X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 7 ตอนที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 9

ตอนที่ 5

อากาศเดือนสี่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ในคุกไม่ได้จุดไฟ กอปรกับมีลมลอดเข้ามารอบด้าน ทั้งหนาวและชื้นเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ถูกจับมาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ แม้แต่เสื้อหนาสักตัวก็ยังไม่ทันได้ใส่เพิ่ม มู่หวั่นชิวในตอนนี้จึงกำลังขดตัวอยู่บนกองฟาง หนาวจนฟันกระทบกัน หน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทา

เห็นอิงอ๋องจะล้มแล้ว ต่อให้ฝันก็คิดไม่ถึงว่าฐานะของนางจะถูกเปิดเผยออกมา และยังเปิดเผยอย่างรวดเร็วกระทั่งฟ้าผ่าก็ยังไม่ทันได้ปิดหู

เร็วจนทำให้นางมาอยู่ในคุกโดยไม่ทันได้ขัดขืนแม้แต่น้อย

ฐานะของนางหากถูกตรวจสอบพบความจริง ต่อไปก็ต้องถูกส่งไปเป็นนางโลมขุนนาง ล้วนพูดกันว่าก่อนรุ่งอรุณจะมืดมิดที่สุด ไม่ผิดเลยจริงๆ ทั้งที่ฉางหมิ่นถูกฆ่าไปแล้ว วันเวลาที่องค์รัชทายาทจะกลับคืนอำนาจก็อยู่ไม่ไกลแล้ว แต่นางยังคงหนีชะตาชีวิตในหอคณิกาไปไม่พ้น

ถ้าถูกส่งไปเป็นนางโลมขุนนางจริง ข้าจะขอตายทันที จะไม่ยอมมีชีวิตผ่านไปวันๆ เหมือนชาติก่อนเด็ดขาด มู่หวั่นชิวขดตัวแล้วคิดอย่างเด็ดขาด ทั้งไม่ขัดขืนอีกแล้ว ด้วยนางต่อกรกับสวรรค์ไม่ได้

นางแก้แค้นได้แล้ว ชาตินี้ไม่มีอะไรให้นางต้องเสียใจอีก

ชาติก่อนโง่เขลา นางจึงตกไปอยู่ในหอคณิกาอย่างโง่เขลา ผลปรากฏว่าต้องเจ็บปวดไปทั้งชีวิต ในชาตินี้ขอยอมตาย แต่นางจะไม่ยอมให้หลีจวินเห็นนางตกอยู่ในสภาพหญิงนางโลมเด็ดขาด

กำลังคิดไปไกลก็มีเสียงดังแอ๊ด ประตูคุกถูกเปิดออก จั่วเฟิงมือไพล่หลังขณะเดินเข้ามา

“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าจั่ว” เห็นว่าเป็นเขา มู่หวั่นชิวก็อดทนกับความหนาวที่ทิ่มแทงกระดูกแล้วลุกขึ้นยืน ย่อตัวเล็กน้อย ท่าทางงามสง่าสงบนิ่ง ไม่มีความหวาดกลัวที่ต้องมาอยู่ในคุกเลย

กระทั่งความตายยังไม่กลัว นางยังต้องกลัวอะไรอีก

จั่วเฟิงไม่ได้พูดจา เขามองสำรวจนางอยู่นานแล้วพยักหน้า “ปรมาจารย์ไป๋ได้ความงามจากอาจารย์หญิงมาจริงๆ” แล้วพูดอีกว่า “ครั้งแรกที่ได้พบปรมาจารย์ไป๋ ข้าก็รู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง ในที่สุดตอนนี้ข้าก็จำได้แล้ว ปรมาจารย์ไป๋คงจะเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า” เขาจุปาก “หน้าตานี่แทบจะเหมือนอาจารย์หญิงในตอนนั้นทุกประการ” น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นมิตร จั่วเฟิงมองมู่หวั่นชิวด้วยสายตามีเมตตา

เขาเคยเป็นศิษย์ในสำนักของมู่ซี จะพูดไปแล้วก็นับเป็นศิษย์พี่ของมู่หวั่นชิว

มู่หวั่นชิวเข้าใจความหมายของเขาในทันที

ทว่าจั่วเฟิงละโมบเงินทอง ขายได้แม้แต่อาจารย์เพื่อแลกกับตำแหน่งหน้าที่ ไม่คู่ควรที่นางจะเรียกว่าศิษย์พี่!

ความรู้สึกในใจถาโถมไม่หยุด มู่หวั่นชิวมองจั่วเฟิงด้วยสายตางุนงง “ข้าน้อยไม่รู้ว่าใต้เท้ากำลังพูดอันใดอยู่” แล้วถามอีกว่า “ข้าน้อยเป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับหนึ่งที่ฝ่าบาทพระราชทานตำแหน่งให้ ได้รับการดูแลเทียบเท่าขุนนางขั้นห้า ใต้เท้าจั่วจับข้าน้อยมาอย่างไร้หลักฐานเช่นนี้ ไม่กลัวฝ่าบาทจะทรงเอาโทษ ลดตำแหน่งของท่านหรือ”

จั่วเฟิงมองไปซ้ายขวา แล้วโบกมือไล่ทหารให้เดินออกไปไกลๆ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาว่า “อัครเสนาบดีมู่เป็นอาจารย์ผู้มีคุณของข้า มีบุญคุณล้นฟ้า ศิษย์น้องวางใจได้ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะคิดหาวิธีช่วยเจ้าออกไปแน่นอน ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว ศิษย์น้องไม่ต้องปิดบังข้าหรอก” เขาแสดงสีหน้าละอายแก่ใจ “หลายปีมานี้ถูกอิงอ๋องบังคับให้ต้องทำเรื่องที่ขัดต่อจิตใจมากมาย ทุกคืนเงียบสงบ ข้าก็จะสารภาพความผิดต่อหน้าวิญญาณอาจารย์ ตอนนี้หาตัวศิษย์น้องเจอแล้ว ในที่สุดข้าก็มีโอกาสแสดงความกตัญญูต่ออาจารย์เสียที ศิษย์น้องต้องให้โอกาสนี้กับข้าด้วยเล่า” น้ำเสียงจริงใจอย่างมาก เขามองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างกระตือรือร้น

จั่วเฟิงเพิ่งได้รับคำสั่งลับจากอิงอ๋อง ไม่ว่ามู่หวั่นชิวจะเป็นลูกสาวอัครเสนาบดีมู่หรือไม่ หากจับตัวได้ ให้ฆ่าทันที แต่ว่าเขาก็มีแผนของเขาเช่นกัน ยามนี้องค์รัชทายาทถูกปล่อยออกจากวังหย่งอัน สามารถเดินเข้าออกห้องทรงพระอักษรได้อย่างอิสระ การคืนตำแหน่งเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น อำนาจใหญ่ของอิงอ๋องหมดไปแล้ว ในเวลาเช่นนี้เขาก็ไม่ได้อยากจะตายไปพร้อมกับอิงอ๋อง

มู่หวั่นชิวเป็นต้นไม้เรียกเงิน หากสามารถทำเหมือนที่ตระกูลหลิ่วทำกับกู่ฉิน สร้างฉากให้นางตายในคุก จากนั้นก็แอบเลี้ยงดูนางไว้ที่เรือนหลัง เพียงเท่านี้ก็เท่ากับเขาได้ทั้งคนและฝีมือของนางมิใช่หรือ

แม้อิงอ๋องจะล้ม เขาก็สามารถทิ้งตำแหน่งมาทำการค้า บั้นปลายชีวิตสามารถมีเงินทองรุ่งเรืองได้เช่นกัน

ต่อให้ไม่ต้องรอให้ถึงขั้นนั้น วันนี้เขาช่วยมู่หวั่นชิวเอาไว้ได้ วันหน้าองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้ว หากช่วยพลิกคืนความยุติธรรมให้อัครเสนาบดีมู่ เขาก็จะอาศัยมู่หวั่นชิวกระโดดขึ้นบนเรือขององค์รัชทายาทได้เช่นกัน

คิดคำนวณดูแล้ว มู่หวั่นชิวจะตายไม่ได้เป็นอันขาด การมาขอสานสัมพันธ์กับนางนั้นเขาทำด้วยความจริงใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นใบหน้างดงามของมู่หวั่นชิว จินตนาการภาพว่าสาวงามเช่นนี้ยามที่ต้องถูกตนเองกดไว้ใต้ร่างเพื่อหาความสำราญ ความปรารถนาของจั่วเฟิงก็พลุ่งพล่าน สายตาที่มองมู่หวั่นชิวเต็มไปด้วยความรักและเมตตา

ไม่ว่าอย่างไรก็จะคิดวิธีช่วยนางออกไปหรือ

มู่หวั่นชิวยิ้มเยาะอยู่ในใจ แอบคิดว่าถ้าอยากช่วยข้าจริง เจ้าก็ไม่ต้องจับข้ามาก็พอ จะมาทำเป็นแมวร้องไห้สงสารหนู อยู่ที่นี่ให้เหนื่อยไปไยเล่า ในใจหัวเราะเย็นชา แต่มู่หวั่นชิวกลับพูดเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าใต้เท้าพูดอันใด” นางเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ข้าน้อยถูกใต้เท้าจับมาอย่างไร้ความผิด ไม่เป็นธรรมเลยจริงๆ ถ้าใต้เท้ามีใจสงสารจริงก็ปล่อยข้าน้อยกลับไปเถอะ” นางมองหน้าจั่วเฟิงอย่างจริงใจ “ข้าน้อยจะจุดธูปขอพรให้ใต้เท้าจั่วทั้งเช้าเย็นแน่นอน”

จั่วเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไป แต่แล้วก็พูดอย่างอ่อนโยนว่า

“ข้างนอกลือกันว่าปรมาจารย์ไป๋เป็นลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ ที่ปรมาจารย์ไป๋ทำเครื่องหอมชั้นเลิศออกมาได้เพราะในมือมีตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยอยู่ ปรมาจารย์ไป๋จะปิดบังไปเพื่ออันใดอีก” เขาเปลี่ยนประเด็น แล้วพูดกล่อมไม่หยุด “ที่ต้องเชิญปรมาจารย์ไป๋มาถึงที่นี่ ข้าเองก็ทำไปเพราะความจนใจ หร่วนอวี้ได้รับคำสั่งลับจากอิงอ๋องแล้วว่าให้ฆ่าเจ้า และเพื่อให้แม่นางหลิ่วสมหวัง วันสองวันนี้เขาต้องลงมือฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน” เขามองมู่หวั่นชิวด้วยสายตาบีบคั้น “มีเพียงสถานที่นี้จึงจะปลอดภัยที่สุด!”

ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว มู่หวั่นชิวก็สะดุ้ง แอบคิดในใจ อิงอ๋องเกลียดข้ามากกระมัง ทั้งที่รู้ว่าอำนาจหมดไปแล้ว เขาก็ยังคิดจะดึงข้าให้ไปตายด้วย!

นางถอนใจอยู่ภายใน แต่ยังคงเงียบไม่พูดจา

ด้วยคิดว่านางจนใจ จั่วเฟิงจึงถอนหายใจ “ถึงตอนนี้แล้วเหตุใดปรมาจารย์ไป๋ยังไม่ยอมเชื่ออีก ข้าอยากจะช่วยเจ้าจริงๆ” แล้วพูดเน้นว่า “มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้!”

“ข้าน้อยไม่มีความผิดอันใด เป็นใต้เท้าจั่วที่บังคับจับตัวข้าน้อยมาเอง” มู่หวั่นชิวยิ้มเย็นชา “ตอนนี้มาบอกอีกว่าท่านสามารถช่วยข้าน้อยได้ ข้าน้อยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าใต้เท้าจั่วจะทำอะไรกันแน่” แล้วพูดอีกว่า “ถ้าหวังดีกับข้าน้อยจริง ใต้เท้าปล่อยตัวข้าน้อยไปก็พอ”

คำพูดนี้เรียกได้ว่าแทงครั้งเดียวเห็นเลือด จั่วเฟิงหน้าม่วงคล้ำทันที “เจ้า!” นิ้วมือที่ชี้หน้ามู่หวั่นชิวสั่นเทา “ข้าว่าเจ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา! ทหาร!” เขาตะโกนขึ้นทันใด

หากไม่ลงทัณฑ์ ไม่โบยนางให้กลัว และทำให้นางรู้ว่าเขามั่นใจในฐานะลูกสาวขุนนางต้องโทษของนาง นางคงไม่ยอมคุกเข่าขอชีวิตกับเขา ยอมทำตามเขาทุกอย่าง และให้ในสิ่งที่เขาต้องการกระมัง!

ครั้งแรกที่ได้เจออาจารย์หญิง เขาก็เคยตกใจมากเช่นกัน มักจะคิดว่าหากชาตินี้ได้หญิงผู้นี้มาก็พอใจแล้ว ภายหลังอัครเสนาบดีมู่ต้องโทษ ได้ยินว่าหญิงในจวนอัครเสนาบดีล้วนถูกขายไปในหอนางโลมขุนนาง เขาก็ลูบหมัดถูมือ แอบซื้อเส้นสายมากมาย เตรียมจะช่วยนางกลับมาชุบเลี้ยงไว้ที่เรือนหลัง แต่น่าเสียดาย มารดาของมู่หวั่นชิวเป็นคนเด็ดเดี่ยว ในคืนวันที่อัครเสนาบดีมู่ถูกฆ่านางก็แขวนคอฆ่าตัวตายไปแล้ว

นี่เป็นเรื่องที่เขาเสียใจเรื่องหนึ่ง ตอนนี้หญิงสาวตรงหน้าแม้จะดำคล้ำไปสักหน่อย แต่ก็ดูงดงามเหมือนอาจารย์หญิง แม้ไม่มีความสง่าของหญิงที่เติบโตจนรู้ความเฉกเช่นอาจารย์หญิง แต่หน้าตานี้ก็เพียงพอให้เขาคิดเพ้อไปได้นานแล้ว ตอนนี้มาอยู่ในมือเขาแล้วทั้งทีจะให้เขาพลาดปล่อยมือไปได้อย่างไร!

“ใต้เท้า…” ได้ยินเสียงเรียกนี้ก็มีทหารผู้คุมผลักประตูเข้ามา

“ใช้เครื่องลงทัณฑ์!” จั่วเฟิงพูดด้วยสีหน้าดำคล้ำ จ้องท่าทีของมู่หวั่นชิวไม่วางตา

เขาไม่เชื่อว่านางจะไม่กลัวเลย

มู่หวั่นชิวแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่แสดงสีหน้าใด

จั่วเฟิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแรง

ทหารเห็นจั่วเฟิงออกคำสั่งจึงรีบรับคำ ทว่าเพิ่งจะหมุนตัวไป ทหารอีกนายก็รีบวิ่งเข้ามา “เรียนใต้เท้า ใต้เท้าหร่วนส่งทหารมาล้อมคุกไว้แล้วขอรับ!”

จั่วเฟิงตัวสั่น “นี่เขาทำอะไร คิดจะกบฏหรือ!”

“ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ” คิดว่าคงไม่เคยเห็นกองทัพใหญ่เช่นนี้ ทหารนายนั้นจึงตัวสั่นเทา

จั่วเฟิงสีหน้าเขียวคล้ำ หันหน้าไปมองมู่หวั่นชิวแล้วพูดว่า “เฝ้านางให้ดี!”

กำลังพูดอยู่ จางจวิ้นก็พาทหารเดินเข้ามา คาดไม่ถึงว่าจั่วเฟิงจะอยู่ที่นี่ เขาจึงชะงักไป แล้วประกบหมัดขึ้นพูดอย่างไม่อ่อนไม่แข็ง “ใต้เท้าหร่วนสั่งการว่าไป๋ชิวเป็นนักโทษสำคัญของราชสำนัก ใต้เท้าจะพากลับไปสอบสวนที่จวนผู้บัญชาการด้วยตนเอง!”

จั่วเฟิงขวางหน้าประตูคุกอย่างน่าเกรงขาม “อะไรกัน ใต้เท้าหร่วนมายุ่งเรื่องงานราชการท้องถิ่นตั้งแต่เมื่อใด”

“เอ่อ…” จางจวิ้นพูดไม่ออก เรื่องที่นำทหารมาปล้นคุกครั้งนี้หร่วนอวี้ขาดการใคร่ครวญจริงๆ หากจั่วเฟิงไม่อยู่ จางจวิ้นคงปล้นคุกไปแล้ว แต่จั่วเฟิงอยู่ที่นี่เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามจริงๆ เพียงชั่วพริบตาเขาก็หัวเราะให้กับจั่วเฟิง “ข้าน้อยทำงานตามคำสั่ง หวังว่าใต้เท้าจั่วจะเห็นใจ” แล้วพูดอีกว่า “ใต้เท้าหร่วนไปที่จวนเจ้าเมืองแล้ว ถ้าใต้เท้าจั่วไม่เชื่อ ไปสอบถามใต้เท้าหร่วนดูได้!”

จั่วเฟิงเดินออกจากคุกด้วยสีหน้าดำคล้ำ แล้วหันไปสั่งให้คนลงกลอนประตูคุกให้ดี จากนั้นก็มองหน้าจางจวิ้นอย่างเย็นชา “ข้าจะไปพบใต้เท้าหร่วน ไป๋ชิวเป็นนักโทษคนสำคัญของข้าเช่นกัน ตราบใดที่ไม่มีคำสั่งของข้า ข้าจะรอดูว่าใครกล้าพาตัวนางไป!”

จางจวิ้นประกบหมัดพลางยิ้ม “ใต้เท้าจั่ววางใจได้ ข้าน้อยจะรออยู่ที่นี่”

จั่วเฟิงแค่นเสียงสบถเย็นชาแล้วก้าวเท้าเดินไปทันที เดินไปได้สองก้าว เขาก็ยังไม่วางใจจึงเอ่ยปากตะโกน “ทหาร รวบรวมทหารองครักษ์ทั้งหมดมาเฝ้าที่นี่ หากไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็พาคนไปไม่ได้!”

มู่หวั่นชิวเป็นต้นไม้เรียกเงิน ไม่แน่ว่าที่หร่วนอวี้ยื่นมือมาแย่งคนในตอนนี้คงเพื่อทำให้นางกลายเป็นกู่ฉินคนที่สอง หวังใช้นางไปเอาใจหลิ่วเฟิ่ง!

หรือถ้าหากต้องการสร้างผลงานต่อหน้าอิงอ๋องโดยการฆ่ามู่หวั่นชิวจริง เช่นนั้นก็ต้องให้เขาจั่วเฟิงเป็นคนลงมือ คนเขาเป็นคนจับ ผลงานนี้จะให้เขาหร่วนอวี้ชิงไปไม่ได้เป็นอันขาด!

เห็นทหารองครักษ์สี่สิบกว่านายวิ่งเข้ามาล้อมคุกเล็กๆ นี้ไว้สามชั้นด้านในและสามชั้นด้านนอก เผชิญหน้ากับทหารของหร่วนอวี้แล้ว จั่วเฟิงจึงโล่งอก เดินก้าวยาวออกไป

เมื่อมองดูทหารและองครักษ์หนาแน่นที่นอกประตู มู่หวั่นชิวก็รู้สึกสิ้นหวัง

ก่อนหน้านี้นางยังมีความหวังอันน้อยนิด เชื่อว่าหากทำอะไรไม่ได้จริง หลีจวินจะส่งหน่วยเงาของตระกูลหลีมาปล้นคุก ในตอนนี้ยังจะเหลือความโชคดีอะไรอยู่อีกเล่า

ต่อให้อำนาจตระกูลหลีจะมากเพียงใดก็มิอาจเทียบได้กับกองทัพทหารทั้งแผ่นดิน

ตกอยู่ในมือของจั่วเฟิงและหร่วนอวี้เช่นนี้ ครั้งนี้นางไม่มีหวังอีกแล้ว

เห็นจั่วเฟิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าดำคล้ำ หร่วนอวี้ก็วางถ้วยน้ำชาในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าจั่วกลับมาแล้ว”

“ใต้เท้าหร่วนส่งทหารมาล้อมคุกที่จวนของข้า คิดจะทำสิ่งใด” จั่วเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ “ใต้เท้าหร่วนคิดจะกบฏหรือ”

“ใต้เท้าจั่วเข้าใจผิดแล้ว” หร่วนอวี้ไม่เคืองขุ่น แต่กลับหัวเราะเสียงเบา “ได้ยินว่าปรมาจารย์ไป๋เป็นลูกสาวของอัครเสนาบดีกังฉิน ข้าเลยอยากจะสอบสวนนางด้วยตนเอง”

“นี่เป็นงานราชการท้องถิ่น ไม่ต้องให้ใต้เท้าหร่วนเข้ามายุ่งเกี่ยวหรอก!” จั่วเฟิงตบโต๊ะดังฉาด

ทหารองครักษ์ทั้งสองข้างตกใจจนนิ่งเงียบเป็นจักจั่นฤดูหนาว

“คดีอัครเสนาบดีมู่เป็นความรับผิดชอบของข้า ตราบใดที่เขายังมีลูกหลานอยู่บนโลกนี้ ข้าย่อมต้องยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว” หร่วนอวี้พูดโต้กลับอย่างไม่เกรงใจ

“เอ่อ…” จั่วเฟิงพูดไม่ออก

คดีอัครเสนาบดีมู่นี้หร่วนอวี้เป็นผู้รับผิดชอบจริง หากเขาใช้เหตุผลนี้พาตัวคนไป จั่วเฟิงก็ไม่มีข้ออ้างจะขวางไว้ได้ แต่ว่าเขาจะให้หร่วนอวี้พามู่หวั่นชิวไปง่ายๆ ได้อย่างไร

ทั้งสองล้วนได้รับจดหมายลับจากอิงอ๋อง ซึ่งมีคำสั่งให้พวกเขาฆ่ามู่หวั่นชิวในทันที ตอนนี้หากทั้งสองเอาจดหมายลับออกมาให้อีกฝ่ายดูแล้วรวมใจเป็นหนึ่ง มู่หวั่นชิวคงหัวตกลงพื้นไปแล้ว แต่ใต้หล้านี้สิ่งที่คาดเดายากที่สุดก็คือใจคน

เห็นบารมีอิงอ๋องสั่นคลอน ต้นไม้ใหญ่ใกล้จะล้ม พวกเขาที่เป็นสมุนเล็กๆ เหล่านี้ย่อมต้องหาทางรอดของตนเอง จั่วเฟิงนั้นตัดสินใจจะฆ่าใครคนหนึ่งมอบให้อิงอ๋อง จากนั้นทำให้มู่หวั่นชิวกลายเป็นกู่ฉินคนที่สองเลี้ยงไว้ในเรือนหลัง โอกาสนี้จะพลาดไปได้อย่างไร

หร่วนอวี้แม้จะภักดีต่ออิงอ๋อง แต่กลับหลงใหลในตัวมู่หวั่นชิว สาบานว่าจะช่วยชีวิตนางให้ได้ ในตอนนี้ ทั้งสองคนจึงปิดปากเงียบไม่พูดเรื่องคำสั่งลับของอิงอ๋อง

เพียงแค่จ้องตากันอย่างเย็นชาราวกับไก่ชน

ความคิดหมุนวน จั่วเฟิงจึงเอ่ยปากพูด “นั่นเป็นเพียงข่าวลือในเมือง ก่อนจะมีหลักฐานพิสูจน์ฐานะที่แท้จริงของไป๋ชิวได้เรื่องนี้ก็ยังเป็นงานราชการท้องถิ่น!”

“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงลูกหลานของอัครเสนาบดีมู่จึงมิใช่งานราชการท้องถิ่น!” หร่วนอวี้พูดตอกย้ำ “ถ้าใต้เท้าจั่วสงสัยก็ถวายฎีกาแด่ฝ่าบาท ดูว่านี่ยังจะเป็นงานราชการท้องถิ่นอยู่หรือไม่”

มีจั่วเฟิงคอยขวางเช่นนี้ เขาหร่วนอวี้หากคิดจะเอามือบังฟ้ากดคดีนี้ไว้คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากสามารถยกคดีนี้ไปที่ราชสำนักได้ เชื่อว่าทางนั้นจะยังมีองค์รัชทายาทคอยช่วยเหลือ จั่วเฟิงที่อยู่ทางนี้คงไม่กล้าฆ่าคนง่ายๆ เห็นจั่วเฟิงไม่ยอมท่าเดียว ชั่วขณะนั้นหร่วนอวี้จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

ถวายฎีกาให้แด่ฝ่าบาท?

หากเรื่องใหญ่โตขึ้นมาจริง เขาจั่วเฟิงจะควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างไร

แต่หากอ่อนข้อให้ตอนนี้ก็แสดงว่าเขาไม่มีเหตุผลที่เพียงพอมิใช่หรือ คนยังต้องถูกหร่วนอวี้พาไปอยู่ดี เพียงชั่วครู่ จั่วเฟิงก็ครุ่นคิดวนไปหลายรอบ สุดท้ายก็ขบกรามแน่น “ได้ ข้าจะเขียนฎีกายื่นถึงฝ่าบาททันที ขอฝ่าบาทตัดสินพระทัย!”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะพาคนไปควบคุมที่ค่ายทหารก่อน รอพระราชโองการจากฝ่าบาทมาถึงแล้วค่อยสอบสวน!” หร่วนอวี้ฉวยโอกาสพูด

“ไม่ได้!” จั่วเฟิงส่ายหน้าเด็ดขาด “ข้าได้ยินว่าใต้เท้าหร่วนเคยขอหมั้นหมายไป๋ชิวหลายครั้ง ทั้งยังเคยลงมือสู้กับหลีจวินอย่างหนักเพราะนาง ท่านดึงดันจะพาคนไปเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะคิดเพื่อตัวของท่านเอง!”

หร่วนอวี้สีหน้าดำคล้ำ “ข้าแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจน!”

จั่วเฟิงยิ้มหยัน

หร่วนอวี้จ้องหน้าจั่วเฟิง นึกขึ้นได้ทันใดว่าเขาเป็นศิษย์ของมู่ซีจึงพูดออกมาว่า “ใต้เท้าจั่วเป็นศิษย์ของอัครเสนาบดีมู่ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงลูกหลานของอัครเสนาบดีมู่ ใต้เท้าจั่วควรจะหลบเลี่ยง!”

“เอ่อ…” นี่เป็นข้อกำหนดชัดเจนในกฎหมายต้าโจว จั่วเฟิงถูกไล่ต้อนจนหมดคำพูด

เห็นหร่วนอวี้ลุกขึ้นจะเดินไป เขาก็ลุกพรวดขึ้นมา “ในเมื่อทุกคนล้วนมีความเกี่ยวพันกัน ก่อนที่จะมีพระราชโองการลงมา พวกเรามาดูแลคดีนี้ร่วมกัน!”

ถูกจั่วเฟิงชิงตัดหน้าไปหนึ่งก้าว หร่วนอวี้ก็รู้ว่าพาตัวคนไปไม่ได้แล้ว เขาจึงพยักหน้า “ตกลง”

ในขณะที่กำลังพูดอยู่ทหารก็เข้ามารายงาน “เรียนใต้เท้า คุณชายใหญ่ตระกูลหลีมาขอพบขอรับ”

หลีจวิน?

จั่วเฟิงขมวดคิ้ว หากเป็นที่ผ่านมาเขาคงปฏิเสธอย่างไม่ลังเลใจ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว อำนาจของอิงอ๋องสั่นคลอนจนใกล้ล่ม เห็นว่าตระกูลหลีไม่ล้มแล้ว ทั้งยังเป็นเจ้าถิ่นในเมืองต้าเยี่ย หากตระกูลหลีหายใจได้สะดวกเมื่อไร แรงกัดตอบจากพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่จั่วเฟิงจะทนรับไหวเป็นแน่

ในตอนนี้เขาไม่กล้าล่วงเกินหลีจวินมากเกินไป

เห็นเขาลังเลใจไม่หยุด หร่วนอวี้จึงหัวเราะเย็นชา “ใต้เท้าจั่วมีธุระ ข้าขอลาก่อน”

มองดูแผ่นหลังของหร่วนอวี้เดินลับไป สีหน้าจั่วเฟิงก็เปลี่ยนจากแดงเป็นดำ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงสั่งการว่า “เชิญคุณชายใหญ่หลีเข้ามา!”

หร่วนอวี้ก้าวออกจากประตูใหญ่ก็บังเอิญเจอหลีจวินและฉินเจี้ยนสองนายบ่าวที่เร่งรีบเดินมา เขาจึงหยุดยืนบนบันได

คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นหร่วนอวี้ในจวนว่าการเจ้าเมือง หลีจวินก็ตกใจเช่นกัน ก่อนจะประกบมือ “ข้าน้อยคารวะใต้เท้าหร่วน” เสียงพูดราบเรียบ แต่ดวงตาหลีจวินคอยสังเกตดวงตาของหร่วนอวี้ไม่วางตา แอบคิดในใจว่าเขาคนนี้แม้จะโหดร้าย แต่เป็นคนที่ยืดมั่นในคุณธรรมมาก มีใจรักต่ออาชิว ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะเห็นแก่ความรักหรือไม่ ข้าจะใช้ประโยชน์ได้บ้างหรือไม่ ความคิดนี้เพียงแล่นผ่าน หลีจวินก็คิดได้ว่าหร่วนอวี้กับตระกูลมู่เป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ เขาจึงหยุดความคิดนี้ไป

หลีจวินมักจะใช้แผนไปตามโอกาส ทั้งยังชอบหลอกใช้คนได้อย่างแนบเนียนที่สุด หากเป็นเวลาปกติ เขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสในการหลอกใช้หร่วนอวี้นี้ไปเด็ดขาด แต่เป็นเพราะอิงอ๋องตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะให้มู่หวั่นชิวตายไปด้วย ในช่วงเวลานี้แผนของเขาจะมีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

ไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเขาจะควบคุมได้หรือไม่ เขาก็จะเอาความเป็นความตายไปฝากไว้กับคนที่อาจเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ไม่ได้!

ได้พบหลีจวินอีกครั้ง ประสานสายตากับเขาไม่วางตา หร่วนอวี้ก็ทอดถอนใจอย่างหนัก

ต่อสู้กันมาสองปี เขาเคยเหยียบบุรุษผู้นี้ไว้ใต้ฝ่าเท้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่อีกฝ่ายกลับยังคงยืดอกยืนขึ้นมาได้ หร่วนอวี้คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่แพ้จะกลายเป็นตนเอง ทั้งที่เคยตั้งปณิธานอันแรงกล้า เคยกล่อมให้มู่หวั่นชิวไปจากคนผู้นี้นับครั้งไม่ถ้วน ถึงเวลานี้แล้วเขาจึงรู้สึกว่า…บางทีคงมีเพียงบุรุษผู้นี้เท่านั้นที่จะให้ความสุขนางได้

มีอยู่ชั่วเวลาหนึ่งที่หร่วนอวี้ปล่อยตนเองคิดไปเรื่อยเปื่อย เขาในชาตินี้นับว่ามีอำนาจและมั่งคั่งแล้ว มีคนคอยประจบข้างกายอีกนับไม่ถ้วน ทว่าทุกสิ่งกลับสลายเป็นดินภายในวันเดียว คงเป็นเพราะบุรุษตรงหน้าผู้นี้อวยพรให้แก่ตนเองด้วยความจริงใจกระมัง

เขายังจำได้ ตอนนั้นเขาเคยพูดว่า ‘ถ้าไม่ได้มีนายคนละคน พวกเราอาจกลายเป็นสหายสนิทกันจริงๆ ก็ได้’

หลีจวินคารวะไปแล้ว เห็นหร่วนอวี้เพียงจ้องตนโดยไม่พูดจา เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวยาวขึ้นบันไดไป

หร่วนอวี้จึงค่อยๆ ก้าวลงบันไดไป

ระหว่างที่ทั้งสองเดินเฉียดกัน คนสองคนที่มีความสำคัญในเมืองต้าเยี่ยก็ไม่มีใครมองหน้าใครอีก

จนกระทั่งก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย หลีจวินก็นึกขึ้นได้ ในแววตาที่หร่วนอวี้จ้องตนเองเมื่อครู่ราวกับมองเรื่องราวบนโลกนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง ใจหลีจวินพลันสะท้าน เขาแอบคิดในใจว่าหรือเขาจะคิดได้แล้วจริงๆ จึงยอมปล่อยวางทุกอย่าง

หากเป็นเช่นนี้จริง เขาก็จะไม่ถูกความแค้นบังตาและไม่คิดฆ่ามู่หวั่นชิวอีกต่อไป!

ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังหยุดลง หร่วนอวี้ก็หยุดฝีเท้าตามไปด้วย คนหนึ่งอยู่บนบันได คนหนึ่งอยู่ตีนบันได ทั้งสองยืนหันหลังให้กัน แต่กลับไม่มีใครที่หันหน้ากลับมา

เพียงชั่วครู่แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน หลีจวินกับหร่วนอวี้ก็ก้าวเท้าออกไปพร้อมกัน ก้าวไปในทิศทางที่ต่างกันของแต่ละคน

 

ห้าแสนตำลึง!

แม้จะเคยเห็นเงินมามาก เคยรับของกำนัลหนักมาแล้วไม่น้อย จั่วเฟิงซึ่งเป็นขุนนางมาหลายปีรวมกันก็ยังไม่เคยได้รับเงินมากมายเช่นนี้ กวาดตามองตั๋วเงินจำนวนมหาศาลที่หลีจวินยื่นมาให้ แม้จะเห็นโลกมามากแล้วแต่จั่วเฟิงก็ยังคงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

หากมีเงินก้อนใหญ่เช่นนี้แล้วเขายังต้องกลัวอิงอ๋องล้มอีกหรือ

มีเงินก้อนใหญ่นี้แล้ว ลาออกจากตำแหน่งไปอยู่อย่างสันโดษก็พอเลี้ยงชีวิตที่เหลือได้แล้ว!

เห็นจั่วเฟิงเบิกตาโต ไม่พูดอะไร หลีจวินก็ยิ้มอย่างสบายอารมณ์ ที่เขาต้องการก็คืออาการตอบสนองเช่นนี้ ในสายตาคนทั่วทั้งใต้หล้า มู่หวั่นชิวเป็นต้นไม้เรียกเงินต้นหนึ่ง หากไม่ทำให้จั่วเฟิงรู้สึกว่ามีที่พึ่งให้กับครึ่งชีวิตที่เหลือ ปูทางรอให้เขาเดินอย่างดีแล้ว เขาจะยอมปล่อยนางไปโดยง่ายได้อย่างไร

หลีจวินยัดตั๋วเงินใส่ท้องแขนเสื้อจั่วเฟิงแล้วก็หัวเราะ “ของขวัญเล็กน้อย ไม่มากอะไรเลย ไว้ให้ใต้เท้าจั่วซื้อสุราให้คนใต้บังคับบัญชาดื่ม” พูดพลางไม่รอให้จั่วเฟิงเอ่ยปาก หลีจวินก็นั่งลงตรงหน้าเขาทันที

ตั๋วเงินหนักอึ้งถูกยัดใส่แขนเสื้อ จั่วเฟิงจึงสบายใจเป็นพิเศษ ดึงสติคืนมาแล้วเขาก็รีบเรียกทหารตรงประตู “ทหาร ยกน้ำชามาให้คุณชายหลี ยกชาชั้นเลิศมา” ทำราวกับหลีจวินเป็นสหายของเขามานานหลายปี ลืมไปจนสิ้นว่าไม่นานก่อนหน้านี้ทั้งสองยังเป็นศัตรูที่ชักกระบี่ง้างธนูใส่กันอยู่เลย

“ใต้เท้าจั่วเกรงใจไปแล้ว” หลีจวินฉีกยิ้มบางๆ

“คุณชายหลีมาพบข้าทั้งที่งานยุ่ง มีธุระอันใดหรือ” รับเงินเขาก็ต้องช่วยสะสางปัญหาให้ หลักการนี้จั่วเฟิงเข้าใจ แต่คิดถึงว่าในคุกยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นทหารของหร่วนอวี้ พอถามคำถามนี้ออกไป ในใจจั่วเฟิงก็รู้สึกกังวลขึ้นมาบ้าง เขารัดแขนเสื้อไว้แน่นทันที

กลัวว่าในเวลาต่อมาหากหลีจวินได้ยินว่าคดีของมู่หวั่นชิวนั้นเขามิอาจตัดสินใจอะไรได้แล้ว อีกฝ่ายก็จะมาแย่งตั๋วเงินที่เพิ่งให้มากลับไปเสียก่อน

“พูดอย่างไม่ปิดบังใต้เท้าจั่ว ข้าน้อยตั้งใจมาด้วยเรื่องคดีเข้าใจผิดของปรมาจารย์ไป๋” หลีจวินพูดเปิดประเด็นตามตรงอย่างไม่เกรงใจ

จั่วเฟิงสีหน้าเศร้าสลด “พูดไปแล้วข้าก็เป็นศิษย์ของมู่ซี นับว่าเป็นศิษย์พี่ของปรมาจารย์ไป๋ด้วย ไม่ต้องให้คุณชายหลีพูดหรอก หากข้าสามารถดูแลนางได้ข้าก็จะไม่ชักช้า แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “คุณชายใหญ่ตระกูลหลีคงไม่รู้กระมัง คดีปรมาจารย์ไป๋นี้มีความสำคัญมาก…”

“ใต้เท้าจั่วถูกคนหลอกลวงแล้ว” จั่วเฟิงพูดยังไม่ทันจบก็ถูกหลีจวินพูดตัดบท “ปรมาจารย์ไป๋ไม่ใช่ลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ ข่าวลือด้านนอกล้วนเป็นเรื่องเท็จ”

จะเป็นไปได้อย่างไร

จั่วเฟิงกะพริบตา แม้จะไม่เคยเห็นลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่มาก่อน แต่เขาที่เป็นศิษย์ของท่านอัครเสนาบดีก็เคยเห็นมู่ฮูหยิน มู่หวั่นชิวนอกจากมีผิวดำไปสักหน่อยแล้ว หน้าตานั้นราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกับมู่ฮูหยินเลย ทั้งยังงดงามยิ่งกว่า ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกหวั่นไหว สาบานว่าจะเลี้ยงนางไว้ในเรือนหลัง

เห็นจั่วเฟิงไม่ยอมเชื่อ หลีจวินจึงพูดอีกว่า “ใต้เท้าจั่วเป็นศิษย์ของท่านอัครเสนาบดีมู่ ต้องเคยได้ยินมาแน่นอนว่าลูกสาวคนเล็กของอัครเสนาบดีมู่นั้นมีนิสัยที่ดื้อรั้น ชอบวรยุทธ์เกลียดตำรา มารยาทความเป็นหญิงไม่มีเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพเลย…” เขาเงยหน้าขึ้นมองจั่วเฟิง “ใต้หล้านี้มีคนที่หน้าตาเหมือนกันมากมาย ตามที่ใต้เท้าจั่วดู ทั้งการดีดพิณ การเดินหมากระดับสูงของปรมาจารย์ไป๋ และมารยาทอันงดงามเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ลูกสาวอัครเสนาบดีมู่เทียบได้หรือ”

“เอ่อ…” จั่วเฟิงตัวสั่นกระตุก

ได้ฟังหลิ่วอู่เต๋อบอกว่ามู่หวั่นชิวเป็นลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ เขาก็นึกได้ว่ารูปโฉมของนางคล้ายมู่ฮูหยินจริงๆ จึงไปจับตัวคนมาโดยไม่ลังเล ตอนนี้ได้หลีจวินเตือนสติ เขาจึงนิ่งเงียบครุ่นคิดขึ้นมาพลางพูดพึมพำกับตนเอง “ทั้งฝีมือและการกระทำของปรมาจารย์ไป๋ก็ไม่เหมือนลูกสาวอัครเสนาบดีอย่างที่ลือกันจริงๆ…” เขาเงยหน้าขึ้นทันใด “ปรมาจารย์ไป๋ปรากฏตัวครั้งแรกที่เมืองผิงเฉิง มีคนไปตรวจสอบดูแล้ว นางเคยชนะพนันหนึ่งล้านตำลึงเพียงชั่วข้ามคืนในบ่อนพนันของที่นั่น หลังจากนั้นเคยส่งสินค้าชุดหนึ่งไปที่หมู่บ้านในเขาไหวอิน สถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่ลูกสาวอัครเสนาบดีมู่หายตัวไปในตอนนั้น”

“ใต้เท้าเคยไปตรวจสอบแล้วหรือ” หลีจวินนั่งตัวตรง

“คนทั้งหมู่บ้านล้วนไม่อยู่แล้ว” จั่วเฟิงส่ายหน้าอย่างงุนงง “ถ้าไม่หวั่นเกรงอะไร เหตุใดนางจึงต้องเก็บกวาดจนสะอาดเช่นนี้”

“ตรวจไม่พบหลักฐาน ใต้เท้าจะคาดโทษปรมาจารย์ไป๋ได้อย่างไร”

การพิจารณาคดีจะอาศัยเพียงการคาดเดาไม่ได้ ยังต้องอาศัยหลักฐานที่แท้จริง

“เรื่องนี้…” จั่วเฟิงพูดไม่ออก เขาพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้าอีก “ข้างนอกลือกันไปทั่วว่านางก็คือลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ ข้าจึงไม่กล้าประมาท” ก่อนจะส่ายหน้าอย่างแรง “ยิ่งไปกว่านั้น…”

ยังไม่ต้องพูดถึงข่าวลือข้างนอกเลย แค่พูดถึงเรื่องที่หร่วนอวี้จับจ้องตาเป็นมัน อย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาปล่อยคนไปตามอำเภอใจได้ เกรงว่าหลีจวินจะรู้ว่าเขาถูกหร่วนอวี้บีบคอเอาไว้จนตัดสินใจเองไม่ได้แล้วจะเรียกเงินสินบนคืนไป เสียงพูดจั่วเฟิงจึงขาดห้วงไป

“ตระกูลหลียินดีใช้เงินมาประกัน ขอใต้เท้าปล่อยปรมาจารย์ไป๋ออกมาเพื่อรอการสอบสวน…” พอนึกถึงนางต้องอยู่ในคุกที่เย็นเยือกเพียงคนเดียว หัวใจหลีจวินก็บีบตัวอย่างเจ็บปวด เจ็บใจที่ตนเองไม่อาจไปนั่งอยู่ในคุกแทนนางได้

ใช้เงินมาประกัน!

จั่วเฟิงตัวสั่นกระตุกอีกหน แววตาเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็สลดลงไปอีก เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข้าไม่รับปากคุณชายใหญ่ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญ…” บากหน้าเล่าคร่าวๆ เรื่องที่หร่วนอวี้ยื่นเท้าเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วสุดท้ายก็พูดว่า “นอกจากใช้เงินมาประกันเพื่อรอการสอบสวนแล้ว คุณชายหลียังมีคำร้องขออย่างอื่นหรือไม่ ข้าจะพยายามทำอย่างเต็มที่”

อย่ามองว่าหลีจวินมีเงินมากแล้วจะใช้เงินจนมือเติบ จั่วเฟิงที่เข้าใจนิสัยของหลีจวินย่อมรู้ว่าเงินของอีกฝ่ายไม่ได้ถูกใช้ไปอย่างเสียเปล่าแน่นอน

ยามพูดคุยกับหลีจวินก็ดูอ่อนข้อให้สามส่วนโดยไม่รู้ตัว

“ใต้เท้าจั่วคิดจะยื่นฎีกาเรื่องนี้ไปที่ราชสำนักหรือ” หลีจวินขมวดคิ้วถาม

จั่วเฟิงพยักหน้าอย่างจนใจ “ผู้บัญชาการหร่วนยืนยันจะยื่นมือเข้ามายุ่ง ข้าจำต้องทำเพราะถูกบีบคั้น”

หลีจวินเกิดความคิด แอบคิดในใจว่าองค์รัชทายาททรงเดินเข้าออกห้องทรงพระอักษรได้แล้ว ถ้ารู้ว่าอาชิวเป็นลูกของอัครเสนาบดีมู่ องค์รัชทายาทจะต้องปกป้องชีวิตนางอย่างเต็มที่แน่นอน หร่วนอวี้ทำเช่นนี้เพราะอยากช่วยชีวิตนาง แต่ว่าเขาเงยหน้าขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าน้อยก็ไม่กล้าทำให้ใต้เท้าจั่วลำบากใจ เพียงขอให้ใต้เท้าจั่วจำไว้ว่าปรมาจารย์ไป๋ไม่เหมือนกับคนทั่วไป นางเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับหนึ่งที่ฝ่าบาทพระราชทานตำแหน่งให้ ถ้าโชคร้ายตายอยู่ในคุก ใต้เท้าจั่วจะกลายเป็นคนผิดไปเลย!”

เรื่องนี้จั่วเฟิงไม่เคยคิดมาก่อน พอได้ฟังคำพูดนี้แล้วเขาก็มีเหงื่อไหลลงมา

“อีกอย่าง…” ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก หลีจวินก็พูดต่อไปอีก “ปรมาจารย์ไป๋เป็นน้องสาวบุญธรรมของเอินชินอ๋องแคว้นเฉิน พูดไปแล้วก็เป็นท่านหญิงของแคว้นเฉิน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนาง เอินชินอ๋องคงไม่ยอมเลิกราแน่นอน”

จั่วเฟิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไม่หยุด เขาต้องพยายามอย่างเต็มที่ถึงควบคุมตนเองไม่ให้เสียมารยาทได้

ก่อนหน้านี้คิดแค่เพียงจะชิงอำนาจ อยากชุบเลี้ยงมู่หวั่นชิวที่เป็นต้นไม้เรียกเงินเอาไว้ ทั้งยังเคยตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าหากทำอะไรไม่ได้แล้วเขาก็จะชิงฆ่ามู่หวั่นชิวตัดหน้าหร่วนอวี้เสียเลย แล้วไปเอาความชอบจากอิงอ๋อง ฉวยโอกาสตอนที่อิงอ๋องยังไม่หมดอำนาจขอให้อิงอ๋องเตรียมทางหนีทีไล่ด้วยการหาสถานที่ที่ปลอดภัยไว้ให้ แต่คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังมู่หวั่นชิวจะมีอำนาจเหล่านี้อยู่

โดยเฉพาะเรื่องที่นางเป็นน้องสาวบุญธรรมของเอินชินอ๋อง เขาได้ลืมไปนานแล้ว

ได้หลีจวินเตือนสติ เขาก็เข้าใจในทันที เรื่องที่อยากจะชุบเลี้ยงหรือฆ่ามู่หวั่นชิวล้วนทำไม่ได้ ไม่เพียงไม่ได้ อีกทั้งจะให้เกิดเรื่องอันใดกับมู่หวั่นชิวตอนที่นางอยู่ในมือเขาไม่ได้เป็นอันขาด ก่อนพระราชโองการจะลงมา เขาต้องคุ้มครองมู่หวั่นชิวให้ดี

ความร่ำรวยในความเสี่ยงเช่นนี้หากเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะลองเสี่ยงดู แต่ตอนนี้มีเงินห้าแสนตำลึงของตระกูลหลีก็เพียงพอสำหรับครึ่งชีวิตที่เหลือของเขาแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเอาตนเองไปเสี่ยง สู้รับข้อเสนอของหลีจวิน ทำดีต่อมู่หวั่นชิวดีกว่า

ตัดสินใจได้แล้ว เขาก็หันไปหัวเราะเจื่อนๆ ทางหลีจวิน “ไม่ต้องให้คุณชายหลีพูด เรื่องเหล่านี้ข้าก็รู้ มิเช่นนั้นคงไม่ทะเลาะกับใต้เท้าหร่วนเช่นนี้” คำพูดเบาๆ แต่ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่หร่วนอวี้

ราวกับการจับมู่หวั่นชิวมานั้นล้วนเป็นเพราะหร่วนอวี้บีบบังคับ

“ข้าน้อยขอบคุณใต้เท้าจั่วที่มีความเสียดายคนมีฝีมือ” หลีจวินก็ไม่ได้พูดฉีกหน้าอีกฝ่าย เพียงพยักหน้า “อย่างไรนางก็เป็นสตรี ปรมาจารย์ไป๋ร่างกายบอบบาง หวังว่าใต้เท้าจั่วจะไม่ลงทัณฑ์นางก่อนที่พระราชโองการจะมาถึง”

“เรื่องนี้คุณชายหลีวางใจได้ ก่อนพระราชโองการจะมาถึง ข้าจะไม่เปิดศาลสอบสวนแน่นอน” แล้วจั่วเฟิงก็พูดรับรองกับหลีจวินว่า “ข้าจะรีบส่งม้าเร็ว ให้คนเร่งเดินทางไปถวายฎีกาต่อฝ่าบาทที่เมืองอันคัง”

“เช่นนี้ก็ดีที่สุด จบคดีปรมาจารย์ไป๋ให้เร็ว ใต้เท้าจั่วก็จะได้เสียแรงน้อยลงหน่อย” หลีจวินพยักหน้า แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ข้างนอกอากาศหนาว ขอใต้เท้าอนุญาตให้ข้าน้อยส่งพวกเตียง ฟูก ผ้าห่ม เตาผิง…”

เคยอยู่ในคุกมาก่อน หลีจวินย่อมรู้ถึงความลำบากของที่นั่น ก่อนมาวันนี้เขารู้แล้วว่าหร่วนอวี้ส่งทหารไปล้อมคุกจวนว่าการเจ้าเมืองไว้ การที่ให้สินบนจำนวนมหาศาลไปเขาก็ไม่ได้หวังว่าจั่วเฟิงจะตัดสินใจปล่อยคนออกมา เป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็เพื่อหยุดความอยากฆ่ามู่หวั่นชิวของจั่วเฟิงที่มีต่อมู่หวั่นชิวและปรับสภาพความเป็นอยู่ของนางในคุกให้ดีขึ้น

หากเป็นคนทั่วไป ใครคงคิดว่าหลีจวินทำเช่นนี้ไม่คุ้มค่า

แต่หลีจวินไม่ใช่คนทั่วไป มู่หวั่นชิวเป็นหัวใจของเขา เขายอมใช้ทุกอย่างที่ตระกูลหลีมี แต่จะไม่ยอมให้มู่หวั่นชิวได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ

เพียงแค่คิดถึงความเย็นชื้นภายในคุก เขาก็เจ็บปวดใจแล้ว

รับเงินมาแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนทำให้ได้ เดิมทีจั่วเฟิงก็รู้สึกกระวนกระวายใจ พอได้ฟังคำพูดนี้เขาจึงรีบพยักหน้า “ได้ๆ ขอเพียงปรมาจารย์ไป๋ไม่ออกจากคุก คุณชายหลีอยากจะตกแต่งคุกเป็นห้องหอข้าก็ไม่ยุ่งด้วย!” เห็นหลีจวินยิ้ม เขาจึงรีบพูดเสริมอีกประโยค “แต่ว่าห้ามส่งสาวใช้เข้าไปข้างใน ห้ามกั้นหน้าต่างกับประตู”

ประตูกับหน้าต่างคุกจำเป็นต้องโปร่งก็เพื่อให้ง่ายต่อการเฝ้าระวัง นี่เป็นกฎ อย่างไรเสียทหารองครักษ์ของหร่วนอวี้ก็ยังคอยจับตามองที่นั่นอยู่

“ขอบคุณใต้เท้าจั่ว” หลีจวินยืนขึ้น “ใต้เท้าอนุญาตให้ข้าน้อยเข้าไปเยี่ยมในคุกได้หรือไม่”

“เอ่อ…” จั่วเฟิงลังเลใจแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์ไป๋เป็นคนมีชื่อเสียงของต้าเยี่ยและไม่เคยมีความผิด คุณชายหลีไปเยี่ยมก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่า…” เขามองหลีจวินด้วยใบหน้าเหยเก “ในคุกยังมีทหารองครักษ์ของผู้บัญชาการหร่วนคอยเฝ้าอยู่ด้วย ขอเพียงเขายอมปล่อยคุณชายหลีเข้าไป คุณชายหลีก็เข้าไปเยี่ยมได้เลย”

“ขอบคุณใต้เท้าจั่วมาก” หลีจวินไม่พูดพล่ามก็ก้าวเท้าเดินจากไปเลย

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 24 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Jamsai Editor: