X
    Categories: ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่สอง

หน้าที่แล้ว1 of 4

ตอนที่สอง

 

สามปีต่อมา

วสันตฤดูที่ดอกสาลี่บานสะพรั่งเวียนมาอีกครา ดอกสาลี่เต็มต้นประหนึ่งหิมะลอยล่อง ดอกสาลี่สีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณเช่นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี กำจายกลิ่นหอมอ่อนละมุนเย้ายวนออกมา

ที่นี่ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน กระทั่งชุดแพรไหมบนร่างของหญิงสาวก็ยังเป็นสีขาวดังเดิม นางก้มๆ เงยๆ อยู่ท่ามกลางทะเลบุปผาอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เสมือนเทพเซียนที่จุติลงมา

นางคือไป๋เสวี่ยฝูที่ถูกส่งตัวมาเฝ้าดูแลค่ายกลดอกสาลี่แห่งนี้ เป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีไป๋แห่งหนิงเฉิง

ชีวิตที่สงบเงียบดั่งผืนน้ำของนางเคยถูกเด็กหนุ่มผู้หนึ่งบุกเข้ามาสร้างความตกใจจนเกิดระลอกคลื่นจางๆ ในใจ หลังเด็กหนุ่มจากไปแล้ว วันเวลาท่ามกลางดอกสาลี่ผลิบานนี้ก็จะมีบางครั้งที่นางหวนนึกถึงบทเพลงคั่นเวลาช่วงสั้นๆ เมื่อครานั้น หัวใจคล้ายถูกเข็มทิ่มแทง ไร้บาดแผลทว่ากลับเจ็บปวดอยู่ลึกๆ

นางเป็นเพียงคนธรรมดา ย่อมไม่กล้าวาดหวังว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะกลับมาตามหา เพียงแต่นางยังคงจดจำใบหน้ามุ่งมั่นของเขายามที่หันกายจากไปและถ้อยคำแน่วแน่ของเขาในตอนนั้น เขาบอกว่า…หนึ่งปี ให้เวลาเขาหนึ่งปี

พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสามปี ดอกสาลี่ยังคงงดงามดังเดิม เพียงแต่รูปโฉมสง่างามเย็นชาในความทรงจำและรอยยิ้มบางเบาของเด็กหนุ่มที่ทำให้ทะเลบุปผาจืดจางกลับไม่เคยปรากฏขึ้นตรงหน้านางอีก

บางทีคงเป็นจริงตามคำพูดอาจารย์ คำสัญญาของบุรุษนั้นไม่ควรเชื่อและไม่ควรฟัง

ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคยเศร้าโศกเรื่องที่เด็กหนุ่มไม่กลับมา นางแค่รู้สึกสะท้านใจอยู่บ้างเท่านั้น นางพลันนึกถึงมารดาของตนเองที่ทนเฝ้าเรือนที่ห่างไกลอันอ้างว้างเงียบเหงาในจวนอัครเสนาบดีวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า

ในขณะที่จมดิ่ง จู่ๆ ที่ด้านหลังก็เกิดลมพัด โอบม้วนกลิ่นหอมอ่อนละมุนของดอกสาลี่เข้ามาจางๆ จากนั้นเงาร่างสีม่วงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านางพลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “คุณหนู แย่แล้วเจ้าค่ะ”

ไป๋เสวี่ยฝูใจหาย ถามขึ้นตามความนึกคิดในจิตใจ “มีเรื่องใด” เพียงมองสีหน้าของชิงหลีก็ทราบว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ในใจนางตึงเครียดไปตามสีหน้าของสาวใช้อย่างห้ามไม่อยู่ นัยน์ตาดำกระจ่างฉายแววกังวล

ชิงหลีกลืนน้ำลาย ลูบไรผมที่มุมหน้าผากพลางเอ่ยอย่างร้อนรน “เกิดเรื่องกับคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ได้ยินว่านายท่านบังคับนางเข้าวังเพื่อคัดเลือกสาวงาม* ด้วยความเสียใจจึงทำลายโฉมหน้าตัวเอง น่าสลดใจยิ่งนัก”

ไป๋เสวี่ยฝูสะดุ้งเฮือก นางจ้องชิงหลีที่ร้อนใจอย่างตกตะลึงเช่นกัน อึ้งงันครู่หนึ่งถึงได้สติ ก่อนจะหมุนตัวออกวิ่งเข้าสู่ทะเลบุปผาทันที ทิ้งท้ายประโยคเดียวโดยไม่ลังเล “ข้าจะกลับบ้าน!”

“เอ๋?…คุณหนู ท่านรอข้าก่อนสิ!” ชิงหลีวิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองติดตามแม่ชีอวี้เจินมานานถึงสิบเอ็ดปี ร่ำเรียนวรยุทธ์จนสำเร็จ แม้บอกไม่ได้ว่าล้ำเลิศที่สุดแต่ก็นับว่ามีฝีมือพอตัว ยามนี้คนหนึ่งนำคนหนึ่งตามหลังอยู่กลางทะเลบุปผาย่อมปั่นป่วนดั่งพายุหมุน กลีบดอกสาลี่ราวกับปีกผีเสื้อโบยบินลอยฟุ้งก่อนจะร่วงโปรยปราย

ข้างหูแว่วเสียงลมหวีดหวิว ไป๋เสวี่ยฝูสนใจเพียงมุ่งไปข้างหน้า ดอกไม้หลายกลีบร่วงระใบหน้าเล็กทำให้ดวงตาพร่าเลือน แต่นางกลับไม่มีเวลามาสนใจ นางคิดเพียงแต่จะกลับบ้านให้เร็วที่สุด

ไป๋อีหนิงเป็นบุตรสาวคนโตสกุลไป๋ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ นิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน ดูแลไป๋เสวี่ยฝูดีอย่างมากตั้งแต่นางยังเล็ก ทั้งยังเป็นคนเดียวในสกุลนอกจากมารดาแท้ๆ ที่ดีต่อนาง พี่น้องมีความสัมพันธ์ดียิ่งมาตลอด วันนี้ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับไป๋อีหนิงขึ้น ไป๋เสวี่ยฝูจึงเป็นกังวลจนอยากกลับไปเยี่ยมนางในทันที

ไป๋อีหนิงกับเซี่ยงเทียนฉีที่มาจากครอบครัวพ่อค้าต่างก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก บัดนี้บิดาให้ไป๋อีหนิงเข้าวังเพื่อคัดเลือกสาวงาม ไป๋อีหนิงย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน เพียงแต่วิธีการทำลายโฉมเช่นนี้ออกจะรุนแรงเกินไปหรือไม่ รูปโฉมพริ้งเพริศประหนึ่งบุปผาปานหยกเนียนวันนี้กลับต้องสูญสิ้น แล้ววันข้างหน้าจะพบปะผู้คนอย่างไร

ไป๋เสวี่ยฝูไม่ทันได้บอกลาแม่ชีอวี้เจินก็กระโดดขึ้นม้าขาวที่ผูกไว้ข้างต้นดอกสาลี่ มุ่งไปยังเมืองหนิงเฉิงพร้อมชิงหลี แม้จะใช้ทางลัดแต่ระยะทางจากเมืองเถิงโจวไปถึงเมืองหนิงเฉิงก็ยังห่างกันถึงสองร้อยหลี่** ระหว่างทางก็เป็นเขาสูงชันที่เดินทางได้ไม่สะดวก โชคดีที่ไป๋เสวี่ยฝูกับชิงหลีร่ำเรียนวรยุทธ์มา พวกนางจึงทนต่อเส้นทางอันยาวไกลและยากลำบากนี้ได้

กว่าจะบากบั่นมาถึงจวนสกุลไป๋อาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ครั้งสุดท้ายที่กลับมาคือช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นทั้งสองข้างของจวนสกุลไป๋เพิ่งปลูกดอกอวี้หลัน* ทว่าเวลานี้ดอกอวี้หลันกลับเจริญงอกงามจนออกดอกสีขาวมากมายแล้ว

กลิ่นหอมเข้มข้นของดอกอวี้หลันพุ่งปะทะจมูก ไป๋เสวี่ยฝูที่คุ้นชินกับกลิ่นหอมอ่อนของดอกสาลี่ย่อมรับกลิ่นฉุนแรงของดอกอวี้หลันนี้ไม่ไหว

เสากลมสีแดงเป็นมัน เหนือประตูใหญ่โตโอ่อ่ามีอักษร ‘จวนสกุลไป๋’ ฉวัดเฉวียนห้าวหาญดังมังกรเหินหงส์ระบำเปล่งประกายสีทองแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง เป็นที่ประจักษ์ถึงฐานะอันทรงอำนาจของจวนสกุลไป๋ในเมืองหนิงเฉิงนี้ ทำให้ผู้คนที่มองเห็นเป็นต้องหวั่นเกรง

เมื่อยืนอยู่หน้าจวนใหญ่โตที่แปลกหน้าทว่าคุ้นเคยแห่งนี้แล้ว ไป๋เสวี่ยฝูก็ใจลอยไปชั่วขณะ ที่นี่คือบ้านของนาง ทว่าเวลานี้กลับไม่รู้สึกเหมือนว่ากำลังกลับบ้านเลยสักนิด

เมื่อเข้าไปในจวน ไป๋เสวี่ยฝูก็วิ่งตรงไปยังห้องของไป๋อีหนิงด้วยความร้อนใจ แต่ขณะที่ก้าวเข้าไปในเรือนก็ต้องตกใจกับบรรยากาศ ‘วุ่นวาย’ ด้านในนี้ อัครเสนาบดีไป๋ยืนมือไพล่หลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดใต้ต้นท้อซึ่งแตกกิ่งก้านงอกงาม มีไป๋ฮูหยินยืนซับน้ำตาอยู่ด้านข้าง ปากพึมพำไม่หยุด “เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่สั่งสอนลูกเนรคุณผู้นี้ให้ดี”

อัครเสนาบดีไป๋แค่นเสียงเฮอะ เบี่ยงกายไปด้วยโทสะ แล้วสายตาเคียดขึ้งก็ปราดลงบนร่างของไป๋เสวี่ยฝูพอดี ก่อนจะผุดประกายแปลกใจบางๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นบุตรสาวคนที่สองในตอนนี้ ไป๋เสวี่ยฝูลังเลอยู่ชั่วอึดใจแล้วคารวะเขา “เสวี่ยฝูคารวะท่านพ่อ คารวะฮูหยินใหญ่”

“เจ้ากลับมาด้วยเหตุอันใด เห็นว่าในจวนนี้ยังมีเรื่องอัปมงคลไม่พอหรือ!” ฮูหยินใหญ่ดวงตาแข็งกร้าว ก่อนก้าวขึ้นมาถลึงตาใส่นาง

ไป๋เสวี่ยฝูไม่มีแก่ใจต่อปากต่อคำกับนาง เพียงเงยหน้าขึ้นมองบิดาอย่างแน่วแน่และขอร้องว่า “ท่านพ่อ ขอข้าพบพี่หญิงสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ”

“อยากพบก็พบ อย่างไรเสียตั้งแต่พรุ่งนี้ไปนางก็ไม่ใช่บุตรสาวข้าอีก” อัครเสนาบดีไป๋ลูบเสื้อพลางแค่นเสียงหนัก สีหน้าเย็นชาและเด็ดขาด

ในเรือนพำนักอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ไม่หยุดของฮูหยินใหญ่

เหล่าอนุภรรยามองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยแววตาเฉยเมย คล้ายว่ามีนัยยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ในขณะที่คุณหนูสามสกุลไป๋ที่มีนามว่าไป๋อวี้ฉีกลับกล่าวเอาใจว่า “ท่านพ่อ แม้พี่หญิงจะเสียโฉมไปแล้ว ทว่าสกุลไป๋เราหาได้ไร้บุตรสาวไม่ ไยต้องโมโหถึงเพียงนี้”

อัครเสนาบดีไป๋เลิกคิ้ว สายตาคมปลาบชำเลืองมองไป๋เสวี่ยฝู แววตาคล้ายกำลังตัดสินใจอะไรอยู่เงียบๆ ทว่าถูกมองมาเพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้ไป๋เสวี่ยฝูหวาดกลัวจนต้องรีบลุกขึ้นเดินเข้าห้องหมายหลบเลี่ยงสายตาที่กำลังคิดแผนการนี้

หากท่านพ่อบังคับให้ไปแทนพี่หญิง ข้าย่อมมิอาจคัดค้านได้ แต่สกุลไป๋มีบุตรสาวตั้งมากมาย แต่ละคนล้วนพริ้มเพราราวบุปผา ท่านพ่อคงไม่เลือกข้ากระมัง…ไป๋เสวี่ยฝูลอบขบคิด

เมื่อเข้ามาในห้องของไป๋อีหนิง ไป๋เสวี่ยฝูเห็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งกำลังร่ำไห้เฝ้าอยู่ข้างเตียง กลิ่นโอสถตลบอบอวลรอบทิศ ทั้งหนาวเหน็บอ้างว้าง ทั้งโศกเศร้าตรอมตรม

สาวใช้ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นไป๋เสวี่ยฝูก็ตกตะลึงเหมือนกับทุกคนในจวนตอนเห็นนางครั้งแรก จากนั้นจึงทำความเคารพนางอย่างดีใจ กล่าวด้วยความหวังที่เปี่ยมล้น “คุณหนูรองกลับมาพอดี รีบห้ามคุณหนูใหญ่เถิดเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เสียโฉมไปแล้วจะเสียร่างกายไปอีกไม่ได้นะเจ้าคะ”

ไป๋เสวี่ยฝูฟังวาจาสาวใช้แล้วมองไปยังชามยาเย็นชืดบนโต๊ะ หัวใจพลันเจ็บแปลบ นางแหวกม่านลายวิหคเคียงคู่ออก ด้านในไป๋อีหนิงกำลังหลับตานอนหันหลังให้นาง ร่างกายผ่ายผอมดูบอบบางจนน่าสงสาร

“พี่หญิง…” ไป๋เสวี่ยฝูร้องเรียกกับแผ่นหลังของไป๋อีหนิงเสียงค่อย มือเล็กเอื้อมไปจับผ้าคลุมหน้า

ไป๋อีหนิงประหนึ่งถูกเข็มทิ่มแทง ปัดมือไป๋เสวี่ยฝูออกแล้วกุมผ้าคลุมหน้าแน่น แทบจะเอ่ยด้วยเสียงวิงวอนร้องขอ “อย่าดู อย่า…”

“เหตุใดพี่หญิงถึงโง่งมเพียงนี้” ไป๋เสวี่ยฝูเอ่ยตำหนิอย่างเจ็บปวดใจ นางยังจดจำพี่สาวแสนดีที่มักแย้มยิ้มให้ตนเองอย่างอบอุ่นได้ รอยยิ้มงามล่มเมืองปานนั้น…ตอนนี้…รอยยิ้มนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว แล้วจะไม่ให้นางปวดใจได้อย่างไรกัน

“หากไม่ได้ครองคู่กับเทียนฉีจนแก่เฒ่า ข้าขอยอมตาย” ไป๋อีหนิงค่อยๆ หันร่างมา นัยน์ตาสีเข้มใต้ผ้าคลุมหน้าเยือกเย็นเด็ดเดี่ยว นี่คือการยึดมั่นถือมั่นต่อความรักของนาง เมื่อความรักที่ถนอมดูแลมานานหลายปีถูกทำลายลง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะพิสูจน์ว่าตนเองซื่อสัตย์ต่อความรัก แม้จะดูโง่งมแต่ก็ถือว่าคุ้มค่า

ไป๋เสวี่ยฝูไม่อาจเข้าใจ คงเพราะนางต้องอยู่เฝ้าโคมดำทุกค่ำคืน ทำให้รู้จักความรักทางโลกน้อยเกินไป กระนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของพี่สาว ความเจ็บปวดนั้นต้องทิ่มแทงบีบคั้นหัวใจยิ่งเป็นแน่!

นางไม่รู้ว่าตนเองยังพูดอะไรได้อีก บางทีไม่ว่าอะไรก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น เมื่อคนผู้หนึ่งหัวใจสลาย ทั้งร่างกายคงคล้ายถูกคว้านออกไปจนว่างเปล่า ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าว่างเปล่า แต่ความจริงกลับไม่สามารถใส่สิ่งใดเข้าไปได้แล้ว

หลังเดินออกจากห้องของไป๋อีหนิง ไป๋เสวี่ยฝูก็ตัดสินใจไปเยี่ยมมารดาที่เรือนซึ่งอยู่ห่างออกไป ไม่ได้พบกันมานานใจนางย่อมคิดถึง

จวนสกุลไป๋กว้างใหญ่มาก ไม่ว่าศาลาหอห้อง คานสลัก ภาพวาดบนเสา หรือสวนดอกบัวล้วนยิ่งใหญ่ตระการตา ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิต้นหญ้าแตกยอดอ่อน บุปผาสีสันสดใสแข่งกันบานสะพรั่ง เป็นการเพิ่มกลิ่นอายของวสันตฤดูให้กับสวนแห่งนี้อย่างเต็มเปี่ยม

ด้านซ้ายเป็นภูเขาจำลองสร้างขึ้นเคียงน้ำด้วยฝีมืออันวิจิตรประณีต เสียงน้ำไหลเป็นจังหวะราวบทเพลงขับขาน ผสานกับกลิ่นหอมสดชื่นของต้นหญ้าและบุปผานานาพันธุ์ นอกจากนี้ยังมี…

ไป๋เสวี่ยฝูตกตะลึงไปเล็กน้อย ไฉนจึงได้ยินเสียงสตรีร้องไห้ที่นี่เล่า ยังไม่ทันได้ไตร่ตรองให้ละเอียด เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นที่ด้านหลังภูเขาจำลอง “ว่ากันว่าจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยเย็นชาไร้หัวใจ อำมหิตโหดเหี้ยม เป็นสตรีของเขาไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่ ที่แม่ทำก็เพื่อปกป้องเจ้า ไม่รู้จักซาบซึ้งไม่พอ เจ้ายังมาถือโทษโกรธแม่อีก”

เสียงนี้ไป๋เสวี่ยฝูคุ้นเคยดีเพราะเป็นเสียงของฮูหยินใหญ่ ส่วนผู้ที่ร้องไห้ย่อมเป็นไป๋อวี้ฉี ฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดหนึ่งบุตรชายสองบุตรสาว บุตรสาวทั้งสองคือไป๋อีหนิงและไป๋อวี้ฉี ยามนี้นางเรียกตนเองว่าแม่ ผู้ที่ร้องไห้ก็ต้องเป็นไป๋อวี้ฉีแน่นอน!

สุ้มเสียงต่อมายืนยันความคิดของไป๋เสวี่ยฝู ได้ยินเสียงไป๋อวี้ฉีร่ำไห้ว่า “ลูกไม่สนว่าองค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยจะเป็นคนอย่างไร ลูกเพียงอยากเข้าวังเคียงคู่พระองค์ หากไป๋เสวี่ยฝูขึ้นเป็นอัครมเหสี สกุลไป๋มิใช่ต้องกลายเป็นใต้หล้าของนางหรือเจ้าคะ”

ขาสองข้างของไป๋เสวี่ยฝูชะงักกึกจนแทบทรุดลงกับพื้น นางคิดไม่ถึงสักนิดว่าพวกเขาตัดสินแล้วว่าจะส่งนางเข้าวังแทน สายตาแปลกประหลาดของท่านพ่อเมื่อครู่นี้พลันฉายวาบขึ้นในสมอง แม้แต่โอกาสในการตัดสินใจเขาก็ไม่เหลือให้นาง!

ไม่ต้องพูดถึงว่าจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่เลย หากต้องเป็นสตรีของจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยจริงๆ คงไม่มีจุดจบที่ดีดังคำของฮูหยินใหญ่ จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยที่เล่าลือกันว่าป่าเถื่อนกระหายเลือดเดิมคืออี้อ๋อง เพื่อครองอำนาจช่วงชิงบัลลังก์สูงสุดนี้ อีกฝ่ายถึงกับต้องเข่นฆ่าพี่น้องโดยไร้ความปรานี

นางควรคาดเดาได้แต่แรก แม้พี่สาวจะเสียโฉมไปแล้ว แต่เหตุผลเพียงแค่นี้คงไม่ทำให้ท่านพ่อทิ้งแผนการเสริมอำนาจให้แข็งแกร่งนี้ไปได้แน่ และตอนนี้ผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็คือนางกับไป๋อวี้ฉี

ไป๋อวี้ฉีไม่เหมือนไป๋อีหนิงที่ดูโอนอ่อนผ่อนตามทว่าภายในกลับแฝงแววขบถเอาไว้ ไป๋อีหนิงมักไม่เห็นด้วยกับการกระทำบางอย่างของบิดามารดาจนถึงขั้นทำให้ขายหน้าต่อหน้าบ่าวรับใช้ สร้างความหงุดหงิดใจแก่พวกเขาหลายครั้ง ส่วนไป๋อวี้ฉีนั้นมีชีวิตอยู่ในเรือนตั้งใจฝึกฝนเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพมาตั้งแต่เล็ก นางไม่สนใจเรื่องราวในสกุล ซ้ำยังเฉลียวฉลาดน่าเอ็นดูจึงได้รับความรักใคร่ลึกซึ้งจากบิดามารดา

ทั้งคู่แม้จะเป็นพี่น้องที่เกิดจากภรรยาเอกเช่นเดียวกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไป๋อีหนิงงามพริ้งเพริศกว่าทั้งยังสงบนิ่งเป็นผู้ใหญ่ ไม่แปลกที่บิดาจะเลือกนางเข้าวัง

“ท่านแม่ สามปีก่อนหลังจากที่ลูกได้เห็นองค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยในพิธีราชาภิเษกก็ตัดสินใจแล้วว่าจะครองคู่กับพระองค์ หลายปีมานี้ลูกมุ่งมั่นร่ำเรียนเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพ ก็เพื่อรอคอยเพียงวันคัดเลือกสาวงามนี้ แต่วันนี้ท่านกลับให้ลูกล้มเลิก ลูกทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของไป๋อวี้ฉีเจือแววผิดหวังอยู่หลายส่วน การได้ยลโฉมพระพักตร์ ท่าทางงามสง่า รวมถึงกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่เผยออกมาจากส่วนลึกขององค์จักรพรรดิล้วนเป็นความฝันของนาง เกี่ยวกับคำเล่าลือเรื่องความเลือดเย็นโหดร้ายเหล่านั้น เป็นเพราะพระองค์จำเป็นต้องกระทำเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มา นางเชื่อว่าหากจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยรักนาง พระองค์จะไม่มีทางปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นแน่

ฮูหยินใหญ่ถอนใจอย่างจนปัญญา ส่ายหน้าคล้ายอยากเอื้อนเอ่ยทว่ากลับหยุดยั้ง สุดท้ายเพียงเอ่ยเสียงอ่อน “บุตรโง่งม เจ้าคิดว่าท่านพ่อให้พี่สาวเจ้าเข้าวังเพื่อเสพสุขในลาภยศสรรเสริญหรือไร เฮ้อ…เจ้ายังเยาว์นัก อ่อนต่อโลกเกินไป…”

“ข้ารู้ว่าท่านพ่อทำเพื่ออำนาจและความรุ่งโรจน์ของสกุลไป๋ แต่ข้าไม่ด้อยไปกว่าไป๋เสวี่ยฝู สิ่งที่นางทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน”

ฮูหยินใหญ่ยังคงส่ายหน้า นางจะบอกบุตรสาวได้อย่างไร ไม่ว่าจะไป๋อีหนิงหรือไป๋เสวี่ยฝูล้วนต้องเข้าวังไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องทำ มีเพียงไปไม่มีหวนกลับ

ไป๋เสวี่ยฝูไม่อยากฟังอีก นางจึงยกชายกระโปรงแล้วเดินจากมา

มาถึงยังประตูของเรือนพำนักซึ่งอยู่ห่างไกลที่สุดในจวนสกุลไป๋

สองปีไม่ได้พบหน้า แม่ลูกจึงกินอาหารค่ำและพูดคุยกันเนิ่นนาน ในใจไป๋เสวี่ยฝูยังเป็นห่วงไป๋อีหนิงอยู่จึงกล่าวขอตัวลา

ฮูหยินสามส่งบุตรสาวที่ประตูเรือน แต่สุดท้ายก็รั้งมือนางไว้ นัยน์ตารื้นน้ำตาคลอ จ้องนางพลางกล่าวแผ่วเบาไม่กี่คำ “อย่าไปอีกเลย…”

ไป๋เสวี่ยฝูเจ็บแปลบในใจ อยากสวมกอดมารดาและบอกว่าไม่ไปไหนแล้ว เพียงแต่นางไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในจวนสกุลไป๋ มารดาก็เช่นกัน ถึงไม่กลับไปเมืองเถิงโจว แต่หากเสียงฆ้องของการคัดเลือกสาวงามดังขึ้น นางก็ต้องเข้าร่วมอยู่ดี

หญิงสาวกัดฟันแล้วหมุนตัวสาวเท้าจากไป หากบอกมารดาตอนนี้ว่าท่านพ่อจะส่งนางถวายองค์จักรพรรดิ เกรงว่าท่านคงร้อนใจแย่ และเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นั้น นางไม่กล่าวอันใดเลยจะดีกว่า

หลังออกจากเรือนฮูหยินสาม ไป๋เสวี่ยฝูก็กลับไปที่ห้องนอนของไป๋อีหนิง ทั้งปลอบโยน ทั้งโน้มน้าวและพูดคุยเป็นเพื่อนนางกระทั่งยามจื่อ* ถึงได้กลับห้อง

ห้องนี้ไม่มีคนอยู่นานจนมีกลิ่นเหม็นอับเสียดจมูก ก็แค่คืนเดียว อดทนนอนไปก่อนเถอะ นางลอบคิด แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือด้านในห้องยังคงมีแสงเทียนส่องสว่าง ดึกขนาดนี้ชิงหลียังไม่นอนอีกหรือ

ไป๋เสวี่ยฝูผลักประตูเข้าไปด้วยใจระแวงสงสัย แล้วก็ต้องตกตะลึงกับเงาร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า อัครเสนาบดีไป๋ผู้ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในห้องนี้กำลังยืนเอามือไพล่หลัง สงบนิ่งชวนให้ผู้คนหวาดหวั่น

“ท่านพ่อ” ไป๋เสวี่ยฝูขานเรียกเสียงเบา ยืนอยู่ด้านหลังเขาพลางเอ่ยอย่างห่วงใย “ดึกขนาดนี้แล้วไฉนท่านพ่อยังไม่พักผ่อนเล่าเจ้าคะ” แท้จริงนางรู้แต่แรกแล้วว่าเหตุใดเขาจึงมายืนรอนางกลับห้องเช่นนี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการเข้าวังคัดเลือกสาวงามในวันพรุ่งนี้แน่

อัครเสนาบดีไป๋นิ่งเงียบ ยังคงยืนมั่นคงอยู่ตรงหน้าโต๊ะเล็ก ขณะที่ไป๋เสวี่ยฝูทำตัวไม่ถูกอยู่นั้นเอง เขาก็หมุนตัวมาประจันหน้านางทันใด พลางยื่นแขนออกมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งบีบกรามนางไว้ อีกมือก็ยัดสิ่งของคล้ายยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งเข้าปากนาง

ไป๋เสวี่ยฝูตื่นตะลึงจนหน้าถอดสี ก่อนจะลงมือฟาดลงไปบนแขนของอัครเสนาบดีไป๋ตามสัญชาตญาณ ทว่าไม่ทันเวลาเสียแล้ว ยาลูกกลอนได้เปลี่ยนเป็นความขมกระแสหนึ่งแผ่ซ่านไปภายในปาก ลำคอ ก่อนลงไปยังกระเพาะ ดุจเปลวเพลิงที่ค่อยๆ ลุกโหม ร้อนรุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านพ่อ…” ไป๋เสวี่ยฝูขมวดคิ้วพลางเอ่ยเรียกสองคำ นางไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร เหตุใดท่านพ่อจึงต้องบังคับให้นางกินด้วย แต่ดูจากท่าทีของเขาในตอนนี้ ของสิ่งนี้ต้องไม่ใช่ของดีอะไรแน่นอน

บิดาผู้เย็นชาไร้หัวใจมาตั้งแต่ไป๋เสวี่ยฝูจำความได้กำลังชำเลืองดูการเปลี่ยนแปลงของนางด้วยแววตาเย็นชาโดยไม่ปริปากแม้สักคำ

เพล้ง! เสียงถ้วยชาบนโต๊ะตกแตก ไป๋เสวี่ยฝูพิงขอบโต๊ะอย่างทุกข์ทรมานแล้วเริ่มหอบหายใจอย่างหนัก ไม่เพียงทรวงอกที่ร้อนลวก ยามนี้แม้แต่จะหายใจก็ไม่คล่องแล้ว นิ้วเรียวกำผ้าปูโต๊ะตรงหน้าแน่น ดวงตาค่อยๆ เปล่งประกายความหวาดกลัวระคนแค้นเคือง ทางหนึ่งหอบหายใจทางหนึ่งถลึงตาจ้องบิดาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นของนาง

ไป๋เสวี่ยฝูไม่รู้ถึงความคิดอ่านของบิดา แต่นางรู้ว่าหัวใจของเขาเลือดเย็นไม่น้อยไปกว่าจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ย หรือไม่แน่ก็อาจจะยิ่งกว่า ถ้าเขาอยากให้นางตายก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย และก็คงไม่ลังเลแม้สักนิด บิดากระทำแบบนี้ต้องมีแผนการของเขาเองเป็นแน่

ในที่สุดอัครเสนาบดีไป๋ก็เคลื่อนไหว เขายกมือขึ้นป้อนยาลูกกลอนอีกเม็ดใส่ปากไป๋เสวี่ยฝู เมื่อลมหายใจของนางค่อยๆ เป็นปกติแล้วจึงบอกว่า “ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป วันนี้ของทุกเดือนโรคชนิดนี้จะกำเริบขึ้น แต่วางใจได้ เพียงเจ้ายอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย ทุกเดือนข้าก็จะให้คนนำยาถอนพิษไปส่งถึงในวังหลวง”

หน้าผากของไป๋เสวี่ยฝูมีเหงื่อผุดพราย เปล่งประกายสีทองท่ามกลางแสงเทียนสลัว นางพิงร่างอ่อนแรงกับข้างโต๊ะพลางเหลือบตามองเขา พูดเสียงแข็ง “เพียงอยากให้ลูกเข้าวังไปคัดเลือกเท่านั้น ท่านพ่อถึงกับต้องลงมือโหดเหี้ยมรุนแรงเพียงนี้เชียวหรือ”

แต่ไรมาอัครเสนาบดีไป๋ก็นิยมในชื่อเสียงและผลประโยชน์ เขาย่อมไม่ยอมละทิ้งงานคัดเลือกสาวงามที่สามปีมีครั้งแน่ ถ้าบุตรสาวของตนมีวาสนาได้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ เขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มถึงวันหน้าอีกแล้ว

เดิมทีเมื่อปีก่อนเคยคัดเลือกสนมชายาจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งแคว้นมาแล้ว ปีนี้ไม่จำเป็นต้องคัดเลือกอีกก็ได้ แต่องค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยเพิ่งขึ้นครองราชย์ ปีแรกจำต้องไว้อาลัยแด่อดีตจักรพรรดิ ในวังห้ามจัดพิธีมงคลใหญ่ ปีต่อมาคัดเลือกมาไม่น้อย แต่จนถึงวันนี้กลับไม่มีสนมชายาคนใดให้กำเนิดทายาทมังกรแก่องค์จักรพรรดิเลยสักคน ขุนนางนับร้อยในราชสำนักจึงถวายหนังสือกราบทูลขอให้คัดเลือกสนมชายาอีกครั้งในปีนี้ เพื่อต่อยอดหน่อเนื้อเชื้อไขของเชื้อพระวงศ์ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป

อัครเสนาบดีไป๋ส่ายหน้า พิศมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะควานหาขวดใบเล็กจากอกวางใส่มือนาง “ข้าอยากให้เจ้าหาโอกาสที่จะไม่มีทางผิดพลาดแน่ๆ นำพิษทะลวงไส้หยดนี้ใส่ในอาหารขององค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ย ทำให้เขาหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล”

ไป๋เสวี่ยฝูสูดลมหายใจเฮือก ถอยหลังไปเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ก่อนจะโยนขวดยากลับไปใส่มือบิดา สีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ไม่เจ้าค่ะ…ลูกไม่อยากเสี่ยงอันตรายเช่นนี้” ให้ตายก็คิดไม่ถึงว่าความทะเยอทะยานของบิดาจะยิ่งใหญ่มากอย่างนี้ เขาไม่เพียงอยากสร้างอำนาจให้แก่สกุลไป๋ แต่เพื่อจะได้มีอำนาจเหนือล้นฟ้าอีกต่อไป ยามนี้สายตาของเขาได้มองผ่านอำนาจของสกุลไป๋มุ่งไปยังบัลลังก์จักรพรรดิแล้วด้วยซ้ำ!

“เป็นบุตรสาวของข้าไป๋ฉางโซ่ว ไม่มีสิทธิ์กล่าวคำว่าไม่!” น้ำเสียงของอัครเสนาบดีไป๋เย็นชาเด็ดขาด ไม่ยอมให้ผู้อื่นปฏิเสธได้

“ลูกเป็นแค่หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ไหนเลยจะทำให้จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยดื่มยาพิษนี้ได้สำเร็จ” ไป๋เสวี่ยฝูไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงมีใจทะเยอทะยานทั้งยังอำมหิตถึงเพียงนี้

อัครเสนาบดีไป๋หัวเราะลั่น “แต่โบราณมากล่าวกันว่าวีรบุรุษมิอาจข้ามด่านโฉมสะคราญ เจ้าไม่ต้องแข็งแกร่ง แค่ความงามของเจ้าก็ชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง ขอเพียงแค่ลองดู”

ขอเพียงแค่ลองดู? การลองครั้งนี้เห็นทีจะเดิมพันด้วยชีวิตของบุตรสาวในไส้กระมัง ใจของไป๋เสวี่ยฝูพลันรู้สึกหนาวเหน็บ

ยังดีที่บิดาไม่รู้ว่านางร่ำเรียนวรยุทธ์กับแม่ชีอวี้เจินสำเร็จแล้ว มิเช่นนั้นไม่แน่เขาอาจจะให้นางกระทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อเขามากกว่านี้ก็เป็นได้!

“ท่านพ่อ ไยจึงต้องโหดเหี้ยมปานนี้ด้วย ตำแหน่งจักรพรรดิสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ไป๋เสวี่ยฝูเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่เข้าใจ วิธีการของบิดานับว่าเด็ดขาดยิ่ง

“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจเหตุผล แต่หากเจ้ากล้าขัดคำสั่งก็รอตายตอนที่พิษกำเริบในเดือนหน้าได้เลย ส่วนแม่ของเจ้าก็จะพลอยได้รับผลในครั้งนี้ไปด้วย ดังนั้นเพื่อแม่ของเจ้าแล้ว เจ้าก็จงทำเรื่องนี้ให้ดีเถิด” อัครเสนาบดีไป๋กล่าวจบก็วางยาพิษไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวสืบเท้าไปด้านนอก อาภรณ์สีดำก็สะบัดหายลับไประหว่างช่องประตูบานพับในทันที

ไป๋เสวี่ยฝูนิ่งมองพิษทะลวงไส้ตรงหน้า เพียงหยดเดียวก็สามารถทะลวงลำไส้จนคนถึงแก่ชีวิตได้ สติสัมปชัญญะของนางค่อยๆ เลื่อนลอย กระทั่งจินตนาการถึงชีวิตอันทุกข์ทรมานที่กำลังมาถึงว่าจะโหดร้ายเพียงใด นางเอาชนะบิดาไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจุดอ่อนสำคัญของนางคือมารดา จุดอ่อนแต่ไรมาที่จะไม่มีวันเปลี่ยนไปของนาง!

หากไป๋เสวี่ยฝูไม่ทำตาม ไม่เพียงแต่ตัวนางที่จะสิ้นชีวิต ยังมีมารดาผู้ให้กำเนิดที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาหลายปีของนางอีกคนด้วย

* การคัดเลือกสาวงาม (ซิ่วหนี่ว์) เป็นการคัดเลือกบุตรสาวจากตระกูลชนชั้นสูงเข้าไปเป็นนางในในวังหลวง จัดขึ้นทุกๆ สามปี

** หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

* ดอกอวี้หลัน หมายถึงดอกแมกโนเลีย

* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Editor Jamsai: