บทที่สิบเอ็ด
“ไป…ไป!” คนบังคับรถตวัดแส้ม้าอย่างแรง ม้าสีแดงพุทราด้านหน้ารถก็ส่งเสียงร้องยาว พลางขยับเท้าลากรถม้าให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
ฝนเพิ่งตกไป ฝุ่นดินจึงยังมีไม่มาก จากหน้าต่างรถ มู่หวั่นชิวสามารถมองไปได้ไกล นางพลิกเปิดม่านหลังรถ ก่อนจะมองไปด้านหลังอย่างไม่สบายใจ ร่างบางขยับโยกไปตามแรงของรถม้า
“พวกนางตามมาไม่ทันแล้ว” หลีจวินโบกพัดอย่างสบายอารมณ์ “ข้าเตรียมคนไว้ตลอดทาง แม้ว่านางจะพบร่องรอยได้รวดเร็วเพียงใด ก็จะถูกคนของข้าขวางเอาไว้” เขาชี้พัดพับไปข้างหน้า “ระยะทางไม่ไกลจากนี้ก็จะเป็นสามแยก พอไปถึงตรงนั้น นางก็จะแยกไม่ออกแล้วว่าพวกเราไปทางใด พวกนางคิดจะไล่ตามมาก็คงยาก”
มู่หวั่นชิวไม่ได้หันหน้ามา นางยังคงขมวดคิ้วมองดูรอยล้อรถจางๆ ที่ทิ้งไว้บนทาง “ฝนเพิ่งตก รอยล้อรถชัดเจนเช่นนี้ พวกนางจะดูไม่ออกได้อย่างไร”
รถม้าของเขาคันนี้กว้างกว่ารถม้าทั่วไปเท่าตัว แม้ว่าด้านหลังจะมีรถม้าแล่นตามมา ก็ยังกลบรอยล้อรถม้าคันนี้ไม่ได้ หากเป็นคนละเอียดจะต้องแยกออกได้อย่างแน่นอน สำรวจรถม้าที่หรูหรามากคันนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจเบาหวิว ก็แค่มีเงิน จำเป็นต้องโอ้อวดแบบนี้ด้วยหรือ
เพราะนางเคยตกอยู่ในอันตราย จึงได้รู้ว่าอะไรคือการอยู่เงียบๆ อย่างอดทน
ขณะที่ถอนหายใจนางก็คิดถึงตัวเองที่โอ้อวดวางอำนาจในชาติก่อน จึงแอบคิดว่า…ที่แท้ข้าในชาติก่อนนั้นก็ช่างโง่เง่าเสียจริง
หันหน้ามามองมู่หวั่นชิวอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว หลีจวินจึงพูดอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าวางใจได้ ตรงสามแยกด้านหน้าจะมีรถม้าแบบเดียวกันอีกสองคันรออยู่ พอพวกเราไปถึง พวกเขาก็จะแยกเดินทางไปต่างทิศพร้อมกัน ล้อรถแบบเดียวกัน ยากจะแยกแยะได้…”
น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหล มีพลังทำให้คนฟังสบายใจ
มู่หวั่นชิวจึงสบายใจลงในพริบตา นางปิดผ้าม่านลงทันที ก่อนจะนั่งพิงบนที่นั่งอย่างอ่อนแรง ในเวลานี้ นางก็เกิดความรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
ปลอดภัยแล้ว ในที่สุดนางก็ปลอดภัยแล้ว!
ออกมาจากร้านป๋ออี้ นางที่มีเงินติดตัวมหาศาล ก็คิดมาตลอดว่าจะออกจากเมืองผิงเฉิงอย่างปลอดภัยได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อภายหลังตกไปอยู่ในจวนว่าการเจ้าเมืองด้วยแล้ว นางก็ยิ่งกินนอนไม่เป็นสุข
“อาชิวขอบคุณคุณชายหลีที่ช่วยเหลือ” เพียงชั่วครู่ มู่หวั่นชิวก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม
“เดินทางครั้งนี้แม่นางไป๋มีแผนการอะไรบ้าง”
“เอ่อ…” มู่หวั่นชิวลังเลใจอยู่บ้าง แม้ว่าหลีจวินจะช่วยนางไว้ แต่นางผ่านชีวิตมาสองชาติแล้ว ทำให้นางอาจไม่เชื่อใจใครได้อีก
“แม่นางไป๋เป็นลูกหลานตระกูลไป๋แห่งเมืองต้าเยี่ยใช่หรือไม่” เห็นนางลังเล หลีจวินจึงเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะไม่อยากทำให้นางลำบากใจ
“ตระกูลไป๋?” มู่หวั่นชิวตกใจเล็กน้อย “คุณชายหลีหมายถึงโรงธูปไป๋จี้ที่มีชื่อเสียงในเมืองต้าเยี่ยน่ะหรือ”
“ถูกต้อง” หลีจวินพยักหน้า “หรือว่าแม่นางไป๋…”
“มิใช่” มู่หวั่นชิวส่ายหน้า
“เช่นนั้น…”
“อาชิวคิดจะเปิดโรงธูปเล็กๆ สักร้าน…” เพราะไม่อยากจะพูดหัวข้อนี้อีกต่อไป ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง มู่หวั่นชิวก็พูดถึงแผนที่ตัวเองวางไว้ออกมาตามตรง
รับปากช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ เขาก็น่าจะเชื่อถือได้
“แม่นางไป๋ปรุงเครื่องหอมเป็นหรือ” ในดวงตาของหลีจวินเปล่งประกายเจิดจ้าราวดวงดาวยามค่ำคืน ตระกูลหลีเป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอม เขาไม่อยากปล่อยคนมีฝีมือคนใดไป!
“เรียนรู้ได้นี่นา…” มู่หวั่นชิวตบตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่อยู่ในอกเสื้อ รู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าจะเป็นนักปรุงเครื่องหอมที่ดีที่สุดของแคว้นต้าโจว!”
นักปรุงเครื่องหอมใช่ว่ามีเงินแล้วจะเรียนรู้เป็นได้!
คิดว่านางหมายถึงในอกเสื้อมีเงินอยู่ หลีจวินจึงหัวเราะออกมา “ไม่รู้ว่าแม่นางไป๋หมายตาโรงธูปโรงใดในเมืองต้าเยี่ยหรือ ถ้าไม่รังเกียจ ข้าสามารถช่วยแนะนำได้”
นักปรุงเครื่องหอมชั้นเลิศของแคว้นต้าโจวล้วนไปรวมตัวอยู่ที่เมืองเครื่องหอมต้าเยี่ย พอได้ฟังคำพูดของมู่หวั่นชิวที่เหมือนรู้จักเมืองต้าเยี่ยดี หลีจวินจึงคิดว่านางจะไปที่เมืองต้าเยี่ย
ไปเมืองต้าเยี่ย?!
ชั่วพริบตา มู่หวั่นชิวคิดถึงเรื่องเลวร้ายของนางในชาติก่อน คิดถึงเขาผู้นั้น ความเคียดแค้นมากมายก็ทะลักล้นขึ้นมาในใจ ตัวของนางสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าซีดขาวราวกระดาษในพริบตา
ใช่แล้ว จะเป็นนักปรุงเครื่องหอมที่ดีที่สุด นางก็ควรจะเลือกเมืองต้าเยี่ยเป็นอันดับแรก และอีกอย่าง นางคุ้นเคยกับคนและทุกอย่างที่นั่นเป็นอย่างดี เหมือนลายเส้นบนฝ่ามือของตนเองก็ไม่ปาน
มีบางทีที่นางคิดว่า นางควรจะกลับไปแก้แค้นคนพวกนั้น
มู่หวั่นชิวแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พยายามสะกดความคิดหุนหันในใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เอาไว้ ใช่แล้ว…เขาผู้นั้นก็อยู่ที่เมืองต้าเยี่ย หากไปที่เมืองต้าเยี่ย แล้วอาศัยสิ่งที่ได้รู้มาก่อนหน้านี้ นางย่อมมีโอกาสในการแก้แค้นอย่างแน่นอน แต่ว่า…นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไร้ที่พึ่งพิงคนหนึ่ง มู่จงบ่าวเลวที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศก็ยังอยู่ที่นั่น หากนางไปเมืองต้าเยี่ย เป็นไปได้มากที่นางจะตกอยู่ในสถานการณ์เดิมเหมือนเมื่อชาติก่อน
…เข้าไปอยู่ในหอคณิกา
แม้ว่าหลีจวินที่อยู่ตรงหน้าจะเชื่อถือได้ และสามารถใช้เขาในการแก้แค้นได้ด้วย ทว่ากลับน่าเสียดายที่ฟ้าอิจฉาคนมีความสามารถ ทำให้เขามีชีวิตเหลืออีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แล้วเขาจะคอยช่วยเหลือนางได้อย่างไร
เห็นทีสวรรค์คงไม่อนุญาตให้นางขัดสวรรค์ไปแก้ไขชะตาชีวิตได้ง่ายๆ มู่หวั่นชิวพูดพึมพำออกมาอย่างเหม่อลอย “เมืองต้าเยี่ยน่ะหรือ ข้าไม่ไปที่นั่นหรอก”
แม้ว่าการแก้แค้นจะสำคัญเพียงใด แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือนางในชาตินี้ต้องมีชีวิตที่ขาวสะอาด มีชีวิตเฉกเช่นคนทั่วไป เชื่อว่าบิดามารดาในปรโลกก็คงไม่อยากให้นางถูกความแค้นบังตาจนตกเข้าไปอยู่ในคาวโลกีย์ หรือกระโดดเข้าไปในทะเลเพลิงอีกครั้ง
“ไม่ไปที่นั่น?” มองดูใบหน้ามู่หวั่นชิวที่เปลี่ยนเป็นซีดขาวในพริบตา หลีจวินก็รู้สึกสงสัย “แล้วแม่นาง…”
กำลังพูดอยู่ ก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง รถม้าเอียงไปทางด้านของหลีจวิน มู่หวั่นชิวที่จิตใจไม่อยู่กับตัวพลันร่วงลงมาจากที่นั่ง นางตกใจจนหลับตาแน่น
โชคดีที่รถม้าไม่ได้เกิดการพลิกคว่ำ เพียงเอียงไประยะหนึ่งก็หยุดลง
“คุณชายจับแน่นๆ นะขอรับ” คนบังคับรถตวัดแส้ ส่งเสียงเร่งม้าสีแดงพุทรา “ข้างหน้าจู่ๆ ก็มีสุนัขพุ่งออกมา ข้าน้อยแค่ดึงเชือกบังคับ ล้อรถก็ตกหล่มแล้วขอรับ”
ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเบิกโตอย่างรวดเร็ว มู่หวั่นชิวพลันหัวใจเต้นกระตุก นางกำลังนอนคว่ำอยู่บนตัวของหลีจวิน พวกเขาหันหน้าเข้าหากัน ห่างกันเพียงหนึ่งชุ่นกว่า ลมหายใจร้อนผ่าวของเขา เป่ารดบนใบหน้านางจนรู้สึกคันยิบๆ แผ่นอกที่แนบติดกันอยู่นั้น ทำให้นางรับรู้ถึงเสียงหัวใจของเขาว่ากำลังเต้นเร็วและแรงเพียงใด
ผ่านชีวิตมาแล้วสองชาติ ทว่าหัวใจที่แห้งเหมือนน้ำบ่อเก่าของนางในตอนนี้ก็ยังคงเต้นโครมครามไม่หยุด
มือน้อยพยายามดันตัวเขา มู่หวั่นชิวค่อยๆ ออกแรงยกหัวขึ้น อยากจะอยู่ห่างจากหน้าของเขาให้ไกลอีกสักหน่อย พอเห็นว่าเขามีสีหน้าแปลกประหลาด มู่หวั่นชิวก็ตกใจ และพบว่ามือขวาของตนเองกำลังกุมของแข็งปั้กอย่างหนึ่งเอาไว้
นางเคยเกลือกกลิ้งอยู่ในคาวโลกีย์มาก่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามือของนางกำลังกุมสิ่งใดอยู่!
ในตอนนี้ สมองของนางพลันขาวโพลน ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงดึงสติคืนมาได้ ราวกับถูกแตนต่อย มู่หวั่นชิวรีบคลายมือทั้งสองข้าง นึกแค่อยากจะลุกยืน
คิดไม่ถึงว่า พอไม่มีที่ให้ยึด นางก็ล้มลงไปทั้งตัวอีกครั้ง ทับอยู่บนตัวของหลีจวินอย่างเต็มที่ นางรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว พลางคิดว่า หากตนเองไม่ได้ทาหน้าดำเอาไว้ ตอนนี้ใบหน้าของนางคงจะเหมือนกุ้งที่ต้มสุก ขณะขบคิดไปพลาง มู่หวั่นชิวก็ตั้งท่าจะลุกขึ้น ชั่วเวลานั้นตัวรถก็พลันขยับไหวแรงอีกครั้ง นางจึงตัดสินใจหลับตาลง…แกล้งหมดสติเสียเลย
“คุณชายไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ” รถม้าหลุดออกจากหล่มได้ในที่สุด ก่อนจะจอดตรงทางหลวง คนบังคับรถที่สีหน้าขาวซีดเก็บแส้ม้า แล้วมายืนอยู่หน้าประตูรถอย่างนอบน้อม น้ำเสียงแฝงความหวาดกลัว
“คุณชาย แม่นางไป๋” รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินคำตอบ เขาจึงถามขึ้นอีกรอบ “พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ”
พูดพลางก็ยื่นมือออกไป ถึงมุมม่านรถจะถูกแรงที่มองไม่เห็นยับยั้งเอาไว้ มือของคนบังคับรถจึงชะงักกลางอากาศ ยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไร…” น้ำเสียงเครียดเสียงหนึ่งดังออกมาจากในรถ “เจ้าบังคับรถต่อไปเถอะ”
“ขอรับๆ” เหมือนได้รับการปลดปล่อย คนบังคับรถรับคำหลายที ก่อนกระโดดขึ้นบนส่วนที่บังคับรถ แล้วตวัดแส้ลงอย่างแรง “ไป!” ล้อรถหมุนพลันดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อรถม้าขยับเคลื่อน มู่หวั่นชิวก็ค่อยๆ สงบจิตใจลง สองมือกำหมัดไว้ด้านหน้า นางแอบมองไปทางหลีจวิน
หลีจวินก็กำลังมองนางอยู่เงียบๆ สี่ตาพลันประสานกัน นางรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว แล้วรีบเลื่อนสายตาหนีไปทันที แต่แล้วก็คิดว่า…ข้าจะกลัวอะไรเล่า จึงสบสายตานั้นอีกครั้ง สองตากลมโตราวแม่น้ำกลางหุบเขา กระจ่างใสจนเห็นก้นบึ้ง
เห็นนางกลับมาสงบนิ่งได้ในพริบตา ดวงตาสุกใสไม่แฝงความว้าวุ่นใดอีก แววตาหลีจวินก็มีความชื่นชมเพิ่มขึ้น เขาเลื่อนสายตากลับมา แล้วโบกพัดเบาๆ “ไม่ไปเมืองต้าเยี่ย แล้วแม่นางไป๋คิดจะไปที่ใด”
“เมืองซั่วหยาง…” มู่หวั่นชิวพลิกเปิดม่านข้างรถม้า มองออกไปด้านนอก “เมืองซั่วหยางก็มีโรงธูปจำนวนมากเช่นกัน”
“เมืองซั่วหยาง?” หลีจวินขมวดคิ้วแน่น “หากแม่นางไป๋อยากเป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศล่ะก็ ควรจะไปที่เมืองต้าเยี่ยมากกว่า เมืองซั่วหยางเป็นเพียงสถานที่ผลิตวัตถุดิบเครื่องหอมเท่านั้น ที่นั่นผลิตเครื่องหอมสำเร็จรูปน้อยมาก ถ้าอยากปรุงเครื่องหอม ต้องไปที่เมืองต้าเยี่ย”
เมืองซั่วหยางเป็นเพียงสถานที่แปรรูปวัตถุดิบเครื่องหอมเท่านั้น ที่นั่นไม่มีนักปรุงเครื่องหอมที่ตรงตามความหมายนั้นจริงๆ!
“ข้ารู้” มู่หวั่นชิวมองออกไปนอกรถตลอดเวลา น้ำเสียงราบเรียบ
“ตระกูลหลีอยู่ในวงการปรุงเครื่องหอมก็นับว่ามีชื่อ โรงธูปในเมืองต้าเยี่ยก็มีอยู่ไม่น้อย…” หลีจวินหันหน้ามองนางเงียบๆ “ถ้าแม่นางไป๋ยินดี ข้าสามารถแนะนำเจ้าให้กับปรมาจารย์กู่ กู่ฉินนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศของตระกูลหลี ให้เขาสอนเจ้าด้วยตัวเองได้” เขาเลื่อนสายตากลับ แล้วคลี่พัดพับออก “คิดว่าแม่นางไป๋คงได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว ปรมาจารย์กู่เป็นนักปรุงเครื่องหอมอันดับต้นๆ ของแคว้นต้าโจว”
นักปรุงเครื่องหอมของแคว้นต้าโจวแบ่งออกเป็นห้าระดับ ได้แก่ นักปรุงเครื่องหอมระดับสาม นักปรุงเครื่องหอมระดับสอง นักปรุงเครื่องหอมระดับหนึ่ง นักปรุงเครื่องหอมระดับสูง นักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศ และที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ คนที่สามารถปรุงและผลิตคิดค้นกลิ่นหอมแบบใหม่ได้ตามแนวคิดของตัวเอง…รังสรรค์กลิ่นหอมได้ นั่นก็คือระดับปรมาจารย์ปรุงเครื่องหอมแล้ว
ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว นอกจากตระกูลเว่ยที่เคยรุ่งเรืองอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน แคว้นต้าโจวก็ยังไม่ปรากฏปรมาจารย์ปรุงเครื่องหอมที่สามารถรังสรรค์กลิ่นหอมได้อีกเลย
ในทางกลับกัน ปรมาจารย์กู่ที่เป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศอยู่นั้น ก็นับว่าอยู่ในระดับสูงที่สุดแล้ว สามารถเป็นศิษย์ของนางได้ นั่นเป็นความใฝ่ฝันของคนไม่รู้ตั้งเท่าใดแล้ว!
กู่ฉิน!
จู่ๆ ก็ได้ยินชื่อนี้ นิ้วมือของมู่หวั่นชิวที่จับผ้าม่านอยู่นั้นก็พลันสั่นเล็กน้อย นางวางม่านรถลง แต่ดวงตาไม่ได้เลื่อนหนีจากผ้าม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินที่มีลายอักษรฝูนั้นเลย นางเม้มริมฝีปากแน่น ลอบถอนหายใจ ทำให้สีหน้าตัวเองดูสงบนิ่งลงมาก จากนั้นจึงหันหน้ามา นั่งพิงที่นั่งด้านหลัง พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าอยากจะเป็นหลงจู๊เอง”
หลีจวินพับพัดเก็บเสียงดังสวบ แล้วหันหน้ามาจ้องหน้านาง
ทันทีที่สี่ตาประสานกัน มู่หวั่นชิวก็ฉีกยิ้มบางๆ แต่ในแววตากลับไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตดำขลับราวบ่อน้ำลึก เปล่งประกายที่ยากจะคาดเดา มีบางทีที่หลีจวินรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ลึกล้ำมาก ทั้งยังลึกลับ บางครั้งก็มีความเงียบเหงาที่เขามองไม่เห็นไหลวนอยู่
“ทางแยกด้านหน้าจะมีคนมารับข้า” เลื่อนสายตาไปเล็กน้อยแล้ว มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยพูด
“ได้” เลื่อนสายตาหนีแล้ว หลีจวินก็ตอบรับคำ
ขยับปากอยู่นาน สุดท้ายมู่หวั่นชิวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ภายในรถเงียบเสียงลง
ความรู้สึกประหลาดล้อมรอบคนทั้งสองที่นั่งห่างกันเพียงแค่คืบ
“หยุด!”
เสียงของคนบังคับรถตะโกนเสียงดังทำลายความเงียบภายในรถทันที “คุณชาย ข้างหน้ามีเด็กสองคนขวางรถม้าเอาไว้ บอกว่าจะขอพบแม่นางไป๋ขอรับ”
“นั่นคือโม่อวี่ โม่เสวี่ย” ตื่นจากความคิดแล้ว มู่หวั่นชิวก็พลิกเปิดม่านรถ เห็นหลีจวินมองมาอย่างสงสัย จึงพูดอธิบายว่า “เด็กสองคนในวันขอฝนนั่นอย่างไร พวกเขาถูกข้าซื้อตัวไว้แล้ว”
หลังจากมองสำรวจนางอยู่ครู่หนึ่งแล้ว หลีจวินก็มองตามออกไปนอกรถ
“คุณหนู…” พอเห็นหน้ามู่หวั่นชิว โม่เสวี่ยก็ร้องเรียกอย่างตื่นเต้น “คุณหนูจริงๆ ด้วย!” แล้วหันไปจับตัวพี่ชาย “คุณหนูไม่ได้หลอกพวกเรา ไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา คราวนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็วางใจได้แล้ว!”
เห็นโม่อวี่จ้องนิ่งเข้าไปในตัวรถ โม่เสวี่ยจึงหันหน้าไปอีกครั้ง เห็นหลีจวินในชุดขาว สง่างามปลิวพลิ้วราวกับปุยเมฆบนฟ้า เสียงเรียกดีใจก็ชะงักไป จากนั้นนางก็เบิกตาโต
นี่คือคุณชายหลีที่มีท่าทางราวกับเทพเซียนที่ร่ำลือกันหรือ
นางได้เห็นเขาในระยะใกล้แบบนี้เชียว!
“ท่านก็คือคุณชายหลีหรือ” โม่อวี่ดึงตัวน้องสาวที่นิ่งอึ้งออกมา มองดูหลีจวินที่กระโดดลงจากรถม้า แล้วหันไปประคองตัวมู่หวั่นชิว “ตอนที่คุณหนูขอฝนในวันนั้น ข้าก็เคยเห็นท่าน”
“ท่านแม่บอกไว้ว่า ต่อไปต้องเรียกตัวเองว่าบ่าว…” ได้สติคืนมา โม่เสวี่ยไม่พอใจมากที่พี่ชายไม่เคารพคุณชายหลี
“ท่านแม่บอกว่ายามที่พูดกับคุณหนูต้องเรียกตัวเองว่าบ่าว…” โม่อวี่ไม่พอใจท่าทางหลงใหลที่น้องสาวมีต่อหลีจวิน เขาจึงหันไปถลึงตาใส่นาง “คุณชายหลีไม่ใช่คุณหนูเสียหน่อย!”
“พอแล้ว…” ประคองมู่หวั่นชิวให้ยืนมั่นคงแล้ว หลีจวินก็ตบๆ หน้าผากของโม่อวี่ “ต่อไปก็ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี”
“คุณชายไม่เดินทางไปกับคุณหนูของพวกเราหรอกหรือเจ้าคะ” เผชิญหน้ากับคนที่เลื่อมใส โม่เสวี่ยก็ยังไม่หายสงสัย นางเบิกตาโตดำขลับเอ่ยถาม
“คุณชายจะไปเมืองต้าเยี่ย ไม่ใช่ทางเดียวกับพวกเรา” มู่หวั่นชิวดึงตัวนางมาข้างกาย ก่อนจะย่อตัวคำนับหลีจวินเล็กน้อย “ขอบคุณคุณชายที่มาส่งตลอดทาง อาชิวขอลาก่อน”
“ระหว่างทางระวังตัวด้วย” หลีจวินยิ้มพยักหน้า เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงปลดป้ายหยกรูปปลาที่ข้างเอวออกมา แล้วยื่นให้มู่หวั่นชิว “ร้านวัตถุดิบเครื่องหอมเหยาจี้ในเมืองซั่วหยางเป็นลูกค้าเก่าแก่ของตระกูลหลี หากแม่นางไป๋พบเจอปัญหา สามารถเอาป้ายหยกนี้ไปหาเขาที่นั่นได้…” แล้วพูดอีกว่า “วันหน้าถ้าแม่นางมาที่เมืองต้าเยี่ย ก็สามารถเอาป้ายหยกนี้ไปที่ร้านค้าตระกูลหลีเพื่อพบข้าได้”
มีป้ายหยกนี้เป็นสิ่งรับรองแล้ว ยามที่นางไปถึงเมืองซั่วหยางก็จะลดความยุ่งยากไปได้มาก ดีกว่าไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มู่หวั่นชิวจึงยื่นมือมารับไป “ขอบคุณคุณชายหลีมาก”
“รีบไปเถอะ” มองดูดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน หลีจวินจึงพูดว่า “หากช้ากว่านี้จะหาที่พักลำบาก”
ย่อตัวคำนับเขาแล้ว มู่หวั่นชิวก็จับตัวโม่เสวี่ยเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ไกลออกไป มือลูบป้ายหยกเนื้องาม พลันนึกถึงเรื่องอีกหนึ่งปีให้หลังขึ้นมาได้ คนที่มีท่าทางราวเทพเซียนผู้นี้ต้องเสียชีวิตลงที่ตำบลจื่อถง มู่หวั่นชิวก็ตัวสั่น นางหมุนตัวกลับมาอย่างฉับพลัน แล้วเรียกเขาเสียงเบา “คุณชายหลี…”
หลีจวินที่กำลังจะขึ้นรถหันหน้ามา มู่หวั่นชิวกลับเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ยามสี่ตาประสานกัน ผ่านไปเนิ่นนานนั้น หลีจวินจึงหมุนตัว แล้วกระโดดขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว
มองดูรถม้าหรูสีน้ำเงินหายไปตรงสุดถนน มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจ จูงมือโม่เสวี่ยแล้วถามว่า “ไม่มีใครรู้ว่าพวกเจ้ามารับข้าใช่หรือไม่”
“คุณหนูวางใจได้” โม่อวี่แย่งตอบ “ท่านแม่ของข้า…ท่านแม่ของบ่าวบอกกับเพื่อนบ้านว่า จะให้บ่าวกับน้องสาวไปหลบที่บ้านท่านน้าที่อยู่แดนไกล…” แล้วชี้ไปยังรถม้าที่จอดอยู่ข้างทาง “รถม้าคันนี้ท่านแม่แอบจ้างมา คนบังคับรถม้าก็รู้จักท่านพ่อ คุณหนูไว้ใจได้”
ได้ยินโม่อวี่เรียกตัวเองว่าบ่าวอย่างไม่คุ้นชินแล้ว มู่หวั่นชิวจึงยิ้มแล้วส่ายหน้า ทุกเรื่องล้วนต้องผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อนจึงจะชิน
เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน มู่หวั่นชิวก็ได้หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไว้เพื่อพักผ่อน
หนีจากจวนว่าการเจ้าเมืองได้สำเร็จ ในคืนนี้มู่หวั่นชิวจึงหลับสบายอย่างมาก
เมื่อลืมตาตื่น ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว นางรีบลุกขึ้นมา คลำดูตั๋วเงินใต้หมอนและตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยในอกเสื้อ เมื่อพบว่าทุกสิ่งล้วนยังอยู่ มู่หวั่นชิวจึงรู้สึกโล่งใจ ค่อยยิ้มออกมา ตั้งแต่ออกมาจากบ้านจู้จื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่หลับสนิทแบบนี้ ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูตื่นเสียที…” โม่เสวี่ยยกน้ำอ่างหนึ่งเข้ามา ปรนนิบัติให้นางล้างหน้าแล้ว โม่เสวี่ยก็หยิบชุดที่นางใส่เมื่อวานออกมา ซึ่งเป็นชุดที่ซักจนซีดขาว “เหตุใดคุณหนูถึงชอบใส่เสื้อแบบนี้ล่ะเจ้าคะ” เห็นมู่หวั่นชิวหันมาอย่างประหลาดใจ จึงอธิบายว่า “บ่าวได้ยินท่านแม่บอกว่า ท่านเข้าไปในร้านป๋ออี้วันนั้น ก็สวมชุดแบบนี้”
รับเสื้อผ้ามาแล้ว มู่หวั่นชิวก็ยิ้มออก
นางชอบใส่ชุดเก่าขาดเสียที่ไหนกัน แต่ชุดนี้เป็นชุดที่เปลี่ยนกับหญิงสาวในวัดเมื่อวานคนนั้นต่างหาก ก่อนหน้านี้นางตัดชุดไว้แล้วหลายชุด ทว่าน่าเสียดาย เพราะเกรงว่าใต้เท้าสวีจะสงสัยจึงทิ้งไว้ที่จวนว่าการเจ้าเมืองทั้งหมด เมื่อวานนี้นอกจากตั๋วเงินและชุดที่เมียหม่าหย่งทำให้แล้ว นางก็ไม่ได้นำอะไรติดตัวมาเลย
“คุณหนูกินอาหารก่อนเถอะขอรับ ใกล้จะเย็นแล้ว…” เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ โม่อวี่ก็เคาะประตู ก่อนจะยกอาหารเดินเข้ามา “ท่านลุงหลี่เตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว ถามว่าท่านจะออกเดินทางเมื่อใดขอรับ”
ท่านลุงหลี่คือคนบังคับรถม้าที่ท่านแม่ของโม่อวี่จ้างมาให้ มีชื่อว่าหลี่เฉิน
เดินมาที่หน้าต่าง เห็นรถม้าเตรียมเสร็จแล้ว หลี่เฉินคนบังคับรถกำลังนั่งดูดกระบอกยาสูบอยู่ข้างตัวรถ มู่หวั่นชิวคิดสักครู่ จึงหันมาสั่งโม่อวี่ “ไปบอกเขาว่า พวกเราจะไปเดินเล่นในตัวตำบลก่อน ให้เขาพักผ่อนเถอะ”
ในตัวมีเงินอยู่ มู่หวั่นชิวก็ไม่อยากทำให้ตัวเองลำบาก จึงพาโม่เสวี่ย โม่อวี่ มายังร้านผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในตำบล เพื่อไม่ให้เป็นการโอ้อวดเหมือนในชาติก่อน นางจึงเลือกเสื้อผ้าหลายชุดที่สีค่อนข้างเรียบ แต่เนื้อผ้าและการตัดเย็บนั้นประณีตมาก และยังซื้อเสื้อผ้าให้โม่เสวี่ย โม่อวี่ คนละสองชุด ออกจากร้านผ้าไหมแล้ว มู่หวั่นชิวก็ไปที่ร้านขายเครื่องสำอางต่อ…
เดินเล่นวนรอบหนึ่ง ทั้งสามก็กินอาหารกันในตัวตำบล กลับถึงโรงเตี๊ยมก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว หลี่เฉินเดินเข้ามาหาอย่างนอบน้อม “วันนี้แม่นางไป๋ยังจะออกเดินทางอีกหรือ”
“ทำไมหรือ” เหตุใดวันนี้จะออกเดินทางไม่ได้…มู่หวั่นชิวรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“ข้าน้อยถามดูแล้ว จากที่นี่เดินทางลงใต้ ยังมีอีกสามสิบกว่าลี้จึงจะพักกินอาหารที่ตำบลถัดไปได้ ถ้าเดินทางเดี๋ยวนี้ เกรงว่าฟ้ามืดแล้วจึงจะไปถึง”
“อ้อ…” ส่งเสียงตอบรับแล้ว มู่หวั่นชิวก็มองท้องฟ้า “เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ” จากนั้นหันมาสั่งโม่อวี่ “ยกของขึ้นรถเลยก็แล้วกัน”
โม่อวี่รับคำอย่างรวดเร็ว
“เดินเล่นมาเกือบสองชั่วยาม คุณหนูคงเหนื่อยแล้ว พักที่นี่สักคืนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเดินทางดีหรือไม่เจ้าคะ” โม่เสวี่ยเสนอความเห็น เดินเล่นมาตลอดเช้า คุณหนูคงจะเหนื่อยแล้ว
ที่สำคัญก็คือ โม่เสวี่ยอยากจะลองเสื้อใหม่ทันที
โม่อวี่ชะงักฝีเท้ามามองหน้ามู่หวั่นชิว
หลี่เฉินแววตาเปล่งประกาย มองนางอย่างรอคอยเช่นกัน
ของใช้ประจำวันเหล่านั้นล้วนจำเป็นต้องซื้อ นางจึงเสียเวลาไปบ้าง มาหยุดอยู่ในโรงเตี๊ยมแบบนี้ มู่หวั่นชิวก็กลัวว่าใต้เท้าสวีจะส่งคนไล่ตามทางมาจนทัน เมื่อเงยหน้ามองดวงตะวันแล้วจึงยืนยันคำเดิม “ไปกันเถอะ”
โชคดีที่เตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว หลี่เฉินเร่งลงแส้ม้า ถึงตำบลถัดไปท้องฟ้าก็เพิ่งจะเริ่มมืด ยังพอเห็นเงาคนอยู่บ้าง คนทั้งหมดจึงหาโรงเตี๊ยมใหญ่แล้วเข้าพักทันที
หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว มู่หวั่นชิวก็นั่งพิงเตียงใหญ่ในโรงเตี๊ยม มองดูโม่อวี่และโม่เสวี่ยลองเสื้อใหม่ด้วยรอยยิ้ม
“ลายดอกบนแขนเสื้อข้าสวยกว่าของเจ้าเสียอีก สีก็สวย!” โม่เสวี่ยดึงแขนเสื้อมาให้โม่อวี่ดู ใบหน้าเล็กแดงอมชมพู ไม่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
เด็กครอบครัวยากจนไม่แบ่งแยกชายหญิง พวกเขาที่เป็นฝาแฝดจึงใส่ชุดเหมือนกันตั้งแต่เด็ก มู่หวั่นชิวเห็นพวกเขาโตแล้ว จึงตั้งใจซื้อแยกชุดชายหญิง เลือกซื้อเสื้อลายดอกให้โม่เสวี่ย สิ่งนี้ทำให้โม่เสวี่ยที่ต้องใส่เสื้อสีเทาตามพี่ชายมาตลอดดีใจเป็นอย่างมาก
“ชิ!” โม่อวี่ส่งเสียงไม่พอใจ “มีแต่สตรีจึงจะสวมชุดลายดอกแบบนี้” โม่อวี่ยืดอก รู้สึกว่าเสื้อบนตัวเขาดูสมชายชาตรีมากกว่า
“พี่ชาย!” ดวงตาดำของโม่เสวี่ยมีม่านน้ำในทันที นางเบือนหน้าหนี “ข้าก็เป็นเด็กหญิงอยู่แล้วนี่นา”
โม่อวี่ตกตะลึง เขามองน้องสาวอย่างงุนงง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางนั้นเป็นเด็กหญิง จึงเกาหัว แล้วดึงมือโม่เสวี่ยมาด้วยคิดจะเอ่ยปลอบ ปลายตาเหลือบไปเห็นมู่หวั่นชิวกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม จึงรู้สึกขัดเขินขึ้นมา
“พอแล้วๆ” เห็นใบหน้าของโม่อวี่แดงขึ้นเช่นกัน มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากพูด “เสื้อพวกเจ้าล้วนสวยทุกตัว” ก่อนเลื่อนสายตามองไปนอกหน้าต่าง “ดึกแล้ว รีบพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีก”
ไปถึงเมืองซั่วหยางเร็วหน่อย นางก็สามารถหาที่อยู่ได้เร็วขึ้น
“บ่าวจะเก็บของเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ตอบรับคำอย่างรวดเร็วแล้ว โม่เสวี่ยก็สะบัดมือโม่อวี่ออก แล้วปีนขึ้นเตียงไปปิดม่านหน้าต่าง
ว้าย…
มู่หวั่นชิวลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน แล้วลุกนั่งทันที
สะลึมสะลือมองหน้าต่างที่มีแสงขาวเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงคิดอะไรขึ้นได้ รีบคลำไปในอกเสื้อทันที ตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยยังอยู่ นางจึงค่อยสงบใจลงบ้าง
นั่งอยู่กับที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับมิใช่ความฝัน เมื่อครู่นางเหมือนถูกอะไรบางอย่างทำให้ตกใจตื่น ความไม่สบายใจอย่างแรงกล้านั้นไม่จางหาย หัวใจของนางยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ
ดวงตากวาดไปโดยรอบ ของที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานล้วนยังอยู่บนโต๊ะ สายตาของนางเลื่อนกลับมาที่หน้าต่างอีกครั้ง ร่างนั้นพลันสั่นสะท้านทันที ม่านหน้าต่างนี่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด
นางจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อคืนก่อนจะนอน โม่เสวี่ยดึงม่านปิดสนิทแล้ว
มู่หวั่นชิวจึงเลื่อนมือไปคลำที่ใต้หมอน ฉับพลันนั้นนางเหมือนถูกดูดเลือดไปจนหมดตัว สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด
เงินหนึ่งล้านตำลึงที่นางซ่อนไว้ใต้หมอนเมื่อคืน ไม่ทันได้ระวังก็บินหายไปเสียแล้ว!
นั่งเหม่ออยู่นาน มู่หวั่นชิวจึงหายใจได้คล่องมากขึ้น นางพยายามสะกดหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเอาไว้ ก่อนจะคลานไปที่หน้าต่าง ผลักเปิดเบาๆ เสียงดังกึก หน้าต่างก็ถูกเปิดออก ลมเย็นระลอกหนึ่งพลันปะทะเข้ามา ทำให้มู่หวั่นชิวได้สติขึ้นมากในทันที
หลังจากปรับอิริยาบถแล้ว นางก็นั่งลงตรงหน้าต่าง พระจันทร์เสี้ยวแสงขาวนวลลอยอยู่เหนือยอดไม้ ภูเขาและต้นไม้อยู่ไกล กระท่อมกำแพงเตี้ย ทุกอย่างที่อยู่ในเงาขมุกขมัวล้วนเงียบสงัด มีเพียงลมเย็นที่ปะทะใบหน้าทำให้นางมีสติยิ่งขึ้นทุกที เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ดวงดาวบางตาค่อยๆ หายลับไปตรงขอบฟ้าทีละดวง เสียงไก่ขันดังก้อง ทำให้มู่หวั่นชิวค่อยๆ ได้สติคืนมา นางรีบปิดหน้าต่าง แล้วดึงม่านปิดดังสวบ
หันมองโม่เสวี่ยที่นอนหลับจนแก้มแดงอมชมพู นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มู่หวั่นชิวจึงสวมรองเท้าเริ่มพลิกตรวจดู
ของที่ซื้อมาเมื่อวานไม่หายไปแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่เงินสิบกว่าตำลึงในกระเป๋าเสื้อก็ยังอยู่ เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่ตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงใบนั้น
สายตาไปหยุดอยู่ที่ป้ายหยกรูปปลาที่หลีจวินให้มาเมื่อวาน มู่หวั่นชิวยิ้มเศร้า “ขโมยเงินไป แต่ไม่ฆ่าข้าปิดปาก ไม่กลัวว่าข้าจะแจ้งทางการตามสืบหาหรอกหรือ ทำเช่นนี้ต้องการบีบให้ข้าย้อนกลับไปนี่นา…” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเคียดแค้น “แต่น่าเสียดาย ชาตินี้ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ข้ามู่หวั่นชิวก็จะไม่ใช้ชีวิตที่ต้องเอาแต่พึ่งพาผู้อื่น และจะไม่ยอมให้ใครมาเป็นนายเด็ดขาด!”
“โม่เสวี่ย…” มู่หวั่นชิวหมุนตัวขวับ ตะโกนเรียกคนบนที่นอน
สะลึมสะลือลืมตาขึ้นแล้ว โม่เสวี่ยก็มองไปรอบๆ
เมื่อเห็นมู่หวั่นชิวยืนอยู่บนพื้น นางก็รีบร้อนลุกขึ้นนั่ง “บ่าวสมควรตายๆ นอนจนเพลินเกินไป” นางพูดพลางลงจากเตียงมาสวมรองเท้า “บ่าวจะไปตักน้ำร้อนมานะเจ้าคะ”
“อย่าโทษตัวเองเลย เจ้าถูกควันยาสลบน่ะ” มู่หวั่นชิวพูดเสียงราบเรียบ
“ควันยาสลบ?” โม่เสวี่ยเหยียบอยู่บนรองเท้า ยืนนิ่งอยู่กับที่ นางเคยได้ยินท่านพ่อเล่าว่า เข้าพักในโรงเตี๊ยมโจรจึงจะมีควันยาสลบ สถานที่นั้นจะหลอกให้คนเข้ามาพักแล้วทำการปล้นในยามวิกาล
ผ่านไปนาน โม่เสวี่ยจึงได้สติคืนกลับมา ลนลานสวมรองเท้า จากนั้นนางก็สูดลมหายใจอย่างแรง “เป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ที่คุณหนูเลือกพักก็เป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในตำบล ว่ากันว่าที่นี่มีชื่อที่สุด จะเป็นโรงเตี๊ยมโจรไปได้อย่างไร”
ท่านพ่อเคยบอกว่า มีเพียงโรงเตี๊ยมพักรถม้าที่มีคนดีคนเลวอยู่ปะปนกันเท่านั้นที่อาจจะเป็นโรงเตี๊ยมโจรได้ โรงเตี๊ยมใหญ่ที่นี่ไม่น่าจะใช่เลย
“ไม่ต้องดมหรอก ข้าปล่อยกลิ่นออกไปหมดแล้ว” มู่หวั่นชิวสวมเสื้ออย่างไม่รีบไม่ร้อน
โม่เสวี่ยพยักหน้าราวกับเครื่องจักร ตะลึงอยู่ชั่วครู่ก็กระโจนไปที่โต๊ะ จับเสื้อใหม่ของนาง “คุณหนู เสื้อใหม่ของพวกเราไม่ได้หายไปเจ้าค่ะ”
“เสื้อผ้ายังอยู่ครบ”
“ถ้าอย่างนั้น…” โม่เสวี่ยมองมู่หวั่นชิวอย่างงุนงง “แล้วพวกเรามีอะไรหายไปบ้างเจ้าคะ”
“เงินหนึ่งล้านตำลึง…” มู่หวั่นชิวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงสวมเสื้อผ้าต่อไป
“สวรรค์!” เสียงร้องแหลมทำลายความเงียบสงบของโรงเตี๊ยมทันที
มู่หวั่นชิวตกใจจนสะดุ้ง นางไม่เคยรู้มาก่อนว่า โม่เสวี่ยที่เห็นว่าตัวผอมเช่นนี้ จะส่งเสียงน่ากลัวเพียงนี้ออกมาได้ นางจึงเงยหน้ามองไป ก็เห็นโม่เสวี่ยเบิกตาโตราวลูกกระพรวนมองนางอยู่
ได้ยินนอกประตูมีเสียงฝีเท้าวิ่งเร่งรีบมา มู่หวั่นชิวจึงเดินเร็วไปที่ประตู
“นายหญิง ท่านเป็นอะไรหรือ” พอมู่หวั่นชิวเปิดประตู ก็เจอกับเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยกมือจะเคาะประตู เขาพยายามยืดตัว เขย่งเท้ายืดหัวมองเข้าไปข้างใน “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
“ไม่มีอะไร…” มู่หวั่นชิวขวางประตูไว้ไม่ให้เขาเข้ามา “แค่สาวใช้ฝันร้ายน่ะ”
ที่นี่ยังอยู่ในเขตเมืองผิงเฉิง เงินหนึ่งล้านตำลึง จำนวนมหาศาลแบบนี้ หากนางไปแจ้งทางการ ก็ต้องมีรายงานไปถึงจวนว่าการเจ้าเมือง ใต้เท้าสวีก็จะเป็นคนแรกที่ได้รู้ นางเพิ่งจะหลอกลวงเขาด้วยการลอบหนีออกมา ถึงแม้จะไม่มีเงินแล้ว ใต้เท้าสวีก็คงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ!
ยิ่งไปกว่านั้น เงินหายไปเช่นนี้ แจ้งทางการไปจะหากลับมาได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ต่อให้หากกลับมาได้จริง แต่ก็ยังมีใต้เท้าสวีอยู่ เงินนั้นใช่ว่าจะตกมาเป็นของนาง
เมื่อคิดตกในเรื่องเหล่านี้แล้ว มู่หวั่นชิวจึงเก็บกดเรื่องนี้เอาไว้
เงินทองเป็นของนอกกาย ที่สำคัญคือกว่าจะหนีออกมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางจะตกไปอยู่ในมือทางการหรือภายใต้การควบคุมของคนอื่นอีกไม่ได้เด็ดขาด
“อ้อ…” ยื่นหัวเข้าไปสอดส่องในห้องอีกครั้งแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “เช้าๆ แบบนี้ก็ตกใจหมดเลย แขกทั้งโรงเตี๊ยมถูกพวกท่านปลุกให้ตื่นขึ้นมาหมดแล้ว!” จากนั้นจึงหันหน้าไปไล่แขกที่ได้ยินเสียงร้องแล้วพากันมารวมตัว “กลับไปเถอะๆ …ไม่มีอะไรน่าดูหรอกขอรับ ก็แค่สาวใช้ฝันร้ายเท่านั้น”
แนบประตูฟังเสียงด้านนอกค่อยๆ เงียบลงแล้ว มู่หวั่นชิวจึงค่อยถอนหายใจยาว กำลังจะก้าวเท้า ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก เสียงพูดร้อนใจของโม่อวี่ดังลอดเข้ามา “คุณหนู น้องสาวเป็นอะไรไปขอรับ”
เหลือบมองโม่เสวี่ยที่ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่ได้สติแล้ว มู่หวั่นชิวก็หมุนตัวไปเปิดประตู
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” หลี่เฉินคนบังคับรถดวงตาเปล่งประกาย เขายืนอยู่ด้านหลังโม่อวี่
“ไม่มีอะไร” มองเขาด้วยสายตาครุ่นคิดแวบหนึ่งแล้ว มู่หวั่นชิวจึงกวักมือเรียกโม่อวี่ให้เข้ามาในห้อง “โม่เสวี่ยฝันร้ายน่ะ ท่านลุงหลี่กลับไปก่อนเถอะ”
“เอ่อ…” หลี่เฉินถูมือทั้งสองข้างไปมา “คุณหนูไป๋ไม่เป็นไรจริงหรือ”
มู่หวั่นชิวพยักหน้า แล้วปิดประตู
พอหันหน้ากลับมาก็ต้องตกใจ โม่เสวี่ยที่ยืนนิ่งไม่ได้สติเมื่อครู่นี้กำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อครู่คุณหนูทำบ่าวตกใจแทบตายเลยเจ้าค่ะ บ่าวคิดว่าท่านพูดจริงเสียอีก” โม่เสวี่ยเดินตามมู่หวั่นชิวมาถึงข้างเก้าอี้ แล้วประคองนางนั่งลง
เงินของข้าหายไปจริงๆ จะเป็นเรื่องหลอกลวงได้อย่างไร!
มองหน้าโม่เสวี่ยแวบหนึ่งแล้ว มู่หวั่นชิวไม่ได้พูดอะไร กลับยื่นมือไปหยิบป้ายหยกรูปปลาบนโต๊ะขึ้นมาถือเล่นแทน
“เกิดอะไรขึ้น” เพราะไม่กล้าถามมู่หวั่นชิว โม่อวี่จึงหันไปถลึงตามองน้องสาว
“คุณหนูบอกว่าเงินของนางหายไป ข้าตกใจแทบตายเลย” โม่เสวี่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“เงิน?” โม่อวี่สงสัย
“ก็เงินหนึ่งล้านตำลึงที่ชนะได้มาจากบ่อนนั่นไง” โม่เสวี่ยมองหน้ามู่หวั่นชิว “เมื่อคืนในห้องนี้มีโจร มีคนปล่อยควันยาสลบข้ากับคุณหนู…”
“ควันยาสลบ!” โม่อวี่สีหน้าเปลี่ยนไป หันหน้าไปมองมู่หวั่นชิว “จริงหรือขอรับ!”
“อืม” มู่หวั่นชิวพยักหน้า “ตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงที่ข้าซ่อนไว้ใต้หมอนนั้นหายไปแล้ว”
“นี่…” โม่เสวี่ยอ้าปากกว้าง นางตั้งท่าจะส่งเสียงดังขึ้นมาอีก แต่ถูกมู่หวั่นชิวปิดปากไว้
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ!” พอได้อิสระ โม่เสวี่ยก็ถามอย่างทนไม่ไหว น้ำเสียงลดต่ำลง ท่าทางลึกลับนั้นทำให้มู่หวั่นชิวนึกอยากหัวเราะ “เงินหายไปมากมายขนาดนี้ เหตุใดคุณหนูยังสงบนิ่งอย่างนี้อยู่ได้”
ถูกบีบจนตายทั้งเป็นก็เคยมาแล้ว เมื่อเทียบกันกับเรื่องเหล่านี้แล้วก็ไม่หนักหนาเท่าใดเลย!
มู่หวั่นชิวถอนหายใจ “เงินหายไปแล้ว จะต้องร้องไห้โวยวายหรือ”
“แต่ว่า…แต่ว่า…” โม่อวี่พลันพูดติดอ่าง
นั่นเป็นเงินหนึ่งล้านตำลึงเชียวนะ!
พอให้พวกเขาใช้ได้หลายๆ ชาติเลยทีเดียว!
“เอาเถอะ อย่ามัวเหม่ออยู่เลย” มู่หวั่นชิวชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ด้านข้าง “พวกเจ้านั่งลงก่อน”
“คุณหนู…” เห็นมู่หวั่นชิวสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โม่อวี่ โม่เสวี่ย จะกล้านั่งได้อย่างไร ทำได้เพียงเรียกนางอย่างหวาดหวั่น แล้วยืนตัวตรงอยู่ด้านข้าง
“เงินของข้าหายไปจริงๆ” มู่หวั่นชิวไม่ได้บังคับพวกเขา สายตาจับจ้องไปยังป้ายหยกรูปปลาในมือของตน “ต่อไป…เกรงว่าคงพาพวกเจ้าไปด้วยไม่ได้แล้ว”
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments