X
    Categories: everYทดลองอ่านรัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2

 

แม้เผชิญสายตาแปลกๆ ของทุกคน แต่ถังฟั่นกลับมิได้สะทกสะท้าน ยังหันกล่าวกับเผิงอี้ชุน “ใต้เท้าเผิง ท่านส่งคนไปที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพรเดี๋ยวนี้ บอกว่าพบเห็นโจรกบฏที่นี่ ให้พวกเขามาจับกุม”

น่าสงสารเผิงอี้ชุน ชั่วดีก็เป็นถึงเสนาบดี กลับตื่นตกใจกับวาจาของถังฟั่นจนติดอ่างขึ้นมา “จะ…โจรกบฏอันใด”

ถังฟั่นชี้ไปที่สตรีซึ่งกำลังกอดต้นขาเขา “ข้าสงสัยว่านางเกี่ยวข้องกับพวกกากเดนลัทธิบัวขาว มิใช่โจรกบฏแล้วเป็นอันใด ยังไม่ไป?”

“ใต้เท้า ผู้น้อยไปเดี๋ยวนี้!” เฮ่อเซวียนลุกขึ้นโพล่งออกมา

ถังฟั่นมองเขาแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า “เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”

เฮ่อเซวียนประสานมือ ไม่พูดพล่ามก็วิ่งถลันลงตึกไป

อิ่นฉีมองส่งเงาหลังของเฮ่อเซวียนด้วยความตกตะลึง อึดใจใหญ่ค่อยตั้งสติได้ ตวาดว่า “ถังฟั่น เจ้าพ่นวาจาปรักปรำผู้อื่น!”

“อืม ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา ตัวอยู่ในฐานะราษฎรกลับเรียกขานนามขุนนางราชสำนักโดยตรง เพิ่มโทษหนึ่งชั้น”

ถังฟั่นสองมือไพล่หลัง สุขุมเยือกเย็น หากมิใช่บนตัวเขายังมีคนผู้หนึ่งเกาะอยู่ ท่วงท่านี้กลับแลดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก

แน่นอน หญิงงามที่เกาะอยู่บนต้นขาเขายามนี้กำลังตกอยู่ในอาการตะลึงลาน

อิ่นฉีประกาศเสียงกร้าว “เจ้าอย่าพลิกขาวเป็นดำ นางเป็นเทพีของหอฉวินฟางแท้ๆ จะเป็นกากเดนของลัทธิบัวขาวได้อย่างไร”

ถังฟั่นร้องโอ้คำหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นเทพีของหอฉวินฟาง เจ้ากระจ่างชัดดีนี่ แม้แต่ข้ายังไม่รู้เลย หลานที่โง่งมเอ๋ย อิ่นเก๋อเหล่าเป็นผู้รู้รักษาตัวรอด หากเขารู้ว่าเจ้าโอบกอดหญิงคณิกาหาความสำราญอยู่ที่นี่เกรงว่าคงได้โมโหแทบตาย”

บิดาบ้านตนจะโมโหแทบตายหรือไม่อิ่นฉีไม่ทราบ แต่เวลานี้เขากำลังขุ่นแค้นถังฟั่นแทบตายแล้ว

ถังฟั่นอายุมากกว่าเขาไม่เกินสองปี กลับอาศัยศักดิ์ฐานะวางมาดผู้อาวุโสต่อหน้าเขา

ทั้งที่สมควรเรียกว่าหลานที่ประเสริฐ กลับเรียกหลานที่โง่งม นี่มันอันใดกัน

มิคาด ถังฟั่นยังอบรมไม่เสร็จก็กลับเอ่ยเสียงขึงขัง “ลัทธิบัวขาวเป็นภัยต่อแผ่นดิน หัวหน้าลัทธิถูกประหารนานแล้ว บริวารกลับยังเล็ดลอดแหตาข่ายกระจัดกระจายทั่วทิศ เฉกเช่นสตรีนางนี้ อาศัยหอคณิกาอำพรางฐานะ ความจริงกลับสมคบลัทธิบัวขาว หลอกใช้บุตรหลานขุนนางเยี่ยงเจ้ามาปกปิดฐานะตัวตน ลอบวางอุบายก่อกบฏ!”

จู่ๆ สตรีนางนั้นก็ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาจึงอดตื่นตระหนกหน้าถอดสีมิได้ นางไม่คำนึงภารกิจก่อนหน้าของตนแล้ว พลันปล่อยมือจากถังฟั่น ผุดลุกขึ้นเตรียมหนี

ถังฟั่นสายตาฉับไว ยื่นมือตะปบมวยผมของอีกฝ่ายแล้วกระชากคนกลับมา

สตรีนางนั้นเจ็บแปลบจนหวีดร้อง ถังฟั่นหามีความเวทนาไม่ กิริยารวบรัดหมดจด ผิดกับบุคลิกสุภาพนุ่มนวลในยามปกติ

ทุกผู้คนล้วนชมดูจนตาค้าง พลอยรู้สึกเจ็บแสบหนังศีรษะตนเองขึ้นมา

อิ่นฉีเดือดพล่าน เดิมเขาได้รับคำสั่งจากบิดา หมายสาดโคลนใส่ถังฟั่นต่อหน้าผู้คน และให้ผู้ตรวจการเหล่านั้นไปตั้งข้อหาเขา

แผนซึ่งเดิมทีมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าต้องสำเร็จลุล่วง มิคาดกลับมิได้ง่ายดายปานนั้น เขาประเมินถังฟั่นต่ำเกินไป ซ้ำยังถูกกินหมากไปตัวหนึ่ง

ตอนนี้ทุกคนล้วนถูกหัวข้อสนทนาจับโจรดึงดูดความสนใจ ครั้นเห็นถังฟั่นหยาบคายต่อสตรีนางนั้น ไหนเลยจะรู้สึกว่าเขากำลังหึงหวงแย่งชิง

คิดถึงตรงนี้อิ่นฉียิ่งร้อนรุ่มหนัก เขาคิดว่าหากตนไม่อาจลุล่วงภารกิจในวันนี้ได้ รอกลับไป เป็นไปได้ว่าสีหน้าของบิดาเขาจะบูดบึ้งยิ่งกว่าตอนได้ยินว่าเขาออกไปสำเริงสำราญเป็นร้อยเท่า

“ถังฟั่น เจ้าถูกข้าเปิดโปงความลับถึงได้อับอายกลายเป็นขุ่นเคืองชัดๆ เมื่อครู่เจ้ายังกอดสตรีนางนี้ต่อหน้าข้าอยู่เลย”

ถังฟั่นพินิจเขาขึ้นๆ ลงๆ หลายแวบ เผยสีหน้าคลางแคลง “เจ้าปกป้องนางเช่นนี้ หรือมีความสัมพันธ์กับลัทธิบัวขาว?”

อิ่นฉีเกรี้ยวกราด “เจ้าอาศัยอันใดบอกว่านางเกี่ยวข้องกับลัทธิบัวขาว! หรือจับใครสักคนบนถนนก็สามารถกล่าวหาว่าเป็นคนของลัทธิบัวขาวได้”

ถังฟั่นกล่าวเนิบๆ “ก็อาศัยที่ข้าประมือกับลัทธิบัวขาวนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังทำลายรังกบดานของพวกมันกับมือ ข้าย่อมมีคุณสมบัติกล่าวคำนี้ ทุกคนในที่นี้ ขอเพียงข้ามองปราดเดียวก็ล่วงรู้ว่าผู้ใดสมคบกับลัทธิบัวขาว”

จบคำ เขาช้อนสายตากวาดผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดู

สายตาบรรลุถึงจุดใด คนเหล่านั้นต่างถอยหลังสองก้าวโดยสัญชาตญาณ บางคนไม่อยากหาความยุ่งยากใส่ตัวก็เริ่มหมุนกายผละออกไป

ไม่ว่าใครล้วนทราบ ลัทธิบัวขาวคือโจรกบฏรายใหญ่ที่ราชสำนักใคร่ขุดรากถอนโคน ผู้ใดยังยินดีพัวพันกับกลุ่มโจรเล่า

ประกอบกับหลายปีนี้ถังฟั่นมิได้ใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่า ต่อให้เวลานี้มิได้แต่งชุดขุนนางหรือมีสีหน้าราบเรียบปราศจากรอยขุ่นเคืองอันใด ทว่าในแววตาของเขายังคงแฝงด้วยพลานุภาพที่สุดจะพรรณนา พาให้ผู้คนมิกล้ามองโดยตรง

แม้แต่พวกพ้องที่มาพร้อมอิ่นฉีก็เปลี่ยนจากคึกคักเป็นครั่นคร้าม ถึงขนาดแอบยื่นมือกระตุกแขนเสื้อเขา กระซิบเบาๆ “พี่อิ่น ถ้าอย่างไรพวกเราไปก่อนเถอะ”

อิ่นฉีฉุนขาด เขาไม่ทันสังเกตว่าตนเองเริ่มสั่นประหม่าภายใต้สภาวะกดดันของถังฟั่นแล้ว เพียงรู้สึกคนเหล่านี้ล้วนแต่ขี้ขลาดตาขาว

“อยากไปพวกเจ้าก็ไป อย่างไรข้าก็ไม่ไป”

คุณชายอิ่นกลับถูกพวกเขากระตุ้นความดันทุรังขึ้นมา เชิดคางเล็กน้อย จ้องมองถังฟั่นด้วยแววตาท้าทาย วางมาด ‘เจ้าจะทำอะไรข้าได้’ เต็มที่

“ผู้ใดที่ไม่ไป?” สุ้มเสียงดุเข้มก้องดังจากเชิงบันได ตามด้วยเสียงตวาด “องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติงาน ทั้งหมดห้ามหลบหนี”

สีหน้าของฝูงชนเปลี่ยนจากชมดูเรื่องครึกครื้นเป็นหวาดผวา

แต่ละคนใคร่จะย่องหนี เพียงติดที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ไป บัดนี้คลาดโอกาสงามเสียแล้ว ประตูหน้าและหลังของโรงเตี๊ยมเซียนเค่อล้วนถูกล้อมด้วยกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรที่อาวุธครบมือ สายตาจับจ้องทุกผู้คนราวจับจ้องคนตาย เพียงพอให้พวกเขาหนาวสั่นขวัญผวา

คนที่สามารถมาใช้จ่ายในโรงเตี๊ยมเซียนเค่อโดยปกติฐานะย่อมไม่ยากไร้นัก อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นพวกเผิงอี้ชุน เมื่อได้ยินคำว่าองครักษ์เสื้อแพรยังอดใจสั่นมิได้ สาเหตุก็เพราะเงามืดฝังลึกเกินไปนั่นเอง

องครักษ์เสื้อแพรที่ขึ้นตรงต่อโอรสสวรรค์แต่ไรมาล้วนมีอำนาจพิเศษจับคนก่อนค่อยรายงาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุกหลวงที่ใครได้ฟังเป็นขวัญผวา ถึงแม้จากความเข้าใจของถังฟั่น ไม่ว่ากรมกองใดล้วนมีดีชั่วปะปน องครักษ์เสื้อแพรโดยเนื้อแท้เฉกเช่นสุยโจวหรือเซวียหลิงก็เป็นคนธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ ทว่านี่ยังมิอาจลดทอนความประหวั่นพรั่นพรึงที่คนส่วนใหญ่มีต่อพวกเขาลงได้

แน่นอน พวกเขาเองก็ไม่สนใจไปแก้ความเข้าใจผิดของผู้อื่น

คนอยู่บนโลก ไม่ละอายต่อมโนธรรมเป็นพอ หากทุกสิ่งล้วนต้องเพียบพร้อม นั่นคงเหนื่อยเกินไป

สุยโจวฝ่าฝูงชนออกมา สายตาตกลงบนร่างสตรีที่ถังฟั่นกำมวยผมอยู่เป็นอันดับแรก จากนั้นกวาดสำรวจตามใบหน้าและร่างกายของถังฟั่นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายหยุดแน่วนิ่งอยู่ที่อิ่นฉี แววตาเยียบเย็นแฝงรังสีสังหาร

“เป็นเจ้าแจ้งความ? ที่นี่มีกากเดนลัทธิบัวขาว?”

“ไม่ ไม่มีกากเดนลัทธิบัวขาว! ที่นี่ไม่มีลัทธิบัวขาว!” อิ่นฉีแม้พยายามวางมาดให้แลดูน่าเกรงขามเต็มที่ แต่ความน่าเกรงขามอันน้อยนิดของเขานี้ไม่นับเป็นอันใดในสายตาสุยโจว กลับยิ่งเผยอาการกระวนกระวายร้อนตัว

ยามนี้หากมีผู้ใดสังเกตดีๆ ไม่แน่อาจค้นพบว่าสองขาของเขาเริ่มสั่นแล้ว

“ผู้บังคับการสุย เป็นข้าแจ้งความเอง สตรีนางนี้รับคำสั่งจากผู้อื่น หมายก่อเหตุผิดทำนองคลองธรรม ข้าสงสัยว่านางพัวพันกับลัทธิบัวขาว”

ขณะกล่าววาจา เขาคลายมือออก สตรีนางนั้นทรุดนั่งลงไปอย่างอ่อนแรง ปล่อยโฮอย่างสุดระงับ “ข้าเปล่า! ข้าไม่ใช่ลัทธิบัวขาว คุณชายอิ่นสั่งข้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ รอท่านเดินผ่านแล้วชนท่าน แสร้งเป็นมีสัมพันธ์กับท่าน เขาต้องการหยิบยืมเรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงท่าน นี่ไม่เกี่ยวกับข้า ใต้เท้าโปรดวินิจฉัย”

คนที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ย่อมแจ่มแจ้งในบัดดล คนตาแหลมกลับมิต้องให้เขาพูดก็มองออกถึงพิรุธในเรื่องราว

“คุณชายอิ่นเป็นบุตรชายอิ่นเก๋อเหล่า ไหนเลยจะกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ เจ้าอย่าพ่นโลหิตปรักปรำคน จงสารภาพความจริงแต่โดยดี จะได้มิต้องรับความทรมานอีก” ถังฟั่นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มเมื่อมองอิ่นฉี “คุณชายอิ่น ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”

อิ่นฉีบังเกิดปฏิภาณขึ้นวูบ รีบกล่าว “ถูกๆๆ ท่านอาถัง สตรีนางนี้พัวพันลัทธิบัวขาวจริง นางไม่เพียงมีจิตคิดร้ายต่อท่าน เวลานี้ยังใคร่สาดโคลนใส่ข้า รีบจับกุมตัวนางเถอะ”

ครู่ก่อนยังจิกเรียกถังฟั่นอย่างเกรี้ยวกราด ยามนี้เปลี่ยนเป็นท่านอาถังแล้ว

สตรีผู้นั้นคิดไม่ถึง พริบตาเดียวตนกลายเป็นเบี้ยที่ถูกทิ้ง หลังอาการตื่นตะลึงพลันใคร่ไขว่คว้าเส้นฟางช่วยชีวิต…ถังฟั่น

ทว่าครานี้ไม่รอให้นางโผเข้าไป คอเสื้อด้านหลังก็ถูกคนจับไว้แน่นแล้วกระชากออกมา

สุยโจวเหวี่ยงร่างนางให้กับผู้ใต้บัญชาที่อยู่ข้างตัว

ถัดจากถังฟั่น กลับปรากฏผู้ไม่ทะนุถนอมหยกงามอีกคนหนึ่งแล้ว

แต่ก็ไม่มีผู้ใดอ้าปากพูดจาแทนนาง เพราะผู้ใดก็ไม่อยากถูกยัดข้อหาโจรกบฏ

กิตติศัพท์ด้านความโหดขององครักษ์เสื้อแพรมีประสิทธิภาพยิ่ง ทุกผู้คนในที่นั้นต่างเนื้อตัวสั่นเทา ไม่กล้าปริปาก

อิ่นฉีเห็นท่าไม่ดีจึงใคร่หมุนตัวย่องหนี

ทว่าอากัปกิริยาของเขาช่างเด่นชัดในสายตาผู้คน ดังนั้นจึงถูกองครักษ์เสื้อแพรสองคนซึ่งโผล่มาจากที่ใดไม่ทราบดักหน้าไว้

สุยโจวถาม “เจ้าชื่ออิ่นฉี?”

อิ่นฉีพยายามยืดเอววางมาดภายใต้สายตาจับจ้องอันเยียบเย็นของอีกฝ่าย “มิผิด บิดาข้าก็คือเสนาบดีกรมทหาร พระอาจารย์ในองค์รัชทายาท อิ่นจื๋อ”

สุยโจวคล้ายฟังไม่เข้าใจความนัยของเขา ร้องสั่งซ้ายขวา “นำตัวไปทั้งหมด”

“ช้าก่อน” อิ่นฉีหน้าแปรสี “ไม่ทราบข้าละเมิดกฎหมายข้อใด ท่านไม่มีอำนาจจับกุมข้า”

สุยโจวเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ในเมื่อสตรีนางนี้พัวพันลัทธิบัวขาว และเจ้าพานางมา ผู้ใดสามารถรับรองได้ว่าเจ้าไม่เกี่ยวพันกับลัทธิบัวขาว”

จบคำก็คร้านจะมากความอีก เขาโบกมือคราหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรทั้งซ้ายขวาขึ้นหน้าจับกุมอิ่นฉีแน่นหนาโดยไม่สนใจอาการดิ้นรนของอีกฝ่าย

รวมทั้งพวกพ้องของอิ่นฉี หนึ่งคนก็ไม่ละเว้น

“สุยก่วงชวน เจ้าสุนัขรับใช้! บังอาจจับกุมคนตามอำเภอใจ ข้าจะฟ้องท่านพ่อ เจ้าคอยดู ข้าจะให้เจ้ารับผลกรรมจากการกระทำในวันนี้!” อิ่นฉีแหกปากตะโกนลั่น

กลุ่มอำนาจวั่นให้อิ่นฉีมากระทำเรื่องนี้ เริ่มแรกมิอาจกล่าวว่าเป็นความผิดพลาด

เพราะหากถังฟั่นขาดสติเพียงนิดหรือตั้งรับไม่ทัน โคลนอ่างนี้คงสาดใส่ศีรษะเขาเรียบร้อยแล้ว รอถึงพรุ่งนี้คนทั้งเมืองหลวงก็จะทราบเรื่องถังฟั่นก่อเหตุวิวาทกับบุตรชายของอิ่นจื๋อเพื่อแย่งชิงสตรีนางหนึ่งในโรงเตี๊ยม อิ่นจื๋ออย่างมากก็ถูกวิพากษ์ว่าสั่งสอนบุตรไม่เข้มงวด ถังฟั่นกลับต้องแบกรับเสียงด่าทอว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม หน้าไหว้หลังหลอกอะไรจำพวกนี้

ทว่าบัดนี้เรื่องราวเหนือความคาดหมาย ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าถังฟั่นจะต่อกรได้อย่างรวบรัดฉับไวปานนี้

“พี่ใหญ่ จะให้อุดปากเขาหรือไม่” เซวียหลิงกระซิบถาม

“ไม่ต้อง ให้เขาแหกปากต่อไป จะอย่างไรคนที่ขายหน้าก็คือบิดาเขา” สุยโจวกล่าว

“ประเสริฐยิ่ง เช่นนั้นข้าให้เขาตะโกนมากหน่อย!” เซวียหลิงหัวเราะหึๆ ในน้ำเสียงเจือรอยสมน้ำหน้า

เขาตบป้าบบนท้ายทอยของอิ่นฉี “แหกปากอันใด ไฉนอิ่นเก๋อเหล่ามีบุตรชายเยี่ยงเจ้า คงมิใช่แม้แต่ฐานะก็ปลอมแปลงมากระมัง กลับไปที่คุกหลวงของพวกเราก่อนแล้วกัน เอาตัวไป!”

อิ่นฉีพอฟังคำว่าคุกหลวงก็ตกใจจนขวัญบิน ร่ำร้องเสียงแหลม “ข้าเป็นบุตรชายของอิ่นจื๋อจริงๆ ไม่เชื่อไปถามที่จวนสกุลอิ่นก็ได้!”

คนของกรมอาญาล้วนยืนอยู่ด้านข้าง กลับไม่มีที่ทางให้สอดมือ เพียงชมดูตั้งแต่ต้นจนจบ ยามนี้เห็นอิ่นฉีและอีกหลายคนโดนนำตัวไป กับดักซึ่งเดิมทีวางไว้สำหรับถังฟั่นได้กลายเป็นเหตุวุ่นวายไปแล้ว หามีความจำเป็นอันใดให้ชมดูอีกต่อไป

เผิงอี้ชุนค่อยโล่งอกได้ในที่สุด เขาเอ่ยน้ำเสียงละอาย “ใต้เท้า เรื่องในคืนนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะข้า หากข้าไม่เชิญท่านมา ก็คงไม่…”

ถังฟั่นโบกมือไปมา “ไม่มีคืนนี้ก็จะมีคืนอื่น ข้าเพิ่งฉีกหน้าพวกเขา พวกเขามีหรือจะยินยอมเลิกรา?”

เพลิงโทสะพลันลุกโชนขึ้นกลางใจเผิงอี้ชุน แม้แต่เขาซึ่งเป็นคนใจเย็นยังอดแค่นเสียงขุ่นแค้นมิได้ “กลุ่มอำนาจวั่นออกจะ…”

ถังฟั่นหยุดยั้งถ้อยคำถัดไปของเขา “ใต้เท้าเผิง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านอย่าเอาตัวมาพัวพัน”

เผิงอี้ชุนวัยหกสิบ ถังฟั่นเพียงสามสิบเศษ อายุของทั้งสองห่างกันมาก แต่เวลานี้ผู้ที่สดับฟังถังฟั่นอบรมและชี้แนะกลับกลายเป็นเผิงอี้ชุน ทว่าเขาหามีความไม่พอใจอันใดไม่

เผิงอี้ชุนตระหนักดี ถังฟั่นมีคุณสมบัติประการนี้

หากก็เพราะเหตุนี้นั่นเอง เผิงอี้ชุนจึงรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนถังฟั่น

“ใต้เท้า” เขาสงบสติอารมณ์ก่อนกล่าว “หากมีคนบงการขุนนางทัดทานยื่นฎีกาฟ้องร้องท่าน ข้ายินดีเอาตำแหน่งและความสุจริตของตนเองเป็นประกัน ออกหน้าเป็นพยานให้ท่าน”

“ใต้เท้า ผู้น้อยยินดีเป็นพยานเช่นกัน” ผู้กล่าวคือลู่ถงกวง ปีที่ถังฟั่นยังอยู่กรมอาญา พวกเขามีไมตรีต่อกันไม่เลว แต่ลู่ถงกวงเป็นคนขลาดกลัว ไม่ยินดีแบกความรับผิดชอบ ครานี้สามารถเป็นฝ่ายลุกขึ้นกล่าวคำนี้ นับว่ายากพบเห็นยิ่ง

“ใต้เท้า ผู้น้อยยินดีเช่นกัน” เฮ่อเซวียนกล่าว

“ใต้เท้า ผู้น้อยก็ด้วย”

“ใต้เท้า ผู้น้อยก็…”

ขุนนางกรมอาญาทั้งกลุ่มทยอยเปล่งเสียง ในจำนวนนี้อาจมีบางคนเพียงทำตามกระแส แต่ถังฟั่นยังคงรู้สึกตื้นตัน

ถึงแม้กลุ่มอำนาจวั่นโอหังลำพอง หากก็มิอาจมือเดียวปิดแผ่นฟ้า และคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ล้วนกอปรด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม

เขาประสานมือ “ขอบคุณทุกท่าน ทว่าเรื่องนี้ยังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น หากต้องการความช่วยเหลือ ผู้แซ่ถังจะเป็นฝ่ายเปิดปากแน่นอน ขอบคุณทุกท่านแล้ว!”

ทุกคนรีบคำนับตอบ “ใต้เท้ามิต้องเกรงใจ นี่เดิมเป็นสิ่งที่พวกเราพึงกระทำ”

ส่งเผิงอี้ชุนและคนอื่นๆ เสร็จ ถังฟั่นก็ออกจากโรงเตี๊ยมเซียนเค่อพร้อมกับสุยโจว

“สตรีนางนั้นน่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไว้ไต่สวนสองสามคำก็ปล่อยคนไปเถอะ เรื่องคุกหลวงข้าแค่ขู่อิ่นฉีเท่านั้น” ถังฟั่นเอ่ยขึ้น

สุยโจวผงกศีรษะ “ข้ารู้ แต่เรื่องในคืนนี้จะส่งผลกระทบกับเจ้าหรือไม่”

“หืม?” ถังฟั่นเอียงคอ ไม่กระจ่างว่าอีกฝ่ายหมายถึงผลกระทบอันใด

ทว่าสีหน้างุนงงของเขากลับทำให้สุยโจวห้ามใจไม่อยู่ ต้องคว้ามือดึงเขาเข้ามาแล้วกัดริมฝีปากล่างของเขาทีหนึ่ง

ใต้เท้าถังเจ็บจนร้องโอ๊ย ร่างถดถอยไปสองก้าว

แสงเทียนวูบไหวสะท้อนดวงหน้ากึ่งเคืองกึ่งอายออกมา

“สุยก่วงชวน!” เขาขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงตักเตือน

“ก็เหมือนกับที่เจ้าเห็นของกินแล้วระงับใจไม่อยู่ ข้าเห็นเจ้าก็หักห้ามใจไม่อยู่เช่นกัน” สุยโจวหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ

ใต้เท้าถังค้อนขวับคราหนึ่ง หากก็มิได้ออกแรงสลัดมือจากอีกฝ่าย ปล่อยให้เขาจับจูงตนเดินหน้าต่อไป

“เจ้าต้องระวัง” สุยโจวเอ่ย เงาร่างเกือบครึ่งหนึ่งกลืนอยู่ในความมืด แสงโคมริบหรี่กลับสะท้อนเงาของทั้งสองทอดยาวเป็นเค้าโครงสนิทแนบโดยแท้ “เรื่องราวจบลงเช่นนี้ กลุ่มอำนาจวั่นคงไม่ยอมรามือเป็นแน่”

ถังฟั่นถอนใจ “อันที่จริงข้าเป็นแค่ผลพลอยได้ เป้าหมายแท้จริงของพวกนั้นยังคงเป็นรัชทายาท แต่เพราะคราวก่อนข้าฉีกหน้าวั่นทงกลางที่ประชุม เขาถึงให้อิ่นฉีมากลั่นแกล้งข้า ตราบใดที่รัชทายาทยังครองตำหนักบูรพา ตราบนั้นพวกเขาก็ไม่มีวันแบ่งสมาธิมาไว้ที่ตัวข้า คนที่ต้องระวังคือรัชทายาทต่างหาก”

สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง กุมมือเขาแนบแน่น “สรุปแล้วข้าไม่ปรารถนาให้เจ้ามีเรื่อง บางครั้ง…”

ถังฟั่นฟังคำพูดถัดไปของเขาไม่ถนัด อดเงี่ยหูมิได้ “อะไร”

“บางครั้งข้าอยากเอาเจ้าผูกไว้กับเอวใจจะขาด”

ถังฟั่นหัวเราะร่า “ทำเช่นนั้นไม่กลัวกางเกงหลุดลงมาหรือ”

“เหมือนกับที่เมื่อครู่สตรีนางนั้นกอดต้นขาเจ้า กางเกงเจ้าก็ไม่เห็นหลุดลงมานี่นา”

“ท่านเห็นแล้ว?”

“เปล่า ได้ยินคนด้านข้างซุบซิบ เสียดายมาช้าไปก้าวหนึ่ง”

ถังฟั่นอมยิ้ม เอ่ยเสียงเนิบช้า “ช่างน่าเสียดาย อันที่จริงรูปโฉมนางก็ไม่เลว หากมิใช่พัวพันกับอิ่นฉี ข้าอาจผลักเรือตามน้ำ ถักทอสายใยสวาทชั่วคืนกับนางไปแล้ว!”

สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง คล้ายไม่ได้ยินวาจาอีกฝ่าย “เดี๋ยวกลับไปถอดกางเกงให้ข้าตรวจดูว่าสตรีนางนั้นทิ้งรอยอันใดเอาไว้หรือไม่”

ถังฟั่นกระตุกมุมปาก หากตอนนี้กล่าวว่าตนมิได้แตะเนื้อต้องตัวนางแม้แต่น้อยยังทันหรือไม่

วันรุ่งขึ้น ขณะถังฟั่นไปสภาขุนนาง ทุกอย่างเหมือนปกติไม่มีอันใดผิดแผก

ถึงแม้อิ่นจื๋อเห็นเขาก็สะบัดหน้าหนี ท่าทางไม่อยากเสวนาด้วย หากก็มีเพียงเท่านั้น ไม่ปรากฏท่าทีอื่นใด

ตามการสันนิษฐานของถังฟั่น บุตรชายเขาตอนนี้ยังอยู่ในที่ทำการองครักษ์เสื้อแพร ไม่ได้รับการปล่อยตัว แม้ไม่มีภัยถึงชีวิตแต่ย่อมถูกทารุณไม่น้อย โดยเฉพาะองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนั้นยิ่งไม่เห็นอิ่นจื๋ออยู่ในสายตา ใคร่จะปั่นหัวคุณชายเจ้าสำราญพวกนี้ให้สาแก่ใจมานานแล้ว

ทว่าท่าทีเช่นนี้ของอิ่นจื๋อออกจะใจเย็นเกินไปแล้ว

เพราะอยากหยั่งเชิง ถังฟั่นจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน “พี่อิ่น เรื่องที่ข้ากับบุตรชายท่านบังเอิญพบกันในโรงเตี๊ยมเซียนเค่อ พี่อิ่นทราบหรือไม่”

อิ่นจื๋อน้ำเสียงเย็นชา “เวลานี้เขามิใช่ยังอยู่กับพวกองครักษ์เสื้อแพรหรอกหรือ จักรพรรดิทำผิดมีโทษเยี่ยงสามัญชน เจ้าลูกไม่รักดีนั่นชอบทำตัวเกเร กระทำเรื่องเหลวไหลอันใดก็ไม่แปลก ข้ากลับต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยอบรมเขาด้วยซ้ำ”

ไม่กี่คำของเขาปัดความผิดพ้นตัวจนเกลี้ยงเกลา ถังฟั่นจึงกล่าวอันใดไม่ได้

ยามนั้นคนทยอยมากันครบ ขาดเพียงราชเลขาธิการวั่นอัน หลังทุกคนรอจนใกล้ถึงเวลา คนถึงค่อยเยื้องกรายเข้ามา

“เมื่อครู่ฝ่าบาททรงเรียกตัว ทำให้มาสาย” วั่นอันกล่าว “การประชุมในวันนี้เอาไว้ก่อน เชิญทุกท่านตามข้าไปเข้าเฝ้าด้วยกัน”

ทุกคนต่างมองหน้ากัน ล้วนไม่ทราบเกิดเรื่องอันใด จักรพรรดิทรงให้เข้าเฝ้า ไฉนก่อนหน้าไม่มีการแจ้งเตือน

ทว่าในเมื่อจักรพรรดิมีรับสั่ง ทุกคนย่อมไม่พูดพล่าม เดินตามกันออกจากหอเหวินยวน บ่ายหน้าสู่ตำหนักเฉียนชิง

หลิวเจี้ยนจงใจเดินรั้งท้าย ดึงถังฟั่นมากระซิบถาม “เจ้ารู้หรือไม่ไยฝ่าบาททรงให้พวกเราเข้าเฝ้า”

ถังฟั่นสั่นหน้า ตอบเบาๆ “ไม่ได้ยินข่าวอันใดเลย”

สวีผู่ก็ชะโงกเข้ามาร่วมวง “ข้ากลับได้ยินข่าวลือมาเล็กน้อย”

ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนพลันหยุดเสียง รอคำต่อไปของอีกฝ่าย

สวีผู่กลับไม่พูดต่อ แต่ยื่นมือตนเองออกมา เขียนคำว่า ‘รัช’ บนอุ้งมือ

เกี่ยวข้องกับรัชทายาท?

หรือครานี้ฝ่าบาทจะเอาจริงแล้ว?

ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนสบตากันอย่างพรั่นพรึง บังเกิดความกระวนกระวายใจขึ้นมา

 

มาถึงตำหนักเฉียนชิง คนทั้งหมดล้วนถูกนำไปยังตำหนักข้าง

ขันทีหน้าที่ประทับกล่าวว่า “ใต้เท้าทุกคนโปรดนั่งรอสักครู่ ฝ่าบาททรงให้รองราชเลขาธิการเข้าเฝ้าก่อน”

มาตรว่ามหาเสนาบดีราชวงศ์หมิงถูกกระจายอำนาจ ไม่ทรงอิทธิพลเฉกเช่นยุคถังและซ่ง แต่สำหรับพวกถังฟั่น จักรพรรดิยังคงต้องรักษาธรรมเนียมปฏิบัติขั้นพื้นฐาน หากเปลี่ยนเป็นขุนนางทั่วไปมาเข้าเฝ้า ให้พวกเขายืนรออยู่ด้านนอกก็ใช้ได้ แต่มหาเสนาบดีหลายคนมาถึงก็ต้องมีเก้าอี้ให้นั่งและมีน้ำชารับรอง

ทว่ายามนี้ทุกคนหาได้คำนึงถึงธรรมเนียมยิบย่อยเหล่านี้ ความนึกคิดของทุกคนหนีไม่พ้นเรื่องจักรพรรดิจะตรัสอันใด หากถูกถามถึงรัชทายาทขึ้นมา ตนสมควรมีท่าทีเช่นไร

ตามหลักเหตุผล ไม่ควรมีการเรียกตัวสมาชิกคนใดคนหนึ่งของสภาขุนนางทั้งคณะเข้าเฝ้าตามลำพัง ทว่ายามนี้จักรพรรดิกลับทรงทำเช่นนั้นจริงๆ อาจเพราะทรงทราบว่าเรื่องบางอย่างความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ ดังนั้นจึงทรงแบ่งแยกกำลัง โจมตีรายตัว

ประมุขสูงสุดแห่งแผ่นดินใช้วิธีการเช่นนี้ต่อขุนนาง ออกจะชวนให้ผู้คนนึกขันและนึกเคือง

แต่หากเกี่ยวข้องกับรัชทายาทจริง จักรพรรดิทรงทำเช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้

หันมองท่าทีไม่อนาทรทุกข์ร้อนของพวกวั่นอัน ถังฟั่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกล

หลังชั่วเวลาธูปไหม้หมดดอก หลิวจี๋ก็ออกมาแล้ว

สีหน้าเขาพิลึกยิ่ง สุดที่จะพรรณนา ทว่ามีพวกวั่นอันอยู่ในที่นั้น พวกถังฟั่นจึงไม่กล้าขึ้นหน้าสอบถาม

เมื่อหลิวจี๋นั่งลงก็มิได้เหลียวมองผู้ใด เพียงหลับตานิ่งๆ ราวอรหันต์เข้าฌาน

ถัดจากหลิวจี๋ ลำดับต่อไปเป็นเผิงหวาและอิ่นจื๋อ

พวกเขาเข้าไปไม่นาน อย่างน้อยก็ไม่นานเท่าหลิวจี๋ ไม่กี่อึดใจก็ออกมาแล้ว สีหน้าแม้ราบเรียบแต่กลับเจือรอยกระหยิ่มอยู่บ้าง

ขันทีขึ้นหน้า “ฝ่าบาทเชิญหลิวเก๋อเหล่าเข้าเฝ้า”

หลิวเจี้ยนลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้า ส่งสายตาให้พวกถังฟั่นแวบหนึ่งแล้วเดินตามขันทีไป

ยามนี้วั่นอันกลับเปิดปากแล้ว “รุ่นชิง ได้ยินว่าคืนวานเจ้าจับกุมพวกกากเดนลัทธิบัวขาวได้”

ถังฟั่นกล่าว “เพียงสงสัยเท่านั้น ข้าได้แจ้งให้องครักษ์เสื้อแพรรับทราบแล้ว เรื่องนี้ยังต้องรอการตรวจสอบจากพวกเขา”

อิ่นจื๋อแค่นหัวเราะ “ถังฟั่น เจ้าเป็นถึงเก๋อเหล่า กลับใกล้ชิดกับองครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นทหารรักษาพระองค์ของโอรสสวรรค์เกินควร เจ้ารับคำสั่งจากผู้ใดมา หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง”

ถังฟั่นหน้าไม่แปรสี “พี่อิ่นกล่าวหนักแล้ว องครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่จับกุมผู้ประสงค์ร้ายต่อราชสำนัก อย่าว่าแต่ข้า ถึงเป็นพี่อิ่น หากพบร่องรอยกากเดนลัทธิบัวขาวยังจะเก็บงำไม่รายงานหรือ”

อิ่นจื๋อหัวเราะเย็นชา “เกรงแต่ว่ามีคนคิดอาศัยงานส่วนรวมชำระแค้นส่วนตัว”

“คำว่าชำระแค้นส่วนตัวนี้หมายความว่ากระไร พี่อิ่นโปรดแถลงไข”

ทั้งสองโต้คารมกันไปมายกหนึ่งจึงเห็นหลิวเจี้ยนกลับออกมาพร้อมขันที

หากกล่าวว่าขณะหลิวจี๋กลับมาเพียงเผยสีหน้าพิลึก เช่นนั้นสีหน้าของหลิวเจี้ยนก็สามารถเรียกได้ว่าบูดบึ้งไม่ชวนมองอย่างยิ่ง

ฝ่าบาทรับสั่งอันใดกับเขา

ถังฟั่นสบตาสวีผู่ ล้วนฉงนสนเท่ห์

แต่หลิวเจี้ยนหาได้แลกสายตากับพวกเขา เขาไม่เหลียวมองใครด้วยซ้ำ ทรุดนั่งลงด้วยอาการหอบเล็กน้อยคล้ายผ่านการวิวาทะอย่างดุเดือดเลือดพล่านมาหยกๆ

เห็นสภาพเช่นนี้ สวีผู่เริ่มว้าวุ่นขึ้นมา ทว่ายังคงจำใจเดินตามขันทีไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ

ช่วงเวลาเช่นนี้ถังฟั่นกลับสุขุมเยือกเย็น เขาไม่ไปแลกเปลี่ยนวาจาและสายตากับผู้ใดอีก เริ่มหลับตาทำสมาธิ

อิ่นจื๋อยังอยากเสียดสีเขาสองสามคำ ครั้นเห็นเข้าจึงได้แต่ปิดปากแล้ว

สวีผู่กลับมาในเวลาไม่นาน

สีหน้าเขายังบึ้งตึงกว่าหลิวเจี้ยน ถึงกับซีดขาวเล็กน้อย ฝีเท้าก็ซวนเซอยู่บ้าง

ถังฟั่นลืมตา เห็นท่าทางเขาไม่สู้ดีก็อดขึ้นหน้าประคองมิได้

มิคาด สวีผู่กำแขนเสื้อเขาแน่นพลางฟูมฟายเสียงดัง “รุ่นชิง เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ได้!”

คนทั้งหมดล้วนตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน แม้กระทั่งขันทีที่มาเชิญถังฟั่นไปเข้าเฝ้าก็ตะลึงลานแล้ว

ในความทรงจำของทุกคน สวีผู่เป็นบุคคลอัธยาศัยดีที่ไม่สันทัดการเจรจา เขาอาจปกป้องรัชทายาท แต่เขาไม่ถนัดโต้แย้งผู้อื่น ประกอบกับเป็นคนใจอ่อน ยามปกติมักทำงานเงียบๆ เทียบกับน้องเล็กที่อยู่ท้ายแถวเฉกเช่นถังฟั่นยังไม่โดดเด่นเท่า และนี่คือสาเหตุที่กลุ่มอำนาจวั่นเห็นพ้องให้เขาเข้าสภาขุนนางในตอนนั้น บุคคลเช่นนี้ไม่มีทางสร้างแรงกดดันอันใดต่อพวกเขา

แต่ผู้ใดจะคาดคิด บุคคลอัธยาศัยดีเมื่อถูกบีบจนตรอกก็สามารถปะทุขึ้นมาได้เช่นกัน

เผชิญหน้ากับสวีผู่ที่คุมสติไม่อยู่ ถังฟั่นไม่ทราบจะกล่าวอันใดดี “เชียนไจ…”

หลิวเจี้ยนเข้ามาประคองสวีผู่พลางบอกถังฟั่น “รุ่นชิง เจ้าไปเถอะ ที่นี่มีข้า”

ถังฟั่นผงกศีรษะให้เขา ก่อนรีบเดินตามขันทีไป

เพียงไม่กี่วันจากที่เห็นคราวก่อน จักรพรรดิคล้ายผ่ายผอมลงเล็กน้อย

แม้มีประชุมขุนนางทุกวัน แต่ระยะนี้พระองค์ประชวร สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการงดออกประชุมได้เป็นอย่างดี

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงมีพระวรกายแข็งแรง” ถังฟั่นประสานมือโค้งคำนับ

เว้นแต่การประชุมใหญ่หรือพระราชพิธี ปกติการเข้าเฝ้าลักษณะนี้ สมาชิกสภาขุนนางไม่จำเป็นต้องคุกเข่า

“ขุนนางถังตามสบาย นั่งเถอะ” จักรพรรดิตรัส พระสุรเสียงแหบแห้งอยู่บ้าง ตามด้วยไออีกสองคำ

“เป็นพระกรุณา” ถังฟั่นกล่าว

อันที่จริงในบรรดาสมาชิกสภาขุนนาง จักรพรรดิและถังฟั่นไม่นับว่าใกล้ชิดอันใด เพียงแต่ถังฟั่นเข้าสภาขุนนางโดยผ่านความเห็นชอบของขุนนางราชสำนัก หรือก็คือการลงคะแนนเสียงของหกกรมเก้ากอง และจักรพรรดิมิได้ทรงยับยั้งเท่านั้นเอง หลังเข้าสภาขุนนางโอกาสที่ถังฟั่นได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิตามลำพังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเข้าเฝ้าพร้อมกับสมาชิกสภาขุนนางคนอื่นๆ

ความรู้สึกที่จักรพรรดิทรงมีต่อถังฟั่นบอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี พระองค์เพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้บางทีอาจมีความสามารถสูง แต่ไม่ค่อยเข้าใจวิถีแห่งการเป็นขุนนาง หากมิใช่วันนี้จำเป็นต้องสนทนากับพวกเขาทีละคน จักรพรรดิคงไม่ทรงเรียกตัวถังฟั่นเข้าเฝ้าตามลำพัง

จักรพรรดิเผยพระพักตร์อ่อนโยนอย่างยากจะพบเห็น สนทนากับถังฟั่นด้วยเรื่องไร้แก่นสารอยู่เป็นนาน ทั้งยังตรัสถามว่าหลังเข้าสภาขุนนางปรับตัวได้หรือไม่ ผู้ไม่ทราบความนัย คะเนว่าคงตื้นตันน้ำตาไหลพรากไปกับความเอาใจใส่ของจักรพรรดิ

แต่ถังฟั่นปั้นหน้าเคร่งขรึม ตอบคำถามอย่างเป็นหลักเป็นการ ปราศจากอารมณ์เลือดร้อนของวัยหนุ่มแม้แต่น้อย ส่งผลให้จักรพรรดิทรงเบื่อหน่ายเป็นอันมาก

บทสนทนาที่แห้งแล้งไร้รสชาติเช่นนี้ สำหรับจักรพรรดิและขุนนางแล้วถือเป็นความทรมานชนิดหนึ่ง

“ระยะนี้เกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้าบ่อยครั้ง คิดว่าขุนนางถังคงเคยได้ฟังแล้ว”

ดังนั้นต้องขอบคุณฟ้าดินที่จักรพรรดิทรงหมดความอดทน ตรงเข้าประเด็นในที่สุด

มาแล้ว!

ถังฟั่นอดยืดหลังตรงมิได้

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ฟังแล้ว และเคยเห็นสาส์นที่ฝ่าบาททรงให้สภาขุนนางเวียนกันอ่านแล้วเช่นกัน”

จักรพรรดิโน้มพระวรกายขึ้นหน้าเล็กน้อย นี่คือการแสดงออกถึงความจดจ่อ “เช่นนั้นเจ้ามีความเห็นประการใด”

ถังฟั่นเม้มปาก “อภัยที่กระหม่อมโง่เขลา กระหม่อมไม่ทราบฝ่าบาททรงหมายความว่ากระไร”

“สำนักโหรหลวงบอกเราว่าปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงตำหนักบูรพา”

“ความหมายของฝ่าบาทคือ? ตำหนักบูรพา?”

จักรพรรดิคร้านจะวกวนอ้อมค้อมกับเขา “สวรรค์ตักเตือนย่อมมีลางบอก เราใคร่สำนึกความผิดตนเอง แต่งตั้งรัชทายาทใหม่ ขุนนางถังคิดเห็นเช่นไร”

ตรัสถึงเพียงนี้ ถังฟั่นไม่อาจแสร้งโง่ต่อไป เขาผุดลุกขึ้นประสานมือ “ทูลถามฝ่าบาท รัชทายาททรงมีข้อผิดพลาดประการใด”

จักรพรรดิเริ่มรำคาญพระทัย เพราะก่อนหน้าถังฟั่น ทั้งหลิวเจี้ยนและสวีผู่ได้ตั้งคำถามนี้กับพระองค์มาแล้ว บทสนทนาที่ซ้ำซากเช่นนี้ทำให้จักรพรรดิรู้สึกหงุดหงิด แต่เพื่อมิให้เหล่าสมาชิกสภาขุนนางเหนี่ยวรั้งพระองค์ในเรื่องการปลดรัชทายาท ทรงจำเป็นต้องโน้มน้าวพวกเขาทีละคนอย่างมีขันติ

การรักษากฎมณเฑียรบาลของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์นี้เข้มงวดกว่าทุกราชวงศ์ที่ผ่านมาทั้งหมด พึงทราบว่าปีนั้นจักรพรรดิหย่งเล่อทรงแข็งกร้าวปานใด สุดท้ายยังคงมิอาจปลดรัชทายาทเพื่อแต่งตั้งฮั่นอ๋องซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ได้สำเร็จ เวลานี้แม้กลุ่มอำนาจวั่นทรงอิทธิพลยิ่งกว่ารัชสมัยหย่งเล่อในอดีต แต่จักรพรรดิกลับมิได้แข็งกร้าวเท่าโอรสสวรรค์หย่งเล่อ พระองค์ถึงขนาดต้องสอบถามความเห็นจากสภาขุนนางก่อน

“รัชทายาทครองตำแหน่งถึงทุกวันนี้เป็นเวลาสิบปีเศษ ไหนเลยเคยประกอบวีรกรรมยิ่งใหญ่ ไหนเลยเคยเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ หรือนี่ยังมิใช่ความผิดพลาด? ยามนี้ปรากฏการณ์ดวงดาวแจ้งเตือน สาเหตุก็คือต้องการให้เราปรับปรุงแก้ไข” จักรพรรดิตรัส

ถังฟั่นทูล “แม้รัชทายาททรงเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่กล่าวถึงที่สุดยังคงเป็นขุนนางของฝ่าบาท ในเมื่อเป็นขุนนางย่อมสมควรครองตัวสมถะ มิอาจล่วงล้ำก้ำเกินพระบรมเดชานุภาพ เพราะเหตุนี้รัชทายาทจึงมิเคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ พอดีสอดคล้องกับหน้าที่ของผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ไยฝ่าบาทจึงไม่พอพระทัย”

ความหมายของเขาคือรัชทายาทปราศจากผลงานนั่นก็ถูกต้องแล้ว มิฉะนั้นหากรัชทายาททำตัวโดดเด่น คนภายนอกเพียงรู้จักรัชทายาท ไม่รู้จักจักรพรรดิ หรือท่านยินดี?

ถ้อยคำชุดนี้แทงพระทัยจักรพรรดิอย่างไม่ไว้หน้าสักนิด ซ้ำยังแสดงออกถึงจุดยืนของตนเองอย่างชัดแจ้ง…‘ข้าคัดค้านการปลดรัชทายาท’

จักรพรรดิพิโรธ “ถังฟั่น ในเมื่อเจ้าลึกซึ้งในคำว่า ‘หน้าที่’ ย่อมสมควรตระหนัก ‘กษัตริย์นำขุนนางตาม’ เจ้าแก้ต่างแทนรัชทายาทตลอดเวลา หรือนี่คือหน้าที่ของผู้เป็นขุนนาง!”

ถังฟั่นหาเกรงกลัวไม่ ลุกขึ้นโค้งคำนับ “ฝ่าบาทโปรดอภัย กระหม่อมเล่าเรียนตำราปรัชญาเมธีตั้งแต่เล็ก แม้มิอาจเรียกได้ว่าภูมิความรู้ห้าเล่มเกวียน ทว่าหลัก ‘เทียนตี้จวินชินซือ’* ยังคงกระจ่างแจ้ง ที่ขงจื๊อไม่วิพากษ์สิ่งประหลาด พละกำลัง การกบฏ และภูตผีเทวดาก็เพราะคิดว่าด้วยกำลังของมนุษย์มิอาจมองเห็นลิขิตสวรรค์และผีสางเทวดา มิสู้อย่าพูดถึงจะดีกว่า เกิดการโคจรของดวงดาวบ่อยครั้งคือลางบอกเหตุก็จริง แต่เพียงอาศัยคำทำนายของสำนักโหรหลวงก็สามารถยึดถือเป็นหลักได้หรือ เกรงว่าในเรื่องราวอาจมีมูลเหตุอื่น ราษฎรทั่วหล้าล้วนทราบว่ารัชทายาทไร้ซึ่งความผิด ฝ่าบาทโปรดทรงตรึกตรองซ้ำด้วย!”

จักรพรรดิทรงหลับตา

 

* เทียนตี้จวินชินซือ หมายถึงห้าสิ่งซึ่งเป็นตัวแทนของการบูชายกย่องของชนชาวจีน แบ่งออกเป็น ฟ้า ดิน กษัตริย์ ผู้อาวุโส และครูบาอาจารย์

คำพูดของถังฟั่นไหนเลยมิใช่ต้นตอแห่งความลังเลของพระองค์ เพียงแต่เวลานี้พระองค์ตัดสินพระทัยแน่วแน่ ดังนั้นคำขอร้องของอีกฝ่ายจึงมิอาจทำให้พระองค์คลอนแคลนได้

ในตำหนักเงียบกริบไร้สุ้มเสียง แม้แต่ขันทีทางด้านข้างก็พยายามหายใจอย่างแผ่วเบา ใคร่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านใจจะขาด

เวลานี้จักรพรรดิพระวรกายไม่แข็งแรง ดังนั้นจำเป็นต้องมีคนปรนนิบัติรับใช้ตลอดเวลา ขันทีหน้าที่ประทับถูกคัดเลือกเข้าวังตั้งแต่เด็ก ความซื่อสัตย์ภักดีไม่เป็นที่สงสัย หากก็มิได้หมายถึงเขายินดีรับฟังถ้อยคำเหล่านี้ ภายในวังเล่าขานสืบต่อกันมา ยิ่งรู้มากยิ่งไม่มีจุดจบที่ประเสริฐ

ไหวเอินกงกงคนก่อนหน้านี้มิใช่เพราะก้าวก่ายกิจการราชสำนักมากเกินหรอกหรือจึงถูกฝ่าบาทเนรเทศไปอยู่หนานจิง

ชั่วครู่ให้หลัง เขาได้ยินจักรพรรดิตรัสเนิบๆ “เราปรารถนาจะแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ เจ้ายินดีร่างราชโองการแทนเราหรือไม่”

ขันทีอดเสียวสะท้านในใจมิได้

เขากำลังครุ่นคิด ถังเก๋อเหล่าจะตอบคำถามอย่างไร

เขากำลังครุ่นคิด หากตนเองเป็นถังเก๋อเหล่าจะตอบคำถามอย่างไร

หากคำตอบของถังเก๋อเหล่าสะกิดโทสะเจ้านายเหนือหัว ต่อให้นี่เป็นเจ้านายเหนือหัวที่พระทัยดีกว่าทุกรัชกาลที่ผ่านมา ผลลัพธ์อาจไม่เลวร้ายนัก แต่เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาอาจไม่ได้อยู่ในสภาขุนนางต่อไป รวมทั้งภายหน้าก็จะไม่มีโอกาสเข้าสภาขุนนางอีกเลย

ขันทีครุ่นคิด หากเขาเป็นถังเก๋อเหล่าอาจจะยอมถอยลงมาก้าวหนึ่ง ไม่ช่วยฝ่าบาทร่างราชโองการ แต่ก็จะไม่คัดค้านการปลดรัชทายาท

ในภวังค์ความคิดอันวุ่นวาย เขาได้ยินถังฟั่นทูลว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัย ขอพระองค์ทรงตรึกตรองซ้ำด้วย”

ไม่ดี ฝ่าบาทต้องกริ้วแน่

ขันทีตื่นเต้นตึงเครียด เขาได้ยินมาว่าถังเก๋อเหล่าเป็นคนรู้รักษาตัวรอด ไม่ใจร้อนเหมือนหลิวเก๋อเหล่า ไยจึงเลือกคำตอบที่เลวร้ายที่สุดเล่า

ปัญญาชนไม่ยืนใต้กำแพงทรุด คำนี้ไม่ผิด

ปัญญาชนแสวงโชคเลี่ยงเคราะห์ คำนี้ก็ไม่ผิด

แต่เขาไม่กระจ่าง บนโลกนี้มักมีบางเรื่องที่รู้ทั้งรู้มิอาจกระทำ ทว่ากลับมิอาจไม่กระทำ

จักรพรรดิถูกกระตุ้นโทสะดังคาด พระสุรเสียงแปรเปลี่ยน “ถังฟั่น เจ้าอย่าคิดว่าตนเองสนิทกับสุยโจว เราก็จะเห็นแก่หน้าเขาไม่แตะต้องเจ้า! หลิวเจี้ยนเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เป็นเช่นนี้ แม้แต่สวีผู่ก็เป็นเช่นนี้! พวกเจ้าแต่ละคนแย่งกันภักดีต่อรัชทายาท หรือนับวันรอให้เรามอดม้วยโดยเร็วจะได้มีผลงานค้ำชูจักรพรรดิขึ้นบัลลังก์ใช่หรือไม่”

ถังฟั่นทูลตอบอย่างเยือกเย็น “ฝ่าบาททรงปรักปรำกระหม่อมแล้ว ที่พวกกระหม่อมซื่อสัตย์ภักดีล้วนมีเพียงฝ่าบาท และก็เพราะเหตุนี้จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ขุนนางอย่างสุดกำลัง ทูลทัดทานอย่างทันท่วงที เลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาททรงกระทำเรื่องที่ต้องเสียพระทัยภายหลัง คิดถึงปีนั้น ฝ่าบาทก็แต่งตั้งรัชทายาทด้วยพระองค์เอง ฝ่ายในมีโอรสน้อยนิด ครั้งที่ฝ่าบาททรงเห็นรัชทายาทปรากฏตัว ในพระทัยคงโสมนัสเป็นที่ยิ่ง ยามนี้พระมารดาของรัชทายาทสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควร ผู้ที่รัชทายาทสามารถพึ่งพิงได้ก็เหลือเพียงพระองค์แล้ว หากแม้แต่ฝ่าบาทยังทอดทิ้งรัชทายาท เช่นนั้นรัชทายาทจะทรงมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

จักรพรรดิตรัส “เจ้าออกไปได้”

ถังฟั่นครวญเสียงสูง “ฝ่าบาท!”

จักรพรรดิทรงย้ำ “ออกไป”

ขันทีมิอาจไม่ขึ้นหน้า เอ่ยเบาๆ “ถังเก๋อเหล่า เชิญเถอะ”

ถังฟั่นเงยหน้า นิ่งมองจักรพรรดิแวบหนึ่ง

ฝ่ายหลังสีพระพักตร์เหนื่อยล้า ริ้วรอยที่หางพระเนตรกดลึก ไม่เหมือนบุรุษหนุ่มวัยสี่สิบผู้สุขสบายไร้กังวล กลับเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับวั่นกุ้ยเฟย

เจ้าแผ่นดินที่ชราภาพอย่างรวดเร็วบันดาลให้ผู้คนอดไม่สบายใจมิได้

ถังฟั่นมิได้พิรี้พิไร เขาถอนสายตา ผุดลุกขึ้นถวายบังคม จากนั้นติดตามขันทีออกไป

หลิวเจี้ยน สวีผู่ และคนอื่นๆ นั่งรออยู่ในตำหนักข้างอย่างร้อนรุ่ม ทันทีที่เห็นเงาร่างถังฟั่นพลันลุกยืนพรวดพราด จ้องมองมาด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง

ไม่ต้องเอ่ยคำ ถังฟั่นก็ทราบว่าพวกเขาใคร่ถามอันใด

เขาส่ายหน้าเล็กน้อย

หลิวเจี้ยนและสวีผู่เผยสีหน้าผิดหวังทันที

ระหว่างเดินทางกลับ ทุกคนครุ่นคะนึงคนละทาง อารมณ์ที่แสดงออกก็แตกต่าง พวกวั่นอันและเผิงหวาย่อมย่างก้าวเบาสบาย เสวนาฮาเฮสมใจ พวกหลิวเจี้ยนและสวีผู่กลับประหนึ่งบุพการีม้วยมรณากระนั้น สีหน้าหม่นหมองซึมเซา ถังฟั่นแม้ไม่ถึงกับครวญคร่ำฟูมฟายเฉกเช่นสวีผู่เมื่อครู่ แต่สภาพจิตใจเขาก็ไม่ดีไปกว่ากันนัก

เพราะเขาแจ่มชัดอย่างยิ่ง โอกาสได้ผ่านพ้น การตัดสินพระทัยปลดรัชทายาทของจักรพรรดิมิอาจสั่นคลอน

ภายในสภาขุนนาง มีเพียงหลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นสามคนยืนกรานคัดค้านการปลดรัชทายาท

ทว่าพวกเขาล้วนประสบการณ์ต่ำสุดในสภาขุนนาง เมื่อใดที่รองราชเลขาธิการหลิวจี๋เห็นพ้องให้ปลดรัชทายาท เมื่อนั้นก็จะปรากฏสถานการณ์โน้มเอียงไปทางหนึ่ง

และจากท่าทีในวันนี้ หลิวจี๋มิได้แสดงออกว่าเห็นพ้อง แต่ก็มิได้แสดงอาการคัดค้าน ด้วยอุปนิสัยของเขา คะเนว่าคงเหมือนเมื่อคราหลี่จี้ตอบคำถามจักรพรรดิถังเกาจงเรื่องปลดรัชทายาทแต่งตั้งอู่เจ๋อเทียน กราบทูลจักรพรรดิเป็นทำนองว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของฝ่าบาท ไยต้องไถ่ถามคนนอก’

ดังนั้นลำพังพวกถังฟั่นสามคนไม่มีทางควบคุมสถานการณ์ได้แม้แต่น้อย

หากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน รัชทายาทก็ถูกปลดแน่แล้ว

คิดไม่ถึง เรื่องที่แม้แต่จักรพรรดิหย่งเล่อยังกระทำไม่สำเร็จ ถึงกับเป็นจริงในอุ้งพระหัตถ์โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน ถังฟั่นลอบถอนใจ ไม่ทราบควรร้องไห้หรือหัวเราะดี

คนอื่นๆ กลับไม่มีอารมณ์เริงรื่นท่ามกลางความทุกข์เช่นเขา หลิวเจี้ยนและสวีผู่เอาแต่เหม่อลอยทั้งวัน เย็นย่ำถึงเวลาเลิกงาน พวกเขาก็ลากถังฟั่นออกไปทันที วั่นอันมิได้เหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้ จะอย่างไรเรื่องปลดรัชทายาทก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ลำพังแค่พวกหลิวเจี้ยนกระเสือกกระสนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ประกอบกับกลุ่มอำนาจวั่นใช่ว่าไม่มีขุมกำลังในเหล่าขุนนางทัดทาน ถึงเวลานั้นหากมีคนถวายฎีกาคัดค้าน วั่นอันยังคงสามารถขับเคลื่อนขุนนางทัดทานออกมาสนับสนุนได้

“หรือเรื่องนี้ไม่มีที่ทางให้กอบกู้แล้วจริงๆ” สวีผู่ทอดถอนใจ

“ข้าจะไปเข้าเฝ้ารัชทายาทเดี๋ยวนี้” หลิวเจี้ยนกลับขยี้เท้ากล่าว แล้วหมุนตัวทำท่าผละไป

ถังฟั่นและสวีผู่รีบรั้งเขาไว้ “ท่านไปยังทำอันใดได้ หรือจะให้รัชทายาทไปทูลขอความเมตตาต่อฝ่าบาท นี่เพียงทำให้ผู้คนรู้สึกว่ารัชทายาทสมคบขุนนางผู้ใหญ่วางแผนกระทำมิดีมิร้าย”

หลิวเจี้ยนเข่นเขี้ยว “รู้สึกอันใด มีก็แต่พวกกลุ่มอำนาจวั่นถึงพลิกขาวเป็นดำเช่นนี้ได้”

สวีผู่กล่าว “เช่นนั้นยิ่งไม่สมควรไป”

ถังฟั่นก็กล่าว “เชียนไจกล่าวถูกต้อง พวกเราสุดกำลังแล้ว”

“หรือคำว่าสุดกำลังก็เพียงพอบดบังทุกสิ่งได้” สุ้มเสียงของหลิวเจี้ยนทั้งขุ่นแค้นและรันทด แต่มิได้มีต่อถังฟั่นหรือสวีผู่

สวีผู่และถังฟั่นอับจนถ้อยคำ ได้แต่ทอดถอนใจ

 

ทั่วทั้งราชสำนัก แม้ส่วนใหญ่พอจะทำนายความคิดของจักรพรรดิได้ แต่พวกเขายังไม่ทราบว่าจักรพรรดิได้ตัดสินพระทัยแล้ว เรื่องที่ทรงเรียกตัวสภาขุนนางเข้าเฝ้าทีละคนอาจต้องรอถึงพรุ่งนี้ค่อยแพร่กระจายออกไป

เวลาเช่นนี้ความสำคัญของมหาเสนาบดีสภาขุนนางจึงปรากฏชัด เพราะพวกเขาคือศูนย์กลางอำนาจของราชอาณาจักร ไม่มีใครล่วงรู้และยึดกุมข่าวสารได้รวดเร็วกว่าพวกเขา แต่ถังฟั่นกลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด

กระทั่งอาหารค่ำเขาก็ไม่กิน เพียงหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือ นั่งใจลอยอยู่หน้าโต๊ะตามลำพัง

จวบจนเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”

ที่ผลักประตูเข้ามาคือสุยโจว ในมือเขาถือบะหมี่น้ำชามหนึ่ง เบื้องหลังกลับเห็นวังจื๋อยืนอยู่

วังจื๋อเปิดปากอย่างสงบใจไม่อยู่ “เกิดเรื่องอันใดกันแน่ เมื่อเช้าฝ่าบาท…”

สุยโจวขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เมื่อครู่รับปากข้าว่าอย่างไร”

วังจื๋อจำต้องปิดปากอย่างไม่เต็มใจนัก

จบคำ เขาก็วางบะหมี่น้ำตรงหน้าถังฟั่น “กินก่อนค่อยคุย”

“ข้าไม่หิว” ถังฟั่นปั้นหน้าเศร้า ยากนักที่จะเห็นเขาพูดคำนี้ออกมา

“จะให้ข้าป้อนเจ้า?” สุยโจวคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา

“…ข้ากินเองได้” ถังฟั่นจำใจรับตะเกียบมา

จากกลิ่นหอมฉุยของบะหมี่น้ำสามารถวินิจฉัยถึงความตั้งใจของผู้ปรุงได้ ถังฟั่นไม่อาจใจดำทำลายความปรารถนาดีนี้

แต่ไรมาสุยโจวไม่พูดพล่ามไร้สาระ เพราะเขามักลงมือปฏิบัติโดยตรง

วังจื๋อมองดูถังฟั่นกินบะหมี่ด้วยความอดทน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเห็นบะหมี่ชามนั้นหายไปกว่าครึ่ง เขาอดใจไม่ไหวอีกแล้ว “ข้าได้ยินว่าเช้านี้ฝ่าบาททรงเรียกตัวสมาชิกสภาขุนนางเข้าเฝ้าทีละคน?”

ด้วยนิสัยของวังจื๋อ สามารถมีขันติถึงบัดนี้ค่อยเอ่ยคำถือว่ามิใช่ง่ายแล้ว

“มิผิด” ถังฟั่นตอบ

“เกี่ยวกับรัชทายาท?” วังจื๋อเข้าประเด็นโดยตรง “ผลเป็นอย่างไร”

“ท่านทราบคำตอบอยู่แล้ว ไยต้องถามข้า” ถังฟั่นส่ายหน้า วางชามลง

“ไฉนเจ้าไม่ยับยั้ง!” วังจื๋อรุกหนัก

ถังฟั่นสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าสุดกำลังแล้ว หลิวเจี้ยนและสวีผู่ก็สุดกำลังแล้วเช่นกัน วั่นอันอาจทำข้อตกลงอันใดกับหลิวจี๋ ทำให้หลิวจี๋ไม่แสดงท่าทีคัดค้านต่อเรื่องนี้ ในเมื่อราชเลขาธิการและรองราชเลขาธิการมีความเห็นสอดคล้อง พวกเราสามคนคัดค้านไปจะยังมีประโยชน์อันใด”

วังจื๋อลุกขึ้นเดินวนไปมาอย่างงุ่นง่าน “เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไร”

ถังฟั่นมองเขาพลางนึกในใจ ไม่ทราบอีกฝ่ายสำนึกเสียใจหรือไม่ที่ตอนนั้นเชื่อฟังคำเกลี้ยกล่อมของตนที่ให้หันมาอยู่ฝ่ายรัชทายาท

เขาถอนใจ “ตอนนั้นข้าเคยชักจูงให้ท่านขีดเส้นชัดเจนกับกลุ่มอำนาจวั่น คิดไม่ถึงกลับกลายเป็นให้ร้ายท่าน…”

วังจื๋อโบกมือค่อนข้างแรง ตัดบทเขา “วาจาเหล่านี้ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าแค่อยากรู้หนทางแก้ของเจ้า”

ถังฟั่นเอ่ยเนิบๆ “วางแผนขึ้นกับคน สำเร็จขึ้นกับฟ้า”

ความพะวงและความกดดันทั้งหมดของเขาคล้ายมลายหายไปกับบะหมี่น้ำชามนั้น เขารับผ้าเช็ดหน้าที่สุยโจวยื่นส่งให้ ซับมุมปาก “ข้ากับพวกเชียนไจได้หารือกันแล้ว หากฝ่าบาททรงยืนกรานเช่นนั้น พวกเราจะยื่นฎีกาขอลาออก”

วังจื๋อผงะ “นั่นจะมีประโยชน์อันใด พวกเจ้าไปแล้ว สภาขุนนางมิยิ่งกลายเป็นวั่นอันผูกขาดแต่ผู้เดียวหรอกหรือ”

ถังฟั่นถอนใจ “นี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่พวกเราทำได้แล้ว หรือท่านยังมีวิธีอื่นที่ดีกว่า?”

วังจื๋อเดิมรุดมาหาถังฟั่นด้วยความหวังสายหนึ่ง

ในสายตาเขา ถังฟั่นมักมีทางออกที่ไม่สุดไม่สิ้น และอีกฝ่ายก็เหนือความคาดหมาย สร้างความตื่นเต้นดีใจแก่ผู้คนได้ทุกครั้งจริงๆ ทว่าทุกเรื่องราวยังคงมีข้อยกเว้น

อย่างไรถังฟั่นก็เป็นมนุษย์ หาใช่เทพเทวา เขามีช่วงเวลาที่อับจนหนทางเช่นกัน

วังจื๋อสิ้นหวังอย่างที่สุด

คนข้างกายรัชทายาทนับวันยิ่งลดน้อย

ไหวเอินไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว หากพวกหลิวเจี้ยนและถังฟั่นโดนบีบออกจากสภาขุนนางอีก คนอื่นที่เหลือไม่เพียงพอต่อการสร้างแรงคุกคามสักนิด

สำหรับตัววังจื๋อเอง เขาสามารถลอบพารัชทายาทหนี ทว่ากลับไม่มีทางเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอำนาจวั่นในที่แจ้งเฉกเช่นพวกถังฟั่นได้

ฐานะของสุยโจวก็จำกัดขอบเขตให้เขาต้องซื่อสัตย์ต่อโอรสสวรรค์ รัชทายาทแม้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ หากอย่างไรก็ยังมิใช่จักรพรรดิ

หรือไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งการปลดรัชทายาทได้แล้ว

วังจื๋อออกจากบ้านสกุลถังอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ส่งวังจื๋อเสร็จ ถังฟั่นก็เยาะหยันตนเองกับสุยโจวที่อยู่ด้านข้าง “หากมิใช่ข้ายุยงให้เขาใกล้ชิดรัชทายาท คะเนว่าเวลานี้เขาคงกำลังสุขสมภิรมย์ใจ ไม่ต้องมาร้อนรุ่มสุมทรวงเช่นนี้”

สุยโจวยื่นมือจับปอยผมที่ลุ่ยลงมาเพราะลมพัดทัดหูให้เขาพลางกล่าวคำหนึ่งที่กินความหมายลึกล้ำ “เมื่อครู่เจ้าก็พูดเอง สำเร็จขึ้นกับฟ้า ฤทธานุภาพแห่งสวรรค์สุดจะหยั่งคาด ไหนเลยมนุษย์ปุถุชนแค่คนสองคนจะสามารถพลิกผันตามอำเภอใจได้”

 

กลางดึก ขณะถังฟั่นยังตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ก็ถูกสุยโจวเขย่าปลุกและได้รับทราบข่าวคราวเรื่องหนึ่ง

ที่ซานตงเกิดแผ่นดินไหว

และจุดเกิดเหตุคือเขาไท่ซาน

“แผ่นดินไหว?” ถังฟั่นยังไม่ตื่นดี เขาในยามนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพฉลาดเยือกเย็นเช่นทุกวัน นัยน์ตาดำขลับมัวหม่นปกคลุมด้วยไอหมอกบางๆ ชั้นหนึ่ง เสื้อตัวในเอียงโย้อยู่บนร่างเผยให้เห็นทรวงอกเปลือยเปล่าด้านใน

แม้เป็นชนชั้นบัณฑิต แต่ถังฟั่นไม่ถึงกับขาดการออกกำลังโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยศาสตร์หกแขนงแห่งปัญญาชน* ง้างคันศรยิงธนูเขายังพอชำนาญอยู่บ้าง ดังนั้นรูปกายจึงนับได้ว่าชื่นตาชื่นใจ ไม่เหมือนบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงเชือดไก่เหล่านั้นที่ถอดเสื้อผ้าก็เห็นซี่โครงบาน

สุยโจวกลับรักที่จะชมดูอีกมุมหนึ่งของถังฟั่นที่เผยให้เห็นเป็นครั้งคราว นี่ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึก ‘คนผู้นี้เป็นของข้า มุมนี้ของเขามีเพียงข้าที่สามารถเห็นได้’

น้อยคนจะทราบว่าความปรารถนาครอบครองแต่เพียงผู้เดียวของท่านป๋อสุยความจริงแล้วแข็งกล้ามาก

“เมืองไท่อัน มณฑลซานตง” สุยโจวเอ่ยเน้นจุดเกิดเหตุอีกครั้งพลางยื่นมือผูกสายรัดเอวให้อีกฝ่าย ก่อนคลุมเสื้อตัวนอกให้เขาเหมือนปกติ

ถึงแม้สุยโจวเองก็มิได้แต่งกายเรียบร้อยไปกว่ากัน ทว่าที่สำคัญคือเขาไม่อยากให้ถังฟั่นโดนไอเย็น

บ่าและแผ่นหลังอบอุ่นแล้ว แต่ต้นคอยังหนาวสั่นเพราะถูกอากาศเย็นเฉียบ ถังฟั่นขนลุกซู่ สติแจ่มใสในที่สุด

“ท่านรู้ได้อย่างไร”

“ตอนนี้ข่าวแพร่ถึงในวังแล้ว วังจื๋อส่งคนมาบอกอีกที”

เสียงเคาะประตูเมื่อครู่แม้ไม่ดังนักแต่กลับก้องหูเป็นพิเศษในยามดึก ถังฟั่นหลับลึกไม่ได้ยิน สุยโจวกลับต่างกัน

 

* ศาสตร์หกแขนงแห่งปัญญาชน ประกอบด้วยธรรมเนียมมารยาท ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า พู่กัน คำนวณ

แผ่นดินไหวมีความหมายแสดงถึงภัยพิบัติ หากเกิดเหตุที่เขาไท่ซาน ความหมายยิ่งผิดแผกชัดเจน

ผู้เป็นราชันรับบัญชา เปลี่ยนแปลงรัชศก จักต้องขึ้นไท่ซานบวงสรวง

เพราะเหตุใด

เพราะนับแต่โบราณกาล ภาคตะวันออกถือเป็นแหล่งนิมิตดี เขาไท่ซานไม่เพียงตั้งอยู่ภาคตะวันออก ยังถูกมองว่าเป็นศูนย์รวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มจากคำว่า ‘ไท่’ ที่หมายถึงสงบ ตามด้วย ‘อัน’ ที่หมายถึงสันติ จึงเรียกที่นี่ว่าเขาไท่ซาน ก่อนยุคราชวงศ์ฉินและฮั่นได้มีเจ้าแผ่นดินขึ้นไปบวงสรวงที่เขาไท่ซานบ่อยครั้ง หลังยุคฉินสื่อหวงขนบประเพณีนี้ยิ่งได้รับการสืบทอดต่อกันมา จักรพรรดิทุกยุคทุกสมัยล้วนถือเป็นเกียรติสูงสุดเมื่อได้มาบวงสรวงถึงเขาไท่ซาน

แตกต่างจากคำพยากรณ์นานาชนิดของปรากฏการณ์ดาวหางเข้าดาวเหนือ หากเขาไท่ซานเกิดเรื่อง คนทั้งหมดเพียงครุ่นคิดประการเดียวก็คือสวรรค์เบื้องบนลงอาญาจักรพรรดิ

จักรพรรดิทรงกระทำผิดอันใด

สามารถผิดได้ร้อยแปดพันประการ

ต่อให้ไม่มีความผิด เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็มักยินดีเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการตักเตือนในจุดบกพร่องของจักรพรรดิ ตัวอย่างเช่นไม่ควรทำการก่อสร้างใหญ่โต ต้องวิริยะในราชกิจ รักใคร่ราษฎรเป็นต้น มิหนำซ้ำเวลานี้ก็มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า

จักรพรรดิใคร่ปลดรัชทายาท

ดูสิ จักรพรรดิเพิ่งทรงคิดจะปลดรัชทายาท ไม่ทันไรเขาไท่ซานพลันเกิดแผ่นดินไหว นี่มิใช่คำเตือนของสวรรค์เบื้องบนแล้วจะเป็นอันใด

หากจักรพรรดิยังทรงดึงดัน ถึงเวลานั้นอาจมิใช่เรียบง่ายเพียงแผ่นดินไหวเท่านั้น

ถังฟั่นย่อมไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่คิดว่าการปลดรัชทายาทเกี่ยวพันกับแผ่นดินไหว แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ การตัดสินพระทัยอันแน่วแน่ที่จะปลดรัชทายาทในตอนแรกย่อมจะต้องสั่นไหวคลอนแคลน

และนี่ประจวบเป็นโอกาสงามที่พันปีจะมีสักหน

หากมิใช่วังจื๋อส่งคนออกมาแจ้งข่าว อย่างน้อยพวกถังฟั่นต้องรอกระทั่งไปถึงสภาขุนนางในวันพรุ่งนี้ถึงจะล่วงรู้ ถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมสูญเสียโอกาสได้ง่าย

ถังฟั่นไม่พูดพล่าม ลุกขึ้นแต่งตัวทันที เตรียมไปเยี่ยมคารวะหลิวเจี้ยนและสวีผู่กลางดึก จากนั้นต่างคนต่างถวายฎีกาฉบับหนึ่ง เนื้อความย่อมเป็นการเอาภัยธรรมชาตินี้มาพรรณนาโวหาร สาธยายให้สยดสยองชวนสะพรึง ดีที่สุดคือทำให้จักรพรรดิล้มเลิกความคิดที่จะปลดรัชทายาท

ไม่ทราบเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด ระหว่างทั้งสองจึงมีกระแสจิตต้องกันที่ยากรำพันชนิดหนึ่ง

แทบจะขณะแรกที่ถังฟั่นมีความเคลื่อนไหว สุยโจวพลันทราบว่าเขาใคร่ทำสิ่งใด

“ข้าไปส่งเจ้า”

“ดี” ถังฟั่นมิได้ปฏิเสธ ครุ่นคิดนิดหนึ่งจึงกล่าว “ฐานะท่านอ่อนไหวและเป็นที่ไว้วางพระทัยมาตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องของขุนนางบุ๋น ท่านอย่าได้เอาตัวพัวพัน”

สุยโจวกล่าววาจาตลกร้ายด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเข้าใจ หากเจ้าโชคร้ายสร้างความระคายเคืองต่อฝ่าบาท ข้ายังต้องไปช่วยพูดขอความเมตตาแทนเจ้า ไหนเลยจะเอาตัวพัวพันได้”

ถังฟั่นหัวเราะมิได้ร่ำไห้มิออก “ท่านจะพูดอวยพรข้าสักนิดมิได้หรือ”

 

วันรุ่งขึ้น เมื่อขุนนางส่วนใหญ่เพิ่งรู้ความคิดที่จักรพรรดิจะทรงปลดรัชทายาทและรุดมาสภาขุนนางด้วยเรื่องนี้ ก็ได้ยินข่าวแผ่นดินไหวที่เขาไท่ซานอีกข่าวหนึ่ง

ทั่วราชสำนักพลันวุ่นวายขึ้นมา ทว่าพวกเขายังไม่ทันตั้งตัว ฎีกาของหลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นต่างถวายขึ้นไปแล้ว ในฎีกาได้เกี่ยวโยงเรื่องแผ่นดินไหวกับเรื่องจักรพรรดิใคร่ทรงปลดรัชทายาทเข้าด้วยกัน เป็นการทัดทานจักรพรรดิอย่างรุนแรง ความว่ารัชทายาทคือผู้สืบทอดราชสมบัติซึ่งแต่งตั้งโดยพระองค์เอง ทั้งยังเคยบวงสรวงที่หอฟ้าเทียนถานแทนพระองค์ บัดนี้เขาปราศจากความผิด พระองค์กลับคิดจะปลดเขา ดังนั้นเขาไท่ซานเกิดแผ่นดินไหวก็คือคำเตือนที่มีต่อพระองค์ เพราะความชื่นชมโสมนัสส่วนตัวของพระองค์ส่งผลให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย หรือนี่คือสิ่งที่พระองค์ยินดีเห็น เกรงแต่ว่าจักรพรรดิหงอู่ในปรภพทรงทราบเข้าอาจรู้สึกไม่เป็นสุข

แม้ฎีกามีสามฉบับ โวหารก็ต่างกัน แต่สิ่งที่พูดกลับเป็นความหมายเดียวกัน จักรพรรดิทอดพระเนตรเสร็จก็ทรงเก็บงำไม่ส่งต่อ ทว่าแวดวงขุนนางเมืองหลวงหามีความลับไม่ ใจความในฎีกายังคงเล็ดลอดออกมาจากทางกองอุทธรณ์ฎีกา

คนที่สามารถเข้าเป็นขุนนางในหกกรมเก้ากอง ทั้งยังสำแดงความเก่งกล้าท่ามกลางการห้ำหั่นอันดุเดือดได้ล้วนมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมันเด็ดขาด ดังนั้นจากฎีกาของพวกหลิวเจี้ยน ขุนนางเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ได้ถึงปัญหาหลายประการ

ประการแรก สภาขุนนางเดิมมีเจ็ดคน เวลานี้ที่ถวายฎีกากลับมีแค่หลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นรวมสามคน เห็นได้ว่าในสภาขุนนางความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ อาจเป็นได้ว่าคนอื่นๆ สนับสนุนจักรพรรดิปลดรัชทายาท หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่คัดค้าน

ประการสอง หลิวเจี้ยนและพวกเลือกถวายฎีกาโดยตรงโดยมิได้กราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ก่อน เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาอาจล้มเหลวในการเจรจากับจักรพรรดิมาแล้ว

เฉกเช่นการโคจรของดวงดาวที่มีคำพยากรณ์หลายแบบ เขาไท่ซานแผ่นดินไหวก็เป็นเรื่องนานาจิตตังเช่นกัน ใช่ว่าจะต้องเกี่ยวพันกับการปลดรัชทายาทเสมอไป และสามารถใช้การไม่ใส่พระทัยในราชกิจของจักรพรรดิมาอธิบายได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้อื่นจะกล่าวอย่างไร

พูดง่ายๆ ก็คือที่วางอยู่ตรงหน้าขุนนางราชสำนักทั้งหลาย อันที่จริงแล้วก็คือทางเลือกหลายทาง

พวกเขาจะถวายฎีกาเหมือนพวกหลิวเจี้ยน หรือแสร้งเป็นไม่รู้เรื่องดี?

หากถวายฎีกา ควรสนับสนุนฝ่ายใด

เอาเรื่องแผ่นดินไหวผูกกับเรื่องปลดรัชทายาท นั่นคือยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกลุ่มอำนาจวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย เกิดสุดท้ายฝ่าบาททรงยืนกรานความคิดตนเอง รัชทายาทโดนปลดขึ้นมาจริงๆ เล่า

เช่นนั้นคนที่ถวายฎีกาในเวลานี้ ภายหน้ามิใช่ล่วงเกินรัชทายาทองค์ใหม่กันหมดหรือ

ไม่มีผู้ใดสามารถพยากรณ์ทิศทางของอนาคตได้

ก็เหมือนกับคนที่อยู่ในสำนักโหรหลวงชั่วชีวิต วันทั้งวันมีแต่พูดคุยกับดวงดาว คนเหล่านี้อย่าว่าแต่ปรุโปร่งลิขิตฟ้าเลย แม้แต่ชะตากรรมของตนเองยังไม่แน่จะมองออก

ทว่ากงล้อแห่งชะตาชีวิตไม่มีวันหยุดหมุนเพราะความพิศวงงงงวยของใครคนหนึ่ง แม้กระทั่งปณิธานของเจ้าแผ่นดินก็มิอาจพลิกเปลี่ยนได้

สำนวนที่ว่าพละกำลังและสติปัญญาของมนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติ ความจริงแล้วคือทัศนะที่โง่เขลาและน่าขัน

จักรพรรดิพรั่นพระทัยในที่สุด

พระองค์ทอดพระเนตรฎีกาสามฉบับตรงหน้า การตัดสินพระทัยอันแน่วแน่ถูกเหตุการณ์แผ่นดินไหวจู่โจมพังทลายโดยสิ้นเชิง

ไม่ว่าพวกวั่นอันจะเพียรเกลี้ยกล่อมเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ จักรพรรดิเองก็มีความคิดอ่าน พระองค์มิใช่หุ่นเชิดหรือเจ้างั่ง เรื่องแผ่นดินไหวก็เหมือนระฆังเตือนภัยอันหนึ่ง ปลุกให้พระองค์สะดุ้งตื่น

พระองค์มีหรือมิทรงทราบ เหตุที่พวกวั่นอันพยายามทุกวิถีทางผลักดันซิงอ๋องเป็นรัชทายาทก็เป็นเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นเอง

ทว่าตั้งแต่แรกเริ่มถึงบัดนี้ จักรพรรดิทรงอยากปลดรัชทายาท ทั้งมิใช่เพื่อกลุ่มอำนาจวั่น และมิใช่เพราะรังเกียจรัชทายาท แม้นั่นจะเป็นหนึ่งในสาเหตุก็ตาม

มูลเหตุที่แท้จริงคือพระองค์ไม่อยากให้วั่นกุ้ยเฟยผิดหวัง

ปีนั้นบุตรชายของวั่นกุ้ยเฟยเสียชีวิต ทำให้ทั้งสองวิปโยคโศกศัลย์ กอปรกับหลังจากนั้นพระนางก็มิได้ให้กำเนิดทารกอีก ดังนั้นผู้แบกรับภาระการสืบราชสมบัตินี้จึงไม่มีทางเป็นบุตรชายของพวกเขาทั้งสอง

ในเมื่อวั่นกุ้ยเฟยชื่นชอบซิงอ๋อง ชิงชังรัชทายาท วาดหวังให้ซิงอ๋องได้เป็นทายาทสืบทอดบัลลังก์ จักรพรรดิจึงยินดีบรรลุความปรารถนาของนาง

ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็เป็นโอรสของพระองค์ คนใดเป็นทายาทสืบทอด สำหรับจักรพรรดิแล้วไม่มีอันใดแตกต่าง

เพียงแต่ครั้งนี้จักรพรรดิทรงเรรวนแล้ว นั่นมิได้เกิดจากการคัดค้านของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แต่เกิดจากคำเตือนของสวรรค์เบื้องบน

หรือแม้แต่สวรรค์เบื้องบนก็ไม่ยินดีให้เรากับวั่นกุ้ยเฟยสมดังหวัง?

หรือสวรรค์เบื้องบนก็คิดว่าจูโย่วหยวนไม่อาจแทนที่จูโย่วเชิง?

ถึงอย่างไรจักรพรรดิเฉิงฮว่าก็มิใช่บุคคลที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบเสียทีเดียว

แม้พระองค์ไม่สนพระทัยในราชกิจ ยินดีเลี้ยงนกปลูกดอกไม้วาดภาพ ทว่าการอบรมสั่งสอนในตำหนักบูรพาที่ทรงได้รับมาตั้งแต่ครั้งเป็นรัชทายาทได้สลักลึกอยู่ในสมองของพระองค์นานแล้ว ห้วงเวลาคับขัน คานหาบระหว่างความปรารถนาของสตรีอันเป็นที่รักและแผ่นดินต้าหมิงสั่นคลอนอยู่ในพระทัยเนิ่นนาน ท้ายที่สุดยังคงเลือกประการหลัง

“พี่สาววั่น เราผิดต่อท่าน! มิใช่เราไม่อยากแต่งตั้งจูโย่วหยวน แต่เพราะเราไม่อาจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งบรรพชน!” จักรพรรดิทรงกุมมือวั่นกุ้ยเฟย ตรัสกับนางด้วยพระสุรเสียงเจือรอยขมขื่น

“ไยฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ เป็นเพราะหม่อมฉันบุญน้อย สวรรค์เบื้องบนไม่อยากให้บุตรของหม่อมฉันเป็นรัชทายาท ไม่อยากให้หม่อมฉันเป็นพระอัครมเหสี เวลานี้ยิ่งไม่อยากให้เด็กที่หม่อมฉันชื่นชมได้สมปรารถนา เกรงว่าชาตินี้หม่อมฉันคงไม่มีวาสนาอีกแล้ว” วั่นกุ้ยเฟยถอนใจเช่นกัน แม้นางมีนิสัยเจ้าอารมณ์ แต่มิใช่คนที่ชอบเกรี้ยวกราดตลอดเวลา หากเป็นเช่นนั้นนางก็คงไม่มีทางมอบความอ่อนโยนและการปลอบประโลมใจอย่างไม่รู้หน่ายต่อจักรพรรดิในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์

สดับวาจาของนาง จักรพรรดิเพียงรู้สึกเจ็บปวดและละอายมากขึ้น พระองค์ทรงรักสตรีนางนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ ชั่วชีวิตของพระองค์ได้รับมากมายและสูญเสียมากมายเช่นกัน แต่ต่อให้สูญสิ้นตำแหน่งจักรพรรดิ พระองค์ก็ไม่ยินดีสูญเสียสตรีตรงหน้า ทว่าเวลานี้พระองค์ยังอยู่บนตำแหน่งจักรพรรดิของสกุลจู อุปนิสัยของพระองค์ก็ส่งผลให้พระองค์ไม่อาจกระทำเรื่องบ้าระห่ำโดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้านได้

“ไม่หรอก ท่านไม่มีบุญวาสนา เราจะแบ่งบุญวาสนาให้ท่าน รอเมื่อเราครบร้อยปีจะเขียนราชโองการ ให้พวกเขาสถาปนาท่านเป็นพระพันปี เรารู้ว่าท่านไม่ชอบรัชทายาท แต่เขาเป็นเด็กกตัญญู ต้องไม่ขัดคำสั่งของเราแน่ เขาจะปฏิบัติต่อท่านด้วยดีแทนเรา ให้ท่านเสพสุขในบั้นปลายชีวิต”

วั่นกุ้ยเฟยไม่อาจไม่ซาบซึ้ง บุรุษผู้อ่อนกว่านางสิบเก้าปีเต็มๆ คนนี้ช่างดีต่อนางอย่างไร้ที่ติจริงๆ

นางเคยอาละวาดกราดเกรี้ยวกับจักรพรรดิเพราะเรื่องสนมนางในและราชโอรสที่ผุดขึ้นในฝ่ายในไม่หยุดไม่หย่อน ถึงขนาดลงมืออำมหิตต่อสตรีและทารกเหล่านั้น แต่ทั้งๆ ที่จักรพรรดิทรงทราบ กลับหลับพระเนตรข้างหนึ่งลืมพระเนตรข้างหนึ่ง

บางครั้งนางเคยคิดว่านี่ใช่เป็นการลงทัณฑ์ของสวรรค์เบื้องบนหรือไม่ เพราะนางสังหารผู้คนมากมาย ดังนั้นจึงลิขิตให้นางไม่มีบุตรและไม่อาจเป็นพระอัครมเหสี

แต่บางครั้งความรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจก็ทะลักขึ้นในใจนาง รู้สึกว่าข้าอุตส่าห์ทุ่มเทประคับประคองท่านจนเติบใหญ่ ในขณะที่ท่านตกต่ำเสื่อมโทรม แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้ายังไม่กล้ามาเยี่ยมดูท่าน หากมิใช่ข้า ดีไม่ดีท่านอาจตายอยู่ในวังร้างโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ครั้นถึงเวลากลับเป็นเพราะมารดาท่านคัดค้าน ท่านเลยไม่กล้าแต่งตั้งข้าเป็นพระอัครมเหสี!

ความย้อนแย้งในใจชนิดนี้ส่งผลให้ความรู้สึกที่วั่นกุ้ยเฟยมีต่อจักรพรรดิเป็นรักปนแค้นมาตลอด ตอบไม่ถูกว่าแค้นมากกว่าหรือรักมากกว่า

“ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยแน่วแน่ก็ไม่ต้องกล่าวมากความแล้ว คิดเสียว่าข้าไร้วาสนาเถอะ” นางบีบพระหัตถ์จักรพรรดิ ตบบนหลังพระหัตถ์เบาๆ เผยรอยยิ้มปลอบโยน “เพียงแต่มีอีกเรื่องหนึ่ง”

จักรพรรดิเวลานี้ละอายพระทัยจนใคร่จะเอาสิ่งที่ดีที่สุดในโลกหล้ามาประเคนให้นางใจจะขาด ได้ยินเช่นนั้นจึงตรัส “ท่านพูดเถอะ”

วั่นกุ้ยเฟยทูลว่า “ตอนนี้ตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วใกล้แล้วเสร็จ ก่อนหน้านี้ทรงอยากเสด็จออกไปบวงสรวงด้วยพระองค์เอง พวกขุนนางใหญ่กลุ่มนั้นก็อ้างนั่นอ้างนี่ไม่ยอมให้พระองค์ไป เช่นนั้นมิสู้ให้รัชทายาทเสด็จแทน พวกเขาก็พูดอันใดไม่ได้แล้ว ฝ่าบาทพระพลานามัยไม่แข็งแรง หม่อมฉันอยากให้รัชทายาทไปอธิษฐานขอพรแทนพระองค์”

จักรพรรดิตื้นตันพระทัยไม่น้อย “พี่สาววั่น มีเพียงท่านที่ห่วงใยข้าเช่นนี้”

วั่นกุ้ยเฟยเม้มปาก ยกมือลูบไล้พระเกศาของเขาเบาๆ “หม่อมฉันเลี้ยงดูฝ่าบาทมากับมือ ย่อมห่วงใยฝ่าบาทเป็นธรรมดา”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Editor Jamsai: