นี่คือภาคต่อของลำนำทะเลทราย ที่จะเล่าเรื่องราวในรุ่นลูก ลายเซ็นของถงหัวคือการถ่ายทอดเรื่องราวความรักได้อย่างเข้มข้น ซาบซึ้ง บีบหัวใจ เค้นอารมณ์ แต่ก็ทำออกมาได้สวยงามจนทำให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ
แน่นอนว่าโด่งดังมากจนได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ซีรี่ส์เรียบร้อยแล้ว ที่โดดเด่นเลยนอกจากคาแร็กเตอร์ตัวละครหลักๆ ที่มีเสน่ห์ ในส่วนของสำนวนภาษาการแปลของ Wisnu ก็ช่างละมุนกรุ่นไอรักตามต้นฉบับ อ่านเล่ม 1 จบแล้ว ก็ต้องรีบไล่อ่านเล่มถัดๆ ไปให้จบโดยเร็วพลัน (มี 5 เล่มจบนะคะ)
เด็กสาวจากแดนทะเลทราย ผู้มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา
สำหรับตัวละครหลักนิยายชุดนี้ ก็คืออวิ๋นเกอ ในวัยเด็กนางได้มอบรองเท้าผ้าปักของนางให้กับเด็กหนุ่มสองคน ข้างหนึ่งมอบให้แก่ ‘พี่หลิง’ แลกกันกับสร้อยถักจากเส้นผมมารดาเขา พร้อมคำสัญญาว่าเมื่อโตขึ้นนางจะไปเยี่ยมเขาที่นครหลวงฉางอัน ส่วนอีกข้างมอบให้ ‘ขอทานน้อย’ ที่บังเอิญนางผ่านไปพบแล้วยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ให้เขาถูกคนทุบตี ไข่มุกประดับที่อยู่บนรองเท้าสามารถนำไปขายแลกเงินค่าหมอได้
เรื่องราวความรักสุดกินใจ นางจะเลือกใครกันแน่
อวิ๋นเกอยามนั้นยังไม่รู้ความหมายของการที่ผู้หญิงมอบรองเท้าให้ผู้ชาย และเมื่อผู้ชายรับมันไว้ นั่นคือการหมั้นหมายที่เกิดขึ้น โชคชะตาพานางเข้าสู่วังวนแห่งรักและกลการเมือง ทั้งพี่หลิงและขอทานน้อย กลับกลายเป็นยอดบุรุษแห่งยุค หัวใจของนางที่สุดแล้วจะตกอยู่แก่ใคร เรื่องราวในส่วนนี้จะเข้มข้นจนเราอดหวามไหวตามเสียไม่ได้จริงๆ และนี่แหละคือเสน่ห์ของ ‘บทเพลงกลางเมฆา’ ที่สามารถทำให้คนอ่านตราตรึงใจได้จริงๆ
ส่องสำนวนละมุนกรุ่นไอรักตามแบบฉบับของถงหัว
และนี่ก็คือตัวอย่างสำนวนบางส่วนที่เราขอหยิบยกมาฝาก ตอนนางเอกยังเด็กได้เผลอมอบรองเท้าผ้าปักให้เด็กชายไปหนึ่งข้าง โดยหาไม่รู้ว่าการมอบรองเท้าให้ผู้ชายน่ะเปรียบเสมือนการหมั้นหมาย
อวิ๋นเกอปรบมือยิ้ม “พวกเราเกี่ยวก้อยกัน ไม่ว่าใครก็ห้ามผิดคำพูด พอข้าไปถึงฉางอัน ท่านต้องทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับข้าให้เต็มที่!”
จ้าวหลิงไม่เข้าใจ “อะไรคือเกี่ยวก้อย”
อวิ๋นเกอสอนพลางเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “แม้แต่เกี่ยวก้อยก็ยังไม่เป็น? ตกลงตอนเด็กๆ ท่านทำอะไรบ้าง”
นิ้วก้อยของพวกเขาเกี่ยวกันแน่น เสียงของอวิ๋นเกอดังกระจ่างเสนาะหู “เกี่ยวนิ้ว แขวนคอ หนึ่งร้อยปี ห้ามกลับคำ!” ทันทีที่นิ้วโป้งของพวกเขาแนบเข้าหากัน อวิ๋นเกอก็ยิ้มกว้างพูดเพิ่มอีกประโยค “ใครกลับคำคนนั้นเป็นหมู!”
รอยยิ้มของจ้าวหลิงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ยามไม่ยิ้มนัยน์ตาของเขาดูหม่นหมองอึมครึม ครั้นแย้มยิ้มก็ประหนึ่งหลอมเอาดวงดาราเต็มฟากฟ้ามาเก็บไว้ภายใน นัยน์ตาดำสุกสกาวเป็นประกาย
อวิ๋นเกอตะลึงมอง เผลอหลุดปากพูด “ท่านยิ้มได้น่ามองมากจริงๆ สวยยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก”
จ้าวหลิงรีบเก็บยิ้ม นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจเช่นนี้ นับแต่คืนนั้น คืนที่เขาหลบอยู่หลังม่าน ได้ยินท่านพ่อสั่งประหารท่านแม่กระนั้นหรือ ทั้งๆ ที่เขาอยากลืมเลือนมันยิ่งนัก และพยายามลืมมันให้สิ้นแล้วแท้ๆ แต่พวกมันก็รังแต่จะปรากฏชัด...
จ้าวหลิงล้วงเอาของชิ้นหนึ่งออกจากคอเสื้อ แขวนลงบนคออวิ๋นเกอ “พอไปถึงฉางอันเจ้าจงเอาของสิ่งนี้แสดงให้ยามเฝ้าประตูดู เพียงแค่นั้นพวกเราก็จะได้พบกัน”
อวิ๋นเกอก้มหน้าพิจารณาดูโดยละเอียด เชือกที่ดูคล้ายถักทอด้วยเส้นไหมสีดำ หากมองเพียงผ่านคงไม่เห็นว่ามันมีอันใดพิเศษ แต่ครั้นจับดูจะพบว่ามันให้สัมผัสดีเลิศ ส่วนของที่แขวนอยู่บนนั้นก็งามเด่น คล้ายต่างหูของสตรี
จ้าวหลิงอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านแม่ข้าใช้เส้นผมของนางถักเป็นเชือกเส้นนี้ขึ้นในคืนก่อนที่นางจะจากไป นางทำไว้ให้ข้าเป็นที่ระลึก”
ได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นเกอก็กุลีกุจอจะถอดออก “ท่านแม่ท่านจากไปไหน นี่เป็นของที่ท่านแม่ท่านทำ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก หากท่านกลัวว่าถ้าไม่มีของต่างหน้าแล้วข้าจะหาท่านไม่พบ ก็เอาหยกประดับที่อยู่ข้างเอวนั่นให้ข้าก็ได้!”
จ้าวหลิงกดมือนางไว้ “ไว้คราวหน้าตอนพบกันเจ้าค่อยคืนข้า แม้สำหรับข้ามันจะเป็นของที่ล้ำค่าที่สุด แต่บางครั้งข้าเองก็ไม่อยากเห็นมัน แขวนอยู่บนอกเช่นนี้ หลายครั้งที่มันทำให้ข้าหายใจไม่ออก ส่วนหยกประดับนี่...” ปลายนิ้วเล็กๆ ของจ้าวหลิงเขี่ยหยกประดับบนเอวไปมา ยามต้องแสง ภาพมังกรสลักที่อยู่ด้านบนพลันดูราวกับมีชีวิต “แม้แต่ข้าเองยังชิงชัง แล้วมีหรือจะยอมให้เจ้าพกมันติดตัว”
ถึงจะฟังคำพูดของอีกฝ่ายไม่เข้าใจ แต่พอเห็นดวงตาดำขลับของจ้าวหลิงแอบมีน้ำตาเอ่อคลอ ใจของอวิ๋นเกอก็นึกเป็นทุกข์อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ นางพยักหน้ารับเชือกที่ถักจากเส้นผมนั้นไว้แต่โดยดี
อวิ๋นเกอลูบผมตัวเอง บนนั้นมีก็แต่เพียงผ้าไหมที่นางใช้รวบผมเท่านั้น ส่วนที่คอก็มีนกหวีดไม้ไผ่ที่ใช้สื่อสารกับเสี่ยวเชียนเสี่ยวเถา ในมือไม่มีเครื่องประดับอะไรสักชิ้น ตรงเอวก็มีแต่ถุงใส่แผ่นขิง พริกไทย พุทราเปรี้ยว ของพวกนี้ใช้มอบให้กับคนเขาได้ที่ไหนกัน...นางคลำหาตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรที่พอจะใช้แลกเปลี่ยนกับจ้าวหลิงได้สักอย่าง
เห็นอวิ๋นเกอสีหน้าร้อนรนเช่นนั้น จ้าวหลิงก็พูดออกมาเนือยๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบอะไรให้ข้า”
อวิ๋นเกอขมวดคิ้ว “เป็นผู้รับอยู่ฝ่ายเดียวมิใช่เรื่องพึงกระทำ! อา...ใช่แล้ว! ตอนพบกันใหม่ๆ ท่านมองรองเท้าข้าตาเขม็ง ดูเหมือนจะชอบมันมาก เช่นนั้นข้ายกรองเท้าข้างหนึ่งให้ท่านก็แล้วกัน ท่านว่าดีหรือไม่” ยังไม่ทันพูดจบ อวิ๋นเกอก็ถอดรองเท้าออกเป็นที่เรียบร้อย หลังปัดฝุ่นทรายออกแล้วนางก็ยื่นส่งให้จ้าวหลิง
จ้าวหลิงอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีมอบรองเท้าให้บุรุษมีความหมายเช่นไร”
อวิ๋นเกอมองหน้าจ้าวหลิงงงๆ ดวงตากะพริบปริบๆ
จ้าวหลิงมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นช้าๆ เขารับเอารองเท้าที่มีขนาดประมาณฝ่ามือตนมาเก็บไว้ในอกเสื้อ สีหน้าท่าทางจริงจัง ก่อนจะพูดชัดถ้อยชัดคำ “ข้ารับมันไว้แล้ว อวิ๋นเกอ เจ้าจงจำไว้ให้ดี!”
อวิ๋นเกอพยักหน้าขึงขัง “ท่านพ่อเคยพูดกับข้าถึงความหมายของคำสัญญา นี่เป็นคำสัญญาของข้า ข้าย่อมไม่มีทางผิดคำพูด รับรองว่าข้าต้องไปหาท่านแน่ ท่านเองก็ต้องรอข้าเหมือนกัน”
นัยน์ตาของอวิ๋นเกอมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จ้าวหลิงรู้ แม้นางจะยังเด็ก แต่กลับมีปณิธานมุ่งมั่นเกินวัย คำพูดของนางนี้ย่อมต้องเป็นจริงเข้าสักวัน เขาตบมือสัญญากับนางสามครั้ง “ดวงดาวเป็นพยาน สัญญาที่ให้ไม่มีวันเปลี่ยน”
สามารถหาซื้อ ‘บทเพลงกลางเมฆา’ ทั้ง 5 เล่มจบได้แล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop ด้านล่างเลยนะคะ
Comments
comments