บทที่ 1
หมอหลวงซุนชี้บริเวณที่ดึงเข็มเรียวเล็กออกมาจากร่างของหานเจ่าเมื่อครู่ “มีจุดลมปราณตำแหน่งหนึ่ง ชื่อว่าจุดสุ่ยเฟิน* ในตำรา ‘หุ่นจำลองฝังเข็ม’ ของราชวงศ์ซ่งเหนือบันทึกไว้ว่าหากเป็นโรคบวมน้ำ การรมยา** จะให้ผลดีที่สุด อาจรมได้ตั้งแต่เจ็ดถึงหนึ่งร้อยแท่งยา ห้ามมิให้ฝังเข็มเพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้ อันที่จริงใช่ว่าจะห้ามใช้เข็มโดยเด็ดขาด เพียงแต่ผู้ฝังเข็มบางคนยังไม่ชำนาญ อาจพลาดพลั้งฝังเข็มลึกเกินไปจนก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรง”
พวกถังฟั่นฟังแล้วกระจ่างทันที จุดลมปราณล้วนส่งผลต่อสภาพร่างกาย อย่างจุดสุ่ยเฟิน หากใช้มือกดคลึงหรือรมยา จะช่วยรักษาอาการบวมน้ำและท้องเสีย ทว่าในทางกลับกันหากจุดลมปราณถูกกระตุ้นไม่ถูกวิธีก็เป็นผลร้ายกับร่างกายได้เช่นกัน
หมอหลวงซุนอธิบาย “จุดสุ่ยเฟินอยู่บนเส้นลมปราณเริ่น*** อยู่ในเส้นลมปราณตรงกับกระหม่อมพอดี หากฝังเข็มที่จุดสุ่ยเฟิน บนกระหม่อมก็จะปรากฏจ้ำเลือด เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์พูดถึง หากวันนี้ไม่ได้ประจักษ์แก่สายตา ย่อมไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามีคนที่ปองร้ายผู้อื่นด้วยวิธีการเช่นนี้! คนผู้นี้ย่อมอ่านตำราแพทย์มาอย่างช่ำชอง ไม่แน่อาจเป็นหมอก็ได้ เพียงแต่ทักษะฝีมือเช่นนี้ไม่ใช้ในการช่วยชีวิตคน กลับนำมาเข่นฆ่าสังหาร คิดแล้วก็น่าโมโหนัก!”
หมอหลวงซุนโกรธเกรี้ยวเดือดดาลกับฆาตกร พวกถังฟั่นกลับมีสีหน้าครุ่นคิดหนักใจ
เดิมทีพวกเขานึกว่าหานเจ่าเสียชีวิตด้วยยาพิษ คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับเป็นเพราะถูกฝังเข็มที่จุดลมปราณสำคัญ การตายลักษณะนี้อำพรางแนบเนียน หากวันนี้หมอหลวงซุนไม่อยู่ด้วย จนเห็นความเกี่ยวโยงระหว่างกระหม่อมกับจุดสุ่ยเฟิน อย่าว่าแต่โกนผมของหานเจ่าเลย ต่อให้ผ่าชำแหละศพของเขาก็ใช่ว่าจะพบจุดผิดสังเกตเสมอไป เนื่องจากเข็มเล่มนั้นทั้งเล็กและสั้น อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกเขาก็มุ่งประเด็นไปที่ยาพิษ ย่อมเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่หลอดลมและช่องอก ใช่ว่าจะสังเกตจุดสุ่ยเฟินเสมอไป
“หากมีเข็มอยู่ในร่างกายของหานเจ่า เวลาจับชีพจรแล้วจะรู้ได้หรือไม่” ถังฟั่นถาม
หมอหลวงซุนรู้ว่าเขาจะถามอะไร จึงส่ายหน้ากล่าวว่า “ถ้าถูกเข็มฝังเข้าไปในร่าง ไม่มีทางที่จะคงสภาพปกติอยู่ได้นานเช่นนั้น หลายวันก่อนตอนที่ข้าตรวจชีพจรให้หานเจ่า ข้ายืนยันว่าเขาไม่เป็นไร กล่าวคือจู่ๆ อาการก็กำเริบเร็วมาก ต่อให้เข็มเล่มนี้ทั้งเล็กและสั้น แต่ด้วยจุดลมปราณค่อนข้างเฉพาะตัว ไม่เกินครึ่งวันหรือหนึ่งวันต้องแสดงอาการออกมาแน่นอน”
ถังฟั่นไม่เข้าใจ “ท่านกำลังจะบอกว่าเข็มของหานเจ่าเพิ่งถูกฝังเข้าไปในวันเกิดเหตุ แต่หากเป็นเช่นนั้น หานเจ่าเองก็มิใช่เด็กทารกที่ยังพูดไม่ได้ ตอนที่ถูกเข็มแทงเหตุไฉนจะไม่รู้สึกตัว”
หมอหลวงซุนกล่าว “หนึ่งคือเข็มนี้เล็กบางยิ่ง เข็มที่เล็กบางราวกับขนวัวฝังเข้าไปในร่างกาย ใช่ว่าจะรู้สึกได้ชัดเจนเสมอไป สองคือเข็มเล่มนี้ก็มิได้เข้าไปในร่างกายทั้งหมด หานเจ่าเองก็ไม่สังเกตเห็น คนรอบข้างมีแต่จะเข้าใจว่าเป็นอาการปวดท้องทั่วไป การตายของเขาเหนือความคาดหมาย น้อยคนที่คิดโยงไปถึงจุดนั้น”
สุยโจวสนับสนุนคำอธิบายของหมอหลวงซุนอยู่ข้างๆ “หากเป็นข้า ข้าสามารถฝังเข็มเล่มนั้นผ่านเนื้อผ้าเข้าสู่ร่างกายอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายโดยไม่ให้เขารู้ตัว ยิ่งเป้าหมายเป็นเด็กที่ไม่ประสีประสา ระวังตัวน้อย ก็ยิ่งง่ายแล้ว”
ถังฟั่นฟังคำพูดของพวกเขาแล้วก็ย่นคิ้วถาม “หากเป็นเช่นนั้น ปัญหาก็อยู่ที่ใครสัมผัสใกล้ชิดกับหานเจ่าในวันที่เขาตาย คนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่หานเจ่ารู้จัก มิฉะนั้นไม่มีทางได้ประชิดตัวอย่างสนิทสนมจนฝังเข็มเข้าไปในร่างกายของเขาได้แน่”
นั่นมิได้อยู่ในส่วนที่หมอหลวงเชี่ยวชาญแล้ว อีกทั้งเรื่องนี้พัวพันเป็นวงกว้าง ซ้ำยังมีความเป็นไปได้สูงที่อาจเกี่ยวพันถึงคนในวัง ถังฟั่นไม่อยากให้เขาลำบากใจ จึงให้เปียนอวี้สั่งคนไปส่งหมอหลวงซุนกลับก่อน
ถังฟั่นกล่าวกับสุยโจว “ข้าจำได้ว่าหานเจ่าเข้าวังในช่วงยามเหม่า ประมาณยามเฉิน* หนึ่งเค่อ พระพันปีโจวรับสั่งให้ข้ารับใช้นำขนมไส้หน่อไม้ไปส่ง ยามเฉินสองเค่อ วั่นกุ้ยเฟยประทานถั่วเขียวต้มไป่เหอมาให้ ประมาณยามเฉินสี่เค่อ หานเจ่าบอกว่าปวดท้อง จากนั้นก็เสียชีวิต หรือก็คือต้องเริ่มนับตั้งแต่ยามเหม่า ระยะเวลาทั้งหมดคือหนึ่งชั่วยามกับอีกสี่เค่อ”
“ไม่ ต้องรวมเวลาช่วงเช้าก่อนที่เขาจะออกจากเรือนด้วย” สุยโจวเสริม
ถังฟั่นครุ่นคิด “ความหมายของท่านคือคนในสกุลหานเองก็น่าสงสัยหรือ”
สุยโจวกล่าวตอบ “ข้าเองเคยสืบคดีมาไม่น้อย สุดท้ายคนร้ายมักเป็นคนที่ไม่สะดุดตาที่สุด นี่ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อน เพิ่มหนทางสืบสวนอีกหนึ่งความเป็นไปได้”
ถังฟั่นพยักหน้า “ถ้าเป็นตามปกติหานเจ่าสมควรตื่นมาล้างหน้าแต่งตัวเข้าวังช่วงยามอิ๋น** ท่านหมอซุนเองก็บอกแล้วว่าจุดสุ่ยเฟินถูกแทง เข็มจะเลื่อนลงลึกตามการเคลื่อนไหว อาการกำเริบเร็วมาก สองชั่วยามกับอีกสี่เค่อ ไม่น่าจะนานกว่านี้แล้ว”
และในเวลานี้เอง ด้านนอกมีคนของตำหนักบูรพามา บอกว่ารัชทายาทต้องการพบถังฟั่น
ถังฟั่นไม่แปลกใจ ต่อให้รัชทายาทไม่เรียกพบ เขาเองก็จะไปขอพบรัชทายาทอยู่แล้ว
มีประสบการณ์จากเมื่อคืน เมื่อเข้าวังอีกครั้งจึงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นอะไรมากนัก หนำซ้ำเวลานี้ในหัวของถังฟั่นมีแต่เบาะแสของคดีตำหนักบูรพา ไม่มีเวลาสนใจมองทิวทัศน์
เมื่อคืนก็ได้พบรัชทายาทแล้ว ทว่าพบยามกลางวัน ภาพจึงแจ่มชัดกว่า
ปีนี้รัชทายาทเพิ่งครบแปดปีเต็ม แต่เพื่อหลบเลี่ยงหูตาของวั่นกุ้ยเฟย ต้องอยู่อย่างหลบซ่อนในวังตั้งแต่เล็ก อาหารการกินล้วนเป็นอาหารที่เหล่านางกำนัลและขันทีแอบเก็บไว้ให้ ร่างกายจึงค่อนไปทางซูบผอม ดูแล้วเหมือนเพิ่งจะอายุห้าหกปี ชุดรัชทายาทที่สวมอยู่ก็หลวมจนน่าเห็นใจ
แต่แม้จะไม่ได้ถือกำเนิดมาพรั่งพร้อม มีชีวิตความเป็นอยู่หรูหรา กลับดูออกว่าเขาฝึกตนอย่างหนัก จรรยามารยาทล้วนมีความเหมาะสม ไร้ข้อตำหนิให้จับผิด หลังจากถังฟั่นถวายบังคมแล้ว รัชทายาทก็กล่าวทันที “ใครก็ได้ ยกเก้าอี้มาให้ใต้เท้าถัง ยกน้ำชามาด้วย”
ถังฟั่นบอกปัด “ขอบพระทัยที่ทรงเห็นใจ กระหม่อมยืนก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทกล่าว “ใต้เท้าถังสืบคดีให้เสด็จพ่อ ราชโองการอยู่กับตัว มิต้องเกรงใจ”
ถังฟั่นจึงไม่อิดออดอีก กล่าวขอบพระทัยแล้วนั่งลง
“คดีนี้ใต้เท้าถังได้เรื่องอะไรหรือไม่” รัชทายาทเอ่ยถาม
ตอนแรกเขาเพียงคิดถามพอเป็นพิธี เพิ่งผ่านมาเพียงวันเดียว จะสืบพบอะไรได้ ใครจะคิดว่าถังฟั่นกลับตอบว่า “ได้เรื่องบางอย่างจริงพ่ะย่ะค่ะ”
ถังฟั่นเล่าสาเหตุการตายของหานเจ่า รัชทายาทฟังแล้วเบิกตาโพลง ลุกจากที่นั่งอย่างอดไม่อยู่ “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เพราะอะไร เสี่ยวเจ่าน่าเวทนานัก!”
ต่อให้เขามุ่งมั่นสำรวมตนเพียงใด อย่างไรก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ แม้จะผ่านอุปสรรคมากมายตั้งแต่เล็ก แต่เมื่อได้ยินว่าสหายตัวน้อยที่อยู่ด้วยกันตายอย่างน่าเวทนา ก็ยังคงอดน้ำตาคลอไม่ได้
“ใต้เท้าถัง ใครเป็นคนปองร้ายเสี่ยวเจ่ากันแน่ ท่านสืบได้หรือยัง”
ตอนที่รัชทายาทเอ่ยปากพูด ถังฟั่นเองก็พินิจอีกฝ่ายอย่างละเอียด
แม้กิริยาท่าทางของคนคนหนึ่งจะใช้เป็นหลักฐานเชิงรูปธรรมไม่ได้ แต่ใช้ศึกษาเพิ่มเติมได้
ในวัยเด็กรัชทายาทประสบกับความยากลำบาก อาจมากมายกว่าสามัญชนทั่วไปด้วยซ้ำ เขาต้องเสี่ยงกับความตายอยู่ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้จึงต้องคอยผลัดเปลี่ยนย้ายที่พำนักตามเหล่านางกำนัลและขันทีผู้ภักดีในวังไปเรื่อยๆ เพื่อหลบการปองร้ายจากวั่นกุ้ยเฟย หากอยู่ในตำนานเรื่องเล่าอาจเป็นเนื้อเรื่องที่เรียกน้ำตาพอสมควร ทว่าในรัชศกเฉิงฮว่ากลับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
จี้เฟยผู้เป็นมารดาของเขาเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน เป็นปีที่เขาเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทพอดี ยามนั้นไร้คนก้าวออกมาเรียกร้องให้สืบสวนสาเหตุการตายถึงที่สุด ทุกคนต่างพร้อมใจปล่อยให้เรื่องนี้เงียบลง และคิดว่ารัชทายาทยังเล็ก ย่อมไม่ระลึกใส่ใจ
แต่เด็กคนหนึ่งที่โตเกินอายุ ไหนเลยจะไม่รู้ว่ามารดาประสบพบเจอกับอะไรบ้าง ข่าวลือต่างๆ ที่แพร่สะพัดทั่ววัง ไยจะไม่ลือมาถึงหูเขา
แต่แม้จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคขวากหนามมากมายเช่นนี้ รัชทายาทก็มิได้มีนิสัยร้ายลึกเจ้าแผนการ ตรงกันข้ามกลับสุขุมนุ่มนวล แววตาใสกระจ่าง มิได้ถูกความชั่วร้ายของโลกครอบงำให้มัวหมอง
ถังฟั่นเองก็ประสบเรื่องราวเกี่ยวกับใจคนมาไม่น้อย ด้วยการสังเกตของเขา จากท่าทางความรู้สึกต่อหานเจ่าที่รัชทายาทเผยให้เห็นยามนี้ อีกฝ่ายน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับคดี อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับที่วั่นกุ้ยเฟยสงสัยว่ารัชทายาทจงใจใส่ความนางเพื่อแก้แค้น
คนถ่อยมองสัตบุรุษ มักเอาความสำนึกต่ำช้าของคนถ่อยวัดคุณธรรมของสัตบุรุษ พวกเขาไม่รู้ว่าสัตบุรุษคิดอะไร ยิ่งไม่มีทางเข้าใจความคิดของสัตบุรุษ
ถังฟั่นส่ายศีรษะ ก่อนตอบว่า “เวลานี้ตรวจสอบได้เพียงสาเหตุการตายเท่านั้น ต่อให้รัชทายาทไม่รับสั่งให้คนไปตามกระหม่อมมา กระหม่อมเองก็เตรียมตัวมาขอเฝ้าพระองค์พอดี กระหม่อมอยากทราบว่าช่วงเวลาตั้งแต่หานเจ่าเข้าวังจนถึงตอนที่เขาตาย เขาได้ทำอะไรบ้างและพบกับใครบ้าง”
รัชทายาทกะพริบตา นิ่งอึ้งไปอึดใจใหญ่ จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่มี เขาเรียนตำรากับข้าอยู่ที่นี่ตลอด ไม่ได้ไปที่ใดเลย”
ถังฟั่นทั้งโกรธทั้งขำ ดูแล้วก็รู้ทันทีว่ารัชทายาทผู้นี้โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย “รับสั่งนี้เป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ หากอีกฝ่ายมิได้มุ่งร้ายเฉพาะหานเจ่า แต่มีเจตนาอื่น น่ากลัวว่ารัชทายาทเองก็จะมีอันตรายเช่นกัน”
รัชทายาทนิ่งเงียบไป
ถังฟั่นตัดสินใจบีบคั้นอีกฝ่าย “หากพระองค์ไม่ยอมรับสั่งความจริง กระหม่อมคงได้แต่ไปขอให้ฝ่าบาททรงช่วย”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยกมือประสานคำนับ กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก
รัชทายาทรีบละล่ำละลักเรียกรั้งเขาไว้ ซ้ำยังวิ่งตามไปอย่างเสียกิริยา “อย่า! อย่าเพิ่งไป! รอเดี๋ยว!”
ถังฟั่นหันร่างกลับมา
รัชทายาทขบริมฝีปาก “ข้าบอกท่านได้ แต่คนคนนั้นไม่มีทางปองร้ายข้าแน่นอน และยิ่งไม่มีทางทำร้ายเสี่ยวเจ่า ท่านต้องรับปากว่าห้ามทูลเสด็จพ่อเป็นอันขาด”
ถังฟั่นพยักหน้า “ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับคดี ไร้ความเกี่ยวพันกับฆาตกร กระหม่อมย่อมไม่สืบสาว”
รัชทายาทไม่ส่งเสียง ยืนชั่งใจอยู่ตรงนั้น ถังฟั่นเองก็ยืนประสานมือรอ ไม่ได้เร่งรัดใดๆ
นานพักหนึ่ง รัชทายาทบัญชาให้ข้ารับใช้โดยรอบออกไป แล้วจึงกล่าวกับถังฟั่น “ยามเหม่าหลังจากเสี่ยวเจ่าเข้าวังแล้ว พวกเราก็เรียนตำราด้วยกัน ระหว่างนั้นข้าให้เขาไปเยี่ยมคนคนหนึ่งในที่แห่งหนึ่ง ไปกลับใช้เวลาครึ่งชั่วยามเท่านั้น หนำซ้ำคนคนนั้นไม่มีทางทำร้ายเสี่ยวเจ่า และยิ่งไม่มีทางปองร้ายข้าแน่นอน!”
ถังฟั่นถาม “คนผู้นั้นคือใคร”
รัชทายาทตอบ “พระนางอู๋”
ถังฟั่นตั้งตัวไม่ทัน “พระนางอู๋องค์ใดหรือ”
รัชทายาทกล่าว “พระอัครมเหสีองค์แรกของเสด็จพ่อ พระอัครมเหสีอู๋อย่างไรเล่า”
อ๋อ พระอัครมเหสีอู๋คนนั้นนี่เอง
ถังฟั่นนึกออกแล้ว พระอัครมเหสีอู๋พระองค์นั้นถูกโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันปลดออกจากตำแหน่ง ขับไปอยู่ที่ตำหนักประจิมเพราะทรงลงอาญาวั่นกุ้ยเฟย หลังจากนั้นก็น้อยมากที่จะได้ยินชื่อของคนคนนั้นทั้งในและนอกวังหลวง สตรีผู้นี้ราวกับถูกลืมเลือนไปจากปวงชนอย่างสิ้นเชิง
รัชทายาทเล่า “พระนางอู๋ประทับที่ตำหนักประจิม ที่นั่นมักขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้กับอาหารการกิน ข้าไม่สะดวกจะไปมาด้วยตนเอง มีเพียงเสี่ยวเจ่าที่อายุน้อย สถานะพิเศษ ไม่กระตุ้นให้ใครซักถามสงสัย ฉะนั้นบางครั้งข้าจึงให้เสี่ยวเจ่านำข้าวของบางอย่างไปให้”
ถังฟั่นเฉลียวฉลาด เพียงสะกิดเล็กน้อยก็เข้าใจ “อดีตพระอัครมเหสีทรงเคยช่วยเหลือพระองค์ใช่หรือไม่”
รัชทายาทไม่ปริปาก นัยน์ตาดำขลับจับจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา
ถังฟั่นกล่าวเสียงนุ่ม “โปรดวางพระทัย เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี กระหม่อมจะไม่แพร่งพรายแม้แต่คำเดียว เรื่องนี้กระหม่อมจะถือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทางตำหนักประจิม อย่างไรกระหม่อมก็ยังต้องไปตรวจดูสักหน่อย”
รัชทายาทเริ่มร้อนใจ “ไม่ได้ ถึงเวลาถ้าเสด็จพ่อทรงทราบว่าท่านไปที่นั่น กุ้ยเฟยเองก็ต้องทรงทราบด้วยแน่ ถ้าเกิดพวกเขามีรับสั่งถามว่าเหตุใดท่านจึงไปหาพระนาง เรื่องราวในปีนั้นก็จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีก ถึงเวลากุ้ยเฟยไม่มีทางปล่อยพระนางอู๋แน่!”
“เช่นนั้นก็บอกว่าหานเจ่าซุกซน ถือโอกาสระหว่างพักลอบออกไปเที่ยวเล่น กระหม่อมจะตรวจสอบเส้นทางที่เขาอาจจะไป ถึงตอนนั้นไม่เพียงตำหนักประจิม แต่จะรวมถึงพื้นที่ละแวกนั้นทั้งหมด หากอดีตพระอัครมเหสีทรงไร้ความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ วั่นกุ้ยเฟยก็จะไม่ทรงสงสัยเรื่องที่ในอดีตพระนางทรงเคยเลี้ยงดูช่วยเหลือพระองค์แล้ว เอาเช่นนี้เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ถังฟั่นกล่าว
รัชทายาทอ้าปากค้างเล็กน้อย มองเขาด้วยความฉงน คล้ายไม่อยากเชื่อว่าขุนนางคนหนึ่งจะหารือเรื่องหลอกลวงเบื้องสูงกับตนซึ่งหน้า
ถังฟั่นระบายยิ้มบางบนหน้า กล่าวราวกับอ่านใจอีกฝ่ายออก “เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นการหลอกลวงเบื้องสูง เพียงแค่ปรับเปลี่ยนเรื่องราวเล็กน้อย กระหม่อมทำเพื่อรัชทายาทและขอรัชทายาทโปรดช่วยกระหม่อมปิดเป็นความลับด้วย”
“ท่านไม่กลัวล่วงเกินกุ้ยเฟยหรือ ยามนี้ทั่วราชสำนักไร้คนกล้าล่วงเกินกุ้ยเฟย เหตุใดท่านจึงไม่กลัว” รัชทายาทสงสัย
“ใช่ว่ากระหม่อมจะไม่กลัว เพียงแต่วิญญูชนรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี น้ำพระทัยที่อดีตพระอัครมเหสีทรงช่วยเหลือพระองค์ไร้ส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ก็ควรเป็นความลับ เดิมทีโลกนี้ไม่ควรมีผู้ที่ทำดีแต่ได้ชั่ว กระหม่อมสืบคดีก็เพื่อหาตัวฆาตกร จะยกคุณธรรมมาอ้างแล้วปล่อยให้คนดีถูกทำร้ายมิได้ แน่นอนว่าหากพระนางทรงเกี่ยวข้องกับคดี ถึงเวลาขอรัชทายาทโปรดประทานอภัยที่กระหม่อมมิอาจเห็นแก่เรื่องส่วนตัว”
รัชทายาทพยักหน้าหงึกหงัก “พระนางอู๋ทรงเป็นคนดี พระนางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่ แต่พระนางประทับอยู่ที่ตำหนักประจิมมานาน ทรงสติไม่ดีนัก บางครั้งยังทรงมีอาการคลุ้มคลั่ง ขอใต้เท้าถังอย่าถือสา”
ถังฟั่นยกมือประสานคารวะ “รัชทายาทโปรดวางพระทัย เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”
เขาถอยหลังไปหลายก้าว หันร่างกำลังจะไป
“เดี๋ยวก่อน!” รัชทายาทร้องเรียกเขาไว้ และย่างเท้าเข้ามา
ถังฟั่นหันกลับมา ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
รัชทายาทกล่าวกับเขา “ใต้เท้าถัง เมื่อครู่ท่านบอกว่าโลกนี้ไม่ควรมีผู้ที่ทำดีแต่ได้ชั่ว ข้าคิดว่าท่านพูดมีเหตุผล และชอบคำพูดนี้มาก ภายหน้าท่านมีโอกาสเข้าวังอีกหรือไม่ ข้าอยากสนทนากับท่านบ่อยๆ”
ถังฟั่นแย้มยิ้ม “นี่มิใช่เรื่องที่กระหม่อมจะตัดสินใจเองได้ รัชทายาททรงมีผู้ปรีชาสามารถรายล้อม ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีปัญญาเลิศล้ำกว่ากระหม่อม คนด้อยความสามารถอย่างกระหม่อมมิคู่ควรจะอยู่ในพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทเองก็ระบายยิ้มน้อยๆ ดวงหน้าหมดจดดูไม่ละม้ายจักรพรรดิเฉิงฮว่า ถังฟั่นเดาว่าเขาน่าจะละม้ายกับมารดาที่จากไปเร็วผู้นั้นมากกว่า “ใต้เท้าถัง ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน บัณฑิตที่เข้าสอบในรัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบเอ็ดใช่หรือไม่ ข้ายังเคยอ่านบทความของท่าน เขียนได้ดีมากเชียว!”
“ขอบพระทัยที่ทรงชม ต่อไปหากมีโอกาส กระหม่อมย่อมมาขอเข้าเฝ้าพระองค์แน่นอน”
รัชทายาทพยักหน้า “ได้ ข้าจะรอ ขอใต้เท้าถังโปรดหาตัวฆาตกรออกมาให้ได้ด้วย เพื่อเป็นการส่งวิญญาณเสี่ยวเจ่าสู่สุคติ”
ถังฟั่นประสานมือรับ “กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ!”
เขาไม่เสียเวลาอีก หลังจากออกจากตำหนักแล้วก็รีบกระวีกระวาดไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเฉิงฮว่า
เดิมทีจักรพรรดิมีอุปนิสัยปล่อยปละละเลยกับเรื่องใหญ่ในราชสำนัก ทว่าคดีนี้หนักหนาสำคัญ ฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังยังไม่เผยโฉม อีกทั้งสาเหตุการตายของหานเจ่าก็พิศวง กระตุ้นความสนใจของพระองค์ได้ไม่น้อย ได้ยินว่าคดีมีความคืบหน้า จึงตกลงให้เรียกถังฟั่นเข้าพบ
ถึงกระนั้นถังฟั่นก็ยังรออยู่ด้านนอกนานสองนานกว่าจะได้เข้าไป
เมื่อได้พบ ถังฟั่นเองก็ไม่มีท่าทีเช่นขุนนางผู้น้อยพบโอรสสวรรค์ ตื่นเต้นจนห่วงแต่ประจบสอพลอ แต่เข้าประเด็นสำคัญอย่างไม่อ้อมค้อม
สาเหตุการตายของหานเจ่า ตอนที่เขาไปเข้าพบรัชทายาท คนของสำนักประจิมคงรายงานจักรพรรดิเฉิงฮว่าแล้วแน่นอน ฉะนั้นถังฟั่นจึงเอ่ยเพียงคร่าวๆ ก่อนจะข้ามไป อธิบายการวิเคราะห์ของตน พร้อมทั้งขอให้เปิดพื้นที่ส่วนหนึ่งในวังให้เขาไปสืบสวนอย่างละเอียดครบถ้วน
ความจริงแล้วเขาทำเช่นนี้เพียงเพื่อให้ได้ไปสอบปากคำพระอัครมเหสีอู๋ที่ถูกปลดแล้วเท่านั้น ทว่าติดที่ความแค้นที่วั่นกุ้ยเฟยมีต่ออดีตพระอัครมเหสี หากนางรู้ว่าในอดีตทรงเคยช่วยเหลือรัชทายาท ซึ่งตอนนี้รัชทายาทยังส่งคนลอบไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะ เป็นได้หาทางเล่นงานอดีตพระอัครมเหสีแน่ ในเมื่อถังฟั่นรับปากรัชทายาทแล้วว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องของพระนาง จึงได้แต่ใช้ทางอ้อม
จักรพรรดิเฉิงฮว่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับเหตุการณ์ที่นักพรตหลี่ลอบเข้าวังส่วนในเพื่อหวังสังหารพระองค์ ได้ยินการตายของหานเจ่าแล้ว ตอนแรกก็นึกไปถึงว่าเป้าหมายของคนร้ายอาจเป็นรัชทายาทหรือพระองค์เอง จึงตอบตกลงกับคำขอของถังฟั่นโดยไม่ได้ลังเลนัก แต่ด้วยความที่ถังฟั่นเป็นขุนนางราชสำนัก จักรพรรดิเฉิงฮว่าจึงมีเงื่อนไขให้เขาต้องมีขันทีติดตามในยามที่เดินเหินอยู่ในวัง ห้ามออกจากบริเวณที่กำหนดและห้ามไปยังสถานที่ที่ยังมิได้รายงานล่วงหน้าโดยพลการ
ถังฟั่นย่อมรับปากทุกข้อ ด้วยขั้นตอนพิธีการอันวุ่นวาย กว่าเขาจะออกจากวังก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว น่าสงสารใต้เท้าถังที่ได้แต่วิ่งวุ่นตลอดทั้งวัน ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ตำแหน่งของเขาค่อนข้างเล็ก แม้จะเข้าวังมาเพื่อปฏิบัติภารกิจ แต่ก็มิได้รับสิทธิ์ให้อยู่กินข้าว หากเปลี่ยนเป็นมหาบัณฑิตแห่งสภาขุนนางหรือเสนาบดีประจำกรมทั้งหกกำลังทำหน้าที่อยู่ ย่อมไม่ถูกรับรองเช่นนี้แน่นอน
แต่ต่อให้เขาเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ยังคงไม่ได้ตรงดิ่งไปหาอาหารใส่ท้อง กลับมุ่งหน้าไปที่สำนักประจิม เนื่องจากศพของหานเจ่ายังอยู่ที่นั่น
ได้ยินว่าใต้เท้าถังกลับมาแล้ว เปียนอวี้ก็เร่งมาถึงอย่างรวดเร็ว
ถังฟั่นถามอีกฝ่าย “นายกองร้อยสุยไปตั้งแต่เมื่อไร”
“หลังจากท่านไปไม่นาน เขาเองก็ไป จากนั้นก็ส่งคนมาฝากข้าบอกท่านว่ามีงานด่วนที่กองปราบฝ่ายเหนือ นายกองร้อยสุยต้องออกเดินทางไกล น่าจะใช้เวลาหลายวันจนถึงครึ่งเดือน ท่านมิต้องรอเขาขอรับ”
ถังฟั่นถอนใจเฮือกหนึ่ง “เขาไปไม่ได้เวลาเลย แล้วนี่จะให้ข้าไปหาสหายรู้ใจที่ใดมาช่วยงานทันทีทันใดเล่า”
“ก็ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”
วังจื๋อ ผู้บัญชาการสำนักประจิมแห่งต้าหมิงก้าวเข้าประตูมาพร้อมเสียงพูด
ถังฟั่นไร้คำจะกล่าว นี่ก็ช่างเหมือนเงาตามตัวเหลือเกิน
“วังกงกงภารกิจรัดตัว ไฉนจึงต้องตั้งใจมาช่วยข้าโดยเฉพาะด้วยเล่า”
“โอ๊ะ ดูเจ้าไม่สบอารมณ์เสียด้วย เจ้าต้องเข้าวังไปสืบสวนมิใช่หรือ ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้ามาคุมเจ้า เผื่อเจ้าไปในที่ที่ไม่ควรไป! เจ้าคิดว่าสุยก่วงชวนจะเตร็ดเตร่ในวังเป็นเพื่อนเจ้าได้รึ ต่อให้เขาเป็นพระญาติของพระพันปี ก็ไม่มีบารมีใหญ่โตเช่นนั้น!”
วังจื๋อยิ้มเยาะ ไร้ท่าทีนบนอบระมัดระวังเช่นยามรับใช้จักรพรรดิ พูดจากับถังฟั่น เขาย่อมไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
“มีข้าอยู่ด้วยยังไม่พอใจอีกรึ นี่เป็นความโชคดีที่เจ้าร้องขอก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ มีคนมากมายอยากพบข้าก็ยังไม่ได้พบ!”
เวลานี้วังจื๋ออยู่ในชุดกิเลนพระราชทานซึ่งแตกต่างจากชุดชาวบ้านสีครามอย่างตอนที่เจอที่เรือนเซียนอวิ๋นครั้งก่อน การตัดเย็บของชุดกิเลนคล้ายชุดเฟยอวี๋ขององครักษ์เสื้อแพรมาก เพียงแต่ภาพปักไม่เหมือนกัน สัญลักษณ์บรรดาศักดิ์ก็ต่างกัน ชุดกิเลนนี้นับว่าประณีตหรูหรา วังจื๋อเอามือไพล่หลังเดินลอยชายไปมาอยู่ตรงหน้าถังฟั่น ราวกับนกยูงสีสดใส
“นับแต่วันนี้จนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น ข้าจะอยู่กับเจ้า มีอะไรจะให้จัดการข้าสั่งคำเดียวก็ได้แล้ว ประสิทธิภาพของข้าที่เป็นผู้บัญชาการสำนักประจิมย่อมสูงกว่าองครักษ์เสื้อแพรอย่างเจ้าสุยก่วงชวนมาก หนำซ้ำเขาเป็นแค่นายกองร้อยเท่านั้น เจ้าเองก็ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาเจ้าหรอก ในเมื่อคดีนี้เป็นหน้าที่เจ้า เช่นนั้นก็มอบอำนาจการตัดสินใจให้เจ้าทั้งหมด”
วังจื๋อพูดไปเสียหมด แล้วถังฟั่นยังพูดอะไรได้อีก เขาได้แต่กล่าวอย่างจนใจว่า “เวลานี้ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว จะสืบอะไรก็ไม่พ้นคงต้องรอพรุ่งนี้”
วังจื๋อตอบอืมเสียงหนึ่ง
ถังฟั่นเห็นเขายังไม่ไป จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “วังกงกงกินข้าวหรือยัง”
วังจื๋อถามย้อน “กินแล้ว ไฉนจึงถาม ยังคิดจะให้ข้าเลี้ยงเจ้าอีกหรือ ไม่มีทาง”
“…ข้าไม่ได้กินมาสองมื้อแล้ว หากวังกงกงไม่รังเกียจ ก็ไปกินกับข้าอีกสักมื้อเถอะ”
เดิมถังฟั่นนึกว่าตนพูดเช่นนี้แล้ว วังจื๋อต้องสะบัดแขนเสื้อจากไปแน่ แต่ปรากฏว่ากงกงผู้นี้กลับเปลี่ยนชุดจริงๆ ทั้งยังมอบชุดชาวบ้านให้เขายืมผลัดเปลี่ยนด้วย จากนั้นก็เดินออกจากสำนักประจิมไปที่ร้านเกี๊ยวน้ำแผงลอยทางเหนือของเมืองพร้อมกับถังฟั่น
จนกระทั่งวังจื๋อนั่งลงบนตั่งข้างๆ เขา ถังฟั่นก็ยังรู้สึกประหลาดใจไม่หาย
เขามิได้กริ่งเกรงหรือหวาดกลัววังจื๋อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้บัญชาการแห่งสำนักประจิม บุคคลที่วางอำนาจแม้กระทั่งกับหกกรมและสภาขุนนางเป็นปกติ เวลานี้กลับลอยชายมากินเกี๊ยวน้ำกับเขา ซ้ำยังไล่ไม่ไปอีกต่างหาก
วันนี้วังจื๋อกินยาผิดขนานหรือ
มิหนำซ้ำใต้เท้าถังผู้ไม่สนิทกับวังจื๋อเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่มีขันทีคนหนึ่งตามติด ตอนแรกเขายังคิดแวะร้านหนังสือเพื่อดูว่ามีงานประพันธ์ใหม่ๆ หรือไม่ ผลกลายเป็นอย่างตอนนี้ แล้วจะให้เขาไปที่นั่นได้อย่างไรเล่า
จูงมือกับขันทีไปดูงานประพันธ์รักชายหญิงในร้านหนังสือ ออกจะเป็นจินตนาการเลิศล้ำไปหน่อยหรือไม่
“เหตุใดเจ้าจึงมองข้า ทำใจเลี้ยงอาหารข้าไม่ลงหรือ อย่าลืมว่าคราวก่อนข้ายังเลี้ยงพวกเจ้าที่เรือนเซียนอวิ๋น ลำพังแค่ราคาอาหารจานเดียวของที่นั่นก็มากพอให้เจ้ากินเกี๊ยวน้ำที่นี่ร้อยครั้งแล้ว!” วังจื๋อเหน็บแนม
ถังฟั่นอ่อนใจ “เชิญๆๆ วังกงกงอยากกินอะไรก็สั่งได้เลย ข้ายินดี”
“ค่อยยังชั่ว แต่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้สั่งนี่นา ไม่ว่าจานใดก็เกี๊ยวน้ำทั้งนั้น!” วังจื๋อกล่าวอย่างรังเกียจ
“วังกงกงกล่าวผิดแล้ว เถ้าแก่ร้านนี้ทำเกี๊ยวน้ำจนเลื่องชื่อ แต่บะหมี่น้ำก็ไม่เลว โดยเฉพาะน้ำแกงกระดูกที่เคี่ยวเป็นเวลานาน รสชาติยอดเยี่ยมเป็นที่สุด โรงเตี๊ยมเซียนเค่อยังใช่ว่าจะพิถีพิถันเช่นนี้ พวกเขาเปิดร้านกันสองคนสามีภรรยา ภรรยานวดแป้ง สามีห่อเกี๊ยว ตอนนี้เย็นมากแล้ว คาดว่าบะหมี่คงขายหมดแล้ว แต่เกี๊ยวน้ำน่าจะยังเหลือ ถึงเวลาก็สั่งเกี๊ยวน้ำโรยด้วยต้นหอมกับงา ท่านควรลองให้ได้จริงๆ!” พูดถึงเรื่องกิน ใต้เท้าถังย่อมรู้ละเอียดลึกซึ้ง
กิจการของร้านแผงลอยนี้ขายดีราวกับแจก พวกเขานั่งลงแล้วหญิงเจ้าของร้านจึงมาเช็ดโต๊ะทำความสะอาดน้ำแกงที่ลูกค้าโต๊ะก่อนทำหกเลอะไว้ นั่นเป็นเพราะเห็นแก่ที่ใต้เท้าถังเป็นลูกค้าประจำ
หญิงเจ้าของร้านต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าถัง เอาเหมือนเดิมใช่หรือไม่ แล้วลูกค้าท่านนี้สั่งอะไรดี”
ถังฟั่นกล่าวกลั้วหัวเราะ “ท่านป้าก็แย่เสียจริงนะ เหลือแค่เกี๊ยวน้ำแล้วยังถามพวกเราว่าจะสั่งอะไร”
หญิงเจ้าของร้านอุทานเสียงหนึ่ง “ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว วันนี้บะหมี่เยอะ เลยยังเหลือ ทั้งยังมีแป้งทอดใหม่ๆ ด้วย อยากสั่งมากินสักหน่อยหรือไม่”
ถังฟั่นรีบละล่ำละลัก “ดีๆ เอาแป้งทอดมาสี่ชิ้น!” จากนั้นหันไปถามวังจื๋อ “ท่านเอาเกี๊ยวน้ำหรือบะหมี่”
วังจื๋อนิ่งอึ้งเล็กน้อย “เช่นนั้นก็เกี๊ยวน้ำแล้วกัน!”
ถังฟั่นกล่าวกับหญิงเจ้าของร้าน “เกี๊ยวน้ำหนึ่งที่ บะหมี่เกี๊ยวน้ำหนึ่งที่ โรยต้นหอมเยอะๆ!”
“ได้!” หญิงเจ้าของร้านถือโอกาสกล่าวหยอก “ใต้เท้าถัง ท่านมีสหายในกองปราบฝ่ายเหนือเยอะจริงๆ ครั้งก่อนโน้นก็ใต้เท้าเซวีย คราวก่อนก็ใต้เท้าสุย คราวนี้พาคนใหม่มาอีกแล้วหรือ”
ถังฟั่นกระแอมเสียงเบา “ข้าก็พาลูกค้ามาให้พวกท่านสองคนอย่างไรเล่า ท่านนี้มิใช่องครักษ์เสื้อแพร เป็นใต้เท้าวังแห่งสำนักประจิม”
ค้าขายอยู่ริมกำแพงวังหลวง มีหรือที่ข่าวสารไม่ว่องไวทั่วถึง ทั่วทั้งสำนักประจิมก็มีคนแซ่วังเพียงคนเดียว ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามแล้วหญิงเจ้าของร้านก็งุนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะหน้าถอดสีทันที เรียก ‘ใต้เท้าวัง’ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พริบตาเดียวก็คว้าผ้าเช็ดโต๊ะหายวับจนไม่เห็นเงา
พวกเขายังไม่ทันนั่งให้หายเหนื่อย เกี๊ยวน้ำและบะหมี่เกี๊ยวน้ำสองชามใหญ่กับแป้งทอดสี่ชิ้นใหญ่ก็ถูกยกมา ปริมาณดูแล้วมากกว่าปกติสองเท่า
ถังฟั่นอดกล่าวกลั้วหัวเราะไม่ได้ “บารมีของใต้เท้าวังสะเทือนกึกก้องทั่วใต้หล้า แม้กระทั่งร้านขายเกี๊ยวน้ำแผงลอยก็ยังเป็นที่รู้จัก!”
วังจื๋อส่งเสียงฮึ “เห็นทีข้าต้องระวังว่าเจ้าจะเอาชื่อข้าไปแอบอ้างเสียแล้ว!”
ขุนนางพลเรือนคนอื่นๆ ที่เจอเขา ไม่มีใครไม่พรั่นพรึงยำเกรง หรือไม่ก็ตั้งป้อมระแวงเต็มที่ มีเพียงถังฟั่นที่เป็นข้อยกเว้น คนผู้นี้พูดจามีอารมณ์ขัน ถ้อยคำน่าสนใจ คิดหยอกล้อก็หยอกล้อ แต่ไม่ถึงขั้นไม่ให้เกียรติ กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายเป็นกันเอง ผู้ที่มียศตำแหน่งสูงอย่างวังจื๋อมีนิสัยพิลึกบางอย่าง ผู้อื่นเคารพนบนอบเขา เขากลับไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่กับถังฟั่น เขากลับรู้สึกชอบใจ
ถังฟั่นเลื่อนจานใส่แป้งทอดไปตรงหน้าเขา ระบายยิ้มบนใบหน้า ขณะกำลังจะเอ่ยปาก อีกฝั่งก็มีคนเข้ามา เห็นลูกค้านั่งกันเต็มทุกโต๊ะแล้ว เหลือเพียงโต๊ะของพวกเขาที่ยังเหลือที่ว่างอีกสองที่ จึงเดินมานั่งลงโดยไม่ถามไถ่สักคำ
วังจื๋อถลึงตา “ไม่มีตาหรือ โต๊ะนี้มีคนนั่งอยู่!”
อีกฝ่ายยิ้มเยาะ “โอหังไม่เบา โต๊ะนี้มีชื่อเจ้าเขียนอยู่รึ พวกข้าถึงนั่งไม่ได้ รู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นใคร”
ย่ำแย่แล้ว!
ใต้เท้าถังก้มหน้าดื่มน้ำแกงไปคำหนึ่ง ลอบไว้อาลัยให้อีกฝ่ายเงียบๆ
เป็นไปตามคาด ได้ยินวังจื๋อแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร ต่อหน้าข้า ต่อให้เป็นมังกรก็ต้องนอนขด เป็นเสือก็ต้องนอนหมอบ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้านั่งได้ ไสหัวไป!”
ถังฟั่นเงยหน้าขึ้น พบว่าอีกสองคนก็สวมชุดทั่วไป แต่กลับซ่อนกลิ่นอายอาจหาญเหิมเกริมไม่อยู่ รูปร่างกำยำ มองแล้วน่าจะเป็นยอดฝีมือที่รับมือศัตรูได้หลายคนในคราวเดียว
ในเมืองหลวงสามารถพบเจอคนที่ไม่ธรรมดาได้ทุกที่ทุกเวลา นี่มิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด ทั้งคนในแวดวงขุนนาง นักเลงอันธพาล สำนักพรรคอธรรม พรั่งพร้อมทั้งเทพเซียนปีศาจ มีครบทุกแวดวง อีกทั้งอย่าคิดว่าอยู่ในเมืองหลวงก็จะไม่เจอะเจอกลุ่มคนในวงการมืด ไม่เพียงมีอยู่ บางครั้งยังสมาคมคบค้ากับทางการอีกด้วย ถึงขั้นสมคบเป็นพวกเดียวกัน แม้จะไม่มีอำนาจกว้างขวางเหมือนเช่นพรรคเฉาปังในเจียงหนานที่ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้ แต่ก็ถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจ
อย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง สำหรับผู้มีฐานันดรสูงศักดิ์จริงๆ คนเหล่านี้ก็ไม่กล้าเหิมเกริมมากเกินไป ทว่าสำหรับขุนนางทั่วไปก็ไม่อยู่ในสายตาของพวกเขาแล้ว
สองคนตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความผยองโอหัง มองแล้วแยกไม่ออกว่าอยู่ในแวดวงสุจริตหรือวงการมืด
หลังจากถังฟั่นออกจากวังแล้วก็ถือโอกาสผลัดเปลี่ยนชุดทั่วไปพร้อมกับวังจื๋อด้วย เพื่อไม่ให้สะดุดตา อันที่จริงขุนนางขั้นหกเล็กๆ อย่างเขานั้นไม่ถือว่าใหญ่โตอะไรในเมืองหลวง จะให้ไปข่มขู่ราษฎรยากไร้ก็ไร้เกียรติ กับขุนนางตำแหน่งสูงก็ไร้ผล ซ้ำยังอาจชักนำมาซึ่งปัญหาที่ไม่จำเป็นอีกด้วย
ปรากฏว่าเปลี่ยนมาสวมชุดทั่วไปแล้ว วังจื๋อกลับยังไม่ออกจากบทบาท นั่นปะไร มีเรื่องเข้าแล้ว
อีกฝ่ายไม่ยี่หระในตัววังจื๋อ ได้ยินคำพูดถือดีนั้นแล้วยังคงนั่งหัวเราะเสียงดัง “พวกเราจะนั่งเสียอย่าง เจ้าจะทำอะไรได้”
วังจื๋อกำลังจะเดือดดาล ถังฟั่นก็รีบฉุดเขาไว้ “ได้โปรดเถอะ ข้าไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้ว ให้ข้ากินดีๆ สักมื้อก่อน!”
ในขณะที่เขากำลังกระวีกระวาดดับโทสะ สองคนนั้นกลับยังไม่รู้ที่ตาย เห็นวังจื๋อกับถังฟั่น คนหนึ่งอ่อนช้อยงดงามราวกับสตรี ส่วนอีกคนเห็นชัดว่าเป็นบัณฑิตสุภาพ จึงเอ่ยปากหยอกล้อ “นี่เป็นบัณฑิตกับสาวน้อยที่แต่งเป็นชายสกุลใดออกมาเที่ยวเล่นกันล่ะนี่ เป็นแม่นางน้อยตัวเล็กๆ ยังนิสัยเอาเรื่องเพียงนี้ ต่อไปถ้าออกเรือนแล้วจะไม่กลายเป็นแม่เสือ อบรมให้สามีว่าง่ายเชื่อฟังไปเลยหรือ”
พรรคพวกของคนคนนั้นก็ขบขันตาม “เจ้าผิดแล้ว ไม่แน่พอปิดประตูคนก็เปลี่ยน ถ้าเอานิสัยเผ็ดร้อนนี้ไปใช้บนเตียง อื้อหือ นั่นก็น่าดื่มด่ำลิ้มลองแล้ว กลัวแต่ว่าบัณฑิตผู้เรียบร้อยจะรับมือแม่นางน้อยผู้เผ็ดร้อนเช่นนี้ไม่ได้เสียมากกว่า!”
ถังฟั่นนิ่งเงียบ
เขาไม่รู้ว่าในใจของขันทีคิดอย่างไร ทว่าจากมุมมองของบุรุษทั่วไป พวกเขาย่อมไม่ชอบใจกับการถูกมองว่าเป็นอิสตรีแน่นอน โดยเฉพาะผู้ที่กุมอำนาจใหญ่อย่างวังจื๋อ คนที่ไม่เห็นสภาขุนนางและหกกรมอยู่ในสายตา ผู้ที่กล้าเหยียดหยามคนผู้นี้ซึ่งหน้าคาดว่ายังไม่ถือกำเนิด
ราวกับต้องการตอบสนองความคิดของถังฟั่น วังจื๋อตบโต๊ะโครม “สารเลว! พวกเจ้าไม่อยากอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่!”
อันว่าอำนาจเป็นยาปลุกกำหนัดที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด อย่าเห็นว่าวังจื๋อเป็นขันที รูปลักษณ์ก็ถูกสองคนนั้นนำมาล้อเลียน ความจริงแล้วนิสัยใจคอของเขาเป็นลูกผู้ชายยิ่งกว่าเหล่าบุรุษ ส่วนพละกำลัง…ถังฟั่นเองก็เคยสัมผัสมาด้วยตนเองแล้ว ซึ่งแข็งแรงกว่าเขามาก
เมื่อวังจื๋อตบโต๊ะ แม้โต๊ะจะไม่ได้แยกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันทีเหมือนอย่างในบทประพันธ์ ทว่าตะเกียบจานชามล้วนกระดอนขึ้น น้ำแกงหกกระเซ็น แม้แต่แขนเสื้อของใต้เท้าถังก็เปียกไปหลายส่วน
“…”
ถังฟั่นหมดคำพูดแล้วจริงๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็อย่าหวังจะได้กินเกี๊ยวน้ำเลย
ไม่รอให้สองคนนั้นบันดาลโทสะกลับมา วังจื๋อก็เขวี้ยงชามเกี๊ยวน้ำราดศีรษะทั้งสอง
สองคนนั้นเดือดดาล ตวาดด่าว่า ‘ไอ้กระจอก’ จากนั้นก็ไม่แม้แต่จะพับแขนเสื้อ กำปั้นพลันหวดเข้ามา
วังจื๋อแค่นหัวเราะเสียงเย็น เขาโตมาในสำนักศึกษาฝ่ายในของวังหลวงตั้งแต่เด็ก ที่นั่นนอกจากสอนให้บรรดาขันทีอ่านเขียน ยังมีอาจารย์ฝึกวรยุทธ์ให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถปกป้องจักรพรรดิในยามคับขันได้ อาจารย์ที่เชิญมาย่อมมิใช่พวกท่าดีทีเหลว ด้วยเหตุนี้วังจื๋อจึงไม่หวั่นกลัวใดๆ ต่อให้ไม่มีผู้ใต้บัญชากลุ่มใหญ่ เขาก็ย่อมไม่ใช่ฝ่ายถูกเล่นงานแน่นอน
เขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง โต๊ะถูกเขาล้มคว่ำและผลักไปทางสองคนนั้น น้ำแกงบะหมี่สาดเกลื่อนพื้น ตะเกียบจานชามตกแตกดังโพล้งเพล้ง
สองคนนั้นหลบไม่ทันจึงถูกน้ำแกงกระเด็นใส่ไม่น้อย ทั้งสองแยกออกกันคนละฝั่ง ล้อมเข้าจับวังจื๋อจากด้านข้าง
วังจื๋อไม่ได้เบี่ยงหลบ ตวัดแขนออกไปจับกำปั้นของคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่ชกเข้ามา ตำแหน่งแม่นยำ เขาจับข้อมือของฝ่ายนั้นได้พอดิบพอดี ได้ยินเสียงดังกร๊อบ ข้อมือของอีกฝ่ายถูกบิด ไม่รู้ว่าข้อหลุดหรือแตกละเอียดไปแล้ว ชายคนนั้นร้องโอดโอย วังจื๋องอเข่า กระทุ้งหว่างขาของอีกฝ่ายอย่างแรง คู่ต่อสู้ก็อ่อนยวบทันที ถังฟั่นที่ดูอยู่อีกทางถึงกับเจ็บแทน
และในเวลานี้เงาร่างของอีกคนก็พุ่งทะยานเข้ามา วังจื๋อจึงฉุดคนที่เขาจับตัวไว้ขึ้นกันแล้วผลักออกไป จนเซถลาล้มใส่พวกเดียวกันอย่างบังคับตนเองไม่ได้ แต่พรรคพวกของอีกฝ่ายนับว่าอากัปกิริยาว่องไว จึงเบี่ยงร่างหลบได้ ก่อนหมุนร่างหนึ่งรอบ พุ่งกำปั้นไปที่ใบหน้าของวังจื๋อ
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตา สองฝ่ายล้วนเป็นคนมีวรยุทธ์ กระบวนท่าว่องไว กำปั้นทรงพลัง คนรอบข้างมองแล้วตาลาย ทว่าการประมือผ่านไปครึ่งทางแล้ว
วังจื๋อเบี่ยงร่างหลบข้าง อาศัยจังหวะที่คู่ต่อสู้พุ่งถลันเข้าหา คว้าเข็มขัดของอีกฝ่าย ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็อาศัยแรงและทิศทางของกำปั้นที่พุ่งมา ออกแรงคว้าจับหมุนและบิด ทุ่มร่างของคู่ต่อสู้ลงพื้น ใช้หลักการพิชิตความแข็งแกร่งด้วยความยืดหยุ่น หลักการใช้แรงด้วยการยืมแรง ไม่รอให้คนผู้นั้นลุกขึ้น วังจื๋อก็ยกเท้าเหยียบหน้าอกของอีกฝ่าย มิให้ขยับเขยื้อนได้
“จะสู้อีกหรือ”
เวลานี้เป็นช่วงที่ร้านเกี๊ยวน้ำกำลังขายดีที่สุด มิฉะนั้นสองคนนี้คงไม่ถึงกับหาที่นั่งไม่ได้จนต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกถังฟั่น แต่ทั้งสองก็ปากดีเกินไปจริงๆ ทั้งยังมีตาหามีแววไม่ ปรากฏว่าล่วงเกินจอมมารเข้า
หลังจากหญิงเจ้าของร้านรู้สถานะของวังจื๋อแล้ว คิดว่าคงบอกกล่าวสามีแล้วเช่นกัน ยามนี้เห็นโต๊ะตั่งถูกพังจนยับ ถ้วยชามแตกกระจายเกลื่อนพื้น สองสามีภรรยาก็ไม่กล้าเข้าไปห้าม ได้แต่หดตัวยืนมองเฉยๆ อยู่อีกทาง
ผู้คนรอบข้างไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เห็นเพียงทั้งสามสู้กันไปสู้กันมา เหตุการณ์วุ่นวายและเอิกเกริก ทั้งยังเห็นวังจื๋อรับมือคู่ต่อสู้หนึ่งต่อสอง สองกำปั้นต่อกรกับสี่ฝ่ามือ ตระการตายิ่งกว่าละครงิ้ว ทุกคนมุงดูเหตุการณ์โดยไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังปรบมือชื่นชมวังจื๋อเสียงดัง บางคนถึงขั้นตะโกนว่า ‘เอาอีก’
ใต้เท้าถังยืนดูอยู่อีกทาง สีหน้าเรียบตึง ทว่าในใจกลับโอดครวญว่า สวรรค์เอ๋ย อาหารเย็นของข้า ข้ายังไม่ได้กินเลย!
ว่าไปแล้วเขามาฝากท้องที่ร้านเกี๊ยวน้ำแผงลอยแห่งนี้หลายสิบครั้ง ก็ไม่เคยประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน วันนี้มีวังจื๋อเพิ่มมาคนหนึ่ง ความวุ่นวายก็หล่นจากฟ้า…
ไม่สิ ทุกอย่างวังจื๋อเป็นผู้ชักนำมาแต่แรก!
สองคนนั้นฟุบอยู่ที่พื้นลุกไม่ขึ้น คนหนึ่งถูกเตะเข้าที่หว่างขา อีกคนถูกเหยียบหน้าอก แต่ถ้าเป็นในบทประพันธ์ ในเวลาเช่นนี้ตามหลักแล้วสมควรยังไม่ยอมแพ้
คนหนึ่งตะโกนเสียงดัง “รู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร! เจ้ากล้าทุบตีคนของสำนักบูรพา แน่จริงก็อย่าเพิ่งไปล่ะ!”
พรึบ!
ได้ยินว่าเป็นสำนักบูรพา กลุ่มคนที่มุงดูเหตุการณ์ก็สลายตัวทันทีครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งซึ่งก็เป็นเพียงจำนวนน้อยแล้วยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างมุ่งมั่น หวังอยู่ชมเหตุการณ์ดำเนินจนถึงท้ายสุด
ที่แท้ก็เป็นสำนักบูรพา มิน่าจึงได้วางอำนาจเช่นนั้น คราวนี้วังจื๋อได้ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างสร้างประเด็นแน่นอน
ถังฟั่นคลึงหน้าผาก ตอนนี้เขาไม่เพียงหิวข้าว ยังปวดเศียรเวียนเกล้าแล้วด้วย
ชื่อเสียงเรียงนามของสำนักบูรพา ต่อให้อยู่ในเมืองหลวงที่คลาคล่ำไปด้วยขุนนาง ก็ยังเป็นที่หวั่นเกรงพรั่นพรึง สองคนนั้นมั่นอกมั่นใจว่าเมื่อประกาศเบื้องหลังของตนแล้ว อีกฝ่ายเป็นได้คุกเข่าวิงวอนแน่ ผลกลายเป็นว่าเจ้าหน้าอ่อนที่เหมือนสตรีคนนั้นกลับหัวเราะอย่างไร้ความเกรงกลัว กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “อ้อ สำนักบูรพา ทำงานอยู่กับหัวหน้าเวรคนใดล่ะ”
ออกจากบ้านลืมตรวจดวงชะตา สมควรที่สองคนนี้จะถึงคราวเคราะห์ อาศัยบารมีของสำนักบูรพา ยามปกติพวกเขาจึงวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลวง ใครจะรู้ว่าวันนี้ดันเจอคนที่ไม่กลัวสำนักบูรพาเข้าให้ เรียกได้ว่าอาทิตย์แทบจะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว
คนหนึ่งยังคงด่ากราด เรียกร้องให้วังจื๋อบอกชื่อแซ่ ส่วนอีกคนนับว่ายังมีสมองอยู่บ้างจึงเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านอยู่หน่วยใด โปรดบอกมาด้วยเถิด!”
โทษพวกเขาไม่ได้จริงๆ ที่ไม่ได้นึกถึงขันที แม้รูปลักษณ์ของวังจื๋อจะนุ่มนวล ทว่ากิริยากลับปราศจากกลิ่นอายสตรี จากการประมือเมื่อครู่ก็ดูออกว่าโหดยิ่งกว่าสำนักบูรพาอย่างพวกเขา พุ่งเป้าแต่เฉพาะจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ นอกจากนี้เหล่าขันทีในเมืองหลวงก็มีพวกที่เรืองอำนาจอยู่ไม่น้อย อย่างเช่นซั่งหมิงที่เป็นผู้บัญชาการของพวกเขา แต่ขันทีระดับนี้ล้วนมีคนห้อมล้อมรับใช้ดุจดาวล้อมเดือน ใครจะมานั่งกินเกี๊ยวน้ำชามละไม่กี่อีแปะที่นี่กัน
วังจื๋อแค่นหัวเราะเสียงเย็นชา ยังไม่ทันเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังใกล้เข้ามา
“หลีกทาง ถอยไป! ห้ากองกำลังรักษาเมือง คนไม่เกี่ยวหลีกไป!”
คนของทางการอีกแล้ว!
ฝูงชนพากันแหวกออกเป็นสองฝั่ง เจ้าหน้าที่ห้ากองกำลังรักษาเมืองที่สวมหมวกเกราะปรากฏเข้ามาในสายตา
หน่วยงานในเมืองหลวงนั้นมีมากมาย ถึงขนาดที่คนต่างถิ่นที่มาทำธุระที่เมืองหลวง หากอยากทักทายฝากตัวก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ใดก่อนด้วยซ้ำ
หนำซ้ำขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานมากมายยังมีการทับซ้อนกัน ยกตัวอย่างการรักษาความสงบในเมืองหลวง ศาลซุ่นเทียนดูแลได้ แต่ละอำเภอที่อยู่ในการปกครองของศาลซุ่นเทียนก็ดูแลได้ หน่วยองครักษ์เสื้อแพรจัดการได้ สำนักบูรพาและสำนักประจิมก็ข้องเกี่ยวได้ ยังมีห้ากองกำลังรักษาเมืองที่อยู่ใต้อาณัติกรมทหารก็รักษาความสงบได้เช่นเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมวุ่นวาย ในบางครั้งทุกคนต่างแย่งกันดูแล บางครั้งก็เกี่ยงกันไปมา ทว่าเคราะห์ดีที่ทุกฝ่ายล้วนอยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์จึงยังไม่มีฝ่ายใดกล้าทำเรื่องที่เกินขอบเขตนัก…นั่นปะไร ทะเลาะชกต่อยกันเสร็จแล้ว คนของห้ากองกำลังรักษาเมืองเพิ่งมาถึง
คนที่เป็นหัวหน้ามองซ้ายมองขวาพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า “เกิดอะไรขึ้น รายงานตัวมา!”
บุรุษที่กุมเป้าคนนั้นมีสีหน้าเหยเก ชี้ไปวังจื๋อแล้วตะโกนดังลั่น “พวกเราอยู่สำนักบูรพา เป็นคนของหัวหน้าโจว เขากล้าใช้กำลังทุบตีคนของสำนักบูรพา จับเขาเลย! ยังมีบัณฑิตที่อยู่ข้างๆ คนนั้นด้วย พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน!”
คนของกองกำลังได้ยินว่าเป็นสำนักบูรพาก็ลอบทอดถอนว่าแย่แล้ว รู้สึกว่าตนมาเร็วเกินไป เดิมทีควรทำหูหนวกตาบอดเสีย แต่ตอนนี้ก็ไม่สะดวกจะปลีกตัว จึงปั้นหน้าบึ้งตึง แสร้งทำเป็นถามวังจื๋อ “พวกเจ้าก็ช่างใจกล้าเหิมเกริม ถึงได้กล้าทุบตีคนของทางการ ยังเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่!”
วังจื๋อปัดแขนเสื้อ สะบัดฝุ่นที่ติดบนเสื้อผ้า ได้ยินแล้วก็หลุดหัวเราะ “ต่อให้ซั่งหมิงมา ข้าก็จะอัดให้หงาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกกระจอกสองคนนี่! ถ้าพวกเจ้าอยากยุ่งเรื่องนี้ก็เอาตัวสองคนนี้ไป ให้ซั่งหมิงไปพาคนของเขาออกมาเอง แต่ถ้าใจไม่กล้าพอที่จะสอดก็รีบหายหัวไปตอนนี้เสีย อย่ามัวมายืนเซ่อ!”
คนของกองกำลังได้ยินก็รู้ว่าอีกฝ่ายพอมีภูมิหลังเช่นกัน ล่วงเกินสำนักบูรพาก็ยังไม่เกรงกลัว จึงพูดจาเกรงใจขึ้นพอสมควร ไม่กล้าตวาดเอ็ดตะโรแล้ว ยกมือประสานคำนับ “ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
วังจื๋อยืนเอามือไพล่หลัง กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ซีฉ่าง* วัง”
ซีฉ่างวัง? บุคคลที่นับได้ว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงมีคนแซ่ซีเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไร อีกทั้งนามยังพิลึกพิลั่นเช่นนั้น
เจ้าหน้าที่ของกองกำลังยังเอาแต่ครุ่นคิดอยู่นั่น สองคนที่นอนหมอบอยู่ที่พื้นกลับคล้ายจะนึกขึ้นได้แล้ว หน้าถอดสีทันที แม้แต่ฟันก็สั่นกระทบอย่างควบคุมไม่อยู่
วังจื๋อยังคงยืนวางท่า ถังฟั่นเห็นเขาอาละวาดก็แล้ว คนก็ด่าแล้ว โทสะเบาบางลงพอสมควร จึงอดกล่าวกับอีกฝ่ายไม่ได้ “แค่หอมปากหอมคอก็พอได้หรือไม่ ท่านอิ่มหมีพีมันแล้วไม่เป็นไร แต่ข้ายังหิ้วท้องจนไส้กิ่วอยู่เลย!”
เห็นเขาแสดงความอ่อนแอออกมา วังจื๋อก็เบะปาก “เจ้าบัณฑิตไร้ประโยชน์!”
ด้านคนของกองกำลังเองก็ได้สติคิดออกแล้ว พลันหน้าถอดสี เสียใจภายหลังอย่างสุดซึ้ง รู้อย่างนี้พวกเขาก็ไม่ออกหน้าเข้ามาสอดเรื่องนี้แล้ว สำนักบูรพากับสำนักประจิม นี่มันสุนัขกัดกัน…เอ่อ เทพเซียนตีรันฟันแทงกัน เกี่ยวอะไรกับกองทหารของพวกเขาด้วย!
อีกฝ่ายรีบกุลีกุจอเข้าไปฉีกยิ้ม ละล่ำละลักว่า “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ มิทราบว่าวังกงกงมา แต่วังกงกง ทั้งสองเป็นคนของสำนักบูรพา พวกเราเองก็ไร้ปัญญาล่วงเกิน มิสู้…”
วังจื๋อแค่นเสียงเย็นชา กล่าวกับคนของสำนักบูรพาสองคนนั้น “หากพวกเจ้าไม่พอใจ อยากจะกู้หน้าคืน ก็ให้ซั่งหมิงมาหาข้าด้วยตนเอง!”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ถังฟั่นจนใจเหลือแสน เขายังต้องไปเก็บกวาดเช็ดล้างให้วังจื๋อ หยิบเงินจำนวนหนึ่งชดเชยให้สองสามีภรรยาร้านเกี๊ยวน้ำ พร้อมปลอบโยนพวกเขาว่าไม่ต้องกลัว
หลังจากปลอบโยนสองสามีภรรยาร้านเกี๊ยวน้ำ เขาก็เดินออกจากฝูงชนแล้วพบว่าวังจื๋อกำลังยืนอยู่หน้าร้านเนื้อแพะย่างแผงลอยที่ห่างออกไปไม่ไกล มือข้างหนึ่งถือเนื้อแพะย่างกินอย่างเอร็ดอร่อย เห็นถังฟั่นเดินเข้าไปหาจึงยื่นเนื้อแพะย่างที่อยู่อีกมือหนึ่งให้เขาพลางพูดแขวะ “ขุนนางพลเรือนอย่างพวกเจ้าก็ดีแต่ตีฝีปาก ตำหนิด่าว่าชาวบ้านได้น้ำไหลไฟดับ พอมีเรื่องขึ้นมาจริงๆ กลับพึ่งไม่ได้!”
ถังฟั่นรับเนื้อแพะย่างไป เนื้อแพะโรยด้วยผักชีล้อมและงา ส่งกลิ่นหอมฉุยปะทะจมูก เขาจึงไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับวังจื๋อ ครู่เดียวก็กินเนื้อแพะจนหมดไม้ ก่อนจะยื่นมือไปหาเจ้าของร้าน “เอาอีกสองไม้!”
“ได้!” เจ้าของร้านคล่องแคล่วชำนาญ พลิกเนื้อแพะย่างที่ทาด้วยน้ำมันไปมา โรยด้วยเครื่องเทศกลิ่นหอมจนทั่ว เขาย่างเนื้อแพะจนเหลืองสวยชุ่มน้ำมัน กรอบนอกนุ่มใน จึงหยิบขึ้นมาให้ถังฟั่น
เนื้อแพะย่างสามไม้ตกถึงท้อง ในที่สุดใต้เท้าถังก็มีแรงพูดจาบ้างแล้ว “วังกงกง ท่านคือคนที่ทำการใหญ่ ข้ามิอาจเทียบเทียมได้ แต่หากท่านจะคลุกคลีกับข้าก็ขอได้โปรดเมตตาปรานี สงสารเห็นใจ ทำการใดก็สงวนท่าทีสักเล็กน้อย มิฉะนั้นพรุ่งนี้ฎีกาที่ร้องเรียนข้าได้กองเป็นภูเขาแน่!”
วาจาของเขานุ่มนวลทว่าหนักแน่น มิได้อกสั่นขวัญผวากับตำแหน่งและอำนาจของวังจื๋อจนไม่กล้าปริปาก อันที่จริงนี่ก็เป็นสาเหตุที่วังจื๋อกับเขามีความสัมพันธ์ไม่เลว แม้วังจื๋อจะลุแก่อำนาจ แต่สำหรับผู้ที่มีฝีมือเก่งกล้าและคนที่ต้องชะตา วังจื๋อก็ยอมอ่อนข้อให้บ้าง การยืนบนที่สูงนั้นหนาวเหน็บ หากไม่มีกระทั่งคนที่สามารถสนทนาคบหาด้วยได้ แล้วชีวิตจะยังมีรสชาติอันใด
ได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น วังจื๋อก็ไม่เห็นด้วย “กลัวอะไร ขอแค่ข้าชมเจ้าต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทสักคำสองคำ พวกขุนนางทัดทานจะว่าอะไรได้ ต่อให้ด่าทอจนทะลวงถึงสวรรค์เจ้าก็ไม่เป็นอะไร!”
ถังฟั่นส่ายหน้า ขุนนางฝ่ายพลเรือนนั้นต้องรักษาเกียรติยศชื่อเสียง ไหนเลยจะเป็นอย่างที่วังจื๋อกล่าวได้ แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งปัญหานี้กับวังจื๋อ เพียงบอกว่า “เวลาล่วงเลยมานาน ข้าควรกลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้เข้าวังค่อยรบกวนวังกงกงไปกับข้าอีกครั้งก็แล้วกัน!”
วังจื๋อถามสงสัย “อะไร จะกลับบ้านแล้วหรือ”
ถังฟั่นมึนงง “ไม่กลับบ้านแล้วจะทำอะไรได้อีก”
วังจื๋อเผยสีหน้าคล้ายจะอ่านได้ว่า ‘เลิกเสแสร้งได้แล้ว’ ออกมา ก่อนจะพูดว่า “ก็หอนางโลมโคมเขียวอย่างไรเล่า พวกเจ้าชอบไปที่นั่นตอนที่โคมไฟเพิ่งสว่างมากที่สุดมิใช่หรือ”
ถังฟั่นเหงื่อตก “ราชสำนักประกาศชัดเจน ขุนนางห้ามเที่ยวนางโลม”
วังจื๋อยิ้มเยาะ “ยังปั้นหน้าอีก กฎว่าเช่นนั้น แต่มีกี่คนที่ทำตามได้จริง คราวก่อนในสภาขุนนางมีใครสักคนเลี้ยงสุราข้า เรียกนางรำมารับใช้ หรือว่าเจ้าไม่ชอบนางรำ แต่ชอบชายบำเรอ”
เผชิญหน้ากับวังจื๋อที่ไร้เหตุผลและอัตตาสูง ถังฟั่นก็เหมือนน้ำท่วมปาก มารยาทที่อบรมบ่มเพาะมาดีเพียงไรก็ล้วนไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย ถังฟั่นหัวเราะมิได้ ร้องไห้มิออก “วังกงกงสนใจก็เชิญไปเถิด แต่ข้าต้องขอตัวแล้ว ราชโองการอยู่กับตัว ไหนเลยจะกล้าลำพอง วันนี้ข้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วจริงๆ ไหนจะสืบคดี ไหนจะตะลอนวิ่งเต้น ยังต้องมาชกต่อยกับท่าน มีอะไรสู้ว่ากันพรุ่งนี้เถอะ!”
วังจื๋อท้วง “ชกต่อยกับข้าอะไร เจ้ายืนอยู่เฉยๆ!”
“…ขอรับๆๆ ดูท่านชกต่อย”
วังจื๋อเห็นเขามีสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง จึงได้แต่ด่าเขาว่าไม่เอาไหน แล้วปล่อยเขากลับไป
กล่าวลาวังจื๋อแล้ว ในที่สุดถังฟั่นก็โล่งอก
เมื่อเขากลับถึงบ้านก็พบเงาร่างหนึ่งกระโดดโลดเต้นออกมาเปิดประตู
“พี่ใหญ่ กลับมาแล้วหรือ กินข้าวหรือยัง ข้าทำเนื้อตุ๋นอบเชยกับมะระยัดไส้ไว้ ท่านจะกินหรือไม่” อาตงร้องโหวกเหวกเป็นกระต่ายตื่นตูม “สวรรค์! ข้าไม่ได้กลับมาวันเดียว ท่านก็อิดโรยถึงเพียงนี้แล้ว คิดถึงข้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับถึงเพียงนั้นเลยหรือ!”
ได้ยินดังนั้นถังฟั่นจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาตงไปค้างคืนที่สกุลสุย กลางวันของวันนี้ก็น่าจะกลับมาแล้ว แต่เนื่องจากตนเข้าวังแต่เช้าเพราะคดีของตำหนักบูรพา จึงลืมเรื่องนี้เสียสนิท
หลังจากเขาออกจากวังแล้ว บะหมี่เกี๊ยวน้ำกับแป้งทอดที่จะกินในตอนแรกล้วนถูกวังจื๋อก่อกวนไม่เหลือชิ้นดี เนื้อแพะย่างก็กินไปเพียงสามไม้ พอแค่เรียกน้ำย่อยเท่านั้น ได้ยินว่ามีอาหารก็ซาบซึ้งตื้นตันจนน้ำตาแทบไหล จนอดลูบศีรษะของอาตงไม่ได้ “ในเรือนมีน้องสาว เสมือนมีสมบัติล้ำค่า!”
อาตงอารมณ์ดีจนหัวเราะร่า “รีบไปล้างมือเถอะ ได้เวลากินข้าวแล้ว! เอ๊ะ พี่ใหญ่สุยไม่กลับมากินหรือ”
ถังฟั่นล้างมือแล้วมานั่งลงที่โต๊ะพลางกล่าวตอบ “อืม เขาไปทำภารกิจนอกพื้นที่อีกแล้ว”
“จริงสิ วันนี้มีคนมาหลายคนเลย บอกว่าแซ่หาน มาขอพบท่าน ข้าบอกว่าท่านไม่อยู่ พวกเขาก็เลยกลับ ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “แซ่หานหรือ”
“ใช่ เขาบอกว่าชื่อหานฮุย มาตามบัญชาของพระอาจารย์น้อยหานผู้เป็นบิดา”
ถังฟั่นพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
เขามิได้ซักถามอีกและไม่ได้ดูจดหมายฉบับนั้น กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ดับเทียนเข้านอน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ถังฟั่นก็มุ่งหน้าไปยังประตูวังหลวง
เขาไปถึงค่อนข้างเช้า คิดไม่ถึงว่าวังจื๋อจะถึงก่อน อีกฝ่ายมีสีหน้าเคร่งขรึม เข้าวังแล้วก็เอาแต่ปั้นหน้าขึงขัง ปราศจากความเป็นกันเองของเมื่อค่ำวาน
ถังฟั่นเองก็ไร้อารมณ์จะสนทนาหยอกล้อ เขาเริ่มสอบปากคำจากตำหนักฉือชิ่งตามที่ตกลงกับวังจื๋อไว้เมื่อวาน จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ทุกสถานที่ที่หานเจ่าอาจไปมา ล้วนต้องตรวจสอบทั้งหมด
วุ่นวายอยู่ครึ่งวัน ผลที่ได้ค่อนข้างน้อย ทว่าถังฟั่นทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับรัชทายาท มิได้มุ่งตรงไปยังตำหนักประจิมโดยตรง เพื่อไม่ให้ผู้อื่นผิดสังเกต เวลานี้ก็นับว่าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
แต่สายตาของวังจื๋อเฉียบคมร้ายกาจ ทำให้เขาพบพิรุธ “ไฉนข้าจึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังเดินอ้อมหาคน”
ถังฟั่นไม่สะทกสะท้าน “หานเจ่าอายุยังน้อย นิสัยซุกซน วังหลวงกฎเกณฑ์เข้มงวด ไม่มีทางปล่อยให้เขาวิ่งเถลไถลไปทั่วก็จริง แต่เขาอยู่ในวังนานเข้า ทั้งเป็นพระสหายกับรัชทายาท เด็กน้อยเล่นซน จะเถลไถลไปทั่วก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ คนอื่นพะวงกับสถานะระหว่างเขากับรัชทายาทจึงไม่กล้าห้ามปราม สรุปก็คือคนที่ใกล้ชิดกับเขาล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย ข้าย่อมต้องสอบปากคำทุกคน”
วังจื๋อกล่าวติดรำคาญ “ที่เจ้าพูดมาข้าก็รู้ แต่คนจริงไม่อ้อมค้อม ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกัน ทางที่ดีมีเรื่องอะไรเจ้าก็อย่าปิดบังข้า มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้น ข้าก็คงแบกรับกับเจ้าไม่ไหว!”
ถังฟั่นรู้ว่าวังจื๋ออยากผูกไมตรีกับรัชทายาท ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ให้เขามาสืบคดี แต่อย่างไรเขากับวังจื๋อก็มิได้สนิทกันถึงขั้นเปิดอกกันทุกอย่าง อีกทั้งไม่รู้ว่าขีดจำกัดของวังจื๋ออยู่ที่ใด ยิ่งไม่รู้ว่าหลังจากรู้เรื่องนี้แล้วอีกฝ่ายจะถือโอกาสใช้ประโยชน์ นำเรื่องของอดีตพระอัครมเหสีไปประจบวั่นกุ้ยเฟยหรือไม่ หากวั่นกุ้ยเฟยโกรธเกรี้ยวอดีตพระอัครมเหสีด้วยเหตุนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับเขาตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้กับรัชทายาท
หลังถังฟั่นตรึกตรองแน่ชัดแล้วก็กล่าวเพียงว่า “วังกงกงวางใจในตัวข้าได้”
วังจื๋อมองถังฟั่นอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ามองอะไรออกหรือไม่ แต่เอาเป็นว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้ปริปากอะไรอีก
แม้ถังฟั่นจะแจงรายละเอียดไม่ได้ แต่ก็เผยความสัตย์จริงได้บางส่วน เพื่อมิให้เป็นการยั่วโทสะวังจื๋อจนอีกฝ่ายล้มกระดานแยกย้าย ซึ่งล้วนไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย เขาจึงกล่าวว่า “อันที่จริงเมื่อดูจากช่วงเวลาที่เกิดเหตุแล้ว การตายของหานเจ่าใช่ว่าจะเกี่ยวข้องกับในวังเสมอไป ข้าเพียงแค่สืบตามหลักปกติ ทางสกุลหานข้าก็ยังต้องไป”
วังจื๋อตาลุกเป็นประกาย “เจ้าหมายความว่าคนสกุลหานก็อาจเป็นฆาตกรได้อย่างนั้นหรือ”
ถังฟั่นมองตาเขาแล้วก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงย้ำกำชับ “แค่เป็นไปได้ ตั้งแต่ก่อนหานเจ่าออกจากบ้าน จนกระทั่งถึงตอนที่เสียชีวิต ผู้คนและเหตุการณ์ในช่วงสองชั่วยามนี้ ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น”
วังจื๋อไม่ใส่ใจ “พอเจ้าเอ่ยสะกิด ข้าก็นึกขึ้นได้ว่ามีความเป็นไปได้”
ถังฟั่นกำลังอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ของสกุลหาน จึงถือโอกาสถาม
“หานฟังไม่มีอนุ เขามีภรรยาคนเดียวคือหลินซื่อ ความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาไม่เลว แต่ไม่มีบุตร ฉะนั้นจึงรับบุตรชายบุญธรรมคนหนึ่งมาเลี้ยงดู ชื่อหานฮุย ใครจะรู้ว่าหลายปีผ่านไป หลินซื่อจะตั้งครรภ์ยามสูงวัย จนได้บุตรชายคนหนึ่งซึ่งก็คือหานเจ่า” วังจื๋อกล่าว
“นั่นก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ”
วังจื๋อหัวเราะพิลึก “สกุลหานเป็นขุนนางมาหลายชั่วอายุคน บิดาและพี่ชายของหานฟังล้วนเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชาวเจียงซี ทว่านับตั้งแต่รุ่นบิดาของหานฟังก็ย้ายมาลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงแล้ว บิดาของหานฟังนามว่าหานฉี่ มีบุตรชายทั้งสิ้นสามคน คนโตคือหานอวี้ คนรองคือหานฟัง คนที่สามตายไปตั้งแต่เด็ก บุตรทั้งสามล้วนเกิดจากโจวซื่อภรรยาของหานฉี่ แต่มีข่าวลือลับๆ ในสกุลหานมาตลอดว่ามารดาของหานฟังมิใช่โจวซื่อ แต่เป็นบุตรที่นางรับมาเลี้ยงจากสาวใช้ที่เสียชีวิตไป”
วังจื๋อเล่าต่อว่า “หานฉี่กับโจวซื่อรักบุตรชายคนโตมากกว่า ลำเอียงต่อบุตรชายคนรอง เข้มงวดแล้งน้ำใจกับหลินซื่อซึ่งเป็นสะใภ้คนรองมากเป็นพิเศษ นั่นจึงยิ่งหนุนให้ข่าวลือมีมูล แม้แต่หานฟังเองก็คิดเช่นนั้น สมัยยังสาวหลินซื่อถูกรังแกไม่น้อยเพราะมิอาจให้กำเนิดบุตรได้ อีกทั้งหานฟังก็ไม่ยอมมีอนุ โจวซื่อจึงบีบให้หานฟังรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมซึ่งก็คือหานฮุย”
ถังฟั่นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วตกลงหานฟังเป็นบุตรของโจวซื่อหรือไม่”
วังจื๋อชำเลืองเขาแวบหนึ่ง “จะใช่หรือไม่ก็ไร้ความเกี่ยวข้องกับคดี พอฝ่าบาททรงครองราชสมบัติ หานฟังในฐานะอาจารย์ของฝ่าบาทก็พลอยมีฐานะสูงศักดิ์ไปด้วย หลินซื่อเองก็ให้กำเนิดหานเจ่า จึงมิต้องกล้ำกลืนฝืนทนอีกและกล้ามีปากมีเสียงกับแม่สามี หลายปีมานี้นางกับพี่สะใภ้หวังซื่อไม่ลงรอยกันมาตลอด โจวซื่อนั้นเคยใช้เรื่องที่นางไม่มีบุตรเป็นข้ออ้าง หวังให้หานฟังหย่าขาดกับหลินซื่อแล้วแต่งกับเสี่ยวโจวซื่อผู้เป็นหลานสาวของตนเอง หานฟังไม่ยอมหย่าภรรยา เสี่ยวโจวซื่อก็ไม่ยอมเป็นอนุ เรื่องนี้จึงถูกพักไว้ แต่ตอนนี้เสี่ยวโจวซื่อเป็นม่าย และยังอาศัยอยู่ที่สกุลหาน”
ถังฟั่นเหมือนกำลังฟังนิทานเรื่องเล่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น หลินซื่อก็มีศัตรูไม่น้อยเลย”
ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็เดินมาถึงตำหนักประจิมแล้ว
ที่นี่คือตำหนักเย็นสมดังนาม กลางวันแสกๆ ก็ยังวิเวกวังเวง ร่องแผ่นหินใต้ฝ่าเท้าขึ้นรกด้วยหญ้า ไร้คนแผ้วถาง แสงแดดที่ส่องกระทบตำหนักอื่นสะท้อนให้อร่ามงามตา ทรงพลังมากบารมี แต่ที่แห่งนี้กลับมีบรรยากาศเย็นเยือกต่างออกไป
สนมบางส่วนของจักรพรรดิองค์ก่อนล้วนพำนักอยู่ในตำหนักใกล้กับพระพันปี ผู้ที่ถูกปลดและทอดทิ้งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านก็มีเพียงพระนางอู๋ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหาไม่ยาก พบตำหนักที่พระนางอู๋พำนักได้ทันที
หน้าประตูตำหนักประจิมมีขันทียืนเฝ้าสองคน ตอนที่ถังฟั่นกับวังจื๋อเดินไปถึง ขันทีที่ติดตามข้างกายวังจื๋อรับหน้าที่เดินเข้าไปแจงสถานะและจุดประสงค์การมาของพวกเขา ขันทีสองคนนั้นรี่เข้ามาทันที ประจบประแจงวังจื๋ออย่างตะกุกตะกัก ทั้งยังนำทางให้พวกเขาเองอย่างกระตือรือร้น กลับเป็นวังจื๋อที่หงุดหงิด โบกมือให้ขันทีข้างกายตกรางวัลให้สองคนนั้น แล้วไล่พวกเขาไป
เวลานี้เป็นช่วงกลางวัน พระนางอู๋ยกเก้าอี้มานั่งอาบแดดอยู่ด้านนอกในตำหนัก
ข้างกายมีนางกำนัลรับใช้เพียงคนเดียว กำลังวางหมอนอิงให้พระนางอู๋พิง
แม้จะถูกถอดออกจากฐานันดรศักดิ์ ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไร้คนดูแลความเป็นอยู่ ด้วยสถานะที่ตกต่ำลง นางกำนัลและขันทีส่วนหนึ่งที่เคยรับใช้ในตำหนักพระอัครมเหสีก็ตามมารับใช้พระนางต่อที่ตำหนักเย็นด้วย แน่นอนว่าชีวิตประจำวันย่อมไม่มีทางเหมือนเดิม ไม่มีบรรดาสนมที่แต่งองค์ทรงเครื่องงามหยาดเยิ้มมาถวายพระพรกับพระนางที่นี่ทุกวันแล้ว ยามนั้นผู้ที่ถูกระบุให้ไปรับใช้พระนางอู๋นึกว่าตนได้ดิบได้ดีแล้ว ใครจะคิดว่าพริบตาเดียว พระอัครมเหสีก็กลายเป็นผู้ถูกจองจำ พวกเขาเองก็พลอยต้องเคราะห์ร้ายไปด้วย
ยามตกต่ำพิสูจน์ใจคน หลายปีที่ผ่านมา บางคนหาทางใช้เส้นสายจากไปแล้ว บางคนยังอยู่รับใช้พระนาง ผ่านมาและจากไป ผู้คนเปลี่ยนผลัดหมุนเวียนเป็นเรื่องปกติ
ตำหนักเย็นที่ไม่มีคนแปลกหน้าย่างกรายเข้ามานาน เมื่อมีคนนอกปรากฏตัว นางกำนัลคนนั้นจึงชะงัก ท่าทีเต็มไปด้วยความประหลาดใจปนตกใจขณะมองพวกเขา
ถังฟั่นเดินเข้าไป ยกมือประสานคำนับพระนางอู๋ “กระหม่อมถังฟั่น รับราชโองการให้สืบคดีหานเจ่า มีเรื่องบางอย่างอยากทูลถามพระนางพ่ะย่ะค่ะ”
พระนางอู๋ไม่แม้แต่จะสนใจเขา เอาแต่เหม่อมองยังเบื้องหน้าที่ไกลออกไป
รัชทายาทเคยบอกว่าพระนางมีอาการสติฟั่นเฟือน เนื่องจากถูกปลดมานาน ถังฟั่นกับวังจื๋อไม่รู้ว่านางเสียสติจริงหรือแสร้งเลอะเลือน พวกเขาย่อมไม่อวดศักดาใส่สตรีคนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้แน่
ถังฟั่นเห็นสถานการณ์แล้วก็ไม่ได้ถอดใจ บอกเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ หนึ่งรอบ
ช่วงที่ได้ยินเรื่องการตายของหานเจ่า สีหน้าของพระนางอู๋ตะลึงไปเล็กน้อย ในที่สุดก็หันมองถังฟั่น
“หานเจ่าตายแล้วหรือ?!” นางกำนัลผู้นั้นอุทานด้วยความตะลึง
ถังฟั่นพยักหน้า เมื่อเขาเล่าว่าวั่นกุ้ยเฟยเสื่อมเสียเพราะเรื่องนี้ พระนางอู๋ก็หัวเราะ กล่าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ชั่วดีย่อมรับผลตามกรรม กรรมนั้นย่อมสนองแน่ ขึ้นอยู่กับเวลาช้าเร็วเท่านั้น!”
ถังฟั่นเอ่ยถาม “ได้ยินว่าก่อนหานเจ่าตายได้มาเล่นที่ตำหนักประจิม ขอพระนางทรงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดด้วย กระหม่อมจะได้ตามหาตัวฆาตกรได้ในเร็ววัน”
ทว่าพระนางอู๋ไม่สนใจเขาอีก เอาแต่พึมพำว่า ‘ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว’ ซ้ำๆ ถังฟั่นรู้สึกว่านางไม่ได้สติฟั่นเฟือน เพียงแต่ไม่อยากสนทนากับเขาเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้เขารู้ว่าความจริงแล้วนี่เป็นวิธีปกป้องตนเองอย่างไม่มีทางเลือกของพระนางอู๋ หากไม่ปล่อยข่าวว่าสติฟั่นเฟือน คาดว่าวั่นกุ้ยเฟยก็คงไม่ปล่อยนางไว้แน่
เวลานี้นางกำนัลคนนั้นเดินหน้าเข้ามากล่าวว่า “ใต้เท้าทั้งสอง ข้าน้อยรับใช้พระนางอู๋มาตลอด ไม่เคยห่างกายแม้เพียงครู่เดียว บัดนี้พระนางทรงเสียพระจริต ยากจะรับสั่งสนทนาด้วย ข้าขอตอบแทนพระนางได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน” ถังฟั่นตอบ
นางกำนัลมีสีหน้าเศร้าใจ “หลายวันก่อน มีเด็กคนหนึ่งหลงทางเข้ามาที่นี่จริง แต่ครู่เดียวก็ถูกพาตัวไปแล้ว ตอนนั้นข้ายังถามชื่อของเขา เขาบอกว่าชื่อหานเจ่า คิดไม่ถึงว่า…”
ถังฟั่นรู้ว่าหากรัชทายาทไหว้วานให้หานเจ่าใช้ข้ออ้างหลงทางมาเยี่ยมเยียนพระนางอู๋เป็นครั้งคราว เช่นนั้นนางกำนัลผู้นี้ก็ต้องรู้จักกับหานเจ่าอยู่แล้ว เพื่อมิให้การติดต่อระหว่างอดีตพระอัครมเหสีกับรัชทายาทเป็นที่เปิดเผย เวลานี้นางจึงโกหกหน้าตาย ถังฟั่นเองก็มิอาจเปิดโปงนางได้
ทว่าความโศกเศร้าที่สะท้อนอยู่บนหน้าของนางกำนัลผู้นี้ไม่เหมือนการเสแสร้ง
รัชทายาทอยู่ในสถานะพิเศษ ไม่อาจมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองได้ คนสนิทของเขาก็อยู่ภายใต้การจับตามองของวั่นกุ้ยเฟยตลอด มีเพียงไหว้วานคนนอกอย่างหานเจ่า จึงมีโอกาสมาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเป็นครั้งคราว ตำหนักเย็นโดดเดี่ยว สำหรับพระนางอู๋กับนางกำนัลผู้นี้ หานเจ่าย่อมเป็นแสงสว่างที่ปลอบประโลมจิตใจสำหรับพวกนาง
ถังฟั่นถาม “ข้าขอถามเจ้า ตอนที่หานเจ่าอยู่ที่นี่ นอกจากเจ้ากับพระนางอู๋แล้ว ได้พบเจอคนอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ”
“การตายของเขาค่อนข้างประหลาด คือตายเพราะถูกคนใช้เข็มหักท่อนฝังที่จุดสุ่ยเฟิน”
ตอนที่กล่าวประโยคนี้ สายตาของถังฟั่นจับสังเกตนางกำนัลคนนั้นสลับกับพระนางอู๋อยู่ตลอด กลับเห็นทั้งสองเผยสีหน้าตะลึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เหมือนเสแสร้ง
ถังฟั่นเองก็ตรวจสอบมาแล้ว พระนางอู๋ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ ส่วนนางกำนัลคนนี้เข้าวังในรัชศกเทียนซุ่นปีที่เจ็ด ชาติกำเนิดยากจนแร้นแค้น หนึ่งปีให้หลังก็ถูกจัดสรรให้รับใช้พระนางอู๋ ก่อนหน้านั้นไม่เคยไปที่สำนักหมอหลวง และไม่เคยไปมาหาสู่กับหมอหญิงคนใด
เขาถามอีกว่า “เจ้าลองนึกย้อนดูดีๆ ตอนที่หานเจ่าอยู่ที่นี่ ได้แสดงอาการผิดปกติทางร่างกายหรือไม่”
นางกำนัลนึกย้อนอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ตอนนั้นเหมือนเขาจะเอามือไปกุมท้องตลอด ข้าถามเขา เขาบอกว่ารู้สึกเจ็บๆ คันๆ เล็กน้อย ข้าแค่นึกว่าถูกแมลงกัด และไม่ได้คิดไปถึงเรื่องอื่น หากผิดสังเกตเร็วกว่านี้ ไม่แน่อาจยังพอช่วยชีวิตเขาไว้ได้!”
“ตอนที่เขากลับ ใครเป็นคนมารับเขา” ถังฟั่นถาม
“เป็นข้ารับใช้ประจำองค์รัชทายาท นามว่าหยวนเหลียงเจ้าค่ะ”
หยวนเหลียงนั้นถังฟั่นรู้จัก ก่อนหน้านี้ตอนอยู่กับรัชทายาทเขาได้ถามถึงผู้คนที่ปรากฏตัวตั้งแต่หานเจ่าเข้าวังจนถึงเสียชีวิตแล้ว
ตอนที่หานเจ่าเข้าวัง คนสกุลหานส่งหานเจ่าที่ประตูวัง จากนั้นก็มีขันทีนามว่าหยวนเหลียงพาไปที่ตำหนักบูรพา ระหว่างเดินเข้าวัง มีความเป็นไปได้ไม่สูงนักที่หยวนเหลียงจะมีโอกาสหาจุดลมปราณของหานเจ่าแล้วปองร้ายได้อย่างแม่นยำ หนำซ้ำตามที่รัชทายาทเล่า หยวนเหลียงติดตามเขาตั้งแต่ตอนที่ยังมิได้ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท มีความซื่อสัตย์ภักดีมากและไม่มีทางปองร้ายหานเจ่าอย่างไร้สาเหตุ
หานเจ่าออกจากตำหนักบูรพา ระหว่างทางที่มุ่งหน้ามาเยี่ยมพระนางอู๋ที่ตำหนักประจิมตามคำไหว้วานอย่างลับๆ ของรัชทายาทก็มีเพียงหยวนเหลียงที่อยู่ด้วยตลอดการไปกลับ โอกาสที่คนอื่นจะลงมือได้แทบไม่มี ยกเว้นเพียงตอนที่อยู่ในตำหนักประจิม หยวนเหลียงคอยช่วยดูต้นทางอยู่ด้านนอก ส่วนหานเจ่าอยู่กับพวกพระนางอู๋ตามลำพังระยะสั้นๆ เพื่อฝากคำทักทายและไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ
เดิมทีด้วยสถานะของอดีตพระอัครมเหสี พระนางอู๋มีแรงจูงใจและคุณสมบัติที่เพียงพอในการวางแผนก่อคดีแล้วป้ายสีให้วั่นกุ้ยเฟย ถังฟั่นเองก็นึกถึงความเป็นไปได้นี้ จึงยืนกรานจะไปสืบสวนที่ตำหนักประจิม บางครั้งลำพังการสอบถามก็สืบเบาะแสมิได้ การสอบปากคำซึ่งหน้า การเปลี่ยนแปลงอากัปกิริยาและสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย จึงเป็นหลักฐานสนับสนุนได้เป็นอย่างดี
ทว่าดูจากสีหน้าท่าทางเวลานี้ก็ตัดความต้องสงสัยของพระนางอู๋ออกไปแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ผู้ที่สังหารหานเจ่ามีความเป็นไปได้ที่จะมิใช่คนในวัง
ออกจากตำหนักประจิมแล้วถังฟั่นก็เอาแต่เรียบเรียงความคิดในหัว จัดเรียงเรื่องราวของหานเจ่าในวังอีกรอบ สันนิษฐานที่มาที่ไปของฆาตกร จึงจะสืบสวนขั้นต่อไปได้
วังจื๋อนิ่งเงียบผิดแผกไปจากยามปกติตั้งแต่อยู่ในตำหนักประจิมเมื่อครู่ ตอนที่ถังฟั่นสนทนากับพวกพระนางอู๋ เขาเองก็ยืนมองเฉยๆ อยู่อีกทาง เวลานี้กลับหัวเราะมีเลศนัย “ถังรุ่นชิง เจ้ากับอดีตพระอัครมเหสีเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เสแสร้งได้ดีจริงๆ!”
ถังฟั่นเอ่ย “วังกงกงพูดอะไร ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”
วังจื๋อแค่นหัวเราะเย็นชา “ยังมาตีหน้าซื่อกับข้าอีก พระนางอู๋กับรัชทายาทติดต่อกันตลอด! ให้ข้าเดาดู หานเจ่าก็คือคนกลางระหว่างพวกเขาใช่หรือไม่ คนของตำหนักบูรพาจงรักภักดีจริงๆ ถึงปิดบังได้อย่างแนบเนียน แม้แต่ข้าก็ยังถูกตบตา เจ้าว่าถ้ากุ้ยเฟยทรงทราบเรื่องจะเป็นอย่างไร”
ถังฟั่นถอนใจเฮือกหนึ่ง “วังกงกง ทำการใดอย่าปิดทางให้หมดช่อง จะได้ไม่สิ้นทางสมาคมในภายหน้า”
วังจื๋อมิได้สนใจเขา กล่าวต่อไปว่า “เนื่องจากพระนางอู๋ถูกถอดถอน ในใจเคียดแค้น อย่างไรนางก็เป็นอดีตพระอัครมเหสี บ่าวรับใช้ใกล้ตัวยังคงมีคนยอมรับใช้ตามบัญชาก็ไม่แปลก เพราะฉะนั้นจึงวางอุบายฉวยโอกาสที่กุ้ยเฟยประทานถั่วเขียวต้มไป่เหอ หลอกล่อให้หานเจ่าที่ซุกซนออกจากตำหนักบูรพาไปที่ตำหนักประจิม ก่อนจะสังหารหานเจ่า อาศัยเหตุนี้ใส่ร้ายกุ้ยเฟย หากไขคดีเช่นนี้ ปัญหาของฝ่าบาทก็คลี่คลายแล้ว กุ้ยเฟยก็พ้นจากข้อกล่าวหา และเกี่ยวโยงไปไม่ถึงรัชทายาท จบด้วยดีกันถ้วนหน้า รายงานไปเช่นนี้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
ถังฟั่นกลัวว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริงๆ จึงรีบละล่ำละลักพูดว่า “ถึงเวลากุ้ยเฟยย่อมไม่มีทางพอพระทัยเพียงประหารอดีตพระอัครมเหสี หากแต่จะถือโอกาสโหมคลื่นล้างกำจัดผู้ที่รกพระเนตรพระกรรณในฝ่ายในให้สิ้นซาก รัชทายาทก็ต้องถูกโยงเข้าไปด้วยแน่ ไยวังกงกงจึงต้องทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ด้วยเล่า ทั้งๆ ที่อดีตพระอัครมเหสีก็ไร้ความเกี่ยวข้องกับคดีนี้แท้ๆ”
วังจื๋อส่งเสียงฮึเย็นชา “ในเมื่อเจ้ารู้จักกลัวก็อย่าคิดโกหกปิดบัง เล่าเรื่องที่รัชทายาทกับพระนางอู๋ติดต่อกันมาให้ละเอียด!”
ผู้ที่สามารถกุมอำนาจอยู่ที่สูงล้วนมีแต่ผู้ที่ปัญญาเฉียบแหลม แม้กระทั่งสภาขุนนางที่คล้ายจะไม่เอาไหนก็ล้วนฉลาดกันเป็นกรด ถังฟั่นย่อมไม่ประมาทพวกเขาเพียงเพราะพวกเขามิได้ลงมือทำการทำงาน
แต่เขาพบว่าตนเองยังคงประเมินผู้บัญชาการสำนักประจิมคนนี้ต่ำเกินไป ไหวพริบของอีกฝ่ายเฉียบคมไม่เป็นรองใครจริงๆ ถังฟั่นคิดว่าตอนที่ตนสนทนากับอดีตพระอัครมเหสีและนางกำนัลคนนั้นได้ระวังตัวอย่างถึงที่สุดและมิได้เผยพิรุธน่าสงสัยใดๆ แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่ายังคงให้วังจื๋อจับผิดได้
เรื่องถึงตอนนี้ ถังฟั่นย่อมมิอาจปิดบังวังจื๋อต่อไป เขาเล่าเรื่องที่รัชทายาทเคยได้อดีตพระอัครมเหสีช่วยเหลือยามตกยาก ก่อนจะกล่าวว่า “รัชทายาททรงมีความกตัญญู แม้พระนางอู๋จะมิใช่พระมารดา แต่กลับทรงจดจำบุญคุณน้ำใจนั้นได้ แม้ได้เป็นรัชทายาทแล้วก็ยังมิลืม ความแค้นจดจำไม่ยาก ที่ยากคือจดจำบุญคุณ ผู้ที่ไม่ลืมบุญคุณน้ำใจที่ผู้อื่นมีให้ตน ภายภาคหน้าย่อมมิเปลี่ยนไปเป็นคนโฉดชั่วอำมหิตแน่นอน หากได้รับการชี้แนะในทางที่ถูก รัชทายาทจะต้องเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาได้แน่นอน แม้วังกงกงจะได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทและกุ้ยเฟย แต่คนเราต้องคำนึงถึงอนาคต อยู่ใต้อาณัติรัชทายาทผู้มีน้ำพระทัยงดงาม ย่อมดีกว่าอยู่ใต้ผู้สืบบัลลังก์ที่ใจคอคับแคบ นิสัยเหี้ยมโหด ใช่หรือไม่”
วังจื๋อส่งเสียงฮึ “เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก ในเมื่อข้ามีเจตนาจะผูกไมตรีก็ย่อมไม่พลิกลิ้น! หากไม่ขู่เจ้าเสียหน่อย เจ้าจะรู้จักกลัวจนบอกความจริงกับข้าหรือ”
ถังฟั่นโอดครวญในใจว่าตนจะหัวใจวายเพราะอีกฝ่ายอยู่แล้ว หากวังจื๋อนำเรื่องนี้ไปรายงานวั่นกุ้ยเฟย พระนางอู๋ก็คงถึงฆาต รัชทายาทเองก็ต้องติดร่างแห ส่วนตัวเล็กตัวน้อยอย่างเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ต่อหน้าวังจื๋อ เขายังคงยิ้มขื่นก่อนเอ่ยว่า “วังกงกงโปรดเข้าใจด้วย เรื่องนี้รัชทายาททรงให้ข้าเก็บเป็นความลับ และอย่างไรเสียยิ่งคนรู้น้อยก็ยิ่งไม่มีความเสี่ยงที่เรื่องจะถูกแพร่งพรายออกไป”
วังจื๋อหรี่ตาจับจ้องเขา “ในเมื่อจะร่วมมือกันก็ต้องให้ความสำคัญกับความจริงใจ ข้าจะบอกเจ้าว่าทางรัชทายาทนั้นข้าไม่ตลบหลังแน่ สำหรับพระนางอู๋ ข้าก็ละเว้นนางได้ แต่หลังจากนี้เจ้ากับรัชทายาทติดต่อสมาคมอะไรกัน ข้าต้องรู้เรื่อง!”
ถังฟั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นธรรมดา วังกงกงเปิดเผยจริงใจ ข้าก็ยินดีตรงไปตรงมา”
วังจื๋อมองเขาอยู่อึดใจใหญ่จึงเอ่ยถาม “เช่นนั้น คดีนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระนางอู๋จริงหรือ”
ถังฟั่นบอกผลสรุปที่เขาวิเคราะห์พระนางอู๋เมื่อครู่ จากนั้นก็ย้ำว่า “ไม่เกี่ยวกับนางจริงๆ บางทีอาจต้องเปลี่ยนทิศทางการสืบสวน โดยเริ่มสืบจากทางสกุลหาน”
“สาเหตุการตายของหานเจ่า แน่ใจแล้วหรือว่าเกิดจากจุดสุ่ยเฟินถูกกระทบกระเทือน” วังจื๋อถาม
“แน่ใจ”
“ทางสกุลหานได้ข่าวแล้วก็ไปกราบทูลฝ่าบาท อยากนำศพของหานเจ่ากลับไปทำพิธีฝัง เจ้าก็รู้ หานฟังเคยเป็นอาจารย์ของฝ่าบาท ฝ่าบาทก็ทรงเป็นคนพระทัยอ่อน ทานการวิงวอนขอร้องของพวกเขามิได้ จึงทรงอนุญาตแล้ว หากการตายของหานเจ่าเกี่ยวข้องกับคนในสกุลหาน พวกเราก็พายเรือตามน้ำ ไม่แน่ฆาตกรอาจทนไม่ไหวจนทำอะไรบางอย่างกับศพของหานเจ่า ถึงตอนนั้นเราก็ปิดประตูตีแมว เป็นอย่างไร”
ถังฟั่นตอบในใจว่า ‘ก็ไม่อย่างไร’ แต่เวลานี้เขากับวังจื๋อเพิ่งจะสงบศึกทำข้อตกลงร่วมมือกัน ห้ามยั่วยุให้อีกฝ่ายเกิดโทสะเด็ดขาด มิฉะนั้นเกิดอีกฝ่ายเปลี่ยนความอายเป็นความโกรธ เลือดขึ้นหน้าขึ้นมา วิ่งไปรายงานกับวั่นกุ้ยเฟยจริงๆ ก็แย่แล้ว ฉะนั้นใต้เท้าถังจึงรีบชูนิ้วโป้ง ประจบออกไปตามสถานการณ์ แสดงตนว่าเห็นดีเห็นงาม “เยี่ยม! ยอดเยี่ยมไปเลย! สมเป็นวังกงกงจริงๆ!”
วังจื๋อหัวเราะเสียงเย็นชา “จอมปลอม! ไม่แนบเนียน!”
ถังฟั่นสะอึกอึ้ง
วังจื๋อมองเขาด้วยหางตา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนอื่นๆ ที่ประจบสอพลอข้านั้น พวกเขาทำกันอย่างไร”
ใต้เท้าถังถ่อมตัวรับฟัง “ข้ารอฟังอยู่”
วังจื๋อเอามือไพล่หลังกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ปีที่แล้วข้ารับราชโองการให้ออกจากเมืองหลวงไปทำภารกิจ ทางการท้องที่นำคนมาต้อนรับ เจ้าหน้าที่อำเภอแห่งนั้นเห็นข้าเดินทางมาไกล รองเท้าเปื้อนฝุ่น และเนื่องจากตอนที่พวกเขามารอรับเตรียมไว้เฉพาะสุรากับแกล้ม ไม่มีอย่างอื่น จึงให้ข้านั่งลงก่อน จากนั้นก็ถอดรองเท้าให้ข้าด้วยตนเอง ก่อนจะก้มลงไปเลียฝุ่นบนรองเท้าหุ้มข้อของข้าจนสะอาดแล้วก็สวมคืนให้ข้า ถังรุ่นชิง เจ้าทำได้เช่นเขาสักส่วนหรือไม่”
ด้วยความโปรดปรานจากจักรพรรดิและอำนาจของวังจื๋อ ขุนนางท้องถิ่นลดตัวประจบเอาใจเขาทุกวิถีทาง แม้จะฟังแล้วน่าตกใจ ทว่าหากกอดขาวังจื๋อได้ด้วยการทำเช่นนั้นก็นับว่าคุ้มค่า
ท่าทีตอบสนองของใต้เท้าถังค่อนข้างช้า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงร้องขึ้นว่า “น้ำลาย!”
วังจื๋ออึ้ง
ถังฟั่นแสดงท่าทางสะอิดสะเอียน “รองเท้าหุ้มข้อเปื้อนน้ำลาย ตอนนั้นวังกงกงก็สวมมันไปตลอดทางเลยหรือ ถึงหนังวัวจะหนา แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นโรคติดต่ออะไรล่ะก็…น้ำลายปนเสมหะเหลืองๆ ติดอยู่บนรองเท้าโดยที่มองไม่เห็นเพราะว่ารองเท้าเป็นสีดำ…”
เขาวิเคราะห์ด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง ประเด็นหลักถูกเบี่ยงออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว
วังจื๋ออดตวาดมิได้ “ถังรุ่นชิง! ในหัวของเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่!”
ใต้เท้าถังตอบอีกฝ่ายด้วยการกะพริบตา ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เดิมทีวังจื๋อตั้งใจอวดโอ้เป็นคุ้งแควว่าผู้อื่นประจบประแจงตน พร้อมถือโอกาสสะกิดเตือนถังฟั่น ปรากฏว่าอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุไปด้วย
“พูดกับเจ้าแล้วเปลืองน้ำลายยิ่งนัก!” วังจื๋อกล่าวอย่างเดือดดาล สะบัดแขนเสื้อผละไป ทิ้งถังฟั่นไว้ด้านหลัง และไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเดินตามทันหรือไม่
ใต้เท้าถังร้องบอกอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน “โธ่เอ๊ย วังกงกงอย่าเดินเร็วนักสิ ข้าตามไม่ทันหรอกนะ!”
คดีที่เกิดขึ้นที่ตำหนักบูรพานี้มีความร้ายแรงใหญ่หลวง พัวพันหลายฝ่าย ทุกความเคลื่อนไหวล้วนมีคนคอยจับตา กระทั่งโอรสสวรรค์ก็ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษ แม้ถังฟั่นจะรับราชโองการ แต่อย่างไรตำแหน่งของเขาก็เพียงเท่านั้น ใช่ว่าอยากพบจักรพรรดิก็จะได้พบเสมอไป ในเวลาเช่นนี้วังจื๋อจึงมีความสำคัญ
แม้เขาจะมิใช่ผู้สืบคดีหลัก แต่วาจากลับมีน้ำหนักทั้งกับจักรพรรดิและวั่นกุ้ยเฟย ทั้งยังขอเข้าเฝ้าได้ทุกเมื่อ เท่ากับเป็นคนส่งสารระหว่างจักรพรรดิและถังฟั่น ทุกระยะที่คดีดำเนินไปถึงขั้นหนึ่ง มีความคืบหน้าอะไร วังจื๋อล้วนต้องรายงานกับเบื้องบนทุกเรื่อง
การสืบสวนขั้นต้นในเวลานี้พอจะสันนิษฐานได้ว่าอาจพัวพันกับวังหลวงไม่มาก ทุกคนจึงพากันโล่งอก จักรพรรดิเองก็พอใจกับผลการสืบสวนเช่นนี้มาก ทั้งมิได้พัวพันถึงหญิงที่ตนรักและไม่ต้องกระพือคลื่นพายุในวังหลวง แม้จะผิดต่ออาจารย์ของตนเองอยู่บ้าง ทว่าเช่นนี้คือบทสรุปที่ดีที่สุดแล้ว
จักรพรรดิตอบตกลงกับคำขอของสกุลหานอย่างรวดเร็ว ให้วังจื๋อยกศพของหานเจ่าให้พวกเขานำกลับไป ด้านรัชทายาทก็มีถังฟั่นไปรายงานผล หลังจากได้ยินว่าไร้ความเกี่ยวข้องกับพระนางอู๋ รัชทายาทก็ดีใจมาก กล่าวขอบคุณถังฟั่นด้วยตนเอง
ถังฟั่นยิ้มเจื่อน “พระองค์ยังมิต้องทรงรีบร้อนขอบคุณ คดีดำเนินมาถึงตอนนี้ ฆาตกรยังคงไม่เผยพิรุธ อีกทั้งจุดน่าสงสัยก็ยังมีอีกมากมาย ความจริงทุกอย่างยังไม่กระจ่าง กระหม่อมกล่าวได้เพียงว่าอาจไม่เกี่ยวข้องกับในวัง แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่าไม่เกี่ยวข้องเลย”
รัชทายาทผุดรอยยิ้มขัดเขิน “ข้ารู้ เรื่องนี้ใต้เท้าถังเองก็รับแรงกดดันไม่น้อย หากหาตัวฆาตกรที่สังหารเสี่ยวเจ่าได้จริง ข้าย่อมขอบคุณใต้เท้าถังแน่นอน!”
แม้เขายังอายุน้อย มุมมองความคิดกลับทะลุปรุโปร่งเกินวัย
ว่ากันว่าเด็กในสกุลยากจนเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัย รัชทายาทย่อมมิใช่เด็กในสกุลยากจน ทว่าวัยเด็กเขาประสบเภทภัยอุปสรรคหลายต่อหลายครั้ง รอดจากความตาย ชีวิตยากลำบากยิ่งกว่าเด็กสกุลยากจนเสียอีก ในอดีตบุตรชายของไป่เสียนเฟย* ก็เคยได้รับสถาปนาเป็นรัชทายาท ไม่ถึงสองปีก็เสียชีวิตอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างรู้ว่าฆาตกรน่าจะเป็นใคร แต่ล้วนมิกล้าปริปาก เพราะฉะนั้นบัดนี้แม้จูโย่วเชิงจะถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทว่าสถานะของเขาในวังหลวงยังคงไม่มั่นคง ทุกย่างก้าวดุจเดินอยู่บนน้ำแข็งบาง
“จะว่าไปแล้ว วังกงกงรับราชโองการสืบคดีนี้ก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจวิ่งวุ่นไม่ด้อยกว่ากระหม่อมเลย เกิดเรื่องหานเจ่าหนนี้ กุ้ยเฟยทรงสงสัยตำหนักบูรพา โชคดีที่ได้วังกงกงแก้ต่างให้ต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยอย่างเต็มที่!” ถังฟั่นกล่าว
วังจื๋อทุ่มเทกายใจเพื่อจุดประสงค์ใดน่ะหรือ…ก็เพื่อให้รัชทายาทประทับใจในตัวเขาอย่างไรเล่า
เมื่อเป็นเช่นนั้น ถังฟั่นย่อมยินดีถือโอกาสช่วยซื้อน้ำใจต่อหน้ารัชทายาท
วังจื๋อคิดไม่ถึงว่าถังฟั่นจะมีน้ำใจเช่นนี้ ในใจปีติยินดี รีบกระวีกระวาดโค้งคำนับรัชทายาท “กระหม่อมมิกล้าอวดอ้างว่าเหน็ดเหนื่อย เพียงแค่อยากส่งผู้ตายสู่สุคติ สืบสวนให้ความจริงปรากฏ ให้ฝ่าบาทและรัชทายาทต่างวางพระทัยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
โดยทั่วไปแล้ว ขันทีและนางกำนัลต้องแทนตนเองว่าบ่าว ทว่าตำแหน่งของวังจื๋อและซั่งหมิงมิได้อยู่ในสถานะข้าหลวงต่ำต้อยที่ใครจะเรียกใช้ตามสะดวกได้ แม้แต่จักรพรรดิก็ยังต้องเรียกพวกเขาว่าเน่ยเฉิน พวกเขาเองก็ย่อมแทนตนเองว่ากระหม่อมเฉกเช่นเดียวกับบรรดาขุนนางในราชสำนัก
รัชทายาทรู้ว่าวังจื๋อเป็นคนของวั่นกุ้ยเฟย เรื่องที่วั่นกุ้ยเฟยชิงชังเขา เขาเองก็รู้
เกิดเรื่องกับหานเจ่า คนมากมายล้วนคิดว่าเป็นฝีมือของวั่นกุ้ยเฟย ส่วนวั่นกุ้ยเฟยก็สงสัยว่ารัชทายาทจงใจใส่ร้ายนาง เวลานี้หากวังจื๋อช่วยอธิบายต่อหน้าวั่นกุ้ยเฟยสักหน่อย ให้นางคลายความสงสัยในตัวรัชทายาท นับว่าเป็นหนี้น้ำใจครั้งใหญ่แล้ว
รัชทายาทตะลึงปนแปลกใจ รีบละล่ำละลักตอบ “วังเน่ยเฉินถ่อมตัวแล้ว ท่านเคร่งครัดในหน้าที่ ข้าเองก็ได้ยินเสด็จพ่อรับสั่งถึงบ่อยๆ คดีนี้ยังต้องรบกวนพึ่งท่านแล้ว!”
วังจื๋อกล่าวอย่างหนักแน่น “รัชทายาททรงไหว้วาน ไหนเลยจะกล้าหละหลวม กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ!”
หลังออกจากตำหนักบูรพา รอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้าของวังจื๋อ “ไม่เลวนี่ รุ่นชิง ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ มีสัจจะ!”
ดูสิ ตอนที่โกรธเกรี้ยวก่อนหน้านี้ยังเรียกชื่อแซ่เต็มยศด้วยน้ำเสียงคุกคาม ตอนนี้กลับเรียกเพียงชื่อรองอย่างสนิทสนมเสียแล้ว วังจื๋อเปลี่ยนสีหน้าไวยิ่งกว่าพลิกหน้าตำรา
ถังฟั่นหยอกล้ออย่างมีนัย “วังกงกง ท่านมองบนฟ้าสิ เมื่อครู่ยังอึมครึมด้วยเมฆ ไฉนยามนี้ฟ้าจึงโปร่งแล้ว ช่างสมเป็นฟ้าเดือนหก บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทันที!”
วังจื๋อหัวเราะ เรียวนิ้วชี้ไปที่เขา “ข้าใจกว้าง ไม่ถือสาเจ้า เจ้าลองไปพูดแบบเดียวกันกับซั่งหมิงดู รับรองว่าเขาต้องผูกใจเจ็บ กลั่นแกล้งจนเจ้าต้องร้องขอชีวิตแน่!”
“เพราะอย่างนี้ข้าถึงได้เข้ากับวังกงกง ไม่ได้สมาคมกับซั่งหมิงอย่างไรเล่า นี่เรียกว่าคนแยกกันตามพวก!”
วังจื๋อแทบจนปัญญากับเขา มีคนหาวิธีชมตนเองเช่นนี้ด้วยหรือ
หากบอกว่าถังฟั่นพูดจาไม่ใช้หัวคิด แต่วาจาของอีกฝ่ายก็ล้วนมีนัยลึกซึ้ง ทั้งยังมีอารมณ์ขัน มองแล้วคล้ายจะล่วงเกิน แต่ไม่ได้ล่วงเกินจริง บางครั้งแม้วังจื๋อจะกำลังทั้งโกรธทั้งเคือง แต่ถังฟั่นก็ยังอดพูดจายั่วยุเขาไม่ได้ คนอื่นล้วนไม่เข้าตาเขา เขาจึงชอบที่จะลับฝีปากแต่กับถังฟั่น
ในยามปกติที่เขาคบค้าสมาคมกับคนอื่น หากไม่รอบคอบถี่ถ้วนก็ต้องคอยระวังอุบายปองร้าย หรือไม่ตัวเขาก็ต้องเป็นฝ่ายใช้เล่ห์กล การได้ลับฝีปากกับถังฟั่นเป็นบางครั้งจึงทำให้จิตใจผ่อนคลาย นับว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง
ทั้งสองมิได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ออกจากวังหลวงแล้วก็มุ่งหน้าไปจวนสกุลหานทันที
หลังจากได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิแล้ว คนสกุลหานก็นำศพของหานเจ่ากลับจากสำนักประจิมและกำลังเตรียมจัดงานศพให้เขา
ด้วยตำแหน่งของวังจื๋อ ทั้งยังมีราชโองการ ใครก็ไม่กล้าไม่ให้เกียรติ หานฉี่พาครอบครัวเปิดประตูใหญ่ออกมาต้อนรับ แต่หานฟังกับหลินซื่อที่เป็นบิดามารดาของหานเจ่าต่างไม่สะดวกมา หานฮุยซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของหานฟังจึงมาเป็นตัวแทน
หานฮุยอายุยี่สิบปีพอดี สิบกว่าปีก่อน สมัยที่หลินซื่อแต่งเข้าสกุลหานมาได้ไม่กี่ปี เนื่องจากไม่มีบุตร อีกทั้งหานฟังก็ไม่ยอมหย่าขาดกับภรรยาหรือมีอนุ โจวซื่อจึงให้หานฟังและหลินซื่อรับหานฮุยที่เป็นคนร่วมสกุลเป็นบุตรบุญธรรม
หานฉี่กล่าวขอบคุณพวกวังจื๋ออย่างระมัดระวังพลางอธิบายด้วยรอยยิ้มขื่น “หลังจากลูกชายและลูกสะใภ้ของข้าได้รับข่าวของอาเจ่าก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนักจนล้มหมอนนอนเสื่อ เมื่อวานหลังจากศพของหานเจ่าถูกนำกลับมา หลินซื่อก็ฝืนลุกขึ้น ยืนกรานจะนอนเฝ้าศพโดยไม่ฟังคำทัดทาน ปรากฏว่าเช้าวันนี้ก็ล้มป่วยอีกครั้ง วังกงกงกับใต้เท้าถังโปรดนั่งรอสักครู่ ข้าจะไปพาพวกเขามาพบพวกท่านให้ได้”
เวลานี้บุตรชายคนโตหานอวี้เป็นขุนนางต่างถิ่น หานฉี่อายุหกสิบกว่าปีแล้ว แต่เส้นทางขุนนางมิสู้บุตรชายทั้งสอง ก่อนหน้านี้เป็นเพียงขุนนางจัดการเล็กๆ ของหกกรมเท่านั้น เมื่อเห็นว่าแก่ชราแล้ว ไร้ความหวังเรื่องเลื่อนขั้น จึงลาออกมาพักผ่อนในบั้นปลาย
แม้บุตรชายสองคนล้วนเป็นขุนนาง อีกทั้งบุตรชายคนรองยังเคยเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิ แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต อย่าว่าแต่เป็นอาจารย์เลย ต่อให้ยามนี้บุตรชายเป็นเสนาบดีกรม หานฉี่ก็มิกล้าล่วงเกินผิดใจกับวังจื๋อ
วังจื๋อโบกมือ “มิต้องแล้ว สืบคดีเป็นสำคัญ หากจำเป็นพวกเราจะไปสอบปากคำด้วยตนเอง ขอให้พวกเขาทั้งสองโปรดทำใจ พวกเรามาหนนี้ก็เพื่อร่วมงานศพ จึงถือโอกาสขอเดินดูในจวนเสียหน่อย รบกวนหาคนมานำทางให้สักคนและช่วยบอกกล่าวสตรีในเรือนด้วย จะได้มิต้องตระหนกตกใจ”
แม้เขาอายุยังน้อย ทว่ากลับน่าเกรงขาม ชุดกิเลนหรูหราสวมอยู่บนร่าง ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเฉียบขาดไม่เว้นช่องให้ต่อรอง ความงดงามพลันแปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน เมื่ออยู่ต่อหน้ากงกงที่กุมอำนาจใหญ่ผู้นี้ คนสกุลหานไม่กล้าหายใจแรงๆ เสียด้วยซ้ำ
เทียบกันแล้วถังฟั่นเป็นเพียงตัวประกอบที่นั่งอยู่เท่านั้น
ทว่าถังฟั่นย่อมไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ตรงกันข้ามยังเสพสุขกับความว่าง กล่าวเสริมขึ้นเป็นบางครั้ง เวลาส่วนใหญ่ก็มองวังจื๋อสนทนากับคนสกุลหาน
วาจาของวังจื๋อ คนสกุลหานย่อมรีบละล่ำละลักรับปากอย่างนบนอบ จากนั้นจึงให้หานฮุยออกมา และกำชับคนสกุลหานว่าต้องให้ความร่วมมือ ห้ามขัดแย้งกับวังจื๋อและถังฟั่น
วังจื๋อคร้านจะทักทายกับหานฉี่ให้มากความ หานฉี่เองก็เกร็งเมื่ออยู่ต่อหน้ากงกงผู้นี้ มีหานฮุยออกหน้า หานฉี่จึงใช้เป็นข้ออ้างปลีกตัว จะได้ไม่อึดอัดกันทั้งสองฝ่าย
หานเจ่าฐานะต่างจากเจิ้งเฉิง ไม่เหมาะที่จะจัดงานศพใหญ่โต นอกจากหานฮุยกับบ่าวรับใช้ของเรือนรองที่มีสีหน้าเศร้าหมอง การตายของเขามิได้มีผลกับพวกหานฉี่และโจวซื่อ เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรือนรองกับบิดามารดาและพี่ชายคนโตล้วนห่างเหิน
เขาเอ่ยถามพวกถังฟั่น “ใต้เท้าทั้งสองอยากเริ่มดูจากที่ใด ข้าล้วนนำทางให้ได้”
หานฮุยเป็นเด็กหนุ่มที่สุภาพสง่างาม รูปร่างไม่สูง กิริยาวาจาล้วนนุ่มนวลมีมารยาท หลังจากเขาได้รับข่าวว่าน้องชายเสียชีวิตก็รีบลากลับจากสำนักการศึกษา ยามนี้หานฟังกับหลินซื่อต่างมิอาจทำการใดได้ กิจธุระทั้งในและนอกจึงมีเขาเป็นคนจัดการท่ามกลางการช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้ ผ่านไปเพียงหนึ่งวันก็สีหน้าอิดโรย ดวงตาแดงก่ำ
“หานเจ่าเป็นหลานคนเล็กของสกุลหาน ควรเป็นแก้วตาดวงใจ เหตุใดข้าเห็นปู่ย่ากลับฉายแววโศกเศร้าเบาบาง” ถังฟั่นถาม
หานฮุยยิ้มขื่น “บุตรหลานไม่วิจารณ์ความผิดผู้อาวุโส เรื่องนี้เดิมทีข้าไม่ควรพูด แต่ในเมื่อใต้เท้าถาม ข้าเองก็ต้องรายงานตามจริง ท่านปู่กับท่านย่าไม่ชอบมารดาข้า จึงพลอยเย็นชากับเสี่ยวเจ่าด้วย เทียบกันแล้วพวกเขาเอ็นดูลูกพี่ลูกน้องที่เกิดจากท่านลุงของข้ามากกว่า”
ถังฟั่นถาม “ความสัมพันธ์ระหว่างปู่ย่ากับบิดาของเจ้าเป็นเช่นไร”
หานฮุยลังเล “เท่าที่ข้าสังเกต เหมือนจะเฉยชาเช่นกันขอรับ”
“เช้าวันที่หานเจ่าออกจากเรือนเพื่อเข้าวัง ใครรับผิดชอบไปส่ง”
หานฮุยกล่าวอย่างเสียใจภายหลัง “ข้าไปเรียนที่สำนักการศึกษา ปกติมักเป็นข้าที่ส่งเสี่ยวเจ่าเข้าวัง แต่เผอิญวันนั้นต้องสอบ ข้าจึงตื่นแต่เช้า ล่วงหน้าไปสำนักการศึกษาก่อน เปลี่ยนเป็นสหายร่วมเรียนของเสี่ยวเจ่าไปส่งแทน ว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องโทษข้า หากวันนั้นข้าเป็นคนส่งเขาเข้าวังเหมือนทุกวัน ก็อาจไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นก็ได้”
“เจ้ากับหานเจ่าสนิทกันมากเลยหรือ” ถังฟั่นถาม
หานฮุยตอบด้วยน้ำเสียงเสียใจ “ขอรับ ข้าโตกว่าเสี่ยวเจ่าสิบกว่าปี เรียกได้ว่าข้าเห็นเขามาตั้งแต่เล็ก เนื่องจากคนอื่นๆ ในสกุลต่างไม่ค่อยชอบเสี่ยวเจ่า เขาจึงชอบตามข้าต้อยๆ…”
ถังฟั่นตัดบทเขา “ใครไม่ชอบเขา”
“ท่านปู่กับท่านย่า คนของเรือนใหญ่ก็ล้วนไม่ชอบเสี่ยวเจ่านัก ท่านแม่แม้จะรักและตามใจเสี่ยวเจ่ามาก แต่นาง…”
หานฮุยไม่ได้เล่าต่อไป เพียงแต่ส่ายหน้ายิ้มขื่น
ถังฟั่นเอ่ยถาม “สหายร่วมเรียนของหานเจ่าอยู่หรือไม่”
หานฮุยพยักหน้า “อยู่ขอรับ เพียงแต่หลังจากเสี่ยวเจ่าเกิดเรื่อง เขาก็ถูกท่านแม่สั่งให้คนจับไปขังในโรงเก็บฟืน ไม่ให้กินอาหาร ข้าเป็นคนแอบส่งไปให้เขา มิเช่นนั้นเขาคงอดตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ถูกคนของท่านแม่เฝ้าอยู่ หากท่านทั้งสองอยากพบเขา ช่วยไปพบมารดาข้าก่อนได้หรือไม่ มิฉะนั้นหากนางถือโทษโกรธเคืองขึ้นมา ข้ากลัวว่าข้าจะรับผิดชอบไม่ไหว”
วังจื๋อปฏิบัติหน้าที่ ต้องถามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่เมื่อไร หากเป็นหานฟังเขายังต้องไว้หน้าอยู่บ้างเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นอาจารย์ของจักรพรรดิเฉิงฮว่า แต่สำหรับหลินซื่อ เขาไม่มีความอดทนมากมายเช่นนั้น “สตรีเบาปัญญา! ข้ารับราชโองการให้สืบคดี ไหนเลยจะให้นางออกความเห็นสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ต้องพบแล้ว เจ้าไปเอาตัวสหายร่วมเรียนคนนั้นมาเจอพวกเราก็พอ!”
ถังฟั่นกลับกล่าวว่า “วังกงกงโปรดใจเย็น หลินซื่อเป็นมารดาของหานเจ่า ทั้งยังเป็นฮูหยินของพระอาจารย์น้อยหาน พวกเราไปพบเสียหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควร”
วังจื๋อกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
หานฮุยนับว่ามองออกแล้ว ใต้เท้าทั้งสองตรงหน้า วังจื๋อตำแหน่งสูงกว่า ทว่าเวลาสืบคดีกลับมีถังฟั่นเป็นคนกุมอำนาจการตัดสินใจ
เขาแย้มยิ้มขอบคุณกับถังฟั่น “เช่นนั้นเชิญท่านทั้งสองตามข้ามา”
ด้วยการนำทางของหานฮุย ถังฟั่นกับวังจื๋อมาถึงเรือนของบุตรชายคนรอง หานฟังได้ยินว่าพวกเขามาแล้วก็ลุกจากเตียงมาต้อนรับทั้งสอง เขาเองก็สีหน้าซีดเซียว ฉายแววป่วยไข้
“ลูกข้าตายอนาถ ฝ่าบาททรงเมตตา มีราชโองการให้สืบสวน ใต้เท้าทั้งสองลำบากแล้ว ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก!”
พวกเขาทักทายกันตามมารยาทสองสามคำ ถังฟั่นก็ถามเรื่องที่สหายร่วมเรียนของหานเจ่าถูกหลินซื่อสั่งให้จับไปขัง
หานฟังยิ้มเจื่อน “พูดไปแล้วน่าอาย หลังจากนางแต่งงานกับข้าแล้วก็ทุกข์ใจไม่น้อย ยามนั้นข้ามัวแต่ยุ่งกับหน้าที่การงาน ไม่มีเวลาสนใจเรื่องในเรือน พอสังเกตว่านางซึมเศร้าจนทำให้มีนิสัยก้าวร้าวนั้นก็สายเกินไปแล้ว โชคดีที่ภายหลังมีจวินจี๋ ทั้งภรรยาข้ายังให้กำเนิดอาเจ่า นางจึงค่อยๆ ดีขึ้นมาก ข้าเป็นคนติดค้างนาง!”
จวินจี๋ก็คือชื่อรองของหานฮุย
ถังฟั่นสรุป “แสดงว่าความสัมพันธ์ของฮูหยินกับญาติสตรีในสกุลก็เหมือนจะไม่ดีนัก”
หานฟังถอนใจเฮือกหนึ่ง “ใช่ เนื่องจากเรื่องในอดีต ภรรยาข้าจึงเคยขัดแย้งกับมารดา พี่ชายและพี่สะใภ้”
เห็นทีเรื่องราวของสกุลหานที่วังจื๋อเล่าก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริง จากคำให้การของหานฟังกับหานฮุย ถังฟั่นจินตนาการภาพลักษณ์ของสตรีที่มีนิสัยคิดเล็กคิดน้อยสุดขั้วได้ไม่ยาก ขุนนางขยันสุจริตยากจะเจียดเวลาให้ครอบครัว เนื่องจากมีผู้ผิดใจกับหลินซื่อมากเกินไป หากในบรรดานั้นมีคนลงมือกับหานเจ่าเพื่อแก้แค้นนาง นั่นก็มิใช่เรื่องแปลก
“พวกเราอยากพบสหายร่วมเรียนคนนั้นก่อน” ถังฟั่นบอก
“ภรรยาข้าพักรักษาตัวอยู่ในเรือนด้านหลัง รอข้าไปบอกกล่าวนางสักคำ ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่”
เรื่องเล็กเรื่องเดียว เดิมทีสามารถตัดสินใจเองได้ กลับบอกว่าต้องถามภรรยาก่อน แสดงให้เห็นว่าเขาทั้งรักใคร่และเกรงใจ แม้หลินซื่อจะเข้ากับคนอื่นๆ ในสกุลหานไม่ได้ ก็ยังได้รับความจริงใจจากหานฟัง จวบจนวันนี้ก็มิได้มีอนุ นับว่าหลินซื่อมีได้มีเสีย
ถังฟั่นกล่าว “ในเมื่อมาแล้ว พวกเราตามพระอาจารย์น้อยหานไปเยี่ยมฮูหยินด้วยเลยก็แล้วกัน”
หานฟังตอบ “ก็ดีเหมือนกัน”
พวกเขาไปถึงเรือนที่อยู่ด้านหลัง หานฟังเอ่ยถามสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก “ฮูหยินอยู่หรือไม่”
สาวใช้เอ่ยตอบ “ฮูหยินกำลังนอนพักอยู่ด้านในเจ้าค่ะ”
ขาดคำก็มีสุ้มเสียงชราจากด้านในเอ่ยถามขึ้น “ใครอยู่ข้างนอก”
สาวใช้รีบเลิกม่านขึ้นตอบกับคนด้านใน “นายท่านมาเจ้าค่ะ ยังมีใต้เท้าหลายท่าน บอกว่าอยากสอบถามเรื่องของนายน้อยเจ่าเจ้าค่ะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง คนด้านในก็ตอบกลับมาว่า “เชิญเข้ามา”
พวกถังฟั่นเดินเข้าไปตามหลังหานฟัง เมื่ออ้อมฉากกั้นก็เห็นสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งกึ่งเอนอยู่บนเตียง กำลังจะเลิกผ้าห่มลงจากเตียง ข้างๆ ยังมีสตรีชราคนหนึ่งคอยรับใช้
หานฟังรีบเข้าไปห้าม “เจ้าไม่สบายก็นอนเถิด ท่านนี้คือวังกงกงจากสำนักประจิม กับใต้เท้าถังจากศาลซุ่นเทียน พวกเขารับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาสืบคดีการตายของอาเจ่า อยากพบสหายร่วมเรียนของอาเจ่า”
ถังฟั่นเองก็กล่าวว่า “หากฮูหยินไม่สบายก็มิต้องลุกขึ้นแล้ว พวกเราเพียงแค่มาทักทายเท่านั้น”
แม้หลินซื่อจะอายุสามสิบกว่า ทว่าความพริ้มเพรายังอยู่ รูปลักษณ์หน้าตาล้วนงดงามชดช้อยไม่เป็นรองใคร มิน่าหลายปีที่ผ่านมาหานฟังปักใจกับนางไม่แปรเปลี่ยน เพียงแต่ยามนี้สีหน้าดูซีดเซียว ความหมองเศร้ายังคงวนเวียนอยู่บนดวงหน้า
“เพื่อเรื่องของลูกข้า ใต้เท้าทั้งสองเหน็ดเหนื่อยแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ…” หลินซื่อกล่าว วาจานับว่าสุภาพนุ่มนวล ทันใดนั้นกลับเห็นนางมองหานฮุยที่ยืนอยู่ด้านหลังหานฟังแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีทันที “ใครให้เจ้าเข้ามา!” หลินซื่อตะคอกหานฮุยเสียงเข้ม
หานฟังปราม “เซวียนเหนียง…”
หลินซื่อไม่สนใจ จ้องหานฮุยอย่างไม่ละสายตา กล่าวอย่างเคียดแค้นชิงชังว่า “ออกไป ได้ยินหรือไม่! เจ้าทำให้น้องชายเจ้าตายแล้วยังไม่พอ จะมาทำร้ายข้าอีกคนรึ!”
หานฮุยทำอะไรไม่ถูก “ท่านแม่…”
หลินซื่อกรีดเสียง “ข้าไม่มีลูกอย่างเจ้า! วันนั้นเจ้าไปส่งเสี่ยวเจ่าเข้าวังได้แท้ๆ เหตุใดจึงไม่ไปส่ง! เจ้าเจตนาใช่หรือไม่! เจ้าคิดว่าเสี่ยวเจ่าตายแล้ว เจ้าก็เป็นลูกชายคนเดียวของเรือนรองอย่างถูกต้องแล้วสินะ! ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าอย่าฝันหวานนักเลย! ข้าไม่เคยคลอดเจ้า เจ้าไปหายายแก่ชั่วนั่นไป นางเป็นคนให้เจ้ามาที่สกุลหาน เจ้าไปเป็นลูกของนางเสียสิ!”
หานฟังเห็นนางยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าท่า จึงอดตะคอกห้ามไม่ได้ “เซวียนเหนียง!”
หลินซื่อหายใจหอบ จิตใจแหลกสลาย ตีอกชกหัวร่ำไห้ฟูมฟาย “เสี่ยวเจ่า! เสี่ยวเจ่า! ดวงใจของแม่! เจ้าตายอนาถเหลือเกิน! ใครที่ใจร้ายใจดำปองร้ายเจ้า! เป็นยายแก่โจวซื่อหรือหวังซื่อ เจ้ามาเข้าฝันบอกแม่สิ! รอแก้แค้นให้เจ้าแล้ว แม่จะไปอยู่กับเจ้า! ลูกแม่!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงของสตรีดังเสียดแก้วหูจนถังฟั่นเองก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ วังจื๋อนั้นทนไม่ไหวไปนานแล้ว กล่าวทิ้งไว้เพียงว่า ‘ไร้สาระ’ ก่อนจะหันร่างสะบัดแขนเสื้อออกจากเรือนไป
หานฮุยรีบตะลีตะลานหลบตามหลังเขาออกไป ถังฟั่นจนปัญญา มองหานฟังปลอบประโลมภรรยาเสียงนุ่ม ค่อยๆ กล่อมให้นางสงบลงอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก หันร่างเดินออกมา
ถังฟั่นออกจากห้องส่วนในก็เห็นพวกวังจื๋อกำลังยืนอยู่ในลานสวน หานฮุยกำลังประสานมือโค้งคำนับขออภัยเขา พอเห็นถังฟั่นออกมา หานฮุยก็ยิ้มเจื่อนให้ทันที “ใต้เท้าโปรดเห็นใจ ท่านแม่สติไม่ค่อยดีนัก บางครั้งได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจกะทันหันก็จะอาการกำเริบ ตัดญาติขาดมิตรไม่เห็นแก่ใคร!”
จากรอยยิ้มของเขาก็มองออกว่าในยามปกติหานฮุยเองก็ทนทุกข์ไม่น้อย หนำซ้ำถ้อยคำของหลินซื่อเมื่อครู่ก็เสียดแทงใจคนฟังได้จริงๆ แม้จะบอกว่าหลุดปากพูดไม่คิดเพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทว่าวาจาเหล่านั้นย่อมมีส่วนที่กล่าวจากใจจริงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย มารดาบุญธรรมมองตนเช่นนั้น ไม่รู้ว่าในใจหานฮุยจะรู้สึกเช่นไร ขนาดถังฟั่นได้ยินเข้าก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับหานฮุย
พวกถังฟั่นย่อมไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับอาการของหลินซื่อ มันเรียกว่าโรคหวาดระแวง ซึ่งก็คือนางเอาแต่หลงผิดว่ามีคนปองร้าย คิดว่าผู้คนโดยรอบล้วนเป็นศัตรู โจวซื่อ หวังซื่อ หานฮุย ล้วนถูกนางเห็นเป็นศัตรูในจินตนาการ
ดูจากท่าทีระมัดระวังของเหล่าสาวใช้และสตรีชราที่อยู่ในห้องของหลินซื่อ คาดว่ายามปกติหลินซื่อคงอาละวาดเช่นนี้ไม่น้อย นิสัยเจ้าอารมณ์ ขว้างปาข้าวของบ่อยครั้ง หากถังฟั่นเดาไม่ผิด นี่น่าจะเกิดจากการสั่งสมความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนับแต่แต่งเข้าสกุลหาน หานฟังรู้สึกผิดต่อภรรยา ด้วยเหตุนี้จึงตามใจนางตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เขาถามหานฮุย “นางมีอาการเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว”
เป็นไปตามคาด หานฮุยกล่าวว่า “ข้าเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วขอรับ ตั้งแต่ข้าจำความได้ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านแม่คิดว่าท่านย่ายัดเยียดข้าให้นาง ฉะนั้นนางจึงไม่ชอบข้า จนกระทั่งเสี่ยวเจ่าถือกำเนิด สถานการณ์จึงดีขึ้นมาก แต่หลายปีก่อน เนื่องจากเรื่องของอาหญิง…”
เขาชั่งใจครู่หนึ่ง มองพวกถังฟั่นแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ถังฟั่นสงสัย “ไยไม่เล่าต่อ”
หานฮุยกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น “อันที่จริงเรื่องนี้มารดาข้าเข้าใจผิดเลยเถิดไปเอง…หลานสาวของท่านย่าข้าซึ่งก็คือลูกพี่ลูกน้องของบิดาข้า หลังจากเป็นม่ายนางก็มาพึ่งพวกเราที่เมืองหลวง พักอยู่ที่สกุลหาน ท่านย่าเคยคิดอยากให้ท่านพ่อหย่ากับท่านแม่ จากนั้นก็แต่งกับนาง แต่ท่านพ่อปฏิเสธ”
ถังฟั่นพยักหน้า เรื่องนี้เขาฟังวังจื๋อเล่าแล้ว “จากนั้นเล่า”
“ท่านพ่อไม่ยอมมีอนุ อาหญิงโจวของข้าเองก็ไม่ยอมลดตัวเป็นอนุ ฉะนั้นจึงไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่ไม่รู้เหตุใดท่านแม่จึงรู้เรื่องเข้า ปรากฏว่านางไปอาละวาดใส่อาหญิงยกใหญ่ ทำเอาอาหญิงทั้งโกรธทั้งอายจนเกือบคิดสั้น ด้วยเรื่องนั้นท่านแม่จึงยิ่งอ่อนไหวและเข้มงวดกับเสี่ยวเจ่ามาก เพราะอาหญิงโจวดีกับเสี่ยวเจ่า เสี่ยวเจ่าเองก็ชอบเล่นกับอาหญิง แต่หลังจากท่านแม่รู้ก็ออกคำสั่งห้ามมิให้เสี่ยวเจ่าไปหาอาหญิงและห้ามมิให้เขาไปที่เรือนของท่านลุงด้วย…”
เล่าแล้วก็ล้วนเป็นปัญหาภายในที่แสนวุ่นวาย หานฮุยยิ่งพูดก็ยิ่งกระดาก โดยเฉพาะเมื่อบรรดาคนที่กล่าวถึงล้วนเป็นผู้ใหญ่ในสกุลของเขา
“…เรื่องก็มีประมาณนี้ขอรับ เอาเป็นว่าพวกท่านเองก็เห็นแล้ว ยามนี้ท่านแม่รับความกระทบกระเทือนไม่ได้แม้เพียงน้อย มักชอบคิดว่าคนอื่นคิดร้ายกับนาง ตอนนี้เสี่ยวเจ่าตายแล้ว นางก็ยิ่ง…”
สีหน้าของหานฮุยฉายแววหมองเศร้า
ถังฟั่นตบบ่าของอีกฝ่าย “ลำบากเจ้าแล้ว!”
หานฮุยส่ายหน้า “ไม่เป็นไรขอรับ ใต้เท้าทั้งสองจะพบสหายร่วมเรียนของเสี่ยวเจ่ามิใช่หรือ ให้ข้าพาพวกท่านไปเถอะ”
* จุดสุ่ยเฟิน คือจุดลมปราณที่อยู่เหนือสะดือขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว
** การรมยา ในที่นี้คือการนำสมุนไพรซึ่งเผาร้อนแล้วมานาบตรงจุดลมปราณต่างๆ
*** เส้นลมปราณเริ่น มีวิถีการไหลเวียนอยู่ตลอดแนวเส้นกลางลำตัวด้านหน้า เริ่มจากจุดตรงกลางระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนัก ไหลเวียนขึ้นไปที่รอยบุ๋มใต้ริมฝีปากล่าง
* ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 น. ถึง 09.00 น.
** ยามอิ๋น คือช่วงเวลา 03.00 น. ถึง 05.00 น.
* ในภาษาจีนคำว่าสำนักประจิม ออกเสียงว่าซีฉ่าง (西厂)
* เฟย แปลว่าชายา คือภรรยาเจ้า ในตำหนักในของจีนมีศักดิ์รองจากอัครมเหสี (ฮองเฮา) และอัครชายา (กุ้ยเฟย) บางสมัยอาจมีเฟยชั้นพิเศษ 4 ตำแหน่ง เรียกว่าสี่ราชชายา ได้แก่ เต๋อเฟย ซูเฟย จิ้งเฟย และเสียนเฟย ซึ่งมีลำดับศักดิ์สูงกว่าเฟยทั่วไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.