ต้องยอมรับว่าโลกนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้เรามีแต่เรื่องดีๆ สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับเราเสมอไป หลายครั้ง เราก็มองว่าโลกช่างโหดร้ายที่มอบแต่เรื่องราวแย่ๆ ให้กับเรา แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคู่กับพวกเรามาเสมอนี่นา และหลายครั้งความเศร้าและเรื่องเลวร้ายก็อาจเป็นแค่อุปสรรคที่มาทดสอบจิตใจเราเท่านั้นเอง
ระหว่างทางที่เราจะสร้างกำลังใจให้ตัวเองเดินต่อนั้น การได้หนังสือสัก 2-3 เล่มที่ช่วยเสริมสร้างกำลังใจได้ เหมือนเพื่อนคอยปลอบโยนและให้บทเรียนกับเราได้ไม่น้อยเหมือนกันนะ เอาเป็นว่า ลองหาหนังสือแนวๆ นี้มาอ่านดูบ้างก็คงจะดี เริ่มกันที่...
Everything, Everything
ผลงานจาก Nicola Yoon เล่าเรื่องของ แมดิลีน วิทเทียร์ เด็กสาวผิวสีที่ไม่เคยออกจากบ้านเลยเป็นเวลา 18 ปี เธอป่วยเป็นโรค ‘ดับเบิลเบบี้’ ทำให้เธอแพ้ทุกอย่างในโลกใบนี้ เธอจึงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านกับแม่และพายาบาลคาร์ล่า ส่วนพี่ชายและพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเด็กมาก แต่ชีวิตของแมดิลีนก็เปลี่ยนไป เมื่อเด็กหนุ่มออลลี่ย้ายมาอยู่ข้างบ้าน ตั้งแต่วินาทีที่สบตากัน เหมือนโลกของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เธอจึงลองเสี่ยงและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อหวังให้เธอได้ใช้ชีวิตจริงๆ สักครั้ง
เรื่องราวของคนๆ หนึ่งที่โรคร้ายที่ต้องการกำลังใจในการใช้ชีวิต เธอต้องทำใจยอมรับกับโรคร้ายที่เป็นอยู่ แต่ความรักก็เข้ามาเป็นพลังกระตุ้นให้เธอออกไปใช้ชีวิตจริงๆ ข้างนอก
‘Everything, Everything’ เป็นผลงานระดับ New York Times Bestseller และเป็นงานแปลชิ้นแรกของกานตริน ลีละหุต หรือเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปีก่อน
Tell Me Three Things
ผลงานจาก Julie Buxbaum ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ เจสซี่ เด็กสาวที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต หลังแม่ของเธอเสียชีวิตไปได้เกือบสองปี พ่อของเธอก็แต่งงานใหม่ พาเธอย้ายออกจากสถานที่ที่คุ้นเคยและเต็มไปด้วยความทรงจำ เธอต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ การใช้ชีวิตในโรงเรียนมัธยมนั้นไม่ง่ายพอๆ กับการที่ต้องทำใจยอมรับหลายสิ่งในชีวิต แต่ก็พบว่ามี ‘ใครบางคน’ เข้ามาในชีวิต มาทำให้เธอได้มองโลกในมุมที่แตกต่างออกไป
เขาเริ่มต้นด้วยการส่งอีเมลมาทำความรู้จัก แถมยังจริงใจกว่าที่คิด ให้คำแนะนำที่ดีในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโรงเรียนแห่งนี้อีกต่างหาก พวกเขามีเกมที่ตั้งไว้ให้แต่ละคนบอก 3 สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้ออกมา มันเป็นทั้งการทบทวนเพื่อเข้าใจตัวเอง และเปิดรับอีกด้านจากอีกคน จากคนที่มองโลกในแง่ลบๆ ก็เหมือนจะได้มองอะไรในแง่บวกๆ มากขึ้นเลยล่ะ
งานแปลจากนักแปลที่มีชื่อเสียงอย่าง มณฑารัตน์ ทรงเผ่า มีเนื้อหาที่สอนเกี่ยวกับการทำใจยอมรับความจริง เรื่องราวก็มีทั้งสุขทั้งเศร้าปนๆ กันไป ก็คล้ายๆ กับชีวิตของคนเรานั่นแหละ
A Piece of the Moon
เล่มนี้เป็นผลงานการเขียนจาก Ha-Hyun นักเขียนชาวเกาหลี และเป็นผลงานการแปลของ Hyunmeen ที่พูดถึงความรัก เปรียบเปรยว่าเป็นเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ที่ไม่มีความสมบูรณ์แบบแต่ก็มีความงามในแบบของมัน ก็เหมือนกับทุกสิ่งนั่นแหละ ผู้เขียนหยิบยกทุกอย่างรอบตัวที่คนเราอาจมองข้ามไป มาทำให้เราได้ลองคิดและมองเห็นแง่มุมอีกด้านหนึ่ง ในเล่มจะมีความรักที่หลากหลาย ทั้งในมุมของคนหนุ่มสาว รวมไปถึงสิ่งของต่างๆ ทำให้เรารู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องมีความสมบูรณ์แบบเป็นพระจันทร์เต็มดวง มันก็ยังสวยงามในแบบของมัน
เป็นหนังสือที่ได้ติดแท็ก #มินฮยอนอ่าน จนขายดิบขายดีในทุกประเทศที่วางขาย เพราะฮวังมินฮยอน คือสมาชิกวง Wanna One ศิลปินหนุ่มที่มักใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ อ่านแล้วอบอุ่นใจ ได้แง่มุมความคิดอีกด้วยนะ
จะเห็นว่า หนังสือสักเล่มข้างต้นช่วยเพิ่มมุมมองดีๆ ให้กับจิตใจของเรา ทำให้เข้าใจชีวิตและมองโลกในแง่มุมที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะเลือกเล่มไหนมาให้แรงบันดาลใจดีๆ กับชีวิตก็คงต้องแล้วแต่บริบทและความต้องการที่เฉพาะตน ลองหยิบอ่านดูสักเล่มที่เหมาะกับคุณดูสิ
Comments
comments
No tags for this post.