ตอนที่สาม
ไป๋เสวี่ยฝูนอนขดตัวอยู่บนเตียงเย็นเยียบตลอดคืน รุ่งสางก็ถูกเสียงฆ้องระลอกหนึ่งปลุกให้ตื่น นางลุกขึ้นเปิดหน้าต่าง เสียงฆ้องของการคัดเลือกสาวงามดังกึกก้องไปทั่วเมือง
นางรีบล้างหน้าล้างตาแล้วเดินตามบ่าวรับใช้ไปที่โถงหน้า ในมือกำขวดยาพิษเล็กๆ ไว้แน่น ระหว่างทางที่ไปโถงด้านหน้านั้นนางก็เดินด้วยฝีเท้ามั่นคงเด็ดเดี่ยว
อัครเสนาบดีไป๋คอยอยู่ที่โถงหน้าแล้ว คล้ายรู้ชัดว่านางจะปรากฏตัวขึ้น มุมปากของเขาจึงผุดรอยยิ้มแห่งชัยชนะ นอกจากนี้ยังมีฮูหยินใหญ่และไป๋อวี้ฉีอยู่ด้วย ยามนี้ไป๋อวี้ฉีสวมชุดแพรไหมสีฟ้าอ่อน เรือนผมปักปิ่นทองระย้า ประทินโฉมอ่อนๆ คิ้วโก่งบางเบา งามสะคราญดุจเทพเซียน ทว่ายังคงมีความไร้เดียงสาปรากฏออกมา
นางอายุยังน้อย เพิ่งจะปักปิ่น* ในปีนี้ ตั้งแต่เล็กก็เติบโตมาท่ามกลางการประคบประหงมเอ็นดูของฮูหยินใหญ่ นางจึงมีนิสัยคล้ายเด็กน้อยอยู่บ้าง
“ท่านแม่ ท่านว่าฝ่าบาทจะต้องพระทัยลูกหรือไม่เจ้าคะ” ไป๋อวี้ฉียิ้มอย่างเบิกบาน
ฮูหยินใหญ่กลับมีสีหน้าหม่นหมอง จัดแต่งจอนผมให้บุตรสาวพลางเอ่ยตอบ “ตำหนักในดั่งสนามรบ เจ้าต้องระมัดระวังรอบคอบ พิจารณาให้ถ้วนถี่ทุกย่างก้าวรู้หรือไม่”
“ลูกทราบแล้ว” ไป๋อวี้ฉีขานรับอย่างแช่มชื่น
ไป๋เสวี่ยฝูไม่แปลกใจเลยสักนิดที่อีกฝ่ายได้เข้าวังไปคัดเลือกสาวงาม จากที่ได้ยินคำสนทนาเมื่อวานนี้ ไป๋อวี้ฉีไม่จำเป็นต้องเข้าวังไปทำสิ่งใด เพียงแค่ทำให้จักรพรรดิพอพระทัยเป็นพอ
เดิมคิดว่าท่านพ่อไม่มีหัวใจ ไม่รักเอ็นดูผู้ใดเสียแล้ว ที่แท้ข้ากลับคิดผิด
ไป๋เสวี่ยฝูพลันฉุกคิดถึงไป๋อีหนิง นางก้าวเท้าแช่มช้อยเข้าไปด้านใน คารวะอัครเสนาบดีไป๋แล้วเอ่ยเบาๆ “ท่านพ่อ ลูกจะว่านอนสอนง่าย เพียงหวังให้ท่านรับปากเงื่อนไขลูกหนึ่งข้อ ขอท่านพ่อโปรดอภัยให้พี่หญิงด้วย”
อัครเสนาบดีไป๋เหลือบมองนางพลางแสยะยิ้ม “เพียงแค่เจ้าว่าง่าย พ่อก็จะไม่สร้างความลำบากให้ลูกเนรคุณนั่น” ในเมื่อมีคนเข้าวังแทนแล้ว เขาย่อมไม่เอาความกับบุตรสาวไม่เอาไหนคนหนึ่ง อย่างไรก็ถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง!
ไป๋เสวี่ยฝูพยักหน้าแล้วเดินตามแม่นมไปทางประตูใหญ่จวนสกุลไป๋ นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เหยียบลานบ้านตนเอง เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นมารดาและพี่สาว หัวใจนางพลันขมขื่นแต่กลับไม่มีที่ให้ร่ำไห้
ไป๋เสวี่ยฝูกับไป๋อวี้ฉีไม่พูดคุยกันเลยตลอดทาง ไป๋อวี้ฉีเอาแต่ดูแลใบหน้าด้วยการประทินโฉมตัวเองอย่างระมัดระวัง เอาแต่กลัวว่าเครื่องประทินโฉมจะเลือนไปแม้สักนิด ไป๋เสวี่ยฝูอดยิ้มเยาะในใจไม่ได้ นางไม่รู้หรืออย่างไรว่าในสามเดือนแรกจะไม่มีทางได้เห็นรูปโฉมขององค์จักรพรรดิ มีเพียงไม่กี่คนที่เหลือหลังจากผ่านการคัดเลือกขั้นแล้วขั้นเล่าแล้วเท่านั้น องค์จักรพรรดิจึงจะเรียกเข้าเฝ้าผ่านม่านเพื่อคัดเลือกด้วยพระองค์เอง
เมื่อคืนหลังจากพบบิดาแล้ว แม่นมผู้ดูแลรับใช้ในจวนก็มาพร่ำสอนรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ที่ข้างหูไป๋เสวี่ยฝูรอบแล้วรอบเล่า ราวกับกลัวว่าพอนางเข้าวังไปแล้วจะทำให้องค์จักรพรรดิพิโรธ
สิ่งเหล่านี้นางจึงล้วนจดจำได้ทั้งหมด!
ไป๋อวี้ฉีกลับกำลังอยู่ในห้วงความสุข บ้างก็ส่งสายตาดูหมิ่นมาให้นาง ไป๋เสวี่ยฝูยังคงสวมชุดแพรไหมสีขาวหิมะของเมื่อวาน แม้แต่กระโปรงก็ยังโชยกลิ่นหอมอ่อนของดอกสาลี่ ผมสีดำรวบเป็นทรงเช่นเมื่อวาน ไม่มีเครื่องประดับผมใดสักชิ้น นางไม่มีเครื่องประดับผมมาตั้งแต่เล็กแล้ว หลังจากที่เข้าอารามเมี่ยวเฟิงก็ยิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ติดเครื่องประดับ
ตอนที่ทั้งสองมาถึงประตูวังก็มีผู้คนมากันอย่างล้นหลามแล้ว เด็กสาวแรกรุ่นหน้าตางดงามเบียดเสียดเนืองแน่น บ้างอ้อนแอ้นอรชร บ้างก็อวบอัดได้สัดส่วน ใบหน้าล้วนแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใส รอคอยเพียงวันที่จะได้บินขึ้นสู่ยอดไม้กลายเป็นหงส์
หลังจากผ่านการคัดเลือกในขั้นแรกแล้ว คนครึ่งหนึ่งก็ถูกปฏิเสธให้อยู่นอกประตูวัง เหลือเพียงห้าสิบคนที่เหล่านางข้าหลวงเห็นว่าเพียบพร้อมที่สุด ส่วนไป๋เสวี่ยฝูกับไป๋อวี้ฉีไม่ต้องถูกลากเข้ากระโจมเพื่อตรวจสอบร่างกายก็ผ่านการคัดเลือกในทันที
ไป๋เสวี่ยฝูเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดไป๋อวี้ฉีจึงต้องประทินโฉม ด้วยอำนาจของบิดาพวกนางแล้ว ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านอะไรกับหญิงสาวที่มีเรือนร่างอรชรอวบอิ่มหรือพริ้งเพราราวบุปผาเหล่านั้น เพียงรอสามเดือนให้หลังแล้วเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิก็พอ หากโชคดีได้รับคัดเลือกจากพระองค์ เช่นนี้แผนการของนางก็จะสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง
นางข้าหลวงนำพวกนางเข้าไปทางประตูข้าง ในชั่วพริบตาที่ประตูวังปิด ไป๋เสวี่ยฝูได้ยินเสียงหญิงสาวด้านหลังสะอื้นไห้
แม้จะเล่าลือกันว่าองค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยเลือดเย็นโหดเหี้ยมเพียงใด ก็ยังมีหญิงสาวมากมายที่ใฝ่ฝันจะบินขึ้นยอดไม้กลายเป็นหงส์ ปรารถนาจะเป็นสตรีของเขา
ความจริงแล้วจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยมีเสน่ห์ตรงที่ใดกันแน่
ไป๋เสวี่ยฝูพลันคิดถึงบทสนทนาระหว่างฮูหยินใหญ่กับไป๋อวี้ฉีเมื่อคืนนี้ แค่เห็นเพียงแวบเดียว เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ไป๋อวี้ฉีก็หลงรักบุรุษผู้อยู่บนบัลลังก์สูงสุดแล้ว
คำเล่าลือจะเชื่อถือได้จริงหรือ เขาโหดเหี้ยมอำมหิตดั่งคำกล่าวขานจริงหรือไม่
ชื่อเสียง ฐานะ และความรุ่งโรจน์ของวงศ์สกุลจะสำคัญกว่าความสุขทั้งชีวิตจริงๆ หรือ
ไป๋เสวี่ยฝูขบคิดอย่างกลัดกลุ้ม ขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าก้าวตามหลังนางข้าหลวงที่นำขบวนไป
พระราชวังงดงามอร่ามตาถูกอาบย้อมอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ทองอร่าม แลดูสูงส่งประหนึ่งแดนเทพแดนสวรรค์ กำแพงสีแดงกระเบื้องสีเขียวอันโอ่อ่า หลังคาซ้อนเป็นชั้นๆ ชายคาโค้ง ศาลาตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว แผ่นกระเบื้องเคลือบสีทอง รวมไปถึงพื้นที่ปูด้วยอิฐทองคำล้วนแผ่กลิ่นอายอันสูงส่งแห่งราชวงศ์ไว้อย่างชัดเจน
ตามกฎระเบียบแล้วนางข้าหลวงจะต้องพาพวกนางมายังภายในตำหนัก แล้วบอกให้แต่ละคนขานชื่อเสียงเรียงนามและบ้านเกิดตามลำดับ ทว่าสตรีลำดับที่หนึ่งยังไม่ทันอ้าปากกล่าวคำก็มีเสียงแหลมเล็กของบุรุษดังแว่วมาจากด้านนอกตำหนัก “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ!”
นางข้าหลวงพลันตระหนกรีบวิ่งเหยาะๆ ไปรับหน้าแล้วคุกเข่าถวายบังคม ส่วนเหล่าสาวงามที่ไม่เคยสัมผัสถึงธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวงต่างพากันฝีเท้าลนลาน ก่อนจะทรุดกายถวายบังคมโดยไม่สนว่าท่วงท่าจะถูกหรือไม่ตรงหน้ากงกง* ผู้มาถ่ายทอดราชโองการ ไม่ว่าใครต่างก็คาดไม่ถึงว่าราชโองการขององค์จักรพรรดิจะมาถึงเร็วปานนี้ เหล่านางข้าหลวงที่รับผิดชอบดูแลหญิงงามมาหลายปีล้วนไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจจึงพลันคล้ายตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้นำเหล่าสาวงามไปยังสวนดอกโบตั๋น ฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกผู้ที่ต้องพระทัยด้วยพระองค์เอง!” สั้นๆ ง่ายๆ เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังอื้ออึงทั่วทั้งลาน แต่ละคนปีติเหลือล้น อย่างน้อยก็เลี่ยงความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสในช่วงของการฝึกอบรมไปได้ ทั้งยังได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิตามเสียงเล่าลือได้ในเร็ววัน
มีเพียงไป๋เสวี่ยฝูที่ยังคงคุกเข่าอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าไม่เผยอารมณ์มากนัก นางไม่เหมือนเช่นสตรีอื่นที่เฝ้ารอที่จะได้เข้าไปอยู่ในตำหนักในเร็วขึ้น ตรงกันข้ามหัวใจของนางกลับยิ่งดิ่งลึกต่ำลงไปเรื่อยๆ ราวกับมีหินขนาดมหึมากดทับ
หลิวหมัวมัว** รับราชโองการแล้วหมุนตัวมาเอ่ยกับสาวงามทั้งหลาย “ฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้าถือเป็นวาสนาของพวกเจ้า จำไว้ว่าเมื่อเข้าพบฝ่าบาทต้องคุกเข่า พระพักตร์มังกรมิอาจมอง หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามเงยหน้า เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจเจ้าค่ะ!” สาวงามทั้งหมดขานรับพร้อมกัน
หลิวหมัวมัวนำทุกคนเดินออกจากตำหนักมุ่งสู่สวนดอกโบตั๋นที่กงกงเอ่ยถึง ระหว่างทางพบดอกท้อสีแดง ต้นหลิวสีเขียว อวลด้วยกลิ่นดอกไม้ สกุณาร้องเจื้อยแจ้ว ดอกตู้เจวียน* ที่เรียงรายเป็นแถบยิ่งดูงดงามประหนึ่งก้าวเข้ามาในแดนสวรรค์ บรรดาหญิงสาวที่ไม่เคยเห็นทิวทัศน์งดงามระดับนี้ต่างก็มีสีหน้าตื่นตาตื่นใจ เสียงอุทานเบาๆ จึงดังขึ้นมาไม่ขาด
เดินต่อไปก็พบกับไม้ยืนต้นเก่าแก่เช่นต้นสนที่มีอายุเกือบร้อยปี กระเบื้องหลังคาสีเทาของศาลาสูงที่แกะสลักขึ้นจากหินเฮยเย่า** เปล่งประกายแวววับใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง นอกจากนี้อิฐก่อกำแพงยังทำขึ้นจากหยกเขียว ยามอากาศร้อนให้ความรู้สึกเย็นสบาย ยามอากาศหนาวยังแผ่กลิ่นอายอบอุ่น
ขณะที่เดินผ่านสวนดอกไม้ สตรีผู้มีรูปโฉมงดงามดุจบุปผา ท่วงท่าเยือกเย็นสูงส่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าโดยมีกลุ่มขันทีและเหล่านางกำนัลห้อมล้อม โฉมสะคราญสวมอาภรณ์ไหมสีเหลืองสดระพื้น ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ประดับมุก ปิ่นทองระย้าฝังมรกตที่จอนผมเมื่อเทียบกับของไป๋อวี้ฉีแล้วยังนับว่าตระการตากว่ามาก
สตรีผู้นั้นหยุดเดินก่อนแย้มยิ้มบางเบา แม้มิใช่รอยยิ้มที่ออกมาจากใจ แต่ก็ยังทำให้แสงอาทิตย์เจิดจ้าหม่นแสงราวกับนางดึงดูดประกายแสงทั้งหมดไปแล้วปลดปล่อยออกมาผ่านรอยยิ้ม
โฉมสะคราญเลิศหล้าคงหมายถึงความงามเหนือปฐพีประเภทนี้กระมัง ไป๋เสวี่ยฝูคิดในใจเงียบๆ
ไป๋เสวี่ยฝูเหลือบเห็นแววตาอิจฉาที่ผุดขึ้นบนหน้าไป๋อวี้ฉีในทันใด คาดว่ากลิ่นอายสูงศักดิ์ของสตรีผู้นี้คงกระทบจิตใจนางเป็นแน่
“ถวายพระพรอวี้กุ้ยเฟย*** เพคะ!” หลิวหมัวมัวคุกเข่าก้มศีรษะลงจนต่ำที่สุด
เหล่าสาวงามถึงได้หลุดจากภวังค์ คุกเข่าลงอย่างอลหม่านอีกครั้งก่อนเอ่ยถวายพระพรเป็นเสียงเดียวกัน มีเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่ช้าไปครึ่งจังหวะ อาจเพราะอายุน้อยจึงเหม่อลอยจนหลงลืมถวายพระพร พอนางได้สติอวี้กุ้ยเฟยก็ได้เยื้องกรายมาที่เบื้องหน้านางพลางถากถางขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสียแล้ว “เป็นอย่างไร ข้าไม่มีคุณสมบัติพอให้เจ้าคุกเข่าหรือ”
เด็กสาวลนลานในทันที สองเข่าทรุดลงคุกเข่ากับพื้นหนักๆ “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ!”
รอยยิ้มงามสะคราญล่มเมืองเลือนหายไปสิ้นก่อนจะแทนที่ด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง อวี้กุ้ยเฟยเดือดดาล ปิ่นทองระย้าที่จอนผมสั่นไหวรุนแรงชวนให้กังวลว่าอีกอึดใจหนึ่งจะหล่นลงมาหรือไม่
หลิวหมัวมัวที่แอบช้อนตามองใบหน้าของอวี้กุ้ยเฟยตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นผุดตามไรผม รีบร้อนขอประทานอภัย “พระชายาโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันไร้สามารถ อบรมสั่งสอนไม่ดี…” องค์จักรพรรดิทรงเรียกเข้าเฝ้ากะทันหันเช่นนี้ นางไม่ทันได้อบรมก็บังเอิญพบอวี้กุ้ยเฟยเสียแล้ว แม้มีเหตุผลก็ไม่อาจพูดได้ ความผิดพันหมื่นล้วนเป็นของเหล่าบ่าวไพร่อยู่แล้ว
“ส่งเด็กสาวผู้นี้ไปเป็นทาสที่ฝ่ายซักล้าง!” น้ำเสียงของอวี้กุ้ยเฟยกังวานใสแต่กลับหนาวเหน็บเสียดกระดูก
ทันทีที่ได้ฟังเด็กสาวก็หน้าถอดสี หมอบลงแทบเท้าอวี้กุ้ยเฟยพลางร่ำไห้ขอร้อง “ขอพระชายาโปรดอภัยด้วยเพคะ! หม่อมฉันหาได้มีเจตนาล่วงเกินแต่อย่างใด เมื่อครู่หม่อมฉันถูกพระสิริโฉมของพระชายาดึงดูดไปชั่วขณะจึงลืมเลือนเรื่องถวายพระพรไป พระชายา…”
ฝ่ายซักล้างเป็นสถานที่สำหรับซักทำความสะอาดเสื้อผ้าของนายหญิงตำหนักต่างๆ เป็นงานที่หนักที่สุดในวังหลวง ฤดูร้อนยังพอทำเนา ทว่าเมื่อถึงฤดูหนาวที่น้ำค้างและหิมะต่างก็จับตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง น้ำจะเย็นจนเสียดกระดูกทีเดียว ปกติจะมีแต่พวกที่ขาดความเฉลียวฉลาดหรือทำผิดพลาดเป็นประจำเท่านั้นจึงจะถูกส่งไป
สาวงามทั้งหลายเมื่อถูกเพลิงโทสะของอวี้กุ้ยเฟยทำให้ขวัญหนีดีฝ่อจนแม้แต่หายใจแรงยังมิกล้าพากันก้มหน้างุดฟังเสียงร่ำไห้อันเศร้าสลดน่าเวทนาของเด็กสาว กลัวว่าคนต่อไปที่จะถูกส่งไปยังฝ่ายซักล้างจะเป็นตน
วาจาของเด็กสาวกระทบใจอวี้กุ้ยเฟยเบาๆ ก่อนบังเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ สตรีล้วนมีความถือดีซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ต่างก็ชอบฟังคำหวานหูด้วยกันทั้งนั้น ขณะเดียวกันเด็กสาวก็มีไหวพริบปฏิภาณดี ในชั่วเวลาคับขันกลับจับความนึกคิดของอวี้กุ้ยเฟยไว้ได้
อาภรณ์หรูหราขยับเล็กน้อย อวี้กุ้ยเฟยคลี่ยิ้ม ก่อนโน้มกายลงมากระซิบเบาๆ เหนือศีรษะของเด็กสาว “จริงหรือ ข้างดงามอย่างนั้นเชียวหรือ หากเปรียบเทียบกับพวกนางเล่า” แขนเรียวยกขึ้น ปลอกหุ้มเล็บสีทองระยับชี้ตรงไปยังบรรดาหญิงงามที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า
เด็กสาวกลับรู้จักพูดจา น้ำเสียงค่อยๆ สงบลง “พระชายาประหนึ่งดอกโบตั๋นเฉิดฉายภายในสวนดอกโบตั๋น ส่วนพวกนางนั้นคือดอกตู้เจวียนที่ขึ้นตามรายทาง ล้วนงดงามทว่าหาได้อยู่ในระดับชั้นเดียวกันเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยอดหัวเราะออกมามิได้พลางยืดกายขึ้นมายิ้มหยัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกโบตั๋นในสวนดอกโบตั๋นจะถูกเปลี่ยนออกทุกปี เมื่อดอกไม้โรยราใบไม้แห้งเฉาก็จะถูกย้ายออกไปจากสวน ดอกโบตั๋นเฉิดฉายเช่นข้าช้าเร็วก็ต้องถูกย้ายออกไปสักวัน” เสียงของนางแผ่วเบาทั้งยังแฝงความโศกเศร้า เป็นสตรีขององค์จักรพรรดิย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมอันทุกข์ระทมนี้ไปได้
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งราชวงศ์มาก็ไม่มีสนมชายาจากตำหนักใดที่ได้รับความโปรดปรานไปตลอดชีวิต ส่วนตัวนางถึงแม้จะถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยตำแหน่งฝ่ายในขั้นหนึ่ง ทว่าปกติกลับได้เห็นพระพักตร์องค์จักรพรรดินับครั้งได้ แล้วจะได้รับการโปรดปรานถึงร้อยปีได้อย่างไร
เด็กสาวตะลึงงัน ถูกวาจาของอวี้กุ้ยเฟยทำให้อับจนคำพูดในที่สุด เหงื่อเย็นผุดชุ่มไรผมข้างหน้าผากทั้งยังหยาดรินลงมาไม่ขาดสาย ด้วยความลนลานพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่หมอบอยู่แทบเท้าอวี้กุ้ยเฟยร้องไห้โฮ
อวี้กุ้ยเฟยกลับมิได้ทำให้นางลำบากอีก เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด”
เด็กสาวพลันปีติยินดีโขกศีรษะกับพื้นติดๆ กันพลางกล่าว “ขอบพระทัยกุ้ยเฟย ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ!” นางย่อมคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ อวี้กุ้ยเฟยจะเมตตายกโทษให้นางในคราวนี้
หญิงสาวคนอื่นก็คิดไม่ถึงเช่นกัน หินที่กดทับอยู่กลางใจร่วงหล่นลงพื้นเงียบๆ ตราบใดที่อวี้กุ้ยเฟยไม่เปล่งวาจา พวกนางก็ปลอดภัยชั่วคราว
อันที่จริงอวี้กุ้ยเฟยก็มิได้หวังจัดการใครถึงตาย เพียงอยากใช้โอกาสนี้อวดบารมีกับทุกคน ทำให้เหล่าสาวงามประจักษ์ว่านางเป็นผู้ปกครองตำหนักใน ให้รับรู้ถึงอำนาจอันน่าเกรงขามของอวี้กุ้ยเฟยเสียบ้าง!
อวี้กุ้ยเฟยในยามนี้ราวกับเป็นนกยูงที่สูงศักดิ์ตัวหนึ่งซึ่งกำลังเผยด้านทระนงที่สุดออกมา และกำลังวางอำนาจบาตรใหญ่ด้วยการหลุบตาลงมองกลุ่มนกกระจอกตัวเล็กที่อยู่แทบเท้า กระโปรงยาวระพื้นปลิวสะบัด ขณะที่ทุกคนไม่กล้าหายใจแรง อวี้กุ้ยเฟยก็เยื้องกรายผ่านหน้าไปอย่างสง่างาม
ก่อนไปอวี้กุ้ยเฟยก็ได้ดึงปิ่นทองระย้าฝังมรกตลงมาจากเรือนผม แล้วปักเข้าไปในมวยผมของเด็กสาว
เด็กสาวที่ว่าง่ายเชื่อฟังแบบนี้เรียกมาเก็บไว้ใช้งานข้างกายใช่จะเป็นเรื่องไม่ดี
กระทั่งมองไม่เห็นเงาร่างของอวี้กุ้ยเฟยอีก หลิวหมัวมัวจึงกล้าเอ่ยเรียกพวกนางลุกขึ้น จากนั้นจึงสั่งให้เร่งฝีเท้าด้วยกลัวว่าจะไม่ทันเวลาเสด็จขององค์จักรพรรดิ
กงกงผู้ดูแลความเรียบร้อยคนหนึ่งรีบรุดจากด้านนอกสวนมาหยุดยืนที่ด้านข้างประตู เสียงตะโกนแหลมเล็กดังขึ้น “ฝ่าบาทเสด็จ!”
เสียงที่แหลมเล็กและไม่น่าฟังนี้ไม่เพียงทำให้ผีเสื้อสีสันสดใสที่กำลังโบยบินเหนือยอดเกสรดอกไม้ตกใจหนีไป แต่ยังทำให้เจ้าของกระโปรงสีสันละลานตาแตกตื่น บรรดาหญิงสาวลนลานไปชั่วขณะก่อนตะลีตะลานคุกเข่าดังเช่นสองครั้งที่ผ่านมา กล่าวตามหลิวหมัวมัวว่า “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
ในสวนที่เมื่อครู่ยังมีเสียงหัวเราะชื่นมื่นพลันเงียบสงัดจนได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจกำลังเต้น จากนั้นเสียงฝีเท้าหนักแน่นมีกำลังขุมหนึ่งก็ดังลอยมาจากประตูสวน แต่ไม่ได้เดินตรงมาด้านนี้ทว่ากลับมุ่งไปทางศาลา คนทั้งหลายล้วนคุกเข่าเกร็งร่างอยู่กับพื้น จดจำวาจาของหลิวหมัวมัวขึ้นใจ ‘ต้องคุกเข่า ห้ามเงยหน้า!’
จวบจนเสียงฝีเท้าลับไปก็ยังไม่มีผู้ใดเรียกพวกนางลุกขึ้น ไป๋อวี้ฉีที่อยู่ข้างๆ เริ่มนวดหัวเข่าบ่อยครั้ง คล้ายร่างสูงส่งของนางไม่อาจคุกเข่าได้ ตรงกันข้ามไป๋เสวี่ยฝูที่ฝึกฝนวรยุทธ์มา ทั้งยังต้องคุกเข่าบนพื้นหินสีเขียวมาตั้งแต่เล็ก นางจึงไม่มีความรู้สึกอันใดเลยสักนิด
“ฝ่าบาททรงมีราชโองการ!” ยังคงเป็นเสียงกงกงคนเดิม เหล่าสาวงามไม่ขยับเขยื้อน ต่างรอคำประกาศราชโองการด้วยสีหน้าเคร่งเครียดร่างกายแข็งเกร็ง มีเพียงไป๋เสวี่ยฝูที่นับว่าอารมณ์สงบ สิ่งที่นางปรารถนามิใช่ชีวิตในตำหนักในแต่เป็นชีวิตที่มีอิสรเสรี!
ไป๋เสวี่ยฝูกลัวว่าจะถูกคัดเลือกแต่ก็ปรารถนาจะได้รับคัดเลือก นางเลือกที่จะละทิ้งชีวิตของตนเองได้แต่จะไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของมารดาไม่ได้
“จากการตรวจสอบของกรมพิธีการ สาวงามในลำดับต่อไปนี้เฉลียวฉลาดมีคุณธรรม มีความรู้และมารยาท ฝ่าบาททรงมีราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ที่นี่ ณ บัดนี้ บันทึกพระนามลงหนังสือแต่งตั้งทองคำ!” สิ้นวาจากงกง บรรดาสาวงามทั้งตระหนกทั้งสงสัย แม้จะเฝ้ารอแต่ก็หวาดกลัวว่าหากกงกงประกาศต่อแล้วไม่ได้รับการคัดเลือก นับแต่นี้ก็จะหมดโอกาสอยู่ในวังหลวง เพราะสามปีข้างหน้ากว่าจะได้เข้าคัดเลือกอีกก็คงอายุเกินเสียแล้ว
“หลิวซื่อ* แม่ทัพหลิวมีคุณธรรมความดีความชอบ จงรักภักดีต่อราชสำนัก แต่งตั้งบุตรีหลิวฮุ่ยอวิ๋นขึ้นเป็นฮุ่ยเฟย ตำแหน่งฝ่ายในขั้นสองชั้นเอก! ไป๋ซื่อ อัครเสนาบดีไป๋เป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก มีผลงานความดีความชอบนับไม่ถ้วน จงรักภักดีต่อราชสำนัก แต่งตั้งบุตรีไป๋เสวี่ยฝูขึ้นเป็นเสวี่ยเฟย ตำแหน่งฝ่ายในขั้นสองชั้นเอก แต่งตั้งบุตรีไป๋อวี้ฉีขึ้นเป็นฉีเฟย ตำแหน่งฝ่ายในขั้นสองชั้นเอก! เจี่ยนซื่อ เสนาบดีเจี่ยนมีคุณความดีต่อราชสำนัก แต่งตั้งบุตรีเจี่ยนหย่าหลันขึ้นเป็นหลันผิน ตำแหน่งฝ่ายในขั้นห้า…”
“สนมชายาทุกพระองค์ข้างต้นเชิญไปรับของกำนัลที่ตำหนักบรรทมของอวี้กุ้ยเฟยและเข้าประทับในตำหนักได้เลยวันนี้ ที่เหลือทั้งหมดหากมิได้ขานชื่อนับเป็นบ่าวให้หลิวหมัวมัวรับผิดชอบแบ่งภาระหน้าที่!” สิ้นเสียงแหลมเล็กของกงกงก็บังเกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้น ในช่วงเวลานี้เสียงร้องไห้และเสียงหัวเราะพลันผสมผสานกัน ก่อนจะค่อยๆ ดังก้องไปทั่วทั้งสวนดอกโบตั๋น
“ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาท!” กงกงกัดฟันพลางถลึงตาใส่คนทั้งหลาย
บรรดาสาวงามถึงได้ถวายบังคมอย่างร้อนรน กล่าวเสียงดังไปทางม่าน “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ”
ตั้งแต่ต้นจนจบองค์จักรพรรดิผู้สูงส่งมิได้ตรัสวาจาแม้แต่ประโยคเดียว ทรงทอดมองทุกอย่างผ่านม่านด้วยสายตาอันเย็นชา
ไป๋เสวี่ยฝูระบายลมหายใจเบาๆ อย่างไรก็ผ่านเข้าไปแล้ว เพียงแต่…นี่เป็นผลลัพธ์ที่นางมุ่งหวังจริงหรือ
บิดาของข้ามีผลงานความดีความชอบ จงรักภักดีต่อราชสำนัก?! ไป๋เสวี่ยฝูยิ้มเยาะในใจ ดูแล้วจักรพรรดิผู้นี้คงจะเลอะเลือน อีกฝ่ายแทบจะนำมีดมาจ่อที่พระศออยู่แล้วยังกล้าตรัสว่าจงรักภักดีอีก! ฟังเสียงสะอื้นไประยะหนึ่ง ตามองหญิงสาวทั้งหลายที่ไม่ได้รับคัดเลือกถูกลากออกไป ในที่สุดนางก็เข้าใจประโยคที่กล่าวว่าเคียงคู่กับจักรพรรดิเสมือนเคียงพยัคฆ์ จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยทรงไร้ปรานีดังที่คิดไว้จริงๆ!
รายนามที่กงกงประกาศเมื่อครู่ล้วนเป็นบุตรีในสกุลสูงศักดิ์ บุตรีในสกุลสามัญชนหากอยากบินขึ้นยอดไม้กลายเป็นหงส์ ไม่เพียงฝันหวานต้องสูญสลาย ซ้ำยังถูกลดขั้นไปเป็นบ่าว ชะตาชีวิตอันเศร้าสลดเช่นนี้เกิดขึ้นในชั่วขณะที่พู่กันของบุรุษสูงศักดิ์ยิ่งผู้นั้นสะบัดเท่านั้น
“ไม่!” เด็กสาวคนเมื่อครู่ที่ล่วงเกินอวี้กุ้ยเฟยและกำลังถูกลากออกไปนั้น จู่ๆ นางก็สะบัดหลุดจากการควบคุมของขันทีน้อยวิ่งกลับไปตรงหน้ากงกง ตะเกียกตะกายกอดขาทั้งสองของเขาไว้พลางร้องไห้เสียงดัง “กงกง! จะให้ข้าเป็นบ่าวมิได้นะเจ้าคะ! ข้ามีปิ่นมรกตของอวี้กุ้ยเฟย ได้โปรดอย่าให้ข้าไปเลยนะเจ้าคะ!”
เด็กสาวร้องไห้พลางหยิบปิ่นปักผมทองประดับมรกตที่อวี้กุ้ยเฟยปักให้นางด้วยตัวเองลงมา แล้วยัดใส่มือกงกงด้วยสองมืออันสั่นเทา กงกงรับปิ่นมามองแวบเดียวก็มั่นใจว่านี่เป็นปิ่นอันเดียวในโลกที่ฝ่าบาทพระราชทานให้อวี้กุ้ยเฟย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถสั่นคลอนราชโองการของฝ่าบาทได้…กงกงจับปิ่น ชั่วขณะนั้นพลันลำบากใจ
กงกงกลับไปยังด้านหลังม่านภายในศาลา คงไปเพื่อขอความเห็นขององค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ย หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อ* ก็ออกมาเอ่ยกับเด็กสาว “ฝ่าบาททรงพระกรุณาแต่งตั้งเจ้าเป็นหวากุ้ยเหริน ตำแหน่งฝ่ายในขั้นหกชั้นโท”
เด็กสาวปีติเป็นล้นพ้น โขกศีรษะแรงๆ กับพื้น ปลาบปลื้มใจจนน้ำตานอง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!”
“กลับแถวเถิด” กงกงสะบัดแส้ในมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางด้านหลังม่าน
เด็กสาวรีบใช้ทั้งมือและเท้าตะกายกลับไปรับการแต่งตั้ง แล้วยิ้มกว้างไม่หุบอยู่ข้างๆ บรรดาสาวงาม หยาดน้ำตาบนใบหน้าเปล่งประกายแสงสีทองภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องก่อนจะไหลผ่านพวงแก้มลงสู่พื้น
“ดอกตู้เจวียนหน้าไม่อาย!” ไป๋อวี้ฉีเขม้นมองเด็กสาวคนนั้นวูบหนึ่ง ตั้งแต่ถูกเด็กสาวผู้นี้เปรียบเป็นดอกตู้เจวียน นางก็ข่มกลั้นความโกรธไว้ในใจ ลอบสัญญากับตนเองว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นดอกไม้ที่งามหยาดเยิ้มที่สุดในสวนดอกโบตั๋นดอกนั้นให้ได้!
ไป๋อวี้ฉีที่ถูกเลี้ยงดูพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เล็ก ไหนเลยจะเคยถูกผู้อื่นลดราคาเช่นนี้
เด็กสาวก้มหน้าเล็กน้อยโดยมิได้ตอบโต้ หัวใจยังคงเต้นตึกตัก ความตื่นตระหนกในชั่วพริบตาเมื่อครู่เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงยากลบเลือน
ไป๋เสวี่ยฝูก็เหมือนเช่นทุกคน ตั้งแต่คุกเข่านางก็ไม่กล้าเหลือบตาขึ้นมองสักแวบ ในใจเย็นวาบ มือซ้ายค่อยๆ ลูบขวดยาที่ซ่อนไว้ในที่คาดเอวก่อนจะกำแน่นจนนิ้วเนียนซีดขาว ก่อนจากบ้านมาท่านพ่อเคยพูดไว้ว่า…หากไม่ใช่เยวี่ยเยี่ยก็ต้องเป็นนางที่ตาย!
ทันใดนั้นตรงหน้าก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่หนักแน่นยิ่งแว่วมา ไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามองไป๋เสวี่ยฝูก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายรุนแรงที่ปะทะเข้ามา แผ่นหลังพลันเย็นวาบ กระทั่งเริ่มสงสัยว่าจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้เลื่องชื่อนั้นแท้จริงแล้วคือปีศาจ ถึงได้ให้ความรู้สึกเย็นเยือกแก่ผู้คนปานนี้
“หลี่กงกง ส่งชายารักกลับวังเถิด” พระสุรเสียงดังขึ้นเหนือศีรษะ เสียงนี้เย็นชายิ่งนัก ประหนึ่งก้อนน้ำแข็งที่ทับถมอยู่บนชายคากลางฤดูหนาว สายลมพัดวูบผ่านช่วงคอพาให้หนาวเย็นทั่วร่าง สุ้มเสียงเย็นชาน่าลุ่มหลงลอยละล่องไปทั่วทุกซอกทุกมุมของสวนดอกโบตั๋น เย็นชาทว่าคุ้นเคยเหลือเกิน…
คุ้นเคย? ไฉนจึงคุ้นเคยกับน้ำเสียงของบุรุษที่ไม่เคยแม้แต่พบหน้าได้เล่า ในช่วงเวลาสิบเจ็ดปีของไป๋เสวี่ยฝู บุรุษที่เคยบุกเข้ามาในชีวิตก็มีเพียงเด็กหนุ่มรูปงามใต้ต้นดอกสาลี่เมื่อสามปีก่อนเท่านั้น เด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาเยียบเย็นและใบหน้าเย็นชาผู้นั้น เขาสัญญากับนางว่าอีกหนึ่งปีจะกลับมา ทว่ากลับเสมือนสายลมระลอกหนึ่ง หลังพัดผ่านยอดเขาก็จางหายไปไม่เหลือร่องรอย!
ไป๋เสวี่ยฝูพลันเงยหน้าขึ้นทันที ยอมเสี่ยงโทษตายมองไปทางบุรุษผู้สูงส่งที่มิอาจแหงนมองผู้นั้น แล้วก็ต้องตะลึงงันไป
เป็นเขาจริงๆ ใบหน้าที่แทบจะถูกนางฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ใบหน้าที่คุ้นเคย สามปีผ่านไป นอกจากรัศมีเย็นชาเด็ดขาดที่เพิ่มขึ้นบนใบหน้าชั้นหนึ่งแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น!
ทว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ก็เพียงพอให้นางเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง…เขามิใช่เด็กหนุ่มผู้ทัดดอกสาลี่ที่จอนผมให้นางแล้วเผยรอยยิ้มพึงใจ หรือคนที่ให้คำมั่นสัญญาว่าอีกหนึ่งปีจะกลับมาคนนั้นอีกแล้ว เขาคือจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้สูงศักดิ์ โอรสสวรรค์แห่งแคว้นอวิ๋นเยวี่ย ข้างกายเขาล้วนเต็มไปด้วยสาวงามสะคราญโฉมมากมายที่พร้อมร้องเพลงร่ายระบำเพื่อเขา!
“กำเริบเสิบสาน!” หลี่กงกงคำรามเสียงต่ำ ทุกคนตกใจจนก้มหน้างุดต่ำลงไปอีก มีเพียงไป๋เสวี่ยฝูที่ยังคงเงยหน้าจ้องเขม็งไปยังจักรพรรดิผู้เป็นรักแรกพบของไป๋อวี้ฉีตรงหน้า
เขาหล่อเหลาและสูงศักดิ์อย่างแท้จริง เพียงพอให้สตรีมากมายนับไม่ถ้วนเลื่อมใสศรัทธาและพร้อมละทิ้งทุกอย่างได้เพื่อเขา
เขาก็คือจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้เป็นที่โจษขานว่าก่อกบฏแย่งชิงบัลลังก์ ฆ่าสังหารพี่น้องในไส้ ฝ่าบาทคนที่ท่านพ่อกำชับเสมอว่าต้องกำจัด…หัวใจนางเหมือนถูกกระบี่คมกริบกรีดผ่าน แต่เพราะเงยหน้าขึ้นอยู่น้ำตาจึงมิได้เอ่อล้นออกมาจากขอบตา
ทั่วทั้งวังหลวงถูกปกคลุมอยู่ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ทว่าท้องนภาที่เมื่อครู่ยังเป็นสีน้ำเงินกลับมืดครึ้มกลายเป็นสีเทาหม่นเสียแล้ว เฉกเช่นหัวใจนางในตอนนี้ ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงความเจ็บปวดและหดหู่…กระทั่งคำเตือนของหลี่กงกงก็ไม่ผ่านเข้ามาในการรับรู้ของไป๋เสวี่ยฝู ประหนึ่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลายในทันใด หัวใจอ่อนไหวของดรุณีแรกรุ่นซึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจมานานถึงสามปีพลันแตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา
เดิมทีเยวี่ยเยี่ยไม่คิดจะเหลือบแลหญิงงามที่คุกเข่าอยู่แทบเท้าตรงหน้านี้แม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ยินเสียงตวาดของหลี่กงกงเขาจึงก้มใบหน้าลง สายตาเย็นชาตกลงบนใบหน้าของไป๋เสวี่ยฝู ดวงหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนั้นเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มหญิงงามแล้วก็ไม่ถือว่าโดดเด่น ทว่ากลับทำให้เขาใจสั่นได้อย่างน่าประหลาดเสมือนถูกสิ่งของบางอย่างกระแทกเข้าเบาๆ
ทั้งคุ้นตาและคล้ายคลึงอยู่หลายส่วน ใบหน้าที่เขาซุกซ่อนอยู่ภายในใจมาตลอด…พลันหลั่งไหลขึ้นมา
หญิงสาวที่งามสง่าบริสุทธิ์เหนือสามัญราวดอกสาลี่ หญิงสาวที่ชอบสวมกระโปรงสีขาวดุจเดียวกัน…
เยวี่ยเยี่ยส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย อดเย้ยหยันตนเองในใจไม่ได้ สตรีเช่นนั้นจะเป็นเหมือนบรรดาหญิงสาวที่หลงใหลในลาภยศ ลุ่มหลงในตำหนักในของเขาเหล่านี้ได้อย่างไร
เพียงแต่สตรีตรงหน้านี้…นางเป็นใครกันแน่
หลังเก็บความตกตะลึงไว้ในใจ เยวี่ยเยี่ยก็คลี่ยิ้มเย็นชาดังเช่นที่ผ่านมา “เป็นอย่างไร ชายารักเคยพบเรามาก่อนหรือ”
มุมปากของเขาหยักขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นแม้จะดูบาดตาเพียงใดแต่กลับน่าหลงใหลดังบุปผา
ประโยคนี้ทำให้ไป๋เสวี่ยฝูหลุดจากภวังค์แห่งความทรมานสิ้นหวังอันเจ็บปวด แววตกตะลึงบนใบหน้าเล็กขาวสะอาดค่อยๆ เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน นางก้มหน้าลง เสียงนุ่มนวลราบเรียบเปล่งออกมาจากปากนาง “เสวี่ยฝูมิเคยพบฝ่าบาทมาก่อนเพคะ”
ประโยคนี้ฟังดูแล้วสงบเป็นธรรมชาติยิ่ง ไม่มีคลื่นอารมณ์เลยแม้สักนิด เยวี่ยเยี่ยเชื่อว่าตนเองคิดผิดในที่สุด เขามองผิดไป นางมิใช่ดอกสาลี่ในใจเขา นางคือไป๋เสวี่ยฝู หญิงสาวที่พยายามอย่างสุดกำลังให้ได้เบียดเสียดเข้ามาภายในตำหนักในเพื่ออำนาจและลาภยศคนหนึ่ง
เยวี่ยเยี่ยไม่ถามให้มากความอีก อาภรณ์สีแดงเข้มพลิ้วสะบัดผ่านหางตาของไป๋เสวี่ยฝู ก่อนหมุนตัวสืบเท้าออกไปจากสวนดอกโบตั๋น หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นหอมของอำพันทะเล* จางๆ ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขา
หัวใจของไป๋เสวี่ยฝูค่อยๆ เจ็บปวด ด้านชา…
เยวี่ยเยี่ยลืมนาง แม้แต่เงาหลังที่ทิ้งให้นางก็ยังเด็ดขาดถึงเพียงนั้น สัญญาหนึ่งปีอะไรนั่น ครองคู่ตลอดไปอะไรกัน ที่แท้ก็ล้วนหลอกลวง…หลอกลวงทั้งสิ้น!
ไป๋เสวี่ยฝูจึงฉุกคิดถึงคำพร่ำสอนของอาจารย์ ‘คำสัญญาของบุรุษเชื่อไม่ได้’
เชื่อไม่ได้จริงๆ!
เพียงแต่นางไม่เคยลบเขาออกจากความทรงจำได้! ทว่าตั้งแต่ชั่วขณะนี้นางจะฝังทุกอย่างไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ และไม่เปิดออกอีกตลอดกาล!
จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงบุคคลแปลกหน้าคนหนึ่ง และนี่เป็นครั้งแรกที่นางกับเขาได้พบกัน!
* พิธีปักปิ่น คือพิธีแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่พร้อมที่จะออกเรือนของหญิงสาวชาวจีนเมื่ออายุครบสิบห้า
* กงกง เป็นคำเรียกขันที
** หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังด้วย
* ดอกตู้เจวียน หรือดอกนกแขกเต้า เป็นชื่อไม้ดอกในสกุลกุหลาบพันปี (Rhododendron) วงศ์กุหลาบป่า ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบดอกไม้งามของจีนและได้ชื่อว่าเป็นซีซือในหมู่ดอกไม้
** หินเฮยเย่า หมายถึงหินออบซิเดียน มีสีดำ แวววาวคล้ายแก้ว
*** ลำดับศักดิ์ของสตรีในวังสมัยโบราณ โดยทั่วไปเรียงตามลำดับดังนี้ หวงโฮ่วหรือฮองเฮา (อัครมเหสี) ถือเป็นประมุขของฝ่ายใน แต่ในรัชกาลหนึ่งๆ อาจไม่แต่งตั้งใครขึ้นเป็นก็ได้ รองลงมาคือหวงกุ้ยเฟย (อัครเทวีหรือมเหสีฝ่ายซ้าย) กุ้ยเฟย (อัครชายา) ชายาชั้นเฟย (ราชชายา) เจ้าจอมชั้นผิน (พระสนมเอก) เจ้าจอมชั้นกุ้ยเหริน (พระสนม) รองจากนั้นคือนางกำนัลและนางในทั่วไปซึ่งแบ่งชั้นและมีคำเรียกแตกต่างตามยุคสมัย
* ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ซื่อ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี
* เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เทียบระยะเวลาประมาณ 15 นาที
* อำพันทะเล (Ambergris) คือไขจากไส้วาฬหัวทุยที่ถูกสำรอกหรือขับถ่ายออกมา เมื่อถูกน้ำทะเลจะเปลี่ยนคุณสมบัติเป็นก้อนแข็งสีขาว น้ำตาล เทา หรือดำ และเมื่อทำปฏิกิริยากับอากาศและแสงแดด จะทำให้กลิ่นเหม็นหายไปและเกิดกลิ่นหอม สามารถใช้เป็นหัวน้ำหอม ใช้แต่งกลิ่นอาหาร และเป็นส่วนผสมของยาแผนโบราณ
Comments
comments