บทที่ 2
คณะเดินทางขี่ม้าออกนอกด่าน อันที่จริงระยะทางจากต้าถงถึงเวยหนิงไห่จื่อก็ไม่ไกลนัก หากหวดแส้เร่งม้า ไม่เกินครึ่งวันก็ลุถึงได้
วังจื๋อเพียงนำคนชื่อเว่ยเม่ามาด้วย นั่นเป็นคนสนิทข้างกายอีกคนนอกจากติงหรง
เว่ยเม่าคนนี้พวกถังฟั่นเคยเจอแล้ว หลายปีก่อนตอนพวกเขาไปสืบเรื่องพรรคหนานเฉิง สืบถึงหอคณิกาแห่งหนึ่ง ครานั้นเว่ยเม่าที่เป็นนายกองพันคุมทัณฑ์ของสำนักประจิม ทันทีที่ลงมือก็สยบพวกแม่เล้าและบ่าวชายในหอคณิกาได้ราบคาบ จากนั้นวังจื๋อรุดมาต้าถงจึงพาเว่ยเม่ามาด้วย
คนผู้นี้ใจเหี้ยมมือโหด ต่อวังจื๋อก็ซื่อสัตย์ภักดี จึงได้เป็นแขนซ้ายขวาของวังจื๋อ แน่นอนหลังเรื่องของติงหรง เวลานี้วังกงกงรักษาระยะห่างจากคนข้างกายมากขึ้น ไม่ว่ากับใครล้วนไม่กล้าเชื่อถือหมดใจอีก ดังสำนวน ‘โดนงูกัดหนึ่งวัน กลัวเชือกไปสิบปี’*
สุยโจวกลับพาองครักษ์เสื้อแพรสองคนที่ชื่อเหวยซานกับหลูเหยี่ยนติดตามมา นอกนั้นยังมีถังฟั่น ตู้กุยเอ๋อร์ เสิ่นกุ้ย เมิ่งฉุน และพลทหารนายหนึ่ง รวมทั้งนักพรตชูอวิ๋นจื่อ
บังเอิญที่เมิ่งฉุนก็เป็นหนึ่งในทหารเจ็ดนายที่รอดชีวิตจากคราวก่อน และยังมีตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มนั้นอีกด้วย
ถังฟั่นถึงกับผงะเมื่อเห็นเมิ่งฉุน กลับเป็นเมิ่งฉุนที่ยิ้มแห้งๆ ทักทายเขา “ใต้เท้าถัง ใต้เท้าสุย พวกเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ”
นอกจากเขาแล้ววังจื๋อยังนำพลทหารอีกนายหนึ่งติดตามมาด้วย ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเจ็ดคนที่รอดชีวิตมาได้เช่นกัน
ถังฟั่นเหลียวมองวังจื๋อ “ไยท่านไม่บอกว่าเป็นเขา”
วังจื๋อพูดเต็มปากเต็มคำ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเขา”
ถังฟั่นถลึงตาใส่วังจื๋ออย่างหมดวาจา เห็นพลทหารอีกนายทำหน้าลุกลนจึงหยอกเชิงปลอบว่า “ไม่ต้องวิตก ในเมื่อหนก่อนปลอดภัยกลับมาได้ หนนี้ก็เช่นกัน จะอย่างไรที่นี่ยังมีคนที่ตำแหน่งสูงกว่าเจ้าอีกหลายคน หากเกิดเรื่องอันใดก็มิใช่เจ้าคนเดียว เจ้านับว่าไม่ขาดทุน!”
แทนที่พลทหารนายนั้นจะสบายใจขึ้นเพราะคำปลอบโยนของเขา ตรงข้ามกลับยิ่งผวากว่าเดิม “ใต้เท้า ที่นั่นมีอาถรรพ์จริงๆ หนก่อนพวกเราสามารถกลับมาได้ยังต้องขอบคุณขุนพลเมิ่งที่สั่งถอนกำลังได้ทันการณ์ ทว่าหนนี้กลับไม่กล้ารับรองแล้ว!”
เมิ่งฉุนด่ายิ้มๆ “พอทีเถอะ อย่าพูดจาบั่นทอนกำลังใจ ข้ายังมิได้แต่งภรรยาด้วยซ้ำ เจ้าชั่วดีก็มีบุตรแล้ว พวกเราเป็นทหารย่อมต้องปฏิบัติตามคำสั่ง อย่าทำท่าเหมือนสตรีไปหน่อยเลย จากปลอดเคราะห์จะกลายเป็นมีเคราะห์เพราะคำพูดของเจ้าเสียแทน”
ทหารนายนั้นพอโดนด่าก็เกาศีรษะ พลอยหัวเราะฮิฮะไปด้วย และไม่พูดจาบั่นทอนกำลังใจอีก
หลายวันก่อนเมิ่งฉุนโดนหีบยาของตู้กุยเอ๋อร์หล่นทับเท้า หมอวินิจฉัยว่ากระดูกร้าว หลังพักรักษาตัวอยู่หลายวัน ยามนี้ไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงอีกแล้ว อีกทั้งการเดินทางครานี้ทุกคนล้วนขี่ม้า จึงไม่ส่งผลกระทบมากนัก
เสิ่นกุ้ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง จนบัดนี้เขายังปั้นหน้าอมทุกข์ราวบุพการีวายชนม์ สุดแสนจะไม่เต็มอกเต็มใจ
ความจริงชูอวิ๋นจื่อก็มิใคร่อยากร่วมทางด้วยนัก ทว่าก่อนหน้านี้เขาวางมาดประหนึ่งผู้ทรงภูมิ หากไม่ยินดีมา เกรงว่ารั้งอยู่ในเมืองต้าถงเผชิญหน้ากับหวังเยวี่ยก็คงไม่มีดอกผลอันใดให้กิน ดังนั้นทันทีที่วังจื๋อบอก เขานิ่งคิดเล็กน้อยก็รับปาก ยังพกพาข้าวของกองใหญ่จำพวกสร้อยประคำยันต์กระดาษ…
รวมทั้งเลือดหมาดำอีกหนึ่งไหเล็ก
ในบรรดาคนทั้งหมดบ้างถูกบังคับมา บ้างคิดว่าตนควรต้องมา ยกเว้นหนึ่งเดียวที่เป็นฝ่ายขอตามมา…ตู้กุยเอ๋อร์
เด็กสาวทั่วไปที่อายุเท่านี้และทางบ้านมีฐานะมั่นคง โดยปกติมักอยู่กับเหย้าอย่างสุขสบายรอการออกเรือน แต่ตู้กุยเอ๋อร์ไม่เพียงแค่เผยหน้าเผยตาช่วยบิดาดำเนินกิจการ ยังเคยพาคนออกนอกด่านเก็บสมุนไพร ซ้ำไปไกลถึงเชิงเขาหมานฮั่น ถึงแม้อยู่แถบชายแดน ขนบจารีตย่อหย่อนกว่าแถบเจียงหนานมากนัก ทว่าสตรีลักษณะเช่นนางยังคงยากพบเห็น
ประการแรก ตู้กุยเอ๋อร์เคยมาที่นี่ รู้จักทาง รวมเข้ากับเสิ่นกุ้ย เมิ่งฉุน และทหารใต้บัญชาเป็นสี่คน ถึงเวลานั้นช่วยกันระบุทิศทาง สามารถยืนยันซึ่งกันและกัน ลดโอกาสที่อาจจะหลงทางได้
อีกประการ สุยโจวมิได้เชื่อถือแม่นางผู้นี้สักเท่าใด มักรู้สึกว่าร้านยาจ้งจิ่งมีความเกี่ยวพันกับคดีนี้ แม้จะปราศจากหลักฐาน แต่ตู้กุยเอ๋อร์ก็ยังน่าสงสัยไม่น้อย ดังนั้นแทนที่จะให้นางรั้งอยู่ในที่ซึ่งตนมองไม่เห็น มิสู้วางไว้ข้างตัวสะดวกแก่การจับตา
ทว่าความคิดเช่นนี้ในสายตาคนรอบข้างย่อมมีคำอธิบายที่ต่างออกไป
อย่างเช่นเมิ่งฉุนและวังจื๋อเป็นต้น ต่างรู้สึกว่าสุยโจวต้องมีใจให้ตู้กุยเอ๋อร์ไม่มากก็น้อย
กลับเข้าประเด็น…ทั้งหมดออกจากด่านมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมแสงแดดเป็นใจ แม้แต่ทิวเขาสลับซ้อนก็กลายเป็นทิวทัศน์อันตระการตา
เพียงแต่ทุกคนล้วนมีเรื่องในใจจึงไม่ว่างไปชื่นชม ได้แต่บังคับม้าขึ้นหน้า แม้ไม่ถึงกับห้อตะบึง แต่ก็มิได้เอื่อยช้า
จวบจนใกล้ถึงเวยหนิงไห่จื่อ เหวยซานซึ่งสำรวจเส้นทางอยู่เบื้องหน้าทำสัญญาณมือคราหนึ่ง ทุกคนจึงชะลอเล็กน้อย
กลับเห็นเหวยซานควบม้ากลับมารายงาน “ทะเลสาบอยู่ข้างหน้านี่เอง ไม่มีสิ่งผิดปกติอันใด”
จริงดังว่า ชั่วหนึ่งก้านธูปผ่านไป ทะเลสาบอันกว้างใหญ่ราวมหาสมุทรก็ปรากฏในครรลองสายตาของทุกคน
เขตพื้นที่ต้าถงยากจะพบเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ปานนี้ แม้ตระหนักแก่ใจว่ามันเป็นแค่ทะเลสาบแห่งหนึ่ง หากเมื่อทอดตาดูทุกคนยังคงอดจะอุทานในใจมิได้ มิน่าปีนั้นชาวมองโกลจึงตั้งชื่อมันว่าไห่จื่อ* สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นทะเลแล้ว นี่ก็คือทะเลในจินตนาการของพวกเขา
ใต้แสงตะวันส่อง ผิวน้ำทอประกายวิบวับ นกน้ำหลายตัวโฉบผ่าน ก่อนตกใจเสียงเกือกม้าของพวกถังฟั่นจนกระพือปีกหนีไป
เขางามน้ำสวย ทิวหญ้าเขียวขจี บริเวณนี้เงียบสงัดจนเพียงพอทำให้จิตวิญญาณผู้คนพลอยสงบ
ทว่าขณะเดียวกันก็ลวงตาจนอาจประมาทได้โดยง่าย
วังจื๋อถามเมิ่งฉุน “คราวก่อนพวกเจ้าเจอพายุทรายที่ใด”
เมิ่งฉุนชี้ไปทางริมทะเลสาบด้านหน้าไม่ไกล “ตรงนั้นขอรับ เดิมทีพวกเราควรอ้อมไปรุกไล่พวกต๋าต๋า จู่ๆ เกิดพายุทรายขึ้นมา ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นหม่นดำฉับพลัน ยังปะปนเสียงหอกดาบจำนวนมากดังสนั่นหวั่นไหว”
ความจริงเหตุการณ์นั้นทุกคนล้วนเคยฟังจากปากเมิ่งฉุนและพลทหารนายนั้นหลายครั้งแล้ว ทว่าบัดนี้มาถึงที่นี่ด้วยตนเองยังคงไม่รู้สึกถึงสภาพเช่นที่พวกเขาบอกเล่า เห็นชัดว่ามีแต่แผ่นฟ้าไพศาล แสงแดดแจ่มจ้า โดยรอบสี่ทิศล้วนเวิ้งว้างว่างเปล่า
แน่นอนว่าทิศเหนือของทะเลสาบยังมียอดเขา แต่นั่นห่างจากจุดนี้เป็นระยะทางหนึ่ง หากมีคนบุกโจมตีจากด้านนั้น พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลให้มองไม่เห็น
เสิ่นกุ้ยเอ่ยด้วยสุ้มเสียงตื่นกลัว “นักพรตหลี่เคยบอกข้าว่าเขาแค่ร่ายคาถาจากวังของพวกต๋าต๋าก็สามารถปราบอริซึ่งอยู่ไกลออกไปพันลี้ เข่นฆ่าทหารต้าหมิงไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียวได้ ตอนนั้นข้าไม่เชื่อ แต่ต่อมาได้ยินว่าเกิดเรื่องประหลาดกับทหารต้าหมิงติดต่อกัน ข้าถึงได้เชื่อ”
วังจื๋อขมวดคิ้ว “เจ้ามิใช่บอกว่าเขาอาจวางค่ายกลหรอกหรือ”
เสิ่นกุ้ยเกรงกลัวดาวพิฆาตเช่นวังจื๋อยิ่งนัก ตนตกถึงกำมืออีกฝ่ายพลันโดนทารุณขนานใหญ่ บันดาลให้คิดว่าแทนที่จะถูกวังจื๋อทารุณต่อไป มิสู้ตนทำคุณไถ่โทษเป็นฝ่ายเสนอนำทางให้เองดีกว่า อย่างน้อยยังสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้ เขาไม่คิดลิ้มลองรสชาติอยู่มิสู้ตายเช่นนั้นอีกแล้ว
ขณะอยู่ในมือเว่ยเม่านายกองพันคุมทัณฑ์สำนักประจิม เสิ่นกุ้ยถึงทราบว่าโลกนี้มีวิธีลงทัณฑ์มากมายที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ บนร่างกาย แต่ยังคงสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสจนอยากจะหลุดพ้นให้ได้ใจจะขาด
เปรียบเทียบกันเขาก็รู้สึกว่าสารพัดวิธีการอันน่ามหัศจรรย์ของหลี่จื่อหลงกลับไม่ชวนให้ผู้คนหวาดกลัวปานนั้นอีกแล้ว
เสิ่นกุ้ยได้ยินก็รีบตอบ “ใช่ขอรับ ตอนนั้นข้าเชื่อจริงๆ แต่ต่อมาข้าบังเอิญได้ยินว่าเพื่อวางค่ายกลจัดการทัพต้าหมิง นักพรตหลี่ได้ยกย้ายของวิเศษหลายชิ้นมาจากเชิงเขาหมานฮั่นโดยเฉพาะ จึงสยบทัพต้าหมิงไว้ได้โดยพลัน ส่วนของวิเศษที่ว่านั้นคืออะไรข้าก็ไม่ทราบ แต่คำว่าค่ายกลข้าจำได้แม่น คราวก่อนก็เคยบอกท่านแล้ว ไม่มีเท็จแม้ครึ่งคำ”
“เช่นนั้นของวิเศษเล่า”
ใช่ว่าวังจื๋อจะไม่เชื่อวาจาของเสิ่นกุ้ย ด้วยวิธีกำราบของสำนักประจิม แม้แต่คนใบ้ยังสามารถเปิดปากได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าที่ร่ำรวยมหาศาลอย่างเสิ่นกุ้ย เพียงแต่วาจาของเสิ่นกุ้ยออกจะเหลวไหลเกินไป ทำให้ยากแก่การเชื่อถือ
เสิ่นกุ้ยกวาดมองสี่ทิศล้วนเป็นผิวทะเลสาบอันไพศาล ไหนเลยมีก้อนหินยักษ์สะดุดตาอันใด จึงอดหน้าละห้อยมิได้ “นี่ข้าก็ไม่ทราบ ข้าฟังจากคนของลัทธิบัวขาว ความหมายคล้ายว่าของวิเศษอยู่แถวๆ ริมทะเลสาบ พอเจอพายุทรายค่ายกลถึงเริ่มทำงาน จากนั้นจะมีพันพลหมื่นม้าปรากฏ…”
ตัวเขาเองก็กล่าวได้ไม่แน่ชัด คอยชำเลืองวังจื๋ออย่างขลาดๆ กลัวๆ เกรงจะยั่วโทสะอีกฝ่าย
แน่นอนที่เขาผวายังมีเว่ยเม่าซึ่งนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังตนเองอีกคน เพราะการทารุณกรรมที่เขาประสบมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเจ้าคนนี้ลงมือทั้งสิ้น
ทำอย่างไรได้ วังจื๋อไม่ไว้ใจเสิ่นกุ้ย จึงให้เว่ยเม่าจับตาระยะประชิดเช่นนี้ ไม่ยอมให้เสิ่นกุ้ยขี่ม้าตามลำพังเด็ดขาด
ขณะพวกเขาสนทนา ถังฟั่นและชูอวิ๋นจื่อได้บังคับม้าขึ้นหน้า ตะบึงไกลออกไปสิบกว่าจั้ง* ตามทิศทางที่เมิ่งฉุนบอก ทุกคนเพียงเห็นรางๆ คล้ายพวกเขากำลังพูดคุยอันใด ไม่นานนักก็หันหัวม้าควบกลับมา
ชูอวิ๋นจื่อกล่าวว่า “จากที่ขุนพลเมิ่งกับนายท่านเสิ่นพูดมา อาตมากับใต้เท้าถังได้ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่อาจมั่นใจได้ ต้องรอกระทั่งอ้อมผ่านทะเลสาบไปถึงเชิงเขาหมานฮั่นก่อนค่อยว่ากันอีกที”
ถังฟั่นเอ่ย “ตอนนี้บอกต่อทุกคนก็ไม่เป็นไร”
ชูอวิ๋นจื่อจึงกล่าวต่อ “อาตมาไม่เคยมาที่นี่ ได้ยินว่าละแวกเวยหนิงไห่จื่อมีพายุทรายบ่อยๆ?”
ผู้ตอบคำถามเขาคือตู้กุยเอ๋อร์ นางอยู่แถบชายแดนมาตั้งแต่เล็ก ย่อมมีสิทธิ์เปล่งวาจามากกว่าใคร “มิใช่บ่อยๆ ปกติจะปรากฏในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิกับช่วงย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ฟังผู้ใหญ่ในบ้านบอกว่าบางครั้งกระโชกแรงมาก สามารถทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้ แต่พายุทรายลักษณะนั้นไม่ค่อยปรากฏ ปกติเป็นเพียงพายุทรายธรรมดา”
ชูอวิ๋นจื่อผงกศีรษะ “ไม่ทราบทุกท่านเคยได้ยินคำว่าภูตทหารผ่านทางหรือไม่”
พอได้ยินคำเรียกที่แปลกพิลึกเช่นนี้ ทุกคนต่างมองหน้าเลิ่กลั่ก
ภูตทหารย่อมเคยได้ยินแน่ เห็นคำก็รู้ความหมาย นั่นก็คือนักรบเมืองผีที่รุดมาคุมวิญญาณของคนที่สิ้นอายุขัยไปยังแดนยมบาล
ทว่าภูตทหารผ่านทางคำนี้ฟังแล้วพิลึกกึกกือยิ่งนัก
“อะไรคือภูตทหารผ่านทาง” วังจื๋อถาม
เห็นทุกคนงุนงง ชูอวิ๋นจื่อก็มิได้อมพะนำ พลันแก้ข้อสงสัย “ในอดีตอาตมาเคยทัศนาจรทั่วทิศ ผ่านพื้นที่ชานเมืองของเมืองเป่าอัน เคยเห็นที่นั่นมีหุบเขาแห่งหนึ่ง ร้างไร้ผู้คนชัดๆ กลับได้ยินเสียงพันพลหมื่นม้าเป็นระยะ คนแถบนั้นล้วนพูดว่าเมื่ออดีตกาลนานนม จักรพรรดิหวงตี้** เคยเปิดศึกกับเทพสงครามชือโหยวในบริเวณนั้น วิญญาณนักรบที่พลีชีพยังวนเวียนไม่ไปที่ใด หากได้ยินเสียงเกราะทหารม้าแล้วยังฝืนเข้าป่าก็จะมีแต่ไปไร้กลับ มีแต่ตายไร้รอด”
บนโลกนี้มีเรื่องพิสดารร้อยแปด ทุกคนไหนเลยจะเคยได้ยินว่ามีเรื่องเช่นนี้ สุยโจว วังจื๋อ และคนอื่นๆ นั้นช่างเถอะ แต่พวกเมิ่งฉุนและตู้กุยเอ๋อร์แต่ละคนล้วนปั้นหน้าตื่นสะพรึง
ชูอวิ๋นจื่อกล่าวอีกว่า “นับแต่มาถึงต้าถง หลังได้ฟังเรื่องทหารหายตัวไป อาตมาก็ขบคิดคาดเดามาตลอด เพียงแต่สถานการณ์ของทหารต้าหมิงไม่เหมือนกับที่อาตมาเคยพบเห็น ที่นี่ปราศจากหุบเขา และไม่มีสมรภูมิโบราณ ดังนั้นจึงมิได้เปิดเผยการสันนิษฐานของตนออกไป จนกระทั่งเมื่อครู่ได้ฟังใต้เท้าถังกล่าวว่าในอดีตเขาหมานฮั่นเคยเป็นพื้นที่ของอาณาจักรจิน*…”
เขามองถังฟั่นแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังจึงกล่าวเสริมขึ้นว่า “เผ่ามองโกลบุกใต้ กลืนกินอาณาจักรจิน ตอนนั้นสองฝ่ายเคยเปิดศึกครั้งหนึ่งในเมืองเฟิง บาดเจ็บล้มตายมหาศาล อาณาจักรจินปราชัยย่อยยับ กลุ่มอำนาจถอยร่นลงใต้ หากทายไม่ผิด สมรภูมิรบน่าจะอยู่ในละแวกเขาหมานฮั่น”
ชูอวิ๋นจื่อกล่าวต่อ “หากเป็นเช่นนี้ก็นับว่าถูกต้องแล้ว”
วังจื๋อฟังจบกลับไม่เชื่อ “เหลวไหลเลอะเทอะ วิญญาณอะไรกัน นี่กลางวันแสกๆ ท้องฟ้าแจ่มใส วิญญาณพยาบาทไหนเลยออกมาอาละวาดได้ อีกอย่างเวรมีเจ้าเวร หนี้มีเจ้าหนี้ หากมีวิญญาณทหารจริงก็ควรเล่นงานพวกต๋าต๋าถึงจะถูก พวกมันต่างหากที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวมองโกล!”
ถังฟั่นเห็นพวกเสิ่นกุ้ยกับตู้กุยเอ๋อร์เผยสีหน้าหวาดผวา อดหัวเราะมิได้ “พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ที่ข้าจะพูดมิได้หมายถึงเรื่องนั้น หลี่จื่อหลงก็แค่นักพรตนอกรีต ไหนเลยจะเสกคาถาเรียกวิญญาณได้ เมื่อครู่เสิ่นกุ้ยก็บอกแล้ว เขาได้ยินคนของลัทธิบัวขาวพูดถึงค่ายกล เห็นได้ว่า ‘ภูตทหารผ่านทาง’ ต้องเกี่ยวพันกับค่ายกลอะไรแน่ คำพูดของนักพรตชูอวิ๋นจื่อเพียงรวมเอาคำพูดสองฝ่ายเข้าด้วยกันพอดีเท่านั้นเอง ที่พวกเราเผยข้อสันนิษฐานเหล่านี้ให้ฟังมิได้ต้องการให้ทุกคนหวาดกลัว แต่หวังว่าพวกท่านจะเข้าใจมากขึ้น เพราะยิ่งรู้มากก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อการเดินทางในครั้งนี้”
เขาอธิบายอย่างใจเย็นด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ความจริงเมื่อครู่ข้ากับนักพรตชูอวิ๋นจื่อสามารถเรียกพวกวังกงกงไปอีกทางหนึ่ง บอกเล่าให้รู้กันเพียงไม่กี่คน แต่ในเมื่อพวกเรามายืนอยู่ที่นี่แล้ว ทุกคนก็คือผู้ร่วมเป็นร่วมตาย ข้าไม่อยากปิดบังอะไรก็ตามที่จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายในหมู่พวกเรา ดังนั้นจึงเปิดเผยข้อสันนิษฐานเหล่านี้ด้วยความจริงใจ หากประสบกับภูตทหารผ่านทางอย่างที่นักพรตชูอวิ๋นจื่อกล่าวจริง ทุกคนไม่ต้องแตกตื่นตกใจ หลายปีนี้สาวกลัทธิบัวขาวตายในมือพวกเราไปไม่น้อย และในจำนวนนั้นก็คือสานุศิษย์ที่เคยร่ำเรียนกับหลี่จื่อหลง แต่ทุกวันนี้คนเหล่านั้นได้มอดมลายกลายเป็นเถ้าไปแล้ว ครานี้ก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน”
ตามความคิดของวังจื๋อ เขาไม่เห็นด้วยที่จะบอกเรื่องสำคัญเช่นนี้กับทุกคน แต่ถังฟั่นพูดจนหมดแล้ว เขาอยากยับยั้งก็สายเกิน
ทว่าเมื่อถังฟั่นเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา สีหน้าของทุกคนกลับค่อยๆ ผ่อนคลาย คล้ายไม่หวั่นผวาเช่นก่อนหน้านี้อีก
ในใจส่วนลึกของวังจื๋อดูแคลนพวกตู้กุยเอ๋อร์ คิดว่าคนพวกนี้ไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากเป็นคนนำทาง เรื่องที่สำคัญมากจึงไม่อาจให้พวกเขาล่วงรู้ แต่ถังฟั่นกลับไม่คิดเช่นนั้น
บางครั้งการปิดบังไม่เพียงไม่อาจลดความหวาดกลัว ตรงข้ามกลับจะทำให้อาการหวาดกลัวยิ่งลุกลาม ในเมื่อทุกคนถูกกำหนดให้ร่วมผจญภัย มิสู้เปิดเผยทุกสิ่ง เทียบกับการซ่อนเร้นแล้วนี่ลดความหวาดระแวงของพวกเขาได้มากกว่า
หลี่จื่อหลงที่อาศัยชัยภูมิของสนามรบโบราณมาเป็นค่ายกลหยุดยั้งทัพต้าหมิงย่อมต่อกรได้ง่ายกว่าหลี่จื่อหลงที่สามารถเสกคาถากวักวิญญาณได้มากนัก
คำพูดของถังฟั่นบังเกิดผลแท้จริง อย่างน้อยทุกคนก็เริ่มครุ่นคิดไปในทางที่จะทำลายค่ายกล แม้แต่ทหารที่มากับเมิ่งฉุนนายนั้นก็มิได้ทำท่าอกสั่นขวัญผวาอีก
ผลลัพธ์จากคำพูดเหล่านี้สามารถดำรงอยู่ได้นานเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาใช้เวลานานเท่าไรในการเสาะหาที่ตั้งของค่ายกลนั้น
แต่ที่น่าผิดหวังก็คือภูตทหารผ่านทางที่กล่าวถึงกลับมิได้ปรากฏซ้ำ ยิ่งไม่พบเห็นค่ายกลแม้แต่เงา หากมิใช่เพราะคำพูดของชูอวิ๋นจื่อกับถังฟั่น วังจื๋อคงคิดว่าเสิ่นกุ้ยกำลังหลอกพวกเขาเล่นเป็นแน่
ในใจทุกคนล้วนเขม็งตึง พวกเขาเตรียมใจสำหรับการเห็นภาพสยองขวัญไว้แต่แรกแล้ว ทว่าทุกสิ่งล้วนสงบเงียบเหนือคาด ใดๆ ล้วนมิได้เกิดขึ้น เวยหนิงไห่จื่อยังคงสภาพเฉกเช่นร้อยวันพันปีที่เคยเป็น มิได้แปรเปลี่ยนเพราะการมาถึงของพวกถังฟั่นแต่อย่างใด
จากเวยหนิงไห่จื่อมุ่งขึ้นเหนือ ลักษณะพื้นที่เริ่มเล็กแคบ หากขึ้นหน้าต่อไปอีกก็จำเป็นต้องผ่านหุบเขาแห่งหนึ่ง และทิวเขาที่ทอดยาวทางซ้ายมือก็คือเขาหมานฮั่น
ขณะทุกคนมาถึงเชิงเขาหมานฮั่น ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิทแล้ว หนทางเบื้องหน้าถูกความมืดมิดปกคลุม หากยังฝืนไปต่อจะเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกถังฟั่นจึงปักหลักตรงทิศเหนือข้างทะเลสาบ เตรียมพักผ่อนนอนหลับ รุ่งอรุณวันพรุ่งนี้ค่อยไปสำรวจดูที่เชิงเขา
เมิ่งฉุนและพวกเหวยซานก่อกองไฟตั้งกระโจมที่ริมทะเลสาบ ตู้กุยเอ๋อร์ก็ช่วยด้วยอีกแรง ถังฟั่นกลับมิได้วางมาดขุนนางบุ๋นอันใด แต่หลังจากที่เขารื้อข้าวของจนยุ่งเหยิงก็ถูจมูกไปยืนหลบอยู่ทางหนึ่งอย่างรู้ตัว เลี่ยงมิให้เกะกะคนอื่นๆ
เขาว่างจัดจึงเดินเตร่ไปรอบๆ เห็นสุยโจวกับวังจื๋อนั่งขัดเช็ดดาบอยู่ริมน้ำจึงเดินไปหา จ้องมองดาบปักวสันต์ในมือวังจื๋อด้วยความใคร่รู้
“ท่านมิใช่องครักษ์เสื้อแพร ไยใช้ดาบปักวสันต์”
“เจ้าเคยได้ยินประวัติของดาบปักวสันต์หรือไม่” วังจื๋อไม่ตอบกลับถาม
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “นี่จะทดสอบข้าหรือ ว่ากันว่าคำว่า ‘ปักวสันต์’ เป็นจักรพรรดิหงอู่ทรงกำหนดขึ้น มีที่มาจาก ‘แต่งชุดปักยืนใต้ฟ้าคราวสันต์ แต่งชุดลายพลันกระหวัดถิ่นบ้านเกิด’* ความหมายแฝงเกี่ยวพันกับองครักษ์เสื้อแพรและโอรสสวรรค์ ทว่าจริงหรือเท็จ ยุคสมัยไกลโพ้น ยากจะพิสูจน์แล้ว”
อันที่จริงปฐมกษัตริย์เป็นคนที่ไม่ค่อยรู้หนังสือ แม้แต่สี่ตำราห้าคัมภีร์** เกรงว่าก็คงอ่านไม่จบ ไหนเลยจะใช้วจนะโบราณมาตั้งชื่ออันใดได้ แปดส่วนต้องเป็นคำอธิบายแบบข้างๆ คูๆ ของคนรุ่นหลัง ด้วยนิสัยของปฐมกษัตริย์ก็ไม่ค่อยน่าเป็นไปได้ที่จะตั้งชื่อลักษณะนี้
ตามความเห็นของถังฟั่น ชื่อนี้อาจเป็นหลิวป๋อเวินหรือซ่งเหลียน* ตั้งขึ้นมากกว่า
วังจื๋อกลับส่ายหน้า “ข้ามิได้ถามถึงประวัติของชื่อดาบ ที่ข้าถามคือประวัติของดาบ”
“นี่ข้าก็ตอบไม่ถูกแล้ว วังกงกงโปรดชี้แนะ”
วังจื๋อปรายตามองสุยโจวแวบหนึ่ง “เขาไม่รู้ เจ้าน่าจะรู้กระมัง”
สุยโจวเปล่งออกมาสองคำเนิบๆ “ดาบถัง”**
วังจื๋อกล่าวน้ำเสียงภาคภูมิ “นับว่าเจ้ายังมีความรู้อยู่บ้าง”
สุยโจวคร้านจะถือสาเขา จึงก้มหน้าเช็ดดาบต่อไป
วังจื๋อกล่าวว่า “ดาบปักวสันต์ดัดแปลงมาจากดาบถัง ทว่าเบากว่าดาบถังมากนัก โดยเน้นที่สามารถผ่า ฟัน และแทงได้ และจะใช้มือเดียวหรือสองมือก็ได้ มีดาบปักวสันต์เล่มหนึ่งในมือก็มิต้องครั่นคร้ามสิ่งใด”
เห็นเขาเทิดทูนดาบปักวสันต์ปานนี้ ถังฟั่นจึงยิ้มกล่าว “เดิมข้าคิดว่าท่านใช้กระบี่ ไม่ก็กระบี่อ่อน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดาบ”
แม้ภายนอกวังกงกงจะดูอ่อนช้อย แต่จิตใจกลับแข็งแกร่งสุดเปรียบ ขันทีส่วนมากยินดีอยู่ในวังแก่งแย่งชิงเด่น เขากลับยินดีมาไกลถึงนอกด่าน เฉพาะแค่ความคิดเช่นนี้ก็ถือว่าสูงส่งองอาจมากแล้ว มิน่าจึงชื่นชอบดาบปักวสันต์ที่เต็มเปี่ยมด้วยรังสีสังหาร
วังจื๋อหัวเราะหึๆ “กระบี่มีไว้สำหรับวิญญูชน ข้าเป็นเพียงสถุลชน ย่อมต้องใช้ดาบ!”
เขายอมรับว่าตนเองเป็นสถุลชนก็แล้วไปเถอะ แต่คล้ายจะลากสุยโจวลงน้ำด้วย ความหมายในคำพูดนี้มิใช่หมายถึงผู้ใช้ดาบทุกคนล้วนเป็นสถุลชนหรอกหรือ
ถังฟั่นอยากหัวเราะทั้งน้ำตา
ดีที่สุยโจวมิใช่คนชอบลับฝีปาก ไม่เช่นนั้นสองคนวาจาไม่รื่นหูคงได้ต่อยตีนานแล้ว ไหนเลยจะได้สงบสุขแม้ชั่วครู่
ยามนั้นท่านป๋อสุยได้ฟังวาจาของวังจื๋อก็เพียงมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนเงียบงันต่อไป
ท่าที ‘คร้านจะสนทนากับท่าน รำคาญจะลับฝีปากกับท่าน’ เช่นนี้ทำให้วังจื๋อรู้สึกหมดสนุก จึงเบ้ปาก ลุกขึ้นตบฝุ่นตามตัว เอ่ยทิ้งท้ายคำพูดหนึ่งให้ถังฟั่น “เจ้าทนคนพรรค์นี้ได้อย่างไรกัน” แล้วเดินไปคุยกับเว่ยเม่า
หลังวังจื๋อผละไป สุยโจวเงยศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึม
ถังฟั่นเข้าใจว่าเขาจะคุยเรื่องวังจื๋อ ที่ไหนได้…พออีกฝ่ายเปิดปากกลับเป็น “ตลอดทางสงบเงียบเกินไป เรื่องราวผิดปกติต้องมีสาเหตุ”
“ที่จริงข้าก็ประหลาดใจ หากสมมติว่าที่เชิงเขามีค่ายกลอยู่จริง ค่ายกลนี้จะทำงานภายใต้เงื่อนไขอันใด จากที่เสิ่นกุ้ยและพวกเมิ่งฉุนเล่าเหตุการณ์ ทุกครั้งที่ค่ายกลทำงานฟ้าดินจะเปลี่ยนสี กรวดทรายปลิวคลุ้ง แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหลี่จื่อหลงจะมีอิทธิฤทธิ์ปานนั้น หากมีจริงเขาคงไม่ต้องทำตัวลึกลับซับซ้อน วิ่งมาถึงทะเลทรายสวามิภักดิ์พวกต๋าต๋าหรอก”
ยามทั้งสองพูดคุยตามลำพัง ถังฟั่นสามารถบอกถึงสิ่งที่ตนคาดเดาได้โดยไม่ต้องพะวง และไม่เป็นการทำให้ขวัญทหารสั่นคลอน
สุยโจวพยักหน้า “ข้าก็แปลกใจ เสิ่นกุ้ยบอกแค่เป็นค่ายกล แต่ไม่รู้สักนิดว่าค่ายกลหน้าตาเป็นอย่างไร ส่วนที่พวกเมิ่งฉุนเล่าออกมาก็คลุมเครือเกินไป ยากจะนำมารวมและสรุปได้”
ถังฟั่นแย้มยิ้ม พลันเขยิบใกล้สุยโจว ใช้เสียงที่พอให้ได้ยินกันแค่สองคน “ข้ามีความรู้สึกชนิดหนึ่ง ในคณะเดินทางนี้เป็นไปได้อย่างมากว่ามีสายสอดแนมของลัทธิบัวขาว”
ลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่ายเป่ารดเหนือใบหู ทำให้สุยโจวสยิวเล็กน้อย
ความรู้สึกลึกเร้นชนิดนี้ทะลุผ่านชั้นผิวหนัง แผ่ซ่านถึงก้นบึ้งหัวใจ
จากมุมมองของคนรอบข้าง เงาหลังของทั้งสองแนบชิดสนิทใกล้ ศีรษะแทบจะชนกันอยู่แล้ว
ถังฟั่นเห็นสีหน้าเคลิ้มลอยที่น้อยครั้งจะเห็นของอีกฝ่าย อดห่วงมิได้ “เป็นอะไรไป”
“ไม่มีอะไร…เจ้าคิดว่าเป็นใคร”
“หากข้าบอกว่าแม่นางตู้ ท่านเชื่อหรือไม่”
“ข้าเชื่อ”
ถังฟั่นหัวเราะแผ่วเบา “ข้านึกว่าท่านเห็นแก่ที่ผู้อื่นชื่นชมในตัวท่านอย่างดื่มด่ำแล้วจะรวนเรเล็กน้อยเสียอีก”
สุยโจวเอ่ยชืดๆ “หัวใจของข้ามอบให้คนอื่นนานแล้ว ไม่มีเหลือให้คนที่สองอีก”
เป็นครั้งแรกที่ถังฟั่นได้ยินเขายอมรับว่าตนเองมีคนในดวงใจ พอฟังก็อดฉงนมิได้ “ท่านมีคนในดวงใจแล้ว? เป็นแม่นางบ้านใด ข้าเคยเห็นหรือไม่”
สุยโจวมองเขาด้วยแววตาลึกล้ำ “เจ้าก็เคยเจอ”
ถังฟั่นไม่ยอมรับเป็นอันขาดว่าขณะที่ตนได้รับรู้เรื่องนี้ ท่าทีแรกมิใช่ดีใจ แต่เป็นสับสนว้าวุ่น
ทว่าบนใบหน้าเขากลับมิได้เผยออกมาแม้ครึ่งส่วน เพียงเย้าว่า “รูปโฉมงดงามหรือไม่”
“งดงาม”
น้ำเสียงปราศจากอาการลังเล…ถังฟั่นกระตุกมุมปาก มองไม่ออกจริงๆ ท่านป๋อสุยที่ปกติปั้นหน้าเย็นชาจะถึงกับงมงายในรักปานนี้
“งดงามกว่าแม่นางตู้และญาติผู้น้องของท่าน?” ถังฟั่นคาใจมาก
“อืม งดงามกว่าพวกนาง”
ถังฟั่นปั้นหน้างุนงง “ข้าเคยเจอจริงหรือ หากเป็นสาวงามที่สวยเด่นปานนั้น ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะจำไม่ได้นี่นา”
สุยโจวหยักยกมุมปาก “ความจริงคนผู้นั้นก็รู้ดีว่าข้ามีใจให้ เพียงแต่ไม่กล้าเผชิญหน้าและไม่ยอมรับความจริง”
ถังฟั่นหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ในใจ “เป็นโฉมงามที่ขี้อายอีกด้วยหรือนี่”
“อืม ขี้อาย ทั้งยังเหมือนเจ้า ชอบกิน”
“…”
“เป็นอะไรไป”
“ท่านคงไม่…ต้องตาอาตงเข้าแล้วกระมัง”
“…อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”
“ชอบกิน เป็นสตรี ที่ข้าเคยเจอ…ดูเหมือนจะมีแต่อาตงแล้ว”
ต่อให้สุยโจวสุขุมเยือกเย็นเพียงใด สีหน้าก็อดกระตุกเล็กน้อยมิได้
อึดใจใหญ่เขาเพียงเค้นออกมาได้คำหนึ่ง “ไม่ใช่อาตง”
“หา? อย่างนั้นจะเป็นใคร” ใต้เท้าถังเข้าสู่ภวังค์ความคิด
“กระโจมไม่พอให้พักเดี่ยว กลางคืนเจ้าอยู่กับข้า” สุยโจวพลันเปลี่ยนเรื่องพูด ตบเอวเขาเบาๆ นี่มิใช่การถาม แต่เป็นการบอกให้ทำตาม
“อืม…ได้” หัวสมองถังฟั่นยังหยุดอยู่ที่ปัญหาข้อหนึ่ง จึงพึมพำอย่างใจลอย
สุยโจวเห็นเข้าก็อดจะทอดถอนในใจมิได้
‘หยดหยาดนานวัน ซึมซ่านไร้เสียง’…คำเปรียบเปรยนี้เห็นจะเป็นจริงได้ก็คงต้องดูด้วยว่าใช้กับใคร!
อยู่กลางที่ร้างทางเปลี่ยว ทุกคนล้วนกินอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครเสียเวลาไปจับปลาในทะเลสาบ เพียงต้มน้ำเดือดและแบ่งเสบียงแห้งแก่กัน
บางคนรังเกียจเสบียงแห้งว่าแห้งเกินไปก็เอามันแช่ในน้ำ นี่คือวิธีที่พวกทหารใช้ประจำในยามออกศึกอยู่ภายนอก
แต่ตู้กุยเอ๋อร์กลับไม่ชิน นางกินอยู่สุขสบายตั้งแต่เล็ก ไม่เคยกินอาหารหยาบกระด้างเช่นนี้มาก่อน กินได้ไม่กี่คำก็ติดคอแล้ว จำต้องดื่มน้ำตามหลายๆ อึกให้คล่องคอ ก่อนมองดูเสบียงแห้งในมือด้วยสีหน้าว้าวุ่น
ทันใดนั้นเบื้องหน้านางก็ปรากฏมือข้างหนึ่ง
เหนืออุ้งมือของอีกฝ่ายมีพุทราแดงตากแห้งวางอยู่
ตู้กุยเอ๋อร์สองตาเป็นประกาย นี่เป็นของกินเล่นที่นางโปรดปรานที่สุด คราวนี้กลับลืมพกติดตัวออกมา นางหันมองคนที่หย่อนกายนั่งลงด้านข้าง เอ่ยขอบคุณ แล้วหยิบมาหลายเม็ด
“ขอบคุณใต้เท้าถัง”
“เอาไปทั้งหมดเถอะ ข้ามีอีกเยอะ ไม่เป็นไรหรอก ท่านคงไม่ชินกับเสบียงแห้งกระมัง” ถังฟั่นเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ใช่” ตู้กุยเอ๋อร์กระดากเล็กน้อย “ดูท่าข้าคงเปราะบางเกินไป”
“นี่เรียกเปราะบางอันใดกัน สตรีเยี่ยงท่านนับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว” ถังฟั่นหัวเราะร่า พลันกระซิบอีกว่า “ไม่ปิดบังท่าน ข้าเองก็ไม่ชินกับของพวกนี้ ดังนั้นจึงพกอย่างอื่นมาเผื่อ”
เขาล้วงห่อผ้าเล็กๆ จากอกเสื้อออกมายื่นส่งให้ราวกับเล่นกลกระนั้น
ตู้กุยเอ๋อร์เปิดดู พลันเอ่ยเสียงตื่นเต้น “ซิ่งผู ซิ่งเหริน เหอเถา?”*
เหล่านี้ล้วนเป็นของกินเล่นที่เด็กหญิงชื่นชอบ นางคิดไม่ถึงว่าบนตัวถังฟั่นจะพกสิ่งเหล่านี้
ถังฟั่นวางห่อผ้าเล็กๆ บนมือนาง “ที่ข้ายังมีอีก ท่านเก็บไว้เถอะ”
“ท่านก็ชอบกินของพวกนี้หรือ” นางเอียงคอถามถังฟั่น
“ใช่ ปกติยามว่างก็หยิบมายัดใส่ปาก ตอนใช้ความคิดมักหิวง่ายเป็นพิเศษ พกของเหล่านี้ติดตัวก็ไม่ต้องกลัวแล้ว” ถังฟั่นกล่าวยิ้มๆ
เมื่อมีของกินเล่นเหล่านี้ ระยะห่างของทั้งสองพลันใกล้เข้ามาไม่น้อย
ความสนิทที่ตู้กุยเอ๋อร์มีต่อถังฟั่นความจริงเป็นแค่การพบหน้าไม่กี่คราในร้านยาเท่านั้น ครั้งนี้ได้คลุกคลี ค่อยพบว่าถังฟั่นก็เป็นคนที่น่าสนใจมากคนหนึ่งเช่นกัน
“มิน่าเล่าคนอย่างพี่สุยถึงได้เห็นท่านเป็นสหายสนิท!” นางเม้มปากยิ้ม
“คนเช่นนั้น?” ถังฟั่นคล้ายประหลาดใจต่อสุยโจวในสายตาของนาง
“พี่สุยมีนิสัยเย็นชาและพูดน้อย คนทั่วไปพอเข้าใกล้อาจถูกข่มขวัญจนตื่นกลัว ดังนั้นครั้งแรกที่เห็นเขาให้ความสำคัญกับท่านปานนั้น ข้าจึงอดแปลกใจมิได้” ตู้กุยเอ๋อร์บอกกล่าวตามสัตย์
“อันที่จริงเขาก็ใช่ว่าจะเข้าหายาก เพียงแต่หน้าเย็นใจร้อนเท่านั้น” ถังฟั่นยิ้มกล่าว
ตู้กุยเอ๋อร์แลบลิ้น ปั้นหน้าทะเล้น “นั่นสิ แต่มองอย่างไรก็ยังดูไร้น้ำใจอยู่ดี ชวนให้ผู้คนนึกคร้าม ไหนเลยจะกล้าเข้าใกล้”
“ดังนั้นสหายรักของข้าจึงยังไม่มีคู่ครองจนบัดนี้ หากท่านรู้จักคุณหนูบ้านใดที่เพียบพร้อมและยังมิได้ออกเรือน ก็ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนด้วย เลี่ยงมิให้เขาต้องโดดเดี่ยวจนชั่วชีวิต” ถังฟั่นเอ่ยกระเซ้า
ตู้กุยเอ๋อร์หน้าแดงสดใส แต่ยังคงสั่นศีรษะ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว เกรงว่าหัวใจของพี่สุยคงมีเจ้าของนานแล้ว”
“จริงหรือ เขาไปต้องตาคุณหนูบ้านใดเข้าแล้ว”
“ข้าก็ไม่ทราบ เพียงเป็นความรู้สึกในฐานะสตรีเท่านั้น แต่ท่านกับพี่สุยสนิทกันปานนี้ ไยไม่สอบถามเขาโดยตรง” ตู้กุยเอ๋อร์ยิ้มกล่าว
อันที่จริงตอนที่นางรู้ว่าสุยโจวอาจมีคนในดวงใจแล้ว ในใจก็ใช่ว่าจะไม่เหี่ยวเฉา ความรู้สึกชนิดนั้นเหมือนกับว่า ‘หลายปีมานี้กว่าจะต้องตาใครเข้าสักคนหนึ่ง คนเขากลับมีเจ้าของเสียแล้ว’ แต่ตู้กุยเอ๋อร์เพียงรู้สึกดีๆ ต่อสุยโจวเท่านั้น หาได้รักลึกซึ้งอันใด เหี่ยวเฉาส่วนเหี่ยวเฉา แต่ยังไม่ถึงขั้นว้าวุ่นจนเสียการควบคุม
ถังฟั่นสั่นศีรษะ “คนไม่พูดไม่จาอย่างเขา ถ้ายอมเอ่ยออกมาก็คงจะดี”
ตู้กุยเอ๋อร์ทำท่าครุ่นคิด “เขาต้องมีความลำบากใจอันใดแน่ บางทีอาจไม่สะดวกบอกท่านตรงๆ”
ลำบากใจ?
ไม่สะดวกบอกข้าตรงๆ?
ถังฟั่นใคร่ครวญคำพูดนี้ของตู้กุยเอ๋อร์ แล้วก็ต้องตื่นตระหนก
หรือว่า…
หรือว่าคนที่ก่วงชวนต้องตาจะเป็นถังอวี๋พี่สาวข้า?
หลังจากคุยกับตู้กุยเอ๋อร์จบ ถังฟั่นที่ตื่นตระหนกเพราะการคาดคะเนนี้ก็มีอาการเหม่อลอย แม้คนรอบข้างอาจมองไม่ออก แต่สุยโจวเป็นผู้ใดเล่า เขากับถังฟั่นรู้จักกันมานาน ยามปราศจากเรื่องราวก็แทบเป็นเงาตามตัว มีหรือจะมองไม่ออก
เขาพอเดาได้เลาๆ ว่าถังฟั่นกำลังสับสนอันใดอยู่ หากก็มิได้เปิดเผย จวบจนถึงเวลาพักผ่อน ทั้งสองล้วนเอนกายอยู่ในกระโจมแล้ว แต่คนที่นอนอยู่ด้านข้างกลับกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา สุยโจวจึงส่งเสียงในที่สุด “รุ่นชิง”
ถังฟั่นชะงักนิ่งทันควัน แสร้งหลับ
“…”
สุยโจวทั้งอ่อนใจระคนนึกขัน ยื่นมือไปตบเบาๆ บนเอวอีกฝ่ายสองสามที
ใครบางคนที่กลัวจักจี้พลันขดตัวตามสัญชาตญาณ ทำให้ถูกจับได้ว่าแกล้งหลับ
“อือ…?” ถังฟั่นแสร้งทำเสียงงัวเงีย พร้อมขยี้ตาอีกต่างหาก
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้ารู้เจ้ายังไม่หลับ” สุยโจวระบายลมหายใจ
“ก็ถูกท่านทำตื่นแล้ว” ใต้เท้าถังโกหกหน้าตาย
“ตู้กุยเอ๋อร์พูดอะไรกับเจ้า” สุยโจวถาม
“ไม่มีอะไร แค่เรื่องสัพเพเหระทั่วไป” ถังฟั่นอ้าปากหาว ยังคงนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย
“เจ้าหันมา” สุยโจวบอก
“ดึกมากแล้ว นอนเถอะ มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุย” ถังฟั่นไม่สะทกสะท้าน
ต่อให้สุยโจวเยือกเย็นปานใด แต่เมื่อเผชิญกับพฤติกรรมหนีหน้าเช่นนี้ของใต้เท้าถัง ก็สุดที่จะอดกลั้นจริงๆ
เดิมทีเขานึกว่าขอเพียงให้เวลาอีกฝ่ายมากหน่อย ด้วยสติปัญญาของถังฟั่น ช้าเร็วย่อมแจ่มแจ้งได้เอง
แต่ดูแล้วตนคงไร้เดียงสาเกินไป
บางครั้งการเผชิญหน้ากับใครบางคน จำเป็นต้องใช้ลูกไม้เล็กน้อยจึงจะสัมฤทธิผล
พริบตานั้นสุยโจวไม่พูดพล่าม จับหัวไหล่อีกฝ่ายหันมา จากนั้นพลิกตัวขึ้นคร่อม
ฉวยจังหวะอีกฝ่ายตะลึงงัน สุยโจวกดจูบลงไปไม่ให้ทันตั้งตัว
ที่นอกด่านยามกลางวันอากาศแจ่มใส หลังเข้าสู่รัตติกาลแม้แต่สายลมก็โบกสะบัดดังอู้ๆ ไอเย็นแทรกเข้ามาตามรอยแยกของกระโจม ชอนไชไปทุกอณูของเรือนกาย
ทว่าคนที่ทาบทับอยู่บนตัวกลับร้อนเร่า ไออุ่นของกันและกันส่งผ่านมาทางผิวหนังที่แนบชิด บันดาลให้ผู้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม เหมือนถูกขวางกั้นจากความหนาวเย็นทั้งปวงของโลกภายนอก
“เช่นนี้เจ้ากระจ่างแล้วหรือไม่” ผ่านไปครู่ใหญ่สุยโจวค่อยถอยห่างเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยันกายไว้ เลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวกดทับบนร่างอีกฝ่ายทั้งหมด
สีหน้าใต้เท้าถังยังเคลิ้มลอยไม่หาย ริมฝีปากที่บวมนิดๆ เป็นประกายชุ่มชื้น ชวนให้สุยโจวกระสันจะลิ้มรสอีกครั้ง แต่เขาคิดว่าคงต้องบอกกล่าวให้ชัดเจนไปเลยดีกว่าเพื่อเลี่ยงมิให้คนผู้นี้บิดพลิ้วหลังจบงาน
สุยโจวจ้องมองคนใต้ร่างด้วยแววตาลึกล้ำ ทวนซ้ำคำพูดก่อนหน้านี้อีกรอบหนึ่ง “ข้ามีคนในดวงใจแล้ว เขาขี้อาย และชอบกินมากด้วย”
“…”
ถังฟั่นรู้สึกว่าบัดนี้สมองอันชาญฉลาดที่น่าภาคภูมิใจของตนเองกำลังยุ่งเหยิงเป็นก้อน
ในความสับสนปนเปด้วยความตระหนกหลายส่วน มึนงงหลายส่วน และอีกหลายส่วนคืออยู่ในความคาดหมาย
แต่เหตุใดจึงอยู่ในความคาดหมายนั้น…ช่วงเวลาพริบตาสั้นๆ นี้เขาก็บอกไม่ถูกเช่นกัน
เห็นสีหน้าเขาปรวนแปร สุยโจวยังอยากกล่าวอันใด แต่จู่ๆ กลับได้ยินเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดแว่วมาจากด้านนอก
ทั้งสองเย็นวาบในใจ ความคิดอันบรรเจิดเพริดแพร้วใดๆ พลันถูกโยนหายเข้ากลีบเมฆ
สุยโจวท่าทีว่องไว คว้าดาบปักวสันต์ถลันออกด้านนอก
รอจนถังฟั่นวิ่งตามออกมาจึงเห็นเสิ่นกุ้ยนอนกลิ้งอยู่นอกกระโจมของตนเอง สองมือกุมคอหอยแน่น ท่าทางเจ็บปวดเจียนคลั่ง แม้แต่เว่ยเม่ายังเกือบกดเขาไว้ไม่อยู่
ไม่ทันรอให้ทุกคนตั้งสติ โลหิตแดงสดก็ทะลักพรวดๆ จากปากของเสิ่นกุ้ย
ใต้แสงกองไฟสาดส่อง สะท้อนให้เห็นประกายม่วงอมแดงอันน่าสยดสยองในโลหิตเหล่านั้น
“ไม่…ไม่เกี่ยวกับข้า พวกเขาบังคับให้ข้าพามาหาท่าน อย่ามาหาข้า อย่ามาหาข้า!” เสียงอึกๆ ดังจากคอหอยของเขา ลูกตาเหลือกถลนแทบหลุดจากเบ้า เส้นเลือดบนหลังมือและหน้าผากปูดโปน
“ใครจะหาเจ้า ใครกำลังพูดกับเจ้า” ถังฟั่นจะขึ้นหน้า กลับถูกสุยโจวขวางไว้ จึงได้แต่ยืนถามอยู่ที่เดิม
ตอนแรกเขาคิดว่าเสิ่นกุ้ยที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดคงไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวของโลกภายนอก ทว่าบนหน้าของอีกฝ่ายกลับเผยแววกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ตอบคำถามของเขา
“นักพรตหลี่ เป็นนักพรตหลี่ เขามาหาข้า เขาบอกว่าข้าแพร่งพรายความลับ นี่คือกรรมสนอง กรรมสนอง กรรม…”
ร่างของเสิ่นกุ้ยดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้น ไม่ว่าผู้ใดก็กดไม่อยู่ ชั่วเวลาสั้นๆ กระทั่งเทพเซียนยังขบคิดวิธีไม่ทัน ทุกคนได้แต่มองดูสีหน้าเขาค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงคล้ำ ก่อนแน่นิ่งไปพร้อมเสียงกรีดร้องแหบพร่าและร่างที่ชักกระตุกเป็นครั้งสุดท้าย
คนทั้งหมดล้วนถูกเสียงเอะอะนอกกระโจมดึงดูดให้ออกมา ครั้นเห็นภาพเหตุการณ์นั้นพลันตะลึงตาค้าง
พวกเขาคาดไม่ถึงว่าหนึ่งวันที่คลื่นลมสงบ กลับปรากฏความพลิกผันเอาตอนใกล้เที่ยงคืน
คำว่า ‘นักพรตหลี่’ จากปากของเสิ่นกุ้ย ก็คือหลี่จื่อหลงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ ‘กรรมสนอง’ ที่เขาพูดถึง นี่มันเรื่องอะไรกัน
หรือหลี่จื่อหลงสำแดงอภินิหารถึงที่นี่ ห่างไกลเป็นพันลี้ยังจับได้ว่าเสิ่นกุ้ยแพร่งพรายเรื่องค่ายกล ต่อมาก็คร่าชีวิตเขา?
ตู้กุยเอ๋อร์หน้าซีดกว่าใคร
นี่ช่วยไม่ได้ แม้นางจะรักษาคนไข้กับมือ แต่ไหนเลยเคยเห็นคนตายในสภาพสยดสยองเช่นนี้
การสิ้นชีพอันน่าอนาถของเสิ่นกุ้ยแม้แต่บุรุษยังรู้สึกสะท้านใจ ประสาอันใดกับตู้กุยเอ๋อร์ซึ่งเป็นสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง
นางยกมือปิดปาก เบือนหน้าไปอย่างพะอืดพะอม
จวบจนชูอวิ๋นจื่อเข้าไปตรวจดูสภาพของเสิ่นกุ้ย นางค่อยนึกถึงหน้าที่ของตนเองขึ้นได้ จึงกล้ำกลืนอาการคลื่นเหียนขึ้นหน้าไปช่วยอีกแรง
“โดนพิษกระมัง” วังจื๋อยังมิได้เข้าไปใกล้ สีหน้าเขาเครียดเคร่งอย่างยิ่ง
การตายของเสิ่นกุ้ยมองอีกด้านหนึ่งก็คือการประกาศความไร้สามารถของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“แม่นางตู้คิดว่าอย่างไร” ชูอวิ๋นจื่อมองตู้กุยเอ๋อร์
“…น่าจะโดนพิษ” ตู้กุยเอ๋อร์สูดหายใจลึก สีหน้ายังเผือดขาว “แต่ข้าไม่กระจ่างนัก เหตุใดเขาถึงโดนพิษได้ น้ำที่เขาดื่มก็เหมือนกับของพวกเรา เสบียงแห้งข้าก็กิน…”
ทุกคนล้วนหันมองเว่ยเม่า ฝ่ายหลังนอนกระโจมเดียวกับเสิ่นกุ้ย
เว่ยเม่าจึงกล่าว “ก่อนหน้านี้เขาปกติดีทุกอย่าง ยังหาเรื่องคุยกับข้า แต่ข้าไม่สนใจ เขาจึงนอน ปรากฏว่าข้าหลับได้สักพักก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่ข้างตัวจึงสะดุ้งตื่นทันที จากนั้นก็เห็นเขาบีบคอตนเองด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน วิ่งออกนอกกระโจม”
ในคำพูดของเว่ยเม่าไม่มีเนื้อความที่เป็นประโยชน์สักนิด
ต่อให้รู้ว่าเสิ่นกุ้ยโดนพิษ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาโดนพิษอะไรและโดนพิษได้อย่างไร
การตายของเสิ่นกุ้ยทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน จิตใจที่ผ่อนคลายลงบ้างเพราะคำพูดปลอบใจของถังฟั่น ยามนี้พลันเครียดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง
กระทั่งวังจื๋อยังสีหน้าปรวนแปรไม่แน่นอน แล้วคนอื่นๆ หรือจะสงบใจอยู่ได้
ถังฟั่นและสุยโจวล้วนไม่เชื่อว่าหลี่จื่อหลงจะมีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้ แต่พวกเขาไม่เชื่อก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะไม่เชื่อ
เรื่องราวที่อยู่เหนือขอบเขตของหลักการเหตุผล มักทำให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกไร้แรงต่อต้านอย่างช่วยไม่ได้ ตามด้วยหวาดผวาไม่กล้าทำอะไร
ทหารที่มากับเมิ่งฉุนนายนั้นเปล่งเสียงขลาดกลัวด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “ใต้เท้า ถ้าอย่างไรพวกเรากลับ…”
ไม่ทันจบคำก็ถูกสายตาเยียบเย็นของวังจื๋อจ้องมอง วังจื๋อกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม “ผู้ใดกล้าพูดว่าถอย ลงโทษตามกฎทหาร”
พลทหารคอหด ไม่กล้าส่งเสียงอีก
เมิ่งฉุนเป็นถึงขุนพลขั้นเจ็ด ย่อมไม่ด้อยกว่าผู้ใต้บัญชา เขาชี้เสิ่นกุ้ยพลางถาม “ใต้เท้า พวกเราจะฝังศพคนผู้นี้หรือไม่”
ถังฟั่นสั่นหน้า “ย้ายศพไปไว้ที่ริมทะเลสาบก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจอีกที”
แม้ต่อมาคงไม่มีใครสามารถหลับลง แต่จะยืนทื่ออยู่นอกกระโจมทั้งคืนก็ใช่ที่
ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดอาภรณ์ของทุกคนดังพึ่บพั่บ กรวดทรายที่ไม่ได้ถูกคลุมทับด้วยพืชน้ำก็พลอยปลิวว่อนจากที่เดิม
เพื่อเลี่ยงมิให้เม็ดทรายเข้าตา ทุกคนจำต้องหยีตาเล็กน้อย
ขณะพวกถังฟั่นตั้งท่ากลับเข้ากระโจม แม่นางตู้กระตุกแขนเสื้อสุยโจวอย่างขลาดๆ สีหน้าละห้อย “พี่สุย ข้าอยู่กระโจมเดียวกับพวกท่านได้หรือไม่ ข้า…ข้าไม่กล้านอนคนเดียว”
เวลาเช่นนี้หากพูดอะไรทำนองหญิงชายสมควรรักษาระยะห่างก็ดูจะเสแสร้งเกินไป ตู้กุยเอ๋อร์ตามออกมาถึงที่นี่แล้ว อยู่นอกบ้านทุกอย่างเน้นเรียบง่าย หลายเรื่องราวไม่อาจคิดมากปานนั้น
สุยโจวมิได้ตอบคำ กลับมองถังฟั่น
ถังฟั่นผงกศีรษะ ยิ้มกล่าวว่า “ได้แน่นอน เข้ามาเถอะ”
สุยโจวละเหี่ยใจ เขารู้สึกว่าตู้กุยเอ๋อร์ปรากฏตัวได้ผิดจังหวะจริงๆ และใครบางคนก็ฉวยโอกาสนี้หลีกเร้นเรื่องที่เกิดขึ้นในกระโจมเมื่อครู่
หากไม่เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายถ้าปล่อยให้ตู้กุยเอ๋อร์อยู่ในกระโจมตามลำพัง เขาก็อยากจะกันคนไว้ด้านนอกจริงๆ
มีแม่นางคนหนึ่งอยู่ด้วยเช่นนี้ ถังฟั่นกับสุยโจวย่อมไม่สามารถล้มตัวนอนได้
ถังฟั่นเห็นตู้กุยเอ๋อร์หนาวสั่นเล็กน้อยจึงยกผ้าห่มให้นางผืนหนึ่ง
ตู้กุยเอ๋อร์ที่ห่อร่างด้วยผ้าห่มค่อยหายหนาวขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวนางล้วนเป็นภาพสยดสยองก่อนตายของเสิ่นกุ้ย
“ประหลาดมาก เขาโดนพิษได้อย่างไรกัน มิใช่นักพรตหลี่คนนั้นสามารถ…สามารถ…”
ปากนางสั่นระริก ไม่กล้าพูดต่อ ดวงตากลับเพ่งมองถังฟั่นและสุยโจว คล้ายเฝ้ารอคำตอบจากพวกเขาที่จะช่วยให้นางไม่ต้องขวัญผวาปานนี้
ถังฟั่นก็ครุ่นคิดเรื่องนี้เช่นกัน เขาถามตู้กุยเอ๋อร์ “ตามความเห็นท่าน เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาโดนพิษตั้งแต่ก่อนออกจากเมือง จวบจนตอนนี้พิษค่อยกำเริบ”
ตู้กุยเอ๋อร์นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “พิษบางชนิดสามารถยืดเวลาออกฤทธิ์ได้จริง แต่ผู้ถูกพิษไม่มีทางเสียชีวิตในทันที สภาพของเสิ่นกุ้ยมีเพียงถูกพิษร้ายแรงจึงจะออกฤทธิ์กะทันหันและรวดเร็วเช่นนี้” นางพลันนึกถึงความเป็นไปได้ชนิดหนึ่ง อดตัวสั่นขึ้นมามิได้ “ข้าได้ยินว่าแถบตะวันตกเฉียงใต้มีพิษหนอนกู่ที่พิสดารมาก ไร้สีไร้กลิ่น สามารถออกฤทธิ์ได้ตามแต่ใจผู้วางยา ยากแก่การป้องกัน เขาคง…คงมิได้โดนพิษชนิดนี้?”
คิดไม่ถึงถังฟั่นรอบรู้เจนจัด ถึงกับรู้จักพิษหนอนกู่อยู่บ้าง จึงบอกตู้กุยเอ๋อร์ “ต่อให้เป็นพิษหนอนกู่ก็ไม่มีทางวางยาอีกฝ่ายได้ด้วยระยะทางไกลเช่นนี้ ต้องเข้าใกล้ตัวจึงจะมีโอกาส ดังนั้นไม่ว่าเป็นพิษอะไร สำคัญที่สุดคือต้องหาสาเหตุการตายของเสิ่นกุ้ย…”
เขาพลันหยุดกึก คล้ายกำลังครุ่นคิดอันใด
ตู้กุยเอ๋อร์รอเขาพูดต่ออย่างใคร่รู้ แต่ถังฟั่นไม่พูดเสียที นางได้แต่หันมองสุยโจว หมายได้รับคำตอบจากสีหน้าอีกฝ่าย
แน่นอน ตู้กุยเอ๋อร์ถูกกำหนดแล้วว่าต้องผิดหวัง
ลมด้านนอกแรงขึ้นทุกที กระแทกกระโจมไม่หยุด ทั้งโหมกระพือสี่ทิศแปดทาง แม้แต่เส้นผมของทั้งสามก็โดนพัดจนพลิ้วลอย
“ไยลมแรงปานนี้” ถังฟั่นเงยหน้า พึมพำแปลกใจ
ตู้กุยเอ๋อร์กลับหน้าแปรสี “หรือจะเกิดพายุทราย?”
ลมกระโชกรุนแรง ส่งผลให้กระโจมทั้งหลังพะเยิบขึ้นมา แม้แต่หมุดเหล็กที่ขึงเชือกทั้งสี่มุมอย่างแน่นหนาก็ทำท่าจะหลุดตาม เทียนไขในกระโจมโดนพัดดับนานแล้ว ภายในมืดสนิท ทั้งสามแม้อยู่ใกล้เพียงนี้ยังแทบไม่เห็นกันและกัน
ภายใต้สภาพแรงลมเช่นนี้ คบเพลิงด้านนอกก็มอดดับไปนานแล้วเช่นกัน
“ข้าออกไปดูหน่อย พวกเจ้าอยู่ในนี้” สุยโจวพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ถังฟั่นเพียงเห็นรำไรว่ามีเงาคนผู้หนึ่งเลิกม่านกระโจมเดินออกไป พริบตาที่ม่านตลบขึ้น พายุทรายปลิวคลุ้งเข้ามา สาดซัดใบหน้าของทั้งสองจนเจ็บแปลบ แม้แต่ร่างกายที่นั่งอยู่ก็อดหงายไปด้านหลังเล็กน้อยมิได้
ตู้กุยเอ๋อร์เปล่งเสียงอุทานอย่างห้ามไม่อยู่
“แม่นางตู้?”
เพราะเป็นสตรี หลังตู้กุยเอ๋อร์เข้ากระโจมก็มิอาจขยับใกล้ถังฟั่นกับสุยโจวได้ จึงนั่งห่างจากพวกเขาออกมานิดหนึ่ง แต่ยามนี้รอบด้านมืดมิด ถังฟั่นมองไม่เห็นนางโดยสิ้นเชิง
“ข้าอยู่ตรงนี้…” ตู้กุยเอ๋อร์ขานรับ กระชับผ้าห่มบนตัว แต่ยังคงสั่นสะท้าน นางคิดไม่ถึงว่าช่วงปลายวสันต์ต้นคิมหันต์แถบชายแดนสามารถเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิที่บางเบาได้แล้ว ต่อให้เป็นยามกลางคืนก็แค่สวมมากขึ้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ค่ำคืนของนอกด่านกลับเย็นจัด แทบจะเทียบกับหน้าหนาวได้เลย
“พะ…พี่สุยคงไม่เป็นไรกระมัง”
“ไม่หรอก” ถังฟั่นตอบเช่นนั้น หากลึกๆ ยังคงพะวง
นี่เป็นสถานที่ซึ่งพวกเขาไม่เคยย่างกรายมาถึง
คณะเดินทางทุกคนรวมทั้งตู้กุยเอ๋อร์ แม้มีหลายคนเคยมาถึงนอกด่าน แต่ความเป็นจริงพวกเขาเพียงรู้จักสถานที่แห่งนี้ครึ่งๆ กลางๆ เสิ่นกุ้ยก็ดี เมิ่งฉุนก็ดี ตู้กุยเอ๋อร์ก็ดี นอกด่านที่พวกเขาเคยประสบพบเห็นก็เป็นแค่โฉมหน้าหนึ่งของนอกด่านเท่านั้น
ถังฟั่นพลันเกิดความคิดชนิดหนึ่ง ในเมื่อหลี่จื่อหลงจัดวางค่ายกลไว้ที่นี่เพื่อดักซุ่มโจมตีทัพต้าหมิง เช่นนั้นอาจสันนิษฐานได้แต่แรกแล้วว่าพวกเขาจะมา?
ก่อนหน้านี้เขาเห็นหลี่จื่อหลงเป็นนักพรตนอกรีตมาตลอด แต่ต่อให้เป็นนักพรตนอกรีต กลับสามารถหนีรอดไปได้ภายใต้หนังตาโอรสสวรรค์ มาวิ่งเล่นแถวชายแดนอย่างเสรี นี่ก็แสดงว่าไม่อาจเห็นหลี่จื่อหลงเป็นเพียงแค่ขุนนางกบฏเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดนักพรตที่ร่องรอยไม่แน่ชัดเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่คนนี้ก็ยากต่อกรยิ่งกว่าหลี่มั่นและจิ่วเหนียงจื่อมาก
แต่ไม่ทันรอให้เขาคิดไปไกล ด้านนอกลิบๆ ออกไปแว่วเสียงอสุนีบาตดังมา
ตามติดด้วยเสียงเปาะแปะจากนอกกระโจมเป็นระยะ คล้ายมีสิ่งใดกำลังกระแทกกระโจม
เสียงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตู้กุยเอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยน “ฝนตกแล้ว?”
ใช่ ฝนตกแล้ว แต่สุยโจวยังไม่กลับมา
ฟ้าร้องครืนครั่น สายฟ้าแลบแปลบ ทว่าสิ่งที่ทำให้จิตใจของถังฟั่นและตู้กุยเอ๋อร์เครียดเขม็งคือสายฝนที่กระหน่ำแรงขึ้นทุกที
ก่อนพวกเขามาไม่เคยคาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
กระโจมก็ไม่แน่นหนา พอฝนเทหนัก น้ำก็เริ่มไหลเข้ามาจากด้านนอก พื้นเปียกแฉะเป็นหย่อม ซ้ำยังมีทีท่าว่าจะท่วมขัง อีกไม่นานในนี้ก็คงอยู่ไม่ได้แล้ว
แต่หากออกจากที่นี่จะไปที่ใดได้
เวลานี้ข้างนอกไม่ทราบเป็นสภาพเช่นไร อย่าว่าแต่สุยโจว กระทั่งเสียงของคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้ยิน
หรือต่อให้มีเสียง เกรงว่าก็คงโดนเสียงฝนกลบหมดแล้ว
หากตอนนี้มีเพียงถังฟั่นคนเดียว เขาต้องถลันออกไปดูสถานการณ์ในทันทีแน่ แต่ที่นี่ยังมีตู้กุยเอ๋อร์ หากเขาไป ตู้กุยเอ๋อร์ก็จะหวาดหวั่น หนำซ้ำที่นี่เปลี่ยวร้าง สตรีคนหนึ่งอาจประสบเหตุร้ายได้ง่าย
ถังฟั่นละล้าละลัง พลันได้ยินตู้กุยเอ๋อร์กล่าวว่า “พี่ถัง ข้าจำได้ว่าที่เชิงเขาหมานฮั่นมีถ้ำแห่งหนึ่ง คราวก่อนตอนมาเก็บสมุนไพรข้าเคยผ่าน มองจากข้างนอกเหมือนจะลึกมาก ไปหลบฝนคงไม่มีปัญหา ที่นี่ช้าเร็วก็ต้องท่วม พวกเราก็คงอยู่ต่อไม่ได้แล้ว”
ถังฟั่นใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนตัดสินใจ “ได้ เจ้าตามข้ามา อย่าให้หลงกันได้”
ทั้งสองเดินตามกันออกจากกระโจม
ฝนตกหนักกว่าที่คิด กระหน่ำลงมาราวฟ้ารั่ว
ไม่ถึงอึดใจทั้งสองก็เปียกโชกทั้งตัว
ตู้กุยเอ๋อร์ยังดีหน่อย นางมีผ้าห่มคลุมตัว อย่างน้อยช่วยชะลอความเร็วของน้ำที่ซึมเข้ามาได้ แต่ถังฟั่นไม่โชคดีเช่นนั้น เขากลายเป็นไก่ตกน้ำแกงไปเรียบร้อยแล้ว
“พี่ถัง พวกเราจะไปที่ใด!” ตู้กุยเอ๋อร์ตะโกนถาม
ท่ามกลางเสียงฝน กระทั่งเอ่ยวาจาก็ต้องเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น
“ไปหาพวกเขาก่อน เจ้าตามข้ามา!” ถังฟั่นหันไปตะโกนบอกแล้ววิ่งขึ้นหน้า สอดส่ายสายตาพลางร้องเรียก “ก่วงชวน! วังจื๋อ! เว่ยเม่า!”
ที่ตอบรับเขามิใช่เสียงคน มีเพียงเสียงฝนกระหน่ำ
ถังฟั่นโซซัดโซเซมาถึงกระโจมด้านข้าง เลิกม่านชะโงกหน้าเข้าไปร้องเรียก แต่ปราศจากการตอบรับใดๆ
นอกจากพวกเขาทั้งสอง จู่ๆ ทุกคนก็คล้ายจะหายไปหมด ไร้เงาไร้รอย
แต่ทุกคนไม่อยู่ตรงนี้แล้วจะไปที่ใดได้
คงมิใช่กระโดดลงทะเลสาบกันหมดแล้วกระมัง
แน่นอนย่อมไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ว่าทุกคนต่างหลงทาง เพราะฝนตกหนัก ท้องฟ้าทะมึน ดังนั้นจึงมองทางไม่ชัด
ไม่ช้าถังฟั่นและตู้กุยเอ๋อร์ก็ต้องผิดหวัง ท่ามกลางลมฝนกระโชกแรงเช่นนี้ การเดินขึ้นหน้าไม่กี่ก้าวยังยากเย็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตามหาไปทั่วทิศ ถังฟั่นอ้าปากตะโกน น้ำฝนก็สาดซัดเข้าปาก แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ยังหาใครไม่พบ
ระหว่างแผ่นฟ้าและผืนดินดูเหมือนจะเหลือเพียงถังฟั่นและตู้กุยเอ๋อร์สองคน
ไม่ช้าถังฟั่นค้นพบว่าฝนมาเร็วก็จริง แต่ก็ไปเร็วเช่นกัน ยามนี้เริ่มซาลงแล้ว
แต่ข่าวร้ายคือลมกลับแรงขึ้นเรื่อยๆ แทบจะพัดคนปลิว ทั้งยังตลบเอาทรายบนพื้นขึ้นมากระแทกใส่ตัวพวกเขา
เพิ่งชุ่มโชกด้วยน้ำฝน ยามนี้โดนลมกระหน่ำใส่ ทั้งสองจึงรู้สึกหนาวสะท้านถึงกระดูก
ผ้าห่มบนตัวตู้กุยเอ๋อร์เปียกชุ่ม นางจำต้องโยนมันทิ้ง แต่แล้วก็โดนลมพัดจนสั่นไปทั้งตัว
เวลานี้ไม่อาจคำนึงเรื่องบุรุษสตรีอันใดอีกแล้ว นางกอดแขนถังฟั่นไว้แน่น แม้แต่สุ้มเสียงยังสั่น “พี่…พี่ถัง…ตอนนี้ทำอย่างไรดี”
เดิมถังฟั่นตั้งใจจะพานางไปหลบลมที่หลังกระโจมสักครู่ ปรากฏว่าทั้งสองหามาหาไปกลับต้องตื่นตระหนกเมื่อพบว่ากระโจมที่อยู่ด้านข้างก็หายไปเช่นกัน
“พี่ถัง ท่านฟัง เหมือนมีเสียงอะไร…” ตู้กุยเอ๋อร์ดึงแขนเขาพลางกระซิบที่ข้างหู
เสียงอะไร
รอบตัวพวกเขามืดสนิท แม้แต่กระโจมและเวยหนิงไห่จื่อที่อยู่ถัดไปก็มองไม่เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นแล้ว
แต่ฟังดีๆ คล้ายได้ยินเสียงบางอย่างจริง ทว่าแว่วมาจากจุดที่อยู่ไกลออกไป
ทั้งสองเงี่ยหูฟังได้ครู่หนึ่ง ในความมืดแม้ต่างฝ่ายต่างมองไม่เห็นสีหน้าระหว่างกัน แต่ก็ห้ามมิให้หน้าเปลี่ยนสีมิได้
“เสียงเกือกม้า! ไยที่นี่มีเสียงเกือกม้า!” ตู้กุยเอ๋อร์ตื่นผวา น้ำเสียงยิ่งเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน
ถังฟั่นหมดปัญญาตอบคำถามนางเพราะเขากำลังกำหนดสมาธิแยกแยะว่าเสียงเกือกม้านั้นดังมาจากทิศใด
ทว่ารอบตัวมีแต่ความมืด พวกเขาแทบกลายเป็นคนตาบอด แม้แต่ทิศทางยังแยกไม่ชัด ไหนเลยจะแยกแยะตำแหน่งของเสียงเกือกม้าได้
เมื่อตั้งใจฟังอีกครั้ง นอกจากเสียงม้าควบย่ำท่ามกลางเสียงลม คล้ายมีเสียงอาวุธนานาชนิดแทรกอยู่ด้วย ประหนึ่งกองทหารกำลังห้อตะบึงสู่สมรภูมิรบด้วยความเร่งร้อน
ถังฟั่นใจลอย สถานการณ์เช่นนี้คล้ายเคยเจอที่ใด จนกระทั่งเล็บของตู้กุยเอ๋อร์จิกเข้าเนื้อเขาจนเจ็บขึ้นมา เขาค่อยตื่นจากภวังค์
“ทำอย่างไรดี พี่ถัง!” ตู้กุยเอ๋อร์ก็ฟังออกว่ามิใช่แค่เสียงม้าไม่กี่ตัว แทบจะหมื่นอาชาก็ว่าได้
ปัญหาคือพวกเขามองทางยังไม่เห็น แล้วจะไปหลบซ่อนที่ใด อีกทั้งเสียงเกือกม้ากระหึ่มกึกก้องปานนี้ ต่อให้หลบอย่างไรก็หนีไม่พ้นชะตากรรมที่ถูกเหยียบเละไปได้
“อย่าขยับ!” ถังฟั่นจับนางไว้แน่น ทั้งสองนั่งยองๆ อยู่ที่เดิม พายุกระโชกแรงจนชายเสื้อของพวกเขากระพือสูง หากเป็นยามปกติ ยืนตระหง่านท้าลมก็คงแลดูงามสง่าประดุจเทพเซียนอยู่บ้าง แต่เวลานี้เสื้อผ้าของทั้งสองล้วนชุ่มโชก โดนสายลมเย็นจัดกระหน่ำซ้ำก็ได้แต่ตัวสั่นงันงกไม่หยุด
เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามาทุกที ในนั้นยังผสานเสียงเป่าเขาสัตว์และเสียงท่องคำขวัญที่แปลกหู
ตู้กุยเอ๋อร์กัดฟันแน่น มือกุมปาก แต่ยังคงอดจามมิได้
จามเสร็จนางค่อยสำนึกได้ว่าตนเองทำอะไรลงไป
จู่ๆ หัวไหล่ก็ถูกตีทีหนึ่ง ตู้กุยเอ๋อร์ตกใจหน้าซีด
ถังฟั่นนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้า ท่อนแขนยังถูกตนจับไว้ เช่นนั้นผู้ใดตีไหล่ตนจากด้านหลังเล่า
นางไม่กล้าเหลียวหน้า ได้แต่ใช้น้ำเสียงเกือบสะอื้นบอกถังฟั่น “พี่…พี่ถัง มีคนตีข้าจากด้านหลัง…”
ถังฟั่นผงะ หันหลังขวับตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่เห็นสิ่งใด
“นั่นใคร!” เขาถามเสียงเครียดพลางดึงตู้กุยเอ๋อร์มาไว้ด้านหน้าตนเอง
ทันใดนั้นตู้กุยเอ๋อร์หวีดร้องเสียงหนึ่ง แล้วหน้าคะมำมาทางเขา
ถังฟั่นรีบรับนางไว้
“ไหล่ข้า ไหล่ข้าเหมือนถูกฟัน เจ็บมาก…” ตู้กุยเอ๋อร์ครวญ
ถังฟั่นยื่นมือไปลูบดู เหมือนมีอะไรแฉะๆ พอยกขึ้นดมก็ได้กลิ่นคาวเลือด
“ไป!” เขาพยุงตู้กุยเอ๋อร์ ยกมือข้างหนึ่งของนางอ้อมมาพาดคอตนเอง แล้วโอบเอวนางด้วยมืออีกข้าง กึ่งลากกึ่งประคองออกวิ่งไปข้างหน้า
เบื้องหลังปรากฏเสียงดาบกระบี่ปะทะกันดังตามมา
ตู้กุยเอ๋อร์ขบริมฝีปากล่าง “ข้ารู้แล้ว นี่ต้องเป็นภูตทหารผ่านทางที่พวกเราพูดถึง เมื่อครู่ข้าถึงได้โดนภูตทหารทำร้าย”
ถังฟั่นตอบโดยไม่ต้องใคร่ครวญ “อย่าคิดเลอะเทอะ ภูตผีจะทำร้ายคนได้อย่างไร”
เขามิได้หันกลับไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงพยุงตู้กุยเอ๋อร์วิ่งไปยังทิศตรงข้ามทันที
พันพลหมื่นม้าควบตะบึง เสียงเป่าเขาสัตว์ดังกังวาน ในความมืดคล้ายมีทหารสองกองทัพประจันหน้าโดยมิได้นัดหมาย เสียงย่ำกลอง เสียงฆ่าฟัน ปะปนยุ่งเหยิงอยู่ในเสียงลม ดังสนั่นจนฟ้าสะเทือน
ถังฟั่นกับตู้กุยเอ๋อร์ที่ตกอยู่ท่ามกลางความกึกก้องกัมปนาทนี้วิ่งเตลิดอย่างยากเย็น พวกเขาไม่รู้ว่าตนอยู่ทิศใด ไม่ทราบเบื้องหน้าอยู่ทางใด ยิ่งไม่ทราบกองทัพเหล่านี้มาจากที่ใด และเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่
หากเป็นคน แล้วจะเป็นผู้ใด
เสียงเป่าเขาสัตว์และเสียงเข่นฆ่าอื้ออึงจนแก้วหูสะเทือน ถังฟั่นเพียงฟังออกแค่ว่าคำพูดของพวกเขามิใช่ภาษาของจงหยวน หากก็ต่างจากภาษาต๋าต๋า ส่วนจะเป็นภาษาของเผ่าใดกลับยากจำแนกแล้ว
แต่ถ้าเป็นผี แล้วตู้กุยเอ๋อร์จะโดนทำร้ายได้อย่างไร
หรือใต้หล้านี้มีภูตผีปีศาจอยู่จริง?
เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ออกจะอัศจรรย์เกินไปแล้ว มีหลายสิ่งเหนือกว่าขอบเขตจินตนาการของพวกเขามากนัก
ถึงแม้เมื่อกลางวันได้ยินชูอวิ๋นจื่อพูดถึงภูตทหารผ่านทาง แต่ทุกคนล้วนไม่เคยพบเห็นกับตา ยามนี้เขาต้องประสบกับตัว จึงเกิดความรู้สึกว่าตนเองช่างเล็กจ้อยขึ้นมาอย่างเลี่ยงมิได้
ทว่าในความร้อนรน ถังฟั่นไม่มีเวลาให้ขบคิดมากนัก เขาได้แต่พาตู้กุยเอ๋อร์วิ่งขึ้นหน้าไป
เพราะแยกทิศไม่ถูก ถังฟั่นกลัวว่าจะเผลอวิ่งลงทะเลสาบหรือไม่ก็สะดุดล้ม ดังนั้นไม่อาจวิ่งเร็วนัก
ไม่รู้วิ่งอยู่นานเท่าใด ฝีเท้าของตู้กุยเอ๋อร์เริ่มช้าลงเรื่อยๆ ร่างกายยิ่งไร้แรงลงเรื่อยๆ ตลอดทั้งตัวแทบจะแขวนอยู่บนร่างของถังฟั่น
“ข้า…ข้าไม่ไหวแล้ว พี่ถังไม่ต้องห่วงข้า ท่านไปเถอะ!” ตู้กุยเอ๋อร์หอบหนัก
“พูดอะไรโง่ๆ อย่างนั้น” ถังฟั่นย่อมไม่คลายมือจากนางแน่
ตู้กุยเอ๋อร์ไม่ปริปากอีก และนางก็หมดแรงจะพูดแล้ว แผลบนหัวไหล่มีเลือดไหลตลอด การเสียเลือดมากทำให้นางไม่เหลือเรี่ยวแรง มือข้างนั้นตกห้อย แกว่งไปแกว่งมาตามจังหวะการวิ่ง
ถังฟั่นสังเกตเห็นความผิดปกติของนางจึงชะลอฝีเท้าลง “นั่งพักก่อนสักครู่ ข้าจะพันแผลให้เจ้า”
ตู้กุยเอ๋อร์ส่งเสียงครางในลำคอ แม่นางคนนี้เข้มแข็งดีจริง เจ็บปานนี้ยังไม่โอดครวญสักคำ
ถังฟั่นเอ่ยคำ “ล่วงเกินแล้ว” ค่อยคลำบาดแผลบนไหล่นาง พลันพบว่าบาดแผลของตู้กุยเอ๋อร์ลึกกว่าที่คิดไว้
นางคล้ายถูกอาวุธบางอย่างฟันใส่ หนังเปิดจนเห็นเนื้อ เลือดยังไหลไม่หยุด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที บาดแผลชนิดนี้อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ตัวตู้กุยเอ๋อร์เองก็เป็นหมอ ตอนพวกเขาออกมาจึงพกทั้งยาภายในและภายนอกไม่น้อย แต่ปัญหาคือภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่เสื้อผ้ายังเปียกปอน ต่อให้ใส่ยาและพันแผลก็คงไม่ได้ผลสักเท่าไร ทางที่ดีต้องหาสถานที่แห้งสะอาดและปลอดภัยให้ได้ก่อน
ถังฟั่นเริ่มกลุ้ม แต่มือไม้กลับมิได้หยุดชะงักเพราะเหตุนี้
เขาเอายาออกมา คลำหาปากแผลแล้วโรยยาลงไป จากนั้นฉีกชายเสื้อของตนเองพันแผลให้นาง
“แม่นางตู้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง อย่าหลับ พูดกับข้า!” เขาตบแก้มตู้กุยเอ๋อร์เบาๆ
“ข้า…ข้า…” ตู้กุยเอ๋อร์กัดฟัน สุ้มเสียงเบาหวิว
“อดทนหน่อย อีกสองชั่วยามฟ้าจะสว่างแล้ว ถึงตอนนั้นก็หาทางออกได้”
รัตติกาลมืดมิด บวกกับหลงทาง ทั้งตื่นตระหนกไม่หยุด สุดจะทานทนจริงๆ
แต่หากสามารถใช้สติปัญญาแก้ไขได้ เช่นนั้นยังไม่นับว่ายากเย็นเข็ญใจ
ที่ชวนให้ผู้คนสิ้นหวังมิใช่สภาพแวดล้อมอันหฤโหด แต่เป็นทิศทางเบื้องหน้าที่สุดจะคาดเดา
ตู้กุยเอ๋อร์ขยับตัวเบาๆ ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่
สายลมยังหวีดหวิว เจือเสียงอาวุธและเกือกม้าที่ประชิดใกล้ ไม่ว่าพวกเขาเดินไกลเพียงใดก็เหมือนจะไม่อาจสลัดหลุดจากทหารม้าที่ตามติดเหมือนเงาตามตัวเหล่านี้ พวกมันเกาะติดล้อมหน้าล้อมหลังพวกเขาอย่างไม่ลดละ
การเข่นฆ่าสังหารปรากฏในครรลองสายตา นี่เป็นสมรภูมิโบราณที่ไม่ทราบผ่านมานานเท่าใดแล้ว ลมฝนและพายุทรายนำพาพวกเขากลับมาสู่สนามรบแห่งนี้ ให้ได้พบเห็นเหตุการณ์ซึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีตกับตา
เสียงโหยหวนของอาชา เสียงร้องอนาถของทหารที่ถูกฆ่า เสียงห้ำหั่นของศัสตราวุธ เสมือนจริงราวกับมิใช่ภาพหลอน บันดาลให้รู้สึกว่าพริบตาถัดไปหอกดาบเหล่านี้ก็จะกระหน่ำใส่ศีรษะตน
ด้วยอานิสงส์ของฉากประหัตประหาร แม้ตู้กุยเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ แต่จิตใจยังคงเครียดเกร็ง จึงไม่ถึงกับหมดสติไป
แม้ทราบดีว่ามองไม่เห็น แต่นางยังพยายามลืมตา หมายกวาดมองโดยรอบให้ประจักษ์ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
ทันใดนั้น แขนนางพลันถูกมือที่เย็นเฉียบข้างหนึ่งคว้าไว้
“อ๊า!!!” ตู้กุยเอ๋อร์ตกใจสุดขีด กรีดร้องออกมาอย่างสุดกลั้น
เสียงกรีดร้องของตู้กุยเอ๋อร์เปรียบเหมือนมือที่ไร้รูปบีบรัดหัวใจของถังฟั่น
พริบตานั้นหัวใจของเขาพลอยเต้นโครมคราม ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงร้องของตู้กุยเอ๋อร์
ชั่ววูบถัดมาเสียงร้องของนางพลันหยุดกึก คล้ายถูกใครปิดปากกะทันหัน
ถังฟั่นใจหายวาบ “แม่นางตู้?”
เขาหันขวับกลับมา แม้จะมองไม่เห็นสิ่งใดก็ตาม
“ข้าเอง” สุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู
อาจเพราะลมหนาว น้ำเสียงนั้นจึงเย็นเยียบกว่าปกติมาก แต่นั่นไม่ส่งผลต่อความคุ้นเคยที่ถังฟั่นมีต่อเสียงนี้
เป็นสุยโจว!
เพราะในตอนแรกมองไม่เห็นคน สุยโจวจึงคิดว่าตู้กุยเอ๋อร์คือถังฟั่น
หลังเอามือปิดปากตู้กุยเอ๋อร์ เขาส่งเสียงแสดงฐานะของตนเอง ต่อมารู้สึกอีกฝ่ายผ่อนคลายลงจึงค่อยปล่อยมือ หันไปคว้าแขนถังฟั่นแล้วพาพวกเขาก้าวสวบๆ ขึ้นหน้า
“ก่วงชวน ช้าหน่อย แม่นางตู้ได้รับบาดเจ็บ” ถังฟั่นลดเสียงลงขณะกล่าวอย่างร้อนรน
ฝีเท้าของคนข้างหน้าช้าลงเล็กน้อย แต่ยังคงรีบเร่ง
ถังฟั่นจำต้องจับตู้กุยเอ๋อร์แน่นขึ้นด้วยกลัวนางตามไม่ทัน
เสียงฆ่าฟันโดยรอบยังคงก้องดัง ไม่มีวี่แววหยุดพัก พวกเขาราวกับอยู่ในสงครามอสูรอันหฤโหด แม้กระทั่งเสียงเลือดสดกระเซ็นสาดยังแทรกอยู่ในเสียงลม
ทว่าข้างกายมีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง ถังฟั่นก็รู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อย
ทันใดนั้นสุยโจวพลันชะงักฝีเท้า ถังฟั่นกับตู้กุยเอ๋อร์ก็พลอยหยุดเท้าไปด้วย
ไม่รอพวกเขาไถ่ถาม ได้ยินสุยโจวชักดาบจากฝัก คล้ายต้อนรับดาบกระบี่ที่รุกเข้ามา อาวุธของสองฝ่ายปะทะกันเสียงดังสนั่น
“เป็นพี่ใหญ่ใช่หรือไม่! พี่ใหญ่ พวกเราเอง เหวยซานกับหลูเหยี่ยน!” ฝ่ายตรงข้ามร้องบอก
“ใช่” สุยโจวรับคำกระชับสั้น มือหนึ่งเก็บดาบเข้าฝัก อีกมือยังจับแขนถังฟั่นไว้แน่น
ถังฟั่นลิงโลดในใจเมื่อเห็นเงาร่างสองสายรางๆ ถลันถึงเบื้องหน้าพวกเขาท่ามกลางความมืด
อีกฝ่ายตื่นเต้นดีใจเช่นกัน “พี่ใหญ่ หลูเหยี่ยนบาดเจ็บไม่น้อย ตอนนี้พวกเราจะออกจากสถานที่ปีศาจแห่งนี้อย่างไร”
สุยโจวมิได้กล่าวมากความ “ที่นี่ไม่เหมาะอยู่นาน หาที่หลบก่อน!”
ถังฟั่นโพล่งขึ้น “เมื่อครู่แม่นางตู้บอกว่าเชิงเขาหมานฮั่นมีถ้ำแห่งหนึ่งใช้พักผ่อนชั่วคราวได้”
“ทิศใด” สุยโจวถาม
เขาถามอย่างห้วนสั้น ถังฟั่นกลับกระจ่างทันใด “จากตำแหน่งที่พวกเราตั้งกระโจม น่าจะเป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวยหนิงไห่จื่อ”
สุยโจวเงียบไปอึดใจ “ตามข้ามา”
เขาพาถังฟั่นและตู้กุยเอ๋อร์เปลี่ยนทิศทางเดิน เหวยซานและหลูเหยี่ยนสองคนตามติดด้านหลังกระชั้นชิด
ถังฟั่นพยุงตู้กุยเอ๋อร์ แม้มีเสื้อผ้าขวางกั้น หากยังคงรู้สึกถึงความร้อนในตัวของอีกฝ่ายพุ่งสูงขึ้นไม่หยุด ตรงข้ามกับฝีเท้าของนางที่กลับเฉื่อยช้าลงทุกที
“แม่นางตู้ อย่าหลับ อดทนอีกเดี๋ยว ใกล้ถึงแล้ว!” เขาบอกกับตู้กุยเอ๋อร์
แต่คนในอ้อมแขนมิได้ขานรับ ก็ไม่รู้ว่าหมดสติหรือหมดแรงตอบ
ถังฟั่นจนใจ ได้แต่หยิกแขนนางเต็มแรง
ตู้กุยเอ๋อร์สะดุ้งเฮือก ยามนี้ค่อยเปล่งเสียงระโหย “ข้าตื่นแล้ว อย่าหยิก เจ็บ…”
ถังฟั่นหัวเราะมิได้ร่ำไห้มิออก “เช่นนั้นก็พูดสิ!”
ตู้กุยเอ๋อร์เอ่ยอย่างอ่อนแรง “พูดอะไร…”
“อะไรก็ได้”
“ข้า…ท่องคัมภีร์แพทย์แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงหมดสติจริงๆ…ผู้เป็นแพทย์รักษาโรคพึงมีปณิธานแน่วแน่…ไม่โลภโมโทสัน พึงมีจิตใจกรุณา ช่วยผู้ตกทุกข์…หากมีผู้เจ็บไข้ได้ป่วยมาขอให้รักษา ไม่อาจซักถามยากดีมีจน…”
ท่ามกลางเสียงพึมพำของนาง ทุกคนย่ำเดินไปบนกรวดทรายและดงหญ้า ระหว่างทางยังสะดุดหินก้อนใหญ่หลายครั้ง จวบจนถังฟั่นโรยแรง รู้สึกจะทานน้ำหนักของตู้กุยเอ๋อร์ไม่ไหว ค่อยพบว่าฝีเท้าของสุยโจวชะลอช้าลง
“ถึงแล้ว?”
เขาเหงื่อผุดเต็มหน้า ยามนี้ถึงสังเกตว่าพวกตนออกห่างจากสมรภูมิแห่งนั้นขึ้นทุกที แม้แต่เสียงฆ่าฟันก็ถูกโยนไว้เบื้องหลัง
“เดี๋ยว” สุยโจวคลายมือจากเขา “พวกเจ้ายืนอยู่ตรงนี้นิ่งๆ ข้าสำรวจเส้นทางก่อน”
ชั่วครู่ให้หลัง ถังฟั่นเห็นแสงไฟวาบขึ้นในความมืด สะท้อนให้เห็นโครงหน้าอันเลือนรางของสุยโจว
แสงไฟเล็กๆ ในความมืดนี้เรียกได้ว่าล้ำค่ามาก ไม่เพียงถังฟั่น คนอื่นๆ ก็กลั้นหายใจจ้องมองแท่งจุดไฟในมือสุยโจวเช่นกัน
บนตัวถังฟั่นก็พกแท่งจุดไฟ แต่ครู่ก่อนวิ่งเตลิดตลอดทาง ทั้งลมทั้งฝนและศัตรูแปลกหน้า หากจุดไฟจะทำให้ตนเองตกเป็นเป้าโจมตีได้ การทำเช่นนี้ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง
หลังสุยโจวเขย่าเล็กน้อย แสงไฟก็ยิ่งสว่างขึ้น
อาศัยแสงไฟอันริบหรี่ ทุกคนเห็นชัดถึงสภาพของตนเอง พวกเขาทั้งหมดกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งใหญ่พอสมควร สามารถช่วยกันลมได้บ้าง ใบไม้ถูกลมพัดดังซ่าๆ ขณะเดียวกันก็กลบเสียงฆ่าฟันที่ดังมาจางๆ
เหวยซานอยากเอาแท่งจุดไฟออกมาจุดเช่นกัน กลับถูกสุยโจวห้ามไว้ “อย่าสิ้นเปลือง”
ถังฟั่นเห็นองครักษ์เสื้อแพรอีกคนยืนพิงร่างเหวยซาน คนนั้นคือหลูเหยี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บนั่นเอง อาการของเขาคล้ายสาหัสกว่าตู้กุยเอ๋อร์ ยามนี้สองตาปิดสนิท ไม่กระดุกกระดิก ยังต้องอาศัยเหวยซานพยุงไว้ครึ่งตัว
“ใช่ถ้ำนั้นหรือไม่” สุยโจวถามถังฟั่น
ผู้ตอบคือตู้กุยเอ๋อร์ “ใช่ ถ้ำนั้น แต่ข้าไม่เคยเข้าไป ไม่รู้ว่าข้างในมีอันตรายหรือไม่”
ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญแล้ว แม้ฝนเบาลงมาก แต่ยังตกตลอด บวกกับลมราตรีหนาวเย็นเสียดกระดูก ทุกคนทั้งเหนื่อยทั้งหิว จิตใจเขม็งเกร็งเกินกว่าที่ร่างกายจะทานทน โดยเฉพาะตู้กุยเอ๋อร์และหลูเหยี่ยนยิ่งจำเป็นต้องมีที่พักรักษาอาการบาดเจ็บ
สุยโจวสั่งคำหนึ่ง ทั้งหมดก็วิ่งเหยาะๆ กระโดดข้ามแอ่งหลุมใต้ฝ่าเท้าเข้าสู่ถ้ำนั้น
เมื่อเข้าด้านในจึงค่อยพากันรู้สึกโล่งอก
แม้พายุฝนยังพัดเข้ามาไม่ขาดสาย แต่อย่างไรย่อมสบายกว่าอยู่ข้างนอกมากนัก
สุยโจวค่อยๆ เคลื่อนแท่งจุดไฟในมือไปตามเส้นสายตาพลางสำรวจสภาพในถ้ำ
เหนือพื้นมีกรวดหิน ขรุขระไม่เรียบ ทว่าเพียงค้างคืนหนึ่ง เหล่านี้ล้วนมิใช่ปัญหา
ตู้กุยเอ๋อร์กล่าวไม่ผิด ถ้ำแห่งนี้สูงและกว้างพอสมควร ซ้ำยังลึกมาก ด้วยแสงไฟริบหรี่ในมือสุยโจวไม่มีทางส่องถึงท้ายถ้ำได้
เขาเดินลึกเข้าไปช่วงหนึ่ง พบบริเวณที่ค่อนข้างแห้งจึงให้ถังฟั่นและเหวยซานพยุงคนเจ็บทั้งสองไปนั่งลงก่อน
อาศัยแสงไฟจากแท่งจุดไฟเป็นเวลานานคงไม่ได้ ทั้งยังไม่อาจให้ความอบอุ่นอีกด้วย
เหวยซานกวาดมองโดยรอบ “พี่ใหญ่ ข้าจะเข้าไปดูข้างในว่ามีกิ่งไม้แห้งหรือไม่”
“อย่าเดินลึกเกินไป ถ้าผิดสังเกตให้ส่งสัญญาณ” สุยโจวกำชับ
เหวยซานรับคำ ก่อนล้วงบ้องไม้ไผ่จากอกเสื้อ ดึงแท่งจุดไฟจากในนั้นออกมาจุดค่อยเดินลึกเข้าไป
สุยโจวเดินไปนั่งยองๆ ที่ด้านข้างหลูเหยี่ยนเพื่อสำรวจบาดแผลให้เขาก่อน
หลูเหยี่ยนอาการสาหัส บริเวณเอวโดนฟันหนึ่งแผล ลึกขนาดกระดูกโผล่ออกมา และยังมีบาดแผลใหญ่น้อยตามตัว เพราะต้องเร่งเดิน เหวยซานจึงหมดปัญญาทำแผลให้เขา การเสียเลือดมากทำให้เขาซีดขาวไปทั้งหน้า
สุยโจวเอายาสมานแผลโรยบนปากแผล หลูเหยี่ยนเจ็บแสบจนกระตุกเล็กน้อยคล้ายอยากดิ้นหนี แต่ถังฟั่นกดไว้แน่นแต่แรกแล้ว
ด้วยความช่วยเหลือของถังฟั่น สุยโจวฉีกชายเสื้อออกมาพันแผลให้หลูเหยี่ยน ก่อนหันไปดูตู้กุยเอ๋อร์
แม้อาการของแม่นางคนนี้เบากว่าหลูเหยี่ยน แต่อย่างไรก็เป็นสตรี ยามปกติไม่เคยได้รับความทุกข์ยากอันใด พอเจ็บขึ้นมาก็ล้มทรุด คล้ายอาการหนักกว่าหลูเหยี่ยนเสียอีก
ถังฟั่นแตะหน้าผากนาง…ร้อนผ่าว อดปั้นหน้าเครียดมิได้
“ให้นางกินยาก่อน” สุยโจวบอก
“ที่นี่ไม่มีน้ำ” ถังฟั่นหยิบขวดยาออกมา มุ่นคิ้วอย่างลำบากใจ
สุยโจวกลับมิได้อ่อนโยนเช่นเขา รับขวดยาแล้วเทออกมาหลายเม็ด จากนั้นบีบคางตู้กุยเอ๋อร์ ยัดยาใส่ลงไป ตบแก้มสองข้างของนางพลางสั่งว่า “กลืนลงไป”
เรียบง่ายแต่หยาบเถื่อนโดยแท้
“…”
พวงแก้มของตู้กุยเอ๋อร์โดนตบจนบวมแดง นางกลืนยาลงไปอย่างยากเย็น สำลักจนไอครั้งแล้วครั้งเล่า ไอจนหน้าแดงก่ำ
ถังฟั่นช่วยลูบหลังนางเบาๆ ให้อีกฝ่ายทุเลาอาการไอ
สุยโจวเห็นความอาทรอันอ่อนโยนของเขา คิ้วพลันขมวดเล็กน้อย แต่มิได้ปริปาก
ยามนี้ย่อมมิใช่เวลาเจรจาเรื่องส่วนตัว
“หากิ่งไม้แห้งเจอแล้ว” เหวยซานวิ่งดีอกดีใจออกมาจากข้างใน ในมือถือแท่งจุดไฟ อีกมือหอบกิ่งไม้จำนวนหนึ่ง
“มาจากที่ใด” ถังฟั่นกังขา ในถ้ำจะมีกิ่งไม้แห้งได้อย่างไร
เหวยซานสั่นหน้า “ไม่ทราบขอรับ ในนั้นเห็นมีซากกองไฟ คิดว่าก่อนหน้านี้อาจจะมีนายพรานเข้ามาค้างแรม ข้าจึงหยิบฟืนที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา”
แม้การคาดคะเนนี้ไม่สมเหตุสมผลนัก แต่ก็ไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ ทั้งยังมิใช่เวลามาสืบสาวเอาความ ถังฟั่นรับกิ่งไม้มาช่วยก่อไฟ
ไฟกองหนึ่งมีประโยชน์มากมายภายใต้สถานการณ์บางอย่าง
เมื่อมีกองไฟ ในถ้ำพลันสว่างไสวไม่น้อย พาให้ผู้คนรู้สึกถึงไออุ่นไปด้วย
ที่สำคัญก็คือมันปัดเป่าลมหนาวและฝนเย็น รวมถึงความหวาดหวั่นจากการถูกคุกคามทั้งปวงที่นอกถ้ำ ทำให้ผู้คนมองเห็นความหวัง
แม้ตู้กุยเอ๋อร์จะอยู่ในห้วงสติขาดๆ หายๆ ก็อดขยับเข้าหาความอุ่นจากกองไฟมิได้
ถังฟั่นเห็นเข้าจึงพยุงนางขึ้นมา ช่วยพานางไปนั่งข้างกองไฟ
เสียดายผ้าห่มทั้งหมดถูกทิ้งไว้ในกระโจม ผืนเดียวที่คลุมตัวออกมาก็ถูกโยนไว้กลางทาง ยามนี้นอกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ไม่มีใครที่มีเสื้อผ้าเหลือพอให้นำมาปูพื้นหรือห่มตัว
ถังฟั่นเห็นตู้กุยเอ๋อร์หนาวสั่นรุนแรงก็อยากจะถอดเสื้อตัวนอกของตนให้ หากเพิ่งขยับก็ถูกมือข้างหนึ่งกดไว้
“เจ้าอยากถูกพิษไอเย็นหรือ” ผู้บังคับการสุยปั้นหน้าเคร่งขรึม
“แต่นางหนาวมากนี่นา” ถังฟั่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยความฉงน
“ก่อไฟแล้ว เดี๋ยวก็อุ่นขึ้น” สุยโจวโยนกิ่งไม้เข้าไป เปลวไฟยิ่งลุกโชน
เห็นเขาไม่อนุญาต ถังฟั่นก็จนใจ ได้แต่ล้มเลิกความคิด
นอกจากผู้บาดเจ็บสองคน สามคนที่เหลือล้วนนั่งผิงไฟอยู่ข้างกองไฟ รอเสื้อผ้าแห้งไปในตัว
ถังฟั่นนึกถึงเมื่อครู่ที่มืดสนิทจนยื่นมือไม่เห็นนิ้ว ใครก็มองไม่เห็นทาง และไม่กล้าเอาแท่งจุดไฟออกมาจุด ทว่าสุยโจวกลับหาที่ตั้งของถ้ำได้อย่างแม่นยำ เขาจึงอดถามมิได้ “เมื่อครู่มืดออกปานนั้น ท่านจำแนกทิศได้อย่างไร”
สุยโจวล้วงวัตถุขนาดเล็กชิ้นหนึ่งจากอกเสื้อออกมายื่นส่งให้
ถังฟั่นรับไปดู อดร้องเอ๊ะมิได้
นี่คือจานเข็มทิศอันหนึ่ง
ตอนออกนอกเมือง ชูอวิ๋นจื่อก็พกพาจานเข็มทิศมาด้วย แต่ของสุยโจวอันนี้กลับเล็กกว่าของชูอวิ๋นจื่อหลายเท่า ขนาดราวครึ่งฝ่ามือได้ ซ้ำยังจัดทำอย่างประณีตมาก
บนจานเข็มทิศสลักตำแหน่งปากว้า* ตรงกลางยังมีเข็มเล่มหนึ่งกระดิกเบาๆ
คิดว่าสุยโจวคงใช้มือคลำเข็มและตัวอักษรที่สลักอยู่บนนั้นจึงสามารถจำแนกทิศได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านเอามาจากที่ใด” ถังฟั่นรู้สึกนึกชอบจนวางไม่ลง
“ก่อนออกจากเมืองหลวงข้าไปขอจากสำนักโหรหลวง ถ้าเจ้าอยากได้ รอกลับเมืองหลวงข้าจะขอให้เจ้าอันหนึ่ง” สุยโจวบอก
เขาพูดอย่างกับเป็นผักกาดขาว ต้องการเท่าไรมีเท่านั้น ความจริงจานเข็มทิศขนาดเล็กกะทัดรัดเช่นนี้ประดิษฐ์ยากมาก ทั่วทั้งต้าหมิงมีอยู่แค่สามอันเท่านั้น อันหนึ่งถวายองค์จักรพรรดิ อีกสองอันเก็บไว้ที่สำนักโหรหลวง สุดท้ายสุยโจวขอมาอันหนึ่ง ยามนี้เพื่อเอาใจถังฟั่น เกรงว่าหนึ่งอันที่เหลือก็คงไม่ยอมให้ผู้อื่นเก็บไว้
ถังฟั่นกลับส่ายหน้า “รอกลับไปค่อยว่ากันเถอะ ว่าแต่คืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือนั่นก็คือภูตทหารผ่านทางที่ชูอวิ๋นจื่อพูดถึง?”
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หากเดาไม่ผิด ตั้งแต่ก้าวแรกที่พวกเราเข้าสู่เวยหนิงไห่จื่อก็ตกอยู่ในค่ายกลของฝ่ายตรงข้ามแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือหลุมพราง”
ถังฟั่นมิได้เร่งร้อนป้อนคำถาม แล้วก็เป็นอย่างที่คิด สุยโจวหยุดนิดหนึ่งก็ขยายความต่อ “หลังข้าออกจากกระโจม ตรวจดูรอบหนึ่งไม่พบความผิดปกติ เดิมจะกลับไปหาพวกเจ้า กลับหากระโจมที่พวกเจ้าอยู่ไม่พบ ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่กระโจมของคนอื่นๆ ก็หาไม่พบเช่นกัน”
เหตุการณ์นี้เหมือนที่ถังฟั่นประสบไม่มีผิด
“พี่ใหญ่ พวกเราก็เหมือนกัน” เหวยซานเอ่ยแทรกขึ้น
สุยโจวผงกศีรษะ “ต่อมาข้าใช้จานเข็มทิศเสาะหาตำแหน่ง ปรากฏว่าระหว่างทางกลับถูกจู่โจม”
“จู่โจม?” ถังฟั่นขมวดคิ้ว
“มิใช่แค่คนเดียว ซ้ำพลังฝีมือไม่เลว ออกจะเปลืองแรงในการรับมืออยู่บ้าง ข้าจึงสู้ไปถอยไป คิดไม่ถึงต่อมาจับพลัดจับผลูได้เจอพวกเจ้าโดยบังเอิญ”
ถังฟั่นฟังจบก็มองไปทางเหวยซาน “พวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือไม่”
เหวยซานสูดหายใจลึก “ขอรับ พวกเราถูกโจมตีอย่างหนัก หลูเหยี่ยนก็ได้รับบาดเจ็บตอนนั้น หนำซ้ำรอบตัวมีแต่ทหาร พวกเราฝ่าวงล้อมออกมาไม่ได้เลย ดูท่าภูตทหารผ่านทางที่นักพรตชูอวิ๋นจื่อพูดถึงคงเป็นเรื่องจริง น่ากลัวเหลือเกิน!”
เขาทำหน้าหวาดผวาเมื่อย้อนนึกภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น
พวกเขาเหมือนถูกพันพลหมื่นม้าห้อมล้อมแน่นหนา ดวงวิญญาณที่ล่วงลับนานปีกลับยังไม่สูญสลายเหล่านั้นวนเวียนอยู่รอบตัว กลุ้มรุมโจมตีพวกเขาอย่างดุเดือด เหวยซานและหลูเหยี่ยนได้รับความตื่นตระหนก เดิมทีก็หวาดหวั่นขวัญผวา บวกกับมีคนน้อยกว่า ไหนจะต้องคอยหลบมิให้โดนม้าเหยียบ ไม่ช้าจึงตกเป็นรอง สุดท้ายเป็นหลูเหยี่ยนโหมกำลังที่มีทั้งหมดพาพวกเขาทั้งสองฝ่าวงล้อมออกมา และได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุนี้
ถังฟั่นถาม “คนที่โจมตีพวกเจ้าใช้อาวุธอะไร”
เหวยซานส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ตอนนั้นชุลมุนมาก พวกเราก็มองไม่เห็น ได้แต่เงี่ยหูคอยฟัง ทว่าบาดแผลของหลูเหยี่ยนเกิดจากคมดาบ”
ถังฟั่นถามสุยโจว “แล้วท่านเล่า”
“มีดาบ และมีกระบี่”
“ไม่มีหอกยาว ทวนยาว?”
“ไม่มี”
คำตอบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจทำให้ถังฟั่นเข้าสู่ภวังค์ความคิด อึดใจใหญ่เขาค่อยส่ายหน้าไปมา “ภูตทหารผ่านทางเป็นเรื่องจริง แต่ภูตผีเอาชีวิตผู้คนกลับไม่แน่ว่าจริง ก็เหมือนกับที่ท่านบอก นี่เป็นหลุมพราง”
“การเข่นฆ่าศัตรูบนสนามรบ เพื่อให้สามารถสังหารได้ในระยะไกล ปกติไม่นิยมใช้อาวุธอย่างดาบหรือกระบี่ แต่มักเลือกใช้อาวุธยาว เช่นหอก ทวน ง้าว ขวานสองคม” สุยโจวกล่าว
ถังฟั่นผงกศีรษะ “มิผิด ปัญหาอยู่ตรงนี้นั่นเอง ลองคิดดู สมมติข้าศึกที่โจมตีพวกเราเป็นวิญญาณทหารในสงครามระหว่างมองโกลกับอาณาจักรจินจริง ไยจึงใช้ดาบและกระบี่เล่า ดูท่าคงมีคนหยิบยืมเรื่องภูตทหารผ่านทางมาสังหารพวกเรา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการวางแผนล่วงหน้า เริ่มจากพายุฝนกระหน่ำ ฟ้าร้องกึกก้อง จากนั้นก็เป็นภูตทหารผ่านทางลอบวางกำลังซุ่มโจมตี ต่อให้หลี่จื่อหลงเก่งกาจปานใดก็ไม่มีทางเรียกลมเรียกฝนได้แน่ อย่างมากก็อาศัยธรรมชาติมาทำให้แผนอุบายลุล่วง เดาว่าภูตทหารผ่านทางก็คงเกิดจากสาเหตุนี้ และทหารต้าหมิงที่บ้างตายบ้างสาบสูญในช่วงก่อนต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
สุยโจวเงียบงันอยู่อึดใจ “ดังนั้นตอนนี้ได้แต่รอฟ้าสว่างแล้ว”
หลังฟ้าสว่าง พายุฝนจางหาย ค่ายกลย่อมสลายไปเองโดยไม่ต้องทำลาย
เหวยซานกลับมีข้อสงสัยมากมาย “หากมิใช่ภูตทหาร เช่นนั้นคนที่โจมตีจะเป็นใคร ขนาดพวกเรายังมองไม่เห็นทาง ไฉนพวกมันกลับมองเห็นและโจมตีพวกเราได้”
องครักษ์เสื้อแพรได้รับการฝึกฝนยาวนาน เดิมไม่ควรอ่อนแอเช่นนี้ แต่ทั้งหมดที่เหวยซานประสบเมื่อครู่ออกจะพิสดารเกินไปจริงๆ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เฉพาะแค่การใช้ภูตทหารผ่านทางมาจัดวางค่ายกลอย่างที่ถังฟั่นบอก นี่ก็ไม่เคยได้ยินแล้ว
เขายังจำได้ ขณะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม เพราะมองไม่เห็นจึงได้แต่ใช้หูไปฟัง แม้กล่าวว่าผู้ฝึกยุทธ์มักมีประสาทหูดีเป็นพิเศษ แต่ต่อให้ดีเพียงไรก็คงไม่ดีกว่าสายตา ทุกครั้งตนล้วนตอบโต้ได้ช้าไปครึ่งจังหวะ แต่คนของฝ่ายตรงข้ามกลับคล้ายมองเห็นพวกเขาในความมืดได้ นี่จึงทำให้เหวยซานและหลูเหยี่ยนตกเป็นฝ่ายตั้งรับตลอดเวลา
ปัญหานี้ต่อให้ถังฟั่นฉลาดปานใดก็อธิบายไม่ถูกเช่นกัน เขาได้แต่สั่นหน้า กล่าวตามสัตย์ “ข้าก็ไม่รู้”
สุยโจวกลับเอ่ยขึ้น “ข้าเคยได้ยิน มีบางคนเคยผ่านการฝึกฝนแบบพิเศษ สามารถทำได้ถึงระดับนี้จริง ยิ่งกว่านั้นอาจฝึกถึงขั้นใช้ประสาทหูแทนสายตาในขณะที่อยู่ท่ามกลางความมืด เป็นได้ว่าคนเหล่านั้นอาจมองไม่เห็นเช่นกัน แต่ยังคงสามารถจำแนกทิศทางได้ ดูท่ากลับไปคราวนี้การฝึกซ้อมของกองปราบฝ่ายเหนือคงได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรายการแล้ว”
“…”
เหวยซานได้แต่นิ่งอึ้ง เดี๋ยวก่อน เขาแค่สงสัยจึงสอบถามเท่านั้น ไฉนทำให้ท่านผู้บังคับการโยงไปถึงการเพิ่มรายการฝึกซ้อมของกองปราบฝ่ายเหนือไปได้เล่า
หากพวกพ้องรู้เข้าคงได้เกลียดเขาแทบตายแน่!
พอนึกถึงวิธีการฝึกซ้อมของสุยโจวที่ผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย เหวยซานก็อดตัวสั่นมิได้
แต่จะว่าไปเขาก็ตระหนักดี หากมิใช่เพราะความเข้มงวดกวดขันของสุยโจว ดีไม่ดีเมื่อครู่พวกเขาอาจหนีออกมาไม่ได้แล้ว
นึกถึงภาพที่หลังจากกลับไปต้องถูกทารุณอย่างหนักในลานฝึกทุกวัน เหวยซานพลันรู้สึกว่า ‘ภูตทหาร’ เหล่านั้นอันที่จริงก็มิได้น่ากลัวอันใด
ถังฟั่นทอดถอนใจ “ไม่รู้พวกวังจื๋อเป็นอย่างไรบ้าง”
สุยโจวเอ่ยชืดๆ “เขานิสัยกลอกกลิ้ง ย่อมไม่เป็นไรแน่”
“…”
คำพูดนี้ฟังเผินๆ เหมือนปลอบใจ แต่คิดอีกทีไยคล้ายเป็นคำด่า
แม้ฝนด้านนอกจะตกไม่หนักเท่าตอนพวกเขาเพิ่งออกจากกระโจม หากก็มิได้หยุดลง มองจากในถ้ำ ด้านนอกมืดสนิท ยิ่งหนุนให้ภายในถ้ำอบอุ่นมีชีวิตชีวา
เหวยซานเอ่ยน้ำเสียงวิตก “พวกเราจุดไฟเช่นนี้ คนที่ซุ่มโจมตีจะตามแสงไฟมาหรือไม่”
ถังฟั่นและสุยโจวล้วนตอบข้อสงสัยนี้ไม่ได้เช่นกัน
ความจริงพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น หากปราศจากไฟกองนี้ หลูเหยี่ยนและตู้กุยเอ๋อร์อาจไข้ขึ้นสูงจนถึงแก่ชีวิตได้
อีกประการคือเมื่อมีแสงไฟ ไม่เพียงฝ่ายศัตรูสามารถมองเห็น พวกวังจื๋อก็สามารถมองเห็นเช่นกัน ไม่แน่อาจตามมาสมทบก็เป็นได้
บนโลกหามีเรื่องราวที่ดีพร้อมสองฝ่ายไม่ ภายใต้สถานการณ์ที่ข้อดีมากกว่าข้อเสีย การก่อกองไฟคือทางเลือกที่ดีที่สุด
เปลวไฟลุกโชน ทุกคนเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น เสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวก็ไม่ชวนให้อึดอัดแล้ว ถังฟั่นได้ยินตู้กุยเอ๋อร์งึมงำว่ากระหายน้ำ จึงเก็บใบไม้ขึ้นมาใบหนึ่ง เดินออกไปรองน้ำฝนที่หน้าถ้ำนำมาป้อนนาง แล้วแตะหน้าผากนาง คงเพราะยาเริ่มออกฤทธิ์ หน้าผากของตู้กุยเอ๋อร์จึงไม่ร้อนผ่าวเหมือนครู่ก่อนแล้ว เขาค่อยเบาใจขึ้นบ้าง
คืนนี้วุ่นวายอยู่ค่อนคืน ทั้งวิ่งหนี ทั้งหลบการโจมตี ไม่ได้หลับได้นอน ถังฟั่นรู้สึกเพลียจัด หลังกลับมานั่งลงอีกครั้งก็ทะเลาะกับหนังตาตลอด หลับไปเมื่อใดก็หารู้ไม่
เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เข้าสู่ครรลองสายตาคือเปลวไฟที่โชติช่วง ถังฟั่นขยับตัวเล็กน้อย พบว่าตนเองกำลังนั่งอิงสุยโจวอยู่ มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายโอบเอวเขาไว้ แทบจะกอดเขาไว้ในอ้อมอกทั้งตัว กระทั่งเสื้อชั้นนอกของอีกฝ่ายก็ไม่ทราบมาคลุมอยู่บนร่างตนตั้งแต่เมื่อใด
ถังฟั่นอดจะตื้นตันมิได้ แม้ท่าทางเช่นนี้ชวนให้กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าขยับห่างเพราะเกรงจะทำให้สุยโจวตื่น
ทว่าสุยโจวเป็นคนหลับตื้นและตื่นง่าย ดังนั้นจึงรู้สึกตัวไปด้วยตั้งแต่วูบแรกที่ถังฟั่นลืมตา
“อยู่เฉยๆ ถ้าขยับเสื้อจะร่วงลงไป” สุยโจวบอก
เขาไม่พูดยังพอว่า พอพูดขึ้นมาใต้เท้าถังก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกระโจมก่อนหน้านี้ ใบหน้างามสง่าพลอยระเรื่อ กระดากจนไม่ทราบจะทำเช่นไรดี
ดีที่แสงไฟสะท้อนผิวหน้า จึงมองไม่ค่อยออก
“กี่ยามแล้ว” เขาควานหาหัวข้อสนทนาเปะปะ
เหวยซานกำลังขดตัวนอนหลับอยู่อีกด้านของกองไฟ คนเจ็บสองคนก็สลบไสลไม่ได้สติ
“เจ้าเพิ่งหลับได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม” สุยโจวบอก
ถึงว่าข้างนอกยังมืดตื๋อ ถังฟั่นผิดหวังเล็กน้อย
ทว่าอึดใจถัดมาเขาพลันลุกขึ้นนั่งตัวตรง เสื้อตัวนอกที่สุยโจวห่มให้ลื่นหลุดลงไป
ไม่ใช่แค่เขา สุยโจวก็ตื่นตัวเช่นกัน หนำซ้ำเร็วกว่า คว้าดาบข้างมือได้ก็ลุกยืนขึ้น
เหวยซานก็สะดุ้งตื่นเช่นกัน
เส้นสายตาของทั้งสามตกลงที่นอกถ้ำ
ฝนยังตก แต่สิ่งที่พวกเขาเพ่งมองย่อมมิใช่สายฝน หากเป็นเงาคนวูบวาบที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงฝน
จะเป็นผู้ใด
มิตรหรือศัตรู?
ถังฟั่นลุกยืน ก่อนเดินไปหยุดที่ข้างกายตู้กุยเอ๋อร์และหลูเหยี่ยน
หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ เขาย่อมต้องดูแลสองคนนี้ให้ดี ไม่อาจทำให้สุยโจวกับเหวยซานห่วงหน้าพะวงหลัง
แต่เขาไม่ทันสังเกตว่าในมือตนเองยังกำเสื้อตัวนอกของสุยโจวอยู่ด้วย
เสียงฝีเท้ายิ่งมายิ่งใกล้ ทุกคนล้วนสะกดลมหายใจ จับจ้องเบื้องนอกเขม็ง
เงาคนที่ปรากฏตรงปากถ้ำคล้ายหวาดระแวงเช่นกัน ขณะเดินถึงหน้าถ้ำก็พลันชะลอช้า ยังชะโงกเข้ามาดูข้างในด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
เพียงเห็นอีกฝ่ายโผล่ศีรษะเข้ามาครึ่งหนึ่ง ถังฟั่นก็โพล่ง “ขุนพลเมิ่ง?”
อีกฝ่ายร้องอุทาน โผล่ศีรษะเข้ามาทั้งหมด สีหน้าตื่นเต้นลิงโลด “ใต้เท้าถัง ใต้เท้าสุย เป็นพวกท่านจริงด้วย”
ถังฟั่นอ่อนใจ “นี่มันวิธีสอดแนมของสำนักใดกัน เกิดพวกเราเป็นศัตรู เจ้าคงถูกจับไปแล้วกระมัง”
เมิ่งฉุนหัวเราะเขิน ก่อนพยุงผู้ร่วมทางอีกคนเข้ามา
ยามนี้พวกถังฟั่นค่อยสังเกตว่าคนที่เขาพยุงอยู่นั้นที่แท้เป็นชูอวิ๋นจื่อ
“นักพรตชูอวิ๋นจื่อ?”
ได้ยินเสียงถังฟั่น ชูอวิ๋นจื่อเงยหน้าอย่างยากเย็น แข็งใจส่งยิ้มให้พวกเขา
เสื้อผ้าของเขาชุ่มเลือดไปครึ่งแถบ หลังโดนน้ำฝนชะล้าง สีโลหิตจางลง แต่โลหิตก็ทะลักออกมาใหม่ไม่ขาดสาย ชุดนักพรตสีอ่อนทั้งตัวยามนี้แลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ทุกคนรีบขึ้นหน้าช่วยเหลือ รับชูอวิ๋นจื่อจากเมิ่งฉุน ประคองเขานั่งลง
“พวกเจ้าก็โดนโจมตีเหมือนกันหรือ” ถังฟั่นถาม
“ขอรับ” เมิ่งฉุนยิ้มขื่น เขาก็บาดเจ็บไม่น้อย คราบเลือดเกรอะกรัง โชคดีที่เป็นแค่บาดแผลภายนอก ไม่หนักหนาสาหัส “ข้าเจอนักพรตชูอวิ๋นจื่อระหว่างทาง และเห็นตรงนี้มีแสงไฟจึงรีบพาเขามา เมื่อครู่ยังได้ยินเสียงก่นด่าของพวกวังกงกงแว่วๆ เกรงว่าตอนนี้ทางพวกเขาคงย่ำแย่กว่าพวกเรา พอพวกข้าผละมา ภูตทหารเหล่านั้นต้องกรูเข้าใส่พวกเขาแน่ ใต้เท้ารีบรุดไปช่วยวังกงกงเถอะ”
ถังฟั่นสบตากับสุยโจว ฝ่ายหลังถามว่า “เจ้าแน่ใจว่าพวกเขายังตกอยู่ในวงล้อม?”
เมิ่งฉุนสูดหายใจลึก “ขอรับ ตอนแรกพวกเราโดนล้อมอย่างแน่นหนา เป็นวังกงกงช่วยแบ่งเบาไปส่วนหนึ่ง และให้พวกเรารีบมาส่งข่าวก่อน ข้าถึงได้พานักพรตชูอวิ๋นจื่อวิ่งหนีออกมา”
ถังฟั่นเรียกขึ้น “ก่วงชวน?”
ทั้งสองสามารถส่งใจถึงกัน หลายคราไม่จำเป็นต้องเอ่ยชัดก็ตระหนักในความคิดของอีกฝ่าย
สุยโจวผงกศีรษะเบาๆ หันมองเมิ่งฉุน “ตอนนี้เจ้ายังมีแรงสู้ศึกหรือไม่”
“มีขอรับ!” เมิ่งฉุนไม่ลังเล สีหน้าเคร่งขรึม “ข้าน้อยจะคุ้มกันที่นี่อย่างดี แม้ต้องแลกด้วยชีวิต!”
สุยโจวพยักหน้าและไม่รอช้า เขาเรียกเหวยซาน จากนั้นทั้งสองวิ่งตะบึงเข้าสู่ราตรีอันเวิ้งว้าง
ยามนี้ภายในถ้ำ ถังฟั่นไม่เป็นวิชายุทธ์ ชูอวิ๋นจื่อกับหลูเหยี่ยนบาดเจ็บสาหัส ตู้กุยเอ๋อร์มองข้ามไปได้ จึงเหลือแค่เมิ่งฉุนคนเดียว แต่ในเมื่อเขาสามารถพาชูอวิ๋นจื่อฝ่าวงล้อมออกมา คิดว่าพลังยุทธ์ก็คงไม่เลวร้ายเท่าใด หากมีเหตุร้ายยังพอต้านรับไหว
ถังฟั่นถามขึ้นว่า “ตอนที่เจ้าพบว่าที่นี่มีแสงไฟ ฝ่ายตรงข้ามมิได้ไล่ตามพวกเจ้ามาหรือ”
เมิ่งฉุนสั่นหน้า “ไม่มีขอรับ พื้นที่เคลื่อนไหวของภูตทหารเหล่านั้นคล้ายจำกัดอยู่แค่ในค่ายกล ขอเพียงพวกเราฝ่าวงล้อมออกมาได้ ก็ไม่มีใครไล่ตามมาแล้ว”
“ไม่ใช่ภูตทหาร” ถังฟั่นบอก
“หา?”
“พวกนั้นไม่ใช่ภูตทหาร เป็นเพียงมนุษย์ที่หยิบยืมเรื่องภูตทหารมาตบตาพวกเรา แล้วฉวยโอกาสโจมตีเท่านั้น” ถังฟั่นอธิบาย
“หรือเมื่อครู่ที่จะฆ่าพวกเรามิใช่ภูตผี แต่เป็นคน?” เมิ่งฉุนขนลุกซู่
ถังฟั่นพยักหน้า “ดังนั้นข้าจึงแปลกใจมากว่าไยพวกมันรู้ว่าพวกเราวิ่งมาที่นี่ แต่กลับไม่รุกไล่โจมตี”
เมิ่งฉุนงุนงง “แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร ตอนนั้นข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าถูกทหารม้าจำนวนมากโอบล้อมเอาไว้ ตลอดทั้งร่างเย็นเฉียบ ยังมีเสียงเกือกม้า เสียงเป่าเขาสัตว์…ถ้าไม่ใช่ภูตทหาร สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใดกัน”
ถังฟั่นบอกเล่าข้อสันนิษฐานของตนให้เขาฟัง เมิ่งฉุนยังคงปั้นหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก็คิดถ้อยคำโต้แย้งไม่ออก ประสบการณ์หนีตายเมื่อครู่ก่อนทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาในทันทีที่คลายจากอาการเครียดเกร็ง
ชูอวิ๋นจื่อทางด้านข้างหลับสนิทไปนานแล้ว ถังฟั่นเห็นเข้าก็บอกว่า “เจ้าก็นอนพักสักงีบเถอะ”
เมิ่งฉุนส่ายหน้า “ข้าน้อยยังต้องเฝ้าระวัง มิให้คนบุกเข้ามา ใต้เท้านอนก่อนเถอะ”
ถังฟั่นเพลียสุดขีดแล้ว ก่อนหน้าเพียงหลับตาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ไม่เพียงพอให้หายล้า ยามนี้จึงไม่เกรงใจ เอาเสื้อตัวนอกของสุยโจวคลุมตัวแล้วปิดตา
ในถ้ำตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง
เมื่อครู่เพราะเมิ่งฉุนกับชูอวิ๋นจื่อเข้ามา ตู้กุยเอ๋อร์ถูกรบกวนเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดมุ่นเบาๆ ท่าทางเหมือนกระวนกระวาย ปากก็ไม่ทราบกำลังงึมงำอันใด
เนื่องจากหลูเหยี่ยนกับชูอวิ๋นจื่อเจ็บหนัก ยามนี้จึงหลับสนิท เกรงว่าแม้แต่ฟ้าผ่าก็คงปลุกพวกเขาไม่ได้
เมิ่งฉุนกวาดมองรอบทิศ และดูสีท้องฟ้าด้านนอกที่ดำมืด หันกลับมามองข้างในอีกที เส้นสายตาตกลงบนร่างของถังฟั่น
ตลอดทั้งร่างถังฟั่นแทบจะขดซุกเข้าไปอยู่ในเสื้อตัวนั้นของสุยโจวเพราะความหนาว แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังหนาวไม่หาย ในฝันยังเหมือนตัวสั่นเบาๆ เพียงแต่ร่างกายอ่อนเพลียเกินไป จึงมิได้ตื่นขึ้นมา
เมิ่งฉุนขยับตัว หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมาเขวี้ยงออกนอกถ้ำ
เสียงตุ้บคราหนึ่งไม่ดังมากนัก แต่หากคนเหล่านี้หลับตื้นย่อมจะตกใจตื่นแน่
ทว่าก็ไม่มีผู้ใดตื่นขึ้นมา รวมทั้งถังฟั่น
เมิ่งฉุนยามนี้ค่อยลุกเดินไปทางถังฟั่นเงียบๆ พลางล้วงมีดสั้นจากแขนเสื้อ ค่อยๆ ชักออกจากฝักช้าๆ
ด้วยฝีมือระดับเขา มั่นใจได้เลยว่าเพียงพริบตาก็สามารถปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามได้
เมิ่งฉุนผุดยิ้มเหี้ยมเกรียม ขยับตัวตั้งท่าเตรียมกระโจน
จังหวะนั้นเองถังฟั่นพลันเบิกตาโพลง ส่งยิ้มให้เขา “เจ้าอดกลั้นอยู่นานแล้วกระมัง”
* โดนงูกัดหนึ่งวัน กลัวเชือกไปสิบปี หมายถึงพอถูกทำร้ายหรือทรมานครั้งหนึ่ง ย่อมกลายเป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัว
* ไห่จื่อ เป็นภาษามองโกล อันที่จริงแปลว่าทะเล ชาวมองโกลเรียกทะเลสาบว่าไห่จื่อ
* จั้ง เป็นหน่วยวัดความยาว เทียบได้ประมาณ 3.33 เมตร
** จักรพรรดิหวงตี้ หรือจักรพรรดิเหลือง เป็นหนึ่งในกษัตริย์ตามตำนานจีนและวีรบุรุษทางวัฒนธรรม
* อาณาจักรจิน หรือกิมก๊ก ค.ศ 1115 – 1234 สถาปนาขึ้นโดยชนเผ่าหนี่ว์เจิน
* วรรคหนึ่งของบทกวีชื่อ ‘นิราศถวายรายงาน มอบแด่ผู้ตรวจการโต้ว ข้าหลวงตรวจการซีซาน’ ของตู้ฝู่ กวีเอกยุคถัง โดยชุดปักหมายถึงขุนนาง ยืนใต้ฟ้าอุปมาถึงรับใช้เจ้าเหนือหัว ชุดลายหมายถึงบุตรเลี้ยงดูบุพการี และถิ่นกำเนิดหมายถึงที่อยู่ของพ่อแม่
** สี่ตำราห้าคัมภีร์ เป็นตำรามาตรฐานและปรัชญานิพนธ์ของลัทธิขงจื๊อ (ขงจื่อ) นักปราชญ์ผู้เสนอแนวคิดในการปฏิบัติตนให้อยู่ในจารีตประเพณี คุณธรรมอันดีงาม สี่ตำรา ได้แก่ หลุนอวี่ ต้าเสวีย จงยง และเมิ่งจื่อ ใช้กำหนดเนื้อหาของการสอบเข้ารับราชการของจีนโบราณ ห้าคัมภีร์ ได้แก่ ซือจิง ซูจิง อี้จิง หลี่จิง และชุนชิว
* หลิวป๋อเวินและซ่งเหลียน เป็นขุนนางในสมัยจักรพรรดิหงอู่ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง
** ดาบถัง คือชื่อเรียกโดยรวมของดาบสี่ชนิดของกองทัพในยุคสุยและถัง
* ซิ่งผู คือแอปปริคอต ซิ่งเหริน คืออัลมอนด์ และเหอเถา คือวอลนัท
* ปากว้า คือแผนภูมิแปดเอกลักษณ์ซึ่งใช้แสดงปรากฏการณ์ธรรมชาติ
Comments
comments
No tags for this post.