบทูลฉู่หวังให้ทรงทราบ อู่จวี่ฟังผู้มารายงานสรรเสริญกงอิ่นใหญ่โต ในใจกลับนึกไปถึงหญิงสาวนัยน์ตางดงามดุจแก้วเจียระไนสีดำผู้นั้น

“คนที่รักษาโรคคือหญิงสาวผู้หนึ่งใช่หรือไม่” อู่จวี่ถาม

ผู้มาชะงักอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงตอบ “ใช่ขอรับ”

“รู้ชื่อของนางหรือไม่”

ผู้มาบอก “ผู้น้อยเพียงได้ยินคนอื่นๆ เรียกนางว่าโม่”

โม่? อู่จวี่ผงกศีรษะด้วยสีหน้ายิ้มๆ ที่แท้นางก็ชื่อโม่

“หญิงสาวอะไรหรือ” ฉู่หวังชำเลืองตามองอู่จวี่

อู่จวี่รีบบอก “ทูลต้าหวัง คนที่ใช้ยารักษาโรคระบาดเป็นแรงงานทาสคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ?” ฉู่หวังคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เพราะเหตุใดเมื่อก่อนตอนมีโรคระบาดจึงไม่เห็นนางออกมารักษา”

ผู้มาทูลว่า “แรงงานทาสผู้นี้เพิ่งมาจากซูพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังพยักหน้ารับรู้

อู่จวี่กล่าว “ต้าหวัง กระหม่อมเห็นว่าแรงงานทาสผู้นี้มีความสามารถเช่นนี้ ให้มาขุดแร่ออกจะน่าเสียดาย”

“อืม” ฉู่หวังมองๆ เขา พลันยิ้มออกมา “จ้งฉิงเป็นห่วงเช่นนี้ หรือว่าเคยพบหน้ามาแล้ว กว่าเหรินมอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

อู่จวี่หน้าแดง รีบกล่าว “กระหม่อมเพียงพูดตามความเป็นจริง หาได้มีความคิดเห็นแก่ตัวเอง!”

ฉู่หวังเอ่ยว่า “ตอนกว่าเหรินออกจากนครอิ่งตู พี่ชายของเจ้ายังพูดถึง เจ้าไม่เคยใส่ใจถามไถ่เรื่องแต่งงาน จึงกลัวว่าเจ้าจะชอบบุรุษ มาบัดนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องมงคล ไม่สู้พรุ่งนี้เจ้าตามกว่าเหรินไปถงซาน จะได้บรรลุผลสมปรารถนาสักที”

อู่จวี่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขณะจะชี้แจง ผู้มากลับเอ่ยขึ้น “ทูลต้าหวัง กงอิ่นยังมอบหมายให้กระหม่อมมาทูลให้ต้าหวังทรงทราบ ในหนองน้ำละแวกใกล้เคียงถงซานมีจระเข้อาละวาด หากต้าหวังจะเสด็จไปถงซาน ไม่อาจไปทางน้ำ”

ฉู่หวังมีท่าทีประหลาดใจ

“จระเข้?” เขาแววตาเป็นประกาย ดูสนอกสนใจยิ่ง “ในหนองน้ำใกล้ถงซานมีจระเข้มากหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านต่างหวาดกลัว กำลังจะร่วมกันไล่ล่าสังหาร”

ฉู่หวังยิ้ม “จระเข้มีอะไรต้องกลัว เจ้ารีบกลับไปบอกกงอิ่น พรุ่งนี้กว่าเหรินจะไปถงซาน”

ผู้มารับคำ กำลังจะเดินออกไป ฉู่หวังพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเรียกเขาไว้

“แรงงานทาสที่รู้จักใช้ยาผู้นั้น” เขามองอู่จวี่แวบหนึ่ง “มอบแพรพรรณให้นางจำนวนหนึ่ง และให้กงอิ่นช่วยดูแลนางสักหน่อย วันหน้าหากมีโรคระบาดอีกจะได้ใช้ประโยชน์ได้”

ผู้มารับพระบัญชาแล้วจากไป

 

เชียนโม่คิดไม่ถึงว่าตนจะได้รับรางวัล

ตอนผู้คุมพาเธอไปพบกงอิ่น เห็นกงอิ่นเอาผ้าพับหนึ่งมอบให้ เธอก็ตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ถูก

กงอิ่นมองเชียนโม่ ใบหน้าและเสื้อผ้าที่เชียนโม่สวมทั้งดำทั้งสกปรก ผมเผ้าปล่อยรุงรัง แทบจะมองไม่เห็นใบหน้า เดิมทีคิดว่าแรงงานทาสคนหนึ่งถึงกับได้รับปูนบำเหน็จจากฉู่หวัง กงอิ่นออกจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นสภาพของเชียนโม่แล้ว ใจคอก็รู้สึกดีขึ้นมาก

“เจ้าชื่อโม่เช่นนั้นรึ” กงอิ่นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เชียนโม่พอกล้อมแกล้มฟังเข้าใจ “เจ้าค่ะ”

“ยาที่ใช้ขับไล่โรคระบาด ไปเรียนรู้มาจากที่ใด”

คำพูดเหล่านี้ซับซ้อนเกินไป เชียนโม่ฟังไม่เข้าใจแล้ว

กงอิ่นเห็นนางก้มหน้าไม่พูดจาก็ย่นหัวคิ้ว

ผู้คุมยืนมองอยู่ข้างๆ จึงกล่าวกับกงอิ่น “แรงงานทาสผู้นี้มาจากชนเผ่าซู ไม่ค่อยเข้าใจภาษาฉู่”

กงอิ่นเข้าใจแล้ว และไม่ได้พูดอะไรอีก โบกๆ มือให้เชียนโม่ออกไปได้

 

เชียนโม่กลับมาพร้อมผ้าใหม่หนึ่งพับ ในหมู่ทาสต่างฮือฮาขึ้นมา ทุกคนพากันมาห้อมล้อมชื่นชม เบียดเสียดกันจนเพิงแทบจะพัง

ตอนเชียนโม่เอาผ้ายื่นให้อาหมู่ อาหมู่รีบไปล้างมือจนสะอาดแล้วรับมาอย่างระมัดระวัง เห็นท่าทางนัยน์ตาเป็นประกายของพวกเขาแล้ว เชียนโม่พลันนึกขึ้นได้ ในยุคสมัยนี้เงินตรายังใช้กันไม่แพร่หลาย ผ้าจึงจะเป็นสิ่งของที่ใช้แทนเงินตราได้ดี เท่ากับตนได้รับเงินมาก้อนหนึ่ง

ตอนคลี่ผ้าผืนนั้นออกมา ทุกคนต่างจุปากชม เชียนโม่มองลายเส้นบนเนื้อผ้าที่ละเอียดประณีตและสีเหลืองนวลธรรมชาติแล้วก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เธอเคยเห็นสิ่งทอของแคว้นฉู่ที่ผ่านการซ่อมแซมแล้วในพิพิธภัณฑ์ ดูเลิศล้ำประณีตงดงาม ทว่ากลายเป็นเศษผ้าที่ไม่สมบูรณ์แล้ว แต่ผ้าที่อยู่ตรงหน้าผืนนี้ แม้จะดูพื้นๆ ธรรมดา แต่การได้มาเห็นของจริงที่ใหม่เอี่ยมด้วยตาตัวเอง ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ทำให้คนตื่นเต้นยินดีอย่างมาก

มีเงินแล้ว!

เชียนโม่แอบวางแผนอยู่ในใจ ของล้ำค่าเช่นนี้ แน่นอนย่อมไม่อาจนำไปทำเป็นเสื้อผ้า ถ้าเธอสามารถหนีไปได้ เอาติดตัวไปด้วยย่อมดีที่สุด…

แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เชียนโม่ดีใจได้นานนัก

วันถัดมา เธอกำลังเตรียมตัวจะไปตัดหญ้ากับพวกอาหมู่ หมางกลับขวางเธอเอาไว้และบอกเธอด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม คนเบื้องบนบอกไว้ว่าเธอไม่ต้องทำงานหนักแล้ว

เชียนโม่ตื่นตระหนกตกใจมาก มองคนอื่นๆ เดินจากไป ดีใจไม่ออกแม้แต่น้อย ไปตัดหญ้าคือโอกาสเดียวที่จะหนีจากถงซานได้ เมื่อไม่อาจออกไป หนทางหนีของเธอก็ถูกปิดตายแล้ว

เชียนโม่ได้แต่นึกเสียใจ ช่วงที่ผ่านมาเธอมัวแต่พะวงถึงผู้คุมและทหาร กลัวโน่นกลัวนี่ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เธอก็คงยอมเสี่ยงไปนานแล้ว

 

กงอิ่นได้รับข่าวว่าอีกสองวันฉู่หวังจะเสด็จมา เขาแอบดีใจ สั่งคนให้เก็บกวาดค่ายบัญชาการให้เรียบร้อย และไปตรวจดูเพิงที่พักที่พวกทาสสร้างขึ้นมาใหม่ พยายามทำให้ฉู่หวังมาเห็นแล้วจะพอพระทัย

เสี่ยวเฉินฝูรับพระบัญชาจากฉู่หวังให้เดินทางมาล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมเรื่องล่าจระเข้ เขาดูสิ่งที่กงอิ่นจัดเตรียมไว้แล้วก็ผงกศีรษะ แต่พอมองดูคนรับใช้ที่จะทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติกลับย่นหัวคิ้วขึ้นมา

“ในเหมืองแร่ของเจ้าไม่มีคนที่รูปร่างหน้าตาดีสักหน่อยหรือ” เขาถาม

กงอิ่นรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าไม่ใช่บอกว่าต้าหวังเกลียดการละเล่นสำราญทำให้งานเสียหายหรอกหรือ ครั้งก่อนข้าบอกจะหาหญิงขับร้องร่ายรำ เจ้า…”

“บอกแล้วให้เจ้าใช้สมอง!” เสี่ยวเฉินฝูถอนใจ สั่งสอนว่า “ครั้งนี้ต้าหวังมาเพื่อหาความสำราญ ใจคอคึกคักสนุกสนาน แม้จะไม่มีหญิงขับร้องร่ายรำ แต่สาวใช้จะเป็นไรไป มีสาวงามคอยรับใช้ปรนนิบัติ ผู้ใดบ้างไม่ชอบ”

กงอิ่นเข้าใจแล้ว แต่ก็กลัดกลุ้มขึ้นมาอีก “ต้าหวังจะเสด็จมาอยู่แล้ว ละแวกใกล้เคียงนี้ก็มีแต่ท้องทุ่งชนบท จะไปหาสาวงามจากที่ใด”

เสี่ยวเฉินฝูมองเขาอย่างดูแคลน “เรื่องนี้ข้าก็จนปัญญา ในถงซานเจ้าเป็นคนดูแล ก็จัดการเองเถิด!”

 

เชียนโม่ไม่ต้องตัดหญ้า ได้แต่ตามคนอื่นไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในเขตเหมืองแร่

คงเพราะรักษาโรคได้ คนส่วนใหญ่จึงรู้จักเธอและให้ความเป็นมิตรกับเธออย่างมาก เชียนโม่ไม่อยากอยู่ว่าง เธออยากเที่ยวดูทั่วๆ ถงซาน ดูว่ามีหนทางอื่นอีกหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีหญิงสาวหลายคนจะไปส่งอาหารในอุโมงค์ เชียนโม่จึงรีบตามไป

ครั้งก่อนตอนเห็นเขตเก็บแร่ เป็นเพียงการเดินผ่านไปอย่างรีบร้อน นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าไปข้างในจริงๆ ที่นี่มีงานยุ่งวุ่นวายและจ้อกแจ้กจอแจ ทุกแห่งมีแต่คนขนย้ายหินแร่ ภายใต้แสงอาทิตย์ กลิ่นเหงื่อผสมปนเปกับฝุ่นละออง อากาศไม่สะอาด

อาหารส่งลงไปทางปากอุโมงค์ด้านบนคล้ายการสาวน้ำ

หญิงคนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกันดีกับเชียนโม่อยากจะไปเยี่ยมสามี นางเห็นเชียนโม่จ้องมองบ่อแร่เหล่านั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงกระตุกชายเสื้อเธอ ทำมือทำไม้ถามว่าจะไปด้วยกันหรือไม่

เชียนโม่ยิ้มๆ แล้วตามไปด้วยความยินดี

โครงไม้ที่ค้ำยันอุโมงค์เหมืองแร่ไม่ได้ใหญ่มากจึงต้องก้มศีรษะเดิน เพิ่งจะเข้าไปเชียนโม่ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่อยู่รอบตัว คล้ายเข้าไปในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศ ผนังทั้งสี่ด้านเปียกชื้น ในอุโมงค์ทั้งเปียกทั้งลื่น พอเดินลึกเข้าไปก็พบว่ามีไอน้ำเกาะอยู่บนผนัง ไอน้ำบนเพดานหยดลงมาเป็นเม็ดๆ

เดินมาได้ระยะหนึ่ง หญิงคนนั้นก็หันมาแล้วชี้ไปที่ปากบ่อแห่งหนึ่งในอุโมงค์ ให้เชียนโม่ระมัดระวัง เชียนโม่พยักหน้า ตอนเดินผ่านบ่อลูกนั้นแล้วมองไป เพียงเห็นในนั้นเต็มไปด้วยน้ำ ไม่รู้ลึกแค่ไหน

เชียนโม่รู้ว่านั่นเป็นบ่อเก็บน้ำ ภูเขาถงลวี่ตั้งอยู่ในเขตที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ปัญหาน้ำซึมเข้ามาในบ่อแร่ทำให้คนหงุดหงิดรำคาญใจมาโดยตลอด บ่อเก็บน้ำก็ทำมาเพื่อรับมือกับน้ำที่ซึมเข้ามา เป็นวิธีดั้งเดิมและได้ผล

บ่อแร่มีเส้นทางเชื่อมต่อไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ทว่าช่องทางเล็กและคับแคบ บางที่ต้องปีนจึงจะผ่านไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น บางเส้นทางยังมีน้ำซึมเข้ามามาก ถ้าระบายน้ำได้ไม่ดี คนที่อยู่ข้างในก็ต้องขุดแร่ทั้งที่ร่างจมอยู่ในโคลน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากเกิดเหตุคับขันขึ้นมาฉับพลันกะทันหัน จะหนีก็ยังไม่ทัน

เชียนโม่มองคนงานเหวี่ยงอุปกรณ์ในมือเสียงหนักทึบ ก็นึกถึงเรื่องในสมัยก่อนขึ้นมา

เธอเคยเห็นคุณปู่และบรรดาศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีเข้าประชุมด้านวิชาการด้วยกัน ในห้องวิชาการขนาดเล็กห้องหนึ่ง แสงไฟนุ่มนวล พื้นโต๊ะเป็นเงาวาว ศาสตราจารย์ทั้งหลายกำลังวิเคราะห์ภาพวัตถุโบราณที่ถูกขุดค้นพบบนจอเครื่องฉายภาพ ในบรรยากาศที่สงบงดงาม ดื่มกาแฟหรือชาไปพลางครุ่นคิดถึงเรื่องในสมัยโบราณด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำ เชียนโม่เชื่อว่าศาสตราจารย์เหล่านั้นหากเป็นเช่นเธอในเวลานี้จะต้องแทบอยากเอาเคียวเปลือกหอย ขวานหินที่เคยเห็นเป็นสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นมาทุบให้แหลกละเอียด แล้วด่าอย่างบ้าคลั่งในใจหมื่นครั้ง ‘ชนชั้นปกครองที่เลวระยำต่ำช้าล้วนไม่ใช่คน!’

คิดได้ดังนี้เชียนโม่ก็ขบขันไปกับความคิดของตน ใบหน้ามีรอยยิ้มผุดขึ้น จิตใจก็ดีขึ้นมาก

 

หญิงคนนั้นสอบถามไปตลอดทาง แล้วก็หาสามีพบตรงจุดที่อยู่ลึกเข้าไปในบ่อแร่ ชายคนนั้นกำลังขุดหินแร่ พอเห็นภรรยาก็ดีใจมาก ใบหน้าที่สกปรกเลอะเทอะดูเบิกบานขึ้นทันที ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งผู้คุมมาขับไล่

เชียนโม่มองท่าทางอาลัยอาวรณ์ของหญิงผู้นั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เธอเองก็เคยมีคนที่อยู่ในใจที่อยากจะเห็นหน้าตลอดเวลา แม้ภายหลังเพราะมหาวิทยาลัยที่สอบติดอยู่ห่างไกลกันมาก ทั้งสองจึงต้องเลิกรากันไป แต่ทุกครั้งที่นึกถึง เชียนโม่ก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นใจ

แน่นอน ตอนนี้คิดขึ้นมาแล้วก็คล้ายเป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกลราวกับต่างดาว ถ้าเธอจำไม่ผิด ใกล้จะถึงวันคล้ายวันเกิดของเธอแล้ว ใครหลายๆ คนซึ่งอาจจะรวมถึงคนรักเก่าของเธออาจจะโทรศัพท์มาหา

เมื่อพวกเขาพบว่าเธอหายตัวไป จะร้อนใจหรือไม่หนอ

เชียนโม่รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็รู้สึกน่าขำด้วย พวกเขาคงไม่มีทางคาดคิดว่าเธอจะถูกจับตัวมาขุดแร่กระมัง…

 

เสร็จสิ้นจากการเยี่ยมเยียน หญิงคนนั้นก็พาเชียนโม่เดินย้อนกลับ เดินมาได้ไม่เท่าไร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะ

เหลือบตามองไปก็เห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ เป็นพวกทหาร ข้างหลังยังมีคนพุงพลุ้ยอีกคนหนึ่งเดินตามมา คนผู้นี้เชียนโม่เคยพบ เขาก็คือขุนนางใหญ่ที่มอบผ้าพับให้เธอในวันนั้น

เส้นทางในอุโมงค์เดิมก็คับแคบอยู่แล้ว พวกทหารเดินผ่านมา คนในอุโมงค์ต่างต้องหลบไปข้างๆ เส้นทางในอุโมงค์พลันเบียดเสียดกันขึ้นมา บริเวณนั้นมีเส้นทางที่เลิกใช้แล้วอยู่ เชียนโม่กับหญิงคนนั้นจึงถอยเข้าไปอยู่ที่นั่น หลบคนชั่วคราว

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตูมดังขึ้นข้างหลัง จากนั้นก็มีเสียงหญิงสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ เชียนโม่รีบหันไป อาศัยแสงสว่างเล็กน้อยที่มีอยู่ ถึงได้พบว่าข้างในนี้มีบ่อเก็บน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มบ่อหนึ่ง หญิงสาวที่มากับเชียนโม่ไม่ทันระวังร่วงตกลงไป อาจเพราะปากบ่อกว้างเกินไป ยามกะทันหันนางคว้าไม่เจอขอบบ่อจึงดิ้นรนไปมาอยู่ในบ่อนั้น

เชียนโม่รีบยื่นมือไปดึง เพิ่งจะจับถูกคน เท้ากลับลื่นไถล ตัวเองจึงตกลงไปด้วย โชคดีที่เธอว่ายน้ำเก่ง คนอยู่ใกล้ก็รีบเข้ามาช่วยดึงเธอสองคนขึ้นมา

เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเปียกชุ่มโชกไปหมด น้ำเย็นมาก เชียนโม่ลูบน้ำออกจากใบหน้าแล้วจึงยืนขึ้นมา กลับพบว่าเวลานี้แสงไฟสว่างไสว

ตรงหน้ามีคนยืนอยู่จำนวนมาก กงอิ่นยืนอยู่ตรงกลาง เขากำลังจ้องมองใบหน้าของเชียนโม่ ในดวงตาเปล่งประกาย

บทที่สอง ล่าจระเข้

 

เชียนโม่ถูกพาตัวไปอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีรางวัลอะไร

พวกเขาพาเธอไปที่เรือนหลังใหญ่ข้างภูเขาถงลวี่ หญิงสูงวัยผู้หนึ่งพาเธอไปชำระล้างร่างกาย ตอนเห็นผิวพรรณขาวผ่องและเส้นผมที่ดำขลับของเธอ ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตะลึง

เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวถูกเอาไปหมด พวกเขาให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยม เป็นเสื้อคลุมตัวกว้างแขนเสื้อใหญ่ตามแบบฉบับของคนโบราณ

กงอิ่นพึงพอใจกับผลพลอยได้ที่ไม่ได้คาดคิดนี้มาก เมื่อแรงงานทาสที่ชื่อโม่ผู้นี้ได้รับการแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วพามาอยู่ตรงหน้าเขา เขามีท่าทีตื่นเต้นระคนดีใจ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“เสียดายพูดภาษาได้ไม่ดี” คนรับใช้ที่พาเชียนโม่มาเอ่ยขึ้น

“พูดไม่ดีไม่เป็นไร” กงอิ่นยิ้มแล้วสั่งกำชับ “หลังจากต้าหวังล่าสัตว์แล้วต้องจัดงานเลี้ยงแน่ ตอนจะเข้าบรรทม เจ้าพานางไปปรนนิบัติ”

คนรับใช้รับคำ

 

สถานที่แห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมโบราณแท้จริงที่เชียนโม่เห็นเป็นที่แรก

เรือนหลังนี้สร้างอิงภูเขา เปรียบกับเพิงที่พักของทาสทั้งหลายแล้ว เรียกได้ว่าใหญ่โตโอฬาร รูปแบบชายคาที่งดงาม มีเสาเป็นต้นๆ ตั้งค้ำตัวเรือน เป็นเรือนใต้ถุนสูงตามแบบฉบับของแคว้นฉู่ หากคุณปู่ได้มาเห็นคงดีใจจนบอกไม่ถูก

แต่เชียนโม่หาได้ดีใจ เธอร้อนใจมาก ฟังจากคำพูดของกงอิ่นพุงโตและคนที่อยู่รอบข้างก็เข้าใจแล้วว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร ในใจกระสับกระส่าย เธอไม่รู้ว่าพวกเขาจะเอาตัวเธอไปมอบให้ใคร เพียงรู้สึกไร้เหตุผลสิ้นดี

ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทั้งหมดเสียทีเดียว

คงเพราะไม่จำเป็นต้องเฝ้าพวกทาสตลอดเวลาเช่นในเขตเหมืองแร่ ทหารรักษาการณ์จึงมีไม่มาก เชียนโม่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ครึ่งวัน ไม่นานก็พบโอกาสที่จะหลบหนีช่องทางหนึ่ง…น้ำที่ใช้ดื่มกินในเรือนหลังนี้ต้องใช้รถเทียมวัวขนมาจากข้างนอก บนรถเทียมวัวบรรทุกถังขนาดใหญ่ คนสามารถลงไปซุกซ่อนได้ อีกทั้งตอนออกไป พวกทหารรักษาการณ์ก็ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด

หลังจากผ่านไปหนึ่งคืนด้วยความกระวนกระวายใจ เชียนโม่ก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้า เธอเอาผ้าพับที่ได้มาทำเป็นห่อสัมภาระแบกไว้บนหลัง แล้วหาเคียวได้เล่มหนึ่งที่มุมห้องครัว จึงเอามาเป็นอาวุธป้องกันตัว

รอบด้านยังไม่ค่อยมีผู้คน เธอจับตามองการมาถึงของรถขนน้ำ ฉวยโอกาสช่วงที่คนรับใช้เอาน้ำไปเทในบ้าน เข้าไปซ่อนตัวในถังเปล่าใบหนึ่ง

การเคลื่อนไหวของเธอเบาและไว แม้แต่วัวที่ลากรถก็ยังไม่ตื่นตกใจ ยังคงก้มหน้าก้มตาเคี้ยวหญ้า

หลังจากปิดฝาถังลง รอบด้านก็มีแต่ความมืด

เชียนโม่ขดตัวอยู่ในนั้น ฟังเสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าของคนที่อยู่ข้างนอก อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

ผ่านไปนานโข ในที่สุดรถก็เริ่มเคลื่อนตัว ล้อรถที่ทำจากไม้บดผ่านก้อนหินที่อยู่บนพื้นถนนดังกึงกัง เชียนโม่คอยเงี่ยหู เพียงหวังจะหนีออกไปให้เร็วที่สุด แล้วก็เป็นดังหวัง รถวิ่งไม่หยุดตลอดทาง เธอรู้สึกได้ว่ารถวิ่งผ่านเนินยาวช่วงหนึ่ง เมื่อมาเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเมื่อวาน เธอก็รู้ว่าพ้นออกจากเรือนหลังนั้นมาแล้ว

เชียนโม่รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย ในถังทั้งอึดอัดทั้งร้อน เหงื่อเปียกชุ่มหลังเสื้อ แต่เธอไม่กล้าบ่นแม้แต่คำเดียว ผ่านเส้นทางมาอีกนานโข ในที่สุดรถก็หยุดนิ่ง เชียนโม่ได้ยินเสียงสายน้ำไหลริน

ไม่มีเสียงพูดคุย เชียนโม่ดันฝาถังขึ้นอย่างระมัดระวัง โผล่นัยน์ตาออกไป แล้วก็เห็นว่าที่นี่เป็นป่าเขาแห่งหนึ่ง มีน้ำใสแจ๋วไหลออกมาจากซอกผา

คนขับรถจูงรถเทียมวัวไปที่หน้าน้ำพุ เอาท่อนไม้ไผ่ขนาดใหญ่รองน้ำพุ ให้น้ำไหลลงมาในถัง

เขาไม่เห็นเชียนโม่ หลังจากยืนรออยู่ข้างน้ำพุครู่ใหญ่ก็เดินไปปลดทุกข์ที่ละแวกนั้น

เชียนโม่รีบฉวยโอกาสนี้ออกจากถังทันที แม้ขาจะชาอยู่บ้าง แต่ร่างกายกลับปราดเปรียวเหนือความคาดหมาย ตอนที่สองเท้าของเธอแตะพื้น คนขับรถยังไม่กลับมา เธอรีบปิดฝาถังให้ดีแล้วดอดหนีไป

เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนร่างเป็นเสื้อคลุมยาวตัวกว้างแขนกว้าง เดินในป่าละเมาะไม่สะดวกเอาเสียเลย เชียนโม่คิดถึงกางเกงยีนกับรองเท้าเดินภูเขาของเธอเป็นที่สุด แต่จะทำอย่างไรได้ ถูกริบเอาไปหมดแล้ว ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว

เชียนโม่อาศัยตำแหน่งดวงอาทิตย์แยกแยะทิศทาง และเดินไปตามเส้นทางเล็กคดเคี้ยวสายหนึ่ง พยายามเดินไปยังทิศที่ห่างไกลจากถงซาน

ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหล

อ้อมผ่านพุ่มไม้ที่อยู่เบื้องหน้า หาดป่ากกผืนหนึ่งก็ปรากฏ ถัดไปข้างหน้าก็คือแม่น้ำสายหนึ่ง ในเวลานี้เชียนโม่ได้ยินเสียงพูดคุยดังมา เธอช้อนตามองไป แล้วก็เห็นทาสกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านไปไม่ไกลนัก เดินไปทางเนินเขาแห่งหนึ่ง…เนินเขาที่เธอเคยมาตัดหญ้า

 

ลมพัดโชยมา หญ้ากกที่ริมน้ำซัดส่ายใบเรียวยาวไปมาดุจระบำฉู่

เรือลำใหญ่ลากเรือเล็กสิบกว่าลำ ลอยลำอยู่เหนือคลื่นสีครามใสแจ๋วบนผิวน้ำอย่างมีอิสระราวกับปลา

คนแคว้นฉู่ล้วนเติบโตอยู่ริมน้ำ ยามนั่งเรือออกท่องเที่ยว ทุกคนต่างรู้จักเปลี่ยนมาสวมเสื้อแขนสั้นที่ตัดด้วยผ้าเนื้อหยาบ

อู่จวี่เป็นผู้ควบคุมการล่าจระเข้และยืนอยู่ที่หัวเรือ ถือกระบี่โต้ลม ฉู่หวังกลับคึกคักคันไม้คันมืออยู่นานแล้ว เขายืนอยู่ตรงหน้าอาวุธรูปแบบต่างกันสิบกว่าอัน กำลังเลือกดูที่เหมาะมือที่สุด

กงซุน*หุยแห่งแคว้นเจิ้งรับพระบัญชาจากเจิ้งป๋อ** มาเป็นทูตยังแคว้นฉู่ ครั้นมาถึงเมืองอี๋ ประจวบเหมาะกับฉู่หวังจะมาล่าจระเข้ในครั้งนี้พอดี จึงเชิญเขามาด้วยกัน เขาเห็นฉู่หวังเลือกฉมวกเล่มหนึ่งก็กล่าวประจบ “ต้าหวังช่างองอาจห้าวหาญ”

ฉู่หวังกล่าว “แคว้นเจิ้งไม่มีจระเข้ ท่านติดตามกว่าเหรินไปลองดูได้”

กงซุนหุยรีบบอก “กระหม่อมว่ายน้ำไม่เป็น ไม่กล้าแสดงฝีมือต่ำต้อย”

ฉู่หวังยิ้มแล้วหันไปทางอู่จวี่ “เจ้าไม่ไปหรือ”

อู่จวี่สั่นศีรษะ “กระหม่อมต้องนั่งบัญชาการพ่ะย่ะค่ะ”

ขณะสนทนา ขบวนเรือก็แล่นมาถึงบริเวณที่น้ำค่อนข้างสงบนิ่ง คนเรือที่นำหน้าส่งเสียงเป่าปากยาวออกมาทีหนึ่ง ชาวฉู่ทั้งหลายต่างคึกคักฮึกเหิมขึ้นมา พากันกระโดดลงไปในน้ำ ฟองน้ำสีขาวผุดพรายขึ้นมาเป็นแพตรงโน้นทีตรงนี้ทีระหว่างลำเรือ คนบนเรือเห็นแล้วหัวเราะฮ่าๆ

“ล่าจระเข้ต้องใช้ปลาสดเป็นเหยื่อล่อ ทุกคนจึงได้ลงน้ำไปจับ” คนเรือผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายกงซุนหุยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพิ่งจะพูดขาดคำ ปลาตัวหนึ่งก็ถูกคนโยนขึ้นมาจากในน้ำ ดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนพื้นเรือ

ฉู่หวังก็หัวเราะขึ้นมา ถอดเสื้อตัวสั้นออกแล้วก้าวขึ้นไปบนกราบเรือ

* กงซุน ในที่นี้หมายถึงพระนัดดาของเจ้าผู้ครองแคว้น

** ช่วงก่อนยุคชุนชิว หลังจากโจวอู่หวังโค่นล้มราชวงศ์ซางแล้ว ได้ตั้งราชวงศ์โจวขึ้นและเริ่มการปกครองด้วยระบบศักดินา แบ่งแยกแผ่นดินออกเป็นแคว้นต่างๆ และส่งเชื้อพระวงศ์ไปปกครอง โดยพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นกง เจี้ยน โหว ป๋อ จื่อ ภายหลังเปลี่ยนเป็นกง โหว ป๋อ จื่อ หนาน และกลายเป็นลำดับบรรดาศักดิ์ที่ใช้ในสมัยต่อมา

“ต้าหวัง…” ผู้ติดตามยับยั้งไม่ทัน ฉู่หวังกระโดดลงน้ำไปแล้ว แสงอาทิตย์บางเบาส่องสะท้อนระลอกคลื่นใสกระจ่างบนผิวน้ำ ร่างสูงโปร่งแข็งแรงงดงามของเขาคล้ายปลาตะเพียนตัวหนึ่ง พอลงน้ำก็ว่องไวปราดเปรียว พุ่งปราดลงไปใต้น้ำดุจลูกธนู รอจนฟองผุดพรายขึ้นมา ตัวก็ไปไกลจากเรือสี่ห้าจั้ง* แล้ว

“นั่นคือฉู่หวังจริงหรือ” คนแคว้นเจิ้งต่างตื่นตะลึงคล้ายไม่อยากเชื่อ “ในน้ำมีจระเข้อยู่ทั่วมิใช่หรือ!”

ฉู่หวังกับคนอื่นๆ ว่ายมาถึงจุดหนึ่ง เอามือลูบน้ำบนใบหน้า เอาปลาตัวหนึ่งโยนขึ้นมาบนเรือลำเล็ก อู่จวี่มองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ

“ต้าหวังของเราไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น” ผู้ติดตามคนหนึ่งบอกกับคนแคว้นเจิ้งด้วยความภาคภูมิใจ

 

เชียนโม่หลบอยู่ในป่าละเมาะ จับตามองทหารที่อยู่ในขอบเขตสายตา ที่เธออยู่ตอนนี้ค่อนข้างห่างออกมา ถ้าระวังสักหน่อยน่าจะหลบพ้นจากสายตาคนเหล่านั้นได้

ที่โชคดีกว่านั้นก็คือเรือเล็กที่เธอหมายตาไว้ก็ผูกอยู่กับเสาไม้ริมน้ำไม่ไกลจากเธอเท่าไร

เชียนโม่โก้งโค้งตัว ค่อยๆ ย่องไปทางหาดป่ากก…

 

จับเหยื่อได้มากพอแล้ว ฝูงเรือก็มุ่งหน้าไปต่อ ผิวน้ำเริ่มเรียบกว้างขึ้น ริมฝั่งมีหาดตื้นที่มีกอต้นกกขึ้นปกคลุมอยู่หลายแห่ง

เรือแล่นผ่านไปบนผิวน้ำเงียบๆ

จระเข้มีนิสัยตื่นตัวระแวดระวังภัย จึงตรงข้ามกับการจับปลา ล่าจระเข้ต้องเน้นการจู่โจมแบบฉับพลัน

ทหารทั้งหลายในปากคาบแผ่นไม้ จับตามองไปที่ผิวน้ำ หัวหอกที่ทำจากทองแดงส่องประกายวาวภายใต้ท้องฟ้า ปล่อยให้แสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทอแสงร้อนแรงขึ้นดูดซับเสื้อผ้าและเส้นผมที่เปียกน้ำจนแห้ง

สายน้ำสงบนิ่ง พอจะมองเห็นได้ว่ามีอะไรบางอย่างลอยอยู่บนผิวน้ำตะคุ่มๆ คล้ายท่อนไม้แห้ง

ทหารนายหนึ่งเอาถุงหนังที่ใส่เลือดเทลงไปในน้ำ ของเหลวสีแดงสดค่อยๆ แผ่กระจายอยู่ในน้ำ อาบย้อมน้ำในบริเวณนั้นให้กลายเป็นสีชมพูจางๆ

ฉู่หวังมองจระเข้สองตัวที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ กลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ กุมหอกยาวในมือแน่น นัยน์ตาจ้องเขม็งไปที่ผิวน้ำ

เรือค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว คนแคว้นฉู่ทั้งหลายต่างแอบถูฝ่ามือ

พอธงบนเรือลำใหญ่ของอู่จวี่ตวัดลง ฉู่หวังก็ลงมือทันที พุ่งหอกยาวในมือไปยังจระเข้ตัวหนึ่งสุดแรง ผิวน้ำแตกกระจาย จระเข้ถูกหอกแหลมทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ เจ็บปวดจนร่างใหญ่โตดิ้นพล่านอยู่ในน้ำ

ทหารที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาช่วย หอกยาว ตะขอยาว ฉมวก อาวุธรูปแบบต่างๆ ทยอยพุ่งลงไปในน้ำ จระเข้ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สิ้นใจ เหล่าทหารช่วยกันลากจระเข้ขึ้นมาไว้บนเรือ

“จระเข้ตัวนี้ยาวกว่าหนึ่งจั้งเลยทีเดียว!” มีคนเอ่ยชม

คนแคว้นเจิ้งเพิ่งเคยเห็นจระเข้ตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก พากันห้อมล้อมเข้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

อู่จวี่กำลังพูดคุยอยู่กับกงซุนหุย ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงคนร้องขึ้น “เหตุใดต้าหวังจึงไปที่ริมแม่น้ำแล้ว”

อู่จวี่งงงัน รีบหันไปมอง

* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

แล้วก็เห็นฉู่หวังไม่รู้ขึ้นเรือเล็กลำหนึ่งไปตั้งแต่เมื่อไร กำลังมุ่งหน้าไปทางริมฝั่ง สายลมพัดระลอกคลื่นใสแจ๋ว ตรงบริเวณที่มีกอต้นกกขึ้นหนาแน่นมีเงาดำลอยอยู่ให้เห็นตะคุ่มๆ

“จะเสด็จไปล่าจระเข้ด้วยตัวเองหรือ” ผู้ติดตามตื่นตะลึง “เมื่อใด…”

อู่จวี่กลับแสดงท่าทีให้เขาหยุดพูดแล้วสั่งการ “ให้ทหารตามไป”

 

เชียนโม่กำลังรอเวลาจะเดินไปที่ริมฝั่ง พลันมีเสียงเอะอะดังมาจากด้านหลัง เธอหันกลับไปอย่างว่องไว แล้วก็เห็นเงาตะคุ่มๆ บนทางที่มา เหมือนมีคนจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

ทันใดนั้นมีคนส่งเสียงร้องตะโกนมาทางที่เธออยู่ เชียนโม่เห็นมีคนหลายคนกำลังวิ่งมาทางนี้

แย่แล้ว! เชียนโม่รีบหมุนตัวกลับ ทางหนึ่งเอาเคียวเหน็บไว้ที่เอวด้านหลัง ทางหนึ่งก็วิ่งห้อตะบึงไปทางริมน้ำ

พื้นดินที่มีหญ้าขึ้นเต็มไม่ค่อยราบเรียบ เชียนโม่ซวนเซไปหลายครั้ง กอหญ้าขึ้นหนา นกน้ำหลายตัวบินหนีด้วยความตกใจ ตั๊กแตนที่อยู่บนใบหญ้าพุ่งมาปะทะใบหน้า เชียนโม่ไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงอะไรมากมาย ทางหนึ่งเอามือแหวกต้นกกและใบหญ้า ทางหนึ่งก็วิ่งไปที่ริมแม่น้ำ เสียงทหารที่ไล่ตามใกล้เข้ามาทุกที เท้าข้างหนึ่งของเชียนโม่ย่ำลงไปในน้ำโคลน

แม่น้ำ! เชียนโม่ไม่อาจคำนึงถึงสิ่งใด พุ่งตัวลงไปในน้ำทันที

น้ำในแม่น้ำถูกกวนจนขุ่น เชียนโม่ดำดิ่งลงไปในแม่น้ำ ฟองอากาศผสมใบหญ้าและดินทรายผุดพรายขึ้นตรงหน้า ขมุกขมัวไร้แสงสว่าง

สัญชาตญาณเรื่องทิศทางของเชียนโม่ค่อนข้างดี เธอพยายามว่ายไปทางเรือเก่าลำนั้น

ดีที่ไม่ใช่ว่ายทวนน้ำ กระแสน้ำในแม่น้ำมีส่วนช่วยเธออย่างมาก เชียนโม่คล้ายได้ยินเสียงเอะอะและเสียงฝีเท้าจากบนฝั่ง แต่เธอไม่มีเวลาแบ่งแยกสมาธิ เวลานี้มองเห็นสีเก่าคร่ำของไม้กราบเรือแล้ว เธอรีบดึงเคียวออกมา เตรียมตัดเชือกที่ผูกเรือ ทันใดนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า เชียนโม่เห็นผิวหนังสีขาวคล้ายท้องงู ไม่นานสายน้ำก็ไหลมา ฉับพลันนั้นปากใหญ่โตเต็มไปด้วยเขี้ยวสีขาวก็อ้ากว้างขึ้นมาตรงหน้าเธอ

เชียนโม่ตื่นตระหนกตกใจใหญ่หลวง รีบฉากหลบ ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงเคียวในมือออกไปเต็มแรง

ตัวประหลาดกลืนเคียวลงไปและดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด เมื่อเชียนโม่เห็นรูปร่างของมันชัดถนัดตาก็ถึงกับอ้าปากค้าง

จระเข้!

ในแม่น้ำแห่งนี้มีจระเข้!

การหนีกลายเป็นการหนีเอาชีวิตรอดจริงๆ แล้ว เชียนโม่ฉวยจังหวะที่จระเข้ตัวนั้นยังดิ้นทุรนทุรายออกแรงว่ายหนีไป แต่ผ่านไปไม่นานเบื้องหน้าก็มีเงาดำมาขวางทางไว้อีก นั่นเป็นจระเข้อีกตัวหนึ่ง!

ไปก็ไปไม่ได้ ถอยก็ถอยไม่ได้ เชียนโม่ได้แต่มองพวกมันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นตระหนกหวาดผวาสุดขีด

ในเวลานี้เอง จู่ๆ ผิวน้ำก็ถูกอะไรบางอย่างแหวกออก

เชียนโม่เพียงเห็นมีดคมกริบเล่มหนึ่งพุ่งทะลุปากกว้างใหญ่ของจระเข้ที่อยู่ชิดตรงหน้า ไม่นานโลหิตสีแดงสดก็แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ดูเลอะเลือนไปหมด

เชียนโม่เบิกตากว้าง มองจระเข้ดิ้นพล่านไปมา น้ำที่พัดม้วนมาปะทะใบหน้ามีกลิ่นคาวเจืออยู่

เชียนโม่คิดจะว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำ ทว่าตอนหลบหลีกใช้พละกำลังไปมาก น้ำที่พุ่งเข้ามาทำให้สำลัก เชียนโม่ดิ้นรนอย่างหมดหนทาง…ในขณะที่เธอรู้สึกว่าสติกำลังค่อยๆ ขาดลอยไป เสื้อผ้าก็ถูกดึงรั้ง เธอถูกคนออกแรงดึงตัวขึ้นจากน้ำ

เนื้อตัวสัมผัสถูกอากาศ คล้ายไม่ได้เจอะเจอกันมานานเป็นชาติ

เชียนโม่ร่างทรุดลงกับพื้นเรือ สำลักน้ำออกมาคำโตและไอออกมาอย่างแรงด้วยความทุกข์ทรมาน

ฉู่หวังก้มหน้า มองร่างหญิงสาวที่ขดงออยู่ตรงหน้าผู้นี้ด้วยความประหลาดใจ นางฟุบอยู่บนพื้นเรืออย่างทุกข์ทรมาน ใต้เส้นผมที่เปียกชุ่มเผยลำคอที่ขาวผุดผาดออกมา

อู่จวี่เร่งรุดมาถึง เห็นบนเรือของฉู่หวังมีจระเข้ตายกับคนเป็นนอนอยู่ก็อดแปลกใจไม่ได้

ฉู่หวังเงยหน้าขึ้นยิ้ม นัยน์ตาทั้งสองเปล่งประกาย “ดูเหมือนที่กว่าเหรินจับได้ในวันนี้ไม่ได้มีเพียงจระเข้”

 

‘คุณย่าไปไหนแล้ว ทำไมนานแล้วยังไม่กลับมา’

แสงแดดลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ส่องกระทบเกสรสีเหลืองอ่อนและกลีบดอกสีขาวบริสุทธิ์ของต้นสุ่ยเซียน* เชียนโม่ทางหนึ่งใช้ดินสอสีวาดต้นสุ่ยเซียน ทางหนึ่งก็เอ่ยถามอย่างดื้อรั้น

‘หืม?’ คุณปู่ที่กำลังพลิกดูข้อมูลในการศึกษาวิจัยเงยหน้าขึ้นมา ขยับๆ แว่นตาพลางยิ้มน้อยๆ ‘คุณย่าไปสวรรค์แล้ว’

‘สวรรค์’ เชียนโม่วางดินสอสีลง นอนคว่ำลงไปบนโต๊ะของคุณปู่ ‘นั่งเครื่องบินไปเหรอคะ’

‘ไม่ใช่’ คุณปู่บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ‘มังกรกับหงส์บินมารับคุณย่าไป’

เชียนโม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ‘คุณย่าไปคนเดียวหรือ’

คุณปู่พยักหน้า ‘คนเดียว’

เชียนโม่รู้สึกว่าคุณย่าออกจะน่าสงสาร ‘แล้ว…บนสวรรค์มีคนอยู่เป็นเพื่อนคุณย่ามั้ยคะ’

คุณปู่หัวเราะ คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยิบหนังสือภาพเล่มหนึ่งออกมาจากกองหนังสือ พลิกไปหลายหน้าแล้วเอาให้เชียนโม่ดู

เชียนโม่มองดูด้วยความสนอกสนใจ

นั่นเป็นภาพที่เต็มไปด้วยสีสัน ในภาพมีเส้นสายแปลกๆ มากมาย มีสัตว์และยังมีคนตัวเล็ก

คุณปู่ชี้สิ่งที่อยู่ในรูปภาพให้เธอดูทีละอย่างๆ

‘บนสวรรค์มีสิ่งของมากมาย ย่าของหลานนั่งอยู่บนรถของมังกรและหงส์ ก็จะได้เห็นดวงอาทิตย์และเทพแห่งดวงอาทิตย์ จิ้งจอกเก้าหาง คางคก กระต่ายหยก

ท่านนี้คือเจ้าแม่ซีหวังหมู่** นางชอบรับรองแขกมาก นางจะพาพยัคฆ์ขาว วิหคแดง เฟยเหลียน*** และมังกรครามออกมาต้อนรับย่าของหลาน ยังมีเทพเซียนที่มีปีกงดงามบนร่าง ด้านหลังก็เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพแห่งดวงจันทร์และเมฆ’

เชียนโม่คล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ มองดูสัตว์และเทพเซียนที่เป็นภาพเพ้อฝันมายาเหล่านั้นอย่างค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม ‘คุณปู่ก็รู้จักพวกเขาหรือคะ’

‘รู้จักสิ’

* สุ่ยเซียน หมายถึงดอกแดฟโฟดิล

** เจ้าแม่ซีหวังหมู่คือเทพเจ้าผู้ดูแลความประพฤติของเหล่าเซียนเทพและปีศาจ อาศัยอยู่ในสระทิพย์บนภูเขาคุนหลุนทางตะวันตก ที่สถิตของพระองค์ยังเป็นสถานที่ปลูกท้อวิเศษซึ่งหากรับประทานแล้วจะไม่แก่เฒ่า

*** เฟยเหลียน เป็นสัตว์เทพในตำนาน บ้างก็ว่าลำตัวเป็นกวาง หัวเป็นนก บ้างก็ว่าลำตัวเป็นนก หัวเป็นกวาง

‘ถ้าคุณปู่ไปสวรรค์ก็จะได้พบพวกเขาหรือคะ’

‘พบสิ’ คุณปู่ปิดหนังสือลง ลูบๆ ศีรษะของเธอ ‘เราทุกคนล้วนได้พบ’

เชียนโม่รู้สึกว่าจิตสำนึกของตนเดี๋ยวก็จมเดี๋ยวก็ลอย คล้ายล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ

เบื้องหน้ามีแสงสว่างกลุ่มหนึ่ง แต่กลับคล้ายมีน้ำในแม่น้ำที่ถูกเลือดและดินเลนย้อมจนขุ่นคลั่กกั้นขวางอยู่ จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่อาจขึ้นไปแตะผิวน้ำได้ มีเพียงแสงสว่างกลุ่มนั้นที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกที ตรงกลางมีเงาสั่นไหวไปมา คล้ายจระเข้ที่พบเจอในแม่น้ำ แต่เมื่อเริ่มชัดขึ้นกลับดูคล้ายคนคนหนึ่ง…

คนหรือ

เธอคิด ในที่สุดเธอก็คล้ายคนที่อยู่ในภาพวาด จะได้ไปพบคุณปู่คุณย่าแล้วหรือ

ร่างกายค่อยๆ มีน้ำหนักขึ้นมา เชียนโม่รู้สึกคันใบหน้า คล้าย…คล้ายตอนนอนอยู่ในกระท่อม ที่ใต้พื้นไม้ไผ่มีแมลงที่ไม่รู้จักชื่อคลานออกมา

เชียนโม่ตกใจตื่นขึ้นมา

แสงสว่างจ้าแยงตา เธออดหรี่ตาลงไม่ได้และยกมือขึ้นบังไว้ พักใหญ่จึงปรับนัยน์ตาได้ เธอมองไปรอบๆ

เหนือความคาดหมาย ที่นี่ไม่ใช่กระท่อมและไม่ใช่บ้านที่เธอคิดถึงแทบขาดใจ ด้านบนเป็นคานไม้ขนาดใหญ่ สีแบบโบราณและเรียบง่าย และบริเวณที่สูงขึ้นไปกว่านั้นคือจันทัน* ที่เรียงรายเป็นแถว

เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คล้ายพื้นทรายหลังน้ำลด ค่อยๆ ผุดชัดขึ้นมาทีละน้อย หลบหนี ยังมีจระเข้…

เธอรีบมองไปตามเนื้อตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังคงเป็นแบบเดียวกับตอนหลบหนี แต่ตามร่างกายไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ขยับเขยื้อนได้ดังใจ ไม่ได้รับบาดเจ็บ ที่ใต้ร่างของเธอเป็นเตียงหลังหนึ่ง สูงจากพื้นไม่ถึงสองกำปั้น ฟูกที่ปูหนาและนุ่ม

เชียนโม่มองดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ในห้องนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีคนอื่น

เธอจำได้เพียงว่าตนถูกจระเข้โจมตีในแม่น้ำ จากนั้นก็มีคนช่วยเธอขึ้นมา

ทันใดนั้นปลายคางของเธอก็ถูกคนจับไว้แล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้น

แสงแดดแรงกล้า เธอแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ด้านบนคนผู้นั้นรูปร่างสูง มองเห็นใบหน้าไม่ชัด

เขาใช้ภาษาฉู่ถามว่าเธอเป็นใคร

เชียนโม่หอบหายใจ จำต้องบอกชื่อของตนออกไป

‘หลินเชียนโม่’

แสงอาทิตย์ยังคงแยงตา คนผู้นั้นก้มหน้ามองเธอ นิ้วมือยังคงมีความเปียกชื้น หน้าตาของเขาคมสัน นัยน์ตาทั้งสองดำสนิทราวกับแต่งแต้มด้วยสีดำ แต่กลับทำให้คนรู้สึกถูกกดข่มกลายๆ

‘พูดอีกครั้ง’ เขาบอก

เชียนโม่ไอจนรู้สึกไม่สบายคอ แต่ยังคงพูดซ้ำอีกครั้ง

‘หลินเชียนโม่’

ไม่นานเขาก็ปล่อยมือ เชียนโม่งอตัวลงอีกครั้ง

* จันทัน คือชื่อตัวไม้เครื่องบนของเรือนซึ่งอยู่ตรงกับขื่อ ใช้สําหรับรับแปลานหรือรับระแนง

เสียงค่อนข้างอึกทึกครึกโครมดังมาคล้ายทหารที่ตามจับตัว เชียนโม่ขดตัวอยู่บนเตียงไม่กระดุกกระดิก และไม่ได้คาดหวังว่าคนเหล่านี้จะปล่อยตนไป เดิมเธอก็ไม่ใช่คนของโลกนี้อยู่แล้ว หากพวกเขาจะสังหารเธอทิ้งง่ายๆ เช่นที่ทำกับทาสหลบหนีเหล่านั้นก็ไม่เป็นไร

เธอรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยมาก

ไม่ว่านี่จะเป็นความฝันหรือเป็นความจริง เธอก็ทนมาพอแล้ว หวังว่าทุกอย่างจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้…

เชียนโม่เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นมานั่ง ตอนลงจากเตียงเธอไม่ทันได้สังเกตว่าที่ข้างเท้ามีอ่างเคลือบเล็กๆ วางอยู่ใบหนึ่ง มีเสียงดังโครม อ่างเคลือบพลิกคว่ำจากเตียงลงมาจนน้ำนองเต็มพื้น

เชียนโม่ตะลึงงันไป

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก

แสงสว่างจากท้องฟ้าแรงกล้ากว่าในห้องมาก เชียนโม่อดหรี่ตาลงอีกไม่ได้

คนผู้นี้คือหญิงสูงวัยที่พาเธอไปชำระล้างร่างกายเมื่อวานนี้ หญิงสูงวัยเห็นอ่างเคลือบที่พื้นก็ดูเหมือนไม่พอใจมาก บ่นว่าอะไรงึมงำๆ แล้วเก็บกวาดพื้นจนสะอาด

หลังจากนั้นเชียนโม่ก็ได้กินอาหารมื้อที่ดีที่สุดตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่

หญิงสูงวัยเอาอาหารมาให้เธอ เป็นข้าวที่หุงจนเปื่อยเละกับปลานึ่งตัวหนึ่ง ลิ้นได้ลิ้มรสข้าวและเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้พบเจอมานาน เชียนโม่ตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดคิดไม่ถึง

หลังจากถ้วยชามถูกเก็บออกไป หญิงสูงวัยก็ปิดประตู เชียนโม่นั่งอยู่บนเตียงและครุ่นคิดถึงปัญหาเรื่องหนึ่ง

เธอหลบหนีและถูกจับตัวได้

ทาสที่หลบหนีคนหนึ่งคงไม่มีจุดจบที่ดีกระมัง

แต่…ดูเหมือนคนเหล่านี้ไม่ได้จะทำอะไรเธอ

เธอคงจะหมดสติไป แต่ตอนนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างก็ยังดูปกติ

เชียนโม่มองหลังคาที่ดำมืด ความคิดแปลกประหลาดต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัว คนที่ช่วยเธอ หรือควรพูดว่าคนที่จับเธอได้ผู้นั้นเป็นใคร

พวกเขาเก็บตัวเธอไว้ ให้เธอกินอย่างดี ดื่มอย่างดี สวมใส่อย่างดี นอนอย่างดี นั่นเป็นเพราะอะไร

หรือว่า…พวกเขาคงไม่ใช่รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่คนของโลกนี้ แคว้นฉู่เชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถา ถ้าจับปีศาจได้ก็อาจจะถูกเอาตัวไปเซ่นไหว้ฟ้าดิน เผาทั้งเป็น ตัดลำตัวเป็นสองท่อน โยนน้ำอะไรพวกนี้…

เชียนโม่คิดไปก็อดรู้สึกขนพองสยองเกล้าไม่ได้ รู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วเธอจะต้องถูกความสามารถในการคิดโยงของตนทำให้เป็นบ้า

 

ขบวนเรือของฉู่หวังล่าจระเข้ในแม่น้ำได้นับร้อยตัว และยกขบวนกลับด้วยความสาสมใจ

ตกค่ำ ในค่ายบัญชาการจุดโคมไฟสว่างไสว ฉู่หวังจัดงานเลี้ยง ร่วมฉลองกับแขกและขุนนางที่ไปร่วมล่าจระเข้ด้วยกัน

กงซุนหุยรู้ว่าที่นี่คือถงซานดินแดนสำคัญของคนแคว้นฉู่ ในใจรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่ฉู่หวังรับรองเขาที่นี่เพราะตั้งใจหรือไม่เจตนา ทั้งไม่กล้าถามอะไรมาก

กงอิ่นนำสุราส้มที่หมักใหม่มาถวาย หลังจากทุกคนได้ชิมแล้วก็ต่างเอ่ยปากชมเชย กงอิ่นจิตใจเบิกบาน เมื่อตอนเช้าตรู่กงอิ่นได้ยินว่าแรงงานทาสที่ชื่อโม่ผู้นั้นหลบหนีไปแล้วก็เดือดดาลจนเต้นแร้งเต้นกา สั่งให้คนไปตามจับตัวกลับมาทันที แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับอยู่ในมือของฉู่หวัง และเมื่อฉู่หวังทราบว่านางเป็นทาสที่หลบหนีก็ไม่ได้ลงโทษ กลับให้นางอยู่ในค่ายบัญชาการ ให้คนคอยดูแลปรนนิบัติ

นี่พอจะนับได้ว่าเส้นทางต่างกันแต่มาบรรจบที่จุดหมายเดียวกันหรือไม่ กงอิ่นยิ้มจนหุบปากไม่ลง

“เหตุใดต้าหวังจึงรับรองคนแคว้นเจิ้งที่ถงซาน” หลังยามอู่ต้าฟูซูฉงจึงเร่งรุดมาจากนครอิ่งตู เห็นคนแคว้นเจิ้งเหล่านั้นก็เบ้ปาก “พวกเอาตัวรอดไปวันๆ!”

อู่จวี่ยิ้ม แคว้นฉู่กับแคว้นจิ้นไม่ถูกกัน แคว้นเจิ้งแทรกอยู่ตรงกลาง เดี๋ยวก็สนิทสนมกับจิ้น เดี๋ยวก็สนิทสนมกับฉู่ ท่าทีคลุมเครือไม่ชัดเจน มักทำเรื่องให้แคว้นฉู่โกรธอยู่เสมอ

“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อต้าหวังไม่ต้องการจะใช้กำลังทหาร” อู่จวี่ยื่นสุราจอกหนึ่งให้เขา “ให้คนแคว้นเจิ้งได้มาเห็นถงซาน ข่มขวัญสักหน่อยก็ดี”

บนที่นั่งตำแหน่งสูง กงซุนหุยได้นำสาส์นจากเจิ้งป๋อขึ้นถวายฉู่หวัง ฉู่หวังอ่านแล้วก็พบว่าเนื้อหาในสาส์นเขียนด้วยถ้อยคำนอบน้อมนุ่มนวลละมุนละไม ล้วนเป็นคำพูดที่เป็นพิธีรีตอง

“ท่านเจ้าแคว้นของเรานับถือต้าหวังมาก ทรงปรารถนาจะประทานพระธิดาให้อภิเษกสมรสกับต้าหวังเพื่อจะได้เกี่ยวดองกัน ให้แคว้นทั้งสองผูกสัมพันธ์เป็นมิตรที่ดีต่อกันตลอดไป” กงซุนหุยกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“อ้อ” ฉู่หวังมองเขาแล้วยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร ในเวลานี้เองคนรับใช้ได้นำเนื้อจระเข้ที่เพิ่งปรุงเสร็จขึ้นมาถวาย ฉู่หวังพลันนึกถึงหญิงสาวที่เอาตัวขึ้นมาจากน้ำเมื่อตอนกลางวันได้ จึงเอ่ยถามเสี่ยวเฉินฝู “แรงงานทาสผู้นั้นอยู่ที่ใด”

อู่จวี่ที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเข้า มือที่กุมจอกอยู่พลันชะงัก

เสี่ยวเฉินฝูรีบกล่าว “ทูลต้าหวัง แรงงานหญิงโม่ยังอยู่ในเรือนพ่ะย่ะค่ะ” พูดพลางกลอกนัยน์ตาไปมาแล้วว่า “ต้าหวังจะทรงเรียกนางให้มาร่วมงานเลี้ยงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังดื่มสุราไปคำหนึ่งพลางนึกถึงใบหน้าขาวนวลเนียนตอนเชยคางนางขึ้นมา คงเพราะไออย่างรุนแรง ในดวงตาของนางจึงเต็มไปด้วยประกายแวววาวของน้ำ ดูอ่อนแอบอบบางและงุนงง

เสี่ยวเฉินฝูเห็นต้าหวังไม่ตรัสอะไรจึงเอ่ยเรียก “ต้าหวัง”

“ไม่ต้อง” ฉู่หวังกลับบอก “ไปเถิด”

เสี่ยวเฉินฝูประหลาดใจ ได้แต่ทำความเคารพแล้วล่าถอยออกไป

กงซุนหุยยืนอยู่ด้านข้าง เห็นฉู่หวังเอาแต่สนทนาเรื่องสัพเพเหระกับคนอื่นก็รู้ว่าไม่สนพระทัย หลังจากพูดคุยด้วยอีกสองสามประโยคก็ล่าถอยกลับไปยังที่นั่งของตนอย่างเสียหน้า

เมื่อกลับถึงที่นั่ง เล่อเอ่อต้าฟูของแคว้นเจิ้งก็ถามเขา “เป็นอย่างไร”

กงซุนหุยฝืนยิ้มพลางสั่นหัว

เล่อเอ่อย่นหัวคิ้ว มองไปทางฉู่หวังที่กำลังคุยสนุกกับผู้อื่นแล้วด่าว่า “จิงหมาน* ถึงกับไร้มารยาทเพียงนี้!”

“เบาเสียง!” กงซุนหุยถลึงตาใส่เขาแล้วถอนหายใจทีหนึ่ง “ปีนั้นเฉิงหวังจับตัวพระธิดาของเหวินกงไปสองคน เหวินกงยังนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง มาวันนี้ปฏิเสธการแต่งงานแล้วอย่างไร อยู่ในถิ่นของผู้อื่น พูดให้น้อยลงหน่อย!”

เล่อเอ่อแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง

 

ซื่อเหรินฉวี* ได้ยินหญิงอาวุโสมารายงานก็รีบมาที่ห้องเล็ก เห็นเชียนโม่ตื่นแล้วก็โล่งอก

* จิงหมาน จิงเป็นอีกชื่อหนึ่งของแคว้นฉู่ บางทีก็เรียกว่าจิงฉู่ หมานแปลว่าป่าเถื่อน โหดร้าย เป็นการเรียกอย่างดูถูก เป็นคำที่คนในสมัยโบราณใช้เรียกชาวฉู่ ชาวเยวี่ย หรือคนทางใต้ของจีน

* ซื่อเหริน คือตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายในวัง เทียบได้กับมหาดเล็ก โดยมากเป็นขันที

ตอนที่นางหลับสนิท เขาได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบ พบว่าหญิงผู้นี้ถูกจับตัวมาจากดินแดนตะวันออกเฉียงใต้จริง มีหลายคนบอกกับเขาว่าหญิงผู้นี้ก่อนขึ้นเรือมานางพักอาศัยอยู่ในกระท่อมในหมู่บ้านของพวกเขาอยู่สองวัน แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางมาจากที่ใด

ซื่อเหรินฉวีประหลาดใจมาก ทางตอนใต้ของดินแดนฉู่มีชาวไป่เยวี่ยอยู่ปะปนกัน เพียงมีภูเขากั้นขวางไม่กี่ลูกก็พูดภาษาต่างกันแล้ว แต่นางพูดภาษาซูและหยางเยวี่ยไม่ได้ แต่กลับพูดภาษาฉู่ได้เล็กน้อย ยังรู้จักตัวหนังสือ ซื่อเหรินฉวีขมวดหัวคิ้ว คนที่รู้จักหนังสือล้วนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป หญิงผู้นี้ที่แท้แล้วเป็นใครกันแน่

“โม่” เขาเดินไปเบื้องหน้านาง ร้องเรียกออกไปคำหนึ่ง

เชียนโม่มองคนท่าทีสุภาพอ่อนโยนผู้นี้อย่างระแวดระวัง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงผงกศีรษะน้อยๆ

ซื่อเหรินฉวียิ้มแล้วว่า “แรงงานหญิงโม่ เจ้ามาจากที่ใด”

คำถามนี้อีกแล้ว

เชียนโม่ได้แต่ตอบเสียงจืดชืด “ทางใต้”

“ที่ใดของทางใต้”

“ทางใต้”

ซื่อเหรินฉวีไร้คำพูด เห็นหญิงผู้นี้พูดได้ไม่มาก จำต้องถามต่อ “มีสกุลต้นสกุลสาย** หรือไม่”

คำพูดนี้เชียนโม่ฟังเข้าใจแล้ว สกุลต้นสกุลสายในยุคนี้ใช่ว่าจะมีกันทุกคน อีกทั้งถ้าอยากจะรู้ความเป็นมาและวงศ์สกุลของคนผู้หนึ่ง ขอเพียงถามถึงสกุลต้นสกุลสายให้แน่ชัดก็จะรู้ได้

เชียนโม่เหงื่อตก ถิ่นที่เธอเกิดและเติบโต หากอยู่ในสมัยโบราณก็คือแคว้นฉู่ แต่เมืองแห่งนั้นต่อให้มีตัวตนอยู่ที่นี่ ชื่อก็ไม่ถูกต้อง ต่อให้ชื่อถูกต้องก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะหาสำมะโนครัวพบ แต่เธอก็คิดแต่งเรื่องไม่ออก ได้แต่ตอบว่า “หลิน”

“หลิน” ซื่อเหรินฉวียิ่งประหลาดใจ ใต้หล้าไม่มีสกุลต้นหลิน มีแต่สกุลสายหลิน เท่าที่ซื่อเหรินฉวีรู้ ใต้หล้ามีสายสกุลย่อยหลินอยู่สองสาย สายหนึ่งมาจากปี่กาน* ซึ่งเป็นคนในราชวงศ์ซาง อีกสายหนึ่งมาจากพระโอรสของโจวผิงหวัง**

“เจ้ามาจากจงหยวนเช่นนั้นรึ” เขารีบถามต่อ

เชียนโม่กะพริบๆ ตา ไม่เข้าใจ

ซื่อเหรินฉวีรู้สึกว่าในที่สุดตนก็เข้าใจแล้ว มิน่าหญิงผู้นี้พูดภาษาต่างๆ แถบตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้ ภาษาฉู่ก็ไม่ชำนาญ ที่แท้ก็เกิดที่จงหยวน เพียงแต่นางบอกทิศทางผิดไป เอาเหนือเป็นใต้

ภาษาฉู่ของเชียนโม่ใช้การไม่ค่อยได้ ไม่อาจพูดอะไรได้มากกว่านี้ ซื่อเหรินฉวีได้รับคำตอบแล้วจึงไม่ถามต่อ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคารพขึ้นมาหลายส่วน “เจ้าพักผ่อนก่อน หากต้องการอะไรก็สั่งคนรับใช้ได้”

เชียนโม่รู้สึกว่าคนผู้นี้สุภาพอ่อนโยนมาก เห็นเขาจะไปก็รีบบอก “ช้าก่อน”

ซื่อเหรินฉวีมองนาง

“ข้า” เธอคิดหาถ้อยคำ พูดขึ้นเบาๆ “จะตายหรือไม่”

** คนจีนสมัยโบราณแบ่งนามสกุลออกเป็น 2 แบบคือซิ่ง (姓) ในที่นี้เรียกว่าสกุลต้น เป็นสกุลที่สืบเชื้อสายจากมารดา มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน และซื่อ (氏) ในที่นี้เรียกว่าสกุลสาย เป็นการแตกแขนงมาจากสกุลต้น ซึ่งอาจมาจากสกุลของบิดา มาจากชื่อแคว้น ชื่อเมืองศักดินา หรือตำแหน่งขุนนางก็ได้

* ปี่กาน (1125-1063 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นอัครเสนาบดีผู้ซื่อสัตย์ของกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง

** โจวผิงหวัง (780-720 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว

ซื่อเหรินฉวีงงงันแล้วหัวเราะ “ต้าหวังเป็นคนมีน้ำใจกว้างขวางสุภาพอ่อนโยน เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนั้น”

“ต้าหวัง” เชียนโม่ตะลึงงัน

“เจ้ายังไม่รู้หรือ วันนี้ที่เจ้าตกน้ำ ต้าหวังเป็นคนช่วยเจ้าด้วยตัวเอง” พูดจบซื่อเหรินฉวีก็พยักหน้าน้อยๆ ก้าวช้าๆ ออกไป

เชียนโม่ยืนอยู่กับที่อย่างงงงัน ในสมองมีคำพูดของหมานดังขึ้นอีกครั้ง

‘…นี่อ่านว่าอย่างไร’ เธอใช้กิ่งไม้เขียนลงที่พื้น ถามหมางด้วยความอยากรู้

‘หวัง’ หมางมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ

เชียนโม่เอาคำสองคำที่ซื่อเหรินฉวีพูดมาประกอบกัน ครู่เดียวก็รู้สึกในสมองมีเสียงดังอึงอลขึ้น

แต่ไม่รอให้เธอทันได้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก็มีหญิงรับใช้สองนางเข้ามาในห้อง ในมือประคองหีบเครื่องประทินโฉมกับเสื้อผ้า พอมาถึงก็หวีผมให้เชียนโม่และผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า

เชียนโม่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

หญิงอาวุโสเข้ามาเห็นพวกนางก็ไม่เข้าใจ

“พวกเจ้าทำอะไร” หญิงอาวุโสถาม

“เสี่ยวเฉินฝูสั่งมา แรงงานหญิงโม่ต้องไปปรนนิบัติต้าหวังผลัดเปลี่ยนภูษา” หนึ่งในนั้นเป็นคนตอบ

 

หลังจบงานเลี้ยง มีคนเสนอให้เล่นโยนลูกศรลงแจกัน ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงาม

กงอิ่นให้คนไปเอาแจกันทองแดงกับลูกศรมา ทุกคนหมุนเวียนเข้ามาประลองกัน โยนลูกศรลงแจกันเป็นการละเล่นที่นิยมกันในจงหยวน คนแคว้นเจิ้งเชี่ยวชาญยิ่ง คนแคว้นฉู่ก็ไม่อ่อนด้อย อู่จวี่กับซูฉง สิบดอกโยนลงเจ็ดแปดดอก คนรอบข้างต่างปรบมือร้องว่าดี

ตอนเวียนมาถึงเล่อเอ่อต้าฟูแห่งแคว้นเจิ้งเป็นผู้โยนลูกศร เขาหยิบลูกศรแต่กลับหันไปทางฉู่หวัง ยิ้มแล้วโค้งคำนับ “ได้ยินมานานว่าต้าหวังเชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งหก* ขอบังอาจเชิญต้าหวังมาประลองฝีมือกันสักครา”

ทุกคนต่างตื่นตะลึง

กงซุนหุยถูกการกระทำในครั้งนี้ของเล่อเอ่อทำให้เหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วร่าง เล่อเอ่อคนมุทะลุผู้นี้คิดแต่จะระบายโทสะ แต่กลับไม่คิดบ้างว่าหากฉู่หวังประลองแพ้ เกิดความแค้นเคืองขึ้นในใจแล้วจะทำอย่างไร! เขารีบก้าวเข้าไป “ต้าฟูเลอะเลือนแล้ว วันนี้ต้าหวังล่าจระเข้ได้มากกว่าใคร และยังพักผ่อนอยู่ วันหน้าค่อยประลองเถิด”

เหนือความคาดหมาย ฉู่หวังกลับแย้มยิ้ม “ในเมื่อต้าฟูเชื้อเชิญ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับปาก” กล่าวจบก็ลุกขึ้นให้คนไปเอาลูกศรมา

ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ

มีเพียงซูฉงกับอู่จวี่ที่ยังคงดื่มสุราด้วยสีหน้าเป็นปกติ

ฉู่หวังไม่รีบไม่ร้อน มือถือลูกศร ดวงตาจับจ้องไปที่แจกันทองแดงที่อยู่ห่างออกไปหลายก้าว ร่างของเขาเหยียดตรงเข้มแข็งทรงพลัง ท่ามกลางแสงเทียนสว่างไสวใบหน้าคมเข้มดูมุ่งมั่นจดจ่อ

ไม่นานเขาก็เงื้อมือขึ้น เพียงได้ยินเสียงแกร๊ง ลูกศรเข้าแจกันไปแล้ว ซื่อเหรินที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งร้องบอกหนึ่งดอก

* ศาสตร์ทั้งหก ได้แก่ จารีต ดนตรี การยิงธนู การควบคุมรถศึก อักษร และการคำนวณ

จากนั้นก็มีเสียงแกร๊งดังขึ้นอีก ลูกศรลงแจกันไปอีกแล้ว

ฉู่หวังเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว การโยนลูกศรแต่ละครั้งเว้นห่างกันชั่วประเดี๋ยวเดียว

เล่อเอ่อเฝ้าดูอยู่ข้างๆ สีหน้ายิ่งไม่ชวนมองขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดฉู่หวังก็โยนลูกศรต่อเนื่องกันสิบดอก เข้าทุกดอก

“เข้าสิบดอก!” ซื่อเหรินร้องบอก

ตอนนี้ถึงตาเล่อเอ่อแล้ว บนใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มประดับ แต่ไม่มีความมั่นใจเช่นก่อนหน้านี้แล้ว เขาพยายามสุดความสามารถ สุดท้ายก็โยนลงแปดดอกในสิบดอก แพ้ให้กับฉู่หวังสองดอก

หินก้อนใหญ่ที่แขวนอยู่ในใจกงซุนหุยร่วงลงสู่พื้น รีบหัวเราะแล้วว่า “ต้าหวังเก่งกล้าไร้ผู้เทียมทานอย่างแท้จริง!” พูดจบก็หันไปกล่าวกับเล่อเอ่อ “แพ้หนึ่งดอกปรับสุราหนึ่งจอก ยังไม่รีบไปรับโทษอีก!”

เล่อเอ่อแม้จะยังไม่ค่อยยอมรับ แต่ก็จำต้องทำความเคารพฉู่หวัง “ต้าหวังฝีมือยอดเยี่ยม!”

ฉู่หวังมองเขา กลับเอ่ยว่า “กว่าเหรินสังเกตท่านโยนลูกศร ดูจะเคยชินกับท่าหมอบลงเล็กน้อย คิดว่าคงจะเชี่ยวชาญการถืออาวุธกระมัง”

เล่อเอ่อและกงซุนหุยต่างตะลึงงัน

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” กงซุนหุยรีบตอบ “เล่อต้าฟูจะนั่งอยู่ตำแหน่งขวาของคนขับรถม้า ทำหน้าที่คุ้มกันให้ท่านเจ้าแคว้นอยู่เสมอพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังยิ้มบาง รับจอกหยกของตนจากคนรับใช้ จากนั้นก็ชูจอกให้ทุกคนก่อนจะยกขึ้นจิบคำหนึ่งแล้วเดินออกไป

อู่จวี่ลุกขึ้นส่งฉู่หวัง แล้วพูดจาตามพิธีรีตองกับพวกคนแคว้นเจิ้ง เห็นเล่อเอ่อสีหน้าออกจะเคืองแค้นก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ แล้วส่งพวกเขากลับเรือนรับรองอย่างมีมารยาท

“หากคนแคว้นเจิ้งรู้ว่าฝีมือการโยนลูกศรของต้าหวังยอดเยี่ยมเพียงนี้ น่ากลัวว่ากระทั่งเอ่ยปากก็ยังไม่กล้าเอ่ย”

พอเหลือแต่คนแคว้นฉู่ ทุกคนก็พูดถึงเรื่องเมื่อครู่ ต่างหัวเราะขึ้นมา

“หรือมิใช่เล่า! ตอนต้าหวังโยนลงทั้งสิบดอก สีหน้าของคนพวกนั้นช่างตลกเสียจริง!”

“ต้าหวังเปี่ยมอานุภาพน่าเกรงขาม!”

“เปี่ยมอานุภาพน่าเกรงขาม?” ขณะกำลังพูดกันสนุกสนานอยู่นั้น ซูฉงก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงเย็น “ต่อสู้กับกองกำลังเข้มแข็งนับพันนับหมื่นคือเปี่ยมอานุภาพน่าเกรงขาม อาณาประชาราษฎร์แซ่ซ้องสรรเสริญคือเปี่ยมอานุภาพน่าเกรงขาม โยนลูกศรลงแจกันเอาชนะคนแคว้นเจิ้งนับเป็นอะไรได้”

คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน

ซูฉงมองไปที่อู่จวี่ แค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง “ศัตรูภายนอกกำลังจ้องหาโอกาส ต้าหวังกลับโอ้เอ้ไม่ยอมกลับนครอิ่งตู พวกเจ้าก็ไม่ตักเตือน!” พูดจบก็ตวัดชายแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ

 

ฉู่หวังแต่ละยุคในอดีตล้วนให้ความสำคัญกับถงซาน ในค่ายบัญชาการของถงซานจะจัดให้มีพลับพลาสำหรับฉู่หวังยามเสด็จมาประทับ

ตอนงานเลี้ยงเลิกรา ฉู่หวังก็มึนเมาบ้างแล้ว

เมื่อกลับมาถึงที่ประทับ กงอิ่นขยิบตาให้เสี่ยวเฉินฝู เสี่ยวเฉินฝูเข้าใจ รอฉู่หวังเข้าไปในห้องบรรทม เขาก้าวเข้าไปสองก้าว ประคองฉู่หวังนั่งลงบนตั่งแล้วส่งน้ำให้หนึ่งถ้วย

“ต้าหวัง ผลัดเปลี่ยนภูษาหรือไม่” เขาทูลถามด้วยความเคารพนบนอบ

“อืม” ฉู่หวังเอนพิงพนัก ส่งเสียงตอบรับคำหนึ่ง

เสี่ยวเฉินฝูยิ้มน้อยๆ กวักมือไปทางนอกประตู

สายลมยามราตรีพัดโชยมาจากด้านนอก เปลวเทียนสั่นไหวน้อยๆ

ฉู่หวังยกถ้วยน้ำขึ้นมา ขอบถ้วยมันวาวเพิ่งจะแตะริมฝีปาก มือพลันชะงักค้าง…เขาเห็นหญิงสาวที่เดินตามซื่อเหรินเข้ามาข้างในแล้ว

เส้นผมของนางดำขลับ ผิวพรรณละเอียดนวลเนียนขาวผ่อง ภายใต้แสงเทียนดวงหน้าของนางดูสว่างไสวงดงาม ฉู่หวังเองก็นับได้ว่าพบเห็นหญิงงามมามากมาย ที่รูปร่างสูง ที่อ่อนแอบอบบาง ที่สดใสเริงร่า ที่งามเพริศพริ้ง…แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเวลานี้ทำให้เขารู้สึกถึงความแปลกหูแปลกตา ไม่รู้เป็นเพราะรูปทรงของคิ้วที่ไม่ได้จงใจตกแต่งให้มีลักษณะตามแบบหญิงงามที่พบเห็นอยู่เสมอ หรือเป็นเพราะแววระแวดระวังตัวที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง

หรือจะบอกว่า…เป็นความตื่นเต้น คล้ายม้าตัวเล็กที่รู้ว่าตนกำลังจะถูกผูกด้วยโซ่ตรวนตัวหนึ่ง

เห็นสายตาของฉู่หวังหยุดนิ่ง ในใจของเสี่ยวเฉินฝูก็พอรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร เขากวักมือให้เชียนโม่ “แรงงานหญิงโม่ มาปรนนิบัติต้าหวังผลัดเปลี่ยนภูษา”

เชียนโม่มองคนที่นั่งอยู่บนตั่งผู้นั้น แม้ตอนที่ตนถูกช่วยขึ้นมาจะได้เห็นเขาเพียงแวบเดียว แต่ตอนนี้เธอก็ยังคงจำเขาได้ในทันที

คนผู้นี้ก็คือฉู่หวัง

เมื่อตระหนักได้ถึงจุดนี้ เชียนโม่ก็ไม่รู้ว่าควรประหลาดใจหรือควรหวาดกลัวดี หัวใจกลับเต้นระรัวขึ้นมาเมื่อพบว่าเขาก็กำลังมองตนอยู่เช่นกัน เชียนโม่รีบหลุบนัยน์ตาลง

เขาช่วยเธอไว้ แต่เธอกลับเป็นเพียงทาสคนหนึ่ง

ตอนหญิงรับใช้สอนเธอ ได้พูดอะไรบางอย่างที่แฝงความหมายลึกซึ้ง เชียนโม่พอฟังเข้าใจ ความหมายของหญิงรับใช้คนนั้นก็คือถ้าเชียนโม่สามารถทำให้ต้าหวังผู้นี้ชอบเธอได้ ก็จะไม่ต้องกลับไปทำงานหนักที่เหมืองแร่แล้ว ยังจะได้รับการปรนนิบัติจากผู้อื่นอีกด้วย

พวกนางยังบอกว่าเธอโชคดีมาก

เชียนโม่ไร้คำพูดจะถามสวรรค์ เรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป ไม่ว่าเขาจะเป็นฉู่หวังที่มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์คนไหน รูปแบบที่เขากับนางจะได้พบหน้ากันอย่างสมเหตุสมผลมากที่สุด ก็ควรจะเป็นการมองหน้ากันโดยมีกระจกคริสตัลของตู้แสดงในพิพิธภัณฑ์กั้นขวางอยู่

ไม่ใช่คนมีชีวิตสองคนมาประจันหน้ากันแบบนี้…

ยังต้องมาผลัดเสื้อเปลี่ยนผ้าอะไรให้เขาอีก…

“ต้าหวัง” เสี่ยวเฉินฝูพาเชียนโม่เดินมาถึงเบื้องหน้าฉู่หวัง เอ่ยเสียงต่ำ “ต้าหวังทรงสั่งกำชับให้ดูแลแรงงานหญิงโม่ให้ดี กงอิ่นจึงให้นางรั้งอยู่ในค่ายบัญชาการเพื่อทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้”

ฉู่หวังมองนางแวบหนึ่ง ยังคงนั่งพิงพนักไม่ได้ขยับ

เสี่ยวเฉินฝูแสดงท่าทีให้เชียนโม่เดินเข้าไป

เชียนโม่มีท่าทีลังเล ผ่านไปครู่หนึ่งจึงทำตามที่เหล่าหญิงรับใช้สอนมา ลงนั่งคุกเข่ากับเบาะที่อยู่ตรงหน้าตั่งของต้าหวัง

รอบด้านไร้สุ้มเสียง เชียนโม่ก้มศีรษะอยู่ แต่เธอรู้ว่าฉู่หวังกำลังมองเธอจากบนที่สูงห่างกันเพียงฟุตกว่า

ช่วงที่ผ่านมาเชียนโม่เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดบางอย่างได้แล้ว อย่างเช่นไม่ว่าคนแปลกหน้าจะจับจ้องมองเธอเช่นไร ก็อย่ามองสบตาเป็นอันขาด ก้มศีรษะไว้ ให้ต่ำลงอีก…ทว่าเวลานี้วิธีนี้กลับใช้ไม่ได้ เธอกับฉู่หวังอยู่ใกล้กันเกินไป คิดจะหลบก็หลบไม่พ้น

เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ประณีตงดงามมาก สายรัดเอวรูปแบบสวยงาม ส่วนหัวของสายรัดเอวและตะขอที่ทำจากทองก็ยิ่งงดงาม ตะขอส่วนหัวเป็นเสือมีลำตัวคล้ายมังกร ตรงกลางเลี่ยมฝังด้วยหินเทอร์คอยซ์ที่มีลวดลายละเอียด เชียนโม่เคยเห็นสิ่งของจัดแสดงประเภทเดียวกันนี้ที่พิพิธภัณฑ์ แต่ไม่สวยงามเช่นนี้ ความอบอุ่นของเครื่องทองและเพชรพลอยที่ยังสวมใส่อยู่บนร่างของคน ยามแตะสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความมันวาวละมุนละไม

เชียนโม่ไม่มีแก่ใจจะมาชื่นชมมากนัก

คนอื่นๆ ในห้องไม่รู้ออกไปตั้งแต่เมื่อไร เหลือเพียงเธอกับเขาสองคน เสียงระฆังเตือนภัยในใจของเชียนโม่ดังลั่น เธออยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

หมาง…เธอภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าเขาจะได้รับจดหมายฉบับนั้น

 

หญิงผู้นี้ทำอะไรมือไม้เก้งก้าง คล้ายไม่เคยทำงานพวกนี้มาก่อน

ฉู่หวังมองนาง แต่ไม่ได้เร่งรัด สุราที่ดื่มเมื่อครู่ก่อนเริ่มออกฤทธิ์ เขาอารมณ์ดีไม่น้อย ยากนักจะมีความอดทน ให้ความสนอกสนใจต่อแรงงานหญิงผู้นี้

“เจ้าชื่อโม่หรือ” เขาถาม

เชียนโม่จู่ๆ ก็ได้ยินเขาพูดกับตน แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงตอบว่า “เพคะ”

“เจ้าเป็นคนรักษาโรคระบาดชั่วร้ายในถงซานหรือ”

คำถามนี้ช่วงที่ผ่านมาเชียนโม่ตอบมาหลายครั้งเต็มที เธอกล่าวอย่างถ่อมตน “รักษาโรคระบาดทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกัน”

ฉู่หวังฟังสำเนียงการพูดของนางดูไม่คุ้นหูและแปลกประหลาด แต่เสียงใสกังวานน่าฟัง ไม่นานสายตาของฉู่หวังก็จับนิ่งอยู่บริเวณลำคอของนาง ภายใต้แสงเทียน ผิวพรรณของนางขาวผ่อง ดูผุดผาดนวลเนียน จากคิ้วดวงตาถึงปลายจมูก เส้นสายงดงามและสง่า ท่าทีหลุบตาของนางทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอยากทะนุถนอม

หญิงสาวเช่นนี้ดูไม่คล้ายมาจากชนเผ่าหยางเยวี่ยหรือชนเผ่าซูเลยจริงๆ

 

เชียนโม่กำลังช่วยปลดปมสุดท้ายบนสายรัดเอวให้เขา ในเวลานี้เองพลันมีแรงดึงเบาๆ บนเส้นผมของเธอ

“นี่คืออะไร” ในมือฉู่หวังมีกิ๊บติดผมตัวเล็กสีดำอันหนึ่ง เขาถามด้วยความสนอกสนใจ

เชียนโม่ลำบากใจ

ผมของเธอแม้จะยาว แต่เนื่องจากตัดเล็มบ่อยจึงมีเส้นผมที่รุ่ยร่ายอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เธอผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม ประโยชน์ของกิ๊บคือช่วยทำให้เส้นผมปิดบังใบหน้าเอาไว้ เมื่อครู่ถูกเรียกตัวเข้าพบ หญิงรับใช้ผู้นั้นหวีผมให้เธอ มีเส้นผมหลายปอยร่วงลงมาอยู่เสมอ หญิงผู้นั้นบ่นด้วยความรำคาญ เชียนโม่จึงจำต้องเอากิ๊บติดผมออกมาแล้วหนีบไว้

“นี่คือ…อืม…” เชียนโม่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าคำว่ากิ๊บติดผมภาษาฉู่พูดว่าอย่างไร

ฉู่หวังมองท่าทางทำอะไรไม่ถูกของนาง ความคิดพลันผุดขึ้น เขาคลี่ยิ้ม คนงามในค่ำคืนที่งดงาม หญิงสาวผู้นี้มีฐานะเช่นไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ…เขายื่นมือไปจับปลายคางนางเบาๆ น้ำเสียงเจือความเมามายหลายส่วน เอ่ยเสียงต่ำพร่า “คืนนี้เจ้ารั้งอยู่ที่นี่”

พูดจบก็โน้มตัวลงไปที่ริมฝีปากนาง

 

ซื่อเหรินฉวีได้ยินว่าเชียนโม่ถูกพาตัวไปปรนนิบัติฉู่หวังก็เร่งรุดมาที่ตำหนักบรรทม กลับเห็นเพียงเสี่ยวเฉินฝูเดินออกมา

ซื่อเหรินฉวีเอาข้อวินิจฉัยของตนที่ได้จากการซักถามเมื่อครู่ก่อนมาบอกเล่าให้อีกฝ่ายฟังแล้วว่า “หญิงผู้นั้นแม้จะเป็นแรงงานทาส ภูมิหลังกลับดูเหมือนไม่ธรรมดา ให้มาปรนนิบัติต้าหวัง เกรงว่าจะไม่เหมาะ”

“มีอันใดไม่เหมาะ” เสี่ยวเฉินฝูกลับไม่เห็นด้วย “ต้าหวังชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ หลายแว่นแคว้นในดินแดนจงหยวนต่างคิดจะเกี่ยวดองกับต้าหวังด้วยการสมรส ต่อให้แรงงานทาสผู้นี้เป็นวงศ์สกุลสูงศักดิ์จริง ได้มาปรนนิบัติต้าหวังก็ไม่ถือว่าปฏิบัติต่อนางอย่างขาดตกบกพร่อง”

เสี่ยวเฉินฝูดูแลเรื่องตำหนักฝ่ายในของฉู่หวัง ตำแหน่งฐานะสูงกว่าซื่อเหรินฉวี ซื่อเหรินฉวีเห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก

ทว่าในเวลานี้เองกลับมีเสียงพูดดังขึ้นมาจากด้านหลัง “หญิงอะไร แรงงานทาสอะไร”

ทั้งสองต่างตกใจ เสี่ยวเฉินฝูหันไปก็เห็นซูฉงยืนอยู่ข้างหลัง อดที่จะแอบร้องแย่แล้วไม่ได้

ซูฉงและอู่จวี่ต่างเป็นต้าฟูที่ฉู่หวังให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญในระยะนี้ อู่จวี่นิสัยสุภาพอ่อนโยนสักหน่อย ซูฉงกลับเป็นคนที่ไม่อาจไปมีเรื่องด้วยได้ ช่วงก่อนจะได้เลื่อนตำแหน่ง ซูฉงก็เคยตำหนิฉู่หวังต่อหน้าว่าลุ่มหลงอยู่กับการเสพสุขมาแล้ว

“ซูต้าฟู” เสี่ยวเฉินฝูใบหน้ายิ้มแย้ม ทำความเคารพแล้วว่า “เหตุใดต้าฟูจึงมาที่นี่ได้”

“มาปรึกษาราชกิจกับต้าหวัง” ซูฉงมองไปที่ตำหนักบรรทม “ต้าหวังอยู่ที่ใด”

เสี่ยวเฉินฝูสีหน้าสงบนิ่ง “ต้าหวังอยู่ในห้องบรรทม ทรงพักผ่อนแล้ว…” พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงตึงหนักๆ ดังมาจากในห้องบรรทม คล้ายภาชนะทองแดงล้มลงกับพื้น

ทุกคนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน

ซูฉงผลักเสี่ยวเฉินฝูออกแล้ววิ่งเข้าไปในห้องบรรทม

 

ภาชนะทองแดงที่ข้างตั่งล้มลง ฉู่หวังคว้าโต๊ะเตี้ยพยุงตัวไว้ ไม่นานก็เหลือบนัยน์ตาขึ้น ประกายในดวงตาทั้งสองเปลี่ยนไปดูไม่เป็นมิตร

เชียนโม่ยืนอยู่ด้านข้าง แข็งทื่อไปทั้งร่าง

นี่…เป็นอุบัติเหตุ

เป็นอุบัติเหตุจริงๆ

เธอเพียงคิดจะดิ้นรนให้หลุดพ้น กลับคิดไม่ถึงว่ามือของฉู่หวังจะมีแรงมากเช่นนั้น ตอนที่เธอออกแรงดิ้นรนได้ทำให้ภาชนะทองแดงที่อยู่ด้านข้างร่วงหล่นลงมา ทั้งเกือบจะร่วงใส่ศีรษะฉู่หวัง…

ขนบนแผ่นหลังลุกชัน เชียนโม่รู้สึกหวาดกลัว ผงะถอยไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว

“ข้า…ข้าไม่ได้เจตนา!”

คำพูดหลุดออกจากปาก เธอถึงพบว่าที่ตนพูดออกมาไม่ใช่ภาษาฉู่

ฉู่หวังยังไม่ได้พูดอะไรก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกแล้ว

“ต้าหวัง!” ซูฉงและคนอื่นๆ รวมถึงทหารรักษาการณ์เร่งรุดมาถึง พอเห็นหอกยาวและดาบในมือทหารรักษาการณ์เหล่านั้น น้ำตาของเชียนโม่ก็แทบจะไหลออกมาแล้ว

ฉู่หวังมองห้องบรรทมที่ชั่วพริบตาเดียวก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้วรู้สึกลมหายใจติดขัดอยู่ในอก ความมึนเมาสลายไปหมด

“พวกเจ้าจะทำอะไร” เขาถามเสียงเย็น

ตอนซูฉงเข้ามา เห็นภาชนะทองแดงบนพื้นและสีหน้าตื่นตระหนกตกใจของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว

เขามองเสี่ยวเฉินฝูด้วยหางตาแวบหนึ่ง แล้วทำความเคารพด้วยท่าทางเคร่งครัด กำลังจะเอ่ยปากพูด อู่จวี่กลับพรวดพราดเข้ามา

“ต้าหวัง” เขาประสานมือแล้วรายงาน “เมื่อครู่กระหม่อมได้ยินข่าวว่าในเขตเหมืองแร่มีคนเป็นโรคระบาดอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบเขาก็มองเชียนโม่ที่อยู่ตรงมุมห้องแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาด เขาเห็นในดวงตาของนางมีประกายผุดวาบขึ้น อู่จวี่กล่าวต่อ “ต้าหวังได้โปรดส่งตัวแรงงานหญิงโม่ไปช่วยรักษาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน

เขามองไปที่เชียนโม่ นางก้มหน้า เพียงเห็นมือสองข้างที่กำแน่นของนาง

“รู้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงกลับคืนสู่ปกติ ไม่มีคลื่นไม่มีลม

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 35

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: