บทที่หก
“คุณชาย ท่านจะไปไหนขอรับ” เห็นคุณชายชุดขาวก้าวเท้าลงบันได เด็กหนุ่มชุดฟ้าก็ถามไล่หลัง “คุณชายเจิงยังรอปรึกษางานใหญ่กับท่านอยู่นะขอรับ”
“ไปรู้จักคนสักหน่อย…” คุณชายชุดขาวมิได้หันหน้ามา
เด็กหนุ่มรู้สึกตกใจ
คุณชายของเขาสูงศักดิ์เป็นอันดับหนึ่งในสี่ยอดตระกูลแห่งแคว้นต้าโจว ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดที่รู้กันเป็นการภายในว่าเป็นผู้นำแห่งวงการเครื่องหอมในอนาคต คนที่สูงศักดิ์ราวกับเป็นราชนิกุล เดิมทีคุณชายของเขาล้วนทำเหมือนยืนอยู่บนเมฆ ไม่เคยใส่ใจสิ่งใด แม้จะจ่ายด้วยเงินจำนวนมากเพื่อขอพบก็ยังยาก
ก็แค่นักพนันคนหนึ่ง ที่บังเอิญโชคดีได้เป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน เด็กสาวยากจนผู้นี้มีอะไรดีกัน คุณชายของเขาจึงได้อยากเข้าไปทำความรู้จักด้วยตัวเอง!
เด็กหนุ่มชุดฟ้าตะลึงไปครู่ใหญ่ จนกระทั่งคุณชายชุดขาวเดินหายไปแล้วจึงได้สติคืนมา ก้าวเท้าตึงๆ ตามลงไป
“แม่นางลองนับดูก่อนว่าถูกต้องหรือไม่” ฝ่ายบัญชีที่โถงใหญ่ สองมือยื่นตั๋วเงินที่แลกเสร็จแล้วให้แก่มู่หวั่นชิว
มู่หวั่นชิวรับตั๋วเงินมาดู ก่อนจะดึงออกมาสองสามใบยื่นให้หลี่เต๋อ “รบกวนหลงจู๊ช่วยจ้างวานคนคุ้มกันให้ข้าสักสองสามคน”
หลังจากตะลึงไปชั่วครู่ หลี่เต๋อก็ยื่นมือผลักคืนไป “แม่นางไป๋วางใจได้ มิใช่ไม่รู้จักกันเสียที่ไหน ท่านชนะพนันได้เงินไปจากที่นี่ ก็คือแขกคนสำคัญของพวกเรา นายของข้าบอกไว้ว่าขอเพียงท่านไม่ออกจากเมืองผิงเฉิง ความปลอดภัยของท่านไม่ถือเป็นปัญหาแน่นอน” เขาหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา “นายของข้าแซ่เจิง ชื่อฝานซิว คฤหาสน์ที่พักอยู่ที่ถนนอู๋ถง หากแม่นางไป๋มีธุระอันใด สามารถเอาป้ายหยกนี้ไปหาที่นั่นได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณนายของเจ้าแทนข้าด้วย” มู่หวั่นชิวไม่ได้รับป้ายหยก นางเพียงยิ้มบางๆ แล้ววางตั๋วเงินไว้บนโต๊ะเก็บเงิน
ที่นางต้องสร้างเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะพบเขาและขอร้องให้เขาช่วยคุ้มครอง แต่ว่าน่าเสียดายที่นางตกอับเช่นนี้ หากรุกมากเกินไปก็รังแต่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาในทางตรงกันข้าม
นางหมุนตัวกลับในทันใด ทว่ากลับเกือบชนเข้ากับคุณชายชุดขาว แสงสว่างวาบผ่านหน้า มู่หวั่นชิวรู้สึกงุนงง แล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
บุรุษชุดขาวผมดำ เขายืนสง่าอยู่ตรงนั้นท่ามกลางแสงเทียนที่ส่องสว่าง รอบกายนั้นราวกับมีลำแสงที่ไหลวน คอยแผ่รังสีความลึกลับออกมา ทั้งสงบนิ่งราวน้ำลึก และพลิ้วไหวราวกับเป็นเทพเซียนบนสวรรค์
เป็นคนมาถึงสองชาติ ทั้งยังผ่านความเปลี่ยนแปลงในทะเลแห่งรักมาแล้ว มู่หวั่นชิวจากบุตรสาวอัครเสนาบดีผู้สูงศักดิ์ ตกอับมาเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อน กระทั่งถูกคนข้างถนนตะคอกใส่ เดิมคิดว่าตัวเองมองทะลุถึงความไร้ปรานีของโลกนี้แล้ว ว่าชีวิตคนนั้นน่าเวทนา บนโลกนี้คงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ใจนางหวั่นไหวได้อีกแล้ว
กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ได้เห็น ประจันหน้ากับใบหน้าหล่อเหลาเป็นเลิศนี้ หัวใจของนางกลับเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้น แล้วจ้องนิ่งไปที่เขา
เขาเห็นท่าทางมองเหม่อเช่นนี้มาจนคุ้นชินแล้ว คุณชายชุดขาวจึงยิ้มสดใสกลับมา
“แม่นางไป๋มีความกล้าเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ผู้ชาย วันนี้โชคดีที่ได้พบกัน จึงขอถามแม่นางบ้านอยู่ที่ใด เป็นคนที่ใดกัน”
“เรื่องนี้…” มู่หวั่นชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางมีบ้านเสียที่ไหนเล่า
“แม่นางไป๋…” ขณะที่กำลังลังเลใจ เด็กหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา โค้งคำนับแล้วพูดว่า “แม่นางไป๋ถึงแม้จะเป็นหญิง แต่ความกล้าในการพนันกลับมีเหนือคนทั่วไป คุณชายของข้ารู้สึกนับถืออย่างมาก อยากขอเชิญแม่นางขึ้นไปพูดคุยกันสักหน่อย”
ในที่สุดคุณชายรองตระกูลเจิงก็ออกโรงแล้ว!
มู่หวั่นชิวพลันรู้สึกตื่นเต้น เหลือบมองขึ้นไปยังชั้นสอง แอบคิดในใจว่า เพราะเขาเห็นข้าปฏิเสธป้ายหยก จึงเปลี่ยนใจมาเชิญข้าอย่างนั้นหรือ
“คุณชายของเจ้าเป็นใคร” มู่หวั่นชิวพยายามสะกดความตื่นเต้น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด
“คุณชายของข้าแซ่เหลิ่ง มีชื่อตัวเดียวว่ากัง ฉายาเซียนพนันทิพย์กุมาร”
เซียนพนันทิพย์กุมาร!
นั่นคือคนระดับเซียนของแคว้นต้าโจวเลยทีเดียว คนที่เดินอยู่หน้าโต๊ะเก็บเงินพากันสูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจ มีคนมากมายเฝ้าฝันทุกคืนวัน พยายามมาซุ่มรออยู่ตรงประตูร้านป๋ออี้ก็ยังยากจะได้พบ คืนนี้เขาเป็นเจ้าถึงสิบแปดตา ทว่าทุกคนกลับได้เห็นเพียงสิบนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดของเขาเขย่าถ้วยลูกเต๋าผ่านช่องหน้าต่างเท่านั้น
แต่เขากลับเชิญเด็กสาวในชุดเก่าขาดผู้นี้ไปพบ โอ้สวรรค์ นี่ นี่ นี่ถือเป็นเกียรติที่หาอะไรมาเปรียบมิได้เลย!
เพียงพริบตา แววตาที่มาตกอยู่บนตัวของมู่หวั่นชิวล้วนเปลี่ยนเป็นความนับถือ
คนนั้นกลับมิใช่คุณชายรองตระกูลเจิง!
มู่หวั่นชิวพลันรู้สึกเคร่งเครียด ในดวงตาเคลือบความผิดหวังบางๆ เอาไว้ นางยอมทิ้งเงินเป็นล้าน เพื่อแสดงความเป็นมิตรต่อคุณชายรองสกุลเจิง หากเขาดื้อดึงไม่ยอมออกหน้า นางที่มีเงินก้อนใหญ่เช่นนี้จะไปจากเมืองผิงเฉิงอย่างปลอดภัยได้อย่างไร
“แม่นางไป๋…” เด็กหนุ่มชุดเทาพูดเร่งอีกครั้ง
ทันทีที่ดึงสติกลับคืนมาแล้ว มู่หวั่นชิวก็โค้งคำนับเด็กหนุ่มชุดเทา “ไป๋ชิวต้อยต่ำ ไม่กล้าพบกับคนสูงศักดิ์”
วันนี้เพราะความจำเป็น นางจึงถูกบีบให้เข้าบ่อนมาเสี่ยงโชค หลังจากนี้นางจะไม่ย่างกรายเข้าใกล้บ่อนพนันอีกชั่วชีวิต
เซียนพนันทิพย์กุมาร ไม่พบก็ช่าง
พูดจบ นางก็ค่อยๆ เดินผ่านคุณชายชุดขาวไป
ดูจากท่าทางแล้ว หญิงผู้นี้เมื่อครู่ได้ถูกเขาทำให้หวั่นไหวแท้ๆ แต่เพียงพริบตากลับจะจากไปโดยไม่ลังเล ช่างน่าสนใจเสียจริง! หันหน้าไปจับจ้องแผ่นหลังยืดตรงผอมบางของมู่หวั่นชิวแล้ว ในดวงตาของคุณชายชุดขาวก็ค่อยๆ ปรากฏประกายไฟวาบขึ้นมา…
หลังจากนั้นนานหลายปี ทุกคนยังคงจดจำค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ในเมืองผิงเฉิงได้ เด็กสาวในชุดเก่าขาดที่ราวกับลงมาจากสวรรค์ผู้นั้น มีความสุขุม สง่างาม ดูสูงศักดิ์ ซึ่งไม่เข้ากับชุดที่สวมใส่ ทั้งอายุของนางก็น้อยนิด โดยเฉพาะความกล้าที่นางแทงต่ำติดต่อกันเก้าตา ขยับมือโปรยเงินเป็นพัน ท่าทางที่มีต่อทรัพย์สินยังคงสงบนิ่งราวกับผืนน้ำ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อพี่ฝานซิวให้ความสนใจเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่เชิญนางขึ้นมาล่ะ” คุณชายชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้าต่างทางเหนือในห้องส่วนตัวบนชั้นสองของร้านป๋ออี้ สายตาของเขามองตามสายตาของเจิงฝานซิว คุณชายรองตระกูลเจิง ไปกระทบบนร่างเล็กผอมบางตรงหัวถนน เจ้ามือคนหนึ่งถือโคมไฟเดินเอียงข้างเล็กน้อยคอยส่องไฟนำทางให้ แสงเทียนที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างส่องบนตัวและบนใบหน้านาง แสงเบาบางจนดูเหมือนไม่ใช่ภาพจริง ทันใดนั้น คุณชายชุดขาวก็รู้สึกเหมือนคนตรงหัวถนนนั้นคล้ายว่าดูล่องลอยไป
“นางต้องกลับมาอีกแน่นอน!” ร่างอรชรผอมบางหายลับไปตรงหัวโค้ง เจิงฝานซิวดึงม่านหน้าต่างปิดในทันที “ร้านป๋ออี้ของข้าเป็นสวรรค์ของนักพนัน!”
นางยังจะกลับมาอีก?
คุณชายชุดขาวไม่ได้ขยับตัว ยืนเงียบๆ มองดูผ้าม่านกำมะหยี่สีเขียวเข้มที่บังหน้ากั้นเขาจากโลกด้านนอก ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ก่อนจะหมุนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างโต๊ะไม้แดงสลักลายตัวเตี้ย
องครักษ์ประจำตัวยกน้ำชามาให้อย่างเบามือ
คุณชายชุดขาวใช้ฝาถ้วยกวาดใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ “พี่ฝานซิวมีเรื่องอะไรหรือ จึงรีบร้อนเรียกข้ามาแบบนี้”
เจิงฝานซิวโบกมือไล่องครักษ์ประจำตัวออกไป แล้วพูดว่า “ลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่หายตัวไป” สีหน้าเขาเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ก่อนที่อัครเสนาบดีจะประสบเคราะห์ ได้แอบส่งลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่งออกจากจวนมาฝากฝัง เพราะเชื่อมั่นในตระกูลเจิงของข้า แต่ตระกูลเจิงกลับทำให้ผิดหวัง!”
“หายตัวไป?” คุณชายชุดขาวแววตาจริงจัง เขาหันหน้าไปมองเจิงฝานซิวอย่างเงียบๆ
“ข้ากับมู่จงนัดกันไว้ว่าจะมารับตัวนางที่ผิงเฉิง ตามหลักแล้วพวกเขาควรจะมาถึงตั้งแต่สองเดือนก่อน”
คุณชายชุดขาวเลื่อนสายตากลับมา แล้วถามอย่างใช้ความคิด “มีข่าวของมู่จงหรือไม่”
“ไม่มี” เจิงฝานซิวส่ายหน้า “สองเดือนก่อนขาดการติดต่อกับเขาไปตรงละแวกเขาไหวอิน ถึงตอนนี้ยังไร้ข่าวคราว”
“พวกเขาจะถูก…”
“ไม่มีทาง” คุณชายชุดขาวยังพูดไม่ทันจบ เจิงฝานซิวก็ส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “นางคงยังไม่ตกไปอยู่ในมือของอิงอ๋อง” เห็นคุณชายชุดขาวมองหน้า เขาจึงพูดต่อไปว่า “สองเดือนมานี้ข้าสืบข่าวลับอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะได้รับข่าวมาว่า ผู้บัญชาการกองรถศึกหร่วนอวี้ที่เป็นเขี้ยวเล็บของอิงอ๋องก็กำลังส่งคนแอบสืบข่าวนี้เช่นกัน”
“ถ้าเป็นแบบนี้นางก็ยังไม่ตกไปอยู่ในมือทางการ” นิ่งเงียบไปนาน คุณชายชุดขาวจึงพูดว่า “พี่ฝานซิวอย่าเพิ่งร้อนใจ เรื่องนี้ต้องวางแผนกันให้ยาว”
เจิงฝานซิวพยักหน้า “รัชทายาทถูกกักตัวให้สำนึกผิดอยู่แค่ในวังหย่งอัน ผู้คนต่างก็รู้ว่าท่านพ่อของข้าเป็นสหายกับอัครเสนาบดีมู่ ตระกูลเจิงเป็นคนคอยหนุนรัชทายาท คนของอิงอ๋องต้องกำลังจ้องจับตาอยู่เป็นแน่ เรื่องนี้ข้าจึงไม่สะดวกจะออกหน้า ต้องให้เจ้าแอบคอยช่วยเหลือแล้ว”
“ได้ ข้าจะให้สายลับของตระกูลหลีช่วยท่านสืบหา” คุณชายชุดขาวโบกพัดครุ่นคิด แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น พลางถามต่อไปว่า “พี่ฝานซิวมีภาพวาดของนางหรือไม่”
“ไม่มี” เจิงฝานซิวส่ายหน้า “ได้ยินว่าคุณหนูสี่มีนิสัยเอาแต่ใจ อัครเสนาบดีรู้ว่าจะนำความเสื่อมเสียมาให้ แต่จนใจที่ฮูหยินรักใคร่นางยิ่งนัก จึงประกาศออกไปว่ามีลูกสาวเพียงสามคน ภายนอกน้อยคนนักที่จะรู้ว่าตระกูลมู่ยังมีคุณหนูสี่อยู่อีกคน” เขาพลันถอนหายใจ “นี่ก็เป็นสาเหตุที่อัครเสนาบดีเสี่ยงตายส่งตัวนางออกมา”
“เรื่องนี้…”
เรื่องนี้จัดการได้ยากแล้ว!
ผู้คนมากมายเช่นนี้ จะหาหญิงที่ปกปิดชื่อแซ่ ทั้งไม่รู้จักหน้าตาผู้นั้นง่ายดายได้อย่างไร
คุณชายชุดขาวขมวดคิ้วแน่น “อัครเสนาบดีมู่ถูกประหารทั้งตระกูลไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้มีเพียงต้องหาตัวมู่จงคนนั้นให้เจอเสียก่อน จึงจะหาตัวคุณหนูสี่เจอสินะ”
“อืม” เจิงฝานซิวเปล่งเสียงรับคำเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย “จริงสิ ในวังมีภาพวาดของนาง!”
“เรื่องเป็นอย่างไร”
“ปีหนานตี้ที่สิบแปด ฤดูใบไม้ผลิ มีการเลือกสาวงามเข้าวัง คุณหนูสี่ในตอนนั้นอายุสิบเอ็ดปี อายุถึงเกณฑ์พอดี ภาพวาดของนางก็ถูกส่งเข้าไปในกรมอากรเช่นกัน อัครเสนาบดีมู่รู้ว่านางเอาแต่ใจมาก ไม่เคยฝึกงานฝีมือมาก่อน เรื่องดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพ ที่ผู้หญิงควรทำเป็น นางล้วนไม่เป็นสักอย่าง กลัวว่านางเข้าวังไปแล้วจะนำภัยมาถึงจวน จึงลอบลงมือลับๆ กระทั่งนางถูกคัดออกในด่านแรกทันทีที่กรมอากรมอบภาพให้ขันทีตรวจดู แต่ว่าภาพวาดก็ยังคงเก็บไว้ในตำหนักเทียนลู่
“อิงอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่” คุณชายชุดขาวแววตาจริงจัง
“ข้าก็ไม่รู้” เจิงฝานซิวส่ายหน้า
นิ้วมือเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะไม้แดง คุณชายชุดขาวเลิกคิ้วขึ้นทันใด “อิงอ๋องคงจะไม่รู้…” เห็นเจิงฝานซิวสงสัย คุณชายชุดขาวจึงพูดเสริมต่อไปว่า “ที่ผ่านมายามที่ราชสำนักคัดเลือกสาวงามเข้าวัง หญิงที่ถูกคัดทิ้งตั้งแต่ด่านแรกจะไม่มีบันทึกไว้ และจะว่าไปหากเขารู้เรื่องนี้จริง จะต้องกราบทูลฝ่าบาทอย่างแน่นอน ป่านนี้คงเอาภาพวาดติดประกาศไปทั่วแล้ว”
“ก็จริง” เจิงฝานซิวคิดตกในจุดนี้ได้ทันที เขามีท่าทางสบายใจขึ้น “ข้าจะติดต่อคนของรัชทายาทเลย ให้ไปเอาภาพวาดของนางมา”
“ไม่ได้” คุณชายชุดขาวส่ายหน้า “อัครเสนาบดีมู่เพิ่งจะถูกประหารทั้งตระกูล ในราชสำนักสถานการณ์คับขัน จะต้องมีคลื่นใต้น้ำอยู่เป็นแน่ ข้างกายรัชทายาทเองก็ไม่รู้ว่าจะมีสายตาคอยจับจ้องอยู่มากมายเท่าใด” เขาหยุดพูดชั่วครู่ “ในเวลาเช่นนี้ อย่าได้เคลื่อนไหวเด็ดขาด”
“เจ้าพูดถูก ถ้าทำให้อิงอ๋องรู้ตัว เกรงว่านอกจากจะไม่ได้ภาพวาดแล้ว จะยังเป็นการเตือนสติเขาขึ้นมาอีก” เจิงฝานซิวยกมือขึ้นปาดเหงื่อ “ไม่สนใจไม่เป็นไร พอสนใจก็รนไปหมด ข้าจิตใจไม่สงบเอาเสียเลย” เขาพลันถอนหายใจ “ดูจากตอนนี้แล้ว มีเพียงเบาะแสจากมู่จงเท่านั้น ข้าจะเตรียมภาพวาดของเขาทันที” เจิงฝานซิวตบโต๊ะอย่างแรง ในดวงตาส่องประกายเย็นเยือก “แม้ต้องขุดพื้นดินลึกสามฉื่อ ข้าก็ต้องขุดออกมาให้ได้!”
“ตกลง…” คุณชายชุดขาวพยักหน้า “ข้าจะลงมือเตรียมการเรื่องนี้ทันที”
“ข้าจะไปเมืองซั่วหยางสักหน่อย ออกเดินทางพรุ่งนี้ ส่วนที่นี่ก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว” เจิงฝานซิวประกบมือเป็นหมัด
อาหญิงชอบเครื่องประดับผมลายดอก ครั้งหนึ่งเมียหัวหน้าหมู่บ้านไปตลาดซื้อปิ่นปักเงินดอกโบตั๋นอันหนึ่งมานั้น ตรงปลายปิ่นใช้ด้ายเงินทำเป็นโบตั๋นดอกใหญ่ ตรงขอบประดับด้วยดอกสีเงินเล็กๆ พอแสงอาทิตย์ส่องก็เปล่งประกายหลากสี แวววับจับตาอย่างมาก เมียหัวหน้าหมู่บ้านใส่เดินอวดไปทั่ว อาหญิงอิจฉาอย่างมาก พูดบ่นไม่หยุด…
อาหญิงชอบผ้าต่วนนุ่มลื่นสีสดใส…
อาหญิงชอบกินข้าวสวยขาวสะอาด…
หมวกขนนากนี้ประณีตมาก พี่จู้จื่อต้องชอบแน่นอน…
ท่านอาชอบดาบโค้งล่าสัตว์ทุกประเภท…
นับของไปทีละอย่าง มู่หวั่นชิวเดินจากถนนทางใต้ไปทางเหนือ จนได้ของเต็มสามคันรถมาโดยไม่รู้ตัว
“รถม้าบรรทุกไม่พอแล้ว จะจ้างเพิ่มอีกคันหรือไม่ขอรับ” หลังจากหอบเอาผ้าต่วนกลับมาสองมัด นางก็เห็นว่ารถม้าที่เพิ่งจ้างมาใส่ของไม่ลงอีกแล้ว ในน้ำเสียงนอบน้อมของเสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมแฝงความยินดีอยู่หลายส่วน โรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลของพวกเขาน้อยนักจะมีแขกใจป้ำเช่นนี้ ถึงแม้จะมี ก็มีบ่าวไพร่ที่มาเป็นกลุ่ม ไม่ต้องให้พวกเขาช่วยอะไร แต่แม่นางไป๋ผู้นี้ไม่เหมือนใคร ไม่เพียงให้เงินแก่พวกเขาที่คอยช่วยงาน ยังให้พวกเขานำทางไปร้านต่างๆ เพื่อเลือกของอีกด้วย
เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนในพื้นที่เมืองผิงเฉิง ร้านค้าจากใต้ถึงเหนือบนถนนเส้นนี้เขาก็ล้วนคุ้นเคย พอหลงจู๊เห็นเขาพาแขกมือหนักแบบนี้มา ล้วนแอบให้สินน้ำใจเขากันถ้วนหน้า เดินมาครึ่งวัน เงินสินน้ำใจที่เขาได้รับนั้นก็มากเท่ากับเงินที่เขาทำงานในโรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลถึงสองปีเลยทีเดียว
แม้จะรู้ว่าตอนนี้ไม่มีความวุ่นวายอะไร และมู่หวั่นชิวไม่จำเป็นต้องซื้อของอะไรมากมายอีก โดยเฉพาะเครื่องประดับสตรีกระจุกกระจิกเหล่านั้น มันดูเชยอยู่บ้าง เหมือนพวกคนจนที่เพิ่งกลายมาเป็นคนรวย แต่กระนั้นแววตาที่เสี่ยวเอ้อร์มองมู่หวั่นชิวก็ยังคงกระตือรือร้น และเต็มไปด้วยความนับถือ
ได้ยินว่าเด็กสาวผู้นี้คือบุคคลลึกลับที่ลงมาจากสวรรค์และเอาชนะเซียนพนันทิพย์กุมารได้เมื่อคืนนี้ ได้ปรนนิบัติข้างกายนางจึงถือเป็นเกียรติของเขา ต่อไปเขาก็มีเรื่องให้คุยอวดผู้อื่นได้แล้ว
หันหน้ามาเห็นรถม้าที่ใส่ของจนเต็มทั้งสามคันรถแล้ว มู่หวั่นชิวก็ยิ้มออกมาทันใด
ในหมู่บ้านของหม่าหย่งมีเพียงสิบกว่าหลังคาเรือน จึงขาดแคลนสิ่งของอย่างมาก คิดได้ว่าแม้จะส่งเงินไปจำนวนมาก แต่อยู่ที่นั่นก็ไม่สามารถซื้ออะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน นางเกรงว่าของที่พวกเขามีจะไม่เพียงพอ จึงซื้อของมามากมายแบบนี้โดยไม่รู้ตัว แต่ก็กลัวว่าบ้านของหม่าหย่งจะไม่พอเก็บ จึงได้แต่ส่ายหน้า “ไม่จ้างแล้ว”
“กลับโรงเตี๊ยมเลยหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ออกแรงยัดผ้าต่วนสองมัดเข้าไปในรถม้า น้ำเสียงดูผิดหวัง
“เมืองผิงเฉิงมีสำนักคุ้มภัยใหญ่ๆ หรือไม่”
“สำนักคุ้มภัย?” เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะแหะๆ ออกมา “พูดถึงความยิ่งใหญ่แล้ว อันดับแรกต้องเป็นสำนักคุ้มภัยเฮ่าเทียน ความเชื่อมั่นไม่ต้องพูดถึง ได้ยินว่าตั้งแต่เปิดสำนักมาไม่เคยทำงานพลาดสักครั้ง” เขาชี้ไปทางถนนการพนันที่ห่างไปหนึ่งตรอก “แม้แต่ร้านป๋ออี้ก็ยังจ้างคนของพวกเขามาเป็นคนคุ้มกัน”
คิดได้ว่าบนเสื้อของคนคุ้มกันหน้าประตูร้านป๋ออี้ล้วนมีคำว่าเฮ่าเทียน มู่หวั่นชิวจึงพยักหน้า “ดีล่ะ ไปที่สำนักคุ้มภัยเฮ่าเทียน”
“ทำไมคนเยอะเช่นนี้” ออกมาจากสำนักคุ้มภัยเฮ่าเทียนแล้ว มู่หวั่นชิวก็ต้องตกตะลึง บนถนนมีเสียงแตรดังขึ้นเป็นระลอก เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม บนถนนจากสำนักคุ้มภัยเฮ่าเทียนไปจนถึงประตูเมืองทางใต้ก็มีคนมามุงดูเต็มไปหมด
“ใต้เท้าสวีมาขอฝนอีกแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ที่เดินตามหลังมู่หวั่นชิวเขย่งเท้ามองเข้าไปข้างใน
“ขอฝน?” มู่หวั่นชิวตกใจ กำลังจะถามต่อ ก็ได้ยินเสียงแหลมตะโกนขึ้นที่ข้างกาย
“ลูกชายข้า!”
มู่หวั่นชิวหันหน้ามา เห็นหญิงชาวบ้านรูปร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่ง กำลังพยายามกระโจนเข้าไปข้างใน “เมืองผิงเฉิงมีเด็กตั้งมากมาย ทำไมใต้เท้าสวีถึงต้องมาเลือกพวกเจ้าด้วย!”
เสียงแหลมนั้นพลันถูกอุดไว้ “กลับไป ลูกของพวกเราถูกเลือกไปบูชายัญเจ้ามังกร นับว่าเป็นวาสนาจากในชาติก่อน” ชายหนุ่มผอมดำคนหนึ่งดึงตัวหญิงชาวบ้านเอาไว้ “ใต้เท้าสวีบอกไว้แล้ว ถ้าอวี่เอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สามารถขอฝนให้ชาวบ้านได้ จะมีชื่อถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์” ปากพูดไป แต่ใบหน้าชายผอมดำที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่สิ้นหวัง
“ประวัติขี้หมูขี้หมาอะไรกัน มันใช้กินแทนข้าวได้หรือ!” หญิงชาวบ้านออกแรงสะบัดให้หลุดจากฝ่ายชาย ปากก็ตะโกนด่าทอเสียงสูง ทำให้ทุกคนหันมาสนใจ “ข้าแค่อยากให้อวี่เอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ข้างกายข้า เจ้าไม่เห็นเด็กชายเด็กหญิงพวกนั้นที่ถูกส่งไปหลายครั้งก่อนหน้านี้หรือ มีคนใดบ้างที่มีชีวิตรอดกลับมาบ้าง ฟังเหล่าหลิวคนบังคับรถพูดว่า พบศพของโก่วจื่อที่เพิ่งส่งไปเมื่อวันก่อนที่ปลายน้ำ ถูกแช่จนตัวขาวซีด!”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล จวนว่าการเจ้าเมืองก็บอกแล้วมิใช่หรือ ว่านั่นเป็นแค่ข่าวลือ” ฝ่ายชายปิดปากหญิงชาวบ้านเอาไว้อีกครั้ง
“ข้าไม่สน ข้าต้องการลูกของข้า!” หญิงชาวบ้านสะบัดตัวอย่างบ้าคลั่งจนหลุดพ้นจากชายผิวดำ แล้วหมุนตัวลงคุกเข่า พลางร้องขออย่างน่าเวทนา “พ่อตาหนู สวรรค์ไม่ส่งฝนมาให้ คนที่ได้รับภัยแล้งใช่ว่าจะมีแต่เราเพียงบ้านเดียว แล้วทำไมต้องให้ลูกๆ ของพวกเราไปบูชายัญด้วยล่ะ ข้าขอร้องเจ้าเถอะ เจ้าช่วยไปพูดดีๆ กับใต้เท้าสวี ขอลูกๆ คืนกลับมา นั่นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้านะ เจ้าจะใจร้ายทนเห็นพวกเขาไปเป็นอาหารเต่าเช่นนี้หรือ!”
ฝ่ายชายสีหน้าเหยเก เขาหันหน้ากลับไปทันที ก่อนจะประสานสายตากับใต้เท้าสวีในชุดขุนนางสีแดงสดที่อยู่ในขบวนขอฝนเข้าพอดี เขาตัวสั่นอย่างแรง ก่อนจะหันกลับไปปิดปากหญิงชาวบ้านเอาไว้แน่น แล้วออกแรงลากตัวนางกลับ “ลูกของพวกเราไปปรนนิบัติเจ้ามังกรต่างหากเล่า เจ้าก็อย่าได้พูดจาเหลวไหล ระวังจะถูกฟ้าผ่า!”
มู่หวั่นชิวมองไปยังขบวนขอฝนตามสายตาของชายผอมดำ
หน้าขบวนขอฝนที่ยิ่งใหญ่ คือขุนนางประจำเมืองที่มีระดับขั้นแตกต่างกัน ท่ามกลางเสียงฆ้องกลองนั้น มีคนตะโกนพูดนำขึ้นมา “ขอสวรรค์บันดาลฝนลงมาด้วย” ทุกคนต่างก็พูดตาม แล้วคุกเข่าลงโขกศีรษะ การเดินขบวนสามก้าว โขกศีรษะหนึ่งที ทำให้ขบวนเคลื่อนผ่านไปได้ช้าอย่างมาก
สายตาของมู่หวั่นชิวไปตกที่ตัวเด็กน้อยชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง หน้าตาน่ารัก อายุราวแปดเก้าขวบ ที่ถูกยกสูงอยู่กลางขบวน พลางแอบคิดว่า นี่ก็คือลูกชายหญิงของหญิงชาวบ้านคนนั้น อวี่เอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สินะ เป็นลูกฝาแฝดเสียด้วย เด็กน่ารักแบบนี้ ถ้าเป็นข้าถึงตายก็คงทำใจไม่ได้
เด็กน้อยทั้งสองไม่รู้ว่าการไปในครั้งนี้คือการไปตาย พวกเขาไม่มีท่าทีเศร้าโศกเสียใจเหมือนหญิงชาวบ้านผู้เป็นมารดา ใบหน้าเล็กที่ถูกทาแป้งหนาปั้นหน้าเครียด ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ตัวน้อย ทั้งยังดูจริงจังมาก ราวกับจะไปทำเรื่องอัศจรรย์บางอย่าง มีเพียงดวงตากลมโตที่ดำกระจ่างใสสองคู่ซึ่งฉายความประหลาดใจ ดวงตาแป๋วคอยแอบมองขบวนขอฝนที่ยิ่งใหญ่ เผยให้เห็นหัวใจที่ยังคงเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่
“พี่จู้จื่อ” มู่หวั่นชิวพึมพำเรียก ดวงตาดำเช่นนี้ แววตากระจ่างใสไร้พิษภัยนี้ มีเพียงหม่าจู้เอ๋อร์เท่านั้นที่มี
“ถอยไปๆ แม่นางน้อยนี้มาจากที่ใด ถอยไปยืนห่างๆ อย่าได้ขวางทางใต้เท้าสวีขอฝน!” เสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
เมื่อถูกคนผลักให้ต้องถอยหลัง มู่หวั่นชิวก็ได้สติคืนมา จึงพบว่านางมายืนอยู่ข้างเด็กน้อยทั้งสองตั้งแต่เมื่อใดมิอาจรู้ได้ เสียงแหลมสูงเมื่อครู่นี้ก็คงเป็นเสียงที่ตะคอกใส่นาง
เสียงฆ้องกลองพลันหยุดลง เมื่อเผชิญหน้ากับคนจำนวนมากตรงหน้าเช่นนี้ หัวใจมู่หวั่นชิวก็กระตุก นางเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ไม่ควรยืนอยู่ในที่ที่มีขุนนางรวมตัวมากเช่นนี้ ในใจคิดอยากจะหนีออกไป แต่เมื่อประสานเข้ากับแววตาดำไร้พิษภัยคู่นั้นแล้ว มู่หวั่นชิวกลับหลุดปากพูดออกไปว่า “ข้าขอฝนได้”
เมื่อคำพูดออกไป นางก็นึกอยากกัดลิ้นตัวเองทิ้ง
สายตาทุกคนพลันหันขวับมาที่ตัวนาง
มู่หวั่นชิวสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวน้ำทะเล ผมดำราวหมึกย้อมยาวสยายโดยใช้ปิ่นปักไว้เพียงอันเดียว ราวกับดอกกล้วยไม้ต้องน้ำค้าง ดูเรียบง่าย ขณะที่ยืนรับแสงตะวันอยู่ตรงนั้น บนใบหน้าก็ถูกส่องเคลือบด้วยแสงสีทองชั้นหนึ่ง ทั้งดูสงบนิ่งและลึกลับ ราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ เหมือนเจ้าแม่กวนอินจุติลงมาเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์
เพียงแวบเดียวก็สามารถดึงลมหายใจของทุกคนไว้ได้ เสียงอึกทึกรอบด้านพลันหายไปในทันใด
“จริงหรือ แม่นางขอฝนได้จริงหรือ!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนขึ้นมาก่อน กลุ่มคนที่นิ่งเงียบแต่เดิมก็ส่งเสียงอึกทึกขึ้นมาในพริบตา
“ใต้เท้าสวีส่งเด็กไปเจ็ดแปดคนแล้ว ฝนก็ยังไม่ตกเลย”
“เจ้าเป็นเจ้าแม่กวนอินจุติลงมาจริงหรือ”
“แม่นางน้อย เจ้าจงรีบไปเถอะ คำพูดนี้จะพูดเหลวไหลมิได้ ระวังทำผิดต่อสวรรค์ จะถูกลงโทษนะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนมากมาย มู่หวั่นชิวพลันจิตใจว้าวุ่น เพียงพริบตา หน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อผุดจนเต็ม คำที่พูดออกไปคิดจะเรียกคืนกลับมาก็ไม่ได้แล้ว นางจะทำอย่างไรดี
“นี่… แม่นางน้อย เจ้ารีบถอยไปเถอะ ถึงแม้เจ้าจะหน้าตาสะสวยเพียงใด แต่จะเป็นเด็กน้อยขอฝนเช่นนี้ไม่คิดว่าเจ้าอายุมากเกินไปแล้วหรอกหรือ เจ้ามังกรอยากได้เพียงเด็กอายุเจ็ดแปดขวบเท่านั้น!”
เสียงดุดันท่ามกลางฝูงชนกลบเสียงของทุกคน
ทั้งที่ไม่รู้ว่าเมื่อไปแล้วจะได้กลับมาหรือไม่
เด็กสาวผู้นี้กลับยอมสละตัวเองไปเป็นเด็กน้อยขอฝน!
เมื่อคิดว่าหญิงสาวราวดอกไม้ผู้นี้ต้องตายไปเหมือนกับเด็กที่ถูกส่งไปก่อนหน้า เสียงอึกทึกนั้นก็เงียบลงทันที เพียงพริบตาบนถนนที่มีคนอยู่หลายพันคน แม้กระทั่งเข็มตกก็ยังได้ยินเสียง
เหมือนกระบองฟาดลงกลางหัว มู่หวั่นชิวได้สติคืนมาทันที แล้วก็คิดได้ว่า จริงสิ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักข้า ไม่มีอะไรต้องกลัว คิดเสียว่าเด็กไม่รู้ความพูดจาเหลวไหลก็แล้วกัน ข้าฉวยโอกาสนี้หนีไปดีกว่า
“ดูสิ!” มู่หวั่นชิวก้มหน้าลง กำลังจะขยับเท้า ท่ามกลางกลุ่มคนที่นิ่งเงียบ จู่ๆ ก็มีเสียงคนตะโกนขึ้น “นางคือแม่นางน้อยที่เอาชนะเซียนพนันทิพย์กุมารคุณชายสี่ตระกูลเหลิ่งเมื่อคืนนี้!”
“เป็นนาง นางนั่นเอง! นางชนะได้เงินพนันไปเกือบหนึ่งล้านตำลึง!” มีคนพูดสำทับในทันที
“หนึ่งล้านตำลึง! สวรรค์…” คิดว่าคนผู้นั้นคงจะตื่นเต้นมากเกินไป ทำให้พูดต่อไปมิได้
เสียงดุดันเมื่อครู่ดังขึ้นมาอีกครั้ง “นางมีวิชาล้ำเลิศ ไม่แน่ว่าอาจจะขอฝนได้จริงๆ ก็ได้!”
“ใต้เท้าสวี ให้นางลองทำพิธีดูเถอะ”
“ให้นางลองดู”
“ให้นางลองดูเถอะ”
“ลองดูเลย”
โดยไม่ทันรู้ตัว เสียงตะโกนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นทำนองที่พร้อมเพรียงกัน
หยดเหงื่อพลันไหลลงจากหน้าผากของมู่หวั่นชิว
วันนี้นางหนีไม่พ้นแล้ว
“ตึง…” เสียงฆ้องดังสนั่น ใต้เท้าสวีก็พาบรรดาขุนนางมาถึงข้างกายมู่หวั่นชิว แล้วโบกมือไปทางผู้คน ” เงียบๆ หน่อย ข้ามีคำจะพูด”
กลุ่มคนค่อยๆ เงียบเสียงลง
ทันทีที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ใต้เท้าสวีก็มองทุกคนไปโดยรอบ “ความหวังดีของพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ข้าต้องขอรับด้วยใจ แต่ว่า…” เขาหักมุมคำพูด “เป็นคนต้องยึดมั่นสัจจะ ทำการใดต้องมีต้นมีปลาย พ่อแม่พี่น้องคงได้ยินแล้ว ข้าได้อธิษฐานในวัดเจ้ามังกรไปแล้วว่าคืนนี้ยามซวี*จะบูชายัญเด็ก ถ้าหากข้าผิดคำพูด ทำให้เจ้ามังกรพิโรธ อาจจะนำมาซึ่งภัยร้ายยิ่งกว่าเดิม…” เห็นกลุ่มคนลุกฮือกันขึ้นมาอีก ใต้เท้าสวีจึงรีบพูดต่อไปว่า “ข้าจะรับข้อเสนอของพ่อแม่พี่น้อง ถ้าวันนี้ส่งเด็กไปแล้วฝนยังไม่ตกอีก พรุ่งนี้ข้าจะให้แม่นางน้อยที่มีวิชาล้ำเลิศผู้นี้ได้ลองทำพิธีแน่นอน”
เสียงอื้ออึงของฝูงชนค่อยๆ เงียบลง ไม่มีใครมีปฏิกิริยาอะไรอีก
เห็นทุกคนเงียบลง ใต้เท้าสวีจึงหมุนตัวคำนับมู่หวั่นชิวต่อหน้าทุกคน
มู่หวั่นชิวตกใจ รีบขยับหลบไปยืนด้านข้าง “ข้าน้อยไร้ซึ่งฐานะใด จะกล้ารับการคำนับจากใต้เท้าได้อย่างไรกัน”
นางเคยเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี ย่อมต้องเคยเห็นบรรดาขุนนางที่ให้ความเคารพนับถือบิดาจนชินตา หากเป็นเมื่อชาติก่อน นางคงยอมรับการคำนับนี้อย่างสบายใจ ทว่าหลังจากผ่านประสบการณ์มาแล้วหนึ่งชาติ นางก็จดจำฐานะของตัวเองในตอนนี้ได้ขึ้นใจแล้ว
“เจ้ารับได้แน่นอน” ใต้เท้าสวีท่าทางนอบน้อมอย่างมาก เห็นได้ว่ามีใจทำเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง “การคำนับนี้ข้าถือเป็นตัวแทนของชาวเมืองผิงเฉิงเพื่อขอบคุณแม่นาง” เสียงนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเน้นหนักและดังก้องอย่างฉับพลัน “ที่ยอมเสียสละตัวเพื่อชาวเมืองผิงเฉิง!”
เขาไม่ได้บอกว่าจะให้มู่หวั่นชิวทำพิธี แต่กลับเน้นว่าจะให้นางเสียสละตัวเอง
มู่หวั่นชิวสะดุ้ง แอบคิดว่า เขาอยากให้ข้าเป็นเด็กบูชายัญคนต่อไปหรือ เหตุใดในแววตาร้อนแรงนี้จึงแฝงความละโมบเอาไว้ได้เล่า
* ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00 น. ถึง 21.00 น.
Comments
comments