X
    Categories: everYทดลองอ่านรัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 4 บทที่ 1 #นิยายวาย

บทที่ 1

 

สกุลเฮ่อมิใช่ผู้ดีใหม่ แม้จะน่ากริ่งเกรงไม่น้อยแต่ก็ไม่มีทางกระทำเรื่อง ‘แรกยโสหลังนบนอบ’ ถึงขนาดตะเพิดคนออกจากประตูบ้าน

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อปฏิบัติต่อถังฟั่นด้วยมารยาท ทั้งยังสั่งให้บ่าวไพร่ต้อนรับขับสู้อย่างดี แต่ข่าวที่ถังฟั่นถูกถอดตำแหน่งยังคงสะพัดไปทั่วสกุลเฮ่ออย่างรวดเร็ว แม้แต่อำเภอเซียงเหอยังได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ผู้ไม่ทราบข้อเท็จจริงย่อมมีจิตคิดชมดูเรื่องสนุก แม้คุณชายใหญ่สกุลเฮ่อจะเป็นถึงเจ้าเมืองขั้นสี่ แต่ขุนนางท้องถิ่นไม่เหมือนขุนนางเมืองหลวง เดิมทีทุกคนคิดว่าสกุลเฮ่อแลดูมีเกียรติเพราะมีญาติที่เกี่ยวดองกันเป็นถึงขุนนางเมืองหลวง คราวนี้พวกเขาหากไม่รู้สึกเสียดายแทนถังฟั่น ก็คิดว่าถังฟั่นคงยากหวนคืนตำแหน่ง น่ากลัวว่าสกุลเฮ่อคงขาดฐานบารมีที่แข็งแกร่งไปอีกคนแล้ว

สำหรับความคิดของฝ่ายสตรีย่อมต่างจากพวกบุรุษเป็นธรรมดา ความสนใจของพวกนางกลับมุ่งไปที่ตัวถังอวี๋

บุพการีของถังอวี๋ล่วงลับนานแล้ว หากกล่าวว่าไร้ที่พึ่งพิงก็ไม่นับว่าเกินเลย ถังอวี๋คิดอย่างไรไม่ทราบได้ แต่ตัวถังฟั่นเองกลับหาแยแสไม่ ผู้อื่นดูแคลนเขา สำหรับเขาไม่เจ็บไม่คันสักนิด เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ตลอดไป สิ่งที่เขากังวลจึงมีเพียงพี่สาวและหลานชาย

ถังฟั่นเคยแอบถามถังอวี๋ ถังอวี๋กลับยิ้มกล่าว ‘เป็นขุนนางเดิมทีก็คืองานที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่แล้ว เมื่อก่อนเจ้าชื่นชอบ ข้าย่อมดีใจด้วย ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้วเจ้าก็อย่าท้อแท้ ขอเพียงเจ้าเบิกบานใจ พี่สาวก็เบิกบานใจ ส่วนถ้อยคำปรามาสของผู้อื่นข้าได้ยินน้อยอยู่หรือ หากใส่ใจทุกเรื่องคงไม่ต้องใช้ชีวิตกันแล้ว วางใจเถอะ!’

ในความคิดของถังฟั่น บนโลกนี้ไม่มีพี่สาวคนใดประเสริฐไปกว่าถังอวี๋แล้ว เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ ถังฟั่นก็ไม่ซักไซ้อีก เพียงให้พวกเหยียนหลี่กับเฉียนซันเอ๋อร์ไปสืบข่าวเงียบๆ

เขามอบของกำนัลที่นำมาจากเมืองหลวงให้พี่สาว เพราะถังฟั่นไม่รู้จักสกุลเฮ่อดีพอ ไม่ทราบว่าผู้ใดต้องให้ความใส่ใจ ผู้ใดสามารถมองข้ามได้ จึงยกให้เป็นหน้าที่ของถังอวี๋ทั้งหมด ตัวเขาเองพำนักอยู่ในเรือนไม้ไผ่ที่สกุลเฮ่อจัดเตรียมไว้ให้ ทุกวันสนทนาความหลังกับพี่สาว พาเสี่ยวเฮ่อออกไปเที่ยวนอกบ้าน วันเวลาก็ผ่านไปอย่างมีรสชาติเช่นกัน

มีคำสั่งของท่านผู้เฒ่า บ่าวไพร่จึงไม่กล้าเสียมารยาท ทว่านายท่านของแต่ละเรือนกลับมีการตอบสนองอยู่บ้าง สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดที่สุดก็คือแรกเมื่อถังฟั่นมาถึงพวกเขาแต่ละคนต่างกระตือรือร้นออกนอกหน้า โดยเฉพาะเฮ่อเซวียนที่ถึงกับจูงมือเขา คำก็พี่รุ่นชิงสองคำก็พี่รุ่นชิง ต่อมาทราบข่าวถังฟั่นถูกถอดตำแหน่ง เฮ่อเซวียนก็แทบไม่มาเหยียบเรือนไม้ไผ่อีกเลย หากเผอิญพบเจอถังฟั่นข้างนอกและอีกฝ่ายเชิญกลับเรือนไม้ไผ่สนทนา เขาแม้ยังคงท่าทีฉันมิตร ทว่าปฏิเสธได้ก็ปฏิเสธ

นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ บนโลกนี้มีคนไม่ตระหนี่กับการ ‘เติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร’ อยู่มาก กลับน้อยคนนักที่สามารถทำได้ถึงขั้น ‘ส่งถ่านกลางหิมะ’ ด้วยเหตุนี้ถังฟั่นย่อมไม่ใช้มาตรฐานอันสูงส่งไปเรียกร้องคนสกุลเฮ่อ เดิมทีทุกคนก็แค่ปฏิบัติไปตามธรรมเนียมเท่านั้น ถึงชนรุ่นก่อนคบหาแน่นแฟ้น แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต จึงมีเพียงท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อคนเดียวที่เขายังคงให้ความเคารพไม่เปลี่ยนแปร

ตั้งแต่น้าเล็กมา เฮ่อเฉิงก็มีอิสระเต็มที่ ใต้คำอนุญาตของบิดามารดา เขาขอลาหยุดจากสำนักศึกษาเพื่อคอยเป็นเพื่อนน้าเล็กโดยเฉพาะ ถังฟั่นนอกจากพาเขาเดินเที่ยวในเมือง ซื้อของเล่นหลากชนิดให้เขา ยามว่างยังช่วยสอนการบ้านเขาอีกด้วย

คลุกคลีมากเข้าถังฟั่นก็รู้สึกว่าเฮ่อเฉิงคนนี้รู้ความมาก ชวนให้ผู้คนเอ็นดู

ไม่ต้องอื่นไกล แค่ตอนที่เห็นมีคนมาหาถังฟั่น เขาจะเอ่ยขอตัวโดยไม่ต้องให้บอก หากถังฟั่นขอให้เขาอยู่ต่อ เขาจะยืนเรียบร้อยอยู่ด้านข้างโดยไม่ส่งเสียง ถังฟั่นเคยถามตนเอง ตอนที่ตนอายุเท่าเฮ่อเฉิงยังขึ้นต้นไม้เก็บรังนก ฉวยจังหวะบิดามารดาเผอเรอ วิ่งไปจับปลาหลี่อวี๋ในสระบัว เทียบกันแล้วเฮ่อเฉิงน้อยถือได้ว่าสุภาพอ่อนโยน สงบเสงี่ยมเจียมตัวที่สุดแล้ว

แต่เพราะเหตุนี้ถังฟั่นจึงรู้สึกเป็นห่วง ตามหลักแล้วเด็กวัยนี้สมควรกระโดดโลดเต้นเล่นซุกซนไปทั่ว ซ้ำยังเป็นถึงคุณชายน้อยตระกูลขุนนาง ปราศจากเรื่องชวนทุกข์เยี่ยงเด็กยากจนทั่วไป อุปนิสัยจึงไม่ควรเงียบขรึมเช่นนี้ถึงจะถูก คิดว่าคงเป็นเพราะเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมกดดัน จึงบ่มเพาะให้กลายเป็นคนพูดน้อย

ทว่าเด็กก็คือเด็ก หลังความกระดากอายและกลัวคนแปลกหน้าในตอนแรก เฮ่อเฉิงก็ยอมรับน้าเล็กที่อ่อนโยนน่าใกล้ชิดและยินดีเป็นเพื่อนเล่นกับเขาคนนี้อย่างรวดเร็ว บนใบหน้ามีรอยยิ้มมากขึ้น บนร่างกายก็เริ่มมีเค้าเฉกเช่นคนวัยเดียวกัน

วันนี้ถังฟั่นกำลังสอนเขาเขียนอักษร สาวใช้มารายงานว่าเหยียนหลี่กับเฉียนซันเอ๋อร์มาขอพบ

แม้เรือนนี้เป็นเพียงเรือนที่อยู่ติดกัน ไม่ค่อยมีสมาชิกฝ่ายหญิงของสกุลเฮ่อเข้าออก แต่เพราะพี่สาวของถังฟั่นอาจเข้ามาเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาถังฟั่นจึงไม่กล้าให้พวกเหยียนหลี่เข้าออกโดยตรง เลี่ยงการปะทะกัน

เฮ่อเฉิงเพิ่งเขียนอักษรเสร็จชุดหนึ่ง เงยหน้ามองมา

ถังฟั่นลูบศีรษะเขา “เจ้าออกไปเล่นก่อนสักครู่”

เฮ่อเฉิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เอ่ยว่าหลานขอตัวก่อน แล้วตามสาวใช้ออกไป

ไม่นานเหยียนหลี่กับเฉียนซันเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา หลังคารวะตามธรรมเนียมจึงแยกย้ายนั่งลง

ถังฟั่นถาม “ได้ความแล้ว?”

คำพูดนี้ไม่มีหัวไม่มีท้าย แต่พวกเหยียนหลี่กลับทราบว่าถังฟั่นสอบถามถึงเรื่องใด

เฉียนซันเอ๋อร์มองหน้าเหยียนหลี่ เห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าเปิดปากจึงเอ่ยขึ้นก่อน “ข้าน้อยสืบมาแล้ว นายหญิงรองอยู่ในบ้านสกุลเฮ่อไม่สู้สุขสบายนัก”

มือของถังฟั่นซึ่งกำลังเปิดฝาถ้วยชาอยู่ชะงักเล็กน้อย “หมายความว่ากระไร”

เฉียนซันเอ๋อร์กล่าวตอบ “ได้ยินว่าในบรรดาบุตรชายทั้งสามของสกุลเฮ่อ คนที่ท่านผู้เฒ่าโปรดปรานที่สุดกลับเป็นบุตรคนที่สาม หรือก็คือเฮ่อเซวียน แต่บุตรคนโตรับราชการที่เมืองอื่น ปีหนึ่งกลับบ้านนับครั้งได้ และยามนี้เฮ่อเซวียนสอบติดราชการ นับได้ว่าเชิดชูวงศ์สกุล เป็นคนหนุ่มมากความสามารถ เทียบกันแล้วนายท่านรองจึงไม่เป็นที่สะดุดตานัก”

ถังฟั่นผงกศีรษะขึ้นลง “ย่อมมากกว่าแค่ไม่เป็นที่สะดุดตา เกรงว่าพี่เขยผู้เย่อหยิ่งถือดีของข้าเมื่ออยู่ท่ามกลางวงรัศมีอันเจิดจ้าของบรรดาพี่น้อง คงทำใจยอมรับไม่ได้กระมัง”

“ขอรับ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้นายท่านรองเคยเรียกร้องขอแบ่งสมบัติ โดนท่านผู้เฒ่าก่นด่าเสียยกใหญ่ ต่อมาก็ไม่พูดถึงอีก” เฉียนซันเอ๋อร์กล่าวต่อ

“แล้วพี่สาวข้าเล่า” ถังฟั่นถาม

เฉียนซันเอ๋อร์ชำเลืองไปด้านข้างแวบหนึ่ง “พวกบ่าวในสกุลเฮ่อบอกว่า…”

เหยียนหลี่เตะเขาเท้าหนึ่ง “เลิกยึกยักได้แล้ว รีบพูด!”

เฉียนซันเอ๋อร์ร้องโอ๊ยคำหนึ่งแล้วรีบเล่าต่อ “พวกนั้นบอกว่าสามีของนายหญิงรองเป็นคนไม่เอาไหน ซ้ำยังไม่มีสกุลภรรยาหนุนหลัง ชีวิตลำเค็ญไม่น้อย บ้านสกุลเฮ่อต้อนรับแขกไม่ขาดสาย จึงต้องรับรองฝ่ายสตรีของครอบครัวขุนนางทั้งหลายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ค่าใช้จ่ายที่สกุลเฮ่อจัดสรรให้มีจำกัด นายหญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ นายหญิงสามมีทางบ้านเดิมจุนเจือ มีก็แต่นายหญิงรองที่ไม่มีเงินมากพอ จึงต้องให้สาวใช้เอาสินเดิมออกไปจำนำอยู่บ่อยๆ”

ถังฟั่นขมวดคิ้วเป็นปม “พี่หญิงลำบากยากแค้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ แต่นางไยไม่บอกข้า”

เฉียนซันเอ๋อร์แสร้งทำท่าถอนใจ “ใต้เท้า ท่านเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ ข้าน้อยเลื่อมใสมานาน แต่เรื่องระหว่างสตรีในตระกูลใหญ่ ท่านหาเข้าใจไม่”

“เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊อะไรกัน ใช้คำไม่เป็นก็อย่าใช้ส่งเดช พูดราวกับเจ้าเข้าใจสตรีเสียเต็มประดา” ถังฟั่นด่ายิ้มๆ

เฉียนซันเอ๋อร์หัวเราะคิก “เมื่อก่อนข้าน้อยบุกเหนือล่องใต้ ทำแต่เรื่องชั่วช้าสามานย์ ย่อมได้ยินเรื่องราวในรั้วในเรือนมากมายเป็นธรรมดา ไม่เหมือนใต้เท้าที่เป็นคนใหญ่คนโต…”

“วาจาไร้แก่นสารของเจ้าช่างล้นเหลือเสียจริง” เหยียนหลี่พูดเหน็บ

เฉียนซันเอ๋อร์มุ่ยปาก กล้าเคืองมิกล้าแย้ง จึงอธิบายต่อ “ท่านคิดดู แป้งชาดประทินโฉมต้องใช้เงินซื้อ คบหาพวกสตรีสกุลอื่น คนนี้จัดงานเบญจมาศเลี้ยงท่าน ภายหลังท่านมิใช่ต้องจัดงานโบตั๋นเลี้ยงคืนผู้อื่นหรอกหรือ ยังมีอีก ผู้อื่นแต่งงานเอย ลูกครบเดือนเอย เหล่านี้ล้วนต้องแสดงน้ำใจทั้งสิ้น ต่อให้คนไม่ไป ของขวัญของฝากก็ต้องถึง คนทั่วไปยังเป็นเช่นนี้ สกุลเฮ่อมิยิ่งละเอียดซับซ้อนกว่าหรือ”

ถังฟั่นพยักหน้า “ก่อนพี่สาวข้าออกเรือน ไปมาหาสู่กับสหายสนิทอยู่เนืองๆ ค่าใช้จ่ายไม่น้อยจริงๆ”

เฉียนซันเอ๋อร์พูดต่อ “ยังมีอีกขอรับ ข้าน้อยได้ยินว่าการเข้าเรียนในสำนักศึกษาไม่ต้องใช้เงินก็จริง แต่นายน้อยเป็นทายาทที่เกิดจากภรรยาเอก ค่ากราบอาจารย์ ค่าหมึกพู่กันย่อมไม่อาจน้อยหน้าผู้อื่น อีกอย่างแม้ทุกวันนี้นายท่านรองจะเป็นแค่ซิ่วไฉ แต่ก็มีมิตรสหายจำนวนหนึ่งที่ต้องสมาคม ซึ่งแน่นอนว่าใช้เงินไม่น้อย ค่าใช้จ่ายที่สกุลเฮ่อจัดสรรให้เพียงพอจับจ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น ส่วนรายจ่ายอื่นๆ ที่เกินมาล้วนต้องหามาโปะเองทั้งสิ้น ได้ยินว่าบ้านเดิมของนายหญิงสามเป็นมหาเศรษฐีของเมืองนี้ บวกกับนายท่านสามเป็นที่รักใคร่ของบิดามารดา โดยปกติฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องจุนเจือพวกเขาเป็นธรรมดา ขณะที่นายท่านรองกับนายหญิงรองคงได้แต่หาทางเอาเอง”

ถังฟั่นคิดไม่ถึงว่าเฉียนซันเอ๋อร์จะสอบถามได้ละเอียดลออปานนี้ จึงเอ่ยชม “เจ้าไม่พูด ข้าคงมิได้ใส่ใจสังเกตถึงสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นก็แปลว่าพี่สาวพี่เขยข้าอยู่อย่างอัตคัดขัดสนจริงๆ”

เฉียนซันเอ๋อร์โพล่ง “หากนายท่านรองสอบผ่านเป็นจวี่เหริน ความเป็นอยู่อาจดีขึ้นมาก แต่หลายปีนี้เขาก็สอบไม่ติดสักที เฉพาะค่าตำรากับหมึกพู่กันในแต่ละปีก็มิใช่น้อยๆ แล้ว”

เหตุที่จวี่เหรินกับซิ่วไฉแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนั้น ลองคิดดูง่ายๆ หากเฮ่อหลินสอบได้จวี่เหรินก็จะเข้ารับราชการได้ ต่อให้เขาสอบจิ้นซื่อไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร อาศัยความสัมพันธ์ของสกุลเฮ่อวิ่งเต้นหาหมวกนายอำเภอหรือผู้ช่วยนายอำเภอให้เขาสักใบก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด

เช่นนี้เฮ่อหลินก็เท่ากับย่างเท้าเข้าสู่แวดวงขุนนางแล้ว ต่อให้ถูกส่งไปอำเภอทุรกันดารก็สามารถมีรายรับสีเทาไม่น้อย เทียบกับขุนนางเมืองหลวงขั้นห้าของหน่วยงานที่ไร้เงินผ่านมือเช่นถังฟั่นยังเหนือกว่ามากนัก ถึงตอนนั้นก็สามารถเลี้ยงดูลูกเมียให้สุขสบายได้เช่นกัน

แต่ปัญหาอยู่ที่เขาสอบไม่ผ่านสักที หลายปีผ่านไปยังคงเป็นได้แค่ซิ่วไฉ แม้กล่าวว่าซิ่วไฉสามารถเป็นอาจารย์สอนหนังสือได้ แต่เฮ่อหลินเป็นคุณชายสกุลเฮ่อ ไหนเลยจะออกไปทำให้สกุลเฮ่อเสื่อมเสียหน้าตาได้ นี่เท่ากับสิบกว่าปีมานี้ผลาญเวลาไปโดยสูญเปล่า ได้แต่พึ่งพาเงินเลี้ยงดูจากสกุลเฮ่อและสินเดิมของภรรยาดำรงชีพไปวันๆ

ล้วนกล่าวว่าซิ่วไฉไส้แห้งๆ ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวว่าจวี่เหรินไส้แห้งก็ด้วยสาเหตุนี้นั่นเอง

ต่อให้เป็นบิดามารดาที่รักลูกปานใด เห็นบุตรชายอายุสามสิบเศษยังหาความสำเร็จไม่ได้สักเรื่อง เกรงว่าก็ต้องมีวาจาคับใจบ้าง ยิ่งกว่านั้นสกุลเฮ่อมิได้ขาดแคลนบุตรที่มีความสามารถ ฉะนั้นเจ้ามีสิทธิ์อันใด สิบกว่าปีสอบไม่ผ่าน วันๆ วางท่าราวกับผู้อื่นติดหนี้และยังให้ผู้อื่นมาเอาอกเอาใจอีก

สรุปแล้วเวลานี้เฮ่อหลินตกอยู่ในสภาพเช่นนี้นั่นเอง

เฉียนซันเอ๋อร์พูดจบก็ถึงคราวเหยียนหลี่กล่าวบ้าง

“คืนวานพี่สาวกับพี่เขยท่านทะเลาะกันยกหนึ่ง” เขาบอก

เขาคงเอาหูแนบฝาห้องของสามีภรรยาคู่นั้นแน่แล้ว

ถังฟั่นถาม “เพราะข้า?”

เหยียนหลี่พยักหน้า แล้วส่ายหน้า “ตอนแรกใช่ ต่อมาไม่ใช่”

“พวกเขาพูดอะไรบ้าง”

“แรกเริ่มพี่เขยท่านพูดว่าท่านอุตส่าห์มาทั้งที ให้พี่สาวท่านเกลี้ยกล่อมท่านอยู่ต่อสักหลายวัน”

ถังฟั่นน้ำเสียงฉงน “ดูท่าพี่เขยแม้หลายคราสอบไม่ผ่าน ในใจคับแค้นอยู่บ้าง อุปนิสัยกลับยังประเสริฐ แล้วไยจึงทะเลาะกันเล่า”

เหยียนหลี่กล่าว “พี่เขยท่านบอกว่าหลังทราบข่าวท่านถูกถอดตำแหน่ง คนในบ้านพวกเขาแต่ละคนก็หวั่นไหวไม่เป็นสุข โดยเฉพาะน้องสามที่วิตกว่าจะกระเทือนถึงการสอบฮุ่ยซื่อในปีหน้า นั่นสามารถทำให้คนในบ้านเป็นทุกข์ได้ เขารู้สึกสบายใจยิ่ง”

“…” ถังฟั่นถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ดูท่าเขาจะประเมินพี่เขยสูงเกินไป

เหยียนหลี่กล่าวต่อ “พี่สาวท่านจึงว่าท่านผู้เฒ่าไม่ใช่คนเช่นนั้น นางให้เขาเข้าหากับผู้ใหญ่ให้ดี ท่านผู้เฒ่าจึงจะยอมแบ่งสมบัติให้ พี่เขยท่านกลับบอกว่าเขาต้องคอยขัดแข้งขัดขาพวกนั้นจึงจะได้ ไม่อย่างนั้นถ้าต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกันโดยถูกผู้อื่นหยามหมิ่นดูแคลนตลอดเวลา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทานทนมิได้”

“จากนั้นเล่า” ถังฟั่นถาม

“พี่สาวท่านบอกว่าเขาทำเช่นนี้รังแต่จะหาความยุ่งยากใส่ตัว ให้เขาเปิดใจกว้าง ปากคอของคนถ่อยทั้งหลายอย่าได้นำพาใส่ใจ ในสนามสอบมีผู้สมัครสอบที่เส้นผมหงอกขาวมากมายนับไม่ถ้วน แล้วบอกอีกว่าตอนนี้เขาเพิ่งสามสิบสี่ ยังมีโอกาสอีกมาก”

ถังฟั่นผงกศีรษะ “พี่สาวข้าปลอบโยนถึงเพียงนี้ พี่เขยคงรับฟังบ้างกระมัง”

เหยียนหลี่เอ่ยเสียงอ่อนใจ “แต่พี่เขยท่านกลับมีโทสะขึ้นมา ติว่าพี่สาวท่านแช่งเขาให้สอบถึงอายุแปดสิบก็ยังสอบไม่ติด”

“…” ถังฟั่นรู้สึกสับสนยุ่งเหยิง

เหยียนหลี่กล่าว “พี่เขยท่านได้ยินว่าพี่สาวท่านเอาของไปจำนำอีกแล้ว จึงต่อว่านางจงใจให้เขาเสียหน้า ยังถามนางอีกว่าได้มาฟ้องท่านหรือไม่ พี่สาวท่านว่าไม่ได้ฟ้อง เขาไม่เชื่อ ทั้งคู่จึงถกเถียงกันยกใหญ่ ต่อมาพี่สาวท่านก็ฟูมฟายจากไป”

คนทั่วไปได้ยินเรื่องสามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้ง เดิมสมควรกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ทว่าองครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่สืบเสาะเรื่องราวข่าวสาร กระทั่งดักฟังปีศาจเปิดศึกวิวาทะสามร้อยยกเหยียนหลี่ก็ยังหน้าไม่เปลี่ยนสี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้

เขาเห็นถังฟั่นนิ่งงันจึงกล่าว “ความเข้าใจผิดที่พี่เขยท่านมีต่อพี่สาวท่านคล้ายว่าลึกมาก วาจาตักเตือนใดๆ ล้วนฟังไม่เข้าหู”

ถังฟั่นผงกศีรษะ ถอนใจทีหนึ่ง “นั่นสิ เดิมข้าเข้าใจว่าเขาเพียงหยิ่งทะนงเกินไป รับไม่ได้กับความรู้สึกท้อแท้จากที่อดีตมีแต่คนสรรเสริญเยินยอ แต่บัดนี้กลับสอบไม่ผ่านแม้แต่ตำแหน่งจวี่เหริน คิดไม่ถึงว่าปมในใจเขาจะลึกล้ำปานนี้ หากไม่ได้พวกเจ้าช่วยเหลือ ลำพังพี่สาวข้าคนเดียว ข้าคงไถ่ถามไม่ได้ความอันใด เหล่าเหยียน ให้เจ้าสืบสาวเรื่องราวพวกนี้ช่างเป็นการเชือดไก่ด้วยมีดฆ่าโคโดยแท้!”

เหยียนหลี่หัวเราะฮ่าๆ “นี่จะเป็นไรไป ดีกว่าปล่อยเวลาสูญเปล่า ทว่าคุณชายมีแผนอันใด ดูท่าพี่สาวท่านอยู่บ้านสกุลเฮ่ออย่างไร้ความสุขจริงๆ”

ถังฟั่นกล่าว “ลำพังพี่สาวข้าคนเดียวคงไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องขบคิดวิธีให้พวกเขา ‘หย่าโดยสมัครใจ’ ให้ได้ จากนั้นก็หาคู่ครองที่ดีกว่านี้ให้นาง ต้าหมิงของพวกเรามีสตรีแต่งงานใหม่ออกถมไป และแต่งได้ดีกว่าเดิมก็มีจำนวนมิใช่น้อย ข้าไม่อาจให้พี่สาวทนทุกข์อยู่กับความไม่เป็นธรรม แต่ตอนนี้กลับยุ่งยากแล้ว การหย่าโดยสมัครใจ สามีภรรยาต้องยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายจึงสามารถกระทำได้ ต่อให้พี่เขยข้าเห็นด้วย ข้ายังมีหลานอีกคนหนึ่ง พี่สาวคงไม่อาจตัดใจจากเจ้าเจ็ดแล้วไปกับข้าแน่ เรื่องนี้ยังต้องขบคิดให้ดีก่อน ทุกสิ่งล้วนยึดความสมัครใจของพี่สาวข้าเป็นที่ตั้ง หากนางไม่เต็มใจ ผู้ใดก็ไม่สามารถบีบบังคับนาง ข้าก็เช่นกัน”

ดังคำว่าแต่ละบ้านล้วนมีปัญหาแก้ไม่ตก ขุนนางเที่ยงธรรมยากตัดสินเรื่องครอบครัว เหยียนหลี่กับเฉียนซันเอ๋อร์ต่างหดหู่ใจ เฉียนซันเอ๋อร์ถึงกับถอนใจ “จริงแท้ที่สุด สตรีกลัวแต่งเจ้าบ่าวผิด โดยเฉพาะแต่งเข้าตระกูลใหญ่ ระเบียบปฏิบัติมากมาย ผิดเพียงครั้งก็จะถูกนินทา ยากแท้ ยากจริงๆ”

เหยียนหลี่ยิ่งมองยิ่งหมั่นไส้ อยากเตะเขาสักที “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ทำเป็นจีบปากจีบคออย่างกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ข้าเห็นแล้วพะอืดพะอม”

เฉียนซันเอ๋อร์เบี่ยงหลบว่องไวก่อนหัวเราะคิก “ใต้เท้า ท่านยังไม่ทราบ เหล่าเหยียนมีคนในดวงใจแล้ว ทั้งยังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เสียด้วย”

ถังฟั่นกำลังกลัดกลุ้มเรื่องจะช่วยพี่สาวอย่างไร ครั้นได้ยินคำพูดของเฉียนซันเอ๋อร์ก็อดแปลกใจมิได้ “เจ้าต้องตาใครเข้าแล้ว”

เหยียนหลี่กระดากเล็กน้อย เฉียนซันเอ๋อร์กลับปากไว ชิงพูดก่อน “เป็นคุณหนูแปดสกุลเฮ่อ”

ถังฟั่นนึกออกแล้ว คุณหนูแปดคนนั้นเป็นน้องสาวของพี่เขยเขา ทว่าเกิดจากอนุ

“เหล่าเหยียน ที่ซันเอ๋อร์พูดเป็นความจริงหรือ”

ปกติเหยียนหลี่บุคลิกผ่าเผย เวลานี้กลับเก้อเขิน “แค่เจอหน้าโดยบังเอิญหนเดียว ตอนที่ไปสืบข่าวให้คุณชายคราวก่อน…”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ไว้ข้าจะลองเลียบเคียงให้เจ้าดู หากเจ้าต้องตาคุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอก ข้าอาจช่วยไม่ได้ แต่คุณหนูที่เกิดจากอนุยังพอไหว หากนางยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมายและท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเห็นด้วย ด้วยฐานะของเจ้าก็นับว่าคู่ควรกันดี”

เหยียนหลี่กล่าวเสียงรวนเร “สกุลเฮ่อเป็นตระกูลบัณฑิต ข้ากลับเป็นแค่ชนชั้นนักสู้คนหนึ่ง…”

ถังฟั่นปลอบเขา “ไม่ต้องกังวล ข้าจะลองหาโอกาสหยั่งเชิงให้เจ้าก่อน”

เหยียนหลี่ลิงโลด “เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณชายแล้ว”

หลังจากล่วงรู้สภาพแท้จริงของพี่สาว ถังฟั่นจึงหาโอกาสพูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัว บอกนางว่าเรื่องใดก็ตามล้วนไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทน ไม่ว่าอย่างไรตนก็จะยืนอยู่ข้างนาง ช่วยนางออกหน้า

เรื่องเหยียนหลี่แอบฟังนั้นอย่างไรก็มิใช่เรื่องดี ถังฟั่นมีหรือจะบอกกับพี่สาวว่าตนส่งคนไปดักฟังนางกับพี่เขยทะเลาะกัน เช่นนี้ถังอวี๋เองก็จะเสียหน้า ดังนั้นเขาได้แต่แสดงการสนับสนุนพี่สาวซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยอ้อมค้อม

จนใจที่ถังอวี๋คล้ายตกลงใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะปิดบังถังฟั่นถึงที่สุด และไม่ยินดีเห็นถังฟั่นซึ่งอุตส่าห์มาเยี่ยมกลับต้องวิตกด้วยเรื่องของตน หนำซ้ำนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของสกุลเฮ่อ ในแง่กฎหมายแล้ว ตราบใดที่เฮ่อหลินมิได้มีพฤติการณ์ทุบตีภรรยาหรือยกอนุขึ้นแทนภรรยาเอก ถังฟั่นก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซง

อีกประการหนึ่งคือตอนนี้ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างในสกุลเฮ่อก็ใช่ว่าปฏิบัติต่อเขาไม่ดี โดยเฉพาะเฮ่อหลินยังคงแสดงออกต่อหน้าเขาอย่างเป็นปกติ ถังฟั่นจึงยังหาเหตุผลไปละลาบละล้วงไม่ได้

หลังจากใช้ชีวิตในสกุลเฮ่อหลายปี สภาพแวดล้อมรอบกาย รวมทั้งสายใยที่มีต่อเฮ่อเฉิงก็เพียงพอให้ถังอวี๋แปรเปลี่ยนจากสาวน้อยที่เปิดเผยตรงไปตรงมา กลายเป็นสตรีที่อดกลั้นและปรับตัวเข้ากับจังหวะชีวิตในสกุลเฮ่อเพื่อบุตรชายของตนเอง

ต่อให้เป็นถังฟั่นที่สติปัญญาเฉียบแหลม เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ยังคงอับจนหนทาง ได้แต่พำนักที่นี่ รอสังเกตการณ์อีกที

วันนี้เหวยเช่อ คหบดีของอำเภอเซียงเหอจัดงานเลี้ยงที่บ้านสกุลเหวย เชื้อเชิญขุนนางและเศรษฐีทั้งอำเภอไปร่วมกินดื่มในงานเลี้ยงครบเดือนของบุตรชายตนเอง

เหวยเช่อเป็นบิดาของเหวยซื่อภรรยาเฮ่อเซวียน เขาเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ ครั้งยังหนุ่มเขาก็เหมือนกับเฮ่อหลิน สอบหลายครั้งไม่ผ่าน แต่เหวยเช่อไม่หยิ่งทะนงเช่นเฮ่อหลิน เขาสำนึกว่าตนเองสอบต่อไปอาจสูญเวลาทั้งชีวิต ดังนั้นตัดสินใจเด็ดเดี่ยวละทิ้งเส้นทางรับราชการ หันมาทำการค้า

จักรพรรดิไท่จู่เกลียดชังการทุจริตติดสินบนเข้ากระดูก และพานไม่ชอบใจพวกพ่อค้าวาณิชไปด้วย จึงตั้งกฎห้ามไม่ให้ขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปประกอบการค้า ถึงขั้นออกนโยบายสำมะโนครัวพ่อค้าเช่นนี้ออกมา ทว่าคนที่สอบผ่านซิ่วไฉย่อมแตกต่างจากพ่อค้าทั่วไป เหวยเช่ออาศัยฐานะซิ่วไฉนี้รู้จักมักจี่กับเศรษฐีมีชื่อและขุนนางในอำเภอเซียงเหอจนถึงศาลซุ่นเทียน บวกกับสติปัญญาและวิธีการอันเฉียบคมของเขา ภายในเวลายี่สิบปีเศษก็สะสมทรัพย์สมบัติได้อักโข จากคำบอกเล่าของถังอวี๋ กิจการร้านข้าวสารร้านเกลือในอำเภอนี้ สกุลเหวยครอบครองไปกว่าครึ่งแล้ว

ช่วงสมัยนี้กิจการค้าเกลือเป็นของทางการ พ่อค้าคนใดใคร่ค้าขายเกลือจำเป็นต้องหาใบอนุญาตเบิกเกลือให้ได้ก่อน การที่เหวยเช่อสามารถดำเนินกิจการร้านเกลือได้นั้นแสดงให้เห็นว่าเขามีเส้นสายไม่ธรรมดา และการที่เหวยซื่อซึ่งอยู่ในฐานะบุตรสาวของซิ่วไฉสามารถแต่งเข้าสกุลเฮ่อได้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับสาเหตุนี้แน่นอน

เมื่อมีกำลังทรัพย์ขุมใหญ่ของบ้านเดิมจุนเจือ เหวยซื่อจึงไม่จำเป็นต้องเฝ้ารอเงินเลี้ยงดูจากสกุลเฮ่อเหมือนกับถังอวี๋

นอกจากเหวยซื่อที่เป็นบุตรสาวคนโตซึ่งเกิดจากภรรยาเอกแล้ว เหวยเช่อยังมีบุตรสาวอีกสี่คน ล้วนเกิดจากอนุทั้งสิ้น สกุลเหวยมีทรัพย์สมบัติมหาศาล กลับไม่มีบุตรชายแม้สักคน เหวยเช่อย่อมร้อนใจเป็นธรรมดา

หลังจากภรรยาเอกเสียชีวิต เขาก็ตบแต่งไฉซื่อเป็นภรรยาเอก แต่ไฉซื่อก็มิได้ให้กำเนิดบุตรธิดา

เหวยเช่อจึงจำใจแต่งอนุติดๆ กันหลายเรือน เสียดายที่ยังคงมีแต่บุตรสาว กว่าจะมีบุตรชายคนนี้ออกมาสักคน สกุลเหวยย่อมเทิดทูนประหนึ่งมุกยอดมงกุฎ นี่เพิ่งอายุครบเดือนก็แทบทนรอจัดงานเลี้ยงอย่างเอิกเกริกไม่ไหว เชื้อเชิญแขกเหรื่ออย่างกว้างขวางเพื่อร่วมฉลองให้บุตรชาย

เห็นได้ว่าภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คุณชายน้อยสกุลเหวยต้องกลายเป็นหัวแก้วหัวแหวนของคนทั้งบ้านอย่างแน่นอน

ทุกคนล้วนเกี่ยวดองเป็นญาติ งานเลี้ยงอายุครบเดือนของคุณชายน้อยสกุลเหวย สกุลเฮ่อย่อมต้องให้เกียรติเป็นธรรมดา แม้แต่ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อยังรุดไปร่วมงานด้วยตนเอง

เหวยเช่อทำสิ่งใดล้วนรอบคอบ ทราบว่าตอนนี้ถังฟั่นพำนักอยู่บ้านสกุลเฮ่อ จึงส่งเทียบเชิญให้แก่ถังฟั่นเช่นกัน

ถังฟั่นจึงติดตามพี่สาวพี่เขยมาพร้อมกัน

แม้บัดนี้เขาปราศจากตำแหน่ง แต่ฐานะขุนนางยังอยู่ จึงแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป ไม่อาจต้อนรับตกหล่นได้ ดังนั้นเมื่อไปถึงสกุลเหวย ถังฟั่นจึงถูกเชิญไปยังโต๊ะประธานตัวที่อยู่ค่อนไปทางด้านหน้ามากกว่าโต๊ะของเฮ่อเซวียน

โต๊ะนี้นอกจากเหวยเช่อซึ่งเป็นประมุขสกุลเหวยแล้ว ยังมีท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ นายอำเภอเวิง รองนายอำเภอหลิน เสมียนหวัง เป็นต้น รวมทั้งขุนนาง คหบดีอื่นๆ ของอำเภอเซียงเหอ ถังฟั่นอยู่ในลำดับที่สี่ เป็นโต๊ะด้านหลังนายอำเภอเวิง จากจุดนี้สามารถมองออกถึงการจัดการอันแยบยลของเหวยเช่อได้เป็นอย่างดี

เพราะเฮ่อเซวียนเป็นบุตรเขยของเหวยเช่อ จึงได้ครองโต๊ะประธานมาหนึ่งที่เช่นกัน

แต่เฮ่อหลินกลับถูกจัดให้นั่งโต๊ะที่สาม โต๊ะนี้ล้วนเป็นสหายในแวดวงการค้าของเหวยเช่อ ตามหลักแล้วการจัดที่นั่งเช่นนี้ไม่น่ามีปัญหาอันใด แต่เฮ่อหลินกลับรู้สึกว่าเหวยเช่อดูแคลนเขา จึงจัดให้เขานั่งร่วมโต๊ะกับพวกพ่อค้า

ส่วนถังอวี๋และพวกสตรีแน่นอนว่าเข้ามาถึงก็ต้องแยกกับพวกเขา ไปยังจุดที่จัดไว้สำหรับสตรี มิได้นั่งรวมกับแขกเหรื่อฝ่ายชาย

งานเลี้ยงเริ่มขึ้นด้วยบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง เหวยเช่อลุกขึ้นกล่าวขอบคุณเป็นอันดับแรก ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงอายุครบเดือน ย่อมต้องอุ้มบุตรชายออกมาให้บรรดาแขกเหรื่อชื่นชมรอบหนึ่ง ทุกคนต่างอวยพรด้วยวาจามงคล ให้ทารกเติบใหญ่ไร้โพยภัย จากนั้นร่วมคารวะสุรา กินอาหารพลางสนทนาพูดคุย

เนื่องจากฐานะมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอำเภอเซียงเหอ สุราอาหารของบ้านสกุลเหวยย่อมต้องจัดเตรียมอย่างดี ไม่อ่อนด้อยไปกว่าร้านอาหารใหญ่ในเมืองหลวงสักนิด หนำซ้ำโดยมากเป็นอาหารเจียงหนานซึ่งถูกปากถังฟั่นเป็นที่ยิ่ง

ถังฟั่นย่อมหาเกรงใจไม่ แม้เขาจะกินช้ามาก แต่กลับลิ้มชิมอาหารเลิศรสตรงหน้าเกือบทุกชนิดอย่างละเอียดลออ เทียบกับคนอื่นๆ ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการเจรจาพาที แน่นอนว่าแขกเยี่ยงเขายิ่งเป็นที่ชมชอบของพ่อครัว

ผู้คนจำนวนมากได้ยินข่าวเรื่องเขาถูกถอดตำแหน่ง คนที่หวังผลดีเลี่ยงผลเสียบนโลกนี้ย่อมมีอยู่มากเป็นธรรมดา ตัวอย่างเช่นเฮ่อเซวียน นี่มิอาจตำหนิเขาได้ แต่ขณะเดียวกันคนที่มีหลักการและหาญกล้าก็มีไม่น้อยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นนายอำเภอเวิง

หลังจากนายอำเภอเวิงได้ฟังว่าถังฟั่นถูกถอดตำแหน่งเพราะจาบจ้วงราชเลขาธิการวั่น ก็กลับมีท่าทีกระตือรือร้นต่อถังฟั่นขึ้นมา

ช่วงสมัยนี้บรรดาขุนนางในราชสำนัก คนที่รังเกียจกลุ่มอำนาจของวั่นอันมีมิใช่น้อยๆ ขุนนางเมืองหลวงติดขัดด้วยเกรงจะไม่ก้าวหน้า หลายคนเลือกที่จะนิ่งเฉย แต่ขุนนางท้องถิ่นกลับมิได้หวั่นเกรงปานนั้น นายอำเภอเวิงก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น

น่าเสียดายที่เส้นทางขุนนางของเขามากมายอุปสรรค เขาสอบได้จิ้นซื่อก่อนถังฟั่นสามปี ทุกวันนี้กลับยังกระเสือกกระสนอยู่ในตำแหน่งนายอำเภอขั้นเจ็ด

ถังฟั่นสนทนากับนายอำเภอเวิงหลายคำก็ค้นพบอย่างตื่นเต้นว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้เลื่อมใสในอาจารย์ชิวจวิ้นของตนด้วย พลันทำให้ทั้งสองเกิดความสนิทชิดเชื้อขึ้นไม่น้อย นายอำเภอเวิงวัยเกือบสี่สิบ วิชาความรู้มิใช่ชั่ว เพียงไม่เจนจัดในอาชีพขุนนาง หลายครั้งได้คะแนนปานกลางจากการประเมินของผู้ตรวจสอบ จึงหมดโอกาสได้รับการปรับเลื่อนตำแหน่ง ทว่าวิชาความรู้ของเขากลับไม่เลวจริงๆ

เปรียบกับการสนทนากับจิ้งจอกเฒ่าเยี่ยงท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อแล้ว ถังฟั่นย่อมยินดีพูดคุยกับนายอำเภอเวิงมากกว่า อาหารมื้อนี้จึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากที่ว่าการอำเภอมีเรื่องราวเล็กน้อย นายอำเภอเวิงจึงขอตัวกลับก่อน ถังฟั่นก็ฉวยโอกาสนี้ออกมาเดินเตร่ คลายฤทธิ์สุรา

สกุลเหวยได้ตระเตรียมมุมพักผ่อนสำหรับแขกเหรื่อไว้พร้อมสรรพ ทั้งมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ ตัดขาดภายนอกเพียงคั่นด้วยฉากบังตาผืนหนึ่ง กลับอิสระขึ้นเป็นกอง

ในสายตาถังฟั่นซึ่งชมชอบความเงียบสงบ บริเวณนี้เรียกได้ว่าปลอดโปร่งโล่งใจกว่าภายนอก

เขาเอ่ยปฏิเสธการบีบนวดเท้าของสาวใช้ เพียงขอน้ำคั้นจากผลส้มหนึ่งถ้วย แล้วนั่งอิงเก้าอี้หลับตาพักสมอง

คาดไม่ถึงว่าด้านข้างพลันปรากฏสุ้มเสียงหนึ่ง “อาหารของที่นี่เปรียบกับเรือนเซียนอวิ๋นแล้วยังต่ำทรามกว่ามาก ข้ากินแล้วแทบจะสำรอก!”

สุ้มเสียงนี้เข้ารูหู น้ำคั้นผลส้มที่ถังฟั่นอมอยู่ในปากไม่ทันกลืนลงไป พลันพ่นพรวดออกมา!

เขาผินหน้าประหลาดใจ มองไปยังคนด้านข้างผู้นั้น

อีกฝ่ายอายุราวสามสิบสี่สิบ หนวดเครารุงรัง สวมใส่ชุดยาวคอกลมสีเขียวทะเลสาบ ดูแล้วคล้ายเป็นสหายของเหวยเช่อ

ทว่าด้วยท่านั่งและสำเนียงเช่นนี้สามารถทำให้ถังฟั่นนึกถึงได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

เขากุมหน้าผาก ทอดถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่ “ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้”

ชายฉกรรจ์หนวดเครารุงรังค้อนด้วยสายตาคราหนึ่ง “เจ้าอยู่ที่นี่ได้ แล้วข้าอยู่มิได้หรือ”

ถังฟั่นมองเขาอย่างงุนงงพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “หรือสกุลเหวยเกิดคดีกบฏอันใดแล้ว”

ชายผู้นั้นสั่นศีรษะ

“เช่นนั้นท่านมาทำอะไรที่นี่ คงมิได้มาหาข้า?” ถังฟั่นถาม

“ถูกต้อง ข้ามาหาเจ้า ไปเถอะ!”

“ไปที่ใด”

“ไปแล้วย่อมรู้!”

“ช้าก่อน ข้าคงต้องบอกกล่าวคนของสกุลเฮ่อก่อนกระมัง อีกอย่างคนของสกุลเหวยออกเทียบเชิญ แล้วท่านปะปนเข้ามาได้อย่างไร”

อีกฝ่ายหัวเราะอย่างเย็นชา “ใต้หล้านี้ไม่มีที่ใดที่ข้าเข้าไปไม่สำเร็จ!”

ถังฟั่นนึกในใจ…อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นท่านไปโลดเต้นบนแท่นบรรทมของจักรพรรดิให้ข้าชมดูหน่อยเป็นไร

ทว่าเขาก็มิได้งัดข้อกับอีกฝ่ายต่อ เพียงถามอีกคำ “เรื่องเร่งด่วนหรือ”

“แน่นอน”

มิผิด คนที่ต่อความกับถังฟั่นผู้นี้ก็คือวังจื๋อที่มิได้พบพานนานวันนั่นเอง

วังกงกงอยู่เมืองหลวงแท้ๆ ไยวิ่งมาหาถังฟั่นถึงอำเภอเซียงเหอ

แม้อำเภอเซียงเหอจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทว่าถังฟั่นก็มิได้หลงตัวเองถึงขั้นที่วังจื๋อต้องมาสนทนาความหลังกับตนด้วยความว่างเป็นอันขาด

ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

ฝ่ายวังจื๋อก็มิได้รอคอยว่าอีกฝ่ายจะรับคำหรือไม่ กล่าวแล้วเสร็จก็ผุดลุกขึ้นเดินออกด้านนอก

ถังฟั่นอับจนหนทางจึงได้แต่ตามไป จากนั้นให้เฉียนซันเอ๋อร์ไปแจ้งต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อและเฮ่อหลินรับทราบว่าตนมีเรื่องราวเร่งด่วนจำต้องขอตัวจากงานเลี้ยงก่อน อีกสักครู่จะกลับไปเอง พวกเขาไม่ต้องรั้งรอ

คนว่างงานที่ปราศจากตำแหน่งจะมีเรื่องราวเร่งด่วนอันใดถึงกับต้องละทิ้งงานเลี้ยงกลางคัน นี่แตกต่างกับนายอำเภอเวิงซึ่งมีภารกิจติดตัว พฤติกรรมเช่นนี้นับว่าเสียมารยาทอย่างมาก

ทว่ายามนี้ถังฟั่นหาแยแสความคิดเห็นของคนสกุลเฮ่อไม่ เขาติดตามวังจื๋อออกจากคฤหาสน์สกุลเหวย รุดมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ

เท่าที่ถังฟั่นคลุกคลีกับสำนักประจิมหลายครา ย่อมมองออกว่าบริเวณโดยรอบและนอกในของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนมีเจ้าหน้าที่ของสำนักประจิมปะปนอยู่ ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า แน่นอนว่าห้ามออกเช่นกัน

คิดว่าวังจื๋อเร่งร้อนรุดมาเช่นนี้คงไม่สะดวกทำอะไรเอิกเกริก

ทั้งคู่ตรงดิ่งขึ้นชั้นสองของโรงเตี๊ยม ปิดประตู วังจื๋อแกะหนวดปลอมออก กลับสู่โฉมหน้าแท้จริงในที่สุด

“มารดามันเถอะ! ของพวกนี้แปะติดบนหน้าช่างเกะกะสิ้นดี!” เขาปั้นหน้าหงุดหงิด

“…ข้ามองดูก็รู้สึกแสลงตา แกะออกมาเป็นดีแล้ว” ถังฟั่นกล่าว

“เจ้าเหน็บแนมข้า?” วังจื๋อหรี่ตาจ้องเขา

ถังฟั่นนึกในใจ…โอ้ ขออภัยจริงๆ ถูกท่านมองออกแล้วหรือนี่

ทว่าคำพูดนี้เป็นเพียงความคิดเท่านั้น เขารู้สึกว่าตนเป็นผู้มีการศึกษาคนหนึ่ง ไม่พึงวิวาทะกับวังกงกงด้วยปัญหาที่ไร้แก่นสารเช่นนี้ จึงเอ่ยถาม “ตกลงเกิดเรื่องอันใดรึ ท่านถึงกับต้องลดเกียรติมาหาข้าเช่นนี้”

วังจื๋อกล่าว “ทางรัชทายาทเกิดเรื่องเล็กน้อย”

รัชทายาทกำลังจะอายุครบสิบพรรษา แม้จะสุขุมหนักแน่นเกินวัย หากที่สุดแล้วก็คือเด็กน้อยคนหนึ่ง

เมื่อเป็นเด็กก็อาจกระทำผิดเยี่ยงเด็ก มิเช่นนั้นคงกลายเป็นตัวประหลาดแท้จริง

เรื่องที่วังจื๋อบอกเล่านี้ กล่าวตามตรงก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด

หลังจากจี้เฟยสิ้นพระชนม์ พระศพถูกฝังในสุสานกษัตริย์และตั้งป้ายสถิตวิญญาณสำหรับเซ่นไหว้ไว้ในวังหลวงอีกแห่งหนึ่ง แต่เพราะวั่นกุ้ยเฟยที่กระทั่งพระพันปีโจวยังทรงตักเตือนรัชทายาทว่าอย่าได้เที่ยวไปตำหนักอื่น เลี่ยงมิให้สะกิดโทสะวั่นกุ้ยเฟยจนกระทำเรื่องราวอันใดซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเขา

ยามนี้วันคล้ายวันเกิดของจี้เฟยใกล้เวียนมาถึง รัชทายาทรำลึกถึงพระมารดา แต่ก็มิอาจรุดไปตำหนักอื่น จึงได้แต่ตั้งแท่นบูชาในตำหนักบูรพาเพื่อเซ่นไหว้อย่างลับๆ ทั้งหวนไห้รำพันความในใจต่อพระมารดาซึ่งไม่พ้นคำตัดพ้อประสาเด็กน้อย เช่นไยพระมารดาจึงทอดทิ้งไป ปล่อยให้ลูกตกระกำลำบากอะไรจำพวกนี้

เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ หนำซ้ำรัชทายาทก็มีชีวิตอยู่ด้วยความกดดันแท้จริง ยามนี้พระบิดาของเขาหาได้มีเขาเป็นบุตรเพียงคนเดียว ทั้งยังทรงทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญเพียรและสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ไม่มีเวลาอบรมดูแลรัชทายาทแม้แต่น้อย

หานเจ่าตายแล้ว หยวนเหลียงก็ตายแล้ว คนใกล้ชิดข้างกายรัชทายาทแทบนับคนได้ ทั้งเขาก็ไม่อาจไปตัดพ้อกับเหล่าราชครู ถ้อยคำเหล่านี้หากไม่กล่าวกับพระมารดาแล้วจะกล่าวกับใครได้เล่า

ทว่าผู้กล่าวไร้จิต ผู้ฟังมีใจ เรื่องที่รัชทายาทแอบเซ่นไหว้และถ้อยคำที่รำพันต่อพระมารดาเหล่านี้กลับถูกผู้อื่นได้ยินเข้า กระทั่งล่วงรู้ถึงหูวั่นกุ้ยเฟยจนได้

หูตาของวั่นกุ้ยเฟยกระจายทั่ววัง แม้แต่ข้างกายรัชทายาทก็ไม่เว้น แม้ในตำหนักบูรพาจะพันระแวดหมื่นระวัง ทั้งมีผู้จงรักภักดีไม่น้อย กลับมิอาจกีดขวางไม่ให้วั่นกุ้ยเฟยส่งคนมาสอดแนม มาดักฟังความลับของรัชทายาทตลอดเวลาได้

เมื่อวั่นกุ้ยเฟยทราบเรื่อง ในใจทั้งโกรธแค้นและหวั่นหวาด จึงไปเพ็ดทูลต่อจักรพรรดิว่ารัชทายาทยังไม่ลืมการตายของพระมารดา จิตใจคับแค้นอาฆาต ทั้งเอ่ยวาจาเนรคุณต่อหน้าแท่นบูชา หากคนทั่วไปกระทำเช่นนี้ก็แล้วไป อย่างมากนางแค่อดทนต่อความไม่เป็นธรรม ทว่านี่เป็นวาจาจากปากรัชทายาท หากวันหนึ่งบ้านเมืองอยู่ในกำมือ เช่นนั้นก็ทำให้ผู้อื่นวิตกแล้ว

จะว่าไปวั่นกุ้ยเฟยก็รู้จักใช้ปัญญาบ้างแล้ว ไม่เพียงเอ่ยอ้างในส่วนของตน ยังพาดพิงถึงระดับบ้านเมือง คำกล่าวนี้ทำให้จักรพรรดิขมวดคิ้วไม่คลายดังคาด จังหวะนั้นหลี่จือเสิ่งและจี้เสี่ยวซึ่งเป็นพวกพ้องของวั่นกุ้ยเฟยก็ผลัดกันขึ้นหน้ายกยอปอปั้นองค์ชายจูโย่วหยวนที่เกิดจากเซ่าเฉินเฟย

สำคัญที่สุดก็คือวั่นกุ้ยเฟยยังกราบทูลถ้อยคำวิพากษ์ว่ารัชทายาทอายุยังเยาว์ก็รู้จักแสวงหาบารมีชื่อเสียง มีจิตเจตนาคบหาขุนนางใหญ่ ให้พวกเขาสรรเสริญชื่อเสียงดีงามของตนสู่ภายนอก นี่จึงทำให้ข้างกายรัชทายาทเต็มไปด้วยขุนนางท้องถิ่นจำนวนหนึ่ง คนเหล่านี้คงเห็นว่าลาภยศในวันนี้ไร้ซึ่งความหวัง ใคร่ประจบสอพลอรัชทายาทเพื่อสะสมเป็นความดีความชอบในวันหน้าเมื่อรัชทายาทครองบัลลังก์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปให้เกรงว่าอาจสั่นคลอนถึงอำนาจของฝ่าบาทได้

ไม่ต้องคิดก็ทราบว่าถ้อยคำเหล่านี้ย่อมมิใช่วั่นกุ้ยเฟยสามารถกล่าวออกมาเองได้ ข้างกายนางต้องมีผู้รู้คอยออกความคิดเห็นให้นาง

จักรพรรดิเฉิงฮว่าแต่ไหนแต่ไรพระทัยอ่อน พระองค์เป็นกษัตริย์องค์หนึ่ง เมื่อเป็นกษัตริย์ย่อมมีจุดอ่อนที่มิอาจให้ผู้ใดแตะต้อง

จุดอ่อนนี้คือราชบัลลังก์

และคนที่ออกความคิดเห็นให้วั่นกุ้ยเฟยก็จับจุดนี้ไว้ได้ แทงทะลุกลางพระทัยจักรพรรดิพอดิบพอดี

ทูลมากเข้าจักรพรรดิย่อมค่อยๆ หวั่นไหว เกิดความไม่พอพระทัยต่อรัชทายาทเป็นธรรมดา

เมื่อทอดสายตามองราชสำนักในเวลานี้ ขุนนางใหญ่ที่เที่ยงธรรมและกล้าออกเสียงล้วนถูกโยกย้ายออกนอกเมืองหลวง อำนาจกราบทูลในราชสำนักได้ถูกวั่นอันและพวกควบคุมไว้หมดแล้ว

ในสภาขุนนางกลับมีหลิวสวี่เป็นผู้สนับสนุนรัชทายาท ด้วยฐานะอาจารย์ของจักรพรรดิ เขาพอจะกราบทูลได้บ้าง ทว่าเขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ยิ่งไม่ยินดีล่วงเกินวั่นอันเกินควร บทบาทจึงมีจำกัด

ศัตรูแข็งเราอ่อน สถานะของรัชทายาทง่อนแง่นเจียนล้ม สำหรับคนที่ต้องการเห็นรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคต นี่ย่อมเป็นข่าวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ถังฟั่นฟังจบก็ถอนใจทีหนึ่ง “ข้าจะมีวิธีการอันใดได้ ท่านเห็นข้าเป็นจูเก่อหรือไร”

“แม้เจ้ามิใช่จูเก่อ ทว่าแต่ไรมาเจ้ามีข้อคิดเห็นมากมาย ย่อมต้องมีวิธีการอันใดสามารถขจัดความระแวงพระทัยของฝ่าบาทได้ มิฉะนั้นหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้สืบไป รัชทายาทคงโดนปลดแน่แล้ว” วังจื๋อกล่าว

ถังฟั่นเพ่งมองเขา “ท่านสนิทกับรัชทายาทถึงระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใดข้าไม่ยักรู้ ซ้ำยังปลอมตัววิ่งมาถึงที่นี่โดยเฉพาะ คงมีคนให้ท่านช่วยคิดหาวิธีกระมัง”

วังจื๋อก็มิได้ปฏิเสธ “มิผิด ในวังมีคนไหว้วานข้าจริง ทุกวันนี้คนที่ช่วยพูดจาแทนรัชทายาทได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย บวกกับฝ่าบาทยังไม่ตัดสินพระทัยเด็ดขาด ทุกอย่างยังพอมีหนทางกอบกู้ ตัวข้าเองไม่สะดวกกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ แม้แต่คนที่ไหว้วานข้าคนนั้นยังไม่สามารถ ข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง คิดมาคิดไป มีก็เพียงเจ้าที่สามารถช่วยขบคิดวิธีได้”

ถังฟั่นยิ้มขื่น “ข้ากับรัชทายาทพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง ยิ่งเวลานี้แม้แต่ตำแหน่งข้าก็ไม่มีแล้ว มีหรือที่ฝ่าบาทจะทรงรับฟังวาจาของผู้ว่างงานเช่นข้า ว่าแต่คนในวังที่ไหว้วานท่านคือ…ไหวเอินหรือ”

วังจื๋อเงียบไปอึดใจ “ใช่”

ถังฟั่นเอ่ยเสียงฉงน “เท่าที่ข้ารู้ แม้ไหวเอินจะมีคุณสมบัติและประสบการณ์ไม่เทียบเท่าเหลียงฟัง แต่เขาได้รับความไว้วางพระทัยจากจักรพรรดิเสมอมา คำพูดของเขา พระองค์จะไม่ทรงรับฟังได้อย่างไร”

อันที่จริงในอดีตวังจื๋อกับไหวเอินจัดอยู่ในประเภทน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง* ครั้งนี้ไหวเอินสามารถให้เขาช่วยคิดหาวิธี คาดว่าคงเพราะวังจื๋อเชื่อฟังคำเตือนของถังฟั่นคราก่อน หนำซ้ำทั้งสองได้ผูกสัมพันธ์อันดีต่อกันเรียบร้อยแล้ว

วังจื๋ออธิบายว่า “เพราะเรื่องที่ฝ่าบาททรงลงอาญาพวกขุนนางราชสำนัก ไหวเอินได้ทูลขอความเมตตาแทนพวกเขาหลายต่อหลายครั้งจนสร้างความขุ่นเคืองต่อฝ่าบาทไม่น้อย คราวก่อนมีคนขี้ประจบจะถวายของล้ำค่าเพื่อซื้อตำแหน่ง ไหวเอินไม่ยอมถ่ายทอดราชโองการ ทั้งยังให้พวกหลิวสวี่และอวี๋จื่อจวิ้นกราบทูลทัดทานต่อฝ่าบาทในท้องพระโรง สุดท้ายคนเหล่านั้นไม่กล้า ทำเอาไหวเอินตกอยู่ในภาวะหัวเดียวกระเทียมลีบ สุดท้ายเกือบโดนฝ่าบาทกริ้ว ดังนั้นทุกวันนี้เขาจึงไม่กล้าพูดจาแทนรัชทายาทมากนัก กลัวจะทำดีกลายเป็นให้ร้าย”

วังจื๋อแค่นเสียงฮึ ก่อนเล่าต่อ “และในตอนนั้นข้าก็เสนอตัวเข้าไปพอดี ดังนั้นเพื่อเป็นการหยั่งเชิงว่าข้าจริงใจต่อรัชทายาทหรือไม่ ตาแก่นี่จึงโยนโจทย์ยากให้ข้า” เขาพูดจบก็หันมองถังฟั่น “แต่จะว่าไปเป็นเพราะเจ้าให้ข้าไปคบหากับเขา เช่นนั้นเรื่องนี้เจ้าก็ต้องมีส่วนด้วย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องคิดวิธีออกมาให้ข้า”

“…”

ถังฟั่นนิ่งอึ้ง…ข้าเตือนท่านด้วยความหวังดี กลับกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวเสียนี่

วังจื๋อเห็นถังฟั่นปั้นหน้าจำใจก็พลันแย้มยิ้มซ่อนนัย “หากคราวนี้เจ้าช่วยรัชทายาทผ่านพ้นวิกฤตได้ ข้าก็มั่นใจว่าสามารถทำให้เจ้าคืนสู่ตำแหน่งได้เช่นกัน”

ถังฟั่นนึกในใจ…ข้าหาได้ร้อนใจไม่ ตอนนี้อิสรเสรี สุขสำราญเพียงใดอย่าให้พูดเลย

ทว่าเขาเองก็ประทับใจในตัวรัชทายาทไม่น้อย ก่อนนี้ไม่รู้เรื่องก็แล้วไป ในเมื่อรู้แล้ว หากยังไม่ถามไถ่กลับจะรู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจ

ถังฟั่นเอ่ยเสียงขรึม “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ฝ่าบาทมีแนวโน้มจะถอดตำแหน่งรัชทายาทแล้วหรือ”

วังจื๋อกล่าว “ไม่มี แต่ตอนที่รัชทายาทไปถวายพระพรฝ่าบาท พระองค์ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า รับสั่งให้เขากลับไปตั้งใจเล่าเรียน”

นี่ออกจะไม่ปกติจริงๆ

ถังฟั่นขมวดคิ้ว “ในราชสำนักมีขุนนางคนใดพูดจาแทนรัชทายาทหรือไม่ พวกอาจารย์ของรัชทายาทเล่า คงมิได้นิ่งดูดายกระมัง”

“ล้วนไปกราบทูลแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์ ได้ยินว่าหลังจากพวกเขาถวายบังคมลา ฝ่าบาทเหมือนจะพระทัยอ่อนลง และเตรียมจะยกโทษให้รัชทายาท ที่ไหนได้ไม่รู้ใครไปเป่าหูอีก สุดท้ายฝ่าบาทกลับเรียกตัวรัชทายาทไปตำหนิเสียยกใหญ่”

“ทางพระพันปีโจวเล่า พระนางเป็นผู้ชุบเลี้ยงรัชทายาท ย่อมไม่ยินดีเห็นรัชทายาทถูกปลดกระมัง”

“ระยะนี้พระพลานามัยของพระพันปีโจวไม่แข็งแรงนัก ประชวรจนลุกไม่ขึ้น เรื่องพวกนี้พระนางไม่ทราบ และไม่มีใครกล้ากราบทูล…บอกความลับเจ้าอย่างหนึ่งแล้วกัน ความจริงแล้วอุปนิสัยพระพันปีโจวค่อนข้างไปทางข่มคนอ่อนกว่า กลัวคนแข็งกว่า ดังนั้นนางออกจะกริ่งเกรงวั่นกุ้ยเฟยไม่น้อยทีเดียว”

ถังฟั่นก็เคยได้ฟังมา วั่นกุ้ยเฟยถูกพระพันปีซุนหรือก็คือเสด็จย่าของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันคัดเลือกไปถวายงานปรนนิบัติจักรพรรดิเฉิงฮว่า ช่วงหลายปีที่จักรพรรดิเฉิงฮว่าโดนเสด็จอากักบริเวณก็เป็นวั่นกุ้ยเฟยที่ร่วมตกระกำลำบากกับเขาในตอนนั้น มิใช่พระพันปีโจวมารดาผู้ให้กำเนิด

ดังนั้นต่อให้จักรพรรดิเฉิงฮว่ากตัญญูต่อพระมารดา แต่อย่างไรพระพันปีโจวก็ต้องรู้สึกร้อนตัว ส่งผลให้นางมีความกริ่งเกรงต่อวั่นกุ้ยเฟยอยู่บ้าง

หนำซ้ำได้ยินว่าความดุร้ายของวั่นกุ้ยเฟยที่แม้แต่พระพันปีโจวยังเกรงกลัว ทำให้ปีนั้นจักรพรรดิจะปลดอัครมเหสี พระพันปีโจวยังไม่กล้าคัดค้านถึงที่สุด เวลานี้ถึงแม้จะรักหลาน ทว่าบทบาทกลับมีจำกัด

คิดลงลึกอีกชั้นหนึ่ง ไม่ว่าโอรสองค์ใดของจักรพรรดิได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทก็ล้วนแต่เป็นหลานแท้ๆ ของพระพันปีโจวทั้งสิ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงความกตัญญูต่อพระนางผู้เป็นเสด็จย่า เช่นนี้แล้วพระพันปีโจวไยต้องหมองใจกับจักรพรรดิเพื่อรัชทายาทด้วยเล่า

แต่ข่าวลือเหล่านี้ฟังแล้วก็แล้วกัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์เจาะลึก

เมื่อได้ยินว่าทางพระพันปีโจวก็ไม่ได้ผล ถังฟั่นส่ายหน้าไปมา กล่าวอย่างอ่อนใจ “ท่านออกจะยกย่องข้าเกินไปแล้ว คนมากมายยังไร้วิธีการ ข้ามีความสามารถอันใดเล่า แม้ข้าเองก็มิอาจทนดูรัชทายาทตกทุกข์ แต่ปัญหาคือข้าเป็นคนต่ำต้อย วาจาไร้น้ำหนัก เกรงว่าคงช่วยไม่ได้”

วังจื๋อผิดหวังเล็กน้อย ตนเห็นถังฟั่นช่วยออกความเห็นหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนประสบผลก็เพราะเชื่อฟังวาจาของเขา วังจื๋อจึงไปสานสัมพันธ์กับไหวเอิน ได้แต่หวังว่าครานี้เขาจะสามารถขบคิดวิธีการอันใดที่ผู้อื่นคิดไม่ถึงได้

หากคราวนี้รัชทายาทสามารถผ่านพ้นวิกฤต ความดีความชอบของเขาก็จะโดดเด่นเห็นชัด

แต่ข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่านี่เป็นเพียงตนตั้งความหวังสูงเกินไปเท่านั้นเอง

ถังฟั่นเอ่ยน้ำเสียงรวนเร “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง แต่ความจริงจะว่าเป็นวิธีก็ไม่เชิง…”

หลังผิดหวังแล้วมีหวังขึ้นมาอีกครั้ง วังจื๋อจึงฉุน “เป็นชายชาตรีแท้ๆ ไยพูดจายึกยัก เจ้าจะรวบรัดตัดความหน่อยมิได้หรือ”

“ก่อนอื่นให้รัชทายาทหาทางเข้าเฝ้าฝ่าบาทตามลำพัง และขออภัยโทษต่อฝ่าบาท”

“จากนั้นเล่า”

“ไม่มีแล้ว เท่านี้เอง”

“…นี่นับเป็นวิธีการอันใดกัน หากขออภัยโทษแล้วได้ผล ไฉนยังต้องยุ่งยากซับซ้อนปานนี้”

ถังฟั่นแบมือ “ข้าเคยเข้าเฝ้าจักรพรรดิแค่สองครั้ง ไม่เข้าใจอุปนิสัยของพระองค์นัก แต่ฝ่าบาทต้องไม่ใช่กษัตริย์ที่โหดร้ายแน่ เพราะหลายปีที่ผ่านมาขุนนางใหญ่ที่ต้องโทษ น้อยรายนักที่จะโดนตัดหัวและประหารทั้งตระกูล อย่างมากก็โดนเนรเทศ ดังนั้นพระองค์ต้องไม่มีความชมชอบในการฆ่าคนแน่นอน อันที่จริงเจ้าแผ่นดินเช่นนี้ทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ไม่ยาก ยิ่งไปกว่านั้นรัชทายาทเป็นโอรสที่ทรงเฝ้ารอมาหลายปี ซ้ำยังเป็นทายาทผู้สืบทอด ตามเหตุผลแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะเลือดเย็นแล้งน้ำใจต่อรัชทายาท ดังนั้นต้องมีใครคอยยุยงอยู่ข้างๆ เป็นแน่ ทำให้ฝ่าบาทเข้าใจผิดต่อรัชทายาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

วังจื๋อสะดุดใจ ในที่สุดก็ฟังออกถึงความนัยบ้างแล้ว “พูดต่อ”

“ดังนั้นแทนที่พวกท่านจะให้คนมากมายไปขอร้อง มิสู้ให้รัชทายาทไปคนเดียว ระหว่างพ่อลูกจะมีเงื่อนปมอันใดที่คลี่คลายไม่ได้เล่า ปีนี้รัชทายาทเองก็เพิ่งจะสิบพรรษา ทั้งมิได้ก่อกบฏชิงบัลลังก์จริงๆ ฝ่าบาทไม่มีเหตุผลอันใดไม่อภัยให้เขา รัชทายาทแอบตั้งแท่นบูชาซึ่งเดิมก็ไม่ถูกกฎระเบียบอยู่แล้ว ดังนั้นขอเพียงเขายอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นทุกอย่างให้อ้างไปที่ความกตัญญู ทำให้ฝ่าบาทรู้สึกว่ารัชทายาทที่สามารถกตัญญูต่อมารดาผู้ล่วงลับเช่นนี้ ภายหน้าย่อมต้องเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณา ยิ่งไม่มีทางกระทำเรื่องเนรคุณอันใดเป็นแน่”

วังจื๋อทำท่าครุ่นคิด “นี่นับเป็นวิธีการที่ดีวิธีหนึ่ง”

“ข้าเพียงออกความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ความดีความชอบท่านเอาไป แต่ผิดบาปโปรดอย่าโยนให้ข้าแบก ข้าก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”

วังจื๋อแค่นหัวเราะ “ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ เอาล่ะ เลิกพูดเล่นก่อน อีกไม่กี่วันข้าต้องเดินทางไปเหอเถ้า ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบหน้ากันอีก เจ้าวาดภาพให้ข้าภาพหนึ่ง”

ถังฟั่นขมวดคิ้ว “ข้าเคยเตือนท่านแล้วมิใช่หรือ ว่าอย่าข้องเกี่ยวกับเรื่องชายแดน”

“เจ้านึกว่าข้ายินดีรึ ศึกสงครามในเหอเถ้ายังไม่จบ แต่เพราะแนวหน้ามีรองเสนาธิการ ข้าถึงกลับมาเที่ยวหนึ่งได้โดยใช้ข้ออ้างว่าสำนักประจิมเกิดเรื่อง ไม่ช้าก็ต้องกลับไปแล้ว ถึงจะรามือก็ต้องรอให้เสร็จศึกก่อนค่อยว่ากัน มิฉะนั้นหากไม่มีข้าช่วยพูดอยู่ข้างๆ ไม่ช้าราชสำนักก็จะตามตัวพวกหวังเยวี่ยกลับมา เจ้าก็รู้ดีว่าเวลานี้ฝ่าบาทไม่มีแก่ใจทำศึกสงคราม”

นั่นแน่นอนอยู่แล้ว จักรพรรดิจะฝึกบำเพ็ญเพียรและสร้างอาราม การสู้รบที่สิ้นเปลืองงบประมาณปานนั้นเขาย่อมรู้สึกว่าแทนที่จะเอาเงินไปทำสงคราม มิสู้เก็บไว้ให้ตนเองบูชาเทพเจ้าดีกว่า

ถังฟั่นถอนใจคราหนึ่ง มิได้พูดต่อ เพียงประสานมือ “แนวหน้าล่อแหลมอันตราย วังกงกงโปรดถนอมตัว”

วังจื๋อโบกมือ “พอแล้วๆ ไม่ต้องพูดมาก ชายอกสามศอกไยต้องพิรี้พิไรเยี่ยงสตรี ข้าให้คนจัดเตรียมหมึกพู่กันและกระดาษไว้แล้ว เวลาเหลือน้อย เจ้ารีบวาดภาพเสีย วาดเสร็จข้ายังต้องให้คนเอาไปแต่งขอบให้สวยงามอีก”

ถังฟั่นมึนงง “ไยจู่ๆ ให้ข้าวาดภาพ”

วังจื๋อเริ่มรำคาญ “หากบอกว่าข้าเลื่อมใสเจ้า อยากนำภาพติดตัวกลับไป จะได้ยลของระลึกถึงคนทุกเช้าค่ำ เจ้าเชื่อหรือไม่”

“…”

วังกงกงพูดจาเหลวไหลได้พักหนึ่ง เห็นเขาทำท่ากระตุกมุมปากค่อยใจดีบอกกล่าวตามจริง “หากข้าบอกว่าภาพนี้อาจช่วยให้เจ้าคืนสู่ตำแหน่งได้ ทีนี้เจ้าจะเชื่อหรือไม่”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “คำอธิบายเช่นนี้ยังพอให้น่าเชื่อ หากเป็นเหตุผลเมื่อครู่ เกรงว่าข้าต้องใช้นิ้วเท้าวาดภาพให้ท่านแล้ว ยามที่ท่านระลึกถึงข้าจะได้เกิดอาการคลื่นเหียน”

“เดี๋ยวเถอะ!” วังจื๋อถลึงตาดุ “อย่ามัวแต่ลับฝีปากกับข้านักเลย เร็วเข้า เวลาไม่รอท่า วาดภาพไม่ต้องพิถีพิถันนัก เพียงสื่อความหมายได้ก็พอ ทางที่ดีให้วาดภูเขาสายน้ำนกน้อยดอกไม้บาน แต่อย่าวาดเหมยแดงหิมะเกาะ หรือเบญจมาศโรยร่วงอะไรพวกนั้น”

เงื่อนไขนี้ฟังแล้วพิลึกยิ่ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีไม่ยอมบอกกล่าวสาเหตุอย่างชัดเจน ถังฟั่นก็ไม่สะดวกซักไซ้

แต่ต่อให้วังจื๋อมิได้แสดงชัด ถังฟั่นก็ตระหนักว่าอย่างไรต้องมิใช่เรื่องเลวร้าย เขาจึงกล่าว “หากท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ ที่เมืองหลวงก็มีผลงานเก่าของข้าอยู่หลายภาพ”

วังจื๋อส่ายศีรษะ “พวกนั้นไม่ได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นภาพเก่า ข้าต้องการภาพที่เพิ่งวาดสดๆ ร้อนๆ”

ถังฟั่นกระจ่างแล้ว “เช่นนั้นท่านให้เวลาข้าครุ่นคิดสักครู่ กะทันหันเช่นนี้ข้าคิดไม่ออก”

“มีเวลาแค่หนึ่งก้านธูป* เท่านั้น อีกประเดี๋ยวข้าต้องกลับเมืองหลวงแล้ว เจ้าต้องมอบภาพนี้แก่ข้าให้ได้” วังจื๋อกล่าว

ถังฟั่นหัวเราะขื่น ส่ายหน้าไปมา แต่ก็มิได้โต้แย้งกับเขาอีก สืบเท้าถึงหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง บนนั้นตระเตรียมหมึก พู่กัน และสีไว้พร้อมสรรพ กระทั่งกระดาษวาดภาพก็เป็นของชั้นดี

เขาหลับตาครุ่นคิดอยู่อึดใจ ค่อยๆ เริ่มวาดเค้าโครงของภาพในหัว

จากนั้นลืมตา ถือพู่กัน จุ่มหมึก เริ่มจรดพู่กัน

กล่าวว่าหนึ่งก้านธูป ความจริงไหนเลยเพียงพอ แต่ถังฟั่นตวัดพู่กันฉับไวดั่งสายน้ำเชี่ยว สีหน้าจดจ่อ วังจื๋อเองก็มิได้เร่งเร้า

จวบจนธูปไหม้หมดดอกและอีกสองเค่อผ่านไป ถังฟั่นค่อยระบายลมหายใจยืดยาว งานสำเร็จลุล่วง

วังจื๋อชะโงกดู เพียงเห็นบนกระดาษขาวมีดอกจื่อเถิงสีม่วงเป็นพุ่มๆ ห้อยระย้าลงมา ใต้ร่มไม้มีลูกไก่ตัวหนึ่งกำลังโลดเต้นเริงร่า

ถัดออกไปเป็นแม่ไก่แหงนคอหันมอง ในความสุขสันต์หรรษาคล้ายแฝงไว้ด้วยสายใยรักเต็มเปี่ยม

ถึงแม้เวลากระชั้นชิด ภาพค่อนข้างหยาบ ไม่สมดั่งใจหวัง แต่ภายในนั้นกลับแฝงนัยลึกซึ้ง มิเสียแรงที่ตนเร่งรุดมาเป็นพิเศษเพื่อให้เขาวาดภาพทันที

ขณะนั้นได้ยินเสียงฝีก้าวเร่งร้อนจากด้านนอก วังจื๋อขมวดคิ้ว “ด้านนอกเป็นผู้ใด ข้ามิได้สั่งว่าห้ามรบกวนหรอกหรือ”

เหนือความคาดหมาย กลับเป็นสุ้มเสียงของเหยียนหลี่ “ข้าเอง คุณชาย”

ถังฟั่นกล่าว “เข้ามา”

เหยียนหลี่ผลักเปิดประตู “คุณชาย นายน้อยเฮ่อโดนเฆี่ยนตี พี่สาวท่านต้องการให้ท่านกลับไปโดยเร็วที่สุด”

สกุลเฮ่อมีสมาชิกล้นหลาม ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อแม้มีหลานไม่น้อย แต่คนที่ทำให้เหยียนหลี่เรียกขานว่านายน้อยได้ย่อมมีเพียงบุตรชายของพี่สาวถังฟั่น…เฮ่อเฉิง

ถังฟั่นย่อมต้องไถ่ถาม “เรื่องอันใดกัน ผู้ใดบังอาจทุบตีเจ้าเจ็ด พี่สาวกับพี่เขยข้ามิได้ขัดขวางเลยหรือ”

เหยียนหลี่ยิ้มเจื่อน “ก็เพราะพี่เขยท่านเป็นคนเฆี่ยนตีเอง”

สกุลเฮ่อไปร่วมงานเลี้ยง พวกเด็กๆ ย่อมต้องติดสอยห้อยตาม

หลายครอบครัวล้วนนำสมาชิกในบ้านไปด้วย เด็กเล็กๆ อายุไล่เลี่ยจึงจับกลุ่มเล่นสนุกด้วยกัน

แม้กล่าวว่าชายหญิงเจ็ดขวบไม่ปะปน แต่ในความเป็นจริงก็มิได้เคร่งครัดปานนั้น ในสกุลเฮ่อก็มีเด็กอยู่หลายคนที่รุ่นเดียวกับเฮ่อเฉิง ในจำนวนนั้นคือบุตรธิดาสองคนของเฮ่อเซวียนกับเหวยซื่อ เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง อายุน้อยกว่าเฮ่อเฉิงราวปีกว่าสองปี

และยังมีรุ่นหลานของฝ่ายพี่น้องของท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ บ้างก็โตกว่าเฮ่อเฉิงเล็กน้อย ทว่าโดยมากอยู่ในช่วงวัยหกถึงแปดขวบ

ระหว่างเด็กด้วยกันยังแบ่งพรรคแบ่งพวกและไม่ระวังคำพูดคำจาซึ่งอาจทำร้ายจิตใจผู้อื่น คงเพราะปกติได้ยินผู้ใหญ่พูดอยู่บ่อยๆ บวกกับเฮ่อเฉิงนิสัยเงียบขรึม ทุกคนไม่อยากเล่นด้วย เฮ่อเฉิงจึงถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเป็นธรรมดา

ต้นเหตุของเรื่องก็คือเด็กกลุ่มหนึ่งพากันไปเล่นที่สวนด้านหลังโดยไม่ชวนเฮ่อเฉิง เฮ่อเฉิงอดอิจฉาไม่ได้จึงแอบตามไป

เหวยจูเหนียง บุตรีคนสุดท้องของเหวยเช่อหรือก็คือน้องสาวของเหวยซื่อ นางมีหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ขณะที่ทุกคนกำลังเล่นสนุกด้วยกัน เหวยจูเหนียงจึงมักกลายเป็นดาวล้อมเดือนในหมู่เด็กชาย

วันนี้ก็เช่นกัน เหวยจูเหนียงบอกว่าอยากได้ดอกไม้มาร้อยเป็นสร้อย และบอกอีกว่าอยากเลี้ยงลูกนกสักตัว เด็กชายกลุ่มหนึ่งจึงวิ่งกรูกันไปเด็ดดอกไม้และจับนกให้นาง นี่ทำให้เด็กหญิงหลายคนที่เหลือพากันอิจฉาตาร้อน และในจำนวนนั้นก็มีญาติผู้น้องของเฮ่อเฉิงรวมอยู่ด้วย

พวกเด็กหญิงไม่พอใจเหวยจูเหนียงจึงละเลยนางเหมือนที่ละเลยเฮ่อเฉิง จูงมือกันไปเล่นที่อื่น ไม่สนใจเหวยจูเหนียงอีก

ใจหนึ่งเหวยจูเหนียงอยากตามไป อีกใจก็กลัวเสียหน้า จึงได้แต่นั่งอยู่ทางหนึ่งด้วยความฮึดฮัดขัดใจ

วัยอย่างเฮ่อเฉิงก็มีสายตาชื่นชมความสวยความงามแล้ว เขาเองชมชอบเด็กหญิงหน้าตาสะสวยอย่างเหวยจูเหนียงเช่นกัน จึงทำใจกล้าขึ้นหน้าไปทักทายนาง แต่เสียดายเหวยจูเหนียงไม่ไยดี ยังบอกอีกว่าบิดาเขาเป็นซิ่วไฉไส้แห้งที่ใช้การไม่ได้ ทั้งสองถกเถียงยกใหญ่ สุดท้ายเฮ่อเฉิงวิ่งผละไปด้วยความโมโหระคนเสียใจ

เรื่องถึงตรงนี้ล้วนเป็นแค่การทะเลาะวิวาทของเด็กน้อยฉากหนึ่งเท่านั้น หลายคนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กล้วนเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ ซึ่งไม่นับเป็นเรื่องแปลกอันใด

ทว่าหลังจากเฮ่อเฉิงจากมาไม่นาน เขาก็ถูกคนของสกุลเฮ่อตามหาจนเจอและแจ้งว่าเหวยจูเหนียงเสียชีวิตแล้ว

นางตกลงไปในบ่อและจมน้ำตาย

เด็กหญิงสองคนที่แยกกับเหวยจูเหนียงก่อนหน้านั้น รวมถึงญาติผู้น้องของเฮ่อเฉิง ล้วนกล่าวว่าได้ยินเสียงเฮ่อเฉิงกับเหวยจูเหนียงถกเถียงกัน

ดังนั้นคนอื่นพอฟังก็จะสงสัยว่าเฮ่อเฉิงเถียงสู้ไม่ได้จึงพลั้งมือผลักเหวยจูเหนียงลงบ่อด้วยความโมโห ด้วยกลัวว่าจะถูกทำโทษจึงรีบวิ่งหนีไป

ถังอวี๋คิดไม่ถึง ตนแค่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองอายุครบเดือน ไยกลายเป็นเหตุร้ายใหญ่โตไปได้

ขณะนั้นเห็นสายตาผู้คนโดยรอบที่มองดูบุตรชายตนผิดแปลกขึ้นเรื่อยๆ คนที่รักหน้าตาอย่างเฮ่อหลินไหนเลยทานทนได้ หนำซ้ำบุตรชายยังยืนทื่อไม่พูดจาแก้ต่าง เขาพลันเลือดขึ้นหน้า ตรงเข้าไปทุบตีเฮ่อเฉิงต่อหน้าธารกำนัล

เมื่อถังอวี๋วิ่งมาถึงหลังทราบข่าว เฮ่อเฉิงก็โดนไปไม่น้อยแล้ว เฮ่อหลินไม่ยั้งมือแม้สักนิด ซ้ำยังเรียกบ่าวของสกุลเหวยนำไม้มา ลงมือเฆี่ยนด้วยตนเอง

ถังอวี๋ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง กลับเป็นท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อออกหน้าตวาดปรามเฮ่อหลิน

ถังฟั่นรับฟังจนคิ้วขมวดเป็นปม โดยเฉพาะเมื่อฟังถึงตอนเฮ่อหลินกระหน่ำตีเฮ่อเฉิงต่อหน้าฝูงชน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดำทะมึน

“ตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว พวกเขากลับคฤหาสน์สกุลเฮ่อหรือยัง”

เหยียนหลี่ส่ายศีรษะ “ตอนข้าออกมายังไม่กลับ ล้วนอยู่ที่คฤหาสน์สกุลเหวย ได้ยินว่าสกุลเหวยส่งคนไปแจ้งทางการแล้ว นายอำเภอเวิงเองก็รุดมาตรวจสอบด้วยตนเองแล้ว คุณชาย เรื่องนี้พวกเราจะก้าวก่ายหรือไม่”

เหตุที่เหยียนหลี่ต้องถามเช่นนี้ เนื่องเพราะยุคสมัยนี้บิดาทุบตีบุตรชายเป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม อย่าว่าแต่ทุบตี ต่อให้บิดาพลั้งมือสังหารบุตร นั่นก็ไร้ความผิดเช่นกัน แต่หากบุตรฆ่าบิดากลับโดนบั่นคอทันที

เฮ่อเฉิงเป็นคนของสกุลเฮ่อ ถังฟั่นกลับแซ่ถัง แม้เขาเป็นน้าชาย แต่หากเขาจะก้าวก่าย ดีไม่ดีอาจต้องแตกหักกับสกุลเฮ่อ

สุยโจวให้พวกเหยียนหลี่ติดสอยห้อยตามก็เพื่ออารักขาถังฟั่น เหยียนหลี่จึงมิได้กริ่งเกรงว่าจะทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต เขาเพียงอยากสอบถามถังฟั่นว่าต้องการให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตถึงระดับใด ตนจะได้เตรียมใจล่วงหน้า

ถังฟั่นเอ่ยเสียงเครียด “ย่อมต้องก้าวก่ายแน่นอน” จากนั้นหันมองวังจื๋อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แยกกันตรงนี้เถอะ”

เหยียนหลี่ก็สังเกตเห็นวังจื๋อแล้ว เวลานี้ฝ่ายหลังเอาหนวดเคราออกหมด เหยียนหลี่ย่อมจำได้แน่นอน

เขามองวังกงกงแห่งสำนักประจิมผู้นี้อย่างแปลกใจ ไม่กระจ่างว่าจู่ๆ อีกฝ่ายเร่งรุดจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ด้วยสาเหตุใด

แต่วังจื๋อกลับมิได้มองเหยียนหลี่ เพียงพยักหน้าให้ถังฟั่นเล็กน้อย

ถังฟั่นประสานมือให้เขา มิได้กล่าวมากความ หมุนตัวผลุนผลันออกไปพร้อมกับเหยียนหลี่ มุ่งหน้าสู่คฤหาสน์สกุลเหวย

 

เวลานี้สกุลเหวยกำลังชุลมุนวุ่นวาย

งานฉลองอายุครบเดือนที่กำลังครึกครื้นได้แปรสภาพเป็นบรรยากาศอัปมงคล แขกเหรื่อหลายคนทยอยจากไปและมีไม่น้อยที่รั้งอยู่รอชมเหตุการณ์ เหวยเช่อผู้เป็นเจ้าภาพหน้าตาเคร่งเครียด ส่วนไฉซื่อภรรยาเขากำลังวุ่นอยู่กับการกำกับบ่าวไพร่ส่งแขก เลี่ยงไม่ให้เกิดความวุ่นวายยิ่งขึ้น

นอกจากเหวยซื่อบุตรสาวคนโตที่แต่งให้กับเฮ่อเซวียน เหวยเช่อยังมีบุตรีอีกสี่คน ล้วนเกิดจากอนุแต่ละเรือน โตสุดสิบกว่าขวบซึ่งออกเรือนไปแล้ว เล็กสุดหกขวบ ซึ่งก็คือเหวยจูเหนียงที่เพิ่งเสียชีวิตนั่นเอง

เหวยจูเหนียงน่ารักฉลาดเฉลียว ทั้งสืบทอดความงามจากมารดา แม้เหวยเช่อวาดหวังจะได้บุตรชาย หากก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อความรักที่มีต่อบุตรสาวตัวน้อยของเขาแต่อย่างใด

เสียดาย เด็กหญิงซึ่งเป็นที่รักใคร่ทะนุถนอมยามนี้กลับนอนแน่นิ่งอยู่ข้างบ่อน้ำหลังจากที่ถูกงมขึ้นมา เนื้อตัวเปียกโชก ปราศจากลมหายใจ

มารดาของนางฟุบหน้าหวนไห้อยู่ข้างกาย

คนกลุ่มใหญ่ยืนมุงกันอยู่ในลานสวน มีนายอำเภอเวิง มีคนของสกุลเฮ่อ คนของสกุลเหวย ยังมีพ่อค้าคหบดีที่มีหน้ามีตาของอำเภออีกไม่น้อย

และอีกคนหนึ่งที่สองแก้มบวมตุ่ยคุกเข่าอยู่กลางลาน…เฮ่อเฉิง

ถังอวี๋อยู่ด้านข้างกอดลูกน้อยแน่น น้ำตารินหลั่ง

เหวยเช่อสีหน้าดำคล้ำ สุดระงับความโกรธกริ้ว ประสานมือต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ “เรียนถามชิ่งจยา* ข้ายกบุตรสาวให้สกุลเฮ่อ สิบกว่าปีมานี้นางเคยมีข้อบกพร่องอันใดในฐานะสะใภ้หรือไม่”

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอันใด เพียงตอบ “ไม่เคย”

“เช่นนั้นข้าเคยอาศัยบารมีชื่อเสียงของสกุลเฮ่อไปวางมาดเขื่องโขภายนอก หลอกลวงผู้อื่นหรือไม่”

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเอ่ยเนิบๆ “ก็ไม่เคย เราท่านสองตระกูลเกี่ยวดองสิบกว่าปี สนิทสนมกลมเกลียว ทุกคราที่มีงานซ่อมสะพานปูถนน สกุลเหวยของท่านให้ความสนับสนุนจุนเจือเป็นอย่างดี บันดาลให้ผู้คนเลื่อมใส ได้มีชิ่งจยาเช่นนี้นับเป็นเกียรติของสกุลเฮ่อแล้ว”

เหวยเช่อกล่าวเสียงขุ่นข้อง “เมื่อเป็นเช่นนี้ เบื้องหน้าหลักฐานแน่นหนา หวังว่าท่านผู้เฒ่าจะไม่ขัดขวางเรื่องที่ข้าเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อบุตรสาว”

เขาจ้องหน้าเฮ่อเฉิงเขม็ง เกลียดชังอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำด้วยเป็นไปได้อย่างมากว่าเขาฆ่าบุตรสาวของตน หากมิใช่คำนึงถึงนายอำเภอเวิงและคนของสกุลเฮ่อในที่นั้น เขาคงปราดเข้าไปทุบตีด้วยตนเองแล้ว

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเอ่ยเสียงขรึม “เวลานี้ความจริงยังไม่กระจ่าง ทั้งหมดยังต้องรอใต้เท้าเวิงตรวจสอบ สกุลเฮ่อเราทุกรุ่นล้วนขาวสะอาด หากปรากฏลูกหลานที่ประพฤติมิชอบขึ้นมา ชิ่งจยาหาจำเป็นต้องลงมือไม่ ตาเฒ่าคนนี้จะจัดการมันเป็นคนแรก!”

นายอำเภอเวิงระบายลมหายใจ “ดูก่อนเถอะว่าเฮ่อเฉิงจะพูดอย่างไร”

เฮ่อหลินหันไปตะคอกเฮ่อเฉิง “ลูกชั่ว! ยังไม่รีบเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบออกมา!”

สายตาทุกคู่จับอยู่ที่ร่างของเฮ่อเฉิงเขม็ง

เด็กน้อยเช่นเขาไหนเลยเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ครั้นเห็นสีหน้าดุร้ายน่ากลัวของบิดาก็พลันแข็งทื่อไปทั้งตัว เพียงซุกกอดมารดาแน่น พึมพำเสียงสั่น “ข้าไม่ได้ผลักนาง ข้าเปล่า!”

ถังอวี๋ซับน้ำตา กดไหล่เฮ่อเฉิงไว้ไม่ให้เขาวิ่งหนี พลางจ้องตาบุตรชาย “เจ้าเจ็ด บอกแม่มาตามตรง ก่อนนี้เจ้ามีปากเสียงกับอาห้าสกุลเหวยหรือไม่”

แม้เหวยจูเหนียงจะอ่อนกว่าเฮ่อเฉิงหนึ่งขวบ แต่เพราะนางเป็นน้องสาวของเหวยซื่อ และเหวยซื่อเป็นอาสะใภ้ของเฮ่อเฉิง ทั้งสองจึงมีศักดิ์เป็นอากับหลาน

เฮ่อเฉิงพะวักพะวนอยู่นาน ค่อยผงกศีรษะอย่างขลาดกลัว

ถังอวี๋ถาม “แล้วทะเลาะเสร็จเจ้าไปที่ใดอีก”

เฮ่อเฉิงชำเลืองบิดาแวบหนึ่ง ก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าปริปาก

เฮ่อหลินเห็นเข้าก็เดือดดาลขึ้นมาอีก

เขาทะนงตนมาครึ่งชีวิต แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าในสนามสอบขุนนาง เมื่อเกียรติยศดับสูญ สิ่งที่สามารถผดุงศักดิ์ศรีของเขาไว้ได้ก็เหลือแต่ชื่อเสียงดีงามในฐานะปัญญาชนเท่านั้น ยามนี้เฮ่อเฉิงทำให้เขาเสื่อมเสียหน้าตาจนหมดสิ้น และเป็นไปได้อย่างมากว่าอาจถูกสาปแช่งในฐานะลูกหลานอกตัญญูของสกุลเฮ่อด้วย ชั่ววูบนั้นเพลิงโทสะของเฮ่อหลินก็โชติช่วงสุดขีด เขาปราดขึ้นหน้ากระชากเฮ่อเฉิงจากอ้อมอกของถังอวี๋อย่างดุดัน เงื้อไม้พลองจนสุดมือ หมายฟาดให้สุดแรง

“ไม่!” ถังอวี๋ห้ามไม่ทัน ได้แต่กอดลูกน้อยไว้แน่น เอาตนเองขวางอยู่ด้านหน้า

“หยุดมือ!”

มีเสียงตวาดมาติดๆ เฮ่อหลินเพียงรู้สึกว่ามีเงาดำสายหนึ่งผ่าลงมาจากเหนือศีรษะ ตามด้วยท่อนแขนชาวูบ ไม่ทันกระจ่างชัดในเรื่องราว คนก็เซล้มไปด้านหลังแล้ว

เสียงโอดโอยดังขึ้นหลายคำ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเฮ่อหลินพลอยรับเคราะห์ โดนเขาล้มทับลงไป

เมื่อทุกคนมองเห็นชัดๆ ก็พบว่าคนโชคร้ายที่โดนลูกหลงก็คือเฮ่อเซวียนนั่นเอง

สองพี่น้องล้มกลิ้ง คนข้างๆ ช่วยพยุงพัลวัน เฮ่อหลินปล่อยไก่ต่อหน้าฝูงชน อดหน้าแดงไม่ได้ ทั้งอับอายทั้งโมโห

ไม่รอพวกเขาถามหาคนผิด ถังฟั่นก็สืบเท้าก้าวอาดๆ มาถึง เบื้องหลังตามติดด้วยเฉียนซันเอ๋อร์และกงซุนเยี่ยน

ส่วนเหยียนหลี่ที่เมื่อครู่เตะใส่เฮ่อหลินหนึ่งเท้ากลับพลิ้วร่างลงมาทางด้านข้าง พลางเหวี่ยงไม้พลองที่ชิงจากมือเฮ่อหลินออกไปกระแทกใส่ร่างเขาพอดิบพอดี พละกำลังที่ไม่เบาไม่หนักนั้นส่งให้ใบหน้าเขาเหยเก เห็นชัดว่าเจ็บไม่น้อยทีเดียว

เฮ่อหลินกราดเกรี้ยว “น้องภรรยา เจ้าอบรมผู้ใต้บัญชาเยี่ยงนี้หรือ ไฉนไม่รู้จักธรรมเนียมมารยาท”

ก่อนนี้เขาไม่เคยได้ฟังท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อวิเคราะห์ ย่อมไม่ทราบฐานะองครักษ์เสื้อแพรของเหยียนหลี่

เหยียนหลี่ตบมือไปมาพลางแค่นหัวเราะ “ท่านเก่งไม่เบานี่ ข้าเข้ากองปราบฝ่ายเหนือหลายปี ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้ากล่าววาจาเยี่ยงนี้ต่อองครักษ์เสื้อแพรเลยสักราย”

ทันทีที่เขาเปิดเผยฐานะตนเอง ทุกคนในที่นั้นล้วนตื่นตะลึง

แม้ก่อนนี้คนสกุลเฮ่อจะคาดคะเนไว้ ทว่าคาดคะเนกับความเป็นจริงอย่างไรก็เป็นคนละเรื่อง เวลานี้ได้รับการยืนยัน ในใจย่อมกระวนกระวายไม่เป็นสุข

มีก็แต่ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อที่ผ่านโลกโชกโชนที่ยังนับว่าเยือกเย็น

เขาประสานมือต่อเหยียนหลี่ “มิทราบท่านชื่ออะไร ดำรงตำแหน่งใดในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร”

เหยียนหลี่ก็ประสานมือคารวะตอบ “ข้าเหยียนหลี่ ตำแหน่งนายกองประจำกองปราบฝ่ายเหนือ”

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อสะท้านเล็กน้อย

เขายังเข้าใจว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นองครักษ์เสื้อแพร อย่างมากก็แค่ชนชั้นนิรนาม มิคาดว่ากลับมีฐานะเป็นถึงนายกอง

ถังฟั่นกระทำความผิดร้ายแรงอันใด ถึงกับต้องใช้นายกองมาควบคุม?

คิดถึงตรงนี้เขาก็สงบสติอารมณ์ เปล่งน้ำเสียงนอบน้อมถึงที่สุด “ใต้เท้าเหยียน ขอสนทนาเป็นการส่วนตัว”

คาดไม่ถึงว่าเหยียนหลี่กลับทำเหมือนฟังไม่เข้าใจ “ไม่จำเป็น สนทนาตรงนี้เถอะ”

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อสะอึก ได้แต่กล่าวว่า “เราผู้เฒ่าเมื่อครั้งยังอยู่ในตำแหน่งก็เคยคบหาพูดคุยกับผู้บัญชาการวั่นอยู่บ้าง”

“เวลานี้องครักษ์เสื้อแพรเพียงได้ยินแต่ผู้บัญชาการหยวน ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้บัญชาการวั่น”

ความหมายของเหยียนหลี่คือท่านคิดตีสนิทก็ไร้ประโยชน์ ข้ามิใช่คนของวั่นทง และไม่เห็นแก่หน้าเขาเช่นกัน

ความจริงแล้วก่อนนี้จักรพรรดิเคยตรัสว่าจะให้วั่นทงกลับเข้ามาดูแลองครักษ์เสื้อแพรอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งมอบงานกันได้รวดเร็วปานนั้น เวลานี้หยวนปินตระหนักในพระประสงค์ของจักรพรรดิ กำลังยื่นฎีกาขอเกษียณจากราชการฉบับที่หนึ่งพอดี ตามธรรมเนียมที่นิยมใช้กันในยุคนี้ ไม่ว่าจักรพรรดิจริงใจหรือเสแสร้งล้วนต้องยับยั้งพอเป็นพิธี จนกระทั่งหยวนปินขอลาออกซ้ำสาม พระองค์จึงค่อยอนุมัติ

ดังนั้นเวลานี้ผู้นำสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรในทางการแล้วยังคงเป็นหยวนปิน

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อไม่เคยพบเจอบุคคลที่อ่อนแข็งไม่กิน* เช่นนี้มาก่อน ด้วยความจนใจจึงได้แต่กล่าวตามตรง “ไม่ว่าอย่างไรนี่เป็นเรื่องในบ้านของสกุลเฮ่อ ใต้เท้าเหยียนรุดมา คิดว่าคงมีภารกิจติดตัว ฉะนั้นโปรดอย่าได้ก้าวก่าย เราผู้เฒ่าขอขอบคุณล่วงหน้าไว้ตรงนี้”

เหยียนหลี่มองถังฟั่นแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายสั่นหน้าเบาๆ จึงไม่สนใจวาจาของท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่ออีก เดินกลับไปหยุดยืนข้างกายถังฟั่น

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเห็นเช่นนั้น ในใจอดบังเกิดความตื่นตระหนกตกใจมิได้

หรือตนคาดคะเนผิดไป องครักษ์เสื้อแพรหาได้มาควบคุมถังฟั่น?

แต่หากมิได้มีหน้าที่มาควบคุม ไยพวกเขาจึงติดตามคนซึ่งถูกถอดตำแหน่งแล้วมาถึงที่นี่ได้เล่า

ต่อให้เป็นท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อที่เห็นโลกมามาก พริบตานั้นก็ยังมึนงง

คนอื่นๆ ในสกุลเฮ่อกลับมิได้ขบคิดลึกซึ้งปานนั้น โดยเฉพาะเฮ่อหลิน เมื่อครู่โดนเตะเท้าหนึ่ง ทั้งโดนขว้างด้วยไม้พลอง ทั้งเห็นผู้ติดตามของน้องชายภรรยาดุร้ายปานนั้น เพลิงโทสะในใจยิ่งร้อนแรง จึงตวาดถาม “รุ่นชิง นี่เจ้าหมายความว่ากระไร”

ถังฟั่นก็กำลังข่มเพลิงโทสะเช่นกัน แต่เขายิ่งโกรธกริ้ว บนใบหน้าก็ยิ่งชืดชา

“มิมีความหมายใด เพียงยับยั้งท่านมิให้เฆี่ยนตีบุตรชายตนเอง และเจ้าเจ็ดก็เป็นหลานข้าเช่นกัน!”

“เจ้าเจ็ดแซ่เฮ่อ มิได้แซ่ถัง ข้าเป็นบิดาของเขา ข้าใคร่เฆี่ยนตีเช่นไรก็เฆี่ยนตีเช่นนั้น ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ว่ากล่าว! ต่อให้เฆี่ยนตีจนตาย กฎหมายต้าหมิงก็ไม่สามารถตั้งข้อหาข้าได้! นับประสาอะไรกับเจ้าเดรัจฉานน้อยนี่ผลักคนตกบ่อน้ำ ข้าตีมันตายให้สิ้นเรื่อง เลี่ยงไม่ให้ออกไปสร้างความอับอายอีก!”

ถังฟั่นแค่นหัวเราะ “ช่างน่าเกรงขามนัก แม้แต่กฎหมายต้าหมิงท่านก็จดจำขึ้นใจปานนี้ แล้วไยไม่เห็นท่านสอบผ่านระดับจวี่เหรินให้ได้ชมดูสักครา”

เฮ่อหลินพลันหน้าแดงก่ำ มิใช่อับอาย แต่เลือดขึ้นหน้า

คำพูดเดียวของฝ่ายตรงข้ามแทงทะลุถึงจุดเจ็บของเขาแล้ว

แต่ถังฟั่นยังไม่คิดละเว้นเขา “ท่านผลาญเวลาไปยี่สิบปี อย่าว่าแต่จิ้นซื่อเลย แค่จวี่เหรินยังสอบไม่ผ่าน ดีแต่วางเขื่องกับบุตรภรรยา เวลานี้ความจริงอันใดล้วนยังไม่ปรากฏ ท่านกลับกล่าวว่าเจ้าเจ็ดมีความผิด ท่านเป็นนายอำเภอหรือเสนาบดีกรมอาญาหรืออย่างไร ท่านมีคุณสมบัติใดมาสรุปว่าเจ้าเจ็ดมีความผิด เก่งจริงท่านก็เฆี่ยนตีต่อไป ให้ชาวโลกล้วนประจักษ์ ตัวท่านเองไม่เพียงหาความสำเร็จไม่ได้ ยามนี้ยังถึงกับปรักปรำบุตรชายเพื่อหน้าตาตนเอง!”

ปกติใต้เท้าถังเป็นคนสุขุม ไม่โต้แย้งกับผู้ใดโดยง่าย ต่อให้ถูกวังกงกงด่าว่าเจ้าทึ่มก็เพียงถูๆ จมูก แย้มยิ้มแล้วผ่านไป

ทว่าผู้มีปัญญาความรู้ล้วนทราบว่าสิ่งใดพึงกระทำ สิ่งใดไม่พึงกระทำ การไม่ด่าทอผู้คนมิได้แปลว่าเขาด่าทอผู้คนไม่เป็น นั่นต้องดูว่าเขารู้สึกคุ้มค่าที่จะด่าทอหรือไม่

พริบตานั้นเฮ่อหลินไหนเลยจะสรรหาวาจามาตอกกลับได้ โดยเฉพาะเขาซึ่งเป็นคนรักศักดิ์ศรีปานนี้ถูกถังฟั่นประณามลงมาชุดใหญ่ สีหน้าพลันเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว จากเขียวเป็นขาว ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงไม่หยุด โทสะจู่โจมกลางใจจนอึดอัดขัดข้อง

เฮ่อหลินไหนเลยจะทนถูกน้องภรรยาสั่งสอนต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้ได้ พลันก้มเอวเก็บไม้พลอง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของสกุลเฮ่อ เจ้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย บุตรชายของข้า ข้าอบรมสั่งสอนเอง ตีตายก็ไม่ผิด”

วาจาแม้กล่าวได้รุนแรง แต่เมื่อเขาเห็นเหยียนหลี่และกงซุนเยี่ยนยืนจ้องเขม็งอยู่เบื้องหลังถังฟั่น ไม้พลองในมือไม่ทราบเหตุใดกลับหวดไม่ลงแล้ว

“หยุดปาก! เจ้าไม่มีสิทธิ์กล่าววาจาในที่นี้!” ที่เปล่งเสียงตวาดเขากลับเป็นท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ

เขาไม่แลสีหน้าแดงก่ำของบุตรชายสักนิด เดินฝ่ากลุ่มคนออกมา กล่าวกับถังฟั่น “หลานชาย ข้ามีคำพูดหลายคำใคร่ถามเจ้า ไม่เกี่ยวกับเรื่องราววันนี้ รบกวนหลานชายไปสนทนาด้วยกันทางนั้น”

แม้กอปรด้วยมารยาท แต่ถังฟั่นกลับมิได้เดินไปตามคำขอ เพียงยิ้มกล่าว “ท่านลุงมีวาจาใด เอ่ยตรงนี้ก็ใช้ได้แล้ว ผู้มีปัญญาความรู้หามีเรื่องลับลมคมในไม่”

เริ่มจากเหยียนหลี่ จากนั้นก็ถังฟั่น สองคนนี้ล้วนอ่อนแข็งไม่กิน ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่ออับจนปัญญา ได้แต่ถามว่า “หลานชายมาพำนักที่นี่ เดิมทีเราผู้เฒ่ายินดีเป็นที่สุด ทว่ายามนี้เมื่อทราบว่าที่ติดตามหลานชายมาด้วยยังมีองครักษ์เสื้อแพร เราผู้เฒ่าจึงอดไถ่ถามมากความมิได้ หวังว่าหลานชายจะไม่ถือสา”

ถังฟั่นผงกศีรษะ “ข้าทราบดีท่านลุงใคร่ถามอันใด สหายองครักษ์เสื้อแพรสองท่านนี้เนื่องเพราะวิตกว่าข้าเดินทางลำพังไม่ปลอดภัย จึงติดตามมาเป็นเพื่อน หาได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของราชสำนักไม่ ท่านลุงมิต้องกังวลจะเดือดร้อนถึงสกุลเฮ่อ”

ฐานะองครักษ์เสื้อแพรค่อนข้างอ่อนไหว ในเมื่อผู้อื่นล่วงรู้แล้ว สอบถามมากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อหลังทราบว่าเขาโดนถอดตำแหน่ง แต่ยังคงปฏิบัติต่อเขาเช่นในอดีต ไม่ว่าไมตรีจิตส่วนนี้จะสืบเนื่องจากบิดาผู้ล่วงลับของเขาหรือสืบเนื่องจากสาเหตุอื่นใด ถังฟั่นล้วนจารึกใส่ใจ

ถึงแม้สิ่งที่เขาได้ฟังได้เห็น โดยเฉพาะเรื่องเฆี่ยนตีบุตรชายโดยไม่แยกแยะถูกผิดของเฮ่อหลินเมื่อครู่จะก่อให้เกิดความชิงชังต่อพี่เขยคนนี้ แต่สำหรับท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อแล้วถังฟั่นย่อมไม่อาจเสียมารยาทแน่นอน

เหยียนหลี่ที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “ผู้บังคับการของพวกเรากับใต้เท้าถังมีไมตรีแน่นแฟ้น ดังนั้นจึงส่งพวกเราสองคนติดตามอารักขาและคุ้มกันใต้เท้าถังโดยเฉพาะ ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อไม่จำเป็นต้องคลางแคลง”

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อฟังคำอธิบายของพวกเขาแล้ว ข้อสงสัยในใจไม่เพียงมิได้ลดลง กลับยิ่งเพิ่มขึ้น

ถังฟั่นสนิทชิดเชื้อกับองครักษ์เสื้อแพรนั้นไม่แปลก แต่นี่เป็นการคบหาชนิดใดกันจึงทำให้องครักษ์เสื้อแพรมาเป็นผู้คุ้มกันของเขาได้

หนำซ้ำ พินิจจากสีหน้าของพวกเหยียนหลี่ ไม่ปรากฏความไม่ยินยอมพร้อมใจแม้แต่น้อย เห็นได้ว่ามีความจงรักภักดีต่อถังฟั่น

ที่แท้เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ หรือหลายปีที่ถังฟั่นอยู่เมืองหลวงได้ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่คนใด

คนอื่นๆ มิได้ครุ่นคิดลึกซึ้งเช่นท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ พวกเขาเพียงได้ยินฐานะของเหยียนหลี่กับกงซุนเยี่ยน เห็นทั้งสองเคารพนบนอบต่อถังฟั่น ในใจยิ่งสั่นสะท้าน ความรู้สึกที่มีต่อถังฟั่นก็พลันยกระดับจาก ‘ผู้ตกอับในแวดวงขุนนาง’ ขึ้นเป็น ‘บุคคลปริศนาที่มีภูมิหลังลึกล้ำ’

มีภูมิหลังกับไม่มีภูมิหลังกลับแตกต่างกันอย่างยิ่ง แม้ว่าเวลานี้ถังฟั่นปราศจากตำแหน่ง แต่ตราบใดที่แวดวงขุนนางยังมีคนยินดีโบกธงสนับสนุนเขา ช่วยยื่นฎีกาขอความเมตตาแทนเขา เมื่อถึงเวลาเหมาะสมเขาก็สามารถคืนสู่ตำแหน่งได้ทุกเมื่อ

คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ต่อให้เป็นเฮ่อหลินที่เพลิงโทสะสุมอก แรงบีบกำไม้พลองในมือก็อดทอนลงหลายส่วนมิได้

ถังฟั่นกลับไม่มีความสนใจต่อความคิดของพวกเขา เขาก้มลงพยุงพี่สาวกับหลานชายให้ลุกขึ้น จากนั้นเชยคางเฮ่อเฉิงเบาๆ สำรวจอาการบาดเจ็บ

“เจ้าเจ็ด ตามตัวเจ็บหรือไม่” ถังฟั่นเอ่ยถามเสียงแผ่ว

เฮ่อเฉิงผงกศีรษะ แล้วส่ายศีรษะ กัดฟันแน่น กระทั่งเสียงครางก็มิได้เล็ดลอดออกมา

ปกติเห็นเขาอ่อนแอเงียบขรึม จิตใจกลับเข้มแข็งยิ่งนัก

ใต้ความคุ้มครองของมารดา เขายังคงโดนไปสองไม้พลอง แม้กล่าวว่าไม่หนักหนา แต่เขายังเยาว์ เนื้อหนังอ่อนบาง ความทานทนย่อมมิสู้ผู้ใหญ่เป็นธรรมดา

เห็นเขาใช้มือหนึ่งกุมแขนอีกข้าง ถังฟั่นจึงรูดแขนเสื้อของเขาขึ้น ตรวจดูอาการบาดเจ็บ พบว่าบนท่อนแขนมีรอยบวมแดงอมม่วงแนวหนึ่ง ถังฟั่นแตะเบาๆ อีกฝ่ายพลันครางแผ่วออกมาอย่างสุดระงับ

ถังอวี๋สงสารจนน้ำตารินไม่หยุด

ถังฟั่นข่มกลั้นโทสะ เงยหน้ามองเหยียนหลี่

ฝ่ายหลังเข้าใจความนัย ขึ้นหน้าตรวจดูรอบหนึ่งจึงกล่าว “ไม่ถึงกระดูก ทายาให้เขาเล็กน้อยก็ใช้ได้”

เฮ่อหลินได้ยินเข้า อดพึมพำมิได้ “ข้าก็บอกแล้วว่ามิได้ลงมือหนัก…”

ไม่ทันกล่าวจบสายตาคมดุสองคู่พลันพุ่งตรงมา สกัดคำที่เหลือของเขากลืนกลับลงคอไป

หนึ่งในสายตาสองคู่มาจากถังฟั่น

อีกคู่หนึ่งกลับเป็นท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อกระแอมเบาๆ “หลานชาย เรื่องนี้ในเมื่อสกุลเหวยได้แจ้งต่อทางการแล้ว พวกเรายกให้เป็นหน้าที่ของนายอำเภอดีหรือไม่”

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อจะทราบว่าผู้ยืนเบื้องหลังถังฟั่นคือองครักษ์เสื้อแพร เขาย่อมไม่ปริปากเอ่ยถามเป็นแน่ เพราะไม่ว่าเฮ่อเฉิงพัวพันกับคดีหรือไม่ อย่างไรก็เป็นคนสกุลเฮ่อ

ยึดตามกฎหมายในขณะนั้น ก็เหมือนที่เฮ่อหลินกล่าว บิดาทุบตีบุตรเป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม

แน่นอนหากสกุลเดิมของถังอวี๋แข็งแกร่ง เช่นว่าบิดาของถังอวี๋เป็นราชเลขาธิการ เสนาบดีหกกรม ถังอวี๋ที่อยู่ในสกุลเฮ่อก็คงไม่ต้องยากแค้นถึงขนาดชักหน้าไม่ถึงหลังเช่นนี้

ท้ายที่สุดก็เป็นเพราะรู้สึกว่าถังอวี๋ไร้บิดามารดาหนุนหลัง ดังนั้นหลายปีนี้สกุลเฮ่อจึงลืมตาข้างหลับตาข้างต่อนาง

ทว่าบัดนี้ถังฟั่นอยู่ในที่นั้น สภาพการณ์จึงผิดแผกสิ้นเชิง

ในเมื่อท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อทราบแล้วว่าถังฟั่นกับองครักษ์เสื้อแพรมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา วาจาที่เปล่งออกมาย่อมต้องเพิ่มความเกรงใจมากกว่าเดิม

ถังฟั่นผงกศีรษะ “ท่านลุงกล่าวมีเหตุผล” จากนั้นเขาก็ประสานมือต่อนายอำเภอเวิง เอ่ยว่า “พี่เวิง เรื่องนี้เดิมทีไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้ามิบังควรยุ่มย่ามมากความ แต่ใคร่ขอพี่เวิงเห็นแก่ที่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหลานชายข้า ให้ข้าได้ร่วมมือช่วยเหลือ ข้าในฐานะเป็นน้าไม่อาจนิ่งดูดายให้เขาถูกผู้อื่นปรักปรำได้”

นายอำเภอเวิงพยักหน้า “ได้”

บทแทรกเล็กๆ นี้ปิดฉากลง นายอำเภอเวิงจึงเริ่มการไต่สวน

ผู้คนต่างทราบดีว่าคดีที่มีคนตายเช่นนี้สถานที่เกิดเหตุมีความสำคัญยิ่งยวด หากไม่จำเป็นจะไม่นำศพของผู้ตายไปตรวจสอบยังที่ว่าการอำเภอ มิฉะนั้นอาจมองข้ามเบาะแสจำนวนมากในที่เกิดเหตุได้

ด้วยเหตุนี้นายอำเภอเวิงจึงสั่งเจ้าหน้าที่ปิดล้อมสวนด้านหลังก่อน ไม่อนุญาตผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าออก และมีคำสั่งให้เฝ้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลเหวยอย่างเข้มงวด ไม่ว่าแขกบุรุษหรือแขกสตรีล้วนห้ามมิให้ปล่อยออกไปแม้แต่คนเดียว

แน่นอนนี่ย่อมนำมาซึ่งเสียงบ่นพร่ำของผู้มาร่วมงานเลี้ยงจำนวนมาก

บริเวณที่เหวยจูเหนียงมาวิ่งเล่นก่อนเสียชีวิตอันที่จริงเป็นสวนดอกไม้ด้านหลัง ยังไม่ถึงจุดที่จัดเลี้ยงของแขกสตรี และห่างจากห้องจัดงานในโถงหน้าพอสมควร

บริเวณนี้เต็มไปด้วยไม้ใหญ่และไม้ดอกหลากสี ทั้งกว้างขวางเพียงพอ เด็กที่มาเที่ยวคฤหาสน์สกุลเหวยบ่อยๆ ล้วนชอบมาวิ่งเล่นแถวนี้

เหวยจูเหนียงมีสาวใช้ประจำตัวคนหนึ่งซึ่งขณะนี้ได้ถูกตามตัวออกมาแล้ว กำลังคุกเข่าสะอึกสะอื้นอยู่ที่พื้น

นายอำเภอเวิงถามนาง ขณะเกิดเรื่องไยจึงไม่อยู่รับใช้ข้างกายผู้เป็นนาย

นางตอบว่า “คุณหนูห้าใช้บ่าวไปหาของกินเล่นที่ห้องครัว นางบอกว่านางอยากกินขนมเปี๊ยะพุทรา แต่ในงานเลี้ยงไม่มี เพราะคุณหนูห้าวิ่งเล่นแถวนี้ประจำ ตอนนั้นยังมีคุณหนูสกุลเฮ่อกับคุณหนูสกุลเจิ้งอยู่ด้วย บ่าวจึงผละไป ที่ไหนได้ขนมเปี๊ยะพุทรายังทำไม่เสร็จก็ได้ยินว่าคุณหนูห้า…”

คุณหนูสกุลเฮ่อกับคุณหนูสกุลเจิ้งที่นางเอ่ยถึง หนึ่งคือเฮ่อหยวนบุตรีของเฮ่อเซวียนกับเหวยซื่อ อีกหนึ่งคือเจิ้งชิงชิงบุตรีของจวี่เหรินแซ่เจิ้ง

และในตอนนั้นยังมีคุณชายของสกุลต่างๆ อีกหลายคน

ทุกคนล้วนได้ยินเหวยจูเหนียงพูดกับสาวใช้ และต่างยืนยันว่าวาจาของสาวใช้เป็นความจริง

เฮ่อหยวนและเจิ้งชิงชิงจึงถูกตามตัวมาไต่ถาม

พวกนางตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย จึงตอบคำถามอึกๆ อักๆ แม้ปกติหมั่นไส้ในความสวยของเหวยจูเหนียง แต่นั่นเป็นเพียงความอิจฉาริษยาในตอนแรก เฮ่อหยวนและเจิ้งชิงชิงไม่เคยคิดว่าเหวยจูเหนียงจะถึงแก่ชีวิต

อันที่จริงก่อนนายอำเภอเวิงรุดมา พวกนางได้ถูกซักถามไปแล้วรอบหนึ่ง คำพูดในตอนนี้กับที่เหยียนหลี่เล่าให้ถังฟั่นฟังไม่ผิดกันมากนัก

ทั้งคู่ต่างบอกว่าตนได้ยินเฮ่อเฉิงถกเถียงกับเหวยจูเหนียง

ตอนนั้นเฮ่อหยวนและเจิ้งชิงชิงกำลังอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง พวกนางคิดว่าไม่ควรออกไปปรากฏตัว ถ้าเหวยจูเหนียงเห็นเข้าจะต้องกระอักกระอ่วนแน่…เด็กหญิงในตระกูลใหญ่ถึงแม้อายุน้อย กลับตระหนักในธรรมเนียมมารยาทไม่น้อย

ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงผละจากภูเขาจำลองไปยังทิศทางอื่น จากนั้นเล่นสนุกกันอีกสักพักค่อยกลับไปหาเหวยจูเหนียง

เฮ่อหยวนและเจิ้งชิงชิงมองหาเหวยจูเหนียงไม่เจอ ยังเข้าใจว่านางไปเล่นที่อื่น จวบจนกลุ่มเด็กชายที่แยกตัวไปเด็ดดอกไม้และจับนกให้เหวยจูเหนียงกลับมา สอดส่ายสี่ทิศไม่พบจึงเรียกบ่าวไพร่ในคฤหาสน์สกุลเหวยช่วยกันตามหา

สาวใช้คนหนึ่งพบต่างหูมุกของเหวยจูเหนียงหล่นอยู่ข้างบ่อน้ำและรู้สึกถึงความผิดปกติ

สุดท้ายก็งมได้คนขึ้นมาจากบ่อน้ำจริงๆ

นายอำเภอเวิงฟังจบก็มุ่นคิ้ว “เช่นนั้นหลังเหวยจูเหนียงตกลงไปก็น่าจะตะโกนให้ช่วย หรือพวกเจ้าล้วนไม่ได้ยิน?”

ทั้งหมดล้วนตอบว่าไม่ได้ยิน

ขณะนายอำเภอเวิงซักถาม ถังฟั่นก็เดินถึงด้านข้างบ่อน้ำ ก้มตัวชะโงกมองลงไป เขาพบว่าเป็นไปได้อย่างมากที่จะไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกนให้ช่วยของเหวยจูเหนียง เพราะน้ำในบ่อค่อนข้างลึก เมื่อมองลงไปเพียงเห็นด้านล่างมืดดำ ไม่เห็นแสงสะท้อนจากผิวน้ำแม้แต่น้อย

อีกทั้งเมื่อเด็กหญิงตกลงไปก็ทำได้เพียงกระเสือกกระสนสองสามครา บวกกับเสียงร้องแผ่วเบา หากขณะนั้นไม่มีผู้ใดเดินผ่านพอดีก็เป็นไปได้ว่าจะไม่ได้ยินจริงๆ

เขาเพ่งมองอยู่นานก่อนเดินไปข้างกายเหวยจูเหนียง เลิกผ้าขาวที่คลุมบนตัว ยกมือนางขึ้นตรวจดูอย่างละเอียด

เพราะมีองครักษ์เสื้อแพรสองนายอยู่ข้างกาย ฝูงชนจับตาดูถังฟั่นคลำไปคลำมาบนศพกลับไม่กล้าว่ากล่าวอันใด

ยามนั้นนายอำเภอเวิงได้ซักถามผ่านไปหลายคน คำให้การของพวกเขาล้วนสอดคล้องกัน

ขณะที่เหวยจูเหนียงตกน้ำ ไม่มีใครอยู่ในที่เกิดเหตุ

แต่ก่อนตกน้ำเฮ่อเฉิงมีปากเสียงกับเหวยจูเหนียง จุดนี้เฮ่อเฉิงเองก็ยอมรับแล้ว

ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่เหวยจูเหนียงตกน้ำลงไปเอง หรือมีคนผลักนางลงไปกันแน่

หากมีคนผลักนาง เช่นนั้นคนผู้นั้นใช่เฮ่อเฉิงหรือไม่

นายอำเภอเวิงจึงถามเฮ่อเฉิง “หลังจากถกเถียงกับเหวยจูเหนียง เจ้าไปที่ใดต่อ”

ภายใต้การปลอบโยนของมารดา เฮ่อเฉิงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ และไม่หวาดกลัวเช่นตอนแรกแล้วเมื่อเอ่ยตอบเสียงค่อย “ข้าอยู่ในสวนดอกไม้”

“เจ้าอยู่ทำอะไรในสวนดอกไม้”

เฮ่อเฉิงก้มหน้าไม่ตอบคำ

เฮ่อหลินเห็นบุตรชายทำท่าอ้ำอึ้งก็โมโห แต่ใครใช้ให้ครู่ก่อนเขาโดนสั่งสอนยกหนึ่งเล่า ต่อให้โมโหปานใดก็จำต้องกล้ำกลืนกลับลงไป

ทว่าเฮ่อเฉิงไม่ยอมปริปากเช่นนี้ แม้แต่นายอำเภอเวิงก็อดขมวดคิ้วมิได้

เป็นผู้ใดเห็นเด็กน้อยทำท่าเหมือนจะพูดแต่ไม่พูด ย่อมเกิดความสงสัยเป็นธรรมดา

มีเพียงถังอวี๋ที่ปักใจเชื่อว่าบุตรชายไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น ยังคงตะล่อมให้เขาเปิดปาก

ยามนี้ถังฟั่นลุกยืนขึ้นจากข้างศพ รับผ้าเปียกที่เฉียนซันเอ๋อร์ยื่นให้มาเช็ดมือ

เขาเดินถึงเบื้องหน้าเฮ่อเฉิง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เจ้าเจ็ด บอกน้า หลังจากทะเลาะกันเจ้าไปที่ใดอีก”

เฮ่อเฉิงยังคงไม่ปริปาก

ถังฟั่นแย้มยิ้ม ลูบศีรษะเขาราวกับจะปลอบโยน คล้ายมิได้ถือสาที่เฮ่อเฉิงไม่ยอมพูด หมุนตัวกล่าวกับฝูงชน “เหวยจูเหนียงโดนคนผลักลงไปจริง แต่ฆาตกรไม่ใช่เฮ่อเฉิง”

เหวยเช่อเอ่ยเสียงฉุนเฉียว “คุณชายถัง ข้าทราบดีว่าเฮ่อเฉิงเป็นหลานชายท่าน ท่านต้องการปกป้องเขา แต่ฆ่าคนหรือไม่ คนชี้ขาดก็ไม่สมควรเป็นท่าน”

นายอำเภอเวิงก็กล่าว “น้องถัง ท่านกล่าวเช่นนี้ หรือมีหลักฐานอันใด”

“หลักฐานย่อมมีแน่” ถังฟั่นผงกศีรษะ

เขาเดินถึงข้างศพ ชี้ให้ทุกคนดูเล็บมือของเหวยจูเหนียง “ในเล็บไม่มีตะไคร่ ไม่ว่านางพลัดตกลงไปเองหรือโดนคนผลักลงไป ก่อนตายล้วนต้องผ่านการกระเสือกกระสนรุนแรง นิ้วมือย่อมต้องไขว่คว้าสิ่งของโดยรอบอย่างสุดชีวิต แต่เล็บมือของนางกลับสะอาดเกินไป

อีกทั้งกระดูกคอของเหวยจูเหนียงแตกหัก นี่แสดงชัดว่านางคงโดนอุดปากจมูกและโดนบีบคอหักก่อนค่อยถูกโยนลงไป ดังนั้นจึงไม่มีการดิ้นรนใดๆ ยิ่งไม่มีทางเปล่งเสียงตะโกนออกมา เพราะก่อนตกน้ำนางได้เสียชีวิตแล้ว”

บทวิเคราะห์นี้แปลกประหลาดชวนตะลึง ผู้คนทั้งหมดล้วนอดอุทานฮือฮามิได้

ยังมีคนไม่น้อยชะโงกไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าสิบนิ้วของศพไม่มีตะไคร่น้ำจริงๆ มีเพียงคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย

เห็นผู้คนยอมรับคำอธิบายของตนเอง ถังฟั่นจึงกล่าวต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าการตายของเหวยจูเหนียงคือการฆาตกรรมโดยเจตนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเฮ่อเฉิงกับนางเพียงถกเถียงกันครั้งเดียว จะมีความแค้นลึกล้ำปานนี้เชียวหรือ ถึงต้องทำร้ายนางถึงตายให้ได้ หลักฐานที่สำคัญกว่านั้นก็คือรูปร่างของเฮ่อเฉิงมิได้สูงใหญ่ไปกว่าเหวยจูเหนียงเท่าไร ขอถามทุกท่าน เขาสามารถอุดปากจมูกเหวยจูเหนียงไว้เพื่อมั่นใจว่านางจะส่งเสียงไม่ได้ รวมทั้งหักคอนาง จากนั้นค่อยลากนางถึงข้างบ่อแล้วโยนลงไปได้หรือไม่”

ทุกคนหันมองเฮ่อเฉิง แล้วมองเหวยจูเหนียง ล้วนรู้สึกไม่น่าเป็นไปได้จริงๆ

ถังฟั่นกล่าวอีก “ต่อให้เป็นพละกำลังของสตรีทั่วไปก็ใช่ว่าจะทำได้ถึงจุดนี้ ดังนั้นฆาตกรที่สังหารเหวยจูเหนียงเป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นบุรุษเต็มวัยที่มีกำลังวังชาไม่น้อยคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เฮ่อเฉิง”

ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หลายคนพลันกระจ่างแจ้ง

นายอำเภอเวิงชื่นชมอย่างจริงใจ “น้องถัง มิเสียแรงที่เคยดำรงตำแหน่งในกรมอาญา เพียงเวลาสั้นๆ ก็สามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้อย่างเป็นขั้นตอนถึงเพียงนี้”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “เป็นเพียงการคาดเดาส่งเดช ใต้เท้าไม่ถือสาที่ข้าก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ ข้าก็ตื้นตันอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว”

เหวยเช่อเข้ามาขออภัยด้วยความละอาย “เมื่อครู่ข้าเอ่ยวาจาจาบจ้วง คุณชายถังโปรดอภัย”

ถังฟั่นโบกมือ “ท่านร้อนใจเพราะความตายของบุตรี นับเป็นความผิดอันใดได้ เรื่องด่วนตอนนี้คือต้องหาตัวฆาตกรให้ได้ก่อน”

เหวยเช่อเอ่ยเสียงรันทด “คุณชายปัญญาล้ำเลิศดั่งจูเก่อ ได้โปรดชี้ทางสว่างแก่สกุลเหวย ฆาตกรผู้นี้ที่แท้เป็นใคร”

ถังฟั่นมิได้ตอบคำ กลับมองไปทางนายอำเภอเวิง

นายอำเภอเวิงตระหนักดี ถังฟั่นต้องการให้ตนสำแดงปัญญาบารมีของใต้เท้านายอำเภอออกมา เลี่ยงไม่ให้เข้าใจผิดว่าถังฟั่นแย่งบทบาทตน ก็ให้รู้สึกตื้นตันใจยิ่ง จึงน้อมรับโดยไม่ปฏิเสธ “คราบเลือดในเล็บมือ”

เห็นทุกคนไม่เข้าใจ เขาจึงแจกแจง “ในเล็บมีรอยเลือด ชี้ให้เห็นว่าก่อนตายเหวยจูเหนียงต้องมีการดิ้นรนอย่างหนัก และเป็นไปได้ว่าอาจจิกข่วนท่อนแขนของฆาตกร ดังนั้นสามารถอาศัยขอบเขตนี้เริ่มสุ่มหาจากพวกบุรุษ”

พริบตาเดียวก็ปรากฏช่องทางคลี่คลายคดี แม้คำพูดช่วงท้ายของนายอำเภอเวิงสามารถกอบกู้หน้าตาได้บ้าง แต่คนตาแหลมล้วนมองออก หากมิใช่ถังฟั่นโน้มนำอย่างจริงใจตั้งแต่แรก เวลานี้เกรงว่าทุกคนยังคงคิดว่าเฮ่อเฉิงเป็นคนทำ

คดีนี้เดิมทีไม่เกี่ยวข้องกับถังฟั่น หากมิใช่เพื่อลบล้างข้อครหาให้หลานชาย เขาก็คงไม่เอ่ยวาจาล้ำเส้น บัดนี้เห็นคดีเริ่มได้เงื่อนงำจึงไม่แทรกแซงอีก เพียงกระซิบกับนายอำเภอเวิงสองสามคำก็กล่าวลา

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อมองดูถังฟั่นและพี่สาวแวบหนึ่ง แล้วหันมองบุตรชายไม่เอาถ่าน ลอบถอนใจพลางเดินขึ้นหน้า กล่าวกับถังฟั่น “หลานชาย เรื่องนี้กันอวี่ทำไม่เหมาะสม เมื่อครู่เขาร้อนใจจะรักษาชื่อเสียงสกุลเฮ่อ ถึงได้โต้แย้งกับเจ้า หวังว่าเจ้าอย่าได้นำพาใส่ใจ”

กันอวี่คือนามรองของเฮ่อหลิน

ถังฟั่นสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ท่านลุงกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ไยเป็นท่านที่มาเอ่ยคำขออภัยแทนเขาเล่า หลานรับไว้มิได้จริงๆ ยิ่งกว่านั้นที่หลานมีโทสะมิใช่เพราะพี่เขยกราดเกรี้ยวต่อข้า แต่เพราะเขาในฐานะบิดาของเจ้าเจ็ดกลับกล่าวโทษเจ้าเจ็ดโดยไม่แยกแยะถูกผิด! ใต้เท้านายอำเภอยังมิทันได้ตัดสินชี้ขาดด้วยซ้ำ เขาก็เดือดดาลปานนี้ หากเมื่อครู่บนตัวเจ้าเจ็ดมีพิรุธเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เขาจะเฆี่ยนตีเจ้าเจ็ดจนตายต่อหน้าพี่สาวข้าใช่หรือไม่”

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อรู้สึกเสียหน้า เดิมเขานึกว่าตนยอมอ่อนข้อ ถังฟั่นก็จะอ่อนตาม มิคาดอีกฝ่ายกลับฉีกหน้าตนต่อหน้าธารกำนัล ในใจอดขุ่นเคืองมิได้

แต่วาจาถังฟั่นมิผิดแม้แต่น้อย พูดมาพูดไปล้วนเป็นเพราะเฮ่อหลินเลอะเทอะเกินไป

ถังฟั่นชำเลืองเฮ่อหลินที่เผยสีหน้ากระอักกระอ่วนเช่นกัน ก่อนเอ่ยเสียงเย็นชาต่อหน้าคนสกุลเฮ่อ “พี่เขย เจ้าเจ็ดเป็นบุตรชายท่าน อย่าว่าแต่แม่เสือไม่กินลูกเสือเลย เจ้าเจ็ดมีนิสัยอย่างไร ท่านในฐานะบิดาไม่เข้าใจสักนิดเลยหรือ แม้แต่คนที่เพิ่งมาได้ไม่กี่วันอย่างข้ายังทราบ เจ้าเจ็ดเป็นคนขี้อาย เห็นคนแปลกหน้าก็มิกล้าปริปาก คนที่ไม่สนิทกับเขาล้วนเข้าใจว่าเขานิสัยเงียบขรึมเก็บตัว แต่ผู้ใหญ่ที่เข้าใจเขาย่อมสมควรทราบว่าเด็กคนนี้จิตใจดีงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ พี่สาวข้าบอกว่าขนาดกระต่ายที่เลี้ยงไว้ตาย เขายังร้องไห้อยู่เป็นนาน เด็กเช่นนี้จะผลักเหวยจูเหนียงลงบ่อน้ำได้อย่างไร”

เฮ่อหลินกำหมัดแน่น ไม่พูดไม่จา

ทุกถ้อยทุกคำของถังฟั่นล้วนตำหนิความบกพร่องในหน้าที่ของเขา

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อในฐานะที่เป็นประมุขสกุลเฮ่อและเป็นบิดาของเขากลับนิ่งเฉยดูดาย มิได้ตวาดห้ามถังฟั่น

ได้รับการบริภาษรุนแรงจากน้องภรรยาเช่นนี้ เขารู้สึกเหมือนหนังหน้าตนเองโดนถลกลงมาก็มิปาน เจ็บแสบยิ่งนัก

และคนที่ชมดูฉากนี้อยู่มิใช่แค่คนสกุลเฮ่อ ยังมีคนของสกุลเหวย คนของทางการ รวมทั้งแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้

ถังฟั่นกล่าวจบก็มิได้สนใจเขาอีก กลับย่อตัวอุ้มเฮ่อเฉิงขึ้นมา

“เจ้าเจ็ด ตอนนี้บอกน้าได้หรือยัง หลังจากทะเลาะกับเหวยจูเหนียงแล้วเจ้าไปที่ใด”

รอยบวมแดงบนแก้มเฮ่อเฉิงหลังจากทายาที่เหยียนหลี่พกมาก็แลดูทุเลาลงบ้างแล้ว

สองมือของเขาโอบรอบคอถังฟั่น อิงซุกในอ้อมอกน้าชาย เงียบอยู่ครู่ใหญ่ค่อยเอ่ยเบาๆ “ข้าเก็บสร้อยประคำข้อมือที่นางทำหล่นไว้ก่อนหน้านั้นได้ แต่ไม่อยากเอาไปคืนนาง จึงโยนทิ้งในสระทางนั้น”

“เจ้ากลัวท่านพ่อท่านแม่รู้เข้าจะดุด่าเจ้า ดังนั้นจึงไม่กล้าพูด?” ถังฟั่นถาม

เฮ่อเฉิงพยักหน้าแล้วมองถังอวี๋อย่างขลาดๆ แวบหนึ่ง

ยามนี้ถังอวี๋เป็นห่วงเขาจับใจ มีหรือจะดุด่าว่ากล่าว

นางไม่กล้าหอมแก้มเฮ่อเฉิง เกรงจะทำให้เขาเจ็บ จึงกำมือของเฮ่อเฉิงแน่น

ถังฟั่นเห็นเข้าจึงกล่าวกับท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ “ท่านลุง เจ้าเจ็ดบาดเจ็บจำเป็นต้องพักผ่อน ข้ากับพี่สาวจะพาเขากลับไปก่อน”

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อไหนเลยจะมีเหตุผลให้ปฏิเสธ รีบให้บ่าวของตนคนหนึ่งพาพวกเขากลับไป และกำชับถังอวี๋กับเฮ่อเฉิงให้พักผ่อนเต็มที่

ฮูหยินผู้เฒ่าเฮ่อกล่าวว่า “ถ้าอย่างไรตามหมอมาดูอาการเจ้าเจ็ดด้วย อย่าให้ล้มป่วยในภายหน้า”

เฮ่อเซวียนก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ในห้องยาบ้านเรายังมีสมุนไพรชั้นดี ลองสอบถามหมอก่อนว่าให้เจ้าเจ็ดใช้ได้หรือไม่ ถ้าใช้ได้ก็นำออกมาให้เขาเถอะ”

ถังฟั่นก็มิได้เกรงใจพวกเขา “เช่นนั้นก็ขอบคุณแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฮ่อแย้มยิ้มอ่อนโยน “คนกันเองทั้งนั้น รุ่นชิงไยต้องเกรงใจ”

สกุลเฮ่อมีเจตนาผูกไมตรีกับถังฟั่น เลี่ยงไม่ให้มีรอยร้าวระหว่างกันเพราะเรื่องเมื่อครู่ ทั้งหมดนั้นยังคงเป็นเพราะเห็นแก่องครักษ์เสื้อแพรสองนาย ถังฟั่นย่อมตระหนักแก่ใจ แต่ก็มิได้ปฏิเสธความปรารถนาดีของผู้อื่น

ทว่าแม้แต่เฮ่อเซวียนซึ่งเดิมไม่เกี่ยวข้องยังเป็นฝ่ายหยิบยื่นน้ำใจ มีก็แต่เฮ่อหลินซึ่งสมควรเข้ามาดูแลลูกเมียที่สุดกลับยังยืนเฉยอยู่ตรงนั้น

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อหมดความอดทนจึงตวาด “เจ้ายังไม่รีบตามกลับไป จะอยู่ที่นี่ทำอะไร!”

เฮ่อหลินเงยหน้ามองพวกเขาแวบหนึ่ง เหวี่ยงไม้พลองในมือทิ้ง สะบัดหน้าหมุนตัวเดินฝ่าฝูงชนออกไป

ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อโมโหจนหนวดกระดิก หากมิใช่อยู่ท่ามกลางสายตาผู้คน เกรงว่าต้องด่าคำว่าลูกเนรคุณออกมาแล้ว

ยามนี้หน้าตาของสกุลเฮ่อเสื่อมเสียไม่เหลือหลอ

ถังอวี๋มองเห็นฉากนี้ นางก้มหน้าต่ำ สายตาตกลงบนร่างเฮ่อเฉิง ไม่ทราบกำลังครุ่นคิดสิ่งใด

ถังฟั่นประคองนาง “พี่หญิง ไปเถอะ พวกเรากลับกันก่อน”

คนสกุลเฮ่อรุดมาอย่างชื่นมื่น กลับไปอย่างห่อเหี่ยว อิดหนาระอาใจปานใดอย่าให้พูดเลย

เพราะเหวยจูเหนียงเป็นน้องสาวของเหวยซื่อ ดังนั้นเฮ่อเซวียนกับเหวยซื่อจึงรั้งอยู่ที่คฤหาสน์สกุลเหวยเพื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องภายหลัง

คนอื่นๆ ของสกุลเฮ่อเดินทางกลับพร้อมกับพวกถังฟั่น

ถังฟั่นมิได้พาพี่สาวและหลานชายกลับเรือนของพวกเขา แต่พามายังเรือนไม้ไผ่ที่เขาอยู่

เขาให้สาวใช้พาเฮ่อเฉิงไปพักผ่อนก่อน แล้วสั่งคนอื่นๆ ล่าถอยไป

“พี่หญิง วันนี้หากมิใช่เพราะเรื่องของเจ้าเจ็ด ท่านยังคิดจะปิดบังข้าอีกนานเท่าใด ความร้าวฉานระหว่างท่านกับพี่เขยคงมิใช่เพิ่งเกิดวันสองวันนี้กระมัง”

หลังเหตุการณ์ในวันนี้ บนใบหน้าถังอวี๋มีเค้ารอยอ่อนล้าที่กลบเกลื่อนไม่มิด แต่ถังฟั่นไม่อาจให้เวลานางหยุดพักความคิดได้ มิฉะนั้นพี่สาวเขาต้องหาข้ออ้างหลบเลี่ยงอีกเป็นแน่ ดังนั้นจึงหักใจอำมหิต เลือกเปิดโปงบาดแผลของนาง

ในเมื่อช้าเร็วล้วนต้องเจ็บ แทนที่จะเจ็บลึกอีกนาน มิสู้เจ็บเดียวหนักๆ จึงจะสามารถสมานได้เร็วขึ้น

ถังอวี๋ถอนหายใจ “เดิมทีเขาไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้ เมื่อครั้งที่ข้าเพิ่งแต่งเข้าสกุลเฮ่อ เขาดีต่อข้าแท้จริง เขายังบอกข้าว่าแม้คุณชายตระกูลใหญ่มีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ แต่เขามีข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ตอนแรกข้ายังนึกว่าเขาพูดเล่น ยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว ต่อให้ข้ากับเขาบาดหมางถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่เคยปริปากว่าจะแต่งอนุ ข้าจารึกความดีข้อนี้ของเขาใส่ใจเสมอมา ดังนั้นเมื่อต่อมาเขามีนิสัยเปลี่ยนไป ข้าก็ไม่เคยมีใจเป็นสอง ยิ่งไม่อยากให้เจ้ากังวลใจ แต่ไม่คาดว่าวันนี้เขากลับ…”

เมื่อคิดถึงบาดแผลของเฮ่อเฉิง ถังอวี๋ก็ร้าวรานใจจนพูดต่อไปไม่ได้

สามีไม่ชิดใกล้ไยดีอีกแล้ว น้องชายก็อยู่แสนไกล บุตรชายจึงกลายเป็นความหวังหนึ่งเดียวของนาง

กฎหมายต้าหมิงบัญญัติว่าบุรุษใดก็ตามเมื่ออายุเต็มสี่สิบ และไม่มีทายาทสืบทอด ต้องแต่งอนุภรรยา

ทว่าในที่นี้มิได้หมายถึงอายุสี่สิบไร้บุตรชายจึงสามารถแต่งอนุภรรยา แต่หมายความว่าหากบุรุษอายุสี่สิบยังไม่มีบุตรชาย จำเป็นต้องแต่งอนุภรรยาเพื่อสืบทอดสายโลหิต

แน่นอนมีบางคนไม่ถึงสี่สิบ ภรรยาสามารถให้กำเนิดบุตรธิดา เขาก็ยังคงแต่งอนุ มีบางคนถึงแม้ข้อกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ เขากลับยังสามารถมีใจรักเดียวต่อภรรยา อย่างมากก็ให้คนอื่นๆ ในตระกูลสืบทอดสายโลหิต

ดังนั้นถึงกล่าวว่าเรื่องการแต่งอนุภรรยานี้ขึ้นอยู่กับใจคน หาใช่ขึ้นอยู่กับกฎหมายไม่

สำหรับบุรุษตระกูลใหญ่โดยมากแล้ว ในเมื่อกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ ไม่ใช้ก็เสียเปล่า สามารถครอบครองป่าทั้งผืนได้ แล้วไยต้องเฝ้าดูต้นไม้เพียงหนึ่งต้นเล่า อย่างเช่นคุณหนูแปดของสกุลเฮ่อที่เหยียนหลี่ต้องตา มิใช่บุตรีของอนุที่เกิดจากท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อซึ่งยังเหิมฮึกคึกคักหรอกหรือ

เฮ่อหลินที่สามารถให้คำมั่นว่าจะไม่แต่งอนุ หนำซ้ำยังรักษาสัญญามาตลอด อันที่จริงถือว่าค่อนข้างหาได้ยาก

ถังฟั่นได้ฟังคำพูดของถังอวี๋ สีหน้าค่อยผ่อนคลายลงในที่สุด “เช่นนี้ก็หมายความว่าพี่เขยหาได้หมดทางเยียวยาไม่ เพียงแต่การสอบไม่ผ่านในหลายปีนี้ทำให้เขาสะเทือนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงได้เหมือนผีสางเข้าสิง กระทำเรื่องเลอะเทอะเช่นนี้ออกมา”

สิ่งสำคัญที่สุดของบุรุษผู้หนึ่งก็คือศักดิ์ศรี

ก่อนหน้านี้ถังฟั่นเห็นเฮ่อเฉิงถูกทุบตีอย่างหนัก จึงต่อว่าเฮ่อหลินเรื่องที่สอบอย่างไรก็ไม่ผ่านต่อหน้าธารกำนัล นี่เท่ากับแตกหักกับพี่เขยโดยสิ้นเชิง ส่วนโทสะที่เฮ่อหลินได้รับความอับอายจากถังฟั่นครานี้ ไม่ช้าต้องนำมาระบายใส่บุตรภรรยาแน่นอน

ถังฟั่นเห็นถังอวี๋เศร้าหมองจึงกล่าว “ถ้าอย่างไรข้าไปขออภัยพี่เขยแล้วกัน”

ถังอวี๋ส่ายหน้า “เจ้าจะขออภัยอะไร เจ้าพูดในสิ่งที่ข้าไม่อาจพูด ข้าสมควรขอบใจเจ้าที่ระบายความคับแค้นใจแทนข้าต่างหาก” นางหยุดนิดหนึ่ง สีหน้าทุกข์ระทม “เจ้าก็ไม่ต้องพูดแทนเขา เจ้าเจ็ดคือชีวิตจิตใจของข้า เพื่อหน้าตาของเขากับสกุลเฮ่อ เขาถึงกับลงมือต่อลูกอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ต่อให้เป็นสามีภรรยาที่มีเยื่อใยต่อกันเพียงใดก็ถูกเขาสะบั้นจนสิ้นแล้ว”

ถังฟั่นเห็นนางบรรลุแจ้งในที่สุดและไม่อดกลั้นอีกต่อไป จึงอดปลอบประโลมมิได้ “เช่นนั้นพี่หญิงคิดจะทำอย่างไรต่อไป” เขากุมมือถังอวี๋ “เดิมข้าตั้งใจพาท่านกับเจ้าเจ็ดไปจากที่นี่ ไปพักอยู่เมืองหลวงสักระยะหนึ่ง แต่เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องฟังท่านเป็นหลัก ไม่ว่าท่านคิดอ่านอย่างไรล้วนไม่ต้องกังวล มีน้องชายเช่นข้าอยู่ทั้งคน ท่านก็จะมีบ้านเดิมตลอดกาล”

ถังอวี๋อดสวมกอดถังฟั่นมิได้ พลางร่ำไห้ออกมา

ถังฟั่นตบหลังนางเบาๆ เมื่อยิ้มกล่าว “ข้ายังไม่ได้บอกท่าน แม้ตอนนี้ข้าปราศจากตำแหน่ง แต่ในเมืองหลวงใช่ว่าไร้มิตรสหาย วันนี้ท่านก็ล่วงรู้ฐานะของพวกเหยียนหลี่แล้ว ผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือเป็นสหายคนสนิทของข้า หากสกุลเฮ่อหรือเฮ่อหลินกล้าสร้างความลำบากใจต่อท่าน ข้าก็สามารถให้คนปั่นป่วนบ้านพวกเขาชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เช่นกัน ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องวิตก ต่อไปก็ไม่ต้องทุกข์ใจกับถ้อยคำนินทาเหล่านั้น ผู้ใดบังอาจว่าท่านเป็นคนไม่มีบ้านเดิม องครักษ์เสื้อแพรทั้งหน่วยก็คือบ้านเดิมของท่าน ทั่วทั้งต้าหมิงนี้ยังมีใครน่าเกรงขามกว่าท่านอีก”

ถังอวี๋รู้ดีว่าเขากำลังปลอบใจตน หากยังคงโดนกระเซ้าจนหลุดขำทั้งน้ำตา

“เหมาเหมาคนดี ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้ากับเจ้าเจ็ด แต่ต่อให้ข้าต้องไปก็มิอาจไปอย่างสิ้นท่า เจ้าบอกข้าที ข้าสามารถหย่าโดยสมัครใจกับพี่เขยเจ้าและพาเจ้าเจ็ดไปได้หรือไม่”

เห็นพี่สาวมองตนด้วยใบหน้าเปี่ยมความหวัง ถังฟั่นแม้อยากตอบว่าได้ ทว่ายังคงทำได้เพียงเอ่ยเนิบๆ “ท่านจะหย่าโดยสมัครใจหรือสิ้นเยื่อขาดใย ข้าล้วนจัดการได้ทั้งหมด แต่หากหลังจาก ‘หย่า’ แล้วยังต้องพาเจ้าเจ็ดไปด้วย เกรงว่ายุ่งยากอยู่บ้าง เพราะไม่ว่าอย่างไรเจ้าเจ็ดก็เป็นคนสกุลเฮ่อ ต่อให้พี่เขยยินยอม ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อก็คงไม่ยินยอม เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดทางใดพวกเราล้วนไม่ได้เปรียบ”

ถังอวี๋ผิดหวังอยู่บ้าง แต่นางทราบดีว่าน้องชายเชี่ยวชาญงานกฎหมาย ไม่มีทางลวงหลอกตนเด็ดขาด

“เช่นนั้นทำอย่างไรดี” ถังอวี๋ถาม

“ตอนนี้ยังไม่สามารถหย่าโดยสมัครใจ แค่ไปจากที่นี่โดยใช้ข้ออ้างว่ากลับบ้านเดิม ท่านยินดีหรือไม่” ถังฟั่นกล่าว

ถังอวี๋ไม่ตรึกตรองสักนิดก็พยักหน้า เพื่อเจ้าเจ็ด นางกล้ำกลืนฝืนทนหลายปี ยามนี้น้องชายมาหา นางก็ราวกับมีพลังใจขึ้นมา จึงไม่คิดอดกลั้นอีก

ได้รับคำตอบยืนยันจากพี่สาว ถังฟั่นรู้สึกตื่นเต้นดีใจ “เช่นนั้นข้าจะคิดหาวิธี พี่หญิงรอฟังข่าวดีได้เลย”

ทั้งคู่กำลังสนทนา จู่ๆ เฉียนซันเอ๋อร์ก็เคาะประตูอยู่ด้านนอก “ใต้เท้า นายอำเภอเวิงส่งคนมาขอรับ”

“ให้เขาเข้ามา” ถังฟั่นกล่าว

ถังอวี๋เช็ดน้ำตา หลบเข้าห้องด้านใน เฉียนซันเอ๋อร์พาผู้มาเยือนเข้ามาในห้อง

อีกฝ่ายแซ่หวง เป็นคนสนิทข้างกายของนายอำเภอเวิง ถังฟั่นเพิ่งเจอเขาเมื่อครู่ก่อน

เหล่าหวงโค้งคำนับตามธรรมเนียมค่อยกล่าว “คุณชายถัง ใต้เท้าเวิงเรียนเชิญท่านไปคฤหาสน์สกุลเหวยอีกครั้ง”

ถังฟั่นงุนงง “มิใช่เพิ่งกลับมาจากที่นั่นหรอกหรือ”

เหล่าหวงหน้านิ่วคิ้วขมวด “ใช่ขอรับ แต่ครู่ก่อนมีคนตายอีกคนแล้ว”

* น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง เป็นสำนวน หมายถึงต่างฝ่ายต่างไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน

* หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง

* ชิ่งจยา เป็นคำเรียกพ่อแม่สามีของลูกสาวหรือพ่อตาแม่ยายของลูกชาย

* อ่อนแข็งไม่กิน เป็นสำนวนอุปมาถึงคนที่มีทัศนคติหรือความคิดที่ยากจะเปลี่ยน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: