ตอนที่สี่
ไป๋เสวี่ยฝูตามหลิวหมัวมัวมารับของกำนัลที่ตำหนักของอวี้กุ้ยเฟย จากนั้นก็ไปยังตำหนักอวิ๋นเหอซึ่งตั้งอยู่ปลายสุดทางตะวันตกของวังหลวง ตำหนักอวิ๋นเหอแบ่งเป็นสองฝั่งคือฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันออกประทานให้ไป๋เสวี่ยฝู ฝั่งตะวันตกประทานให้ไป๋อวี้ฉี
พอเข้าไปในลาน ไป๋อวี้ฉีก็รั้งตัวหลิวหมัวมัวไว้แล้วตำหนิเสียงดัง “อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงชายาขั้นสองที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง แต่คนแก่เช่นเจ้ากลับให้ข้ามาอยู่ในตำหนักอันห่างไกลเช่นนี้ ทั้งยังต้องใช้ตำหนักร่วมกับผู้อื่น!”
หลิวหมัวมัวถูกนางต่อว่าจนก้มหน้างุด ได้แต่เอ่ยด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ใจ “ฉีเฟยโปรดระงับโทสะลงด้วย หม่อมฉันเพียงจัดการตามราชโองการของฝ่าบาทเท่านั้น หากพระชายาไม่ยินยอมพักที่ตำหนักอวิ๋นเหอนี้ รอยามที่ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญ พระชายาสามารถทูลขอต่อฝ่าบาทได้เพคะ”
ไป๋เสวี่ยฝูกลับไม่ยินดียินร้าย พักในตำหนักห่างไกลมีอะไรไม่ดีเล่า ออกจะเงียบสงบดีด้วย จะมีก็แต่ยังคิดไม่ตกว่าเหตุใดฝ่าบาททรงจัดการเช่นนี้ ทั้งที่แต่งตั้งพวกนางเป็นพระชายาในทันที แต่กลับให้พวกนางพักในตำหนักที่ไม่มีใครพักมาเนิ่นนานเสียได้
หลังจากหลิวหมัวมัวจากไปก็มีนางกำนัลสองคนเดินเข้ามา คุกเข่าถวายบังคมที่ประตูพลางเอ่ยว่า “เสวี่ยเฟยเพคะ หม่อมฉันเซียงเอ๋อร์และอวิ้นเอ๋อร์ถวายพระพรเสวี่ยเฟย หลี่กงกงมีคำสั่งให้หม่อมฉันสองคนมาปรนนิบัติดูแลพระชายาที่ตำหนักอวิ๋นเหอฝั่งตะวันออกเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” ไป๋เสวี่ยฝูเพียงกวาดตามองพวกนางเรียบๆ แวบหนึ่ง เห็นว่าพวกนางอายุยังน้อย ดวงตาใสฟันขาวสะอาด มองแล้วรู้สึกเย็นใจ จึงฉวยจี้หยกชั้นดีสองอันบนโต๊ะมอบเป็นของขวัญแก่พวกนาง
ฮูหยินใหญ่กล่าวได้ถูกแล้ว ตำหนักในประหนึ่งสนามรบ หากไม่ระแวดระวังเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ร่างกายแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดีก็เป็นได้ ทั้งยังต้องระมัดระวังรอบคอบตลอดเวลา จัดการบริวารรอบกายไว้ให้ดีตั้งแต่แรก วันข้างหน้าย่อมมีประโยชน์
เซียงเอ๋อร์กับอวิ้นเอ๋อร์ได้รับจี้หยกก็โขกศีรษะขอบพระทัยอย่างดีอกดีใจ สำหรับพวกนางเบี้ยหวัดที่ได้หลังจากอยู่ในวังมาสองปียังเทียบไม่ได้กับจี้หยกชั้นดีหนึ่งอันนี้เลย แต่สำหรับไป๋เสวี่ยฝูแล้วสิ่งของเหล่านี้กลับไร้ค่า เพราะฝ่าบาทพระราชทานปิ่นทองระย้า ปิ่นหยกขาว และกำไลมรกตมาอย่างละชิ้นสองชิ้นก่อนหน้านี้ ของเพียงแค่นี้ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว
“พระชายาจะทรงพักผ่อนหรือจะทรงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเพคะ หม่อมฉันจะได้ไปจัดเตรียม” หลังได้รับของกำนัล เซียงเอ๋อร์ก็ปากหวานขึ้นทันตา
ไป๋เสวี่ยฝูไม่ได้ไตร่ตรองมากนักก็ตอบว่า “เตรียมน้ำร้อนให้ข้าอาบก่อนเถิด” วุ่นวายมาครึ่งค่อนวันออกจะเหนื่อยอยู่บ้าง นางแค่อยากอาบน้ำให้สบายตัวแล้วนอนหลับสักงีบหนึ่งเท่านั้น
แม้เซียงเอ๋อร์กับอวิ้นเอ๋อร์จะเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ไป๋เสวี่ยฝูที่คุ้นเคยกับการปรนนิบัติจากชิงหลีก็ยังรู้สึกไม่สบายนัก ทันใดนั้นก็พลันคิดถึงชิงหลี ตอนที่นางจากมาได้สั่งให้ชิงหลีดูแลไป๋อีหนิงให้ดี ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนางเป็นเช่นไรบ้าง
เซียงเอ๋อร์กับอวิ้นเอ๋อร์เตรียมน้ำร้อนเรียบร้อยดีแล้ว ขณะที่ไป๋เสวี่ยฝูกำลังจะถอดชุด จู่ๆ ที่นอกประตูก็มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าคารวะผ่านฉากบังลมพลางกล่าวว่า “หม่อมฉันถวายพระพรเสวี่ยเฟยเพคะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระชายาเข้าเฝ้าที่ตำหนักชิงเหอทันทีเพคะ”
ไป๋เสวี่ยฝูอึ้งไป มือที่กำลังปลดเสื้อผ้านิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนขานรับว่า “ทราบแล้ว”
เซียงเอ๋อร์เปิดฉากบังลมให้ไป๋เสวี่ยฝูออกไปอย่างใส่ใจ ใบหน้าเบิกบานเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงเรียกพระชายาเข้าเฝ้าเร็วเพียงนี้ ฝ่าบาทต้องพึงพระทัยพระชายาเป็นพิเศษแน่เพคะ รอหลังจากหม่อมฉันประทินโฉมให้พระชายาเสร็จจะต้องงดงามกว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่าแน่ ฝ่าบาททรงสำราญพระทัยแน่เพคะ”
สำราญพระทัย? ไป๋เสวี่ยฝูยิ้มเยาะในใจ คิดถึงเช้าวันนี้ที่ได้พบใบหน้าเย็นชานั้น กระทั่งนางเองก็ยังสงสัยว่าใต้หล้านี้ยังมีคนหรือสิ่งของใดที่ทำให้เขาสำราญพระทัยอีกบ้างหรือไม่
ไป๋เสวี่ยฝูไม่คิดว่าฝ่าบาทเรียกนางเข้าเฝ้าเพราะต้องพระทัยตามที่พวกนางกำนัลกล่าว แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เมื่อพบแล้วย่อมรู้เอง ไป๋เสวี่ยฝูไม่ได้ประทินโฉมก็เดินตามนางกำนัลออกจากตำหนักอวิ๋นเหอ เดินลัดเลาะผ่านทางเดินที่มีนับไม่ถ้วน เดินมาแสนนานหลังจากผ่านสวนดอกไม้แห่งหนึ่งในที่สุดก็มาถึงตำหนักชิงเหอที่นางกำนัลเอ่ยถึง และนี่ก็คือตำหนักที่ฝ่าบาทใช้ประทับ
นางกำนัลให้ไป๋เสวี่ยฝูยืนอยู่ที่ประตูตำหนักชิงเหอ มีขันทีคนหนึ่งเข้าไปรายงานทันที ได้ยินเพียงเสียงรายงานดังสูงต่ำเป็นทอดๆ เมื่ออ้อมไปรอบหนึ่งจึงมีเสียงแหลมเล็กแว่วเข้าหูไป๋เสวี่ยฝู นั่นเป็นเสียงที่บอกว่าฝ่าบาทรับสั่งให้นางเข้าไปในตำหนัก!
ไป๋เสวี่ยฝูมองกำแพงสีแดงกระเบื้องสีทองอันใหญ่โตโอ่อ่าตรงหน้า ปลายสุดของชายคามีนกอินทรีสยายปีกอย่างฮึกเหิมสองตัว ท่าทางพร้อมทะยานสู่เวหา กลิ่นอายนี้กลับคล้ายคลึงกับจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยอยู่หลายส่วน กระเบื้องสีทองอร่ามเป็นประกายละลานตาจนไป๋เสวี่ยฝูต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะก้าวเข้าไปในตำหนักชิงเหอ
ไป๋เสวี่ยฝูจดจำคำของหลิวหมัวมัวได้อย่างแม่นยำ ในตำหนักแห่งนี้หากไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามลุกขึ้นและห้ามเงยหน้า นางย่อเข่าทั้งสอง ชายกระโปรงสีขาวหิมะเสมือนดอกบัวในฤดูร้อนที่ผลิบานอยู่เหนือพรมสีแดงที่ปักเป็นลวดลายดอกโบตั๋น น้ำเสียงนุ่มนวลสงบนิ่งเอ่ยว่า “เสวี่ยฝูถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญเพคะ”
ขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไป๋เสวี่ยฝูก็เหลือบไปเห็นรองเท้าปักลายมังกรเก้าตัวและชายอาภรณ์สีแดงเข้ม นางพลันเรียนรู้ได้อย่างหนึ่ง ฝ่าบาททรงโปรดสีแดงที่เข้มประหนึ่งสีโลหิต! เป็นสีซึ่งน้อยนักที่บุรุษจะชอบแต่กลับเหมาะสมกับเยวี่ยเยี่ยอย่างยิ่ง สีแดงชนิดนี้ดูทรงอำนาจเด็ดขาดเฉกเช่นนิสัยของเขา มีเพียงเขาที่คู่ควรกับสีนี้!
ทันใดนั้นกรามของนางก็ถูกบางอย่างบีบเอาไว้ ความเจ็บปวดถูกส่งขึ้นมาทันตา นางถูกบังคับให้ต้องสบตาเขา ไป๋เสวี่ยฝูพลันตระหนกเพราะสิ่งที่บีบคางของนางคือนิ้วแข็งกร้าวดุจเหล็กกล้าของเยวี่ยเยี่ยที่ไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงนิดเฉกเช่นเดียวกับสีหน้าของเขา
แววตาของเยวี่ยเยี่ยมีเพลิงโทสะฉายชัด นางไม่เข้าใจว่าเพลิงโทสะนี้มีที่มาอย่างไร นับตั้งแต่แต่งตั้งสนมชายามา เขาก็ไม่เคยมีสีหน้าดีให้ใคร
เยวี่ยเยี่ยหลุบตาลงพิศมองโฉมสะคราญตรงหน้า ความเย็นชาบนใบหน้าลามลึกลงไปถึงหัวใจ
หญิงสาวที่เขาเลือกล้วนมิใช่คนที่เขารัก พวกนางทุกคนล้วนมีตราประทับที่ไม่ดีติดอยู่ ถึงไม่สมัครใจแต่เขาก็จำต้องเลือกเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าขุนนาง เติมเต็มชื่อเสียงอันจอมปลอมให้พวกเขา ตราประทับเหล่านี้เปรียบเหมือนกับใบหน้าแสยะยิ้มที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งรอคอยเขาให้คำตอบที่น่าพอใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้างกายเราไม่เคยขาดสตรี” เยวี่ยเยี่ยกล่าวไม่กี่คำนี้ออกมา นิ้วมือก็เพิ่มแรงขึ้นอีกขั้น กระทั่งนิ้วแทบจะบีบผิวเนียนละมุนของนางให้แหลกเหลว
ไป๋เสวี่ยฝูฝืนอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลริน ก่อนจะเปล่งเสียงไม่กี่คำออกมาอย่างยากลำบาก “เสวี่ยฝูทราบเพคะ” บุรุษตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ทั้งยังเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ แม้นางจะไม่อยากคิดถึงตอนที่เขาอยู่ใต้ต้นดอกสาลี่ แต่ภาพนั้นกลับไม่หยุดฉายซ้ำไปมาภายในห้วงความคิด ต่อให้นางไม่อยากคิดถึงเพียงใดก็ยังยาก
“ในเมื่อทราบแล้วไยจึงเข้ามาอีก” เยวี่ยเยี่ยสะบัดแขนจนไป๋เสวี่ยฝูล้มลงไปด้านหนึ่ง มือทั้งสองยันพื้นไว้ สีหน้าเปี่ยมด้วยความตกตะลึง การผลักนี้แม้ใช้กำลังรุนแรงอย่างไรแต่ก็ไม่พอจะให้นางล้มลงได้ ทว่านางจำต้องแสร้งแสดงท่าทีของหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งให้เขาวางใจเพื่อลดความระแวงสงสัยในตัวนางลง
อาจารย์เคยบอกนางว่าเป็นสตรีไม่ควรเปิดเผยฝีมือส่งเดชเพราะจะทำให้เสียแผนการได้ง่าย นางจดจำได้จึงไม่เคยเผยฝีมือให้ผู้ใดเห็นนอกจากคนในอารามเมี่ยวเฟิง
นางกลับไปสงบนิ่งแล้วค่อยๆ ยันกายขึ้นมาคุกเข่าที่เดิม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “นี่เป็นชะตาชีวิตของเสวี่ยฝูเพคะ” มิผิด…นี่คือชะตาชีวิตของนาง ตั้งแต่เกิดก็ถูกกำหนดให้มีบิดาเป็นผู้บงการทุกสิ่งอย่างแล้ว
ความเยือกเย็นของหญิงสาวทำให้เยวี่ยเยี่ยยิ่งหงุดหงิด กลางอกบังเกิดเพลิงโทสะขึ้นมากะทันหัน หลังปะทุแล้วก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าจะแสดงออกได้เย็นชาถึงเพียงนี้ ความเฉยชาของนางท้าทายความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาได้สำเร็จ!
มือข้างขวายื่นออกไปอีก คราวนี้ไม่ได้ออกแรงบีบกรามนาง แต่กลับคว้าเอวแบบบางไว้แล้วออกแรงโอบเข้ามาประชิดตัว ใบหน้าเล็กขาวสะอาดเนียนละเอียดอยู่ใกล้แค่คืบ เขาถึงขั้นได้กลิ่นหอมจางๆ ของดอกสาลี่
ฉับพลันความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างก็พาดผ่านหัวใจไปโดยไร้สุ้มเสียง…ดอกสาลี่?
ในห้วงความคิดคล้ายปรากฏภาพหนึ่งขึ้นรำไร ภาพดอกสาลี่บานสะพรั่งทั่วทั้งเขา เงาร่างในชุดสีขาวหิมะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางทะเลบุปผา เขามองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัด ไม่เคยเห็นได้ชัดเลย มาวันนี้นึกย้อนไป ไยวันนั้นเขาจึงไม่กระชากผ้าคลุมหน้านางแล้วสลักใบหน้านางลงไปในความคิดเล่า
นั่นคือเด็กสาวที่เขาบังเอิญได้พบเมื่อครั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มมุทะลุ นอกจากเงาร่างสีขาวแล้วเขาก็จำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ยังจำได้ตอนที่เขาสัญญาว่าจะดูแลนางตลอดชีวิต เงาหลังของนางขณะหมุนตัวเยื้องกรายจากไปนั้นช่างเย็นชาประหนึ่งหิมะดุจน้ำค้างแข็ง!
ครั้งนั้นโชคดีที่ได้นางช่วยชีวิตไว้ ทำให้เขารอดกลับเมืองหนิงเฉิงและมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ปีนั้นหลังจากกลับหนิงเฉิงใจเขาก็มุ่งแต่อำนาจจนหลงลืมนางอย่างสิ้นเชิง ครั้นเมื่อราษฎรทั้งหลายสงบสุข ยามที่เขานึกถึงนางขึ้นมาได้อีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมาถึงฤดูสารทหลังจากนั้นสองปีแล้ว เขารู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีหน้าไปปรากฏตัวเบื้องหน้านางอีก
สิ่งนี้เป็นเหมือนหนามที่ปักแน่นกลางอกของเขา เพียงกลืนน้ำลายสักคราก็จะเจ็บอยู่ลึกๆ หากวันใดได้พบนางอีก เขาก็จะกล่าวขออภัยกับนาง การที่ลืมนาง…เป็นความผิดของข้าเอง!
ที่จริงเยวี่ยเยี่ยก็ไม่คิดจะเรียกใครเข้าเฝ้าในวันคัดเลือกสาวงาม แต่เพราะหลังเดินออกจากสวนดอกโบตั๋น หัวใจเขาก็ยังว้าวุ่นไม่สงบ หลับตาลงก็มีใบหน้าของไป๋เสวี่ยฝูปรากฏขึ้นในห้วงความคิด เรียวคิ้วและดวงตาของนางทำให้ดวงใจของเขาหวั่นไหว…
ดังนั้นเขาจึงเรียกนางมา
เพียงแต่หลังจากเรียกนางมาแล้ว…เขากลับทำได้เพียงปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา อย่างไรเสียนางก็มิใช่หญิงสาวที่เขาเฝ้าคะนึงหา
ดอกสาลี่…ดอกสาลี่ในความทรงจำ เยวี่ยเยี่ยหลับตาเบาๆ เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้าในคราเดียวนี้ได้ เขาได้แต่บอกตนเองในใจครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงสาวตรงหน้าเป็นเพียงแค่สตรีที่หลงใหลในลาภยศความหรูหรา ไม่ต่างอะไรกับสตรีที่อยู่ในตำหนักในเหล่านั้นเลย
ไป๋เสวี่ยฝูถูกบังคับให้จับจ้องบุรุษผู้โหดเหี้ยมไร้หัวใจตรงหน้านี้ แต่แล้วนางกลับมองเห็นความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนจากดวงตาที่กำลังลืมขึ้นมาช้าๆ ของเขา แววตานั้นเกือบเรียกได้ว่าอบอุ่น นางแทบสงสัยว่าตนเองมองผิดไปหรือไม่ ทว่าก็เข้าใจดีว่าแววตานี้ไม่ได้อบอุ่นเพราะนาง แต่เป็นการมองไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งผ่านดวงตานางต่างหาก
ทั้งๆ ที่เยวี่ยเยี่ยมองมาที่นางแต่สายตากลับค่อยๆ เลื่อนลอยไร้จุดรวมศูนย์ นางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งย่อมไม่เข้าใจความคิดความอ่านชั่วขณะนี้ของเขา ไป๋เสวี่ยฝูรอคอยให้เขาเอ่ยปาก หากเขายังมีคุณธรรมอยู่บ้างเขาก็ควรปล่อยนางไปได้แล้ว
นางไม่คิดว่าเยวี่ยเยี่ยจะนึกออกในตอนนี้
ในเมื่อไม่เคยจำ แล้วจะนึกออกได้อย่างไรกัน
ไม่กล่าวถึงการพบกันโดยบังเอิญเมื่อสามปีก่อนที่นางมีผ้าบางคลุมหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ สามปีมานี้นางก็ได้เปลี่ยนจากไป๋เสวี่ยฝูผู้ใสซื่อบริสุทธิ์กลายเป็นหญิงสาวผู้มีความคิดสลับซับซ้อน ความคิดยามนี้มีแต่จะวางแผนสังหารจักรพรรดิเท่านั้น นอกจากนี้ในช่วงเวลาสามปีร่างกายนางก็สูงขึ้น และยังเป็นสาวเต็มตัวถึงวัยพร้อมปรนนิบัติโอรสสวรรค์แล้ว
ไป๋เสวี่ยฝูจ้องมองเยวี่ยเยี่ยเช่นนี้เนิ่นนาน คล้ายอยากจะมองใบหน้าของเขาให้ทะลุปรุโปร่ง ผ่านไปหลายอึดใจถึงได้ขยับริมฝีปากสีชาดเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาททรงตามหาผู้ใดอยู่หรือเพคะ เสวี่ยฝูเป็นเพียงไป๋เสวี่ยฝู มิใช่ใครทั้งนั้น”
เยวี่ยเยี่ยถึงได้สติ ความอบอุ่นที่แต่เดิมมีไม่มากก็ทยอยลดลงไปดังเช่นน้ำค้างที่ลงในยามเช้าแล้วกลายเป็นเพียงความเยือกเย็นกระแสหนึ่ง เสียงที่แทบจะเค้นผ่านไรฟันออกมาก็ดังขึ้น “คนที่เราตามหาก็คือเจ้าไป๋เสวี่ยฝู คนที่คิดจะเล่นลูกไม้สกปรกต่อหน้าต่อตาเรา!” น้ำเสียงเจือแววเหยียดหยามอันเข้มข้น เขาไม่มีทางบอกนางว่าเขากำลังตามหาใครอยู่ เรื่องนี้นางไม่จำเป็นต้องรู้!
ไป๋เสวี่ยฝูพลันตกตะลึง ในใจมีประกายลนลานฉายวาบ บุรุษผู้นี้สังเกตเห็นอะไรในตัวข้าแล้วหรือ เขาล่วงรู้แผนการของท่านพ่อแล้วใช่หรือไม่ ไม่สิ…หากว่าเขาล่วงรู้ จากที่เขาสามารถเข่นฆ่าพี่น้องสายเลือดเดียวกันได้อย่างโหดเหี้ยม เขาคงประหารข้าให้ตายในวังตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่มีทางมาเปลืองน้ำลายกับข้าเช่นนี้
เมื่อคิดได้หัวใจที่เต้นรัวแรงของไป๋เสวี่ยฝูจึงค่อยสงบลง นางหลุบตาลงพลางเอ่ยเสียงเบา “เสวี่ยฝูมิกล้าเพคะ”
“หวังว่าชายารักจะไม่กล้าจริงๆ” เยวี่ยเยี่ยปล่อยตัวนาง
ไป๋เสวี่ยฝูล้มลงกับพื้นเหมือนก้านดอกบัวที่หักลงมา นางพ่นลมหายใจเบาๆ ในใจ เมื่อครู่เยวี่ยเยี่ยทำให้นางเสียขวัญอย่างแท้จริง ยังดีที่นางไม่เผยพิรุธให้เขามองออก
เยวี่ยเยี่ยหมุนตัว รองเท้าปักลายมังกรเหยียบย่างไปบนพื้นอย่างมั่นคง ชายชุดสีแดงเข้มพลิ้วไหวพาดผ่านพรมปักลายดอกโบตั๋นทั่วพื้น เดินไปยังใจกลางตำหนักช้าๆ นิ้วมือที่เห็นแนวกระดูกได้อย่างชัดเจนหยิบดอกหลัวอวี้แห้งบนโต๊ะขึ้นมาสองกลีบโยนใส่เตากำยาน ควันกรุ่นลอยละล่องออกมาจากเตากำยาน กลิ่นหอมของดอกหลัวอวี้โชยระใบหน้ามา ชั่วขณะได้กลายเป็นกลิ่นหอมที่ช่างคุ้นเคยและหอมหวนยิ่งนักสำหรับไป๋เสวี่ยฝู
เบิกตามองเงาร่างสูงใหญ่ตรงหน้า มองดูเยวี่ยเยี่ยโยนกลีบดอกหลัวอวี้กลีบแล้วกลีบเล่าเข้าไปในเตากำยานโดยไม่หยุดยั้ง ไป๋เสวี่ยฝูอดคิดถึงท่านแม่ที่อยู่ในจวนสกุลไป๋ไม่ได้ ท่านแม่ชอบกลิ่นหอมละมุนที่แผ่ออกมาจากการเผาดอกหลัวอวี้แห้งมากที่สุด…ตอนนางยังเล็กยังไม่รู้ประสาก็มักได้กลิ่นหอมอ่อนเช่นนี้ในห้องของท่านแม่ ขณะที่ท่านแม่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง แหงนหน้าเหม่อมองดวงดาวพลางแอบหลั่งน้ำตา!
เมื่อสองปีก่อนตอนที่ไป๋เสวี่ยฝูกลับจวนสกุลไป๋ก็ยังได้กลิ่นนี้จากห้องของท่านแม่ ทว่ากลับจวนคราวนี้อยู่ๆ นางก็ไม่ได้กลิ่นนี้เสียแล้ว สอบถามสาวใช้ข้างกายจึงได้ความว่าตั้งแต่จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยขึ้นครองราชย์ ดอกหลัวอวี้ก็กลายเป็นของใช้จำเพาะในราชสำนัก นอกจากวังหลวงแล้วไม่ว่าชาวบ้านหรือขุนนางก็ล้วนห้ามเผาดอกหลัวอวี้แห้งอีก
ดอกหลัวอวี้ขึ้นตามชายแดนในแถบเมืองฝานเก๋อซึ่งก็คือบ้านเกิดของฮูหยินสาม บริเวณใต้หน้าผาสูงชันบนเขาเทียนซาน บางครั้งก็อาจพบได้หนึ่งหรือสองกอ ไม่ก็พบในจำนวนที่น้อยมาก ดอกสีแดงประหนึ่งเปลวไฟ ไม่แตกใบ ผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวมาตลอดทั้งปี ก่อนจะเก็บได้ในกลางฤดูหนาวเดือนสิบสอง ณ ตอนนั้นหิมะขาวโพลน พื้นที่บนเขาอันตรายอย่างยิ่ง ทว่าบิดาของฮูหยินสามหรือก็คือท่านตาของไป๋เสวี่ยฝูมีฝีมือในการปีนเขา ในฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บก็จะออกไปเก็บดอกหลัวอวี้มาตากแห้งแล้วให้บุตรสาวนำไปขายที่ตลาด ในปีหนึ่งจะได้เงินมาพอกินอยู่สำหรับทั้งครอบครัว
ด้วยเพราะฮูหยินสามชื่นชอบกลิ่นหอมของดอกหลัวอวี้มากจึงได้แอบเก็บสะสมไว้ไม่น้อย ในปีที่ได้ออกเรือนก็นำติดตัวเข้าสกุลไป๋ ต่อมาภายหลังก็จะไปขอมาจากบ้านเดิมเป็นการส่วนตัวบ้าง
ไป๋เสวี่ยฝูคิดไม่ถึงว่าบุรุษตรงหน้าจะชอบกลิ่นหอมของดอกหลัวอวี้ ได้ยินว่าราชสำนักมีข้อกำหนดอันเข้มงวดมากมาย หลังเก็บดอกหลัวอวี้แล้วจะต้องตากแดดให้แห้งก่อนขนส่งทางบกมายังเมืองหนิงเฉิง ธรรมดาแล้วจากเมืองฝานเก๋อมาถึงเมืองหนิงเฉิงหากใช้ทางน้ำขนส่งมาจะสะดวกกว่า แต่เพื่อไม่ให้ดอกหลัวอวี้แห้งเจือปนไอน้ำจนมีผลกระทบกับกลิ่นหอมจึงได้งดเว้นการขนส่งทางน้ำอย่างเด็ดขาด นี่ย่อมเป็นที่ยากลำบากของข้ารับใช้กลุ่มนั้นอย่างยิ่ง
แต่สิ่งของอันล้ำค่าหายากนี้กลับถูกเยวี่ยเยี่ยใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้เสียได้ เขาโยนกลีบดอกหลัวอวี้ลงไปในเตากำยานนั้นจนไฟเกือบลุก…หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ไป๋เสวี่ยฝูคงเข้าไปห้ามไว้แต่แรก ทว่าเบื้องหน้าคือโอรสสวรรค์ เป็นจักรพรรดิผู้อยู่เหนือผู้คนหมื่นแสน แคว้นอวิ๋นเยวี่ยทั้งหมดนี้ถือเป็นของเขา แล้วกลีบดอกหลัวอวี้ที่หาได้ยากเหล่านั้นจะนับเป็นอะไรได้เล่า
กระทั่งโยนกลีบดอกไม้ในกล่องสีทองจนหมดสิ้น เยวี่ยเยี่ยถึงหมุนตัวมาช้าๆ หรี่ตามองนางพลางยิ้มหยามเหยียด “ช้าเร็วสกุลไป๋ของเจ้าก็จะเป็นเหมือนกับเตากำยานนี้ ยามกลีบดอกไม้ถูกเผาไหม้จนหมดสิ้นก็จะกลายเป็นแค่ของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง!”
เพล้ง! เสียงเตากำยานตกลงมาที่ข้างเท้าไป๋เสวี่ยฝู ขณะที่เกิดเสียงดังสนั่นนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมกระหายเลือด การกระทำที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดของเยวี่ยเยี่ยทำให้ไป๋เสวี่ยฝูตื่นตระหนก เถ้าในเตากำยานสาดกระจายไปทั่วพื้น ลวดลายดอกโบตั๋นงามหยาดเยิ้มบนพรมปักลายเหล่านั้นก็พลอยหม่นสีและปกคลุมไปด้วยกลีบสีดำมากมาย
ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคลื่อนไหวสักกระเบียดนิ้ว นางยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม พึมพำเสียงเบาหวิว “ฝ่าบาททรงโกรธแค้นสกุลไป๋หรือเพคะ เสวี่ยฝูก็เช่นกัน…” สกุลไป๋! นอกจากมอบชีวิตให้กับนางแล้วก็ไม่เคยให้อะไรทั้งนั้น อีกทั้งเมื่ออยากใช้ประโยชน์ก็เพียงส่งนางเข้าวัง บังคับให้นางต้องมารับมือกับคนนิสัยปรวนแปรไม่แน่นอน ไร้หัวใจไร้คุณธรรมอย่างจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ย!
วาจาของนางกระทบจิตใจของเขาเบาๆ แต่ยังไม่พอให้เขามีอาการตอบสนองอะไรแม้สักนิด เยวี่ยเยี่ยก้าวเข้ามาข้างหน้าพลางหลุบตาลงมองนางอย่างผู้ที่เหนือกว่า “สกุลไป๋เป็นปรปักษ์ต่อเราอย่างเปิดเผย เราไม่ปล่อยไว้ง่ายๆ แน่ วันใดหากเจ้าได้พบบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้า บอกเขาด้วยว่าอย่าทำเป็นซื่อนัก! ตั้งแต่มีแคว้นอวิ๋นเยวี่ยมา ไม่เคยมีอัครเสนาบดีคนใดได้เป็นจักรพรรดิ!”
แท้จริงแล้วเขาก็รู้ทุกอย่าง! เขามิได้โง่งม! ที่แท้เป็นเพราะเป้าหมายของบิดาชัดแจ้งถึงเพียงนั้น หรือเป็นเพราะจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยทรงเฉลียวฉลาดเกินไป
ฉับพลันไป๋เสวี่ยฝูก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนเป็นแกะน้อยสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังถูกหมาป่าสีเทาโหดเหี้ยมจ้องตะครุบ เพียงแค่ขยับนิดเดียวก็อาจจะถูกกัดจนไม่เหลือกระดูก ส่วนบุรุษตรงหน้านี้ก็คือหมาป่าตัวนั้น
ไป๋เสวี่ยฝูเผยอปากเล็กน้อยแล้วหอบหายใจเบาๆ พลันรู้สึกว่าตนเองใกล้จะแบกร่างกายต่อไปไม่ไหว แค่วันแรกเท่านั้นนางก็แทบจะทนต่อไปไม่ได้แล้ว
“เราจะทำให้ทุกคนในสกุลไป๋ต้องชดใช้อย่างเจ็บปวดทรมาน!” ราวกับเยวี่ยเยี่ยมองไม่เห็นความเจ็บปวดของไป๋เสวี่ยฝู น้ำเสียงดังขึ้นดุจภูตผีปีศาจเวียนวนอยู่ข้างหู ราวกับเป็นผู้พิพากษาที่กำลังตัดสินโทษแก่นักโทษประหาร!
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงรายงานของขันทีดังแว่วเข้ามาจากประตู เสียงนั้นแหลมเล็กมากจนนางฟังไม่ชัด ได้ยินคลับคล้ายคลับคลาว่าพระพันปีกับอวี้กุ้ยเฟยเสด็จมาถึงแล้ว นางสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนข่มใจให้สงบ ก่อนหันไปถวายบังคมแด่สตรีทรงศักดิ์ผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาในตำหนัก “เสวี่ยฝูถวายบังคมพระพันปี อวี้กุ้ยเฟยเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” นางได้ยินเสียงแปลกหน้าเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเหนือศีรษะ ทั้งยังได้ยินเสียงอวี้กุ้ยเฟยถวายบังคมจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ย นางไม่รู้ว่าตนเองควรออกไปหรือว่าควรลุกขึ้นตามรับสั่งของพระพันปีดี ครุ่นคิดครู่หนึ่งสุดท้ายจึงตัดสินใจกระทำตามรับสั่งยืดกายขึ้นจากพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นไป๋เสวี่ยฝูก็มองเห็นพระพันปีในรัชสมัยปัจจุบัน ซึ่งนางเป็นสตรีผู้งามสง่าและสูงส่งที่ผ่านการดูแลตัวเองมาอย่างยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง
พระพันปีมองสำรวจไป๋เสวี่ยฝู ก่อนหันไปทางเยวี่ยเยี่ยแล้วแย้มพระโอษฐ์พลางตรัสว่า “เสวี่ยเฟยหน้าตางดงามนัก สมกับเป็นบุตรีของอัครเสนาบดีไป๋ เป็นโชคดีของลูกโดยแท้”
เยวี่ยเยี่ยเพียงปราดมองไปทางไป๋เสวี่ยฝูอย่างเฉยเมย มิได้กล่าวคำใด กลับเป็นอวี้กุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
อวี้กุ้ยเฟยกัดริมฝีปาก เชื่อฟังความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจแล้วเยื้องกรายไปยังใจกลางตำหนัก ค้อมเอวลงเก็บเตากำยานที่ถูกเยวี่ยเยี่ยปัดตกลงพื้นขึ้นมา “เป็นผู้ใดกันที่เหิมเกริมถึงเพียงนี้ บังอาจทำให้ฝ่าบาทพิโรธเข้า สมควรตายหมื่นครั้งโดยแท้เพคะ!” นางเปรยขึ้นพลางยกเตากำยานกลับไปวางบนโต๊ะ
ไป๋เสวี่ยฝูเข้าใจความนัยจากถ้อยคำของอวี้กุ้ยเฟย เห็นชัดยิ่งว่ากำลังเอ่ยถึงตน ไป๋เสวี่ยฝูจึงก้มหน้าลงแล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยทูลลากับพระพันปีและเยวี่ยเยี่ย จากนั้นก็รีบออกไปจากตำหนักอันกว้างใหญ่นี้ทันที
“ข้าว่าเจ้าควรปรับปรุงนิสัยแบบนี้เสียที” พระพันปีเสด็จไปประทับยังตำแหน่งตรงกลางภายใต้การประคองของนางกำนัลด้วยใบหน้าเมตตาและรอยยิ้มอ่อนโยน พระพันปีคืออัครมเหสีในรัชสมัยก่อนนี้ ทั้งยังเป็นพระมารดาผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาท ทว่าเมื่อสามปีก่อนองค์รัชทายาทกลับสิ้นพระชนม์ไปในเหตุการณ์แย่งชิงบัลลังก์อันดุเดือด พระพันปีเสียพระทัยอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เพราะเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง เดิมทีก็มิอาจทำอันใดได้อยู่แล้ว นางจึงทำได้เพียงยอมรับในชะตากรรม
ลึกๆ เยวี่ยเยี่ยดูออกว่านางมิได้ยอมรับในชะตากรรมจริงๆ ทั้งมิได้เป็นห่วงเป็นใยเขาจากใจอย่างที่แสดงออก แต่วันนี้อย่างไรนางก็เป็นถึงพระพันปีผู้สูงส่งน่ายกย่อง และเขาก็มิอาจต้านทานอำนาจของสกุลนางได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพันปีเช่นนี้ อย่างไรภายนอกก็ต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ก่อน
ตอนแรกที่ละทิ้งความแค้นแต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระพันปีก็เพราะอยากให้บ้านเมืองสงบสุข รวบรวมจิตใจผู้คน ในยามที่สถานการณ์ในราชสำนักยังไม่สงบลงอย่างแท้จริง เขาสามารถอดทนอดกลั้นได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพันปีหรือเรื่องการคัดเลือกสนมชายา
เยวี่ยเยี่ยนั่งลงอีกด้านหนึ่ง ไม่ได้ตรัสตอบ อวี้กุ้ยเฟยเดินไปด้านหลังเขาอย่างใส่ใจ มืออ่อนนุ่มบอบบางบีบนวดไหล่ของเขา แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกฝ่ามือใหญ่กุมไว้เบาๆ ปฏิเสธความหวังดีของนาง อวี้กุ้ยเฟยย่อมไม่กล้าทำให้เยวี่ยเยี่ยไม่พอพระทัยจึงได้แต่ถอยออกไปอยู่ข้างกายพระพันปีอย่างเชื่อฟัง
พระพันปีคุ้นชินกับนิสัยเยวี่ยเยี่ยมานานแล้ว ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบก็ตรัสต่อว่า “เลือกอัครมเหสีได้แล้วหรือ” การแต่งตั้งอัครมเหสีเป็นเรื่องที่พระพันปีเร่งรัดบ่อยครั้งที่สุดตลอดปีนี้
อวี้กุ้ยเฟยรอฟังคำตอบของเยวี่ยเยี่ยอย่างใจจดใจจ่อทุกครั้ง แต่ทุกครั้งก็ล้วนเป็นคำตอบที่ทำให้นางผิดหวังเพราะเยวี่ยเยี่ยไม่ใส่ใจเรื่องของตำหนักในเลยสักนิด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เยวี่ยเยี่ยเพียงตรัสส่งเดชว่า “ยังมิได้ตัดสินใจ” แต่ไม่อยากให้พระพันปีไม่พอพระทัยจึงเสริมว่า “แคว้นเป่ยยังวุ่นวายไม่สงบ อำนาจของสกุลหนานกงก็ทวีความเข้มแข็งขึ้น มิหนำซ้ำยังไม่สงบเสงี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย สามารถใช้กำลังทหารก่อกบฏขึ้นได้ทุกเมื่อ ขอเสด็จแม่ทรงยกโทษให้ลูกที่ไม่อาจใส่ใจเรื่องการแต่งตั้งอัครมเหสีได้”
“เรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมต้องแน่วแน่ไม่วอกแวก เพียงแต่เรื่องการแต่งตั้งอัครมเหสีก็มิใช่เรื่องยาก ขอเพียงเจ้ากล่าวมาประโยคเดียว ทุกอย่างที่เหลือแม่ล้วนจัดการให้ได้” พระพันปีตรัสขึ้น
เยวี่ยเยี่ยยิ้มเจื่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสัตย์จริง “เรื่องแต่งตั้งอัครมเหสีไม่ใช่เรื่องยากก็จริง แต่ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจด่วนตัดสินใจได้ ขอเสด็จแม่วางพระทัย ลูกจะใส่ใจไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ พระพันปีก็หมดถ้อยคำจะพูดแล้ว นางถอนใจอย่างจนปัญญา แล้วตรัสอย่างระอาว่า “หากเจ้าใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ ก็คงจะดี” ประโยคเช่นนี้ของเยวี่ยเยี่ยนางฟังมาหลายครั้งเกินทนแล้วจริงๆ ทุกครั้งล้วนบอกว่าจะใส่ใจ แต่กลับไม่เคยใส่ใจจริงๆ เลยสักครั้ง
ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงัดไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงเครื่องหอมที่เพิ่งถูกเผาใหม่อีกครั้งกำลังส่งเสียงเปรี๊ยะๆ กลิ่นหอมอันฉุนจมูกนี้เกิดจากการใส่กลีบดอกหลัวอวี้มากเกินไป ชวนให้คนรู้สึกเสมือนถูกขังอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมที่คละคลุ้ง
พระพันปีทรงรับกลิ่นฉุนนี้ไม่ไหวจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าบางปิดพระนาสิก ก่อนจะสั่งนางกำนัลให้ดับเตากำยานแล้วเปรยว่า “แม่ได้ยินว่าแคว้นเป่ยได้ส่งทูตมาเจรจาที่หนิงเฉิง ฝ่าบาทไม่คิดจะรับรองตามพิธีสักหน่อยหรือ”
“ที่ฝ่ายนั้นส่งมาคือองค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ แคว้นอวิ๋นเยวี่ยของเราย่อมรับรองอย่างสมเกียรติแน่” เยวี่ยเยี่ยระบายยิ้มเย็นชา รอยยิ้มแฝงเล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายราวกับมีลูกแกะหลงมาติดกับดักรอให้เขาลงมือสังหาร
พระพันปีถูกกลิ่นอายอำมหิตของเขาทำให้ตกพระทัยจนไม่สามารถตรัสอันใดได้อีก
แคว้นเป่ยเคยเป็นแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่งที่ต่อมาขอสวามิภักดิ์ต่อแคว้นอวิ๋นเยวี่ย และกลายเป็นแคว้นในปกครองที่อยู่เหนือสุดของแคว้นอวิ๋นเยวี่ย แต่ถึงจะเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ ทว่านับวันกลับยิ่งเจริญรุ่งเรือง หากไม่รีบจัดการเกรงว่าอีกไม่นานคงกลายเป็นดั่งม้าป่าที่หลุดออกจากบ่วง
เมื่อต้นเดือนก่อนขณะกำลังซ้อมรบ เจ้าแคว้นเป่ยพร้อมไพร่พลเผลอฝ่าข้ามมาในเขตแดนแคว้นอวิ๋นเยวี่ยจนถูกแม่ทัพประจำเมืองเยี่ยนเฉิงจับกุมตัวไว้ ในขณะที่ถูกจับเจ้าแคว้นก็รู้ตัวได้ในทันทีว่าตนเองพลาดพลั้งติดกับที่อีกฝ่ายเตรียมการรออย่างดีเพื่อการนี้ แต่น่าเสียดายนักที่รู้ตัวช้าเกินไปจึงได้แต่จำใจยอมรับการจับกุม
ครั้งนี้องค์รัชทายาทแคว้นเป่ยหนานกงเจวี๋ยและองค์ชายสี่หนานกงอวี้จึงมาเพื่อเจรจาขอตัวบิดากลับจากแคว้นอวิ๋นเยวี่ย องค์ชายทั้งสองกล้ามาหนิงเฉิงอย่างโดดเดี่ยว นับว่ามีความหาญกล้าที่น่ายกย่อง จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยถึงกับคิดถึงขั้นชักชวนให้หนานกงเจวี๋ยมารับใช้ส่วนพระองค์ ทว่าน่าเสียดาย ต่อให้ถึงตายหนานกงเจวี๋ยก็ไม่ยอมศิโรราบ
Comments
comments