X
    Categories: overgraYทดลองอ่านเสด็จอา

เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 3.2

 

เมื่อกลับมาถึงวังอ๋อง เนื่องจากเหตุการณ์ของชายาทำให้บรรยากาศในวังยังคงอึมครึม

ข้าเรียกคนให้หยิบกาสุรามาดื่มในสวนเล็กของตำหนักตามลำพัง

ปกติไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้ภายใต้ดวงจันทร์ ในเงาต้นไม้ ข้านั่งอยู่เช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาบ้าง

มาๆ ไปๆ ล้วนเป็นคำลวง ลวงเสียจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือจริง

ก็คล้ายกับหลิ่วถงอี่ ชีวิตนี้ชาตินี้หวังให้เขากับข้าพูดซื่อตรงจากใจไร้วาจาตามมารยาทเกรงว่าคงเป็นได้แค่ฝัน

เมื่อครู่ที่วังไต้อ๋อง ก่อนไปอวิ๋นอวี้ยังพูดกับข้าประโยคหนึ่ง ไม่พ้นบอกข้าอย่าได้ลืมนัดที่หอเยวี่ยหวา

หอเยวี่ยหวา พวกอวิ๋นถังต้องการปรึกษากับข้าว่าจะลงมือเมื่อใด

เตรียมการหลายปี วางแผนหลายปี เมื่ออรุณเบิกฟ้าในที่สุดจะได้กำหนดชะตาแผ่นดิน

หลายปีก่อนจำได้ว่าก็เป็นคืนที่แสงจันทร์สาดส่องเช่นนี้ อวิ๋นถังกับหวังฉินพูดกับข้าว่า ‘เจ้าเด็กไร้คุณธรรมครองตำแหน่งฮ่องเต้ สตรีโง่งมยึดอำนาจราชสำนัก เพื่อแผ่นดินและราษฎร บรรดาข้าน้อยเลือกสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายทรงคุณธรรม หวังให้ไหวอ๋องครองแผ่นดิน’

ล้วนเป็นคำเลอะเลือน

ความสามารถของฉีเจ่อนั้นอดีตฮ่องเต้ก็ไม่อาจเทียบ ย่อมต้องเป็นรัชสมัยฮ่องเต้ทรงคุณธรรม ไทเฮาเป็นสตรีโง่งมก็จริง แต่โชคดีที่พระนางโง่งมโดยเนื้อแท้ ขอเพียงฉีเจ่ออายุมากกว่านี้อีกสักนิด พระนางก็ไม่อาจยึดอำนาจราชสำนักได้อีก แค่เพราะข้าเป็นผู้ชมชอบบุรุษและไร้ความสามารถ อีกทั้งเล่าลือกันว่าวังไหวอ๋องมีขุมกำลังลับที่สามารถล้มล้างราชวงศ์ได้ อวิ๋นถังกับหวังฉินถึงร่วมกันมาหาข้า รอจนหลังจากแย่งชิงบัลลังก์มาได้สำเร็จค่อยกำจัดบันไดปีนกำแพงอย่างข้า สองฝ่ายต่อสู้แย่งชิงกันและกัน ผู้ชนะคนสุดท้ายได้ครองใต้หล้า

นี่เป็นเรื่องที่ขนาดคนโง่ยังดูออกทะลุปรุโปร่ง

ดังนั้นข้าจึงตอบรับ

ร่วมมือวางแผนกับอวิ๋นถังและหวังฉินมาจนถึงทุกวันนี้

ข้าจำได้ว่าตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่เคยบอกข้าไว้ ‘บิดาของเจ้ามีคุณูปการสูงเกินไป พลอยทำให้เจ้ากับทายาทของเจ้าต้องโดนหวาดระแวงไปด้วย การเมืองราชสำนักก็เป็นเช่นนี้ ขอแค่ปลีกตัวออกมาได้เร็ว ซ่อนเร้นในป่าเขา ถึงสามารถมีจุดจบที่ดี’

ผู้ใหญ่อย่างนางเข้าใจชัดแจ้งมาตลอด ข้ากลับไม่ได้ทำตามคำสั่งสอนของนาง

อาจเป็นเพราะท้ายที่สุดแล้วในตัวข้ายังมีเลือดร้อนที่เหมือนกับบิดาไหลเวียนอยู่บ้าง ข้าเพียงแค่ไม่ยอมแพ้ ยังไม่พร้อมใจจะยอมแพ้

ข้าจำได้ว่าเมื่อข้ายังเป็นเด็ก บิดาของข้ากลับจากสงคราม เวลาที่เอ่ยถึงสนามรบก็จะมีท่าทีสดชื่นแจ่มใส ในใจของเขามีแต่แผ่นดิน มีแต่ความจงรักภักดี มีแต่ใต้หล้าของสกุลจิ่งเท่านั้น

แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับมีแต่ความหวาดระแวง มีแต่ฉายาว่าเป็นเนื้อร้ายซึ่งลูกชายอย่างข้าแบกรับอยู่ตอนนี้

ข้าเพียงแค่คิด คิดว่าหลังจากใช้ชีวิตธรรมดามาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว จะสามารถกระทำเรื่องลั่นฟ้าสะเทือนดิน ทำให้บรรดาคนที่ได้ชื่อว่าฝ่ายคุณธรรมและคนใต้หล้าได้เข้าใจว่าวังไหวอ๋องมิใช่รังของเนื้อร้าย ไหวอ๋องสองอักษรนี้ต้องเขียนไว้ในบันทึกขุนนางผู้จงรักภักดี มิใช่บัญชีขุนนางชั่ว

บิดาข้าออกรบชั่วชีวิต เพียงต้องการให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นมั่นคง ให้ราษฎรทั่วหล้าสงบสุข

อย่างน้อยก็ทำได้เหมือนกับเขา ช่วยรักษาแผ่นดินที่เขาปกป้องมาชั่วชีวิตสักครั้ง

มิใช่เพื่อสิ่งอื่นใด เพียงเพราะข้าเรียกขานเขาว่าบิดา

หรือบางทีอาจไม่เสียทีที่ฉีเจ่อเรียกข้าว่าเสด็จอามาหลายปี ไม่ว่าจะเรียกด้วยใจจริง หรือเรียกตามมารยาท

แต่หลังจากเรื่องนี้แล้ว ข้าจะเป็นเช่นไร จะเกิดผลเช่นไร ข้าคงคาดเดาไม่ถูก

บางทีหลิ่วถงอี่อาจเรียกข้าว่าไหวอ๋องด้วยความเต็มใจสักครั้ง ฉีเจ่ออาจเรียกข้าว่าเสด็จอาจากใจจริงก็เป็นผลที่ดีที่สุดสำหรับข้าแล้ว

ข้าชมจันทร์ร่ำสุรา พลันคิดได้ว่าเส้นทางที่ข้าเดินตอนนี้โง่เขลากว่าบิดาในตอนนั้นเสียอีก แผ่นดินราชสำนักเกี่ยวกับข้าตรงไหน ไม่มีข้าคนนี้ก็คงเหมือนเดิม หากข้าไม่ได้เป็นสายลับทางฝั่งอวิ๋นถังกับหวังฉิน พวกเขาจะกบฏก็คงไม่สำเร็จ อย่างมากก็ไม่อาจกำจัดกองกำลังทั้งหลายได้สะอาดหมดจดเท่านั้น อาจเกิดความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ขอแค่จับหัวหน้าตัวการได้ก็ยากที่จะทำการใหญ่

เช่นนั้นข้าจะเป็นสายลับนี้ไปเพื่ออะไร

หากไม่ทำ ข้าก็ยังเป็นไหวอ๋องผู้ใช้ชีวิตธรรมดาไปวันๆ คนเดิม ถูกบรรดาฝ่ายคุณธรรมเห็นเป็นเนื้อร้าย ถูกฮ่องเต้และมารดาเขาเพ่งเล็งชั่วชีวิต

ดังนั้นเหตุผลที่ข้าต้องการทำเรื่องที่สวรรค์ยังซาบซึ้งนั้นเป็นสิ่งลวง เป้าหมายของข้าอาจแค่เพื่อให้ตนเองมีชื่อเสียงดีงามเท่านั้น

ชื่อเสียงดีงามจะได้รับหรือไม่ยังไม่รู้

ครุ่นคิดไปเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งลึก ยิ่งคิดยิ่งวกไปวนมา สุดท้ายดื่มจนตนเองเมามาย ในความมึนงงสับสนพบว่าตนเองหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นอย่างมึนงงสับสนอีกครั้งก็พบว่าข้าหลับอยู่บนเตียง ฟ้าสว่างมากแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านเฉายืนอยู่ที่หัวเตียงข้า “ท่านอ๋องตื่นแล้ว เมื่อวานกลางดึกบ่าวเห็นท่านอ๋องเมามาย หลับในสวนดอกไม้ จึงให้ข้ารับใช้พยุงท่านกลับมาที่ห้อง”

ศีรษะข้าปวดร้าว ฝืนเปิดเปลือกตาบวมเป่งขึ้นมาพูดว่า “ตอนนี้ยามใดแล้ว”

หัวหน้าพ่อบ้านเฉาพูดว่า “ใกล้เที่ยงแล้วขอรับ”

ข้าเลิกผ้าห่ม หัวหน้าพ่อบ้านเฉาก็พูดขึ้นว่า “ใต้เท้าอวิ๋นมา ตอนนี้อยู่ที่โถงหน้าขอรับ”

ข้ารู้แก่ใจว่าอวิ๋นอวี้มาครั้งนี้คงเพื่อเตือนให้ข้าอย่าได้ลืมนัดที่หอเยวี่ยหวา บางทีอาจพูดถึงเรื่องหลิ่วถงอี่อีกหลายประโยค

ข้าลงจากเตียง พูดกับหัวหน้าพ่อบ้านเฉา “สั่งการห้องเครื่อง จัดเตรียมอาหารเช่นเคย ใต้เท้าอวิ๋นอาจจะรั้งอยู่กินข้าวด้วย”

หัวหน้าพ่อบ้านเฉาโค้งกาย “ให้ห้องเครื่องจัดเตรียมไว้แล้วขอรับ”

 

เมื่อถึงโถงหน้าก็เห็นอวิ๋นอวี้นั่งจิบชา ผ่อนคลายยิ่ง

ข้ายิ้ม “ใต้เท้าอวิ๋น”

อวิ๋นอวี้ลุกขึ้น ยิ้มเช่นกัน “ท่านอ๋อง”

ข้านั่งลงที่เก้าอี้ “วันนี้ลุกขึ้นก็สายแล้ว ไม่รู้ว่าใต้เท้าอวิ๋นจะมา”

อวิ๋นอวี้พูดว่า “ไม่เป็นไร อย่างไรก็ไม่ได้รอนานนัก เพียงเกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของท่านอ๋อง” เขามองไปด้านข้าง “ห้องโถงของท่านอ๋องปรับเปลี่ยนบ่อยใช่หรือไม่ วันนี้มองแล้วแตกต่างไปจากเมื่อก่อน”

ข้าพูดว่า “เอ่อ” แม้ที่นี่จะเป็นห้องโถงวังข้า แต่สองวันนี้เกิดเรื่องมากมาย ข้าจึงไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง มองไปมองมาก็ยังคงเป็นเหมือนเก่า “บางทีข้ารับใช้คงสลับที่ของประดับเวลาทำความสะอาด ข้าก็ไม่ได้สังเกต”

อวิ๋นอวี้หรี่ตา “ของประดับในห้องเหมือนจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไต้อ๋องมาขอสิ่งของจากท่านอ๋องอีกแล้วหรือ”

เมื่อถูกสะกิดเตือน ข้าก็คิดขึ้นได้ว่า “สองวันนี้ไต้อ๋องไม่มีเวลาหรอก เมื่อวานนำเมล็ดท้อแกะสลักทูลถวายฝ่าบาทไปแล้ว”

โชคดีที่เมื่อวานเย็นข้ากลับมายังไม่ลืมเรื่องนี้ รีบใช้คนห่อเมล็ดท้อแกะสลักลายงานเลี้ยงแปดเซียนชุดนั้นส่งเข้าวังหลวงไปแล้วจึงกลับตำหนักดื่มสุรา

อวิ๋นอวี้พูดว่า “อ้อ”

เมื่อคิดต่อข้าก็พลันคิดขึ้นได้อีกเรื่อง เมล็ดท้อแกะสลักลายงานเลี้ยงแปดเซียนชุดนี้คล้ายจะเป็นอวิ๋นอวี้มอบให้ข้า บอกว่าเป็นของฝากที่คนของบิดาเขาได้มาจากเจียงหนาน

ข้ารีบกล่าวขอโทษ “ไม่ได้บอกกล่าวใต้เท้าอวิ๋นก่อนก็ทูลถวายให้ฝ่าบาทแล้ว เป็นข้าละเลยไป ขอใต้เท้าอวิ๋นอย่าได้ถือสา”

อวิ๋นอวี้ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติอันใด แล้วพูดยิ้มๆ “ไหนจะกล้าๆ เดิมทีก็เป็นของท้องตลาดด้อยราคา ได้รับเมตตาจากท่านอ๋อง วางประดับไว้ที่โถงหน้าอยู่นาน ทั้งเป็นของกำนัลทูลถวายฝ่าบาท ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง เพียงแต่…หากสามารถทำให้ฝ่าบาททรงเกษมสำราญ ข้าน้อยคงต้องขอทวงบุญคุณจากท่านอ๋องสักครั้ง”

ข้าพยักหน้า “แน่นอนๆ นี่เป็นบุญคุณชิ้นใหญ่”

เพราะว่าที่นี่คือโถงหน้า รอบด้านอาจมีหูตาของผู้อื่นแอบฟังอยู่ อวิ๋นอวี้เพียงแค่วางท่าทีเหมือนเขามาพบปะเท่านั้น พร้อมพูดคุยเกี่ยวกับหัตถกรรมของเจียงหนาน ก่อนเล่าถึงทัศนียภาพผู้คนอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งหัวหน้าพ่อบ้านเฉามาบอกว่าอาหารกลางวันพร้อมแล้ว

อวิ๋นอวี้ลุกขึ้นยืน “อ่า เช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนเวลาท่านอ๋องแล้ว ขอตัวกลับก่อน”

ข้าพูดยิ้มๆ “ไยวันนี้ใต้เท้าอวิ๋นถึงเกรงใจกันเช่นนี้ ทำเหมือนเมื่อก่อนข้าแอบไปกินคนเดียวในห้องไม่เคยเชื้อเชิญท่านอย่างนั้น หรือจะให้ข้าเขียนเทียบเชิญท่านเสียตอนนี้เลย”

ข้าผายมือเชื้อเชิญ อวิ๋นอวี้ก็เดินไปห้องอาหารพร้อมกับข้า รอจนอาหารวางบนโต๊ะแล้วก็นั่งลงประจำที่ จานชามวางอยู่ตรงหน้าแล้ว สุราถูกรินจนเต็มจอกแล้วถึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “เมื่อคืนวานที่วังไต้อ๋อง ข้าน้อยพูดล้อเล่นกับท่านอ๋องต่อหน้าเสนาบดีหลิ่ว เกรงว่าท่านอ๋องจะโกรธเคือง กลางวันนี้คงไม่มีข้าวกินแล้ว”

ข้าจับตะเกียบขึ้นมาพร้อมพูดว่า “ข้าใจกว้างเสมอ ไม่เคยคิดแค้น อีกอย่าง ถึงแม้จะคิดแค้นก็ไม่กล้าไม่รั้งตัวใต้เท้าอวิ๋นอยู่กินข้าวหรอก”

อวิ๋นอวี้พูดว่า “เป็นข้าน้อยใช้จิตใจคับแคบคาดคะเนคนใจกว้างแล้ว” แล้วพูดด้วยเสียงที่ค่อยลง “สองวันหลังจากนี้ที่หอเยวี่ยหวา ข้าน้อยมีของขวัญชิ้นใหญ่จะมอบให้ท่านอ๋อง ถือว่าเป็นของขอขมา”

แล้วก็ไม่พ้นเรื่องหอเยวี่ยหวา

ข้าพูดว่า “ได้ ข้าจะรอ”

ผ่านไปหลายจอกสุรา อวิ๋นอวี้ก็เริ่มหัวข้อสนทนา เขาพูดกับข้าว่า “ท่านอ๋องลองทายดู ที่ข้าน้อยพูดล้อเล่นเมื่อคืนวาน เสนาบดีหลิ่วฟังออกถึงความหมายแท้จริงหรือไม่”

ข้าครุ่นคิดอยู่ในใจ คำพูดเมื่อวานของอวิ๋นอวี้ ข้าเดาว่าหลิ่วถงอี่น่าจะฟังออก ตอนนั้นยังพูดต่อประโยคหนึ่ง ข้าอยากจะเดาเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้า

หลิ่วถงอี่ หลิ่วถงอี่ ในเมื่อเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลิ่วถงอี่

อวิ๋นอวี้จิบสุราคำหนึ่งแล้วพูดว่า “หลิ่วถงอี่ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นเสนาบดีหลิ่ว แน่นอนว่าคงฟังออกถึงความหมายที่แท้จริง” เขาเลิกคิ้ว “ประโยคนั้นกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง ท่านอ๋องรู้สึกยินดียิ่งใช่หรือไม่”

ข้าแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ หัวเราะกลบเกลื่อนไป แล้วเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้

หลังจากกินเสร็จ ข้าก็เชิญอวิ๋นอวี้ไปนั่งที่สวนเล็กด้านหลัง ซ้ายขวาไม่มีคนนอก ในศาลาเหนือสระน้ำ ลมโชยอ่อนพัดเย็นสบาย

ขณะที่อวิ๋นอวี้ยกชายแขนเสื้อรินน้ำชา ข้าก็พูดขึ้นว่า “เรื่องหลังจากนี้สองวันข้าจะไม่ลืมแน่นอน ใต้เท้าอวิ๋นโปรดวางใจ”

กลิ่นหอมของชาฟุ้งโชยในสายลม อบอวลในศาลา บางเบาแต่ลึกล้ำ

อวิ๋นอวี้พูดว่า “วันนี้ข้าน้อยมากเรื่องไปสักหน่อย วาจาก็มากความ เกรงว่าคงทำให้ท่านอ๋องรำคาญแล้ว แต่บางคำไม่อาจไม่พูดไว้ก่อน หลายปีที่กระทำการเรื่องใหญ่นี้ ท่านอ๋องรู้สึกว่าพวกเราทำการได้บกพร่องตรงไหนหรือไม่”

ข้าพูดว่า “บกพร่องหรือไม่ ข้ารู้สึกว่ามิได้แตกต่าง ไม่ว่าข้าจะอยู่ในกรอบหรือไม่ ฮ่องเต้กับไทเฮาล้วนระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หาโอกาสเหมาะสมเพื่อจัดการกับข้า”

อวิ๋นอวี้ไม่ได้ตอบคำ ข้าใช้พัดมาเคาะหน้าผากเบาๆ พูดต่อว่า “ใต้เท้าอวิ๋น ที่จริงแล้วอยากถามท่านมาโดยตลอด ข้ากระทำเช่นนี้ชอบด้วยเหตุผล แล้วใต้เท้าอวิ๋นเล่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้”

อวิ๋นถังอำนาจล้นฟ้า อวิ๋นอวี้อายุน้อยเพียงเท่านี้ เวลานี้ในราชสำนักก็มีเพียงหลิ่วถงอี่ที่เก่งกาจกว่าเขาเล็กน้อย ถึงแม้ข้าจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ อำนาจของพวกเขาสองพ่อลูกก็คงจะได้เพียงเท่านี้ หากข้าไม่ถามข้อสงสัยออกไปคงแลดูเสแสร้งยิ่ง

อวิ๋นอวี้ชะงักไป ก่อนจะตอบด้วยท่าทีจริงจัง “เพราะข้าน้อยรู้สึกว่าไหวอ๋องถึงเป็นโอรสมังกรสวรรค์ที่แท้จริง”

ข้าพูดว่า “คำพูดนี้ของใต้เท้าอวิ๋นจอมปลอมยิ่ง เรื่องที่ข้าถูกใจหลิ่วถงอี่ยังถูกท่านล้อเลียนทั้งวัน ตอนนี้กลับมาพูดตามมารยาทอีกแล้ว”

สีหน้าท่าทางของอวิ๋นอวี้แปรเปลี่ยน สีหน้าและแววตาคล้ายมีสิ่งใดพาดผ่าน พอกำลังจะค้นหาก็กลับมายิ้มบางอีกแล้ว “ถ้าให้พูดความจริงก็คือ…ท่านอ๋องยังมีทางเลือกว่าจะอยู่ในกรอบ แต่ข้าเกิดมาก็เป็นบุตรของอวิ๋นถังแล้ว แล้วบุตรชายของเนื้อร้ายจะเป็นเนื้อดีได้หรือ”

ข้านิ่งงัน ไม่อาจตอบคำ อวิ๋นอวี้พูดต่อว่า “ดังนั้นข้าน้อยจึงต้องพูดมากความต่อไป ท่านอ๋อง ข้ารู้สึกว่าคนเราเกิดมาบางสิ่งชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ทำได้แค่ยอมจำนน หากจำต้องฝืนชะตาให้ได้จะไม่มีจุดจบที่ดี”

ฟังผิวเผินเหมือนอวิ๋นอวี้กำลังพูดกล่อมข้า แต่น้ำเสียงเย้ยหยันเต็มที่ ข้ามองเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกเวทนาอยู่บ้าง ที่จริงแล้วอวิ๋นอวี้ค่อนข้างคล้ายกับข้า พอเกิดมาก็ล้วนถูกคนมองเป็นอนาคตแมลงไชชอนเสาหลักของราชสำนักโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บิดาของข้าและข้าถูกใส่ความ ข้ายังสามารถเรียกร้องความยุติธรรมได้ อวิ๋นถังกลับเป็นจริงตามชื่อเสียง ไม่สิ ควรเป็นชื่อเสียงไม่เป็นตามความจริง หมวกเนื้อร้ายก้อนใหญ่ที่สุดที่ข้าสวมใส่อยู่นั้นแท้จริงแล้วสมควรเป็นของเขา

มีคำพื้นบ้านกล่าวไว้ เกิดในตระกูลร่ำรวยด้วยชาติที่แล้วจุดธูปดอกยาว สะสมบุญมาก

ดูจากอวิ๋นอวี้แล้ว คำพูดนี้ไม่ถูกต้องนัก ไม่แน่ชาติที่แล้วของเขาอาจสร้างกรรมอันใดไว้ ทำให้เกิดเป็นลูกของอวิ๋นถัง

ข้าลุกขึ้น มองออกนอกศาลาไปไกล ส่งเสียงหัวเราะลุ่มลึก “ได้ยินใต้เท้าอวิ๋นบอกยอมจำนนต่อชะตาชีวิต รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ ข้าไม่เคยยอมจำนน”

ข้ากำหมัดซ้ายช้าๆ กล่าวประโยคสุดท้ายด้วยเสียงเรียบแต่มีพลัง “ข้าแค่เชื่อว่าเพียงปรารถนาก็สามารถได้มันมา”

คำพูดหลุดจากปากแล้ว ข้ายังนับถือตนเอง ชั่วครู่หนึ่งคล้ายข้าจะยื่นมือออกไปแล้วกำบัลลังก์มังกรไว้ในมือ

อวิ๋นอวี้ปรบมืออยู่ด้านหลังข้าสองที “วันนี้ข้าน้อย บิดา และใต้เท้าหวังยอมติดตามคนที่เด็ดเดี่ยวเช่นท่านแต่เพียงผู้เดียว มีเพียงความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกครองแผ่นดิน”

ข้าหันกลับไป ยิ้มให้อวิ๋นอวี้เล็กน้อย “ข้าก็ต้องการผู้ช่วยอย่างอาจารย์ของอัครเสนาบดีกับใต้เท้าอวิ๋นเช่นกัน ที่จริงแล้วช่วงนี้ข้าเจตนาใกล้ชิดสนิทสนมกับเสนาบดีหลิ่วก็เพื่อสืบข้อเท็จจริงของฮ่องเต้หลานข้า”

อวิ๋นอวี้ส่ายหน้าพูดว่า “ท่านอ๋องคิดสืบหาข้อเท็จจริงจากหลิ่วถงอี่ เกรงว่ายากลำบาก ข้าน้อยต้องขอมากความสักหลายประโยค คนผู้นี้ตึงมือยิ่ง ไม่เช่นนั้น…” สองตาของอวิ๋นอวี้มองตรงมาที่ข้า “ท่านอ๋องคิดว่าเหตุใดหลิ่วถงอี่ถึงยังไม่แต่งงาน”

หัวใจของข้าบีบรัดอีกครั้ง

มุมปากของอวิ๋นอวี้ยกขึ้นหนึ่งส่วน “สาเหตุที่หลิ่วถงอี่ไม่แต่งงานกับสาเหตุที่ทุกวันนี้ข้าน้อยไม่แต่งงาน ท่านอ๋องยังไร้ทายาทคงจะเหมือนกันกระมัง”

ใจข้าหนักอึ้ง

อวิ๋นอวี้พูดความจริง

ข้าไร้ทายาท มิใช่เพราะไม่ได้แตะต้องสตรีจริงๆ อวิ๋นอวี้ยังไม่แต่งภรรยา มิได้เป็นเพราะเขาชมชอบบุรุษ เพียงแต่มีภรรยามีบุตรก็มีภาระมีความพะวง หากการใหญ่ล้มเหลว คงพากันทิ้งชีวิตไปเสียเท่านั้น

การใหญ่ที่วางแผนกันหลายปี ฉีเจ่อกับไทเฮาคงทราบเรื่องอยู่แล้ว หรือแม้จะไม่รู้ก็คงวางแผนถอนรากถอนโคนมาโดยตลอด

บางเรื่อง ข้าไม่อยากคิดมาก

คิดมากก็พานจะทำให้ตัวเองไม่สบายใจ

หลิ่วถงอี่ยังไม่แต่งงานก็หมายความว่าเขาเตรียมพร้อมอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีคนเอ่ยถึงมากนัก มีคนมาทาบทามแค่สองสามคน ฉีเจ่อกับผู้ที่ชอบยุ่มย่ามงานแต่งงานของผู้อื่นอย่างไทเฮายิ่งแสร้งทำไม่ยุ่งเกี่ยว แค่รอการใหญ่ยุติลงแล้วค่อยคุยเรื่องแต่งงาน

การใหญ่ที่พูดถึงคือชำระล้างภัยคุกคามบัลลังก์ฮ่องเต้ที่แอบแฝงในราชสำนัก

หลิ่วถงอี่ดำรงตำแหน่งเสนาบดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการใหญ่นี้เขาต้องเป็นคนวางอุบาย

เขาวางอุบาย เตรียมการ และงานสำคัญที่สุดเก้าในสิบส่วนคงไม่พ้นภารกิจจะเอาชีวิตข้าอย่างไร

อวิ๋นอวี้เดินมาถึงข้างกายข้า ไพล่มือไว้ด้านหลัง สายตาลึกล้ำ “ยังดีที่ท่านอ๋องเพียงแค่ต้องการสืบตื้นลึกหนาบางจากหลิ่วถงอี่ หากท่านอ๋องถูกใจคนผู้นี้จริงๆ ด้วยนิสัยคนผู้นี้แล้ว เกรงว่าสุดท้ายคนที่จะเสียใจคงเป็นท่านอ๋อง”

หลิ่วถงอี่ หลิ่วถงอี่ หากข้าก่อกบฏจริงและพ่ายแพ้ ไม่ต้องพูดถึง ชีวิตข้านี้คงจบลงด้วยน้ำมือเขา

หากข้าชนะ ด้วยนิสัยเขา…เพียงคิด ตับไตไส้พุงของข้าก็หดเกร็งสั่นสะท้านจนไม่อยากคิดอีกต่อไป

อวิ๋นอวี้พูดเรียบๆ ในประโยคที่ข้าไม่อยากคิดต่อ “ไม่สำเร็จก็ย่อยยับ”

ข้าได้แต่ลอบถอนใจ

โชคดี

โชคดีที่ข้าเป็นเพียงสายลับเท่านั้น

 

วันถัดมา ในที่สุดข้าก็มีวันว่าง วังหลวงไม่มีราชโองการเรียกตัว และไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียน

บางทีคนเราก็มีข้อเสียเช่นนี้ หากกำลังยุ่งก็มักรู้สึกว่าจะอย่างไรก็นอนไม่พอ ถึงเวลาต้องตื่นก็อยากใช้เวลาที่ข้ารับใช้เตรียมอ่างล้างหน้าเอนตัวกลับไปฟุบที่นอนต่ออีกหน่อย แต่วันที่ไม่มีอะไรทำจริงๆ อย่างเช่นวันนี้ ไม่มีคนรบกวนฝันดีของข้า ข้าตะแคงนอนก็แล้ว หงายตัวนอนก็แล้ว ยังไม่ทันหลับถึงเที่ยงก็นอนต่อไปไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาเอง

หลังจากกินอาหาร ข้าก็เดินย่อยในตำหนักกลาง รู้สึกเหงาจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเดินเล่นในสถานที่ที่หาความสำราญได้

ในเมืองหลวงคนที่ชอบไปหอโคมเขียวมีไม่น้อย แต่สถานที่ที่ข้าไปได้กลับมีไม่มาก เนื่องจากความชมชอบของข้าไม่ค่อยเหมือนผู้อื่น ปกติพวกเขาล้วนชอบที่อายุน้อยเสียงอ่อนหวานหน้าอ่อนวัย ข้าชอบที่อายุค่อนข้างมาก แต่ปกติแล้วคนอายุมากที่ข้าชอบแล้วยังบริสุทธิ์อยู่มีไม่มาก

ที่จริงข้าไม่ค่อยรังเกียจว่ายังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ เพียงแต่ถ้าไม่บริสุทธิ์และไม่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ แล้วปกติจะไม่กล้าต้อนรับข้า อาจเป็นเพราะในคำเล่าลือว่าข้ายากจะปรนนิบัติ ข้อนี้ข้าเองก็จนใจ ข้ารู้สึกว่าตนเองมิใช่คนเรื่องมาก บางทีข้าอาจค่อนข้างเลือกเฟ้นหน้าตา จริงๆ ทั่วเมืองหลวงคนอันดับต้นๆ จะมีสักกี่คน ดังนั้นเวลาที่เที่ยวหอโคมเขียวข้าจะรู้สึกอ้างว้างกว่าผู้อื่นเล็กน้อย

พอข้ามาถึงหอมู่มู่ก็วางหมากกับฉู่สวินครู่หนึ่ง ดื่มชาหลายถ้วย

ฉู่สวินเป็นคนที่ข้ามักมาหาบ่อยครั้งในช่วงปีสองปีมานี้ เขามีหน้าตางดงาม เชี่ยวชาญการรับมือแขก นิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม รู้จักพูดจาเหมาะสมในเวลาอันสมควร เวลาไม่ควรพูดก็จะไม่เอื้อนเอ่ยสักประโยค หากเป็นในราชสำนัก คนที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าเป็นยอดคนแล้ว

เวลาปกติแม้ข้าจะรู้สึกว่าฉู่สวินดีมาก แต่อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เหงาเล็กน้อย จึงรู้สึกว่านิสัยเขาล้ำค่าเป็นพิเศษ

เมื่อข้าโอบฉู่สวินบนเตียง ยิ่งรู้สึกว่าเขาต้องใจข้า ข้าสางผมที่เปียกเหงื่อเหนือหน้าผากของเขา พูดยิ้มๆ ทีเล่นทีจริงว่า “หรือเจ้าจะกลับวังไปกับข้าดี”

ฉู่สวินหัวเราะครั้งหนึ่ง น้ำเสียงค่อนข้างเกียจคร้าน “ท่านอ๋องมิใช่ไม่พาคนกลับวังอ๋องหรอกหรือ”

ข้าพูดว่า “นั่นเป็นเมื่อก่อน มิใช่กฎเกณฑ์อันใด” ข้าเอนกายกึ่งนั่งมองเขา “กลับไปกับข้าเถิด”

ฉู่สวินยันกายขึ้น ยกมือหยิบเสื้อตัวในมาคลุมบ่า “อืม”

แล้วข้าก็พาฉู่สวินกลับวังจริงๆ ข้าเที่ยวเตร่หอโคมเขียวมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพาคนจากข้างนอกกลับวัง เมื่อคิดถึงจุดนี้ข้าพลันรู้สึกเศร้าใจ

ตอนนี้ยังเป็นเวลาบ่าย ยังห่างจากยามเย็นช่วงหนึ่ง ข้าไม่อยากเอิกเกริก ตอนมาหอมู่มู่จึงนั่งเกี้ยวเล็กมา พอพาฉู่สวินกลับไปด้วย ถึงรู้สึกว่าเกี้ยวค่อนข้างแออัด แต่เบียดกันก็ดี ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

ฉู่สวินนั่งชิดกับข้า เขาอาบน้ำเสร็จก็ตามข้าไปทันที เวลาเกี้ยวส่ายน้อยๆ กลิ่นหอมหลังอาบน้ำก็โชยมาคล้ายมีคล้ายไม่มี

ข้างกายมีคนเช่นนี้ เอื้อมมือสามารถสัมผัสถึง อยากกอดก็กอดได้ พูดจามีคนขานรับ ในใจรู้สึกเติมเต็ม ไม่โหวงเหวงเหมือนคืนวานจนเช้านี้

ข้าดึงมือของฉู่สวินมา กำลังจะทำสิ่งอื่น เกี้ยวก็ส่ายก่อนหยุดลง

ข้ารอครู่หนึ่ง ถามว่า “มีเรื่องอันใด”

ข้ารับใช้ติดตามนอกเกี้ยวตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง ด้านหน้ามีคนมาขวางทาง มิรู้ด้วยเหตุใด ได้ส่งคนไปสืบความแล้วขอรับ”

ครู่หนึ่งคนที่ไปสืบความก็กลับมา “เป็นเกี้ยวของเสนาบดีหลิ่วขวางอยู่ คล้ายมีคนร้องทุกข์กล่าวโทษ กั้นเกี้ยวของเสนาบดีหลิ่วเอาไว้ ถนนทั้งสายถูกปิดขอรับ”

ข้ารีบเปิดม่านเกี้ยวทันที “จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าจะไปดูสักหน่อย”

ถนนเซิ่งหลงสายนี้นับว่าเป็นถนนค่อนข้างกว้างสายหนึ่งในเมืองหลวง เป็นเส้นทางหลักที่เหล่าขุนนางราชสำนักมากมายต้องผ่าน บางคราฮ่องเต้เสด็จตามไทเฮาจากวังไปไหว้พระที่วัดก็มักเสด็จผ่านที่นี่ เนื่องจากถนนค่อนข้างกว้าง เพียงพอสำหรับขบวนเสด็จของฮ่องเต้ไทเฮารวมทั้งร้านรวงที่เปิดขายตามรายทาง ไม่แออัดแต่อย่างใด

หลังจากข้าลงจากเกี้ยวก็เห็นศีรษะคนดำเป็นพืดไปหมด มีเด็กมีคนชรา มีชายมีหญิง ล้วนเป็นคนธรรมดา

ถนนกว้างใหญ่ถูกขวางกั้นแน่นขนัด เคลื่อนไม่ได้แม้แต่น้อย

กลุ่มคนส่งเสียงโหวกเหวก ในนั้นมีเสียงของคนคุ้มกันของจวนเสนาบดีตะโกนห้ามคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องให้อยู่ห่างอย่าได้ออกันไปที่เกี้ยวของเสนาบดี ยังมีเสียงร้องไห้น่าเวทนาปานขาดใจที่ดังกว่าเสียงของกลุ่มคน คงเป็นคนที่ร้องทุกข์แล้ว

ข้าเดินไปที่กลุ่มคน มีองครักษ์ของวังอ๋องตะโกนอยู่ข้างหน้า “ไหวอ๋องอยู่ที่นี่ คนไม่เกี่ยวข้องรีบหลีกทาง”

เสียงโหวกเหวกของคนที่ล้อมอยู่เบาบางลง หลีกเป็นเส้นทางสายหนึ่ง

ข้าเดินไปข้างหน้าอีก เห็นหลิ่วถงอี่ยืนอยู่ข้างหน้าเกี้ยว ที่ว่างข้างหน้าเขาไม่ไกลออกไปมีคนผมเผ้ารุงรังเสื้อผ้ามอมแมมหลุดลุ่ยสองสามคนคุกเข่าอยู่ กำลังร้องไห้อ้อนวอน เล่าเรื่องอยุติธรรม

“…ท่านเสนาบดี ครอบครัวของข้าทั้งห้าชีวิตถูกใส่ร้าย เวลานี้บิดาชราของข้าน้อยยังอยู่ในคุก ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย ท่านเสนาบดีได้โปรดช่วยล้างมลทินให้พวกเราด้วย นายอำเภอฉวนโจวเห็นคนเป็นผักปลา โหดร้ายทารุณ…”

ชายที่เป็นหัวหน้าคลานมาข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะชูม้วนกระดาษเหนือศีรษะ “ท่านเสนาบดี นี่เป็นคำร้องทุกข์ของข้าน้อย ท่านเสนาบดีโปรดรับ ล้างมลทินให้กับครอบครัวของข้าน้อยด้วย”

หน้าผากของเขาถูกโขกเสียจนเลือดออก ไหลมาตามใบหน้าเปื้อนฝุ่นของเขา ม้วนกระดาษในมือที่ชูขึ้นเป็นรอยด่างดวงสีแดง คงเป็นหนังสือเลือดเป็นแน่

ข้าอดเอ่ยปากไม่ได้ “ทุกวันยามเซิน* สามเค่อ** เกี้ยวของจางปิง ผู้ว่าการศาลสถิตยุติธรรมจะผ่านถนนซิงจ้าว แทนที่เจ้าจะรออยู่ที่นี่ร้องทุกข์กับเสนาบดีหลิ่ว ไม่สู้รีบไปถนนซิงจ้าวรั้งเกี้ยวของจางปิงไว้”

ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นตัวสะท้าน หลิ่วถงอี่เอียงกาย คำนับพร้อมพูดว่า “ท่านอ๋อง”

“เสนาบดีหลิ่วไม่ต้องมากพิธี ข้าแค่ผ่านมาที่นี่พอดี รู้สึกสนใจเลยเดินมาดู”

ข้าเดินไปยืนข้างหลิ่วถงอี่ ก็ได้ยินเขาพูดกับคนผู้นั้น “แทนที่เจ้าจะมอบกระดาษนี้ให้ข้า ไม่สู้ไปที่ศาล การใส่ร้ายที่เจ้าพูดมาทั้งหมดข้าพอรู้บ้างแล้ว หลังจากผู้ว่าการศาลสถิตยุติธรรมรับเรื่อง ข้าจะติดตามคดีนี้ เร่งรัดกรมอาญากับศาลสถิตยุติธรรมสืบคดีอย่างละเอียด”

แววตาของชายผู้นั้นพลันดุดันขึ้นหลายส่วน กล่าวเสียงดัง “หรือว่าเสนาบดีหลิ่วจะเมินเฉยต่อคดีใส่ร้ายป้ายสีนี้ คิดจะตอบพวกข้าน้อยอย่างขอไปที มองดูชาวบ้านใต้การปกครองของฝ่าบาทถูกขุนนางสุนัขไล่ต้อน ยอมให้ขุนนางไม่สะอาดฆ่าคนเป็นผักปลา”

ข้าพูดว่า “ให้เจ้าไปศาลสถิตยุติธรรม มิได้ตอบเจ้าอย่างขอไปที ต้องรู้ว่าในราชสำนักต่างทำงานตามกฎเกณฑ์ เสนาบดีหลิ่วรับใช้ฝ่าบาทแบ่งเบาภาระของแผ่นดิน แม้กรมอาญากับศาลสถิตยุติธรรมจะอยู่ในความดูแลของเขา แต่เพียงแค่ควบคุมเท่านั้น ปกติแล้วมิได้สืบคดีด้วยตนเอง หากเสนาบดีหลิ่วรับคดีของเจ้าในตอนนี้ พรุ่งนี้หลังจากว่าราชการแล้วหนังสือร้องทุกข์ของเจ้าถึงจะถูกส่งต่อให้กรมอาญา กรมอาญาถึงจะส่งต่อให้ศาลสถิตยุติธรรมสืบคดี ระหว่างนี้ต้องผ่านมือขุนนางหลายต่อหลายคน ไม่แน่ว่าอาจต้องเขียนหนังสือเพิ่มอีกสองสามฉบับ ประทับตราขุนนางหลายอัน อย่างเร็วที่สุดก็ถูกถ่วงเวลาถึงพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ คดีความของเจ้าถึงสามารถมอบให้ศาลสถิตยุติธรรมสืบความได้ เจ้าพูดว่าตอนนี้บิดาเจ้าอยู่ในคุกชีวิตแขวนบนเส้นด้าย หากชักช้าไปวันหนึ่งก็อันตรายยิ่งขึ้นส่วนหนึ่ง ไม่สู้อาศัยเวลาตอนที่ยังไม่ถึงยามเซิน รีบไปถนนซิงจ้าวรั้งตัวใต้เท้าจาง ให้เขารับคดีของเจ้า เสนาบดีหลิ่วค่อยไปกำชับกรมอาญากับศาลสถิตยุติธรรมดูแลคดีนี้ อย่างช้าพรุ่งนี้บ่าย ศาลสถิตยุติธรรมก็จะเริ่มสืบสวนคดีนี้”

ชายผู้นั้นมองข้ากับหลิ่วถงอี่อึ้งๆ ครู่หนึ่งก็เริ่มโขกศีรษะอย่างแรง “ขอบคุณที่ชี้แนะ บุญคุณนี้ข้าน้อยจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต” เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองข้าด้วยสายตาขอบคุณ “ข้าน้อยได้ยินเสนาบดีหลิ่วเรียกนายท่านว่าท่านอ๋อง มิทราบคือท่านอ๋องท่านใด”

ไม่รีบไปขวางเกี้ยวของจางปิง มาถามตำแหน่งของข้าด้วยเหตุใดกัน

หลิ่วถงอี่พูดว่า “ท่านผู้นี้คือไหวอ๋อง”

ชายผู้นั้นมองข้าอึ้งๆ แววตาเป็นประกาย ก่อนจะโขกศีรษะอย่างแรงอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านไหวอ๋อง ขอบพระคุณท่านไหวอ๋อง”

หญิงชายสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็โขกศีรษะตาม

เมื่อโขกศีรษะแล้ว เขากลับยังไม่รีบไป คลานมาด้านหน้าอีกสองก้าว ชูม้วนกระดาษนั้นขึ้นมา “ข้าน้อยจะรีบไปถนนซิงจ้าว แต่ท่านเสนาบดีโปรดอ่านคำร้องของข้าน้อยสักครั้ง ขอท่านเสนาบดีโปรดช่วยข้าน้อยล้างมลทินด้วย”

หลิ่วถงอี่พยักหน้าพูดว่า “ได้” ก่อนเดินไปข้างหน้า

ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีพิรุธ ยื่นหนังสือร้องทุกข์ข้าก็เคยพบเจอมาไม่น้อย ตามหลักแล้วคดีคงจะใหญ่ไม่น้อย คนร้องทุกข์ถึงได้ร้องไห้น่าเวทนาเช่นนี้ ทว่ากลับแลดูใจเย็นเกินไป ไม่รีบเร่งไปถนนซิงจ้าว มัวแต่พิรี้พิไรอยู่ที่นี่ ไม่กลัวเสียเวลาจนไปขวางขบวนจางปิงไม่ทันเลยแม้แต่น้อย

หรือคิดว่าเสนาบดีหลิ่วกับข้ารับรู้คดีนี้แล้ว จึงมั่นใจว่าจะพลิกคดีได้

หลิ่วถงอี่ก้มตัวลงไปจะรับหนังสือเลือดนั้นแล้ว คนผู้นั้นยังคงคุกเข่าก้มศีรษะ “เสนาบดีหลิ่ว ข้าน้อยเคยนึกว่าท่านจะเป็นเสนาบดีมือสะอาดเหมือนกับใต้เท้าหลิ่วเมื่อครั้งนั้น เป็นขุนนางที่ดี”

มือที่ชูหนังสือเลือดของเขามือหนึ่งพลันขยับ

ข้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงกระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่ทันคิด มือหนึ่งจับหลิ่วถงอี่ ส่งเสียงเร่งเร้า “หรานซือ ถอยออกมา”

ในชั่วเวลาราวสายฟ้าฟาด ข้าเห็นแสงวาบพุ่งแทงไปยังอกซ้ายของหลิ่วถงอี่ ข้าทันแค่เอื้อมแขนไปปกป้องเขาไว้ สัมผัสเย็นวาบสายหนึ่งแทงทะลุเสื้อผ้า ปักลงมาที่แขนขวาของข้า

รอบด้านแตกฮือวุ่นวาย ข้ายังไม่รู้สึกอะไร หลิ่วถงอี่ถูกข้าปกป้องไว้แน่นหนา แต่ก็ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ข้าถามย้ำ “หรานซือ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

หลิ่วถงอี่ไม่ตอบคำข้า มือของเขาพยุงแขนขวาของข้าอยู่ “แขนขวาท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ รีบไปตามคนมาพันแผล ไปเชิญหมอมาเร็ว”

ด้านข้างวุ่นวายยิ่ง ข้ายังจับตัวเขาไว้พูดว่า “หรานซือ แล้วเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

ผืนผ้าสีน้ำเงินในอ้อมอกข้าขยับเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิเป็นไร”

หลิ่วถงอี่ขยับพร้อมทั้งตอบประโยคนี้ออกมา ข้าถึงค่อยหายตกใจ

หลังจากหายตกใจแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ข้ากับหลิ่วถงอี่ตัวติดกันเยี่ยงนี้ เมื่อครู่ข้าปกป้องเขาแนบแน่นไปสักหน่อย ตอนนี้แขนข้างหนึ่งของเขาพยุงแขนขวาของข้า คล้ายข้ากับเขากอดกันกลางถนนท่ามกลางสายตาผู้คน

เมื่อตระหนักได้ถึงจุดจุดนี้ ข้ากลับเกิดความยินดีเสียก่อน ถึงจะยอมปล่อยมือถอยไปข้างหลัง

ข้ารับใช้ของข้ารู้สถานการณ์และช่างสังเกตมากกว่าผู้อื่น เวลานี้ถึงเข้ามาพยุงซ้ายขวาของข้า หลิ่วถงอี่ก็ปล่อยแขนขวาของข้า ข้ามองเขาโดยละเอียด แม้สีหน้าเขาจะราบเรียบ แต่ก็ผสมความเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย

เฮ้อ เมื่อครู่สถานการณ์คับขัน ข้าหลุดปากเรียกเขาว่าหรานซือหลายครั้งโดยห้ามตัวเองไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังแล้วในใจจะคิดเช่นไร

คนร้องทุกข์สามคนนั้นถูกบรรดาองครักษ์ผู้คุ้มกันมัดแน่นหนา หน้าหงายหน้าคว่ำลงกับพื้น ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าดิ้นรนพลางตะโกนเสียงดัง “หลิ่วถงอี่ เจ้าสมคบคิดกับอ๋องชั่วผู้นี้ เป็นคนสกุลหลิ่วเสียเปล่า ช่างเหยียดหยามชื่อเสียงที่ดีของตระกูลเจ้า”

ช่างน่าขัน ข้ามองเขาแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เดินผ่านถนนสายนี้ทุกวัน วันนี้ผ่านมาโดยไม่ตั้งใจ หรือเจ้าจะวางแผนได้ถึงขั้นนี้ ตระเตรียมมีดเอาไว้แต่แรก”

นักฆ่าดิ้นรนต่อ แต่ไม่ส่งเสียงแล้ว

“ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว เจ้าถูกใครบงการมา สาเหตุที่ลอบทำร้ายเสนาบดีหลิ่ว แน่นอนว่ามีคนรอให้เจ้าสารภาพอยู่ที่ห้องโถงกรมอาญา” ข้าพูดก่อนยกมือข้างซ้ายโบกไปทางองครักษ์ “ลากตัวไป”

คนที่พยุงข้า หนึ่งในข้ารับใช้ที่ตามีแววรีบพูดว่า “ท่านอ๋องปราดเปรื่องยิ่ง คนอย่างมันหรือจะสามารถเหิมเกริมต่อหน้าท่านอ๋องได้”

ข้าพูดยิ้มๆ อย่างถ่อมตน “ต่อหน้าเสนาบดีหลิ่วมายกยอปอปั้นข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ให้เสนาบดีหลิ่วชมเรื่องน่าขันแล้ว”

หลิ่วถงอี่ถอนหายใจเบาๆ “ท่านอ๋องรีบกลับวังให้หมอรักษาเถิด อย่าได้พูดล้อเล่นกับข้าน้อยอยู่เลย เรื่องในวันนี้เป็นข้าน้อยมิทันระวัง พานทำให้…”

ข้าขัดจังหวะเขา “เสนาบดีหลิ่ว หากท่านต้องการขอบคุณข้าจริง ตอนนี้ก็อย่าได้พูดเช่นนี้เลย”

ข้าไม่กล้าคาดหวังว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสโอบหลิ่วถงอี่ไว้ในอ้อมกอด วันนี้กลับได้กอดอย่างเหนือความคาดหมาย ข้ารู้สึกว่าถูกแทงอีกสักสามสี่แผลก็ยังคุ้ม

หลิ่วถงอี่มองข้า ข้ามองดวงตาใสกระจ่างของเขาตอบ ชั่วเวลานั้นความรู้สึกในใจยากจะอธิบาย ข้ายิ้มๆ พูดว่า “แต่ว่าเมื่อครู่เสนาบดีหลิ่วคงตกใจจนฟั่นเฟือนไปสักหน่อย มีดยังปักอยู่ในเนื้อของข้า ท่านกลับเรียกคนมาพันแผล นี่คงจะพันยากไปสักนิด”

ในที่สุดหลิ่วถงอี่ก็ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย “ข้าน้อยเรียกได้ว่ามือไม้พัลวันไปหมด ไม่เพียงฟั่นเฟือน ยังฟั่นเฟือนถึงที่สุดอีกด้วย”

มีข้ารับใช้บางคนของข้าได้ไปเชิญหมอหลวงมาแล้ว ที่เหลือไม่กี่คนนี้ก็พยุงข้าเดินไปทางเกี้ยว หลิ่วถงอี่เดินไปพร้อมกับข้า เมื่อถึงด้านหน้าเกี้ยว ข้าก็พูดว่า “เสนาบดีหลิ่วกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าไม่เป็นไรหรอก มีดเล่มนั้นสั้นปักโดนแค่เนื้อ ท่านเห็นแล้วว่าแขนกับมือล้วนยังขยับได้ เมื่อถึงวังก็ให้หมอดึงออก ทายาพันแผล ไม่ถึงสิบวันก็หายเป็นปกติแล้ว ถากแค่ผิว เป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น”

หลิ่วถงอี่มองแขนเสื้อที่มีเลือดซึมของข้าแล้วขมวดคิ้ว “คำพูดของท่านอ๋องในตอนนี้ถึงเรียกว่าเกรงใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้า…ข้าน้อยก็จะต้องตามกลับไปวังไหวอ๋องด้วย ไม่อาจชักช้าแล้ว รีบขึ้นเกี้ยวเถิด”

ข้ากำลังจะพยักหน้าตอบรับ ข้ารับใช้เลิกม่านของเกี้ยวขึ้น สายตาของหลิ่วถงอี่พลันมองเข้าไปข้างในเกี้ยว

ข้าอึ้งมองหลิ่วถงอี่ก่อนหลุบตาลงโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เสนาบดีหลิ่ว…ข้า…”

หลิ่วถงอี่ยกชายแขนเสื้อขึ้น “แต่…เวลาท่านอ๋องทำการรักษา คนนอกคงไม่สะดวกรบกวน อย่างไรข้าน้อยขอลาไปก่อนตามบัญชา ท่านอ๋องรีบกลับวังเถิด”

ข้าจึงได้แต่พยักหน้าตัวแข็งทื่อ “เช่นนั้น ข้าก็ขอไปก่อน เสนาบดีหลิ่วก็กลับไปพักผ่อนเถิด”

ลมบางเบาพัดม่านเกี้ยวแหวกเป็นช่อง ข้ามองลอดช่องนั้นออกไปเห็นเกี้ยวของหลิ่วถงอี่เคลื่อนไปไกลตามถนนอีกสาย

นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพาคนจากหอโคมเขียวกลับวังอ๋อง ในสายลมบางเบาข้ารวดร้าวยิ่ง

 

* ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น.

** เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที

กลับมาถึงวังอ๋องไม่นาน หมอหลวงก็มาถึง

อีกทั้งคนที่ชวนปวดหัวเอาเรื่องก็มาพร้อมหมอหลวงด้วยเช่นกัน

ข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะมา ทั้งยังมาโดยมิบอกกล่าวด้วย ข้าเพิ่งหายใจทั่วท้อง กึ่งนอนอยู่บนฟูกนิ่มในห้องรับแขกด้านใน รับน้ำชาจากมือของฉู่สวินมากลั้วคอ ปวดแขนร้าวถึงใจ เวลานี้เองหางตาพลันเหลือบมองเห็นข้ารับใช้ที่ปากประตูหมอบลงไปคุกเข่ากันถ้วนทั่ว ร่างเหลืองสว่างปรากฏกายหน้าประตู ข้าตกใจกลิ้งจากที่นอนลงมาหมอบด้วยจิตใต้สำนึก เกือบจะชนน้ำชาในมือของฉู่สวินหก เอวเคล็ดขัดยอก

“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท”

ร่างเหลืองสว่างก้าวข้ามประตูเข้ามา “เสด็จอา รีบลุกขึ้น ท่านบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ยังจะคำนับอะไรอีก”

ข้ากำลังจะโขกศีรษะขอบคุณ มือหนึ่งก็พยุงที่บ่าของข้า ข้าจึงได้แต่ลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “กระหม่อมมิกล้า”

ฉีเจ่อมองมาที่ข้าด้วยสายตาเป็นห่วง มือยังคงอยู่ที่บ่าซ้ายของข้า “เสด็จอา ไม่ต้องเกรงใจเราขนาดนั้น”

สายตาปราดไปด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ มองฉู่สวินที่หมอบอยู่ที่พื้น “ผู้นี้…”

ข้าครุ่นคิดอยู่ว่าจะแนะนำอย่างไรดี ฉู่สวินก็โขกศีรษะทูลว่า “กระหม่อมฉู่สวิน ถวายพระพรฝ่าบาท”

ฉีเจ่อแสดงสีหน้าเข้าใจพูดว่า “อ้อ ลุกขึ้นเถิด” ก่อนจะมองฉู่สวินที่ยืนขึ้นแล้ว “คุณชายฉู่สวินแห่งหอมู่มู่ เราได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้เจอ มิใช่คนธรรมดาจริงๆ”

ฉู่สวินโค้งคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ตรัสชม”

ฉีเจ่อยิ้มเล็กน้อย หันกลับมองมาที่ข้า “คนของเสด็จอาแต่ละคนล้วนโดดเด่น”

ข้ากลั้นใจใช้ใบหน้าชรานี้รับคำ “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว”

มีดปักในเนื้อที่แขนขวา ปวดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดฮ่องเต้หลานของข้าก็เห็นใจร่างกายอ่อนแอของข้า ขมวดคิ้วพร้อมพูดกับทางด้านหลัง “หมอหลวงสวี่อยู่ที่ใด ชักช้าอะไรอยู่ รีบไปดูบาดแผลของเสด็จอาสิ”

หลานข้า เจ้าต่างหากที่ชักช้า มีหรือหมอหลวงสวี่จะกล้าเสนอหน้า จะโทษเขาได้อย่างไร

หมอหลวงสวี่ตอบรับคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถือกล่องยาเข้ามาช้าๆ ในที่สุดฮ่องเต้ก็เอามือออกจากบ่าของข้า เหล่าผู้ช่วยหมอหลวงสวี่ก็กรูกันเข้ามาเจ็ดแปดคน ข้าถูกดันไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างโต๊ะ ตาค้างมองพวกขวดโหลมีดกรรไกรผ้าถูกวางเรียงแถวบนโต๊ะ

หมอหลวงสวี่โค้งกาย หรี่ตา ตรวจดูแขนขวาของข้าอยู่นาน มองมีดที่ปักตั้งตรงอยู่นอกเนื้อนั้นด้วยแววตาจริงจัง “ต้องดึงมีดที่ปักอยู่ในแขนของไหวอ๋องออกมาก่อน”

ยังต้องให้เจ้าพูดอีกเหรอ คนโง่ก็รู้ว่าต้องดึงออกมา ไม่ดึงแล้วจะปล่อยไว้ในเนื้อรอจนฤดูใบไม้ผลิแตกใบ ฤดูร้อนออกดอก ฤดูใบไม้ร่วงออกเป็นผลมีดจิ๋วหรืออย่างไร

ผู้เฒ่าสวี่ผู้นี้เป็นถึงหัวหน้าหมอหลวง ข้าล่ะเป็นห่วงสุขภาพของฮ่องเต้ยิ่งนัก

คำพูดของหมอหลวงสวี่ยังแสดงความหมายขออนุญาตด้วย

แต่มิใช่ขออนุญาตข้า ในห้องโถงนี้ โอกาสมาไม่ถึงให้ข้าพูดว่าดึงหรือไม่ดึง

ฉีเจ่อนั่งที่เก้าอี้ประธาน แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดึงออกมาเถิด”

หมอหลวงสวี่ได้รับการอนุญาตแล้วถึงม้วนแขนเสื้อขึ้น ให้ผู้ช่วยสองคนคาดผ้าปิดปากสีขาวให้ วางท่าทางเตรียมดึงมีด

หมอหลวงสวี่หยิบกรรไกรสีเงินเล่มเล็กเงาวับขึ้นมา แล้วบอกกับข้า “ไหวอ๋อง ข้าน้อยจะเริ่มดึงแล้วนะขอรับ”

ข้าจนใจ ได้แต่พูดว่า “ดึงได้เต็มที่”

หมอหลวงสวี่ถือกรรไกรเล่มเล็กไว้ แต่กลับไม่ลงมือ “ท่านอ๋อง เวลาดึงมีดจะค่อนข้างเจ็บ ท่านลองหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจจะดีกว่า อย่างเช่นพูดคุยกับผู้อื่น”

ฉีเจ่อพูดว่า “หมอหลวงสวี่พะวงแค่การดึงมีด เราจะพูดคุยกับเสด็จอาเอง”

ข้าทนเจ็บ ทั้งยังต้องฝืนยิ้มตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

หมอหลวงสวี่เริ่มใช้กรรไกรตัดแขนเสื้อของข้า

ข้าเอ่ยต่อว่า “วันนี้เรื่องเพียงเล็กน้อยต้องรบกวนถึงฝ่าบาท กระหม่อมบังอาจยิ่ง”

ฉีเจ่อพูดว่า “จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร เสด็จอาบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องใหญ่ ตามเหตุผลเราควรมาเยี่ยมด้วยตนเอง”

เลือดแห้งกรังทำให้เสื้อผ้ารอบมีดติดกับเนื้อ ตอนถูกดึงออกเจ็บปวดเหมือนโดนไฟลน ข้าทูลว่า “ฝ่าบาทตรัสหนักไปแล้ว เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น”

เสื้อผ้าคงจะถูกดึงออกมาหมดแล้ว หมอหลวงสวี่กดเนื้อรอบมีด ฉีเจ่อฉีกยิ้มมุมปากพูดว่า “เสด็จอาถ่อมตนไปแล้ว เสด็จอาเป็นเสาหลักของราชสำนักเรา วันนี้เริงสำราญครู่หนึ่งก็ออกมาจากหอโคมเขียว ขณะพาคนงามกลับวัง ระหว่างทางช่วยเสนาบดีหลิ่วให้รอดพ้นจากคมมีดอย่างกล้าหาญ เฉลียวฉลาดใจกล้า ไร้ผู้เทียบ”

มีดในเนื้อขยับเล็กน้อย ข้ากัดฟันสูดลมหายใจเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องบังเอิญแล้ว ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่านักฆ่าเหล่านั้นต้องทำการสอบสวนที่มาที่ไป”

ฉีเจ่อหลุบตาลงกึ่งหนึ่ง “อืม เรื่องนี้มอบให้ศาลสถิตยุติธรรมไปจัดการ จางปิงสืบคดี เราวางใจได้เสมอ” จากนั้นก็ลืมตามองข้า เอ่ยถามว่า “ขุนนางหลิ่วยังไม่มาเยี่ยมเสด็จอาอีกหรือ”

ข้าทูลตอบน้ำเสียงแห้งแล้ง “เสนาบดีหลิ่วคงตกใจเหมือนกัน กระหม่อมให้เขากลับไปพักผ่อนก่อนแล้ว”

ฉีเจ่อพูดว่า “อ้อ ขุนนางหลิ่วไม่ได้รับบาดเจ็บ เรายินดียิ่ง” ก่อนจะมองข้า “เราได้ยินมาว่าเสด็จอาถูกแทงแล้วไม่พะวงตนเอง มัวแต่กอดขุนนางหลิ่วถามว่า ‘หรานซือ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่’ เสด็จอารักใคร่สนิทสนมกับบรรดาขุนนางของราชสำนักเช่นนี้ ราชสำนักในวันนี้สงบสามัคคี เรายิ่งปลาบปลื้มใจ”

ข้าพยายามระงับอาการเสียววาบ บาดแผลที่แขนพลันโล่งกะทันหัน

ในที่สุดหมอหลวงสวี่ก็ดึงมีดออกมาได้

 

หมอหลวงสวี่กับเหล่าผู้ช่วยยืนล้อมแขนที่บาดเจ็บของข้า พวกขวดโหลมีดกรรไกรผ้าถูกใช้จนครบถ้วน กดแผลเพื่อหยุดเลือด ล้างปากแผล ทายาน้ำยาผงอย่างนี้อย่างนั้นอย่างละนิดละหน่อย สุดท้ายใช้ผ้าพันแผลไว้

ข้าปล่อยให้พวกเขาจัดการ รู้สึกว่าคล้ายขั้นตอนการทำอาหารประเภทหนึ่งของนอกด่านเจียงหนาน ที่ใช้ใบบัวห่อขาหน้าของแพะหนึ่งขา เหมือนกับแขนของข้าตอนนี้ไม่มีผิด เวลากินให้แกะใบบัวออกมา โรยเกลือ พริก จิ้มกับน้ำส้ม

หมอหลวงสวี่พันผ้าพลางพูดว่า “ท่านอ๋อง หลายวันนี้ให้กินอาหารอ่อน ห้ามของเผ็ดร้อน ห้ามของแสลงนะขอรับ”

ข้าจดจำไว้ครบถ้วน

หมอหลวงสวี่มอบกองขวดโหลเหล่านั้นให้ข้าทั้งหมด พวกของหัวหน้าพ่อบ้านเฉารับไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เขียนใบสั่งยา ฉู่สวินยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด หัวหน้าพ่อบ้านเฉากำลังรับขวดยาเหล่านั้น หมอหลวงสวี่ก็ยื่นใบสั่งยามา ฉู่สวินจึงรับไว้ หมอหลวงสวี่มองๆ เขา ก่อนมองข้า พูดว่า “ช่วงนี้ไหวอ๋องโปรดถนอมกำลังวังชา อย่าได้…เหน็ดเหนื่อยเกินไป”

ข้าพูดยิ้มๆ “ข้าชอบอยู่ว่างๆ ต้องทำตามคำแนะนำของท่านหมอหลวงสวี่แน่นอน”

ฮ่องเต้หลานข้าก็หัวเราะตาม “หมอหลวงสวี่ละเอียดถี่ถ้วนเกินไปแล้ว เสด็จอาประมาณตนเสมอ”

หมอหลวงสวี่หนวดกระดิกประสานมือทูลว่า “เป็นข้าน้อยมากความ ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ใส่ใจ”

ข้าพูดว่า “ที่ไหนกัน วันนี้ลำบากหมอหลวงสวี่ตั้งครึ่งค่อนวัน วันหน้าค่อยตอบแทน”

หมอหลวงสวี่นำบรรดาผู้ช่วยหมอหลวงโขกศีรษะทูลลา หัวหน้าพ่อบ้านเฉากับฉู่สวินก็นำขวดยาและใบสั่งยาออกไป ข้าพูดกับฉีเจ่อ “วันนี้กระหม่อมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยกลับต้องรบกวนฝ่าบาทเสด็จมา พระคุณยิ่งใหญ่ กระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง แต่ฟ้ามืดแล้ว เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ฝ่าบาทโปรดรีบเสด็จกลับวังหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเจ่อยืนขึ้น เหลือบมองแขนที่ถูกพันด้วยผ้าของข้า “สองวันนี้เสด็จอาบังอาจไม่น้อยครั้ง ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณก็หลายรอบ เสด็จอา ระหว่างท่านกับเราเป็นอาหลานกัน มิต้องเคร่งมารยาทอย่างเช่นระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง วันนี้เสด็จอาช่วยเสนาบดีหลิ่วไว้ คุณงามความดีนี้เราจดจำไว้แล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องเตือนเสด็จอาเช่นกัน”

ข้าโค้งคำนับ ฉีเจ่อเดินหน้าสองก้าว ถอนหายใจพูดเสียงเบา “ขุนนางราชสำนักตำแหน่งขั้นห้าขึ้นไปมิอาจเข้าออกหอโคมเขียว เรารู้ว่ามีขุนนางราชสำนักไม่กี่คนที่รักษากฎเกณฑ์นี้ แต่ฐานะของเสด็จอาไม่เหมือนกับผู้อื่น ขุนนางขั้นต่ำนับร้อยล้วนจับจ้องอยู่ อย่างน้อยก็อย่าได้เอิกเกริกนัก”

ข้ารู้อยู่แล้ว เรื่องของฉู่สวินวันนี้จะต้องก่อเกิดความยุ่งยากไม่มากก็น้อย จึงรีบพูดขึ้นว่า “หลายปีมานี้กระหม่อมกระทำผิดกฎราชสำนัก หมกมุ่นอยู่ในสถานเริงรมย์ เสื่อมเสียชื่อเสียงดีงามของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วย กระหม่อมรู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำผิดต่อ…” ข้าหัวเราะขมขื่น “เพราะคิดว่าครู่หนึ่งยามหนึ่งที่ข้างหมอนมีคนคอยพูดคุยด้วย ทั้งวันกระหม่อมไม่มีกระไรทำ ไม่มีประโยชน์ต่อราชสำนักเลยแม้แต่น้อย รู้สึกขายหน้าละอายใจทุกครั้ง ช่าง…”

ฉีเจ่อยืนตรงหน้าข้า ดิ้นทองบนชายชุดเหลืองสว่างไม่เขยื้อนสักนิด

ครู่หนึ่งก็ได้ยินเขาถอนหายใจ “ไม่เสียทีที่เป็นเสด็จอาจริงๆ เที่ยวหอโคมเขียวยังเที่ยวได้ซื่อตรงเช่นนี้ เพื่อแคว้นเพื่อประชาชน สำราญแล้ว สุขสมแล้ว กอดคนงามแล้วพากลับมาบ้าน เสด็จอากลับยังน้อยเนื้อต่ำใจ หงอยเหงาเศร้าใจ แล้วเราควรทำเช่นไรดี”

ข้าพลันงอเข่า “กระหม่อมมิกล้า…”

ยังไม่ทันงอขาลงไป ฉีเจ่อก็พยุงไหล่ของข้าไว้ “เสด็จอา เมื่อครู่เราแค่พูดล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง”

เขายังขมวดคิ้ว มุมปากกลับเผยรอยยิ้ม เขาดึงแขนกลับพร้อมพูดว่า “ลำพังแค่เรื่องช่วยเสนาบดีหลิ่ววันนี้ เสด็จอาเที่ยวหอโคมเขียวก็ถือว่าเที่ยวเพื่อแคว้นเพื่อราษฎรแล้ว”

ใบหน้าหนาของข้าสะท้านเล็กน้อย จึงก้มหน้าเสียเลยไม่ยอมตอบ ฉีเจ่อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รอบด้านเงียบอยู่สักพัก ข้าถึงพูดว่า “ฝ่าบาท ฟ้ามืดแล้วจริงๆ อย่างไรก็รีบเสด็จกลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเจ่อส่งเสียงอืมครั้งหนึ่ง ข้าพยายามอดกลั้น แต่ก็ยังอดไม่ได้ทูลต่อไปว่า “กระหม่อมมีหลายประโยคที่จำต้องทูลฝ่าบาท พระวรกายฝ่าบาทมีค่าประหนึ่งทองหมื่นตำลึง ควรต้องถนอมพระวรกายด้วย ทรงว่าราชการทุกวัน เหนื่อยพระทัยเหนื่อยพระวรกาย เรื่องใดที่ไม่ค่อยสำคัญ ประเภทกระหม่อมได้รับบาดเจ็บหรือวิกฤตครอบครัวของกระหม่อม ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องใส่พระทัย…”

ฉีเจ่อยิ้มพูดแทรกทันที “ที่แท้เสด็จอาก็รังเกียจที่เรายุ่มย่ามจริงๆ สินะ”

ข้าอ่อนใจ มีคนว่ากันว่าเป็นขุนนางชั่วนั้นลำบาก เป็นขุนนางซื่อสัตย์ยิ่งไม่ง่าย พูดจาเตือนด้วยความหวังดีจากใจจริง ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับถูกตีความไปหลายซ้ำหลายซ้อน ถูกคาดเดาเป็นประสงค์ร้ายแค่ไหนก็ไม่อาจทราบได้

ข้าจึงได้แต่ตอบว่า “กระหม่อมมิได้มีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่ทูลบอกด้วยใจจริง ส่วนตัวในใจกระหม่อมอยากจะได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทให้มากกว่านี้ แต่หากคิดเพื่อฝ่าบาท กระหม่อมก็ต้องบังอาจทูลตามตรง เวลาฝ่าบาทเสด็จออกนอกวัง ควรใส่พระทัยเรื่องความปลอดภัยของพระองค์มากกว่า อย่างเช่นทุกครั้งที่เสด็จมายังวังอ๋องของกระหม่อม ทรงนำองครักษ์มาไม่กี่คน หากกระหม่อมเป็นกบฏที่ลอบคิดการร้ายจริง…”

ฉีเจ่อมองข้า ทั้งสายตาทั้งสีหน้าค่อนข้างยากต่อการคาดเดา

ข้าจ้องมองเขาด้วยสายตาจงรักภักดี ครู่หนึ่งฉีเจ่อก็หมุนกายไปด้านข้าง พูดเรียบๆ ว่า “ความหวังดีของเสด็จอาเราเข้าใจ วันหลังเราจะระมัดระวัง” ก่อนมองข้าอีกครั้ง “เช่นนั้นเราก็จะกลับวังก่อน หลายวันนี้เสด็จอาพักรักษาบาดแผลที่บ้าน ไม่ต้องไปวังหลวงอีกสักระยะ จากนี้เราจะส่งคนมาเยี่ยมท่าน”

ข้าคุกเข่าขอบคุณ ในที่สุดฮ่องเต้ก็กลับวังหลวงไป

 

เมื่อขบวนเสด็จพ้นออกจากประตูใหญ่ ข้าถึงรู้สึกว่าบาดแผลเจ็บปวดเหมือนโดนไฟลน และค่อนข้างอ่อนล้า จึงกลับไปพักที่เบาะในห้องโถงเมื่อครู่ ฉู่สวินยกน้ำชาอุ่นกลับมา ข้าดึงเขามานั่งข้างกาย ฉู่สวินพูดว่า “ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังเหนื่อยล้ายิ่ง อย่างไรข้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ จะได้ไม่รบกวนท่านอ๋องพักผ่อน”

ข้ารับถ้วยชามา จิบคำหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “ขนาดเจ้ายังไม่ยินยอมอยู่ข้างกายข้า เอาเถิด ข้าจะให้หัวหน้าพ่อบ้านเฉาเตรียมเกี้ยวส่งเจ้ากลับไป”

ฉู่สวินรับถ้วยชาจากมือของข้าไป “ท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้แล้ว ข้าไหนเลยจะกล้ากลับ”

หัวหน้าพ่อบ้านเฉาพูดอยู่ด้านข้าง “บ่าวจะให้คนไปเก็บห้องให้คุณชายฉู่”

ข้าพูดตรงๆ “ไม่ต้องเก็บแล้ว”

หัวหน้าพ่อบ้านเฉาขานรับทันที “บ่าวเข้าใจแล้ว”

ฉู่สวินยืนขึ้น “รบกวนท่านหัวหน้าพ่อบ้านเฉาแล้ว” ท่าทีอ่อนน้อมเป็นธรรมชาติ หัวหน้าพ่อบ้านเฉาเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเกรงใจแล้ว”

ฉู่สวินกลับมานั่งข้างกายข้า สนทนาสัพเพเหระกัน เดิมทีฉู่สวินเกิดในตระกูลขุนนาง ต่อมาตกอับเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่างๆ มีประสบการณ์ไม่น้อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถพูดคุยด้วยได้ ทุกครั้งที่ข้าพูดคุยกับเขาก็จะรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งกาย

ข้าจับแขนเสื้อของฉู่สวินพูดว่า “เสียดายที่ข้าลืมไปว่าในวังอ๋องไม่มีพิณ ได้แต่รอพรุ่งนี้ให้คนไปซื้อหามาคันหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคืนนี้จะให้เจ้าดีดให้ข้าฟังแล้ว”

ฉู่สวินพูดว่า “ท่านอ๋องเจ็บแผล กลัวคืนนี้จะนอนหลับไม่สนิท เลยให้ข้าดีดพิณให้ฟังอย่างนั้นหรือ”

ข้าแกล้งตีหน้าเศร้า “ในสายตาของเจ้า ข้าไม่เข้าใจดนตรีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ มีเวลาใดที่ข้ากล้าใช้เสียงพิณของคุณชายฉู่เป็นเพลงกล่อมนอนกัน”

ฉู่สวินหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าแค่กลัวว่าหากข้าดีดเพลงกล่อมนอนจริง ท่านอ๋องจะยิ่งฟังยิ่งคึกคัก”

ข้าตีสีหน้าจริงจัง “คึกคักสิดี หมอหลวงสวี่เพิ่งเตือนให้ข้าฟื้นฟูร่างกายพอดี”

ฉู่สวินหลุดหัวเราะ ข้ายื่นแขนข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปกอดเขาไว้

ผ่านไปไม่นาน อาหารเย็นถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เป็นแกงจืด ข้าวต้ม พร้อมกับข้าวเจ็ดแปดอย่าง ล้วนทำตามที่หมอหลวงสวี่กำชับไว้

ข้าเพิ่งจะยกชามข้าวต้มขึ้นมา ฉู่สวินกำลังคีบสาหร่ายทรงเครื่องให้ข้า ก็มีคนมาแจ้งที่ประตูว่า “เรียนท่านอ๋อง เสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นมาขอรับ”

ข้าชะงักไป รีบวางชามข้าวลง “รีบเชิญ”

ไม่นานเงาร่างสีน้ำทะเลกับชุดผ้าแพรก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ข้าก้าวไปต้อนรับ “เสนาบดีหลิ่ว ใต้เท้าอวิ๋น”

อวิ๋นอวี้ยิ้มหวานพูดว่า “อ่า มาไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย ได้กลิ่นข้าวแล้ว เสนาบดีหลิ่ว ท่านกับข้ามาถึงเวลาอาหารของท่านอ๋องพอดี”

ข้าพูดว่า “มาได้เวลาพอดี เพิ่งตั้งถ้วยข้าว ยังไม่ทันได้จับตะเกียบ หากเสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นไม่รังเกียจก็มากินด้วยกันเถิด แต่ว่ามีเพียงข้าวต้มกับกับข้าวเล็กน้อย อาจไม่เหมาะสมจะต้อนรับทั้งสองท่าน”

ยังเป็นอวิ๋นอวี้ที่ส่ายหน้ายิ้มๆ “เสียดายที่ข้าน้อยกินมาแล้ว เสนาบดีหลิ่วเองก็คล้ายจะกินข้าวแล้วเหมือนกัน ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ ตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียน พอดีพบเสนาบดีหลิ่วที่หน้าประตู”

ข้ามองหลิ่วถงอี่ ไม่รู้ว่าเพราะแสงสีของค่ำคืนนั้นอ่อนหวานหรือโคมไฟอับแสงเกินไป ข้าถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่เขามองข้าแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อย เขาเอ่ยปาก เสียงก็เหมือนสายลมอบอุ่นพัดผ่านใจของข้า “อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงของข้าก็พลอยอ่อนโยนเหมือนสีของราตรีโดยไม่รู้ตัว “ไม่เป็นอะไรมากแล้ว หมอหลวงบอกว่าอีกไม่กี่วันก็หายดี เสนาบดีหลิ่ว…โปรดวางใจ”

อวิ๋นอวี้พูดอยู่ด้านข้าง “ในเมื่อท่านอ๋องยังต้องกินต่อ ข้าน้อย…”

ข้าพูดว่า “คนมาเยี่ยมเพิ่งมาถึงแล้วจะให้กลับไปเลยมิใช่วิสัยของการต้อนรับแขกที่ดี ใต้เท้าอวิ๋นกับเสนาบดีหลิ่วเชิญนั่งลงก่อน”

ข้าเรียกให้คนยกน้ำชา อวิ๋นอวี้จิบชาคำหนึ่ง ก่อนจะมองซ้ายขวา “ได้ยินมาว่าท่านอ๋องพาฉู่สวินกลับมาด้วย”

คล้ายการจงใจพูดเรื่องไม่ควรในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้จะเป็นงานอดิเรกเล็กๆ ของใต้เท้าอวิ๋น

ข้ากระแอมครั้งหนึ่ง “ใช่แล้ว”

หลิ่วถงอี่กำลังจิบชา ทำทีไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย

อวิ๋นอวี้พูดว่า “อ้อ แล้วเขาอยู่ที่ใด ครั้งก่อนเล่นหมากแพ้เขา รู้สึกคับข้องใจมาตลอด เช่นนั้นขอยืมสถานที่เงียบสงบของวังท่านอ๋องสักครู่ ข้าน้อยจะไปเล่นหมากกับเขาอีกสักตา” พลันวางถ้วยชาแล้วยืนขึ้น “เชิญท่านอ๋องกับเสนาบดีหลิ่วสนทนากันเถิด”

ว่าแล้วก็ตามหัวหน้าพ่อบ้านเฉา เดินผ่านฉากกั้นลมไปหาฉู่สวิน

เหลือเพียงข้ากับหลิ่วถงอี่นั่งตรงข้ามกัน ข้าพลันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

หลิ่วถงอี่มายังวังไหวอ๋องของข้าเป็นครั้งแรก ข้ากลับคล้ายเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่ไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี

เป็นหลิ่วถงอี่ที่เปิดปากก่อน ที่เขาเอ่ยปากพูดก็ยังเป็นวาจาขอบคุณ ไม่นอกเหนือไปจากการขอบคุณที่ข้าช่วยเขาไว้และรู้สึกผิดเรื่องที่ข้าบาดเจ็บ

ข้าพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าแค่บังเอิญผ่านไปเท่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ คนที่ลอบสังหารเสนาบดีหลิ่วถูกส่งเข้าคุกกรมอาญาแล้วหรือยัง”

หลิ่วถงอี่พยักหน้า

ข้าพูดต่อว่า “ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ช่วงนี้เสนาบดีหลิ่วล่วงเกินใครบ้างหรือไม่”

“อาจจะพูดได้ว่าไม่มี หรือมีมากเกินไปก็ได้ ยังคิดไม่ออกในช่วงเวลาแค่นี้” หลิ่วถงอี่ตอบ

ประโยคนี้เป็นความจริง ในราชสำนักไม่สามารถจะรู้ได้ทั้งหมดว่าได้เคยล่วงเกินใครบ้างหรือไม่ และล่วงเกินใครไปบ้าง

ข้าจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อย่างไรช่วงนี้เสนาบดีหลิ่วต้องระมัดระวังตัวสักหน่อย โชคดีที่มือสังหารเหล่านั้นล้วนเป็นมือใหม่ ความแม่นยำและพละกำลังธรรมดาๆ ไม่ได้อาบยาที่ใบมีดหรืออย่างอื่น ไม่เช่นนั้น…”

สายตาที่หลิ่วถงอี่มองข้าเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิด ข้าจึงรีบพูดว่า “แน่นอนว่าที่ข้าพูดออกมาไม่ได้จะทวงบุญคุณอะไร”

ข้ารีบพูดต่อ “เสนาบดีหลิ่ว…ข้า…วันนี้ในยามคับขันข้าได้แสดงท่าทางกล่าววาจาล่วงเกินท่านโดยไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าท่านจะให้อภัย…”

หลิ่วถงอี่มองข้า ไม่ได้ตอบคำ

ข้าพูดต่ออีก “…เพราะชื่อเสียงของข้า…และความชมชอบบางอย่าง…ท่าทีในวันนี้…อาจกระทบต่อชื่อเสียงของเสนาบดีหลิ่ว…ก็ต้องขอให้เสนาบดีหลิ่ว…”

หลิ่วถงอี่ยังคงมองข้า “ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านอ๋องไม่เคยใส่ใจในข่าวลือหรือคำนินทา เหตุใดจึงคิดมากเช่นนี้ วันนี้ยามบ่าย ท่านอ๋องช่วยข้าน้อยไว้ ท่านอ๋องก็บอกเองว่าที่ทำไปทั้งหมดล้วนทำไปภายใต้สถานการณ์คับขันโดยไม่ได้ตั้งใจ เปิดเผยจริงใจ หากย้อนมาขอโทษข้าน้อยเช่นนี้ ข้าน้อยคงทำตัวไม่ถูกแล้ว”

หรานซือ ประเด็นคือเวลาที่ข้ากอดเจ้ามิได้เปิดเผยจริงใจ แต่คิดเรื่องแบบนั้นอยู่จริงๆ

หลิ่วถงอี่ยิ้มบางๆ “อีกอย่าง ในราชสำนักจะมีใครที่ใสสะอาดจริงๆ บ้าง หากยึดติดกับชื่อเสียงก็เป็นแค่การหาเรื่องใส่ตนให้เหน็ดเหนื่อยเปล่าเท่านั้น”

ข้าพูดว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้มาโดยตลอด เสนาบดีหลิ่วพูดเช่นนี้ตรงใจข้ายิ่ง แต่ข้าไม่คาดคิดว่าเสนาบดีหลิ่วจะเอ่ยคำพูดเหล่านี้กับข้า”

สายตาใสกระจ่างคู่นั้นมองมาที่ข้าอีกครั้ง ข้าแทบจะถูกสะกดไว้ “ข้านึกว่าในใจของเสนาบดีหลิ่วมีเรื่องของแผ่นดิน มีเรื่องของราษฎร ส่วนคนเช่นข้าถึงแม้เสนาบดีหลิ่วจะพูดกับข้า ก็คงเป็นเหตุผลหลักการ…”

หลิ่วถงอี่หัวเราะออกมา “ท่านอ๋องทำให้ข้าน้อยจนคำพูดเสมอ”

ข้าชะงักไป ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร จึงพูดยิ้มๆ “ถูกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เสนาบดีหลิ่วมาวังไหวอ๋องของข้า แม้จะมืดค่ำแล้ว แต่หากไม่รังเกียจ ข้าก็จะพาเสนาบดีหลิ่วไปชมด้านใน วังไหวอ๋องของข้าแน่นอนว่าไม่ร่มรื่นงดงามเหมือนจวนของเสนาบดีหลิ่ว แต่สวนด้านหลังนับว่าพอดูได้ บรรยากาศยามค่ำค่อนข้างงดงาม…”

หลิ่วถงอี่กลับยืนขึ้น “วันนี้ดึกแล้ว ข้าน้อยไม่ขอรบกวน หากท่านอ๋องสะดวก หลายวันนี้ข้าน้อยจะขอมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ครั้งหน้าค่อยให้ท่านอ๋องพาข้าน้อยไปเปิดหูเปิดตาที่สวนของวังอ๋อง”

ข้าเองก็ยืนขึ้นตาม ประโยคที่ว่า ‘ข้าน้อยจะขอมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ’ ทำให้ใจข้าพองโต ข้าพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอตามไปส่งเสนาบดีหลิ่ว”

เมื่อส่งถึงระเบียงทางเดิน หลิ่วถงอี่ก็พูดขึ้นว่า “เชิญท่านอ๋องกลับเถิด เลยเวลาอาหารมาแล้ว ข้าวคงจะเย็นหมดแล้ว”

ข้าพูดว่า “เย็นแล้วก็ให้คนไปอุ่นได้ ข้าไปส่งท่านอีกหน่อย” ข้ารู้สึกว่าคำพูดนี้ค่อนข้างตรงเกินไป จึงพูดต่อไปว่า “ในเมื่อ…เสนาบดีหลิ่วมาที่นี่เป็นครั้งแรก”

ในสีดำมืดของราตรีหลิ่วถงอี่หมุนตัวกลับมา “ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่ได้มาวังไหวอ๋องเป็นครั้งแรก”

ข้าชะงักไปอีกครั้ง หลิ่วถงอี่คล้ายจะยิ้มๆ “เมื่อปีนั้นในวันเกิดชายาของอดีตไหวอ๋อง ข้าน้อยได้ตามมารดามาแสดงความยินดี แต่ว่าเพียงนั่งครู่หนึ่งก็กลับไปแล้ว มิได้รั้งอยู่ร่วมกินอาหารงานเลี้ยง ตอนนั้นท่านอ๋องกำลังยุ่ง อาจไม่ได้สังเกต”

คล้ายสายน้ำใต้แสงจันทร์ ดวงตาคู่นั้นของเขากระจ่างยิ่ง

ข้าอดจะพูดอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “เสียดายนัก”

รอยยิ้มของหลิ่วถงอี่มากขึ้นอีกนิด “ใช่ เสียดายนัก ตอนนั้นเดิมทีข้าน้อยอยากจะถามท่านอ๋องว่าหาหนังสือ ‘กระบี่เทพหยกขาว’ ฉบับเต็มไม่เจอ ท่านอ๋องมีหรือไม่”

หลังจากคำพูดนี้ แสงจันทร์เมื่อปีนั้น ดวงดาวเมื่อปีนั้น น้ำในสระเมื่อปีนั้น ดอกกุ้ยเมื่อปีนั้นพลันหวนกลับมาแทนที่บรรยากาศและแดนดินยามนี้

แต่ข้าไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้า…จะใช่เด็กหนุ่มเมื่อปีนั้นหรือไม่

 

หลังจากหลิ่วถงอี่จากไปแล้ว ข้าก็ไปยังห้องอาหาร ไม่รู้เพราะเหตุใดพลันรู้สึกว่าที่นี่เวลานี้ ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ของจริง

ดีเกินไป บังเอิญเกินไป ราบรื่นเกินไป ดูเหมือนไม่ใช่ความจริง

จนกระทั่งข้ามาอยู่ที่นอกห้องอาหาร ถูกคนคนหนึ่งขวางไว้ ได้ยินคำพูดบางประโยคของเขาแล้ว จึงพลันรู้สึกถึงความจริง

ซ้ายขวาไม่มีใคร อวิ๋นอวี้ดีดที่แขนเสื้อของข้าเบาๆ ก่อนพูดยิ้มๆ เสียงแผ่วเบา “ของขวัญชิ้นนี้ของข้าน้อย ท่านอ๋องชอบหรือไม่”

ความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจของข้าครู่หนึ่งในที่สุดก็เป็นความจริง

คิดไว้แล้ว คิดอยู่แล้ว

ข้าได้แต่ถอนหายใจ พูดเสียงเบายิ่งกว่า “ของขวัญที่ใต้เท้าอวิ๋นบอกก็คือแทงข้าด้วยมีดเช่นนั้นหรือ”

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เสด็จอา ฉบับเต็ม

ที่งานนายอินทร์สนามอ่านเล่น (31 ก.ค – 4 ส.ค 62 แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน)

ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Editor Jamsai: