บทที่ 3
คดีสกุลเหวยประสบกับปัญหาคอขวดเข้าแล้ว
บุตรคนเล็กของสกุลเหวยตั้งแต่ยังมีชีวิตจนถูกพบว่าเสียชีวิต เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาสั้นๆ เท่านั้น
แต่สำหรับทารกคนหนึ่ง เวลาหนึ่งถ้วยชาเพียงพอกระทำเรื่องราวด้วยมากมาย
ผู้รับหน้าที่ดูแลบุตรคนเล็กของสกุลเหวย หูซื่อหมัวมัว สาวใช้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวซวง ตอนนั้นพวกนางทั้งสามมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุ
ติดกันก็คือห้องของหลี่ซื่อมารดาบังเกิดเกล้า แต่ขณะนั้นหลี่ซื่อเพิ่งพ้นช่วงอยู่ไฟ กำลังต้อนรับแขกสตรีอยู่กับอนุคนอื่นๆ ของเหวยเช่อที่ด้านนอก นางพาคนสนิทข้างกายไปด้วย ห้องติดกันจึงเหลือแค่สาวใช้สองคนเฝ้าประตู ขณะเกิดเหตุพวกนางกำลังนั่งคุยกันในห้อง จึงไม่เห็นว่ามีใครเข้าออกห้องข้างๆ หรือไม่
ดังนั้นโจทย์ยากจึงมาแล้ว สามคนที่ดูแลนายน้อยสกุลเหวย หลังการตรวจสอบของนายอำเภอเวิง พวกนางกับไฉซื่อไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด หนำซ้ำหนึ่งในสามคนนั้นอย่างหูซื่อหมัวมัวยังเป็นคนที่แม่เด็กพามาจากบ้านเดิมอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นบ่าวคนสนิทของหลี่ซื่อ พวกนางไม่มีเหตุผลให้พูดปด และไม่มีเหตุผลให้ก่อคดี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ใต้คำบงการของไฉซื่อ
เช่นนั้นแล้วฆาตกรสังหารนายน้อยสกุลเหวยจะเป็นใครเล่า
ไฉซื่อ? หรือภรรยาคนอื่นๆ ของเหวยเช่อ?
นี่ย่อมมิอาจสันนิษฐานลอยๆ ได้
ไม่ว่านายอำเภอเวิงเค้นถามเช่นไร ไฉเจ๋อเพียงยอมรับว่าตนสังหารเหวยจูเหนียง ยืนกรานหนักแน่นว่ามิได้สังหารนายน้อยสกุลเหวย ไฉซื่อยิ่งปฏิเสธเสียงแข็ง บอกว่าตนเพียงอาศัยฐานะประมุขฝ่ายหญิงของสกุลเหวยเสนอผลประโยชน์จำนวนหนึ่งให้ไฉเจ๋อ มิได้ลงมือต่อนายน้อยสกุลเหวยเด็ดขาด
แต่เหวยเช่อซึ่งเกลียดชังสองคนนี้เข้ากระดูกแวะเวียนไปหานายอำเภอเวิงไม่เว้นแต่ละวัน ขอให้เขารีบตั้งข้อหาสองคนนี้โดยเร็ว
นายอำเภอเวิงสุดแสนจะปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะเรื่องนี้
ไฉเจ๋อกับไฉซื่อสองคนมีทั้งแรงจูงใจมากพอ และมีเงื่อนไขเพียงพอ แม้แต่ในด้านเวลาก็ยังสอดคล้อง
หากมิใช่เพราะเคยพูดต่อหน้าถังฟั่นว่าฆาตกรมิได้มีแค่หนึ่งคน นายอำเภอเวิงก็อาจปิดคดีเพียงเท่านี้จริงๆ
แม้แต่เจ้าทุกข์ยังระบุชัดว่าสองคนนั้นคือฆาตกร เขายังจะหาเรื่องวุ่นวายอันใดอีก
เรื่องนี้ถังฟั่นอยากช่วยก็จนปัญญา
เขาปราดเปรื่องปานใด หากก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตการณ์อย่างละเอียด คนรอบข้างเพียงเห็นเขาวินิจฉัยคดีประหนึ่งเทพก็เข้าใจว่าเขาฉลาดเฉลียวเกินคน
ทว่าบนโลกนี้ไหนเลยจะมีคนที่ไขคดีเป็นมาตั้งแต่เกิด ทุกคนล้วนเติบโตมาด้วยการศึกษาตำรากันทั้งนั้น เนื้อหาการสอบเคอจวี่ก็คือจะทำความเรียงแปดตอนให้ออกมาเป็นดอกไม้ได้อย่างไร มิได้สอบวินิจฉัยคดีอย่างไร บริหารจัดการแม่น้ำลำคลองอย่างไร ช่วยผู้ประสบภัยอย่างไร ขุนนางคนใดก็ตามที่สร้างผลงานโดดเด่นล้วนอาศัยความสนใจและความใฝ่รู้ของตนเองมาคลำหาประสบการณ์ในภายหลังทั้งสิ้น
คดีสกุลเหวยอันที่จริงกล่าวโดยเคร่งครัดสมควรเป็นสองคดี
คดีหนึ่งคือการตายของเหวยจูเหนียง เวลานี้ได้ตัวฆาตกรแล้ว ถือว่าปิดคดีได้แล้ว
อีกคดีหนึ่งคือการตายของบุตรชายคนเล็กของสกุลเหวย ทุกคนต่างคิดว่าสองพี่น้องสกุลไฉเป็นคนทำ แต่พวกเขายืนกรานปฏิเสธ
เวลานี้เบาะแสน้อยเกินไป ไร้หัวไร้ท้าย นายอำเภอเวิงปราศจากเงื่อนงำ ถังฟั่นก็ปราศจากเงื่อนงำเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อฟังข่าวที่เฉียนซันเอ๋อร์กลับมาถ่ายทอด เขาจึงมิได้บุ่มบ่ามยื่นมือช่วยเหลือ แต่ยังคงอยู่ที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ เพียรหาหนทางให้พี่สาวและหลานชายตนเองได้มีชีวิตที่สงบสุขในเร็ววัน
เฮ่อเฉิงได้ยินว่าน้าชายจะพาเขาออกไปเดินเที่ยวในเมืองก็ดีใจจนเนื้อเต้น ดวงหน้าน้อยๆ สดชื่นเบิกบานจนปิดไม่อยู่ ถังอวี๋เห็นเข้ายิ่งร้าวใจไม่สร่าง
หลังจากถังอวี๋แต่งเข้าสกุลเฮ่อ อย่างน้อยยังได้ใช้ชีวิตสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองอยู่หลายปี ทว่าตั้งแต่จำความได้เฮ่อเฉิงน้อยคนนี้ก็แทบไม่เคยรู้สึกถึงความรักความเอาใจใส่ของบิดาเลย
สาเหตุมิใช่อื่นใด ตอนนั้นเฮ่อหลินสอบไม่ผ่านหลายครั้ง อุปนิสัยค่อยๆ เปลี่ยนแปลง กลายเป็นคนเครียดขรึมโมโหง่าย แม้แต่การถือกำเนิดของบุตรชายก็มิได้นำความปีติยินดีมาสู่เขาสักเท่าใด
ถังอวี๋จะอย่างไรก็เป็นสตรี เป็นไปไม่ได้ที่จะพาเฮ่อเฉิงออกนอกบ้านบ่อยๆ เด็กน้อยจึงได้แต่ถูกกักอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ยามปกติพบเห็นบ่อยที่สุดก็ไม่พ้นพวกหน้าเดิมๆ ไม่กี่คน ทุกคราที่อยู่กับบิดา หากไม่ถูกละเลยก็โดนตำหนิ
ดังเช่นที่ถังฟั่นพูด เฮ่อเฉิงไม่เสียผู้เสียคนไปถือเป็นบุญนักหนาแล้ว
อำเภอเซียงเหอไม่เจริญเท่าเมืองหลวง ทว่าทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน ที่นี่จะมีงานวัด เพราะวัดชูอวิ๋นในแถบชานเมืองมีคนไปจุดธูปสักการะเนืองแน่น ทำให้โดยรอบมีกิจการค้าเกิดขึ้นมากมาย ทั้งกินดื่มเที่ยวเล่น ตลาดนัดขายของ แผงลอยหมอดู นับว่าอึกทึกคึกคักอย่างยิ่ง
วันนี้บรรดาคุณหนูใหญ่สะใภ้เล็กในตัวอำเภอจะมาจุดธูปที่วัดชูอวิ๋น เพื่อแย่งกันจุดธูปกระถางแรกถึงขนาดรีบมาเข้าแถวตั้งแต่กลางดึก พวกตระกูลใหญ่มีสาวใช้บ่าวไพร่ติดตามเป็นโขยง อึกทึกครึกโครม ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัจจัยเช่นนั้น อย่างมากก็แค่หอบเด็กจูงแก่ ดังนั้นบนท้องถนนจึงล้นหลามไปด้วยฝูงชน
วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเดือนเจ็ด และเพราะใกล้วันเทศกาลชีซี* คนมาจุดธูปขอพรจึงมากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะคุณหนูที่รอออกเรือนหรือไม่ก็ลูกหลานที่ถึงวัยมีคู่ครองเหล่านั้น ไม่มีใครไม่คิดไปขอพรจากพระโพธิสัตว์ให้ได้พบเนื้อคู่ นอกจากนี้ยังมีผู้ใหญ่อีกไม่น้อยที่เอาวัดวาอารามเป็นสถานที่พบปะโดยตรง พาบุตรสาวไม่ก็บุตรชายมาจุดธูปไหว้พระ แล้วแสร้งทำเป็นพบปะโดยบังเอิญ เช่นนี้ทั้งสามารถทำให้สองฝ่ายได้ดูตัวและทำความคุ้นเคยกัน ทั้งไม่ผิดขนบประเพณี ถือว่ามีแต่ได้กับได้จริงๆ
ด้วยเหตุนี้ทางการจึงต้องส่งเจ้าหน้าที่มารักษาความสงบเรียบร้อย เลี่ยงไม่ให้เกิดการเหยียบกันตายเพราะผู้คนล้นหลาม
ตั้งแต่เฮ่อเฉิงออกจากบ้านจนถึงขณะนี้ ปากเล็กๆ ก็อ้าค้างไม่เคยหุบ ศีรษะเหลียวไปเหลียวมาทำให้ถังฟั่นอดเป็นห่วงลำคอเขามิได้
หากมีแมลงวันบินเข้าไปสักตัว คาดว่าเขาก็คงไม่รู้เป็นแน่
ถังฟั่นเห็นแล้วอดล้อเขามิได้ “เจ้าเจ็ดก็เติบโตอยู่ในอำเภอเซียงเหอ ไม่เคยมาที่นี่เลยหรือ”
เฮ่อเฉิงเอาแต่สอดส่ายสิ่งของแปลกใหม่เหล่านั้น ลูกตาแทบจะมีไม่พอใช้ สำหรับคำถามของน้าชายก็แค่ผงกศีรษะอย่างลืมตัว แล้วค่อยสั่นศีรษะอีกที
ถังอวี๋จึงตอบแทน “เขาเคยมาที่นี่ แต่ไม่ใช่ช่วงวันที่หนึ่งกับสิบห้าและไม่อึกทึกเช่นนี้ ได้ยินอาจารย์ที่สำนักศึกษาบอกว่าปกติมีนักเรียนไม่น้อยหนีเรียนออกไปเที่ยวเล่น มีก็แต่เจ้าเจ็ดที่ไม่เคยทำเช่นนั้นมาก่อน”
หลานชายตัวน้อยเป็นเด็กดีกว่าตนเมื่อครั้งยังเด็กจริงๆ ถังฟั่นถอนใจพลางกล่าวกับถังอวี๋ “จะอย่างไรเจ้าเจ็ดก็ยังเด็ก สงบเรียบร้อยเช่นนี้คงไม่ดีนัก เด็กชายต้องวิ่งเล่นโลดโผน ไม่อ่อนแอเปราะบาง โตขึ้นถึงจะเข้มแข็ง หากอยู่แต่ในบ้านไม่เคยพบเจออุปสรรค ภายหน้าดีไม่ดีอาจเป็นเช่นพี่เขย”
ถังอวี๋ถอนใจ “ใช่ เจ้าพูดมีเหตุผล ข้าไหนเลยจะไม่รู้ เพียงแต่ที่ผ่านมาบิดาเขาไม่พาเขาออกมา ข้าจะปล่อยเขาออกไปเผชิญภายนอกตามลำพังก็ใช่ที่ หากไม่มีผู้ใหญ่เฝ้าดู เกรงว่าอาจเสียคนเหมือนสหายร่วมเรียนในสำนักศึกษาเหล่านั้นก็เป็นได้”
ถังฟั่นแค่นเสียงฮึอย่างหงุดหงิด “เฮ่อหลินคนนี้ช่างเสียแรงที่เป็นบิดาจริงๆ!”
เห็นเฮ่อเฉิงจ้องมองถังหูลู่ไม่วางตา ถังฟั่นจึงหันถามคนอื่นๆ พวกถังอวี๋ล้วนบอกไม่เอา เขาจึงซื้อสองไม้ แบ่งกับเฮ่อเฉิงคนละไม้
ถังอวี๋เห็นแล้วนึกขำ “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ยังจะแทะถังหูลู่กับหลาน”
ถังฟั่นไม่นำพา “จะเป็นไรไป ไม่เคยมีใครตั้งกฎว่ากี่ขวบถึงกินถังหูลู่ได้สักหน่อย เจ้าเจ็ด เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เฮ่อเฉิงอมถังหูลู่ลูกหนึ่งในปากจนแก้มพอง ได้ยินน้าชายเรียกชื่อเขาก็พยักหน้างงๆ
ถังอวี๋ตีถังฟั่นทีหนึ่ง “ตอนอยู่เมืองหลวงเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือ ผู้อื่นเป็นขุนนาง แม้ตำแหน่งไม่ใหญ่ หากมาดขุนนางกลับไม่เล็ก มีก็แต่เจ้ายิ่งโตยิ่งเหมือนเด็ก”
แม้กล่าวเช่นนั้น แต่ในใจนางกลับรู้สึกอบอุ่นยิ่ง
แยกกับน้องชายหลายปี อีกฝ่ายกลับมิได้เปลี่ยนแปลงสักนิด ยังคงเป็นน้องชายในความทรงจำที่นำพาความรื่นรมย์มาให้นางเสมอคนนั้น ไม่รู้กี่ค่ำคืนที่สะดุ้งตื่นจากฝัน หวนนึกถึงภาพเมื่อครั้งยังไม่ออกเรือน สุขสบายทั้งกายใจภายใต้ความรักเอ็นดูของบิดามารดา ก็ให้น้ำตาเปียกหมอนทุกคราไป
ดีที่ทุกวันนี้ยังมีถังฟั่น
ถังฟั่นหัวเราะฮาๆ “พี่หญิง ท่านไม่เข้าใจ อยู่ถึงชรา กินถึงชรา ชีวิตคนแสนสั้น ผู้อื่นไม่กำนัลความสุขแก่ท่าน ท่านต้องหัดเสาะหาความสุขด้วยตนเอง เช่นนี้ชีวิตจึงจะมีรสชาติ!”
ถังอวี๋สะดุดกึกในใจ ขบคิดประโยคนี้ของน้องชายกลับไปกลับมา รู้สึกความหมายลึกล้ำ
ทุกคนพูดคุยเฮฮา เดินผ่านไปกว่าครึ่งถนนไม่รู้ตัว ถังอวี๋มิได้นั่งเกี้ยวออกมา ยามนี้เริ่มหมดแรงแล้ว
นางเอ่ยขึ้น “เอาเช่นนี้ ข้าไปนั่งพักที่ร้านปี้อวิ๋นเทียนสักครู่ พวกเจ้าเดินเที่ยวกันต่อ อีกเดี๋ยวค่อยไปหาข้าที่นั่นแล้วกัน”
ด้านหลังพวกเขาก็คือป้ายร้านของร้านปี้อวิ๋นเทียน
ถังอวี๋มีสาวใช้ติดสอยห้อยตาม จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีอันตรายอันใด
ถังฟั่นกำลังจะพยักหน้า พลันได้ยินถังอวี๋ร้องเอ๊ะคำหนึ่ง “คนตรงนั้น ไฉนจ้องมองพวกเราตลอด”
เพิ่งสิ้นเสียง พวกเหยียนหลี่ก็ร้องเรียกอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่!”
ถังฟั่นมองตามอย่างแปลกใจ เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากแผงขายกังหันลม
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้สวมชุดองครักษ์ แต่จากรูปร่างและบุคลิกท่าทียังคงทำให้ผู้คุ้นเคยมองปราดเดียวก็จำได้
ข้างกายถังฟั่นมีทั้งเด็กและสตรี ไม่อาจทิ้งขว้างพวกเขา จึงให้เหยียนหลี่ไปรับสุยโจวมาทางนี้
คนบนถนนแม้พลุกพล่าน หากเหยียนหลี่ก็วิ่งไปถึงอย่างรวดเร็ว จากนั้นคำนับอีกฝ่าย และเหมือนจะสนทนากันอีกเล็กน้อย ความปีติยินดีบนใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นทำเอาถังอวี๋มองจนตะลึงค้าง
“รุ่นชิง ท่านนั้นคือใคร จะให้ข้าหลบไปก่อนหรือไม่”
“ไม่ต้อง นั่นก็คือสุยโจว สุยก่วงชวน คนที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง” แม้แต่ถังฟั่นเองก็มิได้สังเกตว่าบนใบหน้าตนเองปรากฏรอยยิ้มยินดีปรีดาโดยไม่รู้ตัว ใต้เท้าถังแม้อ่อนโยนน่าชิดใกล้ แต่ก็มิใช่พบปะใครแล้วจะแย้มยิ้มเช่นนี้
อย่างน้อยถังอวี๋ก็ไม่เคยเห็นเขายิ้มให้กับคนสกุลเฮ่อ
“ที่แท้เป็นเขา!” ถังอวี๋กระจ่างโดยพลัน “แต่เจ้าบอกว่าตอนนี้เขาเป็นผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือมิใช่หรือ ไฉนมาถึงที่นี่ได้”
“ข้าก็ไม่รู้ ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงมาเราสองคนก็มิได้พบหน้านานแล้ว”
ถังอวี๋ลองคำนวณ “ก็ไม่นานเท่าไรกระมัง เจ้าออกจากเมืองหลวงจนถึงวันนี้ก็แค่ครึ่งเดือนเศษเท่านั้น พวกเจ้าไม่ใช่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งสักหน่อย ที่จะได้บอกว่าแยกกันไม่กี่เพลาความรักยิ่งหวานชื่น”
โดนพี่สาวกระเซ้ารอบหนึ่ง ถังฟั่นลูบคลำจมูก รู้สึกกระอักกระอ่วนจนไม่กล้าต่อคำ
ขณะทั้งสองสนทนา สุยโจวกับเหยียนหลี่ก็มาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว
ถังฟั่นยิ้มถาม “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
วาจาที่เปล่งออกก็พอประจักษ์ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองบรรลุถึงระดับใด
ต่อให้เป็นสหายสนิทปานใด พบหน้าก็ต้องประสานมือคารวะตามธรรมเนียม ขานนามพลางทักทายทั่วไปรอบหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยเข้าสู่หัวข้อหลัก
น้อยคนนักที่จะเป็นเช่นถังฟั่น เจอหน้าก็เข้าประเด็นทันที
ฟังแล้วคล้ายมีเจตนาซักไซ้ ทว่าในน้ำเสียงกลับเปี่ยมด้วยความปรีดา
ก่อนนี้ถังอวี๋ได้ยินถังฟั่นบอกว่าตนกับผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือสนิทสนมกันมาก ยังกังวลว่าน้องชายคนนี้จะถูกผู้อื่นหลอกใช้
นางรู้ดีว่าถังฟั่นมิใช่คนไร้สติปัญญาเช่นนั้น แต่ในสายตาพี่สาวก็เหมือนบิดามารดามองดูบุตร อดเป็นห่วงนั่นเป็นห่วงนี่ไม่ได้
แต่เมื่อได้พบสุยโจวจริงๆ เห็นคนผู้นี้สีหน้าเคร่งขรึม สองตากระจ่างใสแพรวพราว มิใช่คนใจคออำมหิต ยามนี้ค่อยเบาใจขึ้นบ้าง
ทั้งเห็นอีกฝ่ายแม้สุขุมลุ่มลึก แต่สายตาที่มองน้องชายตนกลับอ่อนละมุนนัก ต่างจากสายตาคมกริบที่มองคนอื่นโดยสิ้นเชิง ถังอวี๋ก็ทราบว่าถังฟั่นหาได้กล่าวเกินจริงไม่
ดูท่ามิตรภาพของทั้งสองจะแน่นแฟ้นกว่าคนทั่วไปจริงๆ
สุยโจวตอบคำถามของถังฟั่นก่อน “มีธุระ” จากนั้นค่อยเบนสายตาไปที่ถังอวี๋และเฮ่อเฉิง “สองท่านนี้คือ?”
ถังอวี๋ยังไม่เท่าไร แต่เฮ่อเฉิงโดนจ้องมองด้วยสายตาเยียบเย็นเช่นนี้ พลันขลาดกลัวจนวิ่งไปหลบหลังมารดา
เหยียนหลี่ตบหน้าผาก “ดูข้าสิ กลับลืมแนะนำเสียได้ สองท่านนี้ก็คือพี่สาวและหลานชายของคุณชายถังขอรับ”
ถังอวี๋ยอบกายคารวะ “ข้าน้อยคำนับใต้เท้าสุย”
สีหน้าของสุยโจวอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย และคารวะตอบ “รุ่นชิงกับข้าเสมือนพี่น้อง พี่หญิงไม่จำเป็นต้องมากพิธี คิดว่าข้าเป็นคนกันเองเถอะ”
มาถึงก็เรียกขานถังอวี๋ว่าพี่หญิง ทำเอาถังฟั่นอยากหัวเราะจริงๆ
ทว่าสองคนตรงหน้า คนหนึ่งคารวะตอบอย่างเป็นทางการ คนหนึ่งก็มิได้รู้สึกมีอันใดไม่เหมาะสม จึงรีบระงับอาการขบขัน
ถังอวี๋ได้ยินมาว่าองครักษ์เสื้อแพรวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่เหยียนหลี่ก็ดี กงซุนเยี่ยนก็ดี แม้วางอำนาจต่อคนภายนอกอยู่บ้าง หากกับถังฟั่นและนางกลับเกรงใจอย่างที่สุด เวลานี้มีผู้บังคับการมาอีกคน กลับยิ่งสุภาพเป็นกันเอง ไม่วางท่าเย่อหยิ่งสักนิด
นางทราบว่าสุยโจวมาถึงอำเภอเซียงเหอย่อมมีธุระจัดการ และเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับถังฟั่นแน่นอน จึงระบายยิ้มบางๆ “ข้าเดินจนรู้สึกล้าแล้ว ต้องขอตัวไปนั่งพักที่ร้านอาหารก่อน”
นางทำท่าจะพาเฮ่อเฉิงไป เหลือช่องว่างให้พวกเขาสนทนา
ถังฟั่นรีบกล่าว “ให้เจ้าเจ็ดไปกับพวกเราเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
ถังอวี๋เห็นสุยโจวผงกศีรษะเชิงเห็นด้วยจึงทิ้งเฮ่อเฉิงไว้ ส่วนตนก็พาสาวใช้เดินเข้าร้านปี้อวิ๋นเทียน
สุยโจวสั่งเหยียนหลี่กับกงซุนเยี่ยนไปอารักขาถังอวี๋ เลี่ยงไม่ให้ถูกใครจาบจ้วงล่วงเกิน จากนั้นค่อยเดินเลียบถนนไปยังที่ซึ่งผู้คนบางตาพร้อมกับถังฟั่น
ถังฟั่นเห็นเฮ่อเฉิงเผยสีหน้าอ่อนเพลีย จึงอุ้มเขาขึ้นมา กลับเห็นสุยโจวยื่นมือมารับเฮ่อเฉิงไป “ข้าเอง”
เฮ่อเฉิงเห็นสุยโจวครั้งแรกก็อดเกร็งมิได้ ตัวแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตาไม้อยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย ไม่กล้ายุกยิก
ถังฟั่นเห็นเข้าก็นึกขัน จึงซื้อขนมถังหลง* ให้เขา
เฮ่อเฉิงถูกใจยิ่งนัก ดวงตาเบิกโต ไม่รู้จะเริ่มกัดจากหนวดมังกรหรือหางมังกรก่อนดี
“ท่านมาคนเดียวหรือ” ถังฟั่นถาม
“ใช่” สุยโจวตอบ สั้นแต่ได้ใจความ เขาครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วกล่าว “บ้านของเจ้าซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นเรือนของสกุลจางหลังนั้น”
ถังฟั่นลิงโลด “เช่นนั้นก็ดี คราวนี้พี่สาวกับเจ้าเจ็ดไปถึงก็มีที่พักแล้ว”
สุยโจวสงสัย “พวกเขาจะไปเมืองหลวง?”
ถังฟั่นถอนใจ ก่อนเล่าถึงต้นสายปลายเหตุรอบหนึ่ง
เขาเห็นเฮ่อเฉิงนิ่งฟังอย่างสงบจึงลูบศีรษะเขา “เจ้าเจ็ด เจ้ายินดีจะไปอยู่เมืองหลวงกับท่านแม่และน้าหรือไม่”
เฮ่อเฉิงพยักหน้า เอ่ยเบาๆ “ยินดีขอรับ”
ถังฟั่นหัวเราะ ก่อนกล่าวกับสุยโจว “ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อยังนับว่ามีเหตุผล หากเฮ่อหลินยอมปล่อยมือ ทุกอย่างก็ราบรื่นขึ้นมาก ไม่เช่นนั้นถ้าเขาโวยวายขึ้นมา เรื่องราวแพร่ออกไป ชื่อเสียงพี่สาวข้าต้องไม่น่าฟังแน่”
สุยโจวกลับกล่าว “นี่จัดการไม่ยาก”
ถังฟั่นถามเสียงฉงน “ท่านมีวิธี?”
สุยโจวหยักยกมุมปาก “มอบให้เป็นหน้าที่ข้าแล้วกัน”
ถังฟั่นอดมองเขาเพิ่มขึ้นมิได้ สุยโจวจึงผุดสีหน้าแข็งทื่อและแววตาใสซื่อ
คนที่เป็นองครักษ์เสื้อแพร หน้าหนาใจดำนั่นคือบุคลิกพื้นฐาน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าวิธีที่สุยโจวบอกต้องไม่สง่างามสักเท่าไรแน่
ทว่าสำหรับคนพิเศษย่อมต้องใช้วิธีพิเศษ เขารู้อะไรควรไม่ควร ถังฟั่นก็ไม่ไปไถ่ถามมากความ
ถังฟั่นลูบจมูกเมื่อยิ้มกล่าว “ข้ายังไม่หลงตนเองถึงขั้นนั้น กองปราบฝ่ายเหนือมีงานมากมาย คนที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานชัดเจนอย่างท่านคงไม่ทิ้งงานวิ่งมาถึงที่นี่โดยง่ายเป็นแน่”
ในแววตาของสุยโจวปรากฏรอยขบขัน “ข้ามีธุระติดมาด้วยจริง หากก็เกี่ยวข้องกับเจ้า”
ไม่บ่อยนักที่สุยโจวจะเผยสีหน้าเช่นนี้ ถังฟั่นถูกสะกิดความสงสัยแล้ว “เรื่องอะไร”
ผู้บังคับการสุยกลับมีอารมณ์ขันอย่างยากจะเห็น “เจ้าลองทาย”
ถังฟั่นทำท่าครุ่นคิด “คงมิใช่เพราะคราวก่อนข้าล่วงเกินรองเสนาบดีเหลียง ราชเลขาธิการวั่นเจ็บแค้นไม่หายจึงป้ายความผิดใส่ศีรษะข้า แล้วให้ท่านมาจับกุมข้ากลับไปกระมัง”
“ไม่ใช่”
“เช่นนั้นก็อาตงมีคนในดวงใจ จะออกเรือนแล้ว?”
“ปีนี้น้องสาวเจ้าเพิ่งสิบขวบ”
“หรือท่านจะแต่งงาน?”
“…”
ถังฟั่นเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตึง จึงหัวเราะกระเซ้า “ท่านก็เลิกอมพะนำสักที ถ้าให้ข้าเดาอีก ข้าจะเดาว่าท่านไปเที่ยวหอคณิกาคราหนึ่งจนทำให้หญิงคณิกาชื่อดังนางหนึ่งตั้งครรภ์ กระทั่งมาตามถึงประตูบ้าน!”
สุยโจวเอ่ยเสียงอ่อนใจ “ก็บอกอยู่ว่าเกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าเดาเรื่องพวกนี้ไปเกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“เกี่ยวตรงที่ว่าข้าได้เป็นท่านอาแล้วอย่างไรเล่า!” ถังฟั่นหัวเราะฮาๆ
ต่อให้เป็นผู้บังคับการหน้านิ่งก็ยังหมดปัญญากับใต้เท้าถัง “เดิมทีควรรอเจ้ากลับเมืองหลวงก่อนจึงจะได้รับราชโองการ แต่ข้าทูลต่อฝ่าบาทขอทำงานชิ้นนี้ นำราชโองการมาให้เจ้าโดยตรง”
นี่เหนือความคาดหมายของถังฟั่นสิ้นเชิง เขาอึ้งไปอึดใจ ค่อยๆ ย่อยความจริงประการนี้
“ฟังจากน้ำเสียงท่าน ข้าได้คืนตำแหน่งแล้ว?”
สุยโจวผุดยิ้ม “ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ เสียด้วย”
“ท่านทูลขอต่อฝ่าบาทแทนข้า ให้ข้ากลับสู่ตำแหน่งหรือ”
“ไม่ใช่ข้า มีคนเร็วกว่าข้าก้าวหนึ่ง”
ความหมายคือเดิมทีเขาเองก็อยากไปทูลขอให้เช่นกัน
นี่แทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ ถังฟั่นก็เดาได้แล้ว “วังจื๋อ?”
ในบรรดาคนที่เขารู้จัก มีเพียงสองคนที่สามารถเข้าเฝ้าและสามารถกราบทูลขอความเมตตาแทนเขาได้โดยตรง หนึ่งคือสุยโจว อีกคนก็คือวังจื๋อ
ดังคาด สุยโจวพยักหน้า “มิผิด”
แต่ถังฟั่นยังรู้สึกเหลือเชื่อ “เขาทำได้อย่างไร”
“กลับไปค่อยเล่าเถอะ”
เขาเร่งรุดจากเมืองหลวงถึงที่นี่ก็เพื่อพบหน้าคนผู้นี้ในนามของการปฏิบัติหน้าที่
แม้ร่างกายยังมอมแมมด้วยฝุ่น แต่เมื่อได้เห็นคนผู้นี้ พลันความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็มิใช่มิอาจทานทน
ทว่าความรู้สึกที่ไหลหลั่งในใจ สุดท้ายยังคงไหลหลั่งเพียงในใจเท่านั้น มิได้เอ่ยพร่ำด้วยวาจา
เพราะมีบ้างบางครา คำพูดมากมายไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวออกมา
ถังฟั่นถาม “ท่านมีที่พักแล้วหรือยัง”
สุยโจวตอบ “มี โรงเตี๊ยมด้านหน้านี้เอง”
ถังฟั่นพึมพำ “เวลานี้พี่สาวข้าต้องการแบ่งทรัพย์แยกบ้านกับเฮ่อหลิน ข้าอยู่คฤหาสน์สกุลเฮ่อต่อไปคงไม่เหมาะนัก ในเมื่อท่านมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ย้ายไปอยู่กับท่านแล้วกัน”
“ได้” สุยโจวกล่าว
ไม่รู้ว่าเฮ่อเฉิงฟุบหลับกับไหล่ของสุยโจวตั้งแต่เมื่อใด ถังฟั่นหัวเราะพลางลูบศีรษะเขา
ทั้งสองเดินกลับมาหาถังอวี๋ และกินอาหารเที่ยงในร้านปี้อวิ๋นเทียน จากนั้นค่อยกลับไป
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเพิ่งกลับจากเดินเล่นในสวนดอกไม้ อยากจะเอนหลังสักงีบก็ได้ยินบ่าวมารายงานว่าถังฟั่นพาสหายผู้หนึ่งมาเยี่ยมคารวะ
เขาเพียงคิดว่าอีกฝ่ายรุดมาด้วยเรื่องหย่าร้าง จึงถอนใจ “สหายอันใดกัน ก็คงไม่พ้นจะมาพูดเรื่องหย่ากระมัง นี่จะให้ผู้อื่นมีชีวิตสงบสุขบ้างมิได้หรือ!”
เฮ่อเซวียนเผอิญมีธุระมาหาบิดาในวันนี้พอดี พอได้ฟังคำนี้จึงว่า “เช่นนั้นก็ทำตามความต้องการของพวกเขาเถอะ อย่างไรพี่รองก็เป็นบุรุษ มิใช่สตรี แต่งใหม่ก็ไม่ต้องกังวลจะหาสตรีดีๆ ไม่ได้ พี่สะใภ้รองต่างหากที่เสียเปรียบ ท่านพ่อเอาแต่ยับยั้งเช่นนี้ พวกเขาไม่เพียงไม่เห็นความดี ซ้ำยังตำหนิท่านด้วย”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อถลึงตาใส่เขา “พูดง่ายดีจริง นิสัยอย่างพี่รองเจ้ายังมีตระกูลใดยินดียกบุตรสาวให้แต่งกับเขาอีก สะใภ้รองถือกำเนิดในตระกูลบัณฑิต ไม่ใช่สตรีทั่วไปจะเทียบเทียมได้ แม้แต่ภรรยาเจ้า กิริยาท่าทียังสู้นางไม่ได้ เพียงแต่พี่รองเจ้าไม่รู้จักทะนุถนอมเอง เจ้าเจ็ดยังเล็ก พี่รองเจ้าไม่เอาไหน เขายิ่งจำเป็นต้องมีมารดาอบรมสั่งสอน”
เฮ่อเซวียนยิ้มเจื่อน “ท่านพ่อ พี่รองไม่เอาไหน ไยท่านมาลงที่ข้าเล่า! ท่านเองก็ใช่ว่าไม่มีหลานสายตรง ทางพี่ใหญ่นั่นก็มีตั้งสอง ทางข้าอีกหนึ่ง แล้วไยจับจ้องอยู่แค่เจ้าเจ็ด ถ้าหลานคนอื่นๆ ของท่านได้ยินเข้า ต้องหาว่าท่านลำเอียงแน่นอน”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อบอกบ่าวที่มารายงาน “ไปเชิญแขกเข้ามา” ก่อนหันมากล่าวกับเฮ่อเซวียน “ถังฟั่นแม้ไร้ตำแหน่ง แต่ยังมีองครักษ์เสื้อแพรติดตาม นี่แสดงให้เห็นว่าในราชสำนักยังมีคนหนุนเขาอยู่ การฟื้นคืนตำแหน่งเพียงเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น เจ้าอย่าได้เห็นเป็นเรื่องเล็ก เวลานี้พี่ใหญ่เจ้าแม้เป็นขุนนางขั้นสี่ แต่นั่นเป็นขุนนางท้องถิ่น มิใช่ขุนนางเมืองหลวง ขุนนางท้องถิ่นมีค่าน้ำร้อนน้ำชาไม่น้อย แต่ความสำคัญกับความเร็วในการเลื่อนตำแหน่งห่างจากขุนนางเมืองหลวงลิบลับ ปีนั้นเพราะบิดาเจ้าไม่ได้รับเลือกเป็นบัณฑิตฝึกงานในสำนักราชบัณฑิต ดังนั้นจึงได้แต่หยุดอยู่ที่ตำแหน่งขุนนางท้องถิ่น หากตระกูลเราสามารถมีญาติเกี่ยวดองเช่นถังฟั่น ย่อมเป็นผลดีต่อพี่ใหญ่เจ้าและเจ้าในภายภาคหน้า พี่รองเจ้าน่ะโง่เขลานัก อยู่ดีไม่ว่าดี กลับทะเลาะวิวาทกับภรรยาจนกลายเป็นเช่นนี้”
ขณะที่เขากำลังอบรมบุตรชายคนเล็ก ถังฟั่นกับสุยโจวได้มาถึงแล้ว
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อยิ้มทักทาย “รุ่นชิง กินข้าวแล้วหรือยัง”
น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นกันเองราวกับเรื่องเมื่อวานนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกระนั้น เขามองไปทางคนด้านข้างของถังฟั่น “ท่านนี้คือ?”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ท่านนี้คือสหายของหลาน เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือ สุยโจว สุยก่วงชวน”
เฮ่ออิงตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าตนเองเพิ่งบอกบุตรชายว่าต้องให้ความสำคัญต่อถังฟั่น ทางถังฟั่นก็เอาความสำคัญมา ‘ยืนยัน’ ให้เห็นทันที
“ที่แท้ก็ผู้บังคับการสุย เป็นคนหนุ่มมากความสามารถจริงๆ”
ต่อหน้าสุยโจว เฮ่ออิงแทบวางมาดขุนนางใหญ่ขั้นสามของตนเองไม่ออกเลยทีเดียว
แม้ตำแหน่งของเขาจะสูงกว่าฝ่ายตรงข้ามก็ตาม ทว่านี่เป็นถึงองครักษ์เสื้อแพร นับแต่จักรพรรดิหงอู่ก่อตั้งองครักษ์เสื้อแพรมา การดำรงอยู่ของหน่วยงานนี้ก็เพื่อกำราบขุนนางน้อยใหญ่นั่นเอง
ถึงแม้ภายหลังมีสำนักประจิมและสำนักบูรพามาแบ่งอำนาจ แต่จุดนี้ล้วนมิเคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน
สุยโจวประสานมือ “ท่านผู้เฒ่าชมเชยเกินไปแล้ว”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ผู้บังคับการสุยมาปฏิบัติหน้าที่ ถือโอกาสแวะเยี่ยมเยียนข้า พอข้าเอ่ยถึงท่านขึ้นมา เขาก็บอกว่าอยากมาเยี่ยมคารวะท่านสักครา”
เฮ่ออิงปลาบปลื้ม “เป็นเราผู้เฒ่าที่ต้อนรับบกพร่อง เชิญไปนั่งที่โถงกลางก่อน”
ถังฟั่นระบายยิ้ม “ไม่ต้องแล้ว ท่านลุงกำลังจะพักผ่อนหลังเที่ยงกระมัง พวกเราคงขอตัวกลับก่อน อีกอย่างสวนแห่งนี้ก็สวยสดงดงาม ได้เยี่ยมชมมากหน่อยก็นับเป็นบุญตาของพวกเราเช่นกัน”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อไหนเลยจะยอมปล่อยพวกเขาไป หากสามารถสานสัมพันธ์กับสุยโจวได้ก็เท่ากับมีเส้นสายคนสำคัญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
“อายุมากเข้า เรื่องนอนก็น้อยไปด้วย ไหนเลยยังมีพักผ่อนหลังเที่ยงวัน ก็แค่หนุนหมอนนอนเหม่อเท่านั้นเอง พวกเจ้ามา ตาแก่อย่างข้าก็ไม่ต้องเบื่อหน่ายแล้ว ไปๆ ที่นี่มีชาชั้นดี ปกติมิได้นำออกมาโดยง่าย”
ถังฟั่นมองสุยโจวแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายพยักหน้า จึงกล่าวกับท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ “เช่นนั้นก็รบกวนท่านลุงแล้ว”
เฮ่ออิงให้บุตรชายคนเล็กไปชงชา จากนั้นกล่าวกลั้วหัวเราะ “พวกเราเดินเล่นแถวนี้สักสองรอบก่อน รอชงชาเสร็จแล้วก็จะมาตามเอง รุ่นชิง อย่าหาว่าลุงตำหนิเจ้าเลย เจ้ามิใช่คนนอก อย่าเอาแต่เกรงอกเกรงใจ ในเมื่อชอบทิวทัศน์ในสวนนี้ เช่นนั้นก็ย้ายเข้ามาเลยเถอะ จะได้ไม่เงียบเหงาอยู่ที่เรือนไม้ไผ่นั่น เดิมทีข้าก็อยากเตรียมห้องพักแขกทางนี้ไว้ให้เจ้า แต่ท่านป้าเจ้าบอกว่าพวกเจ้าคนหนุ่มคนสาวน่าจะชอบทำตัวตามสบาย ถึงได้ให้เจ้าไปอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ตามลำพัง”
ถังฟั่นรับหน้าที่แทนเฮ่อเซวียน ประคองเขาเดินขึ้นหน้า ฟังเขาพล่ามจบจึงยิ้มกล่าว “เรือนไม้ไผ่บรรยากาศดีเลิศ ท่านป้าจัดการเช่นนี้ข้าชอบมาก ท่านลุง ข้ามิได้ทำตัวเหมือนคนนอก ต่อให้พี่หญิงกับพี่เขยไร้วาสนาต่อกันแล้ว พวกเราสองตระกูลอย่างไรก็ยังมีไมตรีของรุ่นบิดาอยู่ หลานยังคงให้ความเคารพต่อท่านเสมอ”
เฮ่ออิงเห็นเขาพูดมาพูดไปก็วกมาถึงเรื่องนี้ อดรู้สึกอ่อนใจมิได้ “หลานชาย นับแต่โบราณกาลมักเกลี้ยกล่อมให้สมานฉันท์มิใช่เกลี้ยกล่อมให้เลิกร้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่สาวเจ้า รอบคอบไว้เป็นดี ครานั้นข้ากับบิดาเจ้าแม้ทำสัญญาหมั้นหมายก็เพียงสัญญาปากเปล่าเท่านั้น ตอนนั้นหากข้าคิดกลับคำก็ย่อมทำได้ ก็แค่คำพูดลมปาก ข้าสามารถรักษาคำมั่นเช่นนี้ คิดว่าบิดาเจ้าในปรภพก็คงไม่อยากเห็นการแต่งงานนี้ต้องพังพินาศเช่นกัน”
“ท่านลุงรักษาคำมั่นในตอนนั้น หลานมิกล้าลืมเลือน แต่โบราณมีคำกล่าวว่าผลแตงที่ฝืนเด็ดนั้นไม่หวาน* ทุกวันนี้มิใช่พี่สาวข้ารังเกียจพี่เขย แต่เป็นพี่เขยไม่อยากใช้ชีวิตให้ดี ต่อหน้าข้าพี่เขยยังปฏิบัติกับพี่สาวและเจ้าเจ็ดเช่นนั้น หากข้าไม่อยู่ยังไม่แน่ว่าเขาจะกระทำเกินเลยปานใด ท่านลุง เรื่องราวถึงขั้นนี้ ให้พวกเขาแยกกันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว” น้ำเสียงของถังฟั่นไม่เร่งไม่ช้า นุ่มนวลประหนึ่งสายน้ำไหล
“เป็นเพราะพี่เขยเจ้าเลอะเลือนชั่วคราว ยังไม่ตื่นรู้ ข้าจะสั่งสอนเขาให้ดี พี่สาวเจ้าเป็นสะใภ้ของสกุลเฮ่อ ทั้งเป็นบุตรีของบิดาเจ้า ยามนี้บิดาเจ้าไม่อยู่แล้ว นางก็เปรียบเสมือนบุตรสาวข้าเช่นกัน สกุลเฮ่อไม่มีทางไม่เหลียวแลนางแน่นอน ข้าตั้งใจว่าจะให้พวกเขาย้ายไปอยู่เรือนไม้ไผ่และเพิ่มเงินรายเดือนให้พวกเขาเป็นหนึ่งร้อยตำลึง สินเดิมที่พี่สาวเจ้านำออกไปจำนำ ข้าจะให้คนไปไถ่คืนมา เจ้าว่าเป็นอย่างไร”
“ความปรารถนาดีของท่านลุงข้าเข้าใจ แต่อย่างไรพวกท่านก็ไม่อาจเฝ้าดูพี่เขยได้ตลอดเวลา เขาโตเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนั้นแล้ว หากตนเองไม่รู้จักคิด รอแต่บิดามารดาสั่งสอนก็หาประโยชน์อันใดมิได้ แทนที่ทุกคนจะต้องอยู่อย่างอิหลักอิเหลื่อ มิสู้มอบความสบายใจซึ่งกันและกัน เป็นสามีภรรยาไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ต้องถึงกับเป็นศัตรูคู่แค้น”
พูดมาพูดไปก็คือไม่ยอมอ่อนข้อ เฮ่ออิงเริ่มมีโมโหแล้ว รู้สึกว่าถังฟั่นช่างไม่รู้จักกาลเทศะ ตนชักแม่น้ำทั้งห้าก็แล้ว เขากลับยืนกรานเสียงแข็ง
ถังฟั่นเอ่ยอีกว่า “อีกไม่กี่วันข้าต้องกลับไปรายงานตัวที่กรมปกครองแล้ว เรื่องนี้ยุติโดยเร็วประเสริฐกว่า อันที่จริงหากท่านลุงยืนกรานไม่รับปากให้หย่าโดยสมัครใจ ข้ามีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือให้พี่สาวกับพี่เขยแบ่งทรัพย์แยกบ้าน”
เฮ่ออิงได้ฟังคำพูดนี้ของเขาก็ตะลึงไป แม้แต่คำว่า ‘แบ่งทรัพย์แยกบ้าน’ ในตอนท้ายก็ลืมซักถามแล้ว “เจ้าจะกลับไปรายงานตัว?”
ครานี้กลับเป็นสุยโจวที่นิ่งเงียบมาตลอดเป็นฝ่ายตอบ “ฝ่าบาททรงระบุให้รุ่นชิงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อตะลึงตาค้าง
ผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย เขาทราบดีว่านี่เป็นตำแหน่งหน้าที่ในสำนักตรวจการนครหลวง
แต่ปัญหาคือตำแหน่งนี้ใช่ขุนนางขั้นสี่เต็มขั้นหรือไม่
เขาจำได้ชัดเจนว่าก่อนถังฟั่นโดนถอดตำแหน่งยังเป็นหัวหน้ากองพลาธิการ ขุนนางขั้นห้าเต็มขั้นเท่านั้น
หลังจากโดนถอดตำแหน่ง ภายในครึ่งเดือนก็สามารถฟื้นฟูตำแหน่งเดิม ในแวดวงขุนนางไม่นับเป็นเรื่องแปลกใหม่ หลังคืนสู่ตำแหน่งยังได้ปรับเลื่อนขึ้น ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อก็เคยเห็นมาไม่น้อย
เขารับราชการกว่าครึ่งชีวิต มิใช่ตาสีตาสา แต่ปัญหาคือเขาคิดไม่ถึงว่าถังฟั่นจะโชคดีปานนี้
หลังออกจากราชการ โดยพื้นฐานแล้วคนไม่น้อยมักกลับบ้านทำไร่ไถนา ถังฟั่นซึ่งเป็นขุนนางขั้นห้าเล็กๆ คนหนึ่ง หากไม่มีคนใหญ่คนโตสนับสนุน จักรพรรดิไหนเลยจะจดจำได้ว่าเขาเป็นใคร
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อทราบดี นี่ต้องมีคนช่วยพูดให้ถังฟั่นแน่นอน และคนผู้นี้ต้องมีอำนาจไม่น้อยด้วย
ชั่วพริบตาเฮ่ออิงก็จัดระเบียบความคิดเป็นขั้นเป็นตอน ไม่เหมือนผู้ชราวัยไม้ใกล้ฝั่งสักนิด
“นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก! รุ่นชิง คืนนี้เจ้ากับใต้เท้าสุยก็อยู่กินข้าวที่นี่เถอะ ข้าจะให้ทางห้องครัวเตรียมอาหารชั้นดีเพื่อฉลองให้เจ้าและแจ้งพี่สาวพี่เขยเจ้า พวกเขาจะได้ดีใจกับเจ้าด้วย”
ถังฟั่นนึกในใจ พี่เขยได้ฟังข่าวนี้เกรงว่าอาจจะยิ่งไม่พอใจกระมัง ดีไม่ดีอาจเข้าใจว่าผู้อื่นจงใจอวดโอ่ต่อหน้าตน
“ท่านลุง เรื่องนี้ไม่รีบ ประการแรก เวลานี้พี่เขยอารมณ์ไม่แจ่มใส เกรงว่าข่าวนี้อาจทำให้โรคทางใจเขาลุกลามยิ่งขึ้น ประการสอง นี่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด อย่าได้เอิกเกริกจะดีกว่า ประการสาม ข้าแค่อยากมาเรียนท่านลุง ก่วงชวนกับข้าสนิทสนมกันดี ข้าอยากย้ายไปพักอยู่กับเขา”
เฮ่ออิงประสบการณ์โชกโชน คิดโยงถึงเมื่อครู่ที่ถังฟั่นเสนอเรื่องแบ่งทรัพย์แยกบ้าน มีหรือจะไม่ทราบว่าเขากำลังฉวยโอกาสนี้ตัดสัมพันธ์กับสกุลเฮ่อ
ในใจอดทอดถอนมิได้ หากเฮ่อหลินรักดี ไหนเลยต้องมาผิดพ้องหมองใจกันถึงขั้นนี้
อันที่จริงเมื่อคิดในมุมของถังฟั่น เขาก็สามารถเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่ถังฟั่นมีท่าทีรุนแรงเช่นนี้ บุพการีของสกุลถังล่วงลับ ไร้ญาติสนิทให้พึ่งพิง เหลือเพียงพวกเขาสองพี่น้อง ถังฟั่นเป็นคนรักครอบครัว ย่อมต้องยืนกรานออกหน้าให้พี่สาวเป็นธรรมดา
แต่เข้าใจได้แล้วอย่างไร ในฐานะประมุขสกุลเฮ่อ ไม่ว่าหย่าโดยสมัครใจก็ดี แบ่งทรัพย์แยกบ้านก็ช่าง นี่ล้วนมิใช่สิ่งที่เฮ่ออิงอยากเห็น
หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าสกุลถังและสกุลเฮ่อได้ตีเส้นแบ่งกันโดยสิ้นเชิงแล้ว อนาคตสกุลเฮ่อมีเรื่องอันใด ถังฟั่นย่อมไม่มีทางยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เฮ่ออิงหัวเราะแห้งๆ แสร้งเป็นเลอะเลือน “เรื่องนี้วางไว้ก่อน ในเมื่อใต้เท้าสุยเป็นสหายสนิทของเจ้า เช่นนั้นก็มิใช่คนอื่นคนไกล สามารถย้ายมาอยู่เรือนไม้ไผ่กับเจ้าได้เช่นกัน”
“เขามีคนติดตามมาด้วย เรือนไม้ไผ่คงไม่พออยู่ อีกอย่างหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพรถือเป็นความลับยิ่งยวด ท่านก็ทราบ นี่ไม่สะดวกอย่างยิ่ง” ถังฟั่นกล่าว
สุยโจวมาที่นี่ความจริงก็เพื่อถ่ายทอดราชโองการต่อถังฟั่นเท่านั้น ไหนเลยจะมีความลับอันใด แต่ถังฟั่นรังแกท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อที่ไม่รู้ความนัย หยิบเอาขนไก่เป็นศรอาญาสิทธิ์ ปั้นเรื่องส่งเดช
พอเขาพูดจบก็หันมาปั้นหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มให้สุยโจว
ผู้อื่นเองก็หนังหน้าหนามากมาแต่แรก ย่อมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เฮ่ออิงนึกครั่นคร้ามองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมา อดสั่นสะท้านมิได้ รีบยิ้มกระดาก “เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ พวกเจ้าเชิญตามสบาย แต่อย่างไรก็ต้องกินอาหารค่ำด้วยกันก่อน อย่าได้เกรงใจ”
ถังฟั่นปฏิเสธไม่สำเร็จ จึงรับปากไป
ยามนั้นเฮ่อเซวียนส่งคนมาแจ้งว่าน้ำชาชงเสร็จแล้ว
เฮ่ออิงจึงพาทั้งสองมาดื่มชาที่โถงกลาง เพียงสนทนาดินฟ้าอากาศ ไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่สักคำ
จวบจนพวกถังฟั่นไปแล้ว เฮ่อเซวียนเห็นบิดาสีหน้าไม่สู้ดีจึงถาม “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป เมื่อครู่มิใช่ยังดีๆ อยู่หรอกหรือ
เฮ่ออิงเอ่ยน้ำเสียงท้อแท้ “ถังฟั่นจะย้ายออกไปแล้ว”
เฮ่อเซวียนถอนใจ “เฮ้อ ข้ายังนึกว่าเรื่องใหญ่โตอันใด เขาอยากย้ายก็ให้เขาย้ายไป พวกเราสกุลเฮ่อมีให้กินให้ดื่มอย่างเต็มที่เขายังไม่พึงพอใจ คงคิดว่าตนเองรู้จักองครักษ์เสื้อแพร ถึงได้วางมาดเขื่องโข”
เฮ่ออิงส่ายหน้า “เจ้าจะไปเข้าใจอันใด เขาไม่คิดจะกินอยู่ในคฤหาสน์สกุลเฮ่ออยู่แล้ว ใคร่จะตัดสัมพันธ์กับพวกเรา เลี่ยงไม่ให้ภายหน้าลือออกไปว่าเขาติดค้างพวกเราสกุลเฮ่อ เขากับบิดาเขานิสัยเหมือนกัน ภายนอกเหมือนคบหาง่าย ความจริงหยิ่งในศักดิ์ศรียิ่งนัก หากไม่ใช่คนที่คบหามานานก็ไม่มีทางมองออก”
เฮ่อเซวียนไม่เห็นด้วย “ท่านพ่อ เรื่องของพี่รองกับพี่สะใภ้รองท่านก็อย่าดึงดันนักเลย ข้าเห็นแล้วยังรู้สึกอึดอัดใจแทนพวกเขา จะหย่าโดยสมัครใจก็สุดแต่ใจพวกเขาเถอะ ใช่ว่าไม่มีถังฟั่นแล้วบ้านเราจะอยู่ไม่ได้ ไยท่านต้องคำนึงถึงเขาด้วย”
“ถังฟั่นถูกตามตัวกลับไปแล้ว ซ้ำได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการ” เฮ่ออิงกล่าว
“หา?” เฮ่อเซวียนตะลึงตาค้าง “ปะ…เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอยากให้พี่สาวไปจากสกุลเฮ่อให้ได้ จึงจงใจหาคนมาต้มตุ๋นท่าน”
“ต้มตุ๋นกบาลเจ้าน่ะสิ! เรื่องเช่นนี้ต้มกันง่ายๆ ได้หรือ!” เฮ่ออิงตบท้ายทอยบุตรชาย “เขาบอกไม่หย่าโดยสมัครใจก็ได้ แต่ต้องการแบ่งทรัพย์แยกบ้าน”
เฮ่อเซวียนคลำท้ายทอย “ท่านรับปากแล้ว?”
เฮ่ออิงถอนใจ “ไม่ ถึงได้หาเรื่องถ่วงเวลาไว้ หวังว่าจะถ่วงได้ถึงตอนเขากลับเมืองหลวง ถึงเวลานั้นข้าค่อยให้พี่รองเจ้าไปยอมรับผิด เรื่องนี้ก็นับว่าผ่านไปได้แล้ว”
เฮ่อเซวียนไม่คิดเช่นนั้น “พี่รองจะยอมหรือ”
คำนี้ทำให้ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อหมดวาจา แหงนหน้ามองฟ้า อึดใจถัดมาค่อยเข่นเขี้ยว “ข้าสั่งให้ยอมเขาก็ต้องยอม!”
ค่ำนั้นถังฟั่นกับสุยโจวอยู่กินอาหารที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติดังคาด เนื่องจากเฮ่อหลินก็อยู่ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาอาละวาดขึ้นมาอีก ทุกคนต่างพร้อมใจไม่เอ่ยถึงเรื่องการหย่าร้าง และมิได้เอ่ยถึงเรื่องถังฟั่นได้เลื่อนตำแหน่ง เพียงสนทนาดินฟ้าอากาศที่ไม่เจ็บไม่คัน มื้อหนึ่งผ่านไปนับว่าสุขสำราญบานใจทั้งแขกและเจ้าภาพ
หลังมื้ออาหารถังฟั่นบอกพี่สาวคำหนึ่ง แล้วจัดเก็บสัมภาระย้ายออกจากเรือนไม้ไผ่ไปพักกับสุยโจวที่โรงเตี๊ยมพร้อมกับพวกเฉียนซันเอ๋อร์
ภารกิจครั้งนี้ของสุยโจวเป็นเรื่องกึ่งงานกึ่งส่วนตัว ดังนั้นจึงพักในโรงเตี๊ยมตามลำพัง ไม่มีผู้ใต้บัญชาติดตาม
เมื่อถังฟั่นย้าย พวกเหยียนหลี่ย่อมต้องย้ายตาม
แม้ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่อย่างไรก็มิใช่เมืองหลวง ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงมีห้องว่างเหลือเฟือ ถังฟั่นไม่จำเป็นต้องเบียดเสียดในห้องเดียวกับสุยโจวเช่นแต่ก่อน เตียงนั้นเดิมทีก็ไม่ใหญ่ บุรุษสองคนนอนลงไปออกจะอึดอัดอยู่บ้าง หากสามารถหนึ่งคนพักหนึ่งห้องย่อมเป็นทางเลือกประเสริฐสุด
ทว่าเพื่อสะดวกต่อการสนทนายามดึกกับสุยโจว ถังฟั่นยังคงเลือกห้องที่อยู่ติดกับเขา
ความแตกต่างของเจ้านายและผู้ติดตามก็คือในขณะที่เฉียนซันเอ๋อร์ช่วยจัดห้องและสัมภาระ ใต้เท้าถังสามารถขี้เกียจอย่างผ่าเผย ถือจานอาหารเข้ามาชวนสุยโจวคุย
ถึงแม้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ สุยโจวยังคงรักษาความเคยชินในชีวิตประจำวันของตนเอง เรียบง่ายได้ก็เรียบง่าย ถือสะดวกเป็นที่ตั้ง ไม่เคยเปลืองเวลาไปกับการเสริมแต่งรูปลักษณ์ภายนอก ช่วงนี้เมืองหลวงนิยมใช้หยกร้อยสายรัดผมมาตกแต่งทรงผม แต่บนร่างสุยโจวก็ไม่มีให้เห็น
ในห้องนี้สิ่งหรูหรามีราคาที่สุดเกรงว่าเป็นดาบปักวสันต์ฝักหนังฉลามที่เขาวางไว้บนโต๊ะเล่มนั้น
ยามนี้สุยโจวเพิ่งออกจากหลังฉากบังตาพร้อมไอชื้นทั่วกาย เห็นถังฟั่นถือขนมเปี๊ยะไส้เนื้อมันเยิ้มอยู่ในมือ อีกมือหนึ่งลูบคลำดาบปักวสันต์ที่ดื่มโลหิตมานับไม่ถ้วน พิจารณาลวดลายบนนั้นด้วยความสนใจใคร่รู้
ดาบเล่มนี้ผจญภัยกับเขามานักต่อนัก แวะเวียนอยู่บนขอบของความเป็นความตาย สุยโจวผูกพันกับมันอย่างลึกซึ้ง แม้ไม่ถึงขั้น ‘คนอยู่ดาบอยู่ คนม้วยดาบม้วย’ แต่หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่กินขนมเปี๊ยะพลางสัมผัสดาบเล่มนี้พลาง เขาต้องชักสีหน้าเป็นแน่
หากเรื่องราวใดๆ ล้วนมีข้อยกเว้น…
สุยโจวชำเลืองของที่ถังฟั่นกำลังกินแวบหนึ่ง “ดึกป่านนี้ยังกินของมันๆ ไม่กลัวปวดท้องหรือ”
ถังฟั่นโบกมือ “ไม่เป็นไร ข้าให้เด็กส่งชาร้อนกาหนึ่งมาแก้เลี่ยนแล้ว”
สุยโจวอ่อนใจ “ดื่มชาแล้วนอนไม่หลับก็ต้องมาวุ่นวายกับข้าอีก”
ถังฟั่นยิ้ม “นอนไม่หลับก็สนทนาข้ามคืน เห็นท่านมาข้าดีใจมาก ต่อให้ไม่ดื่มชา คืนนี้ก็คงไม่หลับอยู่ดี”
แม้รู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายพูดเล่น แต่สุยโจวยังคงอดหยักมุมปากขึ้นเล็กน้อยมิได้ ความปีติแผ่ซ่านจากก้นบึ้งหัวใจ
ถังฟั่นผลักจานมาเบื้องหน้าเขา “ลองอันนี้ดู ฟังว่าเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อขึ้นชื่อของอำเภอเซียงเหอ ข้ารู้สึกรสชาติไม่เลว เด็กในร้านเพิ่งให้พ่อครัวทำ ยังร้อนอยู่เลย”
สุยโจวมิใช่คนตะกละ แต่คลุกคลีกับคนผู้นี้นานเข้า ทุกครั้งได้ยินเขาแนะนำก็มักกินตามไปด้วยจนกลายเป็นนิสัย
ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อผ่านการทอดจนสองด้านเป็นสีเหลืองทอง เข้าปากยังกรอบเล็กน้อย เห็นได้ว่านวดแป้งได้บางเฉียบ ทว่าไส้ข้างในกลับมากพอ กัดลงไปคำหนึ่งล้วนสัมผัสถึงไส้เนื้ออ่อนนุ่มที่คลุกเคล้าเครื่องเคราหลายชนิดเต็มปาก
ในสายตาถังฟั่น ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังปรุงได้ดีกว่าของพ่อครัวสกุลเฮ่อ มิเสียแรงที่เขาอุตส่าห์ย้ายออกมาตั้งแต่กลางดึก
ไม่นานเด็กในร้านก็นำชาที่ชงอย่างดีมาส่ง ใบชาเป็นถังฟั่นซื้อจากข้างนอก ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ย่อมไม่มีชาชั้นดีเป็นธรรมดา
ชาร้อนหนึ่งถ้วยลงท้องค่อยกัดขนมเปี๊ยะไส้เนื้อที่กรอบนอกนุ่มในอีกคำ ก่อให้เกิดความรู้สึก ‘ชีวิตคนได้เสพสุขเช่นนี้ ยังไขว่คว้าอันใดอีกเล่า’
แน่นอนว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเฮ่อหลิน ให้มีชีวิตเช่นนี้ตลอดไปเจ้าตัวไม่มีทางยินดี
ทั้งสองกินขนมเปี๊ยะไส้เนื้อพลางสนทนาใต้แสงเทียน นับเป็นความสุนทรีย์ชนิดหนึ่ง
ถังฟั่นรู้สึกแปลกใจ “คราวก่อนตอนข้าโดนถอดตำแหน่ง ฝ่าบาทน่าจะทรงชิงชังข้าไม่น้อย ไยเวลาสั้นๆ ครึ่งเดือนกลับเลื่อนตำแหน่งให้ข้าเล่า วังจื๋อทำได้อย่างไรกัน”
“เพราะภาพวาดภาพนั้นของเจ้า” สุยโจวตอบ
ที่แท้หลังจากวังจื๋อกลับถึงเมืองหลวง เขาไปหาไหวเอินก่อน ถ่ายทอดคำพูดของถังฟั่นรอบหนึ่งแล้วนำภาพวาดผลงานของถังฟั่นส่งต่อให้ไหวเอิน ขอให้อีกฝ่ายหาโอกาสนำภาพนี้ออกมาสร้างความประทับใจต่อหน้าจักรพรรดิแทนถังฟั่น
ถามว่าผู้ใดเข้าใจจักรพรรดิที่สุด
คำตอบย่อมมิใช่พระพันปีโจวมารดาของจักรพรรดิ แต่เป็นวั่นกุ้ยเฟย ไม่เช่นนั้นวั่นกุ้ยเฟยคงไม่สามารถมัดใจพระองค์ได้แน่นหนาเช่นนี้
ทว่านอกจากวั่นกุ้ยเฟยก็ต้องนับบรรดาขันทีที่รับใช้ข้างกายจักรพรรดิทุกวี่วันเหล่านี้ด้วย
วังจื๋อไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ ไหวเอินก็กระจ่างในความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว พยักหน้าเป็นเชิงว่าตนจะทำอย่างสุดฝีมือ
เมื่อวังจื๋อมอบหมายเรื่องนี้ให้ไหวเอินเสร็จก็ออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่เมืองต้าถง ทำหน้าที่เสนาธิการกองทัพของเขาต่อไป
หลังการสนทนายืดยาวกับถังฟั่น เขารู้สึกได้ว่าตนไม่อาจรั้งอยู่ด้านนอกนานเกินไป ยังคงต้องรีบกลับเมืองหลวงในเร็ววัน มิฉะนั้นสิ่งที่เขาลงแรงไว้ด้วยความยากลำบากคงได้ประเคนใส่มือผู้อื่นแล้ว
แต่ใช่ว่าเขาใคร่กลับก็สามารถกลับได้ อย่างน้อยต้องหาโอกาสอันเหมาะสมค่อยเสนอขึ้นมา
เวลานี้เขายังต้องกินเม็ดทรายที่ต้าถงต่อไป
กล่าวถึงอีกด้าน เมื่อรัชทายาทฟังคำตักเตือนของไหวเอินแล้วจึงหาโอกาสไปสารภาพความผิดต่อหน้าพระพักตร์ว่าตนเองมิบังควรตั้งโต๊ะเซ่นไหว้พระมารดาภายในวังหลวงโดยพลการ แม้กล่าวว่าการกระทำเช่นนี้เกิดแต่ความกตัญญู หากกลับละเมิดกฎระเบียบวังหลวง ย่อมสมควรได้รับโทษทัณฑ์
จากนั้นรัชทายาทหวนนึกถึงภาพเมื่อแรกพบพระบิดา กล่าวถึงจุดสะเทือนใจก็พลันน้ำตาริน จักรพรรดิถูกเขาสะกิดความรู้สึกในอดีตเมื่อครั้งที่ตนเฝ้ารอทายาทสืบสกุลด้วยใจจดจ่อ สองพ่อลูกจึงกอดคอร่ำไห้รอบหนึ่ง เรื่องนี้ก็นับว่าฝนซาฟ้าใส ผ่านไปได้โดยราบรื่นแล้ว
ไม่ว่าคนรอบข้างคิดเห็นเช่นไร แต่ถือว่ายามนี้รัชทายาทได้พ้นวิกฤตตรงหน้าแล้ว
บรรดาผู้จับจ้องตาไม่กะพริบรอชมรัชทายาทประสบเคราะห์ เดิมทีล้วนเข้าใจว่าครานี้รัชทายาทพินาศแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงเผลอไปนิดรัชทายาทก็รักษาตำแหน่งที่คลอนแคลนเจียนล้มของตนเอาไว้ได้
แลคล้ายเป็นวิธีโง่เขลาที่สุด ความจริงกลับสามารถสั่นสะเทือนจิตใจของจักรพรรดิได้ดีที่สุด
มีจุดหนึ่งที่ถังฟั่นพูดถูก จักรพรรดิเฉิงฮว่ามิใช่คนชั่วช้า ตรงข้าม จิตใจของพระองค์อ่อนโยนมาก สิ่งที่สามารถทำให้ทรงหวั่นไหวได้มีเพียงความซาบซึ้งกินใจ
และเป็นเพราะวั่นกุ้ยเฟยมองเห็นจุดนี้ จึงยืนอยู่บนความไม่แพ้ตลอดกาล
สำหรับเรื่องราวทั้งหมดสรุปได้ก็คือไม่ว่าข้างกายรัชทายาทมีคนช่วยพูดแทนกี่มากน้อย ล้วนเทียบมิได้กับรัชทายาทเข้าหาจักรพรรดิด้วยตนเอง
ขณะวังจื๋อบอกต่อคำพูดของถังฟั่น ตอนแรกไหวเอินก็ไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผล ในใจเพียงคิดแค่ว่าทดลองให้รัชทายาททำตามคำพูดของถังฟั่นแล้วกัน
ยามนี้ในเมื่อประสบผล เพื่อเป็นการตอบแทน เขาย่อมต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้า
ฉวยจังหวะขณะจักรพรรดิตวัดพู่กันวาดภาพด้วยพระอารมณ์แจ่มใส ไหวเอินเอ่ยลอยๆ ว่าตนเองก็มีสหายจิตรกรคนหนึ่ง ผลงานไม่นับว่าเลิศล้ำ แต่มักให้ความรู้สึกสดชื่นรื่นรมย์ ตนชมชอบยิ่งนัก
อย่าเห็นว่าจักรพรรดิเฉิงฮว่าหมื่นเรื่องมินำพา ในราชสำนักก็ไร้ซึ่งผลงาน ความจริงแล้วทรงเป็นจิตรกรเอกอย่างแท้จริง ช่วงแรกที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็เคยวาดภาพ ‘สนิทสนมกลมเกลียว’ เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของกษัตริย์และขุนนาง ระดับความลึกซึ้งบนภาพวาดล้วนได้รับการยอมรับจากขุนนางทั้งหลาย สมมติมีวันหนึ่งเกิดพระองค์ไม่เป็นกษัตริย์ คาดว่ายังสามารถไปวาดภาพเลี้ยงชีพได้
จักรพรรดิเฉิงฮว่าถูกไหวเอินสะกิดความสนใจใคร่รู้ รีบถามเขาว่าสหายคนนั้นคือใคร ไหวเอินยึกยักอยู่เป็นนานค่อยเฉลยว่าคนผู้นี้ชื่อถังฟั่น
ต่อให้สมองเสื่อมปานใดจักรพรรดิก็ยังคงมีความทรงจำต่อชื่อนี้ ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงถามว่าใช่คนที่คราวก่อนโดนถอดตำแหน่งขุนนางหรือไม่
ไหวเอินตอบใช่ แล้วรีบขออภัยโทษ บอกว่าตนทราบกฎระเบียบดี ฝ่ายในไม่อาจคบหากับขุนนาง ก่อนนี้ตนก็เพียงชื่นชมภาพวาดของถังฟั่นเท่านั้น เวลานี้ทราบว่าเขาไม่มีตำแหน่งแล้วจึงคบหาได้โดยสะดวกใจ
จักรพรรดิเฉิงฮว่ามิได้ตำหนิไหวเอิน ตรงข้ามกลับรบเร้าให้นำภาพวาดของถังฟั่นมาให้ตนชมดู
ในฐานะขันทีรักษาลัญจกร ทั้งยังมาจากครอบครัวขุนนาง สายตาของไหวเอินย่อมแหลมคมยิ่ง คนที่สามารถได้รับคำชมจากไหวเอินย่อมมิใช่ธรรมดา ปกติจักรพรรดิมีงานอดิเรกไม่มาก การวาดภาพคือหนึ่งในนั้น ครั้นฟังว่าถังฟั่นวาดภาพได้ดีก็พลันกระวนกระวายเหลือทน เร่งเร้าไหวเอินนำผลงานใหม่ของถังฟั่นที่ไหวเอินสะสมไว้ออกมาให้ทรงวินิจฉัยรอบหนึ่ง
ไหวเอินจึงหยิบภาพ ‘แม่ไก่แลลูกเจี๊ยบ’ ออกมา
ขณะถังฟั่นวาดภาพนี้มีเวลาจำกัด ลงพู่กันเร่งร้อนอยู่บ้าง ด้านความประณีตย่อมพร่องไป แต่ไม่ว่าจะเป็นการใช้สีหรือความหมายแฝงกลับตรงกับที่ไหวเอินบอกเล่า เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา สร้างความอบอุ่นในใจแก่ผู้พบเห็น ซึ่งตรงกับความชมชอบของจักรพรรดิพอดี
เวลานี้จึงได้ประจักษ์ในความเปรื่องปราดของวังจื๋อ
ตอนนั้นเขาไม่ให้ถังฟั่นวาดภาพประเภทหิมะเอยน้ำค้างเอยด้วยเพราะภาพวาดในลักษณะนั้นมักแฝงความหมายลึกล้ำ ดอกเหมยหรือดอกเบญจมาศเองก็ล้วนเป็นการถ่ายทอดความคิดของปัญญาชน เพื่อแสดงถึงปณิธานสูงส่งของตนเอง หากจักรพรรดิเห็นภาพในลักษณะนั้นเข้าย่อมจะเข้าใจว่าถังฟั่นยังขุ่นเคืองเรื่องที่ตนเองโดนถอดตำแหน่งไม่คลาย
ทว่าภาพ ‘แม่ไก่แลลูกเจี๊ยบ’ กลับแตกต่างออกไป
ต้นจื่อเถิงที่สีสันสดแจ่มมีชีวิตชีวา แม้แม่ไก่เดินห่างอยู่บ้าง หากยังคงหยุดลงเป็นพักๆ เหลียวมาแลบ่อยครั้ง คล้ายเป็นห่วงลูกน้อยจะตามฝีก้าวตนเองไม่ทัน ส่วนลูกเจี๊ยบเล่ากลับแหงนคอจ้องมองดอกจื่อเถิงที่ห้อยระย้าลงมา หมายกระโดดขึ้นไปจิกเพื่อลิ้มลองว่าเป็นรสชาติใด ท่าทางอันไร้เดียงสาบันดาลให้ผู้คนอดแย้มยิ้มมิได้
ยามนี้ไหวเอินทอดถอนใจอยู่ด้านข้าง ‘ที่กระหม่อมเห็นภาพนี้แล้วชอบมากเป็นพิเศษมิใช่อื่นใด แต่เพราะความรู้สึกอาทรของแม่ไก่ในภาพ ไยมิใช่เฉกเช่นการจดจ่อเฝ้ารอของฝ่าบาทที่มีต่อรัชทายาทหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ’ เขาเห็นจักรพรรดิเผยสีหน้าหวั่นไหว ทราบว่าอีกฝ่ายรับฟังแล้วจึงยิ้มกล่าว ‘แม้กระหม่อมมิเคยเป็นบิดา หากก็เติบโตภายใต้การอบรมสั่งสอนของบุพการีทั้งสอง ตอนนั้นยังเคยโดนบิดาเฆี่ยนด้วยไม้เพราะหนีเรียนด้วยซ้ำ’
จักรพรรดิเฉิงฮว่าบังเกิดความสนใจขึ้นมา ‘ตอนเด็กเจ้าก็หนีเรียน?’
ไหวเอินยิ้มทูล ‘พ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นที่หมู่บ้านของพวกเราจะมีละครทุกวันที่หนึ่งของเดือน กระหม่อมจึงนัดแนะกับสหายหลายคนไปดูด้วยกัน พากันหนีเรียนแล้วอ้างว่าป่วย สุดท้ายเมื่อกลับถึงบ้านโดนท่านพ่อจับได้ ถูกเฆี่ยนเสียยกใหญ่ สามเดือนยังลงจากเตียงไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ’
บิดาของไหวเอินเคยดำรงตำแหน่งมุขมนตรีขั้นสาม สำนักพระราชพาหนะ อาเป็นเจ้าเมืองเหอหนาน พี่ชายลูกพี่ลูกน้องเป็นรองเสนาบดีกรมทหาร นับเป็นตระกูลขุนนางโดยแท้ แต่เพราะญาติผู้พี่ของเขามักถวายฎีกาทัดทานเรื่องอย่าทิ้งขว้างวิชาความรู้หลายต่อหลายครั้ง เป็นที่แหนงหน่ายของจักรพรรดิเซวียนจง ส่งผลให้พระองค์ขุ่นเคือง กระทั่งสอบสวนเขาด้วยพระองค์เอง จะให้เขายอมรับผิดต่อตน
ผลคือญาติผู้พี่ของไหวเอินคนนี้ซึ่งเป็นคนเย่อหยิ่งถือดีกลับยืนกรานต่อหน้าจักรพรรดิว่าตนไม่ผิด และกล่าวว่าพระองค์ไม่สมควรทิ้งตำราออกไปล่าสัตว์ จักรพรรดิเซวียนจงพิโรธหนัก พลันสั่งให้คนลากตัวญาติผู้พี่ของไหวเอินไปโบยตีให้ตายทั้งเป็น
จักรพรรดิเซวียนจงยังไม่หายแค้น จึงสั่งให้ตรวจยึดและปลดเป็นชนชั้นต่ำทั้งตระกูล
ปีนั้นเป็นเพราะไหวเอินยังอายุน้อย จึงถูกส่งเข้าวัง จับตอนเป็นขันที
จักรพรรดิเฉิงฮว่าทราบถึงอดีตช่วงนั้นของเขา มิวายถอนใจ ‘หากไม่มีเรื่องนั้นของญาติผู้พี่เจ้า เจ้าก็คงไม่ต้องเข้าวัง ว่าไปแล้วเรื่องนั้นเสด็จปู่ก็ทำเกินไปจริงๆ’
น้อยนักที่กษัตริย์จะกล่าวว่าตนเองผิดพลาด ต่อให้ผิดจริงก็คือไม่ผิด
โดยเฉพาะกล่าวถึงความผิดพลาดของพระญาติ ยิ่งหาได้น้อยมาก
แต่จักรพรรดิเฉิงฮว่ากลับแตกต่างจากจักรพรรดิองค์อื่นๆ ทั้งวาจาและการกระทำล้วนเสมือนคนทั่วไป
ดังนั้นแม้จะทรงมีข้อบกพร่องสารพัด แต่ในฐานะที่เห็นอีกฝ่ายเติบโตมา ไหวเอินกลับยิ่งชอบจักรพรรดิที่พูดด้วยง่ายและจิตใจอ่อนโยนองค์นี้
เพราะในสายตาไหวเอิน โอรสสวรรค์ผู้นี้มีจุดเด่นที่เสด็จปู่และเสด็จพ่อของพระองค์ไม่มี
นั่นก็คือเมตตาธรรม
เทียบกันแล้วจักรพรรดิเฉิงฮว่าอาจจะเหมือนปู่ทวดของพระองค์ หรือก็คือจักรพรรดิเหรินจงซึ่งครองราชสมบัติได้ไม่ถึงหนึ่งปี
เมื่อฟังพระดำรัสนี้ ไหวเอินถึงกับหางตารื้นชื้น ทว่าสีหน้ากลับชืดชา ‘เรื่องอดีตผ่านพ้น กระหม่อมมิบังอาจวิพากษ์ถึงจักรพรรดิเซวียนจง เพียงอยากทูลฝ่าบาทว่าบิดามารดรทั่วแผ่นดินล้วนแต่คาดหวังให้บุตรเป็นคนดี ขณะเดียวกันก็กลัวบุตรจะเสียคน ใต้ความรู้สึกที่ขัดแย้งชนิดนี้จึงเลี่ยงมิได้ที่บางครั้งอาจทำโทษรุนแรงเกินไป กล่าวถึงที่สุดแล้วบิดาอย่างไรก็คือบิดา ดั่งเช่นภาพ ‘แม่ไก่แลลูกเจี๊ยบ’ ภาพนี้ ไม่ว่าแม่ไก่เดินห่างเพียงใดก็มักคอยเหลียวกลับมาแลลูกเจี๊ยบเสมอ’
จักรพรรดิเฉิงฮว่ารู้สึกเห็นด้วย จึงพยักหน้าพลางถอนใจ ‘ภาพวาดสะท้อนจิตใจ คนที่สามารถวาดภาพเช่นนี้ออกมาได้ย่อมมิใช่บุคคลต่ำช้า ดูท่าครานั้นเราถอดเขาจากตำแหน่งออกจะสะเพร่าเกินไปจริงๆ’
ไหวเอินรีบทูล ‘พระดำรัสล้ำค่าดั่งจินดา ตรัสว่าเขาผิด เขาก็คือผิด ไหนเลยเรียกว่าสะเพร่าได้! จะอสนีบาตหรือพิรุณน้ำค้างล้วนเป็นพระมหากรุณา ขุนนางที่ดีคนหนึ่งมิบังควรคำนึงเพียงบำเหน็จรางวัลหรือโทษทัณฑ์จากกษัตริย์ แต่สมควรคำนึงว่าตนเองได้กระทำสิ่งใดเพื่อราชสำนักและประชาชนบ้าง’
จักรพรรดิเฉิงฮว่าชำเลืองเขาแวบหนึ่ง ‘เอาล่ะ ตาแก่เยี่ยงเจ้าคราวก่อนก็โดนเราเขวี้ยงด้วยแท่นฝนหมึกเพราะขอร้องแทนรองผู้ช่วยเสนาบดีแซ่หลินอะไรนั่น ตอนนี้ยังเสแสร้งอันใดต่อหน้าเรา วกไปอ้อมมาจะให้เราชมดูภาพวาด ไยมิใช่เพื่อขอความเมตตาให้เจ้าถังฟั่นคนนั้นหรอกหรือ เพราะความใจดีของเจ้าถึงได้ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่าเจ้าพูดจาง่าย พากันมาขอร้องเจ้าไม่ว่างเว้น’
ไหวเอินยิ้มเจื่อน ‘ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ถังฟั่นมิได้ให้กระหม่อมมาทูลขอความเมตตาแทนเขา เป็นกระหม่อมเองที่ทนดูไม่ได้ ดังเช่นที่ฝ่าบาทตรัส เห็นภาพประหนึ่งเห็นคน กระหม่อมมองดูภาพของเขาแล้ว แม้มิอาจเทียบเทียมฝ่าบาท หากในด้านความหมายและการสื่ออารมณ์กลับวิจิตรบรรจงไม่ต่างกัน!’
จักรพรรดิเฉิงฮว่าก็เห็นเช่นนั้น เขาชื่นชอบที่สุดก็คือมีชีวิตถูไถไปวันๆ และชิงชังที่สุดก็คือถูกผู้อื่นบังคับไปกระทำนั่นกระทำนี่ หากภาพวาดสามารถสะท้อนจิตใจได้จริง เจ้าถังฟั่นคนนี้ก็มีบางจุดที่เหมือนกับพระองค์เองจริงๆ
จักรพรรดิต้องพบเจอผู้คนและจัดการเรื่องราวมากมายทุกวัน ทั้งถังฟั่นก็ไม่เคยทำสิ่งใดให้เขาเกลียดชังเข้ากระดูก เขาเองก็มิได้มีความไม่พอใจอันใดต่อคนผู้นี้ ยามนี้อาศัยภาพวาดภาพนี้ พระองค์กลับบังเกิดความทรงจำที่ดีต่อถังฟั่นไม่น้อย
เพราะเข้าใจในตัวจักรพรรดิ ดังนั้นก้าวนี้ของไหวเอินและวังจื๋อนับว่ามาถูกทางแล้ว
จักรพรรดิตรัสถามไหวเอิน ‘ตอนนี้ถังฟั่นคนนั้นอยู่ที่ใด’
‘ฟังว่าเขาไปเยี่ยมพี่สาวที่ออกเรือนแล้ว มิได้อยู่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ’
จักรพรรดิทรงแย้มสรวล ‘ครั้งก่อนเพราะเจ้าถังฟั่นทำให้ก่วงชวนต้องวิ่งมารอเก้ออยู่ที่นี่ตลอดเช้า เราเองก็ไม่กล้าเจอเขา ยามนี้ถือว่าจัดการให้เขาแล้ว เราจำได้ว่าก่อนนี้สำนักตรวจการนครหลวงมีคนออกไปไม่น้อยใช่หรือไม่’
ไหวเอินรับคำ ‘เมิ่งหยางซวี่ปลดเกษียณ มู่หงป๋อไปหนานจิง เยียนซีถูกถอดตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ’
สำนักตรวจการนครหลวงต่างจากหน่วยงานอื่น เนื่องจากมีหน้าที่ตรวจสอบขุนนางที่ประพฤติมิชอบ ขุนนางจึงมากกว่าหน่วยงานอื่น เฉพาะผู้ตรวจการก็มากถึงหนึ่งร้อยสิบคน หนำซ้ำตำแหน่งระดับสูงสุดทั้งหลาย เช่นข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา รองข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา อีกทั้งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาล้วนมิได้กำหนดจำนวนตายตัว จักรพรรดิสามารถพิจารณาตามความจำเป็นได้ แน่นอนในสถานการณ์ปกติมีแค่ซ้ายและขวาอย่างละตำแหน่ง
ต่อมาเนื่องจากจักรพรรดิหงอู่กำหนดให้มีขุนนางทัดทานซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบทับซ้อนกับสำนักตรวจการนครหลวง แต่สำนักตรวจการนครหลวงยังคงเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญของราชวงศ์ต้าหมิง เรื่องใหญ่ถวายฎีกา เรื่องเล็กตัดสินใจเอง นับว่ามีอำนาจสูงมาก
จักรพรรดิเฉิงฮว่าตรัสถามอีกว่า ‘เมื่อก่อนถังฟั่นอยู่หน่วยงานใด เราจำได้ว่า…เขาอยู่กรมอาญา เพราะทำงานผิดพลาดถึงได้ถูกยื่นฎีกากล่าวโทษ’
‘ฝ่าบาททรงความจำเป็นเลิศ อยู่กรมอาญาจริงพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นมีคนตั้งกระทู้กล่าวโทษว่าเขาทำให้ผู้ใต้บัญชาเสียชีวิตขณะสืบคดี แต่เรื่องนี้เป็นเจตนาหรือประมาท ยังรอการพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ’
จักรพรรดิเฉิงฮว่าพึมพำ ‘ครั้งก่อนหยวนเวิงมาเอ่ยเรื่องนี้กับเรา เช่นนั้นให้เขากลับเข้ากรมอาญาคงไม่เหมาะ อย่างไรก็ต้องให้เกียรติหยวนเวิง…ให้เขาไปสำนักตรวจการนครหลวงแล้วกัน ผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย ขั้นสี่เต็มขั้น คงไม่น้อยไปกระมัง’
ไหวเอินยิ้มกล่าว ‘นี่ไหนเลยเรียกไม่น้อย เป็นวาสนาสูงสุดของเขาทีเดียว!’
พระองค์ตรัสน้ำเสียงติดฉุน ‘เราเห็นแก่หน้าเจ้าและเห็นแก่หน้าก่วงชวน หากเป็นคนอื่นมาขอร้องคงไม่ได้ตำแหน่งดีงามเช่นนี้ เรารู้ว่าเจ้าใจอ่อน แต่ต่อไปก็ต้องระวังให้มาก ไม่ใช่เอะอะใครมาขอร้องเข้าหน่อยก็ช่วยไปเสียทุกราย’
และแล้วเรื่องนี้จึงเป็นอันเสร็จสิ้น สุยโจวล่วงรู้ข่าวนี้หลังจากนั้นสองวันตอนถูกเรียกตัวเข้าวัง
เดิมเขาตั้งใจจะรอฝ่าบาทคลายโทสะแล้วค่อยทูลขอความเมตตาแทนถังฟั่นอีกครั้ง คิดไม่ถึงวังจื๋อและไหวเอินกลับรวดเร็ว ลุล่วงเรื่องนี้ได้โดยไม่กระโตกกระตาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรถังฟั่นสามารถมีลาภอันประเสริฐเช่นนี้ สุยโจวมีแต่ปลื้มปีติแทนเขา
สุยโจวเล่าจบก็บอกกับถังฟั่นว่า “ข้ากับเจ้ามิได้ทำให้อิ่นหยวนฮว่าตาย แต่มีพวกวั่นอันกับเหลียงเหวินหวาใส่ร้ายป้ายสี ในสายตาคนนอก เรื่องนี้ถูกหรือผิดก็ปนเปจนแยกไม่ออกแล้ว แทนที่จะกลับเข้ากรมอาญา มิสู้ไปเริ่มต้นใหม่ที่สำนักตรวจการนครหลวง”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ข้าเข้าใจ ขอบใจท่านมากก่วงชวน อันที่จริงวันนี้ข้าดีใจเหลือเกิน ไม่เพียงเพราะได้ยินข่าวดีที่ท่านนำมา แต่เป็นเพราะได้พบหน้าสหายสนิท ล้วนกล่าวว่าชีวิตคนมีสี่โสมนัส ประสบพิรุณชื่นหลังร้อนแล้ง ประสบมิตรเก่าก่อนในแดนไกล…ไม่ได้การ ข้าจะให้คนไปสั่งพ่อครัวทำกับแกล้มสองอย่าง คืนนี้พวกเราต้องดื่มฉลอง!”
สุยโจวเหลือบมองจานที่ว่างเปล่าใบนั้น “เป็นเจ้าอยากกินมากกว่ากระมัง”
ใต้เท้าถังที่โดนเปิดโปงแสร้งปั้นหน้าใสซื่อเหมือนเฮ่อเฉิง “ท่านอย่าใส่ความข้า!”
“ตอนอยู่คฤหาสน์สกุลเฮ่อข้าไม่เห็นเจ้าขยับตะเกียบสักเท่าไร อันที่จริงอาหารเหล่านั้นข้ากินแล้วก็มิใคร่ถูกปากนัก รสเค็มไปหน่อย”
ถังฟั่นนับว่าพบพานผู้รู้ใจแล้ว พลันตัดพ้อว่า “ท่านคงไม่รู้ ข้าชินกับการกินมื้อดึกที่ท่านกับอาตงทำให้กินตั้งแต่ตอนอยู่บ้านแล้ว พ่อครัวสกุลเฮ่อไม่เปิดครัวตอนกลางคืน ยามดึกในอำเภอเซียงเหอก็ไม่คึกคักเท่าเมืองหลวง เหลาสุราร้านอาหารปิดประตูแต่หัววัน ทำให้ข้าไม่มีที่กินมื้อดึก”
เกรงว่าเขาคงไม่ทันสังเกตว่าถ้อยวาจาของตนติดจะเง้างอดมากกว่าตัดพ้อ ทำให้สุยโจวทั้งอ่อนใจทั้งนึกขำ อดยื่นมือไปตบศีรษะเขาเบาๆ มิได้ “ดึกป่านนี้ พ่อครัวคงหลับแล้ว ข้าไปทำให้เจ้าแล้วกัน”
ถังฟั่นรู้สึกกระดากกับท่าทีเช่นนี้ของอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่คิดถึงว่าตนเองใกล้จะมีของอร่อยกินแล้ว จึงหัวเราะคิกคักอย่างห้ามไม่อยู่ “เกรงใจเหลือเกิน วันนี้ท่านเพิ่งมาถึงก็ต้องมาเป็นพ่อครัวเสียแล้ว หากพี่สาวข้ารู้เข้าต้องหาว่าข้าไม่เอาใจใส่ท่านแน่ๆ”
ได้ยินวาจาเกรงใจที่เสแสร้งระคนออดอ้อนของใต้เท้าถัง ผู้บังคับการสุยก็แอบค้อนตาคว่ำ ก่อนลุกเดินไปทางห้องครัว
ในห้องครัวยังมีวัตถุดิบเหลืออยู่ไม่น้อย สุยโจวให้ถังฟั่นติดไฟก่อน ส่วนตัวเขาก็ล้างผักหั่นผัก ตั้งใจว่าจะทำมะเขือยาวนึ่งกระเทียมและกระดูกหมูผัดน้ำแดง เพื่อให้ได้ลิ้มรสเร็วขึ้นถังฟั่นจึงกระตือรือร้นและจริงจังกับการติดไฟอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนมิทันเห็นสายตาลับๆ ล่อๆ หลายคู่ที่ไม่ทราบโผล่มาตั้งแต่เมื่อใด
สุยโจวค้นพบพวกเขาอย่างเร็วรี่ สามคนที่มีเหยียนหลี่เป็นหัวหน้าขบวนรีบเผยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย “พี่ใหญ่ เมื่อค่ำพวกเราก็ไม่ได้กินอะไรเช่นกัน”
“…”
โบราณว่าเรื่องดีไม่ออกประตู เรื่องฉาวลือพันลี้ ความจริงแล้วเรื่องดียังแพร่เร็วกว่าอะไรเสียอีก
ข่าวเรื่องถังฟั่นกำลังจะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการขจรขจายไปทั่วอำเภอเซียงเหออย่างรวดเร็ว พร้อมกับฐานะของสุยโจวก็พลอยเปิดโปงไปด้วย โรงเตี๊ยมที่พวกเขาพำนักอยู่พลันเปลี่ยนเป็นอึกทึกคึกคัก กระทั่งนายอำเภอเวิงยังเร่งรุดมาด้วยตนเอง
ถังฟั่นและสุยโจวรำคาญใจยิ่ง จำต้องเหมาโรงเตี๊ยมไว้ทั้งหมด และให้เหยียนหลี่กับกงซุนเยี่ยนยืนตระหง่านเป็นเทพทวารบาลสองข้างประตู สกัดผู้ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลาย
ถังฟั่นสามารถบอกปัดไม่พบหน้าคนอื่นๆ ได้ แต่ไม่อาจไม่พบหน้านายอำเภอเวิง
เพราะนายอำเภอเวิงไม่เพียงรุดมากอดขา แต่ยังเพื่อคดีของสกุลเหวยด้วย
ยามนี้แม้ถังฟั่นยังมิได้ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่สุยโจวนำราชโองการรุดมา คำสั่งย่อมเท่ากับมีผลบังคับใช้แล้ว
คดีสกุลเหวยหามีความคืบหน้าสักนิดไม่ นายอำเภอเวิงถูกเหวยเช่อมาสอบถามไม่เว้นแต่ละวันจนรำคาญยิ่ง จนใจที่เขาอยากสืบทราบความจริงใจจะขาด แต่ในสายตาเหวยเช่อกลับเข้าใจว่าเขารับสินบนจากสกุลไฉ หมายปกป้องฆาตกร สมัยนี้คิดเป็นขุนนางเที่ยงธรรมกลับมิใช่ง่ายดาย นายอำเภอเวิงอับจนหนทาง ได้แต่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากถังฟั่น
ก่อนหน้านี้ถังฟั่นไร้ซึ่งตำแหน่ง เขายังรู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง ยามนี้ขอความช่วยเหลือจากเบื้องบนกลับไม่น่าละอายอันใด
ถังฟั่นถามเขาถึงความคืบหน้าของคดี
นายอำเภอเวิงส่ายหน้า “การตายของนายน้อยสกุลเหวยสืบหาอันใดมิได้เลย ในเมื่อพี่น้องสกุลไฉยอมรับว่าสังหารเหวยจูเหนียงแล้ว ต่อให้ยอมรับว่าสังหารนายน้อยสกุลเหวยอีกรายก็แตกต่างเพียงหนึ่งชีวิตกับสองชีวิตเท่านั้น ทว่าจะตีพวกเขาให้ตายก็ไม่ยอมรับ คิดว่าในเรื่องราวต้องมีนัยอื่นใดเป็นแน่ ดังนั้นผู้น้อยจึงไม่ยอมปิดคดีเพราะเกรงว่าเหวยเช่อนั่นหมดความอดทนแล้วจะยื่นเรื่องถึงศาลซุ่นเทียนข้ามหน้าอำเภอเซียงเหอ!”
ถังฟั่นเอ่ยชม “ท่านทำได้ดีมาก คดียังไม่กระจ่างก็สมควรทำเช่นนี้ ไม่สั่นคลอนเพราะแรงกดดันภายนอก จึงสามารถผดุงความเที่ยงธรรม!”
ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังเจรจาด้วยศักดิ์เท่าเทียม หากเมื่อพบหน้าอีกครั้ง นายอำเภอเวิงก็แทนตนเองว่าผู้น้อยแล้ว
ทว่าแวดวงขุนนางมักเป็นเช่นนี้ ยึดอำนาจหน้าที่เป็นสำคัญ อายุราชการมาก ไม่แน่ว่าตำแหน่งจะสูงตาม นั่นเพียงแสดงว่าท่านโชคไม่ดี ไม่ก็ความสามารถต่ำ
ในสายตาถังฟั่น บรรดาคนที่เขาประสบพบเจอ นายอำเภอเวิงนับว่าเป็นผู้มีความสามารถ อย่างน้อยจัดอยู่ในระดับกลางขึ้นไป จุดยืนก็มี แต่กลับไม่มีดวงในด้านรับราชการ อายุเลยสี่สิบแล้วยังเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง
นายอำเภอเวิงยิ้มขื่น “แต่เป็นเช่นนี้ต่อไปก็มิใช่หนทางแก้ไข เหวยเช่อเป็นถึงซิ่วไฉและทำการค้านานปี มีเส้นสายในวงขุนนาง หากเบื้องบนซักถามลงมา ผู้น้อยย่อมลำบากใจ ยังคงรีบสืบเสาะเบาะแสโดยด่วนเป็นดี! เฮ้อ อนาถใจกับการเป็นขุนนางของข้าเสียจริง ทั้งที่ประสงค์ดีต่อสกุลเหวยของเขา ผลกลับกลายเป็นถูกเขาเข้าใจผิด ซ้ำยังเร่งเร้าข้าสรุปคดี!”
“พวกเราไม่วิงวอนให้เขาเข้าใจ เพียงมิละอายต่อฟ้าดินเป็นใช้ได้ ท่านก็อย่าวิตกไป ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนเป็นศิษย์พี่ของข้า ไว้ข้าจะแจ้งต่อเขา ไม่ต้องสืบสาวเอาความต่อท่าน ท่านเองไม่ร้องก็ตามทำเนา ครั้นร้องผู้คนตกใจ ไม่เหินบินก็ตามทำเนา ครั้นเหินบินยิ่งระฟ้า* รับราชการก็เป็นเช่นนี้ อย่าเพิ่งท้อแท้สิ้นหวังเพราะความยากเข็ญตรงหน้า!” ถังฟั่นปลอบ
นายอำเภอเวิงครุ่นคิดความหมายในวาจาซึ่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายคนใหม่ท่านนี้แย้มพรายเป็นนัยว่าจะผลักดันตน ให้รู้สึกปีติยิ่ง
พลันรีบผุดลุกขึ้นค้อมกายคำนับ “ผู้น้อยได้พบพานใต้เท้า นับเป็นวาสนาแท้จริง”
ถังฟั่นพยุงเขาพลางยิ้มกล่าว “ไยต้องถึงขั้นนี้ มุกงามอยู่ที่ใดมักเปล่งประกายแสง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสุจริต เบื้องบนย่อมแลเห็นในสายตา ท่านว่าใช่หรือไม่”
นายอำเภอเวิงพยักหน้าติดๆ กัน แววตื้นตันฉายชัดบนสีหน้า
เขาปลุกสติให้แจ่มใส ยังมิลืมประเด็นหลักจึงรีบกล่าว “ใต้เท้า คดีนี้มิทราบท่านมีความเห็นอย่างไร”
ถังฟั่นส่ายหน้า “เบาะแสน้อยเกิน เทพเซียนก็หมดปัญญา หาเวลาไปคฤหาสน์สกุลเหวยอีกรอบเถอะ ข้าจะได้สนทนากับเหวยเช่อ ให้เขาเพิ่มความอดทนและตระหนักในความลำบากใจของท่านด้วย”
นายอำเภอเวิงกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน “หากใต้เท้ายินดีออกหน้า นั่นย่อมประเสริฐสุด ผู้น้อยจะส่งคนไปแจ้งต่อเหวยเช่อเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองนัดหมายเวลาเดินทางไปคฤหาสน์สกุลเหวย จากนั้นนายอำเภอเวิงจึงขอลากลับ
เด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยมเห็นนายอำเภอเวิงหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามา หน้าระรื่นชื่นบานออกไป อดฉงนใจมิได้
กลับมากล่าวถึงสกุลเฮ่ออีกครา เดิมท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อวางแผนว่าสามารถถ่วงได้วันหนึ่งก็วันหนึ่ง ทั้งเตรียมชักนำเฮ่อหลินไปขอขมาต่อถังฟั่นด้วยตนเอง คิดว่าตนถึงขนาดยอมเสียศักดิ์ศรี ถังฟั่นคงละอายที่จะเอ่ยเรื่องการให้พี่สาวเขาไปจากสกุลเฮ่อกระมัง
คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ยังไม่ทันไป เฮ่อหลินกลับเป็นฝ่ายมาหาและเสนอให้แบ่งทรัพย์แยกบ้าน
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อตะลึงลาน ถามเขาว่าสติเลอะเลือนแล้วหรือไร
พึงทราบว่าก่อนนี้เฮ่อหลินแม้แต่หย่าโดยสมัครใจยังไม่รับปาก นี่จู่ๆ แปรเปลี่ยนท่าที ออกจะพิลึกคนจริงๆ
ทว่าเฮ่อหลินไม่โต้ตอบสักคำ ไม่ว่าท่านผู้เฒ่าจะซักไซ้เช่นไรก็มิเปิดปาก ในใจอดสูปานใดอย่าให้เอ่ยเลย
เรื่องนี้คงต้องเริ่มเล่าจากสองวันก่อน
แม้ทุกคนในสกุลเฮ่อล้วนมิได้เอ่ยเรื่องถังฟั่นเลื่อนตำแหน่งต่อหน้าเขา แต่เฮ่อหลินก็หาใช่สตรีที่มิออกประตูใหญ่มิก้าวประตูเล็กไม่ เขาอย่างไรต้องออกข้างนอกอยู่วันยังค่ำ ผลคือได้ฟังเรื่องนี้จากปากคนนอก
ขณะนั้นเขาอารมณ์เช่นไรไม่จำเป็นต้องขบคิดให้ยาก ทางตนล้มเหลวซ้ำซาก ทางน้องภรรยายังจะเลื่อนตำแหน่ง
คนเปรียบคน ชวนให้ขุ่นข้องแทบตาย
และสหายเหล่านั้นของเขากลับยังจะหยอกเยาะต่อหน้าเขาให้ได้ บอกว่าต่อไปเขาจะมีน้องภรรยาเป็นขุนนางใหญ่ มิต้องกลัวเงยศีรษะไม่ขึ้นต่อหน้าคนอื่นๆ ในสกุลเฮ่อแล้ว
แม้เฮ่อหลินจะตระหนักว่าคนเหล่านี้ยังไม่ทราบเรื่องถังอวี๋จะหย่าโดยสมัครใจกับตน แต่ทุกครั้งได้ฟังถ้อยคำทำนองนี้ก็ให้รู้สึกเหมือนมีคนตบหน้าตนจนปวดแสบปวดร้อนก็มิปาน
เห็นเขาซึมเซาไร้สุข มิตรสหายจึงว่าจะพาเขาไปสถานที่แห่งหนึ่ง สามารถทำให้เขาคลายความกดดัน
เฮ่อหลินเข้าใจว่าพวกนั้นจะพาตนไปหอคณิกา จึงขมวดคิ้วปฏิเสธ แต่สหายกลับยืนกรานจะลากเขาไปให้ได้
เมื่อถึงที่หมายเฮ่อหลินค่อยพบว่าตนถูกพามายังบ่อนพนัน
ภาพตรงหน้าอึกทึกอึงอล ไม่เหมาะสมต่อวิญญูชน เฮ่อหลินในตอนแรกยังค่อนข้างกระดากอาย
ไม่ช้า หลังจากชนะพนันหลายตา เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความตื่นเต้นท้าทายของการพนันแล้ว
โดยเฉพาะเงินตราที่มาถึงไวกว่าสิ่งใด ขอเพียงชนะอีกหลายตาเขาก็มิต้องทำตาปริบๆ มองดูเงินรายเดือนที่ได้รับแบ่งอันน้อยนิดนั้นอีก
เมื่อใดที่นึกถึงว่าต่อให้สอบเคอจวี่ไม่ผ่านแต่สามารถมีเงินหมื่นก้วนมาร้อยเอวได้ จากนี้ไปจะได้ยืดอกผึ่งผายต่อหน้าคนในครอบครัว เฮ่อหลินก็รู้สึกลิงโลดขึ้นมา ความรู้สึกชนิดนี้ไม่ด้อยไปกว่าที่เขาท่องตำราปราชญ์เมธีได้หนึ่งบทอย่างแตกฉานเลย
ทว่าหลังจากชนะติดกันได้เงินเกินร้อยตำลึง โชคลาภของเขาก็คล้ายหมดลง เฮ่อหลินเริ่มแพ้พนัน
เขาถอนตัวไม่ขึ้นแล้วมีหรือจะยินยอม เฉกเช่นนักพนันทั้งหมดบนโลก ทุกคนล้วนอยากถอนทุนคืน ในใจคิดเพียงว่า ‘ข้าได้ทุนคืนแล้วจะไม่เล่นอีก’ เฮ่อหลินขาดทุนทั้งเงินต้นและเงินที่ชนะมาจนเกลี้ยงเกลา
จังหวะนั้นคนของบ่อนพนันเสนอว่าสามารถหยิบยืมเงินให้เขาได้ ยังบอกว่าเพราะเขาเป็นคุณชายสกุลเฮ่อ และสกุลเฮ่อมีชื่อเสียงในอำเภอเซียงเหอ ดังนั้นเงินสามร้อยตำลึงแรกที่ให้เขากู้ล้วนไม่คิดดอกเบี้ย
เฮ่อหลินยามนี้หน้ามืดแล้ว รวนเรอยู่นาน สุดท้ายกัดฟันยืมเงิน
ผลคือเมื่อยืมก็ยิ่งหยุดไม่ได้ ชนะแล้วก็อยากชนะอีก แพ้แล้วก็ใคร่ชนะโดยไม่รู้ตัว จวบจนคนของบ่อนพนันนำสัญญากู้ยืมปึกหนึ่งที่รวมเป็นเงินห้าพันตำลึงยื่นถึงเบื้องหน้าเขา เฮ่อหลินตกตะลึงตาค้าง
ห้าพันตำลึงมิใช่จำนวนเล็กน้อย ตัวเขาเองย่อมไม่มีแน่นอน
หรือจะขอจากบิดาไม่ก็ภรรยา?
เฮ่อหลินคิดว่านั่นมิสู้เอาชีวิตเขาดีกว่า ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ศักดิ์ศรีไม่มีเหลือ เกรงว่าคงได้กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งอำเภอเซียงเหอแล้ว
หลังจากเขาบอกว่าเอาเงินไม่มี เอาชีวิตมีหนึ่ง เจ้าของบ่อนพนันกลับมิได้สังหารเขา ยิ่งมิได้ชกต่อยเขา เพียงพาเขาไปถึงเบื้องหน้าคนผู้หนึ่ง
เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย เฮ่อหลินผงะเป็นอันดับแรก ต่อมาจึงขุ่นแค้นมิคลาย ‘ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนอันแยบยลของเจ้า?’
เบื้องหน้าเขามิใช่ใครอื่น เป็นถังฟั่นนั่นเอง
ได้ยินคำถามคาดคั้นของอีกฝ่าย ถังฟั่นกลับเพียงแย้มยิ้ม มิได้โต้ตอบ
เฮ่อหลินเห็นเขาผุดยิ้มออกมาก็ยิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใคร่จะโจนเข้าไปกัดเขาสองคำ จนใจที่ด้านข้างยังมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ทั้งในมือกุมดาบปักวสันต์ กำลังจ้องตนเขม็ง ส่งให้เฮ่อหลินกล้ำกลืนโทสะลงไป มิกล้ามุทะลุ
เฮ่อหลินเค้นเสียงลอดไรฟัน ‘เจ้าต้องการอะไรกันแน่’
ถังฟั่นส่ายศีรษะไปมา ‘พี่เขย มิใช่ข้าต้องการอะไร ท่านต้องถามตนเองว่าต้องการอะไร’
กล่าวตามสัตย์ ถังฟั่นปัญญาดีก็จริง แต่ก็ขบคิดอุบายไร้ศีลธรรมที่ล่อให้เฮ่อหลินติดหนี้การพนันเช่นนี้ไม่ออกแน่
ตอนนั้นสุยโจวตกปากจะจัดการเรื่องนี้ให้ ถังฟั่นยังค่อนข้างวางใจ เขารู้ว่าสุยโจวย่อมต้องมีวิธี
คาดไม่ถึงว่าหลายวันให้หลังสุยโจวพาเขามายังบ่อนพนัน บอกจะให้เขาได้ชมดูละครฉากเด็ด
เมื่อเห็นเฮ่อหลินอยู่เบื้องหน้า ถังฟั่นก็พลันกระจ่าง
นอกจากหัวเราะมิได้ร่ำไห้มิออก เขามิอาจไม่กล่าวว่าอุบายนี้ของสุยโจวออกได้เด็ดยิ่ง
เฮ่อหลินคำราม ‘ข้าต้องการอย่างไรอันใดกัน พวกเจ้ามิใช่อยากกรรโชกทรัพย์ข้าหรอกหรือ!’
ถังฟั่นรู้สึกพี่เขยคนนี้ทุ่มเทให้กับการสอบเคอจวี่หมดหัวใจจริงๆ ไม่ไยดีอื่นใดนอกเหนือจากนั้น มิน่าเล่าถึงได้ตกหลุมพรางโดยง่าย
เขายิ้มน้อยๆ ‘พี่เขย เราสองเป็นญาติกัน ข้าไหนเลยจะกรรโชกทรัพย์ท่านได้ พวกเรามาคุยเรื่องพี่สาวกับหลานชายข้าก่อนดีกว่า ข้าก็ไม่อยากอ้อมค้อม หากท่านตกลงแบ่งทรัพย์แยกบ้าน เรื่องนี้ก็เป็นอันเลิกแล้วต่อกัน เงินของบ่อนพนันข้าจะชำระคืนแทนท่าน เป็นอย่างไร’
ในที่สุดเฮ่อหลินก็แจ่มแจ้งในความคิดของพวกเขา เขาแค่นหัวเราะคำหนึ่ง ‘ข้าไม่ตกลงแล้วจะเป็นไร’
ถังฟั่นไม่เร่งไม่ช้า ‘ท่านไม่รับปาก เช่นนั้นสัญญากู้ยืมก็จะส่งถึงท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ ถึงเวลานั้นทุกคนในสกุลเฮ่อจะได้ทราบว่านายท่านรองเฮ่อไปติดหนี้พนันไว้ห้าพันตำลึง ไม่เพียงสกุลเฮ่อ ทั่วทั้งอำเภอเซียงเหอล้วนล่วงรู้ พี่เขยท่านรักหน้าตาปานนี้ คงไม่ยินดีเห็นเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกระมัง’
เฮ่อหลินโกรธจนกำหมัดแน่น ‘เจ้ามันต่ำช้าไร้ยางอาย ตอนนั้นไฉนข้าจึงตาบอดไปแต่งสตรีสกุลถังของพวกเจ้าได้!’
รอยยิ้มของถังฟั่นเปลี่ยนเป็นชืดชา ‘เอ่ยวาจาเช่นนี้ท่านไม่รู้สึกละอายหรือ หากมิใช่เพราะท่านปฏิบัติต่อพี่สาวและหลานชายข้าไม่ดี ไยข้าต้องยืนกรานให้พวกเขาจากไป บิดาข้ายกบุตรีให้แต่งเข้าบ้านท่าน มิใช่เพื่อให้ท่านมาย่ำยี หากไม่เพราะรักษาสัญญาหมั้นหมายของรุ่นบิดาทั้งสองตระกูล ตอนนั้นพี่สาวข้าแต่งให้กับผู้อื่นที่เป็นสามัญชนทั่วไป คงมีความสุขกว่าตอนนี้มากนัก’
เฮ่อหลินยังคงแก้ตัว ‘ข้าปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดีตรงที่ใด สกุลเฮ่อไม่มีให้พวกเขากิน ไม่มีให้พวกเขาใส่หรือ!’
ถังฟั่นเลิกคิ้ว ‘สกุลเฮ่อเป็นของท่าน? พวกเขากินพวกเขาใส่ล้วนเป็นท่านกำนัลให้?’
เฮ่อหลินถึงกับสะอึก
ถังฟั่นกลับไม่คิดโต้แย้งกับเขาต่อไป หัวข้อสนทนาเช่นนี้เอาชนะคะคานไปมีความหมายอันใด
‘เป็นบุรุษก็เด็ดขาดหน่อยเถอะ แบ่งทรัพย์แยกบ้าน ตกลงหรือไม่ หากไม่ตกลง ข้าจะไปหาท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อแล้ว’
เฮ่อหลินขบกรามดังกรอด แต่เขาพบว่าต่อให้ตนเองถลึงตาใส่อีกฝ่ายให้ตาย ฝ่ายตรงข้ามก็มิได้รู้สึกแม้แต่น้อย
นิ่งเงียบอยู่นาน เขาค่อยกล่าวเสียงละห้อย ‘ข้าตกลง’
ถังฟั่นผงกศีรษะ ‘ประเสริฐยิ่ง เช่นนั้นรบกวนพี่เขยไปบอกกล่าวต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ เป็นผู้ผูกย่อมต้องเป็นผู้แก้ เรื่องนี้ข้าไปพูดก็ไม่บังเกิดผลเท่ากับท่านไป’
นี่ก็คือต้นสายปลายเหตุที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเห็นบุตรชายรุดมา พร้อมเป็นฝ่ายตกลงให้แบ่งทรัพย์แยกบ้าน
เฮ่อหลินย่อมไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ตนแพ้พนันห้าพันตำลึงไม่มีเงินชดใช้คืนเด็ดขาด แต่เลือกพูดให้ฟังระรื่นหูว่า “ในเมื่อนางอยากออกไปก็ให้นางออกไปเถอะ อย่างไรก็มิใช่หย่าโดยสมัครใจ เจ้าเจ็ดยังคงแซ่เฮ่อดังเดิม เวลานี้ถังฟั่นได้เลื่อนตำแหน่งและอยู่ในเมืองหลวง หากข้าไม่รับปาก เขาจะเจ็บแค้นฝังใจแล้วเล่นเล่ห์กลั่นแกล้งพี่ใหญ่ เพื่อความสงบสุขของสกุลเฮ่อเรา ท่านพ่อก็รับปากพวกเขาเถอะ”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อโกรธจนอยากหัวเราะ “เจ้ายังอุตส่าห์มีน้ำใจนึกถึงพี่ใหญ่ แต่ก่อนไยไม่เคยเห็นเจ้าคำนึงถึงส่วนรวมเช่นนี้เล่า”
คำพูดนี้ขัดหูเฮ่อหลินยิ่ง เขาตีหน้าขรึม “ท่านพ่อเข้าข้างพี่ใหญ่ ท่านแม่เข้าข้างน้องสาม ลูกคนรองอย่างข้าถูกขนาบอยู่ตรงกลางตลอด อะไรดีก็ไม่เคยได้ ยามนี้ข้าคำนึงถึงพี่ใหญ่ ท่านก็กลับระแวงความปรารถนาดีของข้าอีก”
“เช่นนั้นเจ้าลองว่ามา แบ่งทรัพย์แยกบ้านจะแบ่งจะแยกอย่างไร เงินทองในเรือนเจ้าล้วนเป็นสินเดิมของภรรยาเจ้ามิใช่หรือ ตัวเจ้ายังมีสมบัติส่วนตัวอันใดชดเชยแก่นางได้ หรือเจ้าจะให้นางพาลูกไปทั้งสองมือว่างเปล่า? ถึงเวลานั้นผู้คนข้างนอกจะมองสกุลเฮ่อเราอย่างไร”
เฮ่อหลินไม่ส่งเสียงแล้ว
ต่างจากขุนนางเมืองหลวงจนๆ เยี่ยงถังฟั่น ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเป็นขุนนางท้องถิ่นหลายสิบปี สะสมทรัพย์สินได้ไม่น้อย และสกุลเฮ่อเป็นตระกูลศักดินาในอำเภอเซียงเหอ ที่ดินหนึ่งถึงสองในสิบส่วนของอำเภอนี้ล้วนเป็นของสกุลเฮ่อ หรือไม่ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตในนามของสกุลเฮ่อ
แต่เหล่านี้เป็นทรัพย์สินของสกุลเฮ่อ มิใช่ของเฮ่อหลิน แม้เขามิต้องกลุ้มเรื่องกินอยู่ แต่กล่าวถึงสมบัติส่วนตัว นอกจากตำราหนึ่งห้องใหญ่นั้นกลับไม่มีสิ่งอื่นใดแม้สักนิด หากเขามิใช่ถือกำเนิดในสกุลเฮ่อ แต่เกิดในครอบครัวสามัญชน เกรงว่าคงข้นแค้นและหมดอาลัยไปนานแล้ว
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อเห็นท่าทางเขาก็ชักโกรธขึ้นมา โบกมือราวกับไล่แมลงวัน “พอที เจ้าออกไปได้แล้ว รอข้าไตร่ตรองให้ดีก่อน”
เฮ่อหลินโอดครวญ “ต้องเร็วด้วย พวกถังฟั่นใกล้จะกลับเมืองหลวงแล้ว”
“…” ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อโมโหจนพูดไม่ออกอีก
เห็นบิดาหน้าดำดั่งก้นหม้อ เฮ่อหลินเริ่มพรั่นพรึง จึงรีบลุกขึ้นเตรียมผละออกไป
ดังคาด ด้านหลังมีเสียงตวาดชนิดสติขาดผึงของท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อดังขึ้น “เร็วบ้านเจ้าน่ะสิ! ตอนนั้นเจ้าเองมิใช่ค้านหัวชนฝาหรอกรึ ตอนนี้กลับจะมาเร่ง ไสหัวไปเดี๋ยวนี้! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!”
เห็นเงาร่างของบุตรชายไสหัวจากแนวสายตาของตนเอง ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อค่อยหยุดยั้งสุ้มเสียง โกรธกริ้วจนหนวดเครากระดกขึ้นกระดกลงตามอาการสั่นเทิ้มรุนแรงของทรวงอก
สวี่ซื่อมาถึงตั้งแต่เมื่อครู่ที่พ่อลูกสนทนาได้ครึ่งทาง เพื่อไม่เป็นการขัดจังหวะพวกเขาทั้งสอง นางจึงรอจนเฮ่อหลินจากไปแล้วค่อยเดินออกมาจากด้านหลัง เอ็ดว่า “อายุปูนนี้แล้ว ไม่รู้จักถนอมสุขภาพ เอะอะก็บันดาลโทสะ”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อลูบหน้าอก ดื่มชาอีกคำหนึ่งค่อยรู้สึกดีขึ้น “บุตรชายเจ้าจะยั่วให้ข้าโมโหตาย!”
“ในเมื่อนางใคร่ไปก็ให้นางไป ผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายแล้วอย่างไร ก็แค่ขุนนางขั้นสี่ นายท่านตอนนั้นยังขั้นสามด้วยซ้ำ!”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อไม่สบอารมณ์ “ข้าอายุหกสิบปลดเกษียณที่ขั้นสามนับว่ามีเกียรติมากนักหรือ เจ้าดูเขาตอนนี้เพิ่งอายุเท่าไร ยี่สิบเศษก็ขั้นสี่เต็มขั้นแล้ว ซ้ำยังเป็นขุนนางเมืองหลวง หากวาสนาไม่เลว ภายหน้าได้เป็นเสนาบดีก็มิใช่เรื่องแปลก กับคนเช่นนี้ต่อให้ไม่อาจเกี่ยวดองเป็นญาติก็ไม่อาจเกี่ยวพันเป็นศัตรู! เจ้าใหญ่ยังเป็นขุนนางอยู่ เจ้าสามภายหน้าก็ต้องรับราชการ จะให้เป็นเพราะเจ้ารองรนหาที่ตายเองแล้วเดือดร้อนไปถึงพี่น้องไม่ได้!”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว หรือจะรั้งถังซื่อไว้ไม่ให้จากไปเล่า”
“ไม่ได้แน่นอน หากไม่ให้นางไปคงได้เพาะศัตรูแน่แล้ว แบ่งทรัพย์แยกบ้านอย่างไรก็ดีกว่าหย่าโดยสมัครใจ เพราะยังถือเป็นคนของสกุลเฮ่อ หากเจ้ารองสามารถกลับเนื้อกลับตัว ภายหน้าสามีภรรยากลับมาคืนดีก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่จากสันดานเจ้าลูกชั่ว ข้าว่าคงไม่มีหวังแล้ว…” เขาบ่นพึมพำเป็นชุดใหญ่ก่อนกล่าวกับสวี่ซื่อ “ประเดี๋ยวเจ้าไปเบิกเงินจากห้องบัญชีห้าพันตำลึงส่งไปให้สะใภ้รอง”
“มากถึงเพียงนั้นเชียว?” สวี่ซื่อตกใจ
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อถอนใจ “แบ่งทรัพย์แยกบ้าน หน้าคำว่าแยกบ้านมีคำว่าแบ่งทรัพย์ เจ้ารองไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว แล้วจะแบ่งทรัพย์อย่างไร หลายปีนี้สะใภ้รองก็เอาสินเดิมออกมาใช้ไม่น้อย หรือจะให้คนนอกไปนินทาว่าสกุลเฮ่อเราเบียดบังสินเดิมของสะใภ้เล่า เฮ่อหลินขายหน้าได้ แต่ข้าขายหน้าไม่ได้!”
ห้าพันตำลึงมิใช่เงินจำนวนน้อย สวี่ซื่ออดเสียดายมิได้ “ก็ไม่จำเป็นต้องให้ถึงห้าพันตำลึงนี่ หลายปีนี้เงินที่นางควักเพิ่มออกไป อย่างมากก็ไม่กี่ร้อย…”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อตัดบทนาง “เลิกพูดได้แล้ว เจ้านึกว่าข้าไม่เสียดายหรือ แต่นี่เป็นการผูกไมตรี มิใช่ผูกอาฆาต!” เขาผ่อนน้ำเสียงลง “มีอีกเรื่องหนึ่งต้องพูดกับเจ้า ให้เจ้าเตรียมใจล่วงหน้า”
สวี่ซื่อลูบอก “ท่านบอกมารวดเดียวเถอะ อย่าได้ยึกยักอีกเลย หรือเจ้ารองไปก่อเรื่องอันใดเข้าอีกแล้ว”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อผุดยิ้ม “มิใช่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เป็นท่านป๋อสุยมาทาบทามสู่ขอต่อข้า”
สวี่ซื่อฉงนฉงาย “เขาต้องตาใครเข้าแล้ว? บุตรีที่เกิดจากภรรยาเอกของสกุลเฮ่อออกเรือนไปนานแล้ว ที่อายุเหมาะสมก็มีปาเอ๋อร์ แต่นางเป็นบุตรีที่เกิดจากอนุ…”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อทราบว่านางเข้าใจผิดแล้ว จึงกล่าว “สุยโจวเป็นขุนนางเชื้อพระวงศ์ จะต้องตาปาเอ๋อร์ได้อย่างไร เป็นนายกองใต้บัญชาเขาที่ชื่อเหยียนหลี่ อยากสู่ขอปาเอ๋อร์เป็นภรรยา เดาว่าตอนเข้าออกเรือนไม้ไผ่คงแอบเห็นปาเอ๋อร์ จึงนึกชอบขึ้นมา”
สวี่ซื่อยังสงสัย “นายท่าน ปาเอ๋อร์แม้มิใช่ลูกในไส้ของข้า แต่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ข้าเห็นนางเหมือนลูกแท้ๆ นางสามารถมีคู่ครองที่ประเสริฐ ข้าในฐานะมารดาย่อมยินดีกับนาง แต่องครักษ์เสื้อแพรอย่างไรก็เป็นขุนนางทหาร ตระกูลเราเป็นชนชั้นบัณฑิต ไหนเลยเกี่ยวดองกับพวกเขาได้”
เฮ่ออิงอธิบายต่อนางอย่างอดทน “ระดับนายกองคือขั้นเจ็ดเต็มขั้น เทียบเท่าตำแหน่งนายอำเภอ แม้กล่าวว่าหลายปีนี้ราชสำนักหนักบุ๋นเบาบู๊ ทำให้ขั้นเจ็ดของขุนนางทหารไม่มีราคา แต่ในเมื่อสุยโจวยอมออกหน้าให้เขาก็แสดงว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ไม่เลว เจ้าคิดดู เขากับถังฟั่นสนิทสนมปานใด ถึงกับบึ่งจากเมืองหลวงมาออกหน้าแทนถังฟั่น เหยียนหลี่มีผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ ถ้าตัวเขาเองรักดี ความสำเร็จในภายหน้าไม่แน่ว่าจะต่ำทราม ข้าเองก็ไม่อยากลดค่าบุตรชายตนเอง แต่เจ้าดูเจ้ารอง แต่งให้ใครล้วนดีกว่าแต่งให้คนอย่างเขาทั้งสิ้น”
เฮ่ออิงโดนบุตรชายยั่วโทสะจนเลอะเลือนแล้วจริงๆ ถึงกับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา สวี่ซื่ออดค้อนเขาทีหนึ่งมิได้
มิใช่นางไม่ยอมรับฟังความเห็นผู้อื่น พอได้ยินก็ครุ่นคิด ก่อนพยักหน้า “ช่างเถอะ หากเขามีใจใคร่สู่ขอ เรื่องมงคลนี้ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ไว้ข้าจะลองเลียบเคียงปาเอ๋อร์ ให้นางไปตรึกตรองด้วยตนเอง ถึงที่สุดแล้วเป็นนางที่ออกเรือน มิใช่พวกเราออกเรือน ย่อมมิอาจให้นางออกเรือนโดยไม่เต็มอกเต็มใจ”
เฮ่ออิงผ่อนลมหายใจ “เจ้าพูดถูก ต้องเลียบเคียงนางก่อน อย่าได้เพิ่มคู่แค้นอย่างเจ้ารองขึ้นมาอีกคู่! ถ้าลุล่วงได้ย่อมประเสริฐที่สุด เช่นนี้แล้วสุยโจวกับถังฟั่นก็จะติดค้างน้ำใจพวกเราครั้งหนึ่ง สองตระกูลยังสามารถรักษาสายสัมพันธ์ ต่อให้เกิดเรื่องของเจ้ารองก็ไม่ถึงกับผิดพ้องหมองใจกัน”
กล่าวได้ว่าในเรื่องใหญ่แล้วสองสามีภรรยาสกุลเฮ่อหาได้เลอะเลือน ให้กำเนิดบุตรชายสามคน คนโตเป็นที่ภาคภูมิของบิดามารดา คนเล็กทำให้บิดามารดาปลาบปลื้ม มีก็แต่คนรองที่สร้างความหนักใจ และถังอวี๋ก็พานมาได้กับเจ้ารองคนนี้อีก
แม้ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อมีอนุมากมาย แต่เพราะเขาให้ความนับถือต่อภรรยาเอกมากพอ เรื่องใดๆ ล้วนหารือกับนาง และมอบอำนาจในบ้านให้นางควบคุม ไม่ว่านางจะจัดการอย่างไรล้วนมิเคยก้าวก่าย ด้วยเหตุนี้สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ไม่เคยขัดเคืองใจกันมาก่อน
บุรุษที่หาความสงบสุขมิได้เพราะมีสามภรรยาสี่อนุทั้งหลายในใต้หล้า เกรงว่าล้วนต้องทำความเคารพต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อแล้ว
กลับมามองเฮ่อหลิน ในเรือนไม่มีอนุแม้สักคน ยังเกิดเรื่องวุ่นวายจนหาความสงบมิได้ ช่างสร้างความอับอายให้แก่บิดาอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าชาติก่อนท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อติดเงินบุตรคนรองไว้เท่าไร ทำให้เขามาตามทวงถึงชาตินี้
เรื่องราวถัดจากนั้นล้วนราบรื่นอย่างเหลือเชื่อ
สวี่ซื่อเรียกแม่นางเฮ่อปามาบอกเล่าเรื่องราวให้ฟัง เดิมนางเข้าใจว่าแม่นางปาที่ความคิดละเอียดอ่อนจะอยากแต่งให้กับปัญญาชนมากกว่า มิคาดแม่นางปาแม้ขัดเขินสะเทิ้นอาย กลับไม่มีทีท่าคัดค้าน เมื่อสวี่ซื่อซักไซ้ถึงได้ทราบว่าที่แท้สองคนนั้นเคยพบเจอที่นอกเรือนไม้ไผ่นานแล้ว ต่างฝ่ายต่างต้องชะตา ไม่เพียงเหยียนหลี่มีจิตปฏิพัทธ์ ฝ่ายหญิงก็แอบชมชอบในใจเช่นกัน
ในเมื่อสองฝ่ายต่างมีใจ เรื่องราวก็สะดวกดายแล้ว ทว่ายังต้องรอเหยียนหลี่กลับไปแจ้งต่อบิดามารดาก่อนค่อยนำหนังสือสมรสมาดำเนินตามขั้นตอน มิใช่เวลาสั้นๆ ก็สามารถแต่งคนกลับไปได้ทันที
ถึงเป็นเช่นนี้ แต่หลังได้รับทราบข่าว เหยียนหลี่ยังคงเปรมปรีดิ์อย่างกับอะไร หลายวันต่อมาล้วนผุดยิ้มทึ่มทื่อ หากมิใช่เกรงจะทำให้แม่นางน้อยตื่นตระหนก คะเนว่าแม้แต่เรื่องปีนกำแพงไปรำพันความในใจเขาก็คงกระทำออกมาได้
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเฮ่อหลินกับท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อทยอยผงกศีรษะ ถังอวี๋ก็เริ่มลงมือจัดเก็บข้าวของ เตรียมพาบุตรชายไปเมืองหลวงพร้อมถังฟั่น ถังฟั่นยืนพิงขอบประตู เห็นใบหน้านางประดับรอยยิ้มจึงอดกระเซ้ามิได้ “พี่หญิง นี่ท่านจะแยกบ้านกับพี่เขย ชั่วดีก็แสร้งทำท่าโศกาอาลัยสักนิดเถอะ คนที่ไม่รู้เรื่องมาเห็นเข้าดีไม่ดีอาจคิดว่าท่านจะออกเรือน!”
ถังอวี๋ถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง ทำท่าจะมาตีเขา ฝ่ายหลังหลบพลางหัวเราะคิกคัก
อันที่จริงถังฟั่นก็ทราบ นี่คือความดีใจที่สามารถหลุดพ้นจากความกดดันแสนนานได้ในที่สุด และเป็นความดีใจที่ต่อไปจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
ถังอวี๋กล่าว “เมื่อก่อนตอนเจ้ายังไม่มา ข้าคิดแค่ว่าทนอยู่เช่นนี้ไปวันๆ อดทนได้วันหนึ่งก็วันหนึ่ง จนกว่าเจ้าเจ็ดเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าก็หมดห่วงแล้ว ทว่าตั้งแต่ตอนอยู่คฤหาสน์สกุลเหวย หลังจากเขาทุบตีเจ้าเจ็ดต่อหน้าคนอื่น ข้าก็รู้ว่าอดทนเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ ข้าทนได้แต่เจ้าเจ็ดไม่อาจทน หากเขาโตขึ้นมามีนิสัยเหมือนบิดาเขาที่เอาแต่เสียใจแค้นใจในความผิดพลาดของตนเอง เช่นนั้นความอดทนของข้าจะมีความหมายอันใด โชคดียังมีเจ้าอยู่ ถ้าไม่ได้เจ้าช่วย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะหลุดพ้นและไปจากสกุลเฮ่อได้อย่างไร”
ถังฟั่นช่วยซับน้ำตาให้นาง “พี่หญิง ต่อไปท่านไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนอีกแล้ว ก่วงชวนช่วยข้าหาซื้อบ้านในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านกับเจ้าเจ็ดไปถึงก็เข้าอยู่ได้เลย ที่นั่นก็คือบ้านของท่าน ท่านอยากอยู่นานเท่าใดก็ได้”
ถังอวี๋ปลาบปลื้ม “แต่บ้านนั้นเจ้าเป็นคนซื้อ ข้าไม่อาจอยู่เปล่า สกุลเฮ่อให้เงินมาห้าพันตำลึง ถึงเวลานั้นข้าหาซื้อบ้านสักหลังในเมืองหลวงก็น่าจะพอ…”
“พี่หญิง ข้าวางแผนไว้อย่างหนึ่ง ไม่ทราบท่านคิดเห็นอย่างไร”
ถังอวี๋ยิ้มกล่าว “เจ้าลองว่ามา เหมาเหมาบ้านเราเจ้าปัญญาที่สุด แผนของเจ้าต้องดีเลิศแน่นอน”
ถูกพี่สาวเรียกขานชื่อเล่นเช่นนี้ ถังฟั่นรู้สึกหมดแรงต่อต้านจริงๆ ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยเข้าประเด็นทันที “แทนที่จะเอาเงินไปซื้อบ้าน มิสู้นำมาเปิดร้านขายของ ถึงเวลานั้นหากท่านไม่อยากทำการค้าก็ปล่อยให้เช่า หากอยากทำก็ทำ การค้าเล็กๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องออกหน้าเองก็ได้ สามารถจ้างผู้ดูแลที่ไว้ใจได้ ท่านแค่คุมบัญชีให้ดีก็ใช้ได้แล้ว ข้าจำได้ว่าตอนอยู่สกุลถังท่านเป็นคนดูแลสมุดบัญชีทั้งหมดในบ้าน เรื่องนี้สำหรับท่านแล้วย่อมไม่คณามือ”
ถังอวี๋รับฟังอย่างตั้งใจ คำพูดของถังฟั่นคล้ายเปิดประตูใหญ่บานใหม่แก่นาง ในอดีตนางก็เหมือนกับสตรีส่วนใหญ่ ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน ตั้งแต่ออกเรือน ให้กำเนิดและอบรมสั่งสอนบุตรธิดา ไม่เคยคิดว่านอกเหนือจากนั้นชีวิตยังมีช่องทางอื่นให้เลือก
“เจ้าหมายถึงให้ข้าทำการค้า?”
ถังฟั่นผงกศีรษะพลางสำรวจสีหน้านางโดยละเอียด “ท่านไม่จำเป็นต้องออกหน้าเอง คุมหางเสืออยู่ด้านหลังก็พอ หากท่านไม่ชอบ พวกเราค่อยคิดกันใหม่”
สมัยนี้มีคนไม่น้อยที่เหมือนกับเหวยเช่อ แม้มีผลงานมีชื่อ แต่ยังออกไปทำการค้า รายได้ของตระกูลนอกจากค่าเช่าที่นาแล้วก็อาจดำเนินกิจการร้านค้าเพิ่มเติม ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของไม่จำเป็นต้องออกหน้าไปดูแลด้วยตนเอง อย่างที่ถังฟั่นบอก แค่คุมสถานการณ์โดยรวมอยู่หลังม่านเท่านั้น
บัณฑิต ชาวนา กรรมกร และวาณิช สี่คำนี้อย่างไรก็หยั่งรากลึกในใจคน ผู้คนโดยมากได้ยินคำว่าวาณิชในใจมักรู้สึกต่อต้าน ดังเช่นถังอวี๋ที่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากนางไม่ยินดีก็พอเข้าใจได้
แต่เห็นชัดว่าถังฟั่นมิได้ประเมินความสามารถในการยอมรับของพี่สาวคนนี้ของเขาต่ำไป
ถังอวี๋ได้ฟังคำพูดของเขากลับเผยสีหน้าลิงโลด “เจ้าพูดถูกที่สุด วันหน้าเจ้าเจ็ดยังต้องใช้จ่ายอีกมาก เงินจำนวนนี้ไม่น้อยก็จริง แต่สักวันย่อมร่อยหรอหมดไป มิสู้นำมาทำการค้า ขอบใจเจ้ามาก เหมาเหมา หากไม่มีเจ้า ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี”
“เช่นนั้นท่านต้องรับปากข้าประการหนึ่ง”
“หืม?” ถังอวี๋ฉงน
ถังฟั่นกระแอมคำหนึ่ง “ต่อไปอย่าเรียกชื่อเล่นชื่อนี้ของข้าอีก นับแต่ก่วงชวนได้ยินท่านเรียกก็คอยหาโอกาสปลอดคนเรียกข้าเสมอ!”
ถังอวี๋นึกภาพสุยโจวเรียกขานเหมาเหมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อดหัวเราะพรืดมิได้ ครั้นเห็นสายตาขุ่นเคืองของน้องชายจึงรีบกล่าว “ไม่น่าเป็นไปได้ ใต้เท้าสุยเป็นคนเคร่งขรึมปานนั้น คาดว่าแม้แต่วาจาล้อเล่นก็คงไม่เคยพูด มีหรือจะทำเรื่องเช่นนี้ ต้องเป็นเจ้าไม่อยากให้ข้าเรียกถึงยกเขามาอ้างกระมัง เหมาเหมาเอ๋ย ทุกวันนี้ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่แล้ว คนที่สามารถเรียกเจ้าด้วยชื่อนี้ต้องเป็นคนใกล้ชิดของเจ้าแน่นอน ทุกครั้งที่ข้าเรียกชื่อเล่นเจ้า ข้าก็คิดถึงท่านพ่อท่านแม่…”
“ได้ๆๆ ท่านเรียก ท่านเรียกตามสบาย ชอบเรียกอย่างไรก็เรียกอย่างนั้น”
เผชิญกับสีหน้าเศร้าตรมน้ำตาเจียนหยด ใต้เท้าถังได้แต่วิ่งหนีด้วยความลนลาน
เมื่อออกจากคฤหาสน์สกุลเฮ่อ ถังฟั่นเหลือบเห็นสุยโจวรออยู่ด้านนอก พลันนึกถึงเรื่องที่ตนนัดเขาไปคฤหาสน์สกุลเหวยด้วยกัน จึงก้าวไปหา “ก่วงชวน พวกเราไปเถอะ”
“ได้ เหมาเหมา”
“…”
พี่หญิง สายตาท่านมีปัญหาหรือไร ท่านดูคนผิดแล้ว เขาน่ะชอบทำเรื่องเช่นนี้ที่สุด!
ทั้งสองมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์สกุลเหวยก็พบนายอำเภอเวิงซึ่งมารออยู่ด้านนอกนานแล้ว ข้างกายนายอำเภอเวิงยังมีพ่อบ้านและบ่าวจำนวนหนึ่งของสกุลเหวยยืนอยู่ด้วย
“รอนานแล้วกระมัง” ถังฟั่นยิ้มถาม
“ไม่ขอรับๆ ผู้น้อยก็เพิ่งมาได้สักครู่!” นายอำเภอเวิงรีบกล่าว
คนสกุลเหวยเห็นนายอำเภอรุดมา สมควรรีบเชิญเขาเข้าด้านใน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลให้นายอำเภอยืนแกร่วอยู่หน้าประตู แต่ถังฟั่นยังไม่มา นายอำเภอเวิงไหนเลยจะเข้าไปก่อนได้ จึงยืนกรานจะรออยู่ด้านนอก พ่อบ้านของสกุลเหวยจึงต้องยืนเป็นเพื่อนเขา
ถังฟั่นกวาดมองแวบหนึ่งก็พบว่าไม่ถูกต้อง
รูปการณ์เช่นนี้ ตามเหตุผลแล้วประมุขสกุลเหวยสมควรอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน ทว่าบัดนี้กลับมีเพียงพ่อบ้านคนหนึ่ง ด้วยนิสัยกลมกลิ้งของเหวยเช่อไม่น่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้
พ่อบ้านสกุลเหวยก็หัวไว พลันมองออกถึงรอยฉงนใจของถังฟั่น รีบกล่าวว่า “ใต้เท้าโปรดอภัย นายท่านล้มป่วยลุกไม่ขึ้น หมอบอกว่าไม่อาจโดนลม ต้องขออภัยใต้เท้าทุกท่านด้วยขอรับ”
ถังฟั่นสบตาเป็นเชิงถามนายอำเภอเวิง
นายอำเภอเวิงจึงพยักหน้ากล่าวว่า “ผู้น้อยก็ได้ยินมาว่าเขาล้มป่วย แต่ไม่ทราบว่าล้มป่วยด้วยสาเหตุใด”
ในน้ำเสียงเจือแววไม่พอใจอยู่บ้าง
พ่อบ้านสกุลเหวยทราบดี เจ้านายตนไม่ออกมาต้อนรับเป็นการไม่เหมาะสมยิ่ง แต่เขาไม่มีวิธีอื่นใด จึงยิ้มเจื่อนพร้อมกล่าวขออภัยไม่หยุด “ใต้เท้าทุกท่าน นายท่านบ้านข้ามิใช่ไม่ยอมออกมา แต่ลุกจากเตียงไม่ไหวจริงๆ ขอรับ ทุกท่านตามข้าน้อยเข้าไปดูก็จะทราบเองขอรับ”
ไม่ว่าเหวยเช่อป่วยจริงหรือแกล้งป่วย วันนี้ถังฟั่นกับนายอำเภอเวิงล้วนต้องเข้าไปดู พอได้ยินเช่นนั้นจึงสืบเท้าเข้าไป
พ่อบ้านกระวีกระวาดนำหน้า พาใต้เท้าหลายท่านเข้าสู่เรือนชั้นในด้านหลัง
เหวยเช่อนอนอยู่บนเตียง สีหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นผุดซึม ได้ยินว่าผู้ตรวจการถังและนายอำเภอเวิงรุดมาจึงกระเสือกกระสนลุกขึ้น ไม่คิดว่าสาวใช้ที่พยุงเขาเรี่ยวแรงน้อยนิด ไม่ทันระวังจึงพากันล้มคะมำลงพื้นทั้งคู่ ล้มจนเหวยเช่อหน้ามืดตาลาย ยิ่งพานให้ตะกายไม่ขึ้น
พ่อบ้านตกใจหน้าถอดสี รีบวิ่งขึ้นหน้าพยุงโดยมีสาวใช้เข้ามาช่วยอีกแรง ถึงประคองเหวยเช่อที่รูปร่างอ้วนฉุขึ้นมาได้
ถังฟั่นเห็นอาการป่วยของเขาไม่คล้ายเสแสร้งจึงกล่าว “ไม่ต้องมากพิธี ท่านนอนบนเตียงเถอะ พวกเราแค่มาสอบถามสองสามคำ”
เหวยเช่อก็ไม่คำนึงถึงมารยาทแล้ว ยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ขอบคุณใต้เท้าที่เข้าใจ” ก่อนเอนตัวนอนบนเตียง สาวใช้คลุมผ้าห่มผืนหนาให้เขา
พ่อบ้านได้ยินว่าใต้เท้าหลายท่านจะถามความจึงรีบยกเก้าอี้มา เชิญพวกเขานั่ง และประเคนน้ำชา
นายอำเภอเวิงไม่มีอารมณ์ดื่มชา เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง สองวันก่อนตอนเห็นเหวยเช่อ อีกฝ่ายยังแข็งแรงดีแท้ๆ ไฉนแค่สองวันถึงป่วยหนักเสียแล้ว
“หมอว่าเป็นอะไร” เขาถาม
“หมอบอกว่าเดิมทีสุขภาพของนายท่านก็ภายนอกแข็งแรงภายในอ่อนแอ ครานี้ถูกไอเย็น อาการเลยทรุดหนักอย่างที่เห็น ต้องพักรักษาตัวให้ดี เมื่อคืนนายท่านยังตัวร้อนจัด อันตรายยิ่งนัก ต้องกรอกยาสามชามติดกันจึงค่อยทุเลาลง” พ่อบ้านตอบ
นายอำเภอเวิงผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็พักผ่อนให้มากเถอะ”
ถังฟั่นกล่าว “เหวยเช่อ ตามเหตุผลแล้วท่านป่วยหนักถึงเพียงนี้ พวกเราไม่สมควรรบกวนท่าน ทว่าคดีบุตรชายคนเล็กของท่านยังมีจุดน่าสงสัยอยู่บ้าง พวกเราจำเป็นต้องหาหลักฐาน”
เหวยเช่อตอบเสียงแผ่วโผย “ใต้เท้าเชิญถาม หากทราบข้าน้อยย่อมตอบตามจริง”
“บรรดาภรรยาและอนุของสกุลเหวยมีไม่ลงรอยกันหรือไม่ ความสัมพันธ์ของมารดาบังเกิดเกล้าของบุตรชายท่านกับภรรยาและอนุอื่นๆ เป็นอย่างไร” ถังฟั่นเริ่มถาม
เหวยเช่อยิ้มเศร้า “ยามปกติไม่เห็นมีเรื่องมีราวอันใด ไฉซื่อภรรยาเอกของข้าน้อยก็จัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยความยุติธรรม กับอนุอื่นๆ ก็ปฏิบัติด้วยดี ไม่เคยโหดร้ายอันใด ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะคบคิดกับญาติผู้พี่กระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้”
ถังฟั่นถามอีก “ได้ยินว่าไฉซื่อเป็นภรรยาที่แต่งหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต?”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นภรรยาคนแรกของท่านเสียชีวิตเมื่อใด”
“ยี่สิบกว่าปีก่อน หลังคลอดบุตรสาวคนโตก็ป่วยตาย”
ถังฟั่นพยักหน้า หยุดเล็กน้อย พลันเปลี่ยนเรื่อง “เกี่ยวกับข่าวลือเรื่องคฤหาสน์สกุลเหวยมีผีอาละวาดในระยะนี้ ท่านเคยได้ยินหรือไม่”
“ข้าน้อยได้ยินมาบ้าง”
“แล้วท่านคิดเห็นอย่างไร” ถังฟั่นถาม
เหวยเช่อคล้ายประหลาดใจต่อคำถามของเขา จึงสั่นหน้า “ข้าน้อยไม่ทราบใต้เท้าหมายความว่ากระไร”
“หมายความว่าข่าวลือเรื่องผีสางกับคดีที่เกิดขึ้นในบ้านท่านอาจมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง ท่านลองนึกให้ดี ท่านเคยล่วงเกินผู้ใดบ้างหรือไม่”
เหวยเช่อนิ่งคิดอยู่นาน แต่ร่างกายเขาไม่มีกำลังวังชา ไม่ช้าก็ฉายแววอ่อนเพลียออกมา “ข้าน้อยใช้ชีวิตด้วยความรอบคอบ แต่ทำการค้าอยู่ด้านนอกย่อมเกิดเรื่องไม่ลงรอยกับผู้อื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ชั่วขณะสั้นๆ ยากจะคิดออกว่าเป็นผู้ใด”
ถังฟั่นตอบอืมคำหนึ่ง “เช่นนั้นท่านพักผ่อนเถอะ ให้พ่อบ้านพาพวกเราเดินดูรอบๆ บ้าน ไม่แน่อาจต้องสอบถามคนอื่นๆ”
เหวยเช่อรับคำแล้วกล่าวอีกว่า “รอข้าน้อยหายป่วยแล้วจะรุดไปขอขมาใต้เท้าทุกท่านด้วยตนเอง”
ถังฟั่นโบกมือ ให้เขาไม่ต้องลุกขึ้น จากนั้นผละออกมาพร้อมสุยโจวกับนายอำเภอเวิง
ภายใต้การนำทางของพ่อบ้าน ทั้งสามเดินดูคฤหาสน์สกุลเหวยรอบหนึ่ง เป็นเพราะในคฤหาสน์เกิดเหตุการณ์คนตายซ้ำซ้อน ทำให้บ่าวไพร่ทั้งหมดแทบปราศจากรอยยิ้ม กิริยาวาจาก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง
ถังฟั่นให้พ่อบ้านเชิญอนุคนอื่นๆ ของเหวยเช่อ รวมทั้งหยางซื่อมารดาของเหวยจูเหนียง และหลี่ซื่อมารดาของนายน้อยสกุลเหวยออกมาสอบถามทีละคน
ความจริงก่อนหน้านี้นายอำเภอเวิงก็เคยตรวจสอบอนุของเหวยเช่อทุกคนยกเว้นหลี่ซื่อ ด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าเป็นเพราะอิจฉาหลี่ซื่อให้กำเนิดบุตรชายจึงลงมือฆ่าคน ทว่าสุดท้ายไม่มีหลักฐานอันใดบ่งชี้ว่าฆาตกรเป็นหนึ่งในสตรีกลุ่มนี้
และเรื่องนี้นายอำเภอเวิงก็ได้รายงานต่อถังฟั่นอย่างละเอียดแล้ว สาเหตุที่ถังฟั่นเรียกคนมาซักถามอีกรอบอย่างไม่รู้หน่ายก็เพียงเพราะว่าบนตัวพวกนางมีสิ่งที่สอดคล้องกับความสงสัยของตน
แต่นายอำเภอเวิงไม่กระจ่างในเจตนา เพียงเข้าใจว่าถังฟั่นมิใคร่เชื่อถือในงานที่เขาทำไป จวบจนทั้งสามออกจากคฤหาสน์สกุลเหวย เขาจึงเอ่ยถามถังฟั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ไม่ทราบวิธีการทำงานของผู้น้อยปรากฏความผิดพลาดอันใดหรือไม่ ใต้เท้าโปรดชี้แนะ”
ถังฟั่นไม่ตอบ กลับถาม “เมื่อครู่ตอนข้าสนทนากับเหวยเช่อ ถามเขาว่าเคยได้ยินข่าวลือเรื่องผีอาละวาดในคฤหาสน์สกุลเหวยหรือไม่ พวกท่านได้สังเกตสีหน้าของเขาหรือไม่”
“น่าละอายนัก ผู้น้อยมิได้สังเกต” นายอำเภอเวิงกล่าว
สุยโจวกลับพูดว่า “รวนเร”
ถังฟั่นผงกศีรษะ “มิผิด เขารวนเร แม้เพียงพริบตาสั้นๆ ก็ตาม”
นายอำเภอเวิงฉงนใจ “รวนเรอันใด”
ถังฟั่นหัวเราะ “ข้าเดาว่าเขากำลังรวนเร ไม่รู้ควรตอบพวกเราว่าเคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยินดี” นายอำเภอเวิงยังคงไม่กระจ่าง ถังฟั่นจึงอธิบายเสริม “จากนั้นข้าจึงสอบถามคนอื่นๆ ในสกุลเหวย ดูว่าพวกเขาเคยหรือไม่เคยได้ยินข่าวลือนี้ ปรากฏว่าคนสกุลเหวยล้วนเคยได้ยิน หนำซ้ำพวกเขามิได้เผยพิรุธอันใด มีเพียงสาวใช้กับบ่าวไพร่ที่รู้สึกผวาเพราะเรื่องผีสางอาละวาดเท่านั้นเอง”
นายอำเภอเวิงได้ฟังก็วิเคราะห์ตามแนวคิดสายนี้ “ถ้าเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเหวยเช่อต้องมีเรื่องอันใดปิดบังพวกเราแน่นอน”
“ถูกต้อง และสิ่งที่เขาปิดบังอยู่เป็นไปได้ว่าเกี่ยวข้องกับข่าวลือ”
สุยโจวมาทีหลังหลายวัน กลับเคยได้ยินข่าวลือนี้มาบ้าง พอได้ฟังก็ถามว่า “เหวยเช่อใช่คนอำเภอนี้หรือไม่”
นายอำเภอเวิงครุ่นคิด “คล้ายว่าไม่ใช่ แต่ผู้น้อยก็จำไม่ได้แน่ชัด ยังต้องกลับไปตรวจสอบรอบหนึ่ง”
ถังฟั่นกล่าว “ตรวจสอบโดยด่วน ข้าจะให้องครักษ์เสื้อแพรพร้อมกับคนของท่านไปตรวจยืนยันที่ภูมิลำเนาเดิมของเหวยเช่อ”
นายอำเภอเวิงไม่เข้าใจ “ใต้เท้าสงสัยว่า?”
ถังฟั่นพยักหน้าก่อนแจกแจงให้เขาฟัง “หลายวันนี้ข่าวลือเรื่องที่สกุลเหวยมีภูตผีวิญญาณพยาบาทมาตามเอาชีวิตอาจบางทีเป็นเท็จ แต่ไม่มีมูลย่อมไม่มีข่าวลือ ไม่แน่ว่าจะลือกันอย่างปราศจากสาเหตุ ไม่ว่าทรยศคนรักก็ดี ช่วงชิงทรัพย์สินผู้อื่นก็ช่าง ข่าวลือเหล่านี้ส่วนใหญ่มีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือเคยมีคนตายเพราะเหวยเช่อ บวกกับพิรุธของเหวยเช่อเมื่อครู่นี้ ข้าสงสัยว่าการล้มป่วยของเหวยเช่อมิใช่โดนลมอันใดหรอก แต่ป่วยเพราะได้รับความตกใจสุดขีด!”
นายอำเภอเวิงกระจ่างแล้ว “ความหมายของท่านคือเหวยเช่อกินปูนร้อนท้อง เข้าใจว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง?”
ถังฟั่นกล่าว “ใช่ เรื่องวิญญาณพยาบาทมาตามเอาชีวิตคงไม่จริง แต่ทายาทตามล้างแค้นกลับเป็นไปได้ เหวยเช่อไม่ใช่คนท้องที่และย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีมาแล้ว ลองสืบจากภูมิลำเนาเดิมของเหวยเช่อก่อน จากนั้นยังต้องไปบ้านเดิมของเหวยเช่อ ตรวจสอบว่าข่าวลือหลายกระแสนั้นเป็นจริงหรือเท็จ”
นายอำเภอเวิงเอ่ยน้ำเสียงเลื่อมใส “ก่อนหน้านี้ผู้น้อยมิได้วิเคราะห์จากข่าวลือ รู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องเหลวไหล คิดไม่ถึงกลับทำให้ใต้เท้าค้นพบเบาะแสได้!”
ถังฟั่นหัวเราะฮาๆ “ท่านก็ไม่ต้องรีบร้อนชมข้า หากวันนี้ไม่ได้มาคฤหาสน์สกุลเหวยเที่ยวหนึ่ง ข้าคงคิดว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นชาวบ้านร้านตลาดเสกสรรปั้นแต่งออกมา มิได้ฉลาดไปกว่าท่านนักหรอก!”
ไม่ว่าอย่างไรเมื่อมีเงื่อนงำนายอำเภอเวิงพลันคึกคักอักโข หลังล่ำลาถังฟั่นและสุยโจวก็เร่งเดินทางกลับที่ว่าการอำเภอ ไปสั่งผู้ใต้บัญชาจัดการเรื่องนี้
คล้อยหลังนายอำเภอเวิง สุยโจวกวักมือเรียกถังฟั่นที่อยู่ห่างไปหลายก้าว
ถังฟั่นไม่เข้าใจความหมาย จึงสืบเท้าไปหา กลับได้ยินสุยโจวกล่าว “เหมาเหมา คืนนี้อยากกินอะไร”
ใต้เท้าถังหน้าง้ำทันใด ไหนเลยยังเหลือทีท่าช่างจำนรรจาเช่นครู่ก่อน “โธ่เอ๋ย ท่านป๋อสุยของข้า ท่านไม่เรียกขานชื่อนี้ได้หรือไม่ ผู้อื่นได้ยินเข้าจะไม่ดี เกิดเรียกติดปากจนเข้าหูอาตง แม่สาวน้อยคนนั้นมิล้อมหน้าล้อมหลังเรียกข้าว่าพี่เหมาเหมาทั้งวันหรอกหรือ”
สุยโจวปั้นหน้าเฉยชา ผู้ใดก็หมดปัญญาหยั่งรู้ความคิดในใจเขา “ดังนั้นข้าจึงกวักมือเรียกเจ้ามาใกล้ๆ เลี่ยงมิให้ผู้อื่นได้ยิน”
ถังฟั่นบ่นงึมงำ “…แต่ท่านไม่เรียกก็ได้นี่!”
สุยโจวคล้ายไม่ได้ยินว่าเขากล่าวอันใด “ปีกไก่น้ำแดง ปลาหลูนึ่งซีอิ๊ว หรือหมูชุบแป้งนึ่ง?”
ถังฟั่นฉีกยิ้มกว้างทันใด “ล้วนเอา! เอาหมดเลย!”
“เหมาเหมา?” สุยโจวเรียกอีก
“เฮ้อ!” ถังฟั่นยอมจำนนแล้ว
* เทศกาลชีซี หรือเทศกาลแห่งความรักของจีน ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ตามจันทรคติจีน มีต้นกำเนิดจากตำนานนางฟ้าองค์ที่เจ็ดซึ่งมีความสามารถในการทอผ้าลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ และได้พบรักกับหนุ่มเลี้ยงวัว ทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันบนโลกมนุษย์ เมื่อสวรรค์ล่วงรู้เข้าจึงจับตัวสาวทอผ้ากลับไป หนุ่มเลี้ยงวัวพยายามจะตามไปหาสาวทอผ้าบนสวรรค์ แต่เจ้าแม่หวังหมู่ใช้ปิ่นทองกรีดลงบนท้องฟ้ากลายเป็นทางช้างเผือกกั้นไม่ให้หนุ่มเลี้ยงวัวตามขึ้นมาได้ เหล่านกกางเขนเห็นใจในความรักของทั้งสอง จึงบินมาต่อตัวกันเป็นสะพานให้หนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้าได้พบกันบนทางช้างเผือกทุกวันที่ 7 เดือน 7 ของทุกปี ชาวจีนจะเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ และอธิษฐานให้ตนเองมีความเฉลียวฉลาด สมปรารถนาในความรัก
* ขนมถังหลง เป็นขนมที่ทำมาจากน้ำตาลเคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อม แล้วนำมาวาดเป็นรูปร่างต่างๆ
* ผลแตงที่ฝืนเด็ดนั้นไม่หวาน เป็นสำนวนมีที่มาจากการที่ผลแตงซึ่งสุกแล้วจะเด็ดง่าย หากต้องฝืนเด็ดก็แปลว่ายังไม่สุก อุปมาถึงดันทุรังทำไปย่อมไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
* ‘ไม่ร้องก็ตามทำเนา ครั้นร้องผู้คนตกใจ ไม่เหินบินก็ตามทำเนา ครั้นเหินบินยิ่งระฟ้า’ เป็นสำนวนอุปมาถึงคนที่ปกติใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่พิสดาร แต่เมื่อใดที่เคลื่อนไหวขึ้นมาสามารถทำให้ผู้คนตกตะลึงได้
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 4 ฉบับเต็ม
ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop
Comments
comments
No tags for this post.