X
    Categories: everYทดลองอ่านรัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 3

 

แทบจะเวลาเดียวกับการสนทนาของจักรพรรดิและกุ้ยเฟย ภายในจวนสกุลวั่นกลับเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง

เสียงเพล้งดังสนั่น ถ้วยชาถูกปัดลงพื้นแตกกระจายเป็นเศษเสี้ยว บางส่วนกระเด็นถูกน่องของสาวใช้ ดีที่เป็นชิ้นไม่ใหญ่และมีเนื้อผ้าขวางอยู่จึงไม่ปรากฏเหตุเลือดตกยางออกอันใด

แม้จะเป็นเช่นนั้น สาวใช้ทั้งห้องโถงก็ยังคงเผยสีหน้าหวาดผวา กระทั่งลมหายใจยังผ่อนจนเบาที่สุด เกรงจะสะกิดโทสะผู้เป็นนาย

“บัดซบ! บัดซบสิ้นดี! ไยต้องเกิดแผ่นดินไหว! แต่เกิดแผ่นดินไหวแล้วอย่างไร หรือภัยธรรมชาติทั้งมวลก็สามารถเกี่ยวโยงกับการปลดรัชทายาทได้!” วั่นทงโกรธจนตัวสั่น

เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร เดิมทีพร้อมพรักสรรพสิ่ง กระทั่งราชโองการก็ร่างเสร็จแล้ว สุดท้ายจู่ๆ พลิกผันกะทันหัน ฟังว่าคืนนั้นจักรพรรดิรับสั่งให้ทวงราชโองการที่ส่งถึงกองอุทธรณ์ฎีกากลับคืนไปทันที และไม่ทรงเอ่ยถึงเรื่องปลดรัชทายาทอีกเลย

วั่นอัน เผิงหวา และอิ่นจื๋อต่างสบตากัน ล้วนลอบถอนหายใจ

ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นทุกปี แต่จักรพรรดิกำลังจะปลดรัชทายาทก็พลันเกิดแผ่นดินไหว เหตุการณ์เช่นนี้แทบไม่เคยปรากฏ อีกทั้งจุดเกิดแผ่นดินไหวยังเป็นเขาไท่ซาน นี่ต่างหากคือประเด็นสำคัญของปัญหา หากเกิดแผ่นดินไหวที่อื่น ต่อให้พวกหลิวเจี้ยนพร่ำพูดจนเพดานถล่ม จักรพรรดิก็คงไม่ถึงกับเปลี่ยนพระทัย

แต่บัดนี้กล่าวอันใดล้วนสายเกิน ด้วยนิสัยเรรวนปรวนแปรของจักรพรรดิ เมื่อใดที่หดเข้ากระดอง ใคร่จะให้พระองค์ตัดสินพระทัยอีกคงยากเย็นแล้ว

ทั้งหมดที่พวกเขาวางแผนมาล้มเหลวสิ้นเชิง

วั่นทงยังสามารถบันดาลโทสะอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่วั่นอันประสบในสภาขุนนางวันนี้ยังชวนหนักใจกว่าเขาเสียอีก

ไม่ต้องพูดถึงพวกหลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นที่ยิ้มร่าหน้าระรื่นต่อหน้าเขาปานใด แม้กระทั่งหลิวจี๋ซึ่งเดิมตกลงกับตนเป็นอย่างดีก็ทำเป็นมองไม่เห็นเขาเช่นกัน ทั้งๆ ที่เป็นงานราชการที่ต้องนั่งลงหารือกันแท้ๆ หลิวจี๋กลับหาข้ออ้างหลบเลี่ยงหน้าตาเฉย แม้แต่หนังสือยังใช้เสมียนนำมาส่ง

นับแต่วั่นอันเป็นราชเลขาธิการมา ไหนเลยจะเคยประสบสภาพเช่นนี้ จึงโมโหจนจมูกบิดจมูกเบี้ยว

แต่แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า

ความจริงวั่นอันเองก็หวั่นใจ รัชทายาทดวงแข็งปานใดกันแน่ ครั้งยังเยาว์ได้รับความทุกข์ทรมานก็มิได้ลาโลกก่อนวัยเฉกเช่นรัชทายาทเต้ากง ยังคงเติบใหญ่อย่างไร้เภทไร้ภัย พวกเขาถึงขนาดเข็นเอาเรื่องการโคจรของดวงดาวออกมาแล้ว หากอีกฝ่ายยังคงรอดพ้นวิบัติไปได้

หรือรัชทายาทมีดวงชะตาแห่งโอรสมังกรแท้จริง?

เช่นนั้นคนที่ฝืนลิขิตสวรรค์เฉกเช่นพวกเขาเหล่านี้นับเป็นตัวอันใด

ความประหวั่นระคนสนเท่ห์เหล่านี้ฝังลึกอยู่ในใจ วั่นอันไม่เคยบอกเล่าต่อผู้ใดมาก่อน

แต่เขารู้สึกว่าเผิงหวาและอิ่นจื๋ออาจคิดเช่นนี้เหมือนตน เพียงแต่ใครก็ไม่กล้าพูดออกมา

วั่นทงเห็นทั้งสามคนล้วนนิ่งเงียบ เพลิงที่สุมอกพลันโชติช่วงขึ้นมา เอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม “หยวนเวิง เวลานี้จะเอาอย่างไร ท่านช่วยออกความคิดอะไรสักอย่างเถอะ”

วั่นอันหัวเราะขื่น “เรื่องราวถึงขั้นนี้ ที่ควรทำล้วนทำแล้ว พวกเรายังมีวิธีอันใด ข้าหมดปัญญาแล้วจริงๆ”

วั่นทงเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ทุกท่านอย่าได้หลงลืม ก่อนนี้ตอนยุยงฝ่าบาทปลดรัชทายาท ทุกท่านล้วนแสดงท่าทีชัดเจน หากไม่รีบคิดหาหนทาง รอจนรัชทายาทขึ้นบัลลังก์ ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ลาภยศเงินทองเลย กระทั่งชีวิตก็คงรักษาไม่อยู่แล้ว”

อิ่นจื๋อกระแอมคำหนึ่ง “รัชทายาทอุปนิสัยอ่อนโยนคล้ายพระบิดา เรื่องราวไม่แน่จะร้ายแรงถึงขั้นนั้น”

วั่นทงเดือดจัด “หมายความว่าพวกท่านตัดสินใจจะเอาชีวิตในวันหน้าประเคนใส่มือผู้อื่นแล้ว?”

เหตุที่วั่นทงตึงเครียดปานนี้เนื่องเพราะเขาเป็นพระญาติสายนอก พระญาติสายนอกโดยเนื้อแท้ไม่เหมือนกับขุนนางบุ๋น พวกวั่นอันยืนผิดฝั่ง คล้อยตามผิดคน อย่างมากก็ถูกริบตำแหน่งไล่ไปทำนา แต่หากจักรพรรดิสวรรคต วั่นกุ้ยเฟยปราศจากที่พึ่งพิง พวกเขาอาจต้องเผชิญกับจุดจบที่อเนจอนาถยิ่งกว่า

เฉกเช่นที่ตัวเขากล่าวไว้ ชะตากรรมในภายหน้าล้วนขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบของเจ้าเหนือหัวคนใหม่

อิ่นจื๋อหัวเราะแห้งๆ “กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก…”

วั่นทงแค่นเสียงฮึ “ท่านอย่าลืมว่าเวลานี้บุตรชายท่านยังถูกขังอยู่ที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพร ข้าไปขอคน สุยก่วงชวนไม่ยอมให้ บอกว่ายังไต่สวนไม่เรียบร้อย สุยก่วงชวนเจ้าสุนัขรับใช้ฉวยโอกาสข่มเหงซ้ำเติม มิใช่เพราะสนิทสนมกับขุนนางบุ๋นกลุ่มนั้นหรือ ทุกวันนี้พี่สาวข้ายังอยู่ เขายังกล้าสามหาวปานนี้ หากรอถึงวันหน้า…ท่านคิดว่าบุตรชายท่านยังมีอีกกี่ชีวิตให้ทรมาน!”

ถูกเขาพูดเช่นนี้ อิ่นจื๋อจึงหุบปากแล้ว

เผิงหวาเห็นสีหน้าของทั้งสองจึงตั้งท่าจะกล่าวอันใดเพื่อไกล่เกลี่ย พลันเห็นด้านนอกมีคนผลุนผลันเข้ามารายงานต่อวั่นทง “นายท่าน มีคนมาจากในวังบอกต้องการพบท่าน”

วั่นทงถาม “ใคร”

อีกฝ่ายตอบ “เป็นเสี่ยวหลิว”

เห็นชัดว่าวั่นทงรู้จักคนผู้นี้ ทั้งยังค่อนข้างสนิทด้วย “ให้เขาเข้ามา”

ผู้มาคือขันทีหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีดำและสวมหมวกอย่างชาวบ้านทั่วไป

พอเข้าสู่ด้านใน วั่นทงจึงถาม “เสี่ยวหลิว เหลียงกงกงให้เจ้ามาหรือพี่สาวข้าให้เจ้ามา”

ขันทีที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวหลิวผู้นี้ ทุกวันนี้ปฏิบัติหน้าที่เหมือนวังจื๋อเมื่อครั้งอยู่ในตำหนักเจาเต๋อ ปรนนิบัติรับใช้วั่นกุ้ยเฟย แต่เขายังเป็นศิษย์ของเหลียงฟังขันทีรักษาลัญจกรสำนักตรวจฎีกาอีกด้วย ดังนั้นวั่นทงจึงถามเช่นนี้

เสี่ยวหลิวตอบ “ผู้น้อยรับคำสั่งเหลียงกงกง มีธุระหารือร่วมกับใต้เท้าทุกท่าน”

วั่นทงรู้สึกผิดหวัง เขาเข้าใจว่าเสี่ยวหลิวเป็นพี่สาวตนส่งมา แต่เขายังคงโบกมือให้บ่าวซ้ายขวาล่าถอย ก่อนกล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด “เหลียงกงกงให้เจ้ามาแจ้งว่าฝ่าบาทไม่ยอมปลดรัชทายาทใช่หรือไม่ เรื่องนี้พวกเรารู้ตั้งนานแล้ว”

“ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว เหลียงกงกงทราบว่าใต้เท้าทุกท่านล่วงรู้แล้ว ที่ผู้น้อยรุดมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“รีบว่ามา อย่ามัวแต่อมพะนำ” วั่นทงขึ้นเสียง

เสี่ยวหลิวระบายยิ้ม ถ่ายทอดวาจาตามที่ตนได้รับคำสั่งออกมารอบหนึ่ง

วั่นอันฟังจบ สีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล “เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด”

วั่นทงตอนแรกยังใคร่ครวญ ครั้นได้ยินวาจาของวั่นอันพลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “มีอันใดกระทำไม่ได้ ข้าว่าความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว”

เผิงหวากับอิ่นจื๋อสีหน้าปรวนแปรไม่แน่นอน หากก็มิได้โต้แย้งวั่นทง

วั่นอันถึงกับสุ้มเสียงเปลี่ยน “พวกเจ้าเสียสติไปแล้ว เรื่องนี้หากรั่วไหลออกไป เจ้า…พวกเราล้วนจบ…”

ท่าทีของทุกคนในที่นั้นผิดแผกกัน วั่นทงโหดเหี้ยม วั่นอันตื่นตระหนก เผิงหวาสงบนิ่ง อิ่นจื๋อรวนเร

เสี่ยวหลิวเห็นชัดในสายตา มิได้กระโตกกระตาก

วั่นทงปั้นหน้าเครียด “ขอเพียงวางแผนให้รัดกุม ย่อมปราศจากความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปง!” เขามองเผิงหวาและอิ่นจื๋อ “พวกท่านคิดว่าอย่างไร”

เผิงหวากลับถามเสี่ยวหลิว “เรื่องนี้พวกเรามั่นใจได้กี่ส่วน”

เสี่ยวหลิวตอบน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่แปดเก้าส่วน อย่างน้อยก็ต้องเจ็ดแปดส่วน เหลียงกงกงวางแผนไว้แล้ว ใต้เท้าทุกท่านโปรดวางใจ”

อิ่นจื๋อกล่าว “เช่นนั้นวั่นกุ้ยเฟยเล่า ทราบเรื่องนี้หรือไม่”

เสี่ยวหลิวยิ้มๆ “ขอรับ กุ้ยเฟยเสนอความคิดนี้ต่อเหลียงกงกงตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อน ไม่มีผู้ใดรู้จักฝ่าบาทลึกซึ้งเท่าพระนางอีกแล้ว พระนางกล่าวว่าฝ่าบาทมิใช่คนเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร ใต้เท้าทุกท่านใช้ปรากฏการณ์ดวงดาวโน้มน้าวพระองค์ ผลสุดท้ายอาจล้มเหลวกลางคัน แต่เวลานั้นกุ้ยเฟยกับเหลียงกงกงล้วนยังมิได้ตัดสินใจ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเล่าให้ใต้เท้าทุกท่านทราบ เวลานี้กลับต้องทุบขวานล่มจมเรือ มิอาจไม่กระทำแล้ว”

วั่นทงตบโต๊ะดังปัง “มิผิด! พูดถูกต้อง เรื่องนี้เหมือนลูกธนูพาดอยู่บนสาย ไม่อาจไม่ยิง เวลาเช่นนี้หากใครยังหัวหด…” เขากวาดมองพวกวั่นอันแวบหนึ่งขณะกล่าวเสียงอำมหิต “…เท่ากับเป็นศัตรูกับข้าวั่นทง เป็นปฏิปักษ์ต่อพี่สาวข้า!”

วั่นอันเผยอริมฝีปากเล็กน้อย จนแล้วจนรอดก็มิได้เปล่งเสียงออกมา

 

จักรพรรดิไม่ทรงเอ่ยถึงเรื่องการปลดรัชทายาทอีกแล้ว

เว้นแต่พวกนักเสี่ยงโชคที่ใคร่แสวงหาความร่ำรวยเหล่านั้น คนอื่นๆ ล้วนผ่อนลมหายใจโล่งอก

รัชทายาทองค์นี้ได้รับแต่งตั้งเป็นประมุขตำหนักบูรพาตั้งแต่หกพรรษา ถึงบัดนี้เป็นเวลาสิบปีกว่าแล้ว เขาได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างที่ประมุขตำหนักบูรพาพึงได้รับ ตระหนักถึงกิจการงานที่ประมุขตำหนักบูรพาพึงกระทำหรือไม่พึงกระทำ เขาสุภาพนอบน้อม ไม่เคยวางมาดกดขี่ผู้อื่น ให้ความเคารพยำเกรงต่ออาจารย์และผู้อาวุโส ให้ความเอื้ออารีต่อบริวารซ้ายขวา นี่คือว่าที่กษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรมที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของทุกผู้คน

เขาอาจมิใช่ยอดคนจอมวางแผนเช่นจักรพรรดิหงอู่ และปราศจากความทะเยอทะยานแผ่ขยายอาณาเขต แต่นั่นกลับมิใช่ปัญหา เพราะที่อาณาจักรยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงทุกวันนี้ได้มีระบบการปกครองที่สมบูรณ์พร้อม ตั้งแต่มหาเสนาบดีสภาขุนนางจนถึงขุนนางแต่ละท้องถิ่น กล่าวอย่างจาบจ้วงคือต่อให้ไม่มีจักรพรรดิบัญชาการ ต้าหมิงยังคงสามารถดำเนินงานต่างๆ ได้ดุจเดิม ดังนั้นบทบาทสูงสุดของจักรพรรดิก็คือใดๆ ล้วนไม่ต้องกระทำ

โบราณกล่าวว่าโอรสสวรรค์ดำเนินตามกรอบของอดีตโอรสสวรรค์ นี่คือคติพจน์อันเป็นสัจธรรม

ก่อนหน้านี้จักรพรรดิดึงดันจะปลดรัชทายาทให้ได้ คนจำนวนมากแม้ไม่ปริปาก หากในใจไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ซิงอ๋องนับแต่เริ่มแรกก็มิได้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นรัชทายาท การอบรมสั่งสอนที่เขาได้รับทั้งหมดย่อมมีความแตกต่างจากรัชทายาท ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องเพราะมารดาบังเกิดเกล้าของเขาคบหาใกล้ชิดกับวั่นกุ้ยเฟย ส่งให้ทุกคนบังเกิดความรู้สึกกริ่งเกรง เพียงแต่จักรพรรดิตัดสินพระทัยเด็ดขาด กอปรกับการโคจรของดวงดาวเกื้อหนุน ทุกคนคัดค้านไปก็ไร้ผล

ครานี้ประเสริฐแล้ว แม้กระทั่งสวรรค์เบื้องบนยังไม่สบอารมณ์ต่อความอยู่ไม่สุขของจักรพรรดิ ถึงอาศัยแผ่นดินไหวที่เขาไท่ซานมาเตือนสติ จักรพรรดิจึงไม่อาจดูดาย เรื่องราวพลิกผันเฉียบพลัน ทำให้ผู้คนอดอุทานมิได้ หรือรัชทายาทจะเป็นผู้ที่สวรรค์ลิขิตแท้จริง บททดสอบหลายต่อหลายครั้งยังไม่อาจสั่นคลอนฐานะของเขาได้

หลังความวุ่นวายเรื่องการปลดรัชทายาทยุติลง พวกถังฟั่นล้วนปรารถนาให้เรื่องราวยุติแต่เพียงนี้ หากเป็นไปได้พวกเขาอยากถลันถึงเบื้องหน้าจักรพรรดิแล้วบอกว่า ‘ฝ่าบาท พระองค์ก็วุ่นวายพอแล้ว พวกเรามาใช้ชีวิตกันอย่างสงบๆ สักหลายวันจะได้หรือไม่’

ทว่าหากโอรสสวรรค์องค์นี้อยู่นิ่งๆ เช่นนั้นก็ไม่ใช่นิสัยของเขาแล้ว

หลายวันผ่านไปพระองค์ก็ขับขานท่วงทำนองเดิม รับสั่งว่าในวันที่ตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วแล้วเสร็จจะออกจากวังไปอธิษฐานขอพร

รับสั่งนี้พอออกมา แน่นอนข้าราชสำนักย่อมส่งเสียงคัดค้านระเบ็งเซ็งแซ่อีกคำรบหนึ่ง

เหล่าขุนนางไม่เพียงรู้สึกว่าจักรพรรดิเสด็จออกจากวังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ สำคัญกว่านั้นคือจักรพรรดิพระวรกายไม่แข็งแรง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นมาระหว่างอยู่นอกวัง ถึงเวลานั้นคงโกลาหลยกใหญ่ ดังนั้นจึงคัดค้านหัวชนฝา โดยยกหลักการเหตุผลที่ว่าพิธีรีตองใดตัดออกได้ก็ตัดออก

หนนี้จักรพรรดิมิได้ดึงดัน กลับยอมถอยก้าวหนึ่งเป็นเชิงว่า ‘พวกเจ้าไม่ให้ข้าออกจากวังก็ย่อมได้ แต่อย่างน้อยต้องให้รัชทายาทออกจากวังไปอธิษฐานขอพรแทนข้า’ ช่วงก่อนมีปรากฏการณ์บนท้องฟ้าติดต่อกัน ตามด้วยเขาไท่ซานเกิดแผ่นดินไหว ในเมื่อสวรรค์เบื้องบนส่งคำเตือน ทั้งมุ่งหมายไปที่รัชทายาท หากตำหนักบูรพาสามารถออกไปอธิษฐานขอพรแทนพระบิดา ไม่แน่ว่าสวรรค์อาจเห็นแก่ความจริงใจของรัชทายาท ประทานพระพลานามัยที่แข็งแรงให้พระองค์ก็เป็นได้

แม้พวกถังฟั่นจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเหลวไหลเกินไป แต่จักรพรรดิทรงอ่อนข้อให้ถึงเพียงนี้ ทุกคนจึงวิตกว่าหากบีบคั้นเกินควรจะทำให้จักรพรรดิเกิดท่าทีสวนทาง ดีไม่ดีอาจกระทำเรื่องที่ชวนให้ปากอ้าตาค้างยิ่งกว่านี้ ดังนั้นจึงมิได้คัดค้านอีก

รัชศกเฉิงฮว่าปีที่ยี่สิบสาม เดือนหนึ่ง วันที่สอง รัชทายาทเสด็จตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วทำพิธีอธิษฐานขอพร

นี่เป็นการออกจากวังครั้งแรกในชีวิตของรัชทายาท ตั้งแต่สภาขุนนางยันหกกรมเก้ากองล้วนเตรียมการอย่างรัดกุม โดยเฉพาะกรมพิธีการยิ่งระดมสรรพความคิด ด้วยเกรงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ขบวนเสด็จยิ่งใหญ่อลังการ โดยเฉพาะราชรถที่วัดขนาดตัวและสั่งทำเพื่อการนี้เป็นพิเศษคันนั้น ทั้งสูงใหญ่กว้างขวาง รัชทายาทอย่าว่าแต่นั่งอยู่ภายใน ต่อให้นอนกลิ้งหลายตลบก็ไร้ปัญหา

จากวังหลวงไปถึงตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วขี่ม้าเป็นระยะเวลาราวหนึ่งชั่วยาม หากนั่งรถก็ยิ่งนานขึ้น เพราะถึงเวลานั้นจะมีขันทีนางในที่เดินเท้าตามเสด็จหลังราชรถอีกจำนวนมาก นี่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนเกียรติยศ ในเมื่อไปอธิษฐานขอพร มิใช่อพยพหนีภัย การเยื้องย่างของบรรดาชาววังย่อมต้องชดช้อยสวยงามเป็นสำคัญ เพื่อให้ราษฎรตลอดทางได้ชื่นชมพระบารมีอย่างทั่วถึง

ดังนั้นพิจารณาถึงจุดนี้ ราชรถจึงต้องกว้างขวางนั่งสบายเป็นพิเศษ เลี่ยงมิให้รัชทายาทต้องเหนื่อยล้ากับการเดินทางไปกลับที่กินเวลาเกือบสี่ชั่วยาม

แต่ถังฟั่นและพวกครุ่นคิดพิจารณามากกว่านั้น

สำหรับความรอมชอมกะทันหันของกลุ่มอำนาจวั่น พวกเขากลับมิได้ชะล่าใจ คนโดยมากหลังทราบข่าวรัชทายาทจะเสด็จออกจากวัง ง่ายมากที่จะคิดโยงไปถึงว่ากลุ่มอำนาจวั่นจะดิ้นรนสุดฤทธิ์หรือไม่ จะฉวยโอกาสนี้ลอบปลงพระชนม์รัชทายาทหรือไม่

ความจริงแล้วนี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะตั้งแต่รัชทายาทลงจากราชรถ โดยรอบจะโอบล้อมด้วยทหารรักษาพระองค์หลายชั้น พวกเขาเตรียมพร้อมพลีชีพเพื่อปกปักรัชทายาททุกที่ทุกเวลา สุยโจวและวังจื๋อถือเป็นยอดฝีมือที่มีจำกัดในแผ่นดิน แต่ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่มีทางลุล่วงภารกิจลอบสังหารรัชทายาทที่ยากเข็ญเช่นนี้ได้ และเป็นไปได้อย่างมากว่าก่อนอาวุธของพวกเขาจะถึงตัวรัชทายาทก็ถูกทหารรักษาพระองค์ที่กรูเข้ามาทั้งหน้าหลังบั่นทอนพละกำลัง จากนั้นก็หมดแรงขาดใจตาย

นับแต่สถาปนาราชวงศ์หมิงไม่เคยมีจักรพรรดิหรือรัชทายาทองค์ใดสวรรคตเพราะถูกลอบปลงพระชนม์ เนื่องเพราะระดับความยากของการนี้ค่อนข้างสูง หากมีผู้ใดใคร่กระทำ นั่นถือเป็นพฤติการณ์ที่โง่เขลามากอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้การลอบปลงพระชนม์ระหว่างทางถูกกำหนดให้ไม่มีวันเป็นจริง แต่มิได้หมายความว่าจะไม่มีหนทางอื่นแล้ว เพราะการซ่อมสร้างตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วตั้งแต่ต้นจนเสร็จล้วนผ่านมือกลุ่มอำนาจวั่นทั้งสิ้น ถังฟั่นและพวกจึงวิตกว่ากลุ่มอำนาจวั่นจะฉวยโอกาสเล่นตุกติกอันใดหลังจากรัชทายาทเข้าสู่ตัวตำหนัก ดังนั้นจึงยกระดับความตื่นตัวขึ้น วังจื๋อถึงขนาดเสนอตัวตามเสด็จใกล้ชิดขณะที่รัชทายาทเข้าสู่ภายในตำหนัก ต่อมาจักรพรรดิก็ทรงเห็นชอบ

มีวังจื๋อคุ้มครองด้านข้างย่อมไม่ต้องวิตกว่ารัชทายาทจะมีอันตรายใด

ถึงกระนั้นก็ตาม ในนี้ยังอาจมีช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ ดำรงอยู่

ตัวอย่างเช่นตามหมายกำหนดการมีช่วงตรงกลางราวหนึ่งชั่วยาม รัชทายาทจำเป็นต้องรั้งอยู่ตามลำพังในห้องทำสมาธิ อธิษฐานต่อสวรรค์เบื้องบนเพื่อพระพลานามัยของจักรพรรดิและความสงบร่มเย็นของแผ่นดิน ขั้นตอนนี้ไม่อาจมีผู้ใดรบกวน ต่อให้เป็นวังจื๋อและขุนนางผู้ใหญ่อื่นๆ ก็จำต้องรอคอยอยู่นอกห้อง

เวลาหนึ่งชั่วยามนี้ ภายในห้องทำสมาธิเกิดเหตุอันใดล้วนไม่มีผู้ใดทราบ

หลิวเจี้ยนและถังฟั่นอยากตัดขั้นตอนนี้ออกใจจะขาด โดยให้รัชทายาทแค่จุดธูปกราบไหว้ต่อหน้าฝูงชน แล้วเดินทางกลับวังก็พอ

แต่จักรพรรดิทรงคิดว่าพระองค์ยอมถอยให้หลายก้าวแล้ว ครานี้จึงยืนกรานไม่ยอมให้ลดขั้นตอนอีก

ในฐานะพระโอรส รัชทายาทไม่เพียงมิอาจโต้แย้ง ตรงข้ามยังต้องเป็นฝ่ายถวายฎีกาแสดงออกว่าตนเองเต็มใจอธิษฐานขอพรเพื่อพระบิดา

เรื่องราวติดขัดอยู่นาน ทุกคนต่างถอยก้าวหนึ่ง ปรับจากหนึ่งชั่วยามเป็นหนึ่งก้านธูป รัชทายาทเพียงรั้งอยู่ในห้องทำสมาธิเป็นเวลาชั่วธูปไหม้หมดก็ใช้ได้ และก่อนรัชทายาทเข้าตำหนัก องครักษ์เสื้อแพรจะตรวจสอบทั้งในและนอกตำหนักอย่างละเอียดรอบหนึ่งเพื่อรับรองว่าไม่มีบุคคลต้องสงสัยแฝงตัวอยู่

หลังการจัดเตรียมอันชุลมุนวุ่นวาย ในที่สุดเดือนหนึ่งวันที่สองก็มาถึง

เนื่องจากรัชทายาทเป็นตัวแทนพระบิดาไปบวงสรวงบูชา ดังนั้นขุนนางเมืองหลวงตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปล้วนต้องตามเสด็จ ถังฟั่นก็อยู่ในรายชื่อเช่นกัน

ทว่าระหว่างขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งบุ๋นบู๊และราชพาหนะของรัชทายาทถูกคั่นกลางด้วยขบวนชาววังยาวเหยียด จนกระทั่งบรรลุถึงตำหนัก เริ่มทำพิธีเซ่นไหว้ สองฝ่ายจึงได้สมทบกัน

ตลอดเส้นทางยังมีประชาชนไม่น้อยได้ยินข่าวว่ารัชทายาทจะเสด็จผ่าน จึงพร้อมใจออกมาคุกเข่าเฝ้าชมพระบารมี

ทหารรักษาพระองค์ตั้งแถวเป็นกำแพงมนุษย์ กันผู้คนไว้นอกถนน เพียงอนุญาตให้ชมดูอยู่ห่างๆ แต่พวกชาวบ้านตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของขบวนเสด็จ ถูกบรรยากาศแพร่ระบาดใส่ พากันตะโกนคำ ‘จักรพรรดิทรงพระเจริญ’ ‘รัชทายาททรงพระเจริญ’ อย่างอดใจไม่อยู่ ตื้นตันน้ำตาปริ่ม สุดระงับยับยั้งความรู้สึก บรรยากาศอึกทึกครึกโครมยิ่ง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือภาพที่สร้างความเปรมปรีดิ์และปลาบปลื้มต่อเจ้าแผ่นดินไม่ว่าองค์ใดก็ตาม มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีด้านหนึ่งที่ศิโรราบกราบกรานต่อพลังอำนาจ ดังนั้นบัลลังก์มังกรตัวหนึ่งจึงมีผู้แก่งแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกมาตั้งแต่อดีตกาล เพียงเสียดายเพราะเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนาง สุดท้ายจักรพรรดิเฉิงฮว่าก็มิได้เสด็จออกมา ไม่เช่นนั้นหากทอดพระเนตรเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ คะเนว่าต่อไปพระองค์ต้องทรงยินดีเสด็จออกมาทุกเดือนเป็นแน่

พระจริยวัตรของรัชทายาทตลอดการเดินทางล้วนเป็นที่พึงพอใจของทุกคน หากเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าทั่วไป เกรงว่าช่วงเวลาเช่นนี้คงอดใจไม่อยู่ต้องชะโงกหน้าออกมานอกรถเพื่อชมดูความครึกครื้นแล้ว แต่อย่างไรรัชทายาทก็มิใช่เด็กหนุ่มทั่วไป บนตัวเขาแบกรับชะตากรรมในอนาคตของทั้งแผ่นดินอยู่ ประกอบกับผ่านวัยเด็กอันเต็มไปด้วยอุปสรรคยากเข็ญเช่นนั้น จึงส่งผลให้รัชทายาทสุขุมลุ่มลึกกว่าปกติ กิริยามารยาทไม่มีขาดตกบกพร่อง เจรจาพาทีเหมาะสมไร้ที่ติ เมื่อเปรียบเทียบกับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันซึ่งพึ่งพาไม่ได้ ความรู้สึกตื้นตันที่อนาคตของแผ่นดินมีความหวังพลันจุดประกายขึ้นในจิตใจมวลชน

ต่างจากความรู้สึกตื่นเต้นยินดีของเหล่าขุนนางที่ยามปกติแทบไม่เคยเจอะเจอรัชทายาท พวกหลิวเจี้ยนและถังฟั่นล้วนตื่นระวังตลอดการเดินทาง เกรงจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใด

ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน พิธีสักการะราบรื่นมาก ไม่ปรากฏสถานการณ์วุ่นวายเฉกเช่นที่ผู้คนวิตก เหตุไม่คาดฝันหนึ่งเดียวก็คือขณะรัชทายาทเสด็จเดินทางมีฝนตกโปรยปรายลงมา เสื้อผ้าอาภรณ์ของทุกคนล้วนเปียกชื้น บวกกับอากาศเย็น ช่างเป็นรสชาติที่สุดพรรณนาจริงๆ ขุนนางจำนวนมากหลังกลับไปต่างล้มป่วย ถังฟั่นก็ไม่ยกเว้น

นี่ส่งผลให้เขาต้องลาหยุดอยู่กับบ้าน ทั้งวันถูกสุยโจวจับจ้องให้ดื่มยา ความขมขื่นเกินรำพัน ไม่อาจบอกกล่าวต่อผู้ใด

“ข้าหายดีแล้วจริงๆ ไม่ต้องดื่มยาแล้ว ท่านดูสีหน้าข้า เทียบกับวันก่อนแตกต่างมากใช่หรือไม่” ถังฟั่นห่มตัวด้วยเสื้อคลุมหนาเตอะ…นี่เป็นสุยโจวบังคับให้เขาใส่ ปั้นหน้าขื่นขมพลางกล่าว

น้อยคนนักที่สามารถเอาความรู้สึกว้าวุ่น ทุกข์ขม ปวดร้าว วิงวอน และน้อยใจมาผสมกลมกลืนอยู่บนใบหน้า ทว่าถังฟั่นทำได้แล้ว

เพียงเสียดาย คู่สนทนาของเขาไม่อนาทร “ข้าป้อนเจ้าได้”

ใช้อะไรป้อน

แน่นอนว่าไม่ใช่ช้อน

ผิวหน้าของใต้เท้าถังซ่านแดง

ทุกวันภาพเหตุการณ์เช่นนี้ล้วนปรากฏขึ้นนับรอบไม่ถ้วน และสุดท้ายก็จบลงที่ถังฟั่นปราชัยทุกคราไป

แต่นี่มิอาจโทษเขา ยานี้รสขมจริงๆ หากให้สุยโจวดื่ม คะเนว่าเขาก็ไม่เต็มใจเช่นกัน ทว่าคนเขาร่างกายแข็งแกร่ง วันนั้นก็โดนฝน แต่สุขภาพยังอยู่ดี ไม่มีอาการเจ็บป่วยแม้แต่น้อย

เปรียบเทียบกันแล้วขุนนางบุ๋นมีสภาพน่าอนาถไม่อาจทนดูอยู่บ้าง โดยเฉพาะสภาขุนนาง นอกจากถังฟั่น แทบทุกคนที่วัยเลยสี่สิบ ยกเว้นรองราชเลขาธิการหลิวจี๋และสวีผู่ซึ่งยังปักหลักอยู่ในห้องทำงานของสภาขุนนาง คนอื่นที่เหลือล้วนล้มหมอนนอนเสื่อเพราะฝนตกรอบนั้น แม้แต่ราชเลขาธิการวั่นก็ไม่เว้น ฟังว่าตอนนี้เขายังลุกจากเตียงไม่ได้ด้วยซ้ำ

อาการของถังฟั่นนับว่าไม่เลวแล้ว เขาเพียงลาป่วยหนึ่งวัน หากไม่มีอะไรผิดปกติ พรุ่งนี้ก็สามารถกลับไปทำงานได้

เพราะถ้ายังไม่กลับไป หลิวจี๋และสวีผู่คงทานไม่อยู่แล้ว เรื่องที่เดิมทีควรมีคนเจ็ดคนสะสาง บัดนี้ล้วนทับถมบนตัวของสองคน ตอนเที่ยงหลิวจี๋เพิ่งส่งคนมาสอบถามว่าบ่ายนี้ถังฟั่นสามารถเข้าสภาขุนนางช่วยแบ่งเบางานหรือไม่

หากเข้าสภาขุนนางแล้วไม่ต้องดื่มยา ถังฟั่นย่อมยินดีเป็นที่สุด แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นจริง คะเนว่าคืนนี้เตรียมตัวรับการทารุณได้เลย

ดื่มยาหมดในรวดเดียว ถังฟั่นรู้สึกขมไปทั้งปาก กระทั่งใบหน้าก็ย่นยู่เป็นดอกเบญจมาศเหี่ยว

“มีลูกอมหรือไม่” เขาถามสุยโจว

“เจ้าจะเอาลูกอมอะไร”

“…ลูกอมดอกกุ้ย ลูกอมแป้งสาลี อะไรก็ได้”

คำตอบของอีกฝ่ายคือรสจูบลึกล้ำที่กดประทับลงมาและรัดเอวเขาแน่นไม่ให้ถอยหนี จวบจนถังฟั่นใกล้หายใจไม่ออกค่อยคลายมือพลางกล่าว “ข้าเพิ่งกินลูกอมแป้งสาลีมา เช่นนี้พอได้กระมัง”

“…”

ถูกเขากล่าวเช่นนี้ ถังฟั่นพลันรู้สึกเหมือนในปากตนเองมีรสลูกอมแป้งสาลีเจือจางอยู่จริงๆ

แต่วิธีเช่นนี้…

ถังฟั่นหน้าแดงอีกคำรบ

สุยโจวชื่นชมท่าทีของถังฟั่นด้วยความเพลิดเพลิน

ผิวหน้าขาวผ่องแดงเปล่งปลั่ง ดวงตาเจือจางด้วยละอองหมอกเพราะความอัดอั้นเมื่อครู่ ท่าทางคล้ายกระดากอายกลายเป็นเคืองขุ่นแต่ไม่ทราบจะต่อต้านอย่างไร

ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หน เขายังคงสุขชื่นรื่นรมย์ไม่รู้เหนื่อย

“คราวก่อนข้าเห็นนิยายประโลมโลกที่เจ้าแต่ง การพรรณนาในนั้นออกจะโจ่งแจ้ง ไยเจ้ากลับเหนียมอายง่ายดายปานนี้ หืม?”

เขาช้อนคางของอีกฝ่ายขึ้น ก้มศีรษะลงไป พูดจนเกือบชิดริมฝีปากของใต้เท้าถัง

ระเบียงทางเดินอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย ทั้งสองอิงแอบแนบชิด สุยโจวรั้งคนเข้ามาทั้งตัว สองฝ่ายประจันหน้า สองขาของถังฟั่นถ่างออกนั่งลงบนตัวเขา

ใต้แสงแดดแผดจ้า ทั้งอยู่ตรงข้ามลานตึก ท่านั่งเช่นนี้ออกจะ…

เพียงพอให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรนำไปวิพากษ์อย่างออกรส!

ใต้เท้าถังใคร่ขัดขืน ทว่าอย่าว่าแต่ยามนี้ยังป่วยอยู่ ต่อให้เป็นยามปกติก็ไม่มีทางดิ้นหลุดจากภูผาห้านิ้วของท่านป๋อสุยไปได้

“เช่นนี้อุ่นดี ข้าช่วยบังลมให้เจ้า” ท่านป๋อสุยกล่าวหน้าตาเฉย

ถังฟั่นอดรนทนไม่ไหว “ไยพอข้าลาหยุด ท่านก็แอบอู้งานไปด้วย”

สุยโจวชี้แจงด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ข้าก็ลาหยุดเช่นกัน”

ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ไม่สบาย?”

สุยโจวตอบ “ไม่ ดูแลภรรยาที่ล้มป่วย”

“…”

ความละอายของท่านหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า!

ทั้งสองโต้คารมกันไปมา ได้ยินเสียงตบประตูดังขึ้น “ที่นี่ใช่จวนของถังเก๋อเหล่าหรือไม่ มีคนอยู่หรือไม่”

ถังฟั่นฉวยจังหวะนี้ดิ้นหลุดจากอ้อมกอดสุยโจว เดินไปเปิดประตู

ด้านนอกมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ ท่าทางเหมือนบ่าวไพร่คนหนึ่ง เห็นถังฟั่นออกมาจึงรีบประสานมือคารวะ “ใต้เท้า ผู้น้อยเป็นคนของจวนหลิวเก๋อเหล่า”

ถังฟั่นจำเขาได้ อีกฝ่ายเป็นบ่าวรับใช้ของหลิวเจี้ยน

“นายท่านบ้านเจ้าหาข้ามีธุระอันใด”

“ขอรับ นายท่านรออยู่ที่ปากตรอก เรียนเชิญใต้เท้าไปสนทนา”

ถังฟั่นแปลกใจเล็กน้อย วันนี้หลิวเจี้ยนลาป่วยอยู่กับบ้านเช่นกัน ไฉนวิ่งออกมาแล้ว

เขาบอกสุยโจวสองสามคำแล้วตามอีกฝ่ายออกมา เห็นหลิวเจี้ยนในเสื้อคลุมหนายืนอยู่ตรงมุมกำแพง กำลังถูมือขยี้เท้าแก้หนาว ดูท่าทางกลับไม่เหมือนล้มป่วย

“พี่หลิวเจี้ยน?” ถังฟั่นเดินเข้าไปร้องทัก “ในเมื่อมาแล้ว มิสู้เข้าไปนั่งข้างใน”

“ไม่ต้อง” หลิวเจี้ยนฉุดถังฟั่นมาใกล้ กระซิบว่า “ถ้าตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรมาก มิสู้เข้าวังไปเข้าเฝ้ารัชทายาทพร้อมข้าเที่ยวหนึ่ง”

ถังฟั่นเห็นเขาทำท่าลึกลับ อดถามมิได้ “รัชทายาทเป็นอะไรไป”

หลิวเจี้ยนตอบ “รัชทายาทประชวรหลังกลับมา เจ้ารู้กระมัง”

ถังฟั่นพยักหน้า เรื่องนี้เขาทราบดี เพราะฝนตกรอบนั้น หลายคนล้วนจับไข้ล้มป่วย รัชทายาทก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขณะเดินทางกลับ แม้รัชทายาทจะมีราชรถให้ประทับ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องตากฝนตลอดทาง ทว่าระหว่างตัวตำหนักออกมาถึงราชรถมีบันไดหยกที่สูงลิ่วช่วงหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องเดินเท้าลงมา

ถึงแม้วังจื๋อปลดเสื้อคลุมลงมาคลุมพระเศียรให้รัชทายาท ทว่าพระเกศาและฉลองพระองค์ยังคงเปียกฝนอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังกลับถึงวังจึงประชวรเพราะโดนพิษไอเย็นเฉกเช่นคนอื่นๆ

ทว่าตอนนั้นฝนตกไม่หนัก ดังนั้นพวกที่ขี่ม้าตากฝนตลอดทางเหมือนถังฟั่นอย่างมากก็ดื่มยาขมสองชาม บวกกับตอนนั้นคนส่วนใหญ่ล้วนถอดเสื้อคลุมมาคลุมศีรษะ ถึงจะไม่สบายแต่อาการก็ไม่ร้ายแรง

และครั้งนี้ก็ไม่มีใครสามารถป้ายความผิดไปที่กลุ่มอำนาจวั่นได้

เพราะถึงกลุ่มอำนาจวั่นอยากปลดรัชทายาทปานใดก็มิอาจคาดการณ์ได้ว่าวันนั้นฝนจะตก หรือต่อให้พยากรณ์ได้ว่าวันนั้นมีฝนก็ใช่จะคาดคิดได้ว่ารัชทายาทต้องเปียกฝนจนประชวร หากกล่าวว่าพวกเขาใคร่ใช้วิธีนี้มากำจัดรัชทายาท เช่นนั้นก็ออกจะน่าขันเกินไป

รัชทายาทประชวรได้สองวันแล้ว เมื่อวานถังฟั่นสืบถามได้ความว่าอาการไม่สาหัสรุนแรง หมอหลวงเพียงให้บรรทมพักผ่อนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ฟังหลิวเจี้ยนกล่าว พลันสะดุดใจวูบ บังเกิดลางสังหรณ์ไม่สู้ดีขึ้นมา

“รัชทายาทคงมิใช่…”

หลิวเจี้ยนเห็นอีกฝ่ายเข้าใจผิด “ไม่ใช่ เพียงแต่ข้าได้ยินว่ารัชทายาทประชวรแล้ว อยากเข้าไปดูกับตาว่าพระองค์ไม่เป็นอะไรค่อยสบายใจได้ ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจขอลาหยุด ได้ยินว่าเจ้าก็อยู่บ้านจึงแวะมาชวนเจ้าก่อน”

ก่อนเข้าสภาขุนนางหลิวเจี้ยนเคยดำรงตำแหน่งขุนนางอรรถาธิบายของตำหนักบูรพาอยู่หลายปี ความผูกพันกับรัชทายาทมิใช่ตื้นเขิน ดังนั้นห่วงใยในสุขภาพของรัชทายาทมากกว่าคนอื่นก็มิใช่เรื่องแปลก

ถังฟั่นกล่าวว่า “ข้าย่อมยินดีไปเป็นเพื่อนท่านเที่ยวหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่สบาย หากเสียมารยาทต่อหน้ารัชทายาทหรือแพร่อาการป่วยใส่รัชทายาทกลับไม่ดีแล้ว”

หลิวเจี้ยนครุ่นคิดแล้วกล่าว “ช่างเถอะ ข้าไปคนเดียวแล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราไปสภาขุนนางค่อยสนทนา”

เขานิสัยทำอะไรปุบปับ พูดจบก็เอ่ยลาต่อถังฟั่นแล้วผลุนผลันจากไป

เนื่องเพราะมารยาท ถังฟั่นจึงยืนส่งรถม้าของอีกฝ่ายจนลับตาไป ลมหนาวโชยมา ชายเสื้อพัดพลิ้ว ร่างสูงเพรียวสง่างามเหนือบรรยาย

เสียดาย…

ใต้เท้าถังยังไม่หายไข้ ดังนั้นเขาจึงสูดจมูกอย่างห้ามไม่อยู่ ได้แต่สูดเอาน้ำมูกที่กำลังย้อยลงมากลับเข้าไป

จากนั้นหมุนกาย

“…”

“…”

ถูกพบเข้าแล้ว! ความสุภาพอ่อนโยนของข้า ลาลับไม่หวนคืน!

เห็นสุยโจวที่ไม่รู้มายืนมองตนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด ใต้เท้าถังครวญครางในใจ พลันเกิดความพลุ่งพล่านใคร่หลั่งน้ำตา

สุยโจวกลั้นหัวเราะ “กลับไปกันเถอะ ข้างนอกหนาว”

ถังฟั่นไอเบาๆ “เมื่อครู่ตอนออกมาข้าไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้า”

สุยโจวกล่าว “ดังนั้นเจ้ายิ่งสมควรกลับไปดื่มยา ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เสียมารยาทต่อหน้าสหายร่วมงานในสภาขุนนาง เช่นนั้นมิเสียหน้าแย่แล้วหรือ”

เขาไม่พูดยังพอทำเนา พอกล่าวถังฟั่นก็นึกภาพขึ้นมาทันที หากพรุ่งนี้เกิดการโต้เถียงด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งกับกลุ่มอำนาจวั่น ตนซึ่งเดิมทีคารมคมคายวาจาฉาดฉานจู่ๆ น้ำมูกไหลย้อยจนต้องสูดจมูกอย่างห้ามไม่อยู่…

ความสง่าทั้งมวลล้วนสูญสลายไปกับสายน้ำ!

“…”

พินิจสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาวของอีกฝ่าย สุยโจวพิศวงอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดในใจ คำพูดของตนไม่น่ามีปัญหาอันใดนี่นา

ไม่ทันรอเขาขบคิดกระจ่างก็ได้ยินถังฟั่นกล่าวอย่างระกำใจ “พรุ่งนี้ข้าจะลาหยุดอีกหนึ่งวัน”

ความปรารถนาประการนี้ย่อมไม่มีทางเป็นจริงได้ หลิวจี๋กับสวีผู่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในสภาขุนนางหนึ่งวันจวนเจียนเป็นบ้าแล้ว สุดท้ายกระทั่งอาหารค่ำยังต้องกินในสภาขุนนาง จวบจนดึกดื่นปลอดคนค่อยได้กลับ หากวันถัดไปถังฟั่นยังลาต่อ คะเนว่าพวกเขาคงส่งคนมาตามถึงประตูบ้านเป็นแน่

ถังฟั่นได้แต่ลากสังขารที่ยังไม่หายดีไปเข้างานที่สภาขุนนาง ในอกเสื้อสอดผ้าเช็ดหน้าใหม่เอี่ยมไว้สามผืน เผื่อใช้ในยามจำเป็น

คนอื่นๆ ล้วนมาแล้ว รวมทั้งราชเลขาธิการวั่นอัน

วันนี้ไม่มีประชุม ทุกคนไม่จำเป็นต้องเจอหน้า หลังจากลงชื่อรายงานตัวก็แยกย้ายกลับห้องทำงาน

ถังฟั่นนั่งห้องเดียวกับหลิวเจี้ยนจึงถือโอกาสสอบถามเรื่องเมื่อวาน “เป็นอย่างไร ท่านได้เข้าเฝ้าองค์รัชทายาทหรือไม่”

หลิวเจี้ยนขมวดคิ้ว ใคร่กล่าวแต่ยั้งไว้

“หรือรัชทายาทไม่ยอมให้ท่านเข้าเฝ้า?”

หลิวเจี้ยนตอบ “ไม่ใช่เช่นนั้น แต่รัชทายาทคล้ายประชวรไม่เบา ได้ยินว่าเดิมทีบรรทมบนเตียง ครั้นรู้ว่าข้ามาค่อยทรงลุกขึ้น”

ถังฟั่นตกใจ “อาการสาหัส?”

“ไม่ถึงกับสาหัส หมอหลวงอยู่ตรงนั้นพอดี บอกว่าพิษไอเย็นมิใช่เรื่องล้อเล่น ให้รัชทายาทพักผ่อนให้มาก อย่าได้นิ่งนอนใจ”

ถังฟั่นพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง”

ครานี้หลิวเจี้ยนค่อยระบายความไม่พอใจออกมา “แต่ข้าได้ยินว่าหลังจากรัชทายาทประชวร ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จมาเยี่ยมเลย”

เมื่อใดที่นึกถึงสีหน้าหม่นหมองซึมเซาของรัชทายาท หลิวเจี้ยนก็อดเศร้าใจแทนอีกฝ่ายมิได้

ถังฟั่นพลอยถอนใจไปด้วย เรื่องทำนองนี้คนนอกยากจะตัดสิน พวกเขาเป็นข้าราชบริพารยิ่งมิอาจจาบจ้วงวิพากษ์วิจารณ์

มองจากมุมของคนนอก รัชทายาทอาจดูน่าเวทนามาก

แต่จักรพรรดิอาจทรงรู้สึกว่าพระองค์ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้าให้รัชทายาทแล้ว…ก็คือตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ดังนั้นรัชทายาทได้รับความน้อยใจบ้างจะเป็นไรไป ยิ่งไปกว่านั้นบุตรพึงเชื่อฟังบิดา ขุนนางพึงเชื่อฟังเจ้าแผ่นดิน พวกเขาทั้งเป็นเจ้าแผ่นดินกับขุนนาง ทั้งเป็นบิดากับบุตร ไหนเลยมีเหตุผลให้บุตรตัดพ้อบิดาเมื่อบิดาละเลยเย็นชาต่อบุตรเล่า

ดังนั้นนี่ถูกกำหนดให้เป็นบัญชีที่สะสางไม่ได้รายหนึ่ง อีนุงตุงนัง ซับซ้อนยุ่งเหยิง

แม้กระทั่งวั่นกุ้ยเฟยไม่แน่ก็อาจรู้สึกตนเองน่าเวทนามาก นางต่างหากที่เป็นสตรีที่จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญที่สุด ถึงเวลากลับไม่มีบุตรชายให้สืบทอดราชบัลลังก์ ปล่อยให้บุตรของนางข้าหลวงชุบมือเปิบ

หากหลังจากรัชทายาทขึ้นครองราชย์สามารถรักษาจิตดั้งเดิม ไม่ถูกบุญคุณความแค้นพัวพันจนหลงลืมหน้าที่บริหารบ้านเมือง เช่นนั้นก็นับว่าค่อนข้างปรีชาสามารถทีเดียว และไม่เสียแรงที่ขณะเขาตกอับ คนจำนวนมากได้หยิบยื่นความเกื้อกูล ถึงขนาดปกป้องด้วยชีวิต

หลิวเจี้ยนตระหนักในจุดนี้ ดังนั้นเพียงแอบตัดพ้อกับถังฟั่นแล้วโยนทิ้งไม่เอ่ยถึงอีก ทั้งคู่ไม่ได้มาหนึ่งวัน ทางกองอุทธรณ์ฎีกาและกรมทั้งหกมีการงานรอคอยพวกเขาเป็นพะเนิน ทั้งสองหมกมุ่นกับงานจนหน้ามืดตาลาย จวบจนพลบค่ำค่อยนับว่าจัดการไปได้ครึ่งหนึ่ง

“ภายหน้าต่อให้ข้าต้องตายในหน้าที่ก็ไม่ขอลาหยุดอีกแล้ว” หลิวเจี้ยนส่ายศีรษะไปมา พูดล้อเล่นว่า “ลาหยุดกลับมายังต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดยิ่งกว่าวันปกติเสียอีก”

ถังฟั่นอดขำพรืดมิได้ หากก็ต้องกำสรดเมื่อพบว่าน้ำมูกใกล้ยืดลงมาอยู่รอมร่อ รีบควักผ้าเช็ดหน้าอุดไว้ ทำให้เสียงเขาฟังดูอู้อี้ “พี่หลิวเจี้ยนอย่าพูดตลกให้ข้าหัวเราะอีกเลย…”

หลิวเจี้ยนเห็นสภาพทุลักทุเลของเขาเช่นกันจึงหัวเราะฮาๆ อย่างไม่เห็นใจสักนิด

ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการงานเร่งด่วนเสร็จ ถังฟั่นรีบออกจากวังมุ่งหน้ากลับบ้านทันที

ก่อนร่างกายจะหายเป็นปกติ เขาเตรียมปฏิเสธงานเลี้ยงทุกชนิด ใครมาตามล้วนไม่ไป เลี่ยงมิให้ปรากฏเหตุการณ์ชวนอับอายต่อหน้าผู้อื่น

เพียงเสียดาย คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ระหว่างทางเขาถูกคนผู้หนึ่งสกัดไว้

คนที่หยุดยั้งถังฟั่นไว้คือโจวจิ่ง คนผู้นี้หาใช่ชนชั้นนิรนามอันใด

อีกฝ่ายคือพระสวามีขององค์หญิงฉงชิ่ง ทุกวันนี้รับผิดชอบดูแลสำนักการพระราชวงศ์ นับเป็นพระญาติสายนอกที่บารมีสูงสุด

องค์หญิงราชวงศ์หมิงคล้ายกับยุคก่อนราชวงศ์ซ่ง แทบไม่มีบทบาทอันใด ส่วนใหญ่มักออกเรือนอย่างเงียบเชียบ สามีภรรยาผิดพ้องหมองใจ สุดท้ายจากโลกไปอย่างทุกข์ระทม ทว่าองค์หญิงฉงชิ่งนี้กลับเป็นข้อยกเว้น เพราะนางเป็นพระธิดาของพระพันปีโจว เป็นพระขนิษฐาร่วมอุทรของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เพียงศักดิ์นี้ก็เพียงพอให้ผู้คนมิอาจมองข้ามแล้ว

ชะตาชีวิตองค์หญิงท่านนี้นับว่าไม่เลว พระสวามีเป็นคนอุปนิสัยดี ใฝ่หาความรู้ไม่ด้อยไปกว่าผู้คงแก่เรียนทั่วไป สมัยยังหนุ่มเป็นคุณชายเจ้าสำอาง ค่อนข้างเป็นที่ต้องพระเนตรของจักรพรรดิองค์ก่อน ความสัมพันธ์ขององค์หญิงและราชบุตรเขยจัดว่าดีมาก แต่งงานมายี่สิบกว่าปีรักใคร่กลมเกลียว เป็นคู่สร้างคู่สมที่ทุกคนในหมู่ราชนิกุลล้วนอิจฉา

“ราชบุตรเขยโจวสบายดีหรือ ตั้งแต่พระราชพิธีขึ้นปีใหม่คราวก่อนดูท่านสดชื่นแจ่มใส คิดว่าชีวิตคงรื่นรมย์ดีกระมัง”

โจวจิ่งย่อมไม่เหมือนกับพระญาติสายนอกจอมโลภอย่างวั่นทง แม้แต่ถังฟั่นเห็นเขาก็ยังไม่กล้าเสียมารยาท รีบลงเกี้ยวมาทักทาย

ทว่าเขาแปลกใจมาก เพราะถึงทั้งสองรู้จักกันแต่กลับมิได้ไปมาหาสู่สักเท่าใด โจวจิ่งเป็นคนสำรวมกิริยาวาจา วันนี้จู่ๆ มาขวางคนกลางถนน ออกจะหลุดกรอบอยู่บ้าง

“สดชื่นแจ่มใสอันใดกัน” โจวจิ่งยิ้มหม่น ฉุดถังฟั่นมาทางหนึ่ง “ถังเก๋อเหล่า ข้ามาเพื่อขอความช่วยจากท่าน”

ถังฟั่นพอฟังยิ่งอัศจรรย์ใจ “ราชบุตรเขยโจวกล่าวหนักแล้ว”

โจวจิ่งถอนใจ “พวกเราผู้ผ่าเผยไม่กล่าววาจาอ้อมค้อม สถานการณ์คับขัน ข้าขอกล่าวตามสัตย์ ที่บ้านข้าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

“วังองค์หญิง?”

โจวจิ่งตอบ “ใช่ ข้าน่ะ…เฮ้อ เรื่องนี้ทำให้ข้ามีปากเสียงรุนแรงกับองค์หญิงมาสองวันแล้ว ได้ยินว่าถังเก๋อเหล่าวินิจฉัยคดีดุจเทพ จึงใคร่พาท่านไปช่วยตัดสินให้พวกเรา องค์หญิงจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก”

องค์หญิงฉงชิ่งแม้เป็นที่โปรดปราน ทว่านับแต่แต่งเข้าบ้านสกุลโจวก็ปฏิบัติต่อญาติฝ่ายสามีอย่างดี ไม่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ เป็นที่สรรเสริญของผู้คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีปากเสียงรุนแรงกับสามี หากกล่าวว่าเวลานี้ทะเลาะกันถึงขั้นโจวจิ่งต้องวิ่งมาหาตน นี่ออกจะแปลกพิลึกจริงๆ

แม้ถังฟั่นจะชื่นชอบการสืบค้นข้อเท็จจริง แต่กลับไม่คิดแทรกสอดเรื่องระหว่างสามีภรรยาเด็ดขาด โบราณว่าขุนนางสุจริตยากตัดสินคดีครอบครัว รอเมื่อสามีภรรยาเลิกทะเลาะกลับมาหวานชื่น คนรับเคราะห์มิใช่ตนเองซึ่งเป็นคนกลางหรือ ดังนั้นพอฟังเขาจึงยิ้มแหย “เรื่องนี้ข้ากลับช่วยท่านไม่ได้ ท่านเชิญผู้ทรงภูมิท่านอื่นเถิด”

จบคำก็สลัดแขนเสื้อจากมือโจวจิ่ง หมุนกายเตรียมเผ่นหนี

ปรากฏว่าโจวจิ่งว่องไวกว่า คว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนเขา บีบแรงจนถังฟั่นรู้สึกว่าหากยังดิ้นขัดขืนอีกเกรงว่าแม้แต่ชุดขุนนางคงโดนกระชากติดมือลงมาเป็นแน่ ได้แต่ชะงักฝีเท้า “ราชบุตรเขยโจว ท่านกับองค์หญิงเป็นสามีภรรยา มีวาจาใดนั่งลงสนทนากันดีๆ ย่อมฝนลาฟ้าใสแล้ว ไยต้องทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เล่า เกรงว่าข้าเองก็คงช่วยอันใดมิได้”

โจวจิ่งเริ่มฉุน “ท่านยังไม่ได้ฟังข้าเล่า ไฉนทราบว่าช่วยไม่ได้”

ถังฟั่นระอาใจ “ท่านดู ข้ายังไม่หายไข้เลย นี่ก็กำลังรีบกลับบ้าน พวกเราค่อยคุยกันวันหน้าได้หรือไม่”

ล้อเล่นหรือไร องค์หญิงกับราชบุตรเขยทะเลาะวิวาท ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยสักนิด

โจวจิ่งกลับบอก “ไม่มีปัญหา ตอนนี้ท่านไปบ้านข้าก่อน ข้าจะให้คนเตรียมสุราอาหารชั้นดีโต๊ะหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง ในเมื่อวันนี้ข้าเจอท่าน ท่านก็ต้องช่วยข้าออกความเห็น! ถังเก๋อเหล่า คิดเสียว่าข้าขอร้อง หากปล่อยให้องค์หญิงโวยวายต่อไปจนสะพัดถึงภายนอก ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”

ถ้อยคำทั้งอ่อนและแข็งทำให้ถังฟั่นไม่ทราบควรร้องไห้หรือหัวเราะ ใคร่ปฏิเสธก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะผู้อื่นกำแขนเสื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ถังฟั่นถอนใจ “ไม่ไปได้หรือไม่”

โจวจิ่งกล่าวรวบรัด “ไม่ได้!”

ทั้งสองฉุดๆ ดึงๆ กลางถนน ฐานะก็มิใช่ธรรมดาจึงเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คน หากยังไม่ไป แม้แต่คนของห้ากองกำลังรักษาเมืองคงได้รุดมากันหมดแน่ ถังฟั่นได้แต่ยอมจำนน ให้คนหามเกี้ยวกลับไป จากนั้นขึ้นรถม้าของโจวจิ่ง

รถม้าของวังองค์หญิงกว้างขวางใช้ได้ บุรุษฉกรรจ์สองคนขึ้นไปนั่งยังมีที่เหลือเฟือ ข้างใต้บุด้วยฟูกแพร แทบไม่รู้สึกถึงความสั่นโคลงขณะรถแล่นบนถนน แต่ถังฟั่นกลับไม่มีอารมณ์เสพสุข เพราะเมื่อครู่เขาเพิ่งโดนลมหนาวอยู่ด้านนอก ตอนนี้ขึ้นรถม้าที่อบอุ่นพลันอดจามทีหนึ่งมิได้ น้ำมูกน้ำตาไหลย้อย

โจวจิ่งชำเลืองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างห่วงใย “ถังเก๋อเหล่ายังหนุ่มแน่น ต้องรักษาสุขภาพให้มาก”

ถังฟั่นใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ลอบค้อนเขาทีหนึ่ง

เป็นผู้ใดจะลากข้ามาให้ได้เล่า

โจวจิ่งคล้ายรู้สึกได้ถึงการตัดพ้อของอีกฝ่าย เพียงยิ้มแห้งๆ “ข้าเองก็จนปัญญา ถังเก๋อเหล่าโปรดอภัย”

ถังฟั่นถามอย่างอ่อนใจ “ไม่ทราบราชบุตรเขยกับองค์หญิงถกเถียงกันด้วยสาเหตุใด”

หลังขึ้นรถม้า ปราศจากคนนอก โจวจิ่งกลับเพียงเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เดี๋ยวรอถึงวังก่อนข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง”

ถังฟั่นพลันรู้สึกตงิดๆ

โจวจิ่งเป็นคนอัธยาศัยดี องค์หญิงฉงชิ่งก็มิใช่สตรีก้าวร้าวเอาแต่ใจ หนำซ้ำทั้งคู่มิใช่เพิ่งแต่งงาน หากกล่าวว่าเกิดความขัดแย้งใหญ่โตอันใด ถังฟั่นกลับไม่เชื่อ แต่หากมิใช่เรื่องใหญ่ ไยโจวจิ่งต้องมาดักรอสมาชิกสภาขุนนางท่านหนึ่งกลางทางเพื่อเชิญเขาไปช่วยไกล่เกลี่ยถึงที่บ้านเช่นนี้ด้วย พึงทราบว่าความสัมพันธ์ของถังฟั่นและโจวจิ่งมิได้แนบแน่นถึงขนาดที่โจวจิ่งจะให้เขามาตัดสินเรื่องในครอบครัวตนเอง ซ้ำยังเป็นเรื่องในครอบครัวขององค์หญิงและราชบุตรเขยอีกด้วย

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ถังฟั่นวางผ้าเช็ดหน้า เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยเพราะยังไม่หายป่วย แต่ฟังไปคล้ายขรึมเศร้าหลายส่วน

“ราชบุตรเขยคงมีเรื่องจะบอกข้ากระมัง”

ถังฟั่นทำท่าขึงขังขึ้นมา น้อยคนนักจะสามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ภายใต้สายตาคมปลาบของเขา โจวจิ่งก็ไม่ยกเว้น

เขาอดที่จะหลบสายตาถังฟั่นมิได้ “ถังเก๋อเหล่าจะได้ทราบในไม่ช้านี้ โปรดอย่าเพิ่งถามเลย”

รถม้าหยุดจอดที่หน้าประตูวังองค์หญิง บ่าวในจวนเห็นราชบุตรเขยชักนำชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทางนบนอบก็อดฉงนฉงายมิได้ จึงลอบคาดเดาฐานะของอีกฝ่าย แต่ไม่ช้าพวกเขาก็กระจ่างแล้ว เพราะราชบุตรเขยเรียกขานเขาว่า ‘เก๋อเหล่า’

คำว่าเก๋อเหล่าย่อมมิใช่นามแฝงนามรองของใคร ทั้งราชวงศ์ต้าหมิงมีเพียงเจ็ดคนที่สามารถได้รับการเรียกขานเช่นนี้ เทียบเท่ากับมหาเสนาบดี อยู่ใต้คนผู้หนึ่ง อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดิน

แม้ว่าตำแหน่งนี้มีความมั่นคงไม่เท่ากับบรรดาศักดิ์ของพวกราชนิกุลหรือผู้มีคุณูปการร่วมก่อตั้งราชวงศ์ หลายปีมักมีการผลัดเปลี่ยนครั้งหนึ่ง แต่มิอาจปฏิเสธว่าบุคคลที่สามารถขึ้นเป็นเก๋อเหล่าคือผู้กุมอำนาจศูนย์กลางของต้าหมิง ยิ่งเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของแผ่นดิน

ชายหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนอายุยี่สิบเศษ หากเขาเป็น ‘เก๋อเหล่า’ จริง ใต้หล้านี้ถึงกับมีมหาเสนาบดีที่เยาว์วัยปานนี้เชียวหรือ

ไม่ ความจริงแล้วใช่ว่าไม่มี

บ่าวไพร่ในวังองค์หญิงที่หูตากว้างขวางพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา และวัยของคนผู้นี้ก็สอดคล้องต้องกันกับชายหนุ่มตรงหน้า เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึง ถังเก๋อเหล่าที่หนุ่มแน่นและเก่งกาจตามตำนานเล่าขานท่านนั้นถึงกับเป็นบุคคลผู้มีรูปโฉมสง่างามปานนี้

เอ๊ะ แต่ยามเดินไยใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากจมูกคล้ายไม่สบายกระนั้น

ถังฟั่นย่อมไม่ว่างไปสังเกตท่าทีของบ่าวไพร่ในวังองค์หญิง และโจวจิ่งก็ไม่อยู่ในอารมณ์นั้นเช่นกัน เขาพาถังฟั่นเร่งเดินตลอดทาง แม้แต่รอยยิ้มก็ไม่มี นี่ทำให้ถังฟั่นเกือบเข้าใจไปว่าเกิดเหตุร้ายอันใดกับองค์หญิงแล้ว

จวบจนทั้งคู่มาถึงห้องหนังสือด้านหลัง

โดยปกติห้องหนังสือด้านหลังจะไม่เปิดรับบุคคลภายนอก เว้นแต่สนิทสนมกับเจ้าของบ้านเป็นพิเศษ เพราะห้องหนังสือคือสถานที่เฉพาะ ยิ่งบ้านของผู้มีฐานะมักมีหนังสือสำคัญวางอยู่จำนวนมาก อย่าว่าแต่แขกผู้มาเยือนเลย บางครั้งกระทั่งบุตรธิดาของเจ้าบ้านยังอาจถูกห้ามไม่ให้เข้ามา

แต่เวลานี้โจวจิ่งกลับพาถังฟั่นมุ่งมาที่นี่โดยตรง

เขาผลักเปิดประตู กล่าวกับคนข้างใน “อาซู ข้าเชิญคนมาแล้ว”

ผู้นั่งอยู่ด้านในย่อมมิใช่ใครอื่น

องค์หญิงฉงชิ่งวัยเกินสี่สิบยังเปี่ยมเสน่ห์จับตา แลดูคล้ายไม่เกินสามสิบเศษ มากกว่าถังฟั่นไม่เท่าไร

เขากลับมิกล้าเสียมารยาท ประสานมือคารวะ “ถวายบังคมองค์หญิง องค์หญิงสบายดีหรือ”

องค์หญิงฉงชิ่งขยิบตาให้สามีคราหนึ่ง ฝ่ายหลังกระจ่างความนัย “ข้าไปเดินเล่นด้านนอกก่อน เชิญพวกท่านสนทนา”

เรื่องราวถึงขั้นนี้ ต่อให้ถังฟั่นด้อยปัญญาปานใดก็สามารถสำนึกได้ว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นถังฟั่นไม่โง่เขลาสักนิด

สามารถทำให้ราชบุตรเขยเฝ้าดูต้นทางอยู่ด้านนอกได้ ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด

ดังนั้นถังฟั่นมิได้เร่งร้อนตั้งคำถาม เพียงรออีกฝ่ายเปิดปากก่อน

องค์หญิงฉงชิ่งยิ้มหม่น “ใต้เท้าถัง อภัยที่พวกเราสามีภรรยาเชิญท่านมาถึงที่นี่ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญมาก ข้าแม้ไม่เคยไปมาหาสู่กับใต้เท้าถัง แต่ได้ฟังข่าวลือเกี่ยวกับความเก่งกล้าของท่านมาไม่น้อย ดังนั้นที่จาบจ้วงล่วงเกิน ใต้เท้าถังโปรดอภัย”

น้ำเสียงนางหวานละมุนเหมือนที่คนเล่าลือไม่มีผิด ปราศจากท่าทีหยิ่งทะนงขององค์หญิง อีกทั้งยามเจรจาก็นอบน้อมถึงที่สุด ความรู้สึกขุ่นเคืองนิดๆ ในตอนแรกของถังฟั่นจึงพลอยจางหายไป

“องค์หญิงมิต้องเกรงใจ ผู้น้อยล้างหูน้อมฟัง” ถังฟั่นกล่าวคำนี้จบ อดล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากไอมิได้ และฉวยจังหวะนี้สูดน้ำมูกอีกที ก่อนยิ้มเขินเมื่อกล่าวกับองค์หญิงฉงชิ่ง “พิษไอเย็นยังไม่ทุเลา เสียมารยาทแล้ว”

องค์หญิงฉงชิ่งเข้าใจดี อันที่จริงคนที่เสียมารยาทคือพวกนางต่างหาก ไม่คำนึงว่าผู้อื่นกำลังเจ็บป่วยก็ดักเอาตัวมาระหว่างทาง ทว่านางและราชบุตรเขยไม่มีวิธีอื่นจริงๆ ได้แต่ใช้แผนชั้นเลวนี้

นางมุ่นคิ้วเบาๆ มิใช่เพราะถังฟั่น หากแต่กำลังหมักบ่มถ้อยคำ และคล้ายใคร่ครวญอยู่ว่าตนเองสมควรบอกเล่าออกไปหรือไม่

ถังฟั่นมิได้เร่งรัด ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันเงียบๆ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินไปเดินมาเบาๆ นอกห้องหนังสือของราชบุตรเขยโจวเท่านั้น

เป็นครู่ใหญ่องค์หญิงจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “เมื่อวานตอนข้าเข้าวังไปเยี่ยมเยียนเสด็จแม่ ได้ยินว่ารัชทายาทประชวรจึงเลยไปเยี่ยมเขาด้วย”

ได้ยินคำว่ารัชทายาท สีหน้าของถังฟั่นจริงจังขึ้นมาหลายส่วน นิ่งรอถ้อยความต่อไปของนาง

องค์หญิงกล่าว “ตอนนั้นข้าไม่รู้สึกมีอันใดผิดปกติ เพราะรัชทายาทประชวร พระสติไม่แจ่มใส ข้าจึงมิได้รั้งอยู่นาน ประมาณหนึ่งเค่อก็ลุกขึ้นบอกลา แต่หลังจากกลับมาข้านึกถึงเรื่องหนึ่ง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง…ครั้งรัชทายาทยังทรงพระเยาว์เคยตกระกำลำบากอยู่ในฝ่ายใน เรื่องนี้ใต้เท้าถังคงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง”

ถังฟั่นพยักหน้า องค์หญิงไม่สะดวกเอ่ยถึงวั่นกุ้ยเฟย แต่เรื่องนี้โดยพื้นฐานแล้วทั้งในวังหน้าฝ่ายในต่างรู้กันทั่ว

“ตอนเขาสามขวบเคยสะดุดธรณีประตูล้มลงครั้งหนึ่ง หน้าผากกระแทกจนเหลือแผลเป็นถึงทุกวันนี้ ซึ่งพอมองเห็นได้รางๆ ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ด้วย นี่เป็นเรื่องที่เสด็จแม่เล่าให้ฟังในภายหลัง แต่ก็มีไม่กี่คนที่รู้ และการสะดุดล้มในครั้งนั้นรัชทายาทยังได้รับบาดเจ็บที่นิ้วก้อยซ้าย เศษไม้ทิ่มตำเข้าเนื้อจนเลือดไหลออกมา ทุกวันนี้ยังเห็นแผลเป็นจางๆ” นางสูดหายใจลึก “แต่เมื่อวานตอนข้าพบหน้ารัชทายาท ชำเลืองเห็นนิ้วก้อยข้างนั้นพอดี ทว่ากลับไม่พบแผลเป็นรอยนั้น”

เล่าถึงตรงนี้ องค์หญิงล้วนบรรยายถึงสิ่งที่นางพบเห็น แต่ความนัยที่เจืออยู่ในน้ำเสียงกลับชวนให้ผู้คนระทึกขวัญ

ถังฟั่นขมวดคิ้วแน่น “องค์หญิงแน่ใจว่าแผลเป็นรอยนั้นยังสามารถมองเห็นได้ถึงทุกวันนี้?”

องค์หญิงยิ้มหม่น “ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะข้าแก่แล้วสายตาพร่ามัวหรือไม่ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก ข้าเองไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าวังไปดูให้แน่ชัดอีกที แต่หนึ่งเดือนก่อนหน้าตอนข้าเจอรัชทายาท เห็นบนนิ้วมือของเขายังมีแผลเป็นอยู่จริงๆ เวลาเดือนเดียวคงทำให้แผลเป็นที่เหลืออยู่ตั้งแต่เล็กนั่นหายวับไปมิได้กระมัง”

ถังฟั่นจึงถาม “แล้วแผลเป็นบนหน้าผากเล่า”

“ยังอยู่”

ถังฟั่นถามอีก “ขณะองค์หญิงเข้าตำหนักบูรพา ได้พบเห็นเรื่องใดที่ผิดแผกจากอดีตหรือไม่”

องค์หญิงครุ่นคิด “นั่นกลับไม่มี”

“กิริยาวาจาของรัชทายาทมีอันใดเปลี่ยนไปหรือไม่”

“ข้าสนทนากับเขาไม่กี่คำ ตอนนั้นเขานอนอยู่บนเตียงพอดี มองไม่เห็นความผิดปกติ”

“คนข้างกายของรัชทายาทเล่า มีการเปลี่ยนคนหรือไม่”

“คล้ายว่าไม่มี แต่โดยปกติข้าเจอหน้ารัชทายาทน้อยมากจึงมิได้สังเกตถึงคนรอบกายเขา”

นางเห็นถังฟั่นนิ่งงันจึงกล่าวต่อ “ข้ารู้ เรื่องนี้ออกจะเหลวไหลเกินไป ยากที่ใครจะเชื่อถือ หากข้าตาลายมองผิด นั่นก็แล้วไปเถอะ อย่างมากก็ถูกตำหนิยกหนึ่ง แต่หากเป็นจริงขึ้นมา ผลลัพธ์สุดจะคาดคิด พวกเราสามีภรรยาคิดมาคิดไป หากก็ไม่กล้าทำเป็นเรื่องใหญ่ จึงได้แต่อ้างการทะเลาะเบาะแว้งไปเชิญใต้เท้าถังมา ตามความเห็นท่าน เรื่องนี้ข้าสมควรจัดการเช่นไรดี”

ถังฟั่นยิ้มเจื่อน “ผู้น้อยไม่เคยเห็นแผลเป็นของรัชทายาทกับตา ยากจะวินิจฉัยเช่นกัน”

องค์หญิงเอ่ยน้ำเสียงละอาย “ข้าเองก็รู้ เรื่องนี้ทำให้ใต้เท้าลำบากใจแล้ว”

ยามนี้ทุกอย่างเป็นเพียงข้อสงสัยขององค์หญิงฉงชิ่ง บวกกับหลักฐานของข้อสงสัยมีเพียงแผลเป็นบนนิ้วมือซึ่งเล็กมากจนแทบไม่เห็น

ดีไม่ดีที่ไม่เห็นแผลเป็นรอยนั้นอาจเพราะแสงสะท้อนทำให้องค์หญิงตาลายก็เป็นได้ ใช่จะหมายถึงรัชทายาทเป็นตัวปลอมเสมอไป

ยิ่งไปกว่านั้นการปลอมแปลงรัชทายาทถือเป็นเรื่องใหญ่ปานใด เมื่อแผนถูกเปิดโปง อย่าว่าแต่คนต้นคิดอุบายจะหัวหลุดจากบ่า นั่นยังจะเป็นคดีใหญ่ที่พัวพันถึงผู้คนเป็นวงกว้างอีกด้วย

ดังนั้นแม้แต่องค์หญิงฉงชิ่งยังไม่กล้าแพร่งพรายออกไป ได้แต่ให้โจวจิ่งพาถังฟั่นมาหารือเงียบๆ

องค์หญิงสอบถาม “ถ้าอย่างไรข้าเข้าวังไปถามเสด็จแม่ดูดีหรือไม่”

ถังฟั่นสั่นหน้า “จำนวนครั้งที่พระพันปีและรัชทายาทได้เจอหน้ากันไม่แน่จะมากกว่าองค์หญิง อีกทั้งในวังมากคนมากความ เรื่องราวอึกทึกขึ้นมาคงไม่ดี เช่นนี้เถอะ ผู้น้อยจะหาคนผู้หนึ่งไปลองเลียบเคียง ค่อยวินิจฉัยอีกที”

องค์หญิงผ่อนลมหายใจ “เช่นนี้ดีที่สุด หวังว่าข้าจะมองผิดไป”

 

ม่านรัตติกาลค่อยๆ คลี่ลง วันนี้ตรงกับเดือนหนึ่งวันที่สี่ บรรดาขุนนางยังอยู่ในช่วงพักผ่อน หน่วยงานทุกแห่งล้วนหยุดทำการ

ทว่าท้องถนนในเมืองหลวงกลับมิได้ครึกครื้นขึ้นมาเพราะเทศกาล บรรยากาศเริงรื่นจำกัดอยู่ตามตรอกเล็กตรอกน้อยไม่กี่สายที่อยู่ใกล้ตลาดในตัวเมือง สถานที่อื่นๆ ยังคงเฉกเช่นปกติ เมื่อล่วงสู่ราตรีก็เงียบสงัดลง

เกี้ยวเล็กสีดำที่ไม่สะดุดตาหยุดลงที่ประตูหลังของบ้านหลังหนึ่งที่ไม่สะดุดตาเช่นกัน คนหามเกี้ยวขึ้นหน้าเคาะประตู สุ้มเสียงไม่ดังนัก ไม่ถึงกับทำให้เพื่อนบ้านโดยรอบแตกตื่น

อึดใจหนึ่งบานประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน

ผู้เปิดประตูเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ใบหน้าดุห้าว

คนหามเกี้ยวกระซิบเบาๆ ได้ครู่หนึ่งก็หมุนตัวกลับมาที่ด้านหน้าเกี้ยว ก้มเอวกล่าวอันใดมิทราบ ในเกี้ยวพลันมีคนเดินลงมา เข้าสู่บ้านหลังนั้น

เวลาล่วงผ่านราวหนึ่งก้านธูป คนผู้นั้นเดินออกมาจากข้างใน ขึ้นเกี้ยว แล้วจากไปอย่างเร่งด่วน

หลังจากอีกฝ่ายผละไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บานประตูเปิดออกอีกครั้ง บุรุษวัยกลางคนเมื่อครู่เดินออกมา ท่าทางเร่งร้อน ไม่ช้าเงาร่างก็หายลับไปกับแสงสีราตรี

ทว่าหามีผู้ใดคาดคิดไม่ พฤติการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้จงใจชมดู

 

ราชวังต้องห้าม

ฝีเท้าของวังจื๋อถี่กระชั้นกว่าปกติสองเท่า แม้มองไม่ค่อยออก แต่ขันทีที่ตามหลังกลับไล่ตามจนหอบ

เขาไม่กล้าตัดพ้อ เพียงลอบเร่งฝีเท้าพลางภาวนาให้โคมในมือตนอย่าดับลงเพราะเหตุนี้

ให้บังเอิญนัก ขณะความคิดของเขาเพิ่งผุดขึ้น ลมหนาวหอบหนึ่งก็พัดวูบมา โคมไฟแกว่งไกว ทำท่าจะดับลงจริงๆ

ขันทีตกใจสะดุ้งโหยง อดชำเลืองวังกงกงที่อยู่ข้างหน้ามิได้ อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่เหลียวหน้ามา

กล่าวตามสัตย์ หากมิใช่เกรงว่าจะเป็นที่สะดุดตา วังจื๋อยังสามารถซอยเท้าได้เร็วกว่านี้

แต่เวลานี้เขาไม่อาจกระทำเช่นนั้น

นับแต่ไหวเอินจากไป หูตาของเขาแทบถูกกำจัดสิ้น ทั้งหมดล้วนถูกเปลี่ยนเป็นคนของเหลียงฟัง แม้แต่สำนักบูรพาก็ไม่เว้น เก้าอี้ผู้บัญชาการสำนักบูรพาของเฉินจุ่นยังนั่งไม่ทันร้อนก็ถูกผู้อื่นเตะไปเลี้ยงยุงที่สำนักตราสารแล้ว

เหลียงฟังหรือจะมีอำนาจทั้งยังไม่เกรงกลัวจักรพรรดิตำหนิปานนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่เบื้องหลังเขาแน่นอน

ลำพังวังจื๋อ ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังอยู่แล้ว

และเหตุที่วังจื๋อไม่ถูกกำจัดคือนอกจากเขาเป็นคนรู้รักษาตัวรอด ไม่เหมือนไหวเอินที่ยืนอยู่ข้างรัชทายาทและขุนนางบุ๋นอย่างเด่นชัดแล้ว ก็เป็นเพราะเขายังถือว่าเป็นผู้ที่วั่นกุ้ยเฟยอุปถัมภ์ค้ำชูขึ้นมา หลังไหวเอินจากไป เขาพินอบพิเทาต่อกลุ่มอำนาจวั่นอย่างรู้เวลา ท่าทีชนิดนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามชะล่าใจ ปล่อยปละละเว้นเขา แต่กลับต้องหลุดจากสำนักตรวจฎีกาและสำนักทหารม้าส่วนพระองค์ซึ่งสำคัญยิ่งยวดไปอยู่ที่สำนักรักษาลัญจกรแทน

วังจื๋อเองยังพอมีกำลังคนอยู่บ้าง ทว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นเขาชุบเลี้ยงขึ้นใหม่หลังกลับเข้าวัง หลายคนไม่สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งที่สอดคล้องทำให้ไม่อาจแผ่ขยายอำนาจ สำแดงฤทธิ์เดชอันใดได้

ในด้านน้ำใจไมตรี ภายในวังหลวงยิ่งเหนือกว่านอกวัง ไม่ช้าก็มีคนทุ่มหินซ้ำเติมเมื่อเห็นวังกงกงเสียท่า ทว่าเขาหาใช่คนที่ยินยอมให้ผู้อื่นระราน หลังกลับเข้าวัง ความอหังการของเขาถูกกดข่มเอาไว้ภายใต้ความนอบน้อมถ่อมตนอันเสแสร้ง แต่ในใจของวังกงกงที่สามารถยืดหยุ่นตามสถานการณ์ได้จดจารใบหน้าของคนเหล่านี้ไว้ในบัญชีดำเรียบร้อยแล้ว

หากมีใครเข้าใจว่าวังกงกงมีชีวิตอย่างอนาถในวังหลวงเพราะเหตุนี้ นั่นกลับคิดผิดเสียแล้ว

อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* วังกงกงยังพอมีขุมกำลังของตนเองอยู่บ้าง ไหวเอินถึงขนาดส่งต่อขุมกำลังส่วนหนึ่งของตนให้เขา ดังนั้นเหลียงฟังถึงไม่กล้ากดดันวังจื๋อเกินไป หลังเบียดไหวเอินออกไปได้จึงทำเพียงหลับตาข้างหนึ่งต่อวังจื๋อ หากขันทีใหญ่ที่หยั่งรากลึกล้ำสองคนถูกบีบให้จนตรอกแล้วตอบโต้เหลียงฟังขึ้นมา ผลลัพธ์คงมีแต่เจ็บตายสองฝ่าย

ความยากลำบากเหล่านี้เขาไม่เคยปริปากกับถังฟั่น ต่อให้ถังฟั่นเก่งกาจปานใด ความสามารถก็มีจำกัด อีกประการหนึ่งขุนนางฝ่ายนอกไม่อาจก้าวก่ายกิจในวัง นี่ถือเป็นพฤติกรรมต้องห้าม นับแต่วังจื๋อกลับเข้าวัง ทั้งคู่จึงพยายามลดการติดต่อ หากมิใช่สถานการณ์คับขันจริงๆ จะไม่ใช้เส้นทางลับสายนี้

และหนึ่งหรือสองหนที่ใช้การติดต่อวิธีนี้ล้วนเพื่อรัชทายาททั้งสิ้น

คราวนี้ก็ไม่ยกเว้น

หลังวังจื๋อได้รับข่าวกรองจากเว่ยเม่าจึงหาเหตุเข้าตำหนักบูรพาอย่างเร่งด่วน

เขาต้องไปดูด้วยตาตนเองจึงจะวางใจได้

หากเป็นยามปกติรัชทายาทอาจยังกำลังกอดผ้าห่มอ่านตำรา แต่ระยะนี้รัชทายาทประชวร ย่อมเข้าบรรทมแต่วัน

 

* อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เป็นสำนวน หมายถึงคนร่ำรวยมีฐานะต่อให้ตกอับ ยากจนลง ก็ยังดีกว่าคนยากจนทั่วไป

วังจื๋อขอเข้าเฝ้ากลางดึกนับว่าผิดปกติ ย่อมถูกสกัดไว้นอกวังเป็นธรรมดา คนของตำหนักบูรพาบอกเขาว่ารัชทายาทบรรทมแล้ว

แต่ใช่ว่าวังจื๋อจะไม่มีวิธีการ เขานำกระแสรับสั่งของพระพันปีมาด้วย “พระพันปีทรงกำลังสดับธรรม ขณะได้ยินถึง ‘บทสวดเย่าซือ’ ทรงเห็นว่ารัชทายาทประชวร จึงรับสั่งให้ข้านำพระคัมภีร์ที่ผ่านการปลุกเสกแล้วมาถวาย อาจช่วยให้รัชทายาทหายประชวรเร็วขึ้น”

ในเมื่อมีรับสั่งของพระพันปี นางกำนัลย่อมไม่กล้าขัดขวางอีกและเข้าไปรายงาน

ชั่วอึดใจผ่านไป นางกำนัลกลับออกมาแจ้งว่ารัชทายาทตื่นแล้ว ทรงยินดีพบเขา

ฟังว่าวังจื๋อรุดมา ตำหนักบรรทมซึ่งดับไฟหมดแล้วได้จุดเทียนไขแท่งใหญ่เท่าแขนขึ้นใหม่ เปลวแสงสั่นไหวส่องสว่างไปครึ่งโถง

ม่านหน้าแท่นบรรทมถูกตลบขึ้นครึ่งหนึ่ง รัชทายาททรงนั่งกอดผ้าห่มอยู่บนพระแท่น กำลังทำท่าจะลงมาผลัดฉลองพระองค์

วังจื๋อรีบห้ามไว้ “ทรงนั่งเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทก็ไม่ฝืน เพียงส่งยิ้มให้วังจื๋อ สีพระพักตร์อ่อนเพลียซูบเซียว “ลำบากวังกงกงแล้ว ฝากขอบพระทัยเสด็จย่าแทนข้าด้วย รออีกสองสามวันหายดีแล้วจะรุดไปขอบพระทัยเสด็จย่าด้วยตนเองอีกที”

กิริยาวาจาของรัชทายาทหามีความผิดปกติไม่ กระทั่งน้ำเสียงในยามพูดก็เหมือนเคย แม้วังจื๋อมิได้พบเจอรัชทายาททุกวัน แต่เขาก็สนทนากับอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ อย่างน้อยเท่าที่วังจื๋อสังเกตก็ไม่พบเห็นพิรุธอันใด

แต่หลายวันนี้รัชทายาทผ่ายผอมลงมาก สองแก้มซูบตอบ ขอบตาก็ดำคล้ำเล็กน้อย ชวนให้ตกใจอยู่บ้าง

“รัชทายาทไยต้องเกรงใจ ไหวกงกงเป็นห่วงพระองค์มาก หากทราบว่าพระองค์ประชวร เขาคงร้อนรุ่มใจมาก”

รัชทายาทได้ฟังก็ยิ้มหมอง “เป็นข้าไม่ได้ความ ปกป้องไหวเอินไม่ได้ ข้า…ข้าผิดต่อเขาจริงๆ”

คำนี้ปราศจากช่องโหว่ วังจื๋อคิดในใจ

จากนั้นเขาเห็นรัชทายาทไอโขลกอย่างรุนแรง การไอเช่นนี้แทบทำให้ผู้พบเห็นใจสั่นขวัญผวา

นางกำนัลด้านข้างรีบเข้ามาลูบหลังให้รัชทายาท

วังจื๋อกวาดตาชำเลืองแวบหนึ่งจึงถาม “องค์รัชทายาท ไฉนไม่เห็นชุยหย่ง”

ที่เขาถามถึงคือขันทีคนสนิทของรัชทายาท

รัชทายาทกล่าว “ข้าไอทั้งคืนจนนอนไม่หลับ เดิมทีหมอหลวงจัดยาลูกกลอนมาให้จำนวนหนึ่ง แต่กินหมดแล้ว ชุยหย่งจึงไปขอให้ข้าใหม่”

เขาหันถามซ้ายขวา “เขายังไม่กลับมาหรือ”

นางกำนัลตอบ “เพคะ ขันทีชุยไปได้ครึ่งชั่วยามแล้ว”

คำนี้ก็ไม่มีปัญหา จนถึงตอนนี้วังจื๋อยังจับผิดอันใดไม่ได้ เขาตัดสินใจออกจากตำหนักบูรพา แล้วไปสำรวจดูที่สำนักหมอหลวง

ขณะที่นางกำนัลพูดอยู่ เขาเหลือบเห็นนิ้วก้อยซ้ายของรัชทายาทโดยบังเอิญ

ร่างกายครึ่งล่างของอีกฝ่ายคลุมปิดด้วยผ้าห่ม สองมือย่อมวางอยู่ด้านข้างเป็นธรรมดา มือซ้ายกำผ้าห่มไว้หลวมๆ นิ้วก้อยถูกผ้าห่มบังไว้พอดี วังจื๋อจะเข้าไปคว้าขึ้นมาตรวจดูก็ใช่ที่

“วังกงกง?”

วังจื๋อคืนสติ “รัชทายาทมีรับสั่งใด”

รัชทายาทผุดยิ้มอ่อนใจ “เมื่อครู่ข้าถามว่าท่านดำรงตำแหน่งใหม่คุ้นเคยหรือไม่ จะให้ข้าทูลขอต่อเสด็จพ่อให้ท่านกลับมาอยู่สำนักทหารม้าส่วนพระองค์หรือไม่”

วังจื๋อสั่นหน้า “ขอบพระทัยในความปรารถนาดี เพียงแต่เรื่องนี้ให้พระองค์ไปทูลคงไม่เหมาะสม เลี่ยงมิให้เดือดร้อนถึงพระองค์ ยังคงอย่าได้เอ่ยถึงจะดีกว่า”

รัชทายาทพอฟังก็ถอนใจและมิได้กล่าวอันใดอีก

นางกำนัลทูลขึ้นเบาๆ “ถึงเวลาเสวยพระโอสถแล้วเพคะ”

วังจื๋อไม่กล้าดึงดันอยู่ต่อ ได้ยินเข้าก็รีบทูลลา

ระหว่างเขากับรัชทายาทอย่างไรก็ไม่สนิทสนมเช่นไหวเอินกับรัชทายาท หากไหวเอินยังอยู่ที่นี่จะยิ่งสามารถแยกแยะได้ดีกว่าเขาว่ารัชทายาทมีปัญหาหรือไม่

เสียดายไหวเอินเวลานี้ยังจุดธูปให้บรรพกษัตริย์ในหนานจิง เกรงว่าต่อให้ลงแส้เฆี่ยนม้าก็คงมาไม่ทันแล้ว

วังจื๋อออกจากตำหนักบูรพาแล้วเลยไปที่สำนักหมอหลวง

ชุยหย่งอยู่ที่นั่นจริง เพราะยาลูกกลอนต้องทำสด เขากำลังช่วยหมอหลวงอยู่ข้างใน วังจื๋อสอบถามเขาสองคำ ไม่พ้นเรื่องอาการประชวรของรัชทายาท พิจารณาจากน้ำเสียงของชุยหย่ง เขาก็ไม่รู้สึกว่ารัชทายาทมีอันใดผิดปกติไป

เที่ยวนี้วังจื๋อไม่ได้อะไรติดมือสักอย่าง

เขาเกือบสงสัยว่าเป็นเพราะตนชอบแกล้งถังฟั่นบ่อยๆ ดังนั้นอีกฝ่ายเสาะโอกาสพบจึงหันมาแกล้งตนคืนใช่หรือไม่

ทว่าความคิดนี้ผุดขึ้นเพียงวูบก็หายวับ วังจื๋อตระหนักดีว่าถังฟั่นมิใช่คนประเภทนั้น ในเรื่องเป็นงานเป็นการเขาไม่เคยเลอะเทอะมาก่อน

วังจื๋อกลับไม่ทราบ ถังฟั่นเองก็รับฟังมาจากองค์หญิงฉงชิ่งอีกที เนื่องเพราะการส่งต่อข่าวสารมีเว่ยเม่าคั่นกลาง เวลามีจำกัด ถังฟั่นหมดปัญญาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด เพียงให้เว่ยเม่าถ่ายทอดคำพูด ขอให้วังจื๋อสังเกตความผิดปกติของรัชทายาท

เพราะคำนี้ของถังฟั่น วังจื๋อจำต้องรุดไปหยิบคัมภีร์พระพุทธจากทางพระพันปีกลางดึกกลางดื่นแล้วนำส่งถึงตำหนักบูรพา ผลสุดท้ายกลับไม่พบเห็นพิรุธแต่อย่างใด

วังจื๋อกลับถึงที่พักของตนเอง ห้องพักในวังไม่สะดวกสบายเท่านอกวัง แต่ด้วยบารมีของวังจื๋อ ใคร่จะตกแต่งห้องหับของตนให้สุขสบายปานใดยังคงไม่เป็นปัญหา

เขาให้ขันทีใต้บัญชาต้มน้ำร้อน แช่น้ำอุ่นอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นขึ้นเตียง นั่งกอดผ้าห่มทบทวนเหตุการณ์

เพราะคลุกคลีกับถังฟั่นนานเข้า เขาก็พลอยเอาอย่างวิธีของอีกฝ่ายมาใคร่ครวญปัญหา ทว่าครุ่นคิดอยู่นานก็ยังคงไม่ได้อะไร

ช่างเถอะ เรื่องที่เปลืองสมองเช่นนี้สมควรยกให้ถังเหมาเหมา!

วังจื๋อดับไฟล้มตัวนอน

ทว่าเขากลับคิดไม่ถึง ยังไม่ทันรอให้ตนส่งข่าวออกนอกวัง วันรุ่งขึ้นหรือก็คือวันที่ห้า วันแรกของการเริ่มกลับไปปฏิบัติกิจวัตรของเหล่าขุนนางข้าราชสำนัก ถังฟั่นก็ถูกฟ้องร้องเสียแล้ว

 

มูลเหตุที่ถังฟั่นถูกฟ้องร้องเป็นเพราะมีคนเห็นเขาเข้าออกคฤหาสน์ของวังจื๋อซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง และคืนวันนั้นเองวังจื๋อก็ไปตำหนักบูรพาเข้าเฝ้ารัชทายาท

สมาชิกสภาขุนนางกับขันทีไม่ควรใกล้ชิดเกินควร นี่เป็นกฎ

ไม่ต้องสนใจว่าระหว่างสองฝ่ายที่แท้มีความเกี่ยวพันโดยตรงหรือไม่ เฉพาะความประจวบเหมาะด้านเวลาก็เพียงพอทำให้คนที่มีอกุศลจิตเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้ว ดังนั้นข้อกล่าวหาที่ขุนนางทัดทานฟ้องร้องถังฟั่นจึงชัดเจนมาก นั่นก็คือสอดแนมฝ่ายใน แฝงเจตนาร้าย

ตามกระบวนการถังฟั่นต้องอยู่บ้านสำนึกผิด ไม่อาจไปทำงานที่สภาขุนนาง จากนั้นถวายฎีกาแก้ต่างให้ตนเอง

ทว่าระหว่างทางเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้นมิทราบ ฎีกาของเขามิได้ถูกนำถวายต่อจักรพรรดิ เรื่องนี้จึงยืดเยื้อไม่มีกำหนด และเมื่อถังฟั่นไม่ได้รับการตอบกลับจากจักรพรรดิจึงต้องอยู่แต่ในบ้านต่อไป

นี่เป็นเรื่องที่ชวนให้ผู้คนหัวเราะมิได้ร่ำไห้มิออกโดยแท้ หลิวเจี้ยนกับสวีผู่มิใช่ไม่เคยไปหาราชเลขาธิการวั่น ขอให้เขาออกหน้าช่วยกราบทูลแทนถังฟั่น วั่นอันรับปาก หากความจริงแล้วเขาได้ไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิหรือไม่นั้นล้วนไม่มีผู้ใดทราบ เพราะตราบใดที่จักรพรรดิไม่มีรับสั่ง ถังฟั่นก็ยังไม่อาจกลับสภาขุนนาง

หลิวเจี้ยนและสวีผู่เองก็มองออกว่าวั่นอันกระทำอย่างขอไปที จึงขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิด้วยตนเอง ใคร่จะทูลถามให้ชัดเจน สุดท้ายกลับได้รับแจ้งว่าจักรพรรดิประชวร ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น

เรื่องราวถึงขั้นนี้ ถังฟั่นไหนเลยยังไม่ทราบ ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตนได้ถูกคนจับตาอยู่นานแล้ว

เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา การติดต่อระหว่างเขากับวังจื๋อจำต้องถูกตัดขาดด้วยความจำใจ

วังจื๋อตอนแรกยังหวังให้ถังฟั่นช่วยคลายข้อกังขาให้ตน กลับมิคาดกลุ่มอำนาจวั่นจะชิงลงมือก่อน จัดการสะบั้นความช่วยเหลือจากภายนอกของเขาทิ้งไป

ถังฟั่นหยุดการติดต่อกับเขาชั่วคราว แน่นอนหากจะติดต่อจริงๆ ย่อมกระทำได้ เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะกลายเป็นมลทินให้ผู้อื่นจับผิด ผลักถังฟั่นเข้าสู่แดนอันตรายโดยสิ้นเชิง

แม้วังจื๋อจะมิใช่ผู้วิเศษที่ตอบแทนความแค้นด้วยคุณธรรม หากก็มิอาจกระทำเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนต่อสหายได้

บัดนี้ได้แต่พึ่งลำแข้งตนเองแล้ว

ชีวิตในสำนักรักษาลัญจกรสงบสบายกว่าอยู่รับใช้ข้างพระวรกายจักรพรรดิมากนัก แต่วังจื๋อก็มิอาจวิ่งไปเข้าเฝ้ารัชทายาทบ่อยเกินควร หากเอะอะก็เข้าออกตำหนักบูรพาอาจง่ายต่อการตกเป็นเป้าสายตาผู้อื่น ชักนำความยุ่งยากใส่ตัว

เขาจำเป็นต้องเสาะหาช่องทางอื่น

วังจื๋อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข่าวสารที่ถังฟั่นส่งต่อให้เขานั้นจะผิดพลาด รัชทายาทปราศจากพิรุธแต่อย่างใด

ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่กลุ่มอำนาจวั่นกระทำมาทั้งหมดก็จะแปลกประหลาดอย่างชัดเจน

เพราะการให้รัชทายาทไปอธิษฐานขอพรแทนจักรพรรดิเป็นความคิดของวั่นกุ้ยเฟย และการชี้นำขุนนางทัดทานให้ฟ้องร้องถังฟั่น เบื้องหลังก็สามารถเห็นเงาดำของกลุ่มอำนาจวั่นอยู่รางๆ

สมมติว่าไม่มีแผนร้าย ไยกลุ่มอำนาจวั่นต้องวุ่นวายกระทำเรื่องเหล่านี้ด้วย

แต่ถ้าบอกว่ามีแผนร้าย หรือฝนตกจนทำให้รัชทายาทประชวรก็เป็นสิ่งที่กลุ่มอำนาจวั่นสามารถคาดคำนวณได้?

หากพวกนั้นขวัญกล้าถึงขั้นสับเปลี่ยนรัชทายาท แล้วโอกาสนั้นมาจากที่ใด

เขายังจำได้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำพิธี ตอนนั้นเขากับถังฟั่นและคนอื่นๆ ยังได้ประเมินสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัชทายาทเอาไว้ล่วงหน้า

สุดท้ายพวกเขาพบว่าความสุ่มเสี่ยงที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปที่รัชทายาทเข้าสู่ตำหนักฉงเจินวั่นโซ่ว

เพราะนั่นจะมีเพียงรัชทายาทอยู่ในห้องทำสมาธิตามลำพัง หากมีคนแฝงตัวอยู่ในนั้นแต่แรก ฉวยโอกาสลอบสังหาร ผู้ใดล้วนมิอาจป้องกันได้

ด้วยเหตุนี้คืนก่อนวันเดินทาง สุยโจวได้นำกำลังคนตรวจสอบทั้งนอกและในของห้องทำสมาธิรอบหนึ่งให้มั่นใจว่าที่นั่นไม่มีผู้ใดซุ่มอยู่ รวมทั้งไม่มีกลไกหรือห้องลับใดๆ

นอกจากนี้ตลอดการเดินทางของรัชทายาทล้วนมีคนประกบซ้ายขวา ภายใต้สายตาฝูงชน เรื่องราวจำพวกสับเปลี่ยนรัชทายาทนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นอันขาด

เมื่อวังจื๋อครุ่นคิดถึงตรงนี้จึงกระหวัดถึงคำหนึ่งซึ่งถังฟั่นเอ่ยขึ้นบ่อยๆ

แต่ไหนแต่ไรบนโลกนี้ก็ไม่มีใครหรือเรื่องใดที่เพียบพร้อม อันคำว่าเพียบพร้อมเป็นไปได้ว่าก็คือช่องโหว่ที่พวกเราไม่เคยตั้งใจไปสังเกตมันเท่านั้นเอง

วังจื๋อลองเลียนแบบแนวทางวิเคราะห์ของถังฟั่น ย้อนไปทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น

จากนั้นเขาพลันคิดถึงประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งขึ้นมา

ประเด็นสำคัญที่คนทั้งหมดอาจมองข้าม

ราชรถ

ใช่แล้ว ราชรถ

เมื่อความสนใจของทุกคนล้วนพุ่งไปที่ความเสี่ยงและช่องโหว่ที่อาจจะเกิดขึ้นมากที่สุด ความเสี่ยงอีกชนิดหนึ่งจึงถูกละเลยไป

หลังจากรัชทายาทเสด็จออกจากวัง นอกจากในห้องทำสมาธิ โอกาสที่อยู่ตามลำพังเพียงหนึ่งเดียวก็คือบนราชรถ หนำซ้ำยังกินเวลายาวนานกว่าตอนอยู่ในห้องทำสมาธิอีกด้วย

ขบวนรถยิ่งใหญ่อลังการ เคลื่อนที่อย่างอึกทึกครึกโครม หากในรถม้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นโดยที่สามารถควบคุมเสียงไว้ได้ ย่อมเป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่มีผู้ใดค้นพบ

สำคัญกว่านั้นคือรถม้าคันนั้นมีการดัดแปลงเสริมแต่งเลียนแบบราชพาหนะของโอรสสวรรค์เป็นการเฉพาะ ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีรูปแบบและโครงสร้างราชรถสำหรับรัชทายาทเป็นพิเศษแต่อย่างใด

คิดถึงตรงนี้วังจื๋อก็นั่งไม่ติดแล้ว เขาเรียกหาคนสนิทของตนเอง อีกฝ่ายเป็นขันทีในสำนักกิจการภายในซึ่งเป็นผู้แบ่งสันงานทำความสะอาดภายในวัง

“เจ้าไปที่สำนักราชพิธีเที่ยวหนึ่ง หาทางค้นดูราชรถที่รัชทายาทประทับนั่งออกจากวังในวันนั้นว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่”

“ใต้เท้าใคร่ตรวจสอบอันใด” คนผู้นั้นไม่กระจ่าง “ราชรถของรัชทายาทนานทีจะใช้สักหน ก็ไม่ทราบครั้งหน้ารัชทายาทจะเสด็จออกจากวังเมื่อใด ผู้น้อยคิดว่าราชรถคงถูกถอดเป็นชิ้นไปแล้ว”

วังจื๋อกลับมิได้คิดถึงจุดนี้ พอฟังก็ตะลึง “เช่นนั้นยังหาชิ้นส่วนเจอหรือไม่”

คนผู้นั้นยิ้มเจื่อน “ได้นั้นได้อยู่ แต่ล้อรถเอย ตัวรถเอย ย่อมถูกเก็บเข้าโรงเก็บของสำนักราชพิธีแล้วแน่นอน ท่านใคร่ตรวจสอบส่วนใดวานบอกผู้น้อย จะได้เป็นแนวทาง”

วังจื๋อจึงกล่าว “เจ้าไปตรวจดูว่ารถม้าคันนั้นมีส่วนใดหรือกลไกอันใดที่พอจะซุกซ่อนคนได้”

คนผู้นั้นตะลึงตาค้าง “หา?”

วังจื๋อกล่าว “เรื่องสำคัญใหญ่หลวง มิอาจแพร่งพรายต่อภายนอก ไม่อย่างนั้นเจ้าและข้าอาจย่ำแย่ เข้าใจหรือไม่”

คนผู้นั้นพยักหน้าหงึกหงัก รับคำแล้วจากไป

 

วันนี้คือเดือนหนึ่งวันที่เก้า วันที่ปกติธรรมดาที่สุดวันหนึ่ง

แต่บนปฏิทินหวงลี่* กลับเขียนว่า ‘ทุกประการไม่ราบรื่น’

นี่เป็นวันที่ห้าซึ่งถังฟั่นถูกฟ้องร้องและคงกำลังว่างจัด จากที่วังจื๋อคบหามานาน คะเนว่าคนผู้นี้กำลังปริ่มเปรมที่ได้อู้งานอยู่กับบ้าน

อาการประชวรของรัชทายาทยังคงรุมเร้าต่อเนื่อง ไม่ถึงกับร้ายแรง หากก็ไม่หายสนิทเสียที คำบอกเล่าของหมอหลวงยังคงคลุมเครือ นี่คือท่าทีอันเป็นปกติของพวกเขา

เนื่องจากระบบวันหยุดของขุนนางต้าหมิงไม่เหมือนกับราชวงศ์ก่อนๆ วันหยุดของขุนนางเริ่มตั้งแต่วันเทศกาลปีใหม่กระทั่งหลังเทศกาลหยวนเซียวก็จริง แต่ระหว่างนั้นยังต้องกลับมาเข้าเวร ดังนั้นวันนี้เป็นวันทำงานของหน่วยราชการต่างๆ เช่นกัน

เนื่องเพราะจักรพรรดิทรงอ้างอาการประชวรไม่เข้าประชุมทั่วไปมาหลายวันแล้ว กิจการงานทั้งหมดล้วนให้สภาขุนนางตัดสินใจ เหล่าสมาชิกสภาขุนนางในเวลานี้คงกำลังง่วนกับการตรวจอ่านหนังสือราชการที่ส่งมาจากทั่วสารทิศในห้องทำงานของตนเอง

แน่นอน พวกเขาอาจกำลังประชุม แต่หลิวเจี้ยน เผิงหวา และอิ่นจื๋อมักจะโต้เถียงเพราะความเห็นไม่ลงรอย ปราศจากถังฟั่นในที่นั้น พวกหลิวเจี้ยนยิ่งตกเป็นเบี้ยล่าง ส่วนหลิวเหมียนฮวารองราชเลขาธิการยังคงพลิกพลิ้วไปมาระหว่างสองฝ่ายไม่แสดงจุดยืน

ดูไปแล้วไม่มีอันใดแตกต่างจากวันอื่นๆ อาจเพราะบรรยากาศรื่นเริงท้ายปียังไม่จางหาย ความแช่มชื่นบนใบหน้าของเหล่าชาววังยังไม่ลบเลือน แม้แต่เครื่องแต่งกายก็คล้ายจะฉูดฉาดกว่าปกติอยู่มาก เครื่องประดับเรือนผมก็ใหม่เอี่ยม ทั่วสารทิศเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ผลิ

คนสนิทที่ช่วยไปสืบข่าวถึงสำนักราชพิธีให้เขายังไม่กลับมารายงาน แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด วังจื๋อรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล

ความสังหรณ์ใจชนิดนี้เกิดจากปรีชาญาณที่เขาดำผุดดำว่ายอยู่ในวังหลวงมาหลายปี

คล้ายมีเรื่องอันใดกำลังจะอุบัติขึ้น

เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย?

วังจื๋อแหงนหน้ามองฟ้า

ท้องนภาสีครามเข้มสุดขอบ ปุยเมฆเดี๋ยวเกาะกลุ่มเดี๋ยวกระจาย ไอเย็นของฤดูหนาวเริ่มสลาย แม้แต่ฝูงห่านป่าก็เริ่มปรากฏ บินผ่านเหนือศีรษะ ทิ้งเสียงกู่ร้องยาวไกลสะท้อนก้องริมหู

 

* ปฏิทินหวงลี่ คือปฏิทินที่ระบุลักษณะฤกษ์ว่าเป็นวันดี วันร้าย วันปะทะ (ชง) ของคนในราศีใดบ้าง

แม้มีวัยเพียงยี่สิบกว่า กลับเข้าวังก็ไม่กี่ปี แต่เขารู้สึกว่าวันเวลาที่ตนเองผงาดง้ำเหนือทะเลทรายเหมือนเป็นเรื่องเมื่อชาติภพที่แล้ว

เติบโตในรั้ววังตั้งแต่เล็ก เขากลับไม่คุ้นเคยกับวังหลวง มาตรว่าตำหนักของที่นี่หรูหราอลังการ ในสายตาของวังจื๋อกลับไม่สราญรมย์เท่าทิวทัศน์ของภายนอก

หากสามารถเลือกได้ เขาย่อมไม่ยินดีกลับมา

นี่เป็นทิศทางสู่ตำหนักเหรินโซ่ว เขาจะไปเข้าเฝ้าพระพันปีเพื่อหยิบยืมพระเสาวนีย์ของพระองค์ หาคนไปเข้าเฝ้ารัชทายาท

เพราะลางสังหรณ์เล็กๆ ในใจ เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ขันทีด้านหลังสองคนเกือบไล่ตามไม่ทัน ล้วนเหนื่อยจนเหงื่อไหลชุ่ม

ทันใดนั้นหัวเลี้ยวเบื้องหน้าก็ปรากฏเงาร่างขันทีนางกำนัลหลายคนโผล่พรวดออกมา พวกเขาวิ่งมาทางวังจื๋อด้วยสีหน้าซีดขาว ซอยเท้าเร็วรี่ ครั้นใกล้ถึงตัววังจื๋อก็วิ่งเฉียดไปเหมือนไม่เห็นเขากระนั้น

วังจื๋อจำพวกนั้นได้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นนางกำนัลและขันทีของตำหนักเจาเต๋อ มีหน้าที่รับใช้วั่นกุ้ยเฟย

เรื่องที่สามารถทำให้คนเหล่านี้แตกตื่นลนลานต้องเป็นเหตุร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาฉวยมือนางกำนัลที่วิ่งผ่านข้างกายไว้คนหนึ่ง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

นางกำนัลคล้ายเพิ่งสังเกตเห็นวังจื๋อ นางเหมือนจะปล่อยโฮอยู่รอมร่อ “วัง…วังกงกง…”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนแตกตื่นเช่นนี้” วังจื๋อยังหงุดหงิดกว่านาง

พวกพ้องของนางกำนัลคนนี้ได้วิ่งขึ้นหน้าไปไกลแล้ว ล้วนมิได้สังเกตว่ามีผู้ตกหล่นอยู่คนหนึ่ง นางหายใจหอบเมื่อกล่าว “กุ้ยเฟย…กุ้ยเฟยเกิดเรื่องแล้ว…”

“เกิดเรื่องอะไร” วังจื๋อใจหายวาบ บนหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์

นางกำนัลอึกๆ อักๆ “ก่อนหน้านี้…ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทบรรทมกับนางกำนัลคนหนึ่งของตำหนักเจาเต๋อ กุ้ยเฟยทราบเข้าก็โกรธจัด เรียกตัวนางกำนัลคนนั้นมาดุด่า นางกำนัลคนนั้นเปล่งวาจาจาบจ้วง ด้วยความกริ้วพระนางจึงลงมือตบตีนาง สุดท้าย…สุดท้ายตนเองกลับเป็นลมหมดสติไป…”

นี่คล้ายเป็นเรื่องที่วั่นกุ้ยเฟยสามารถกระทำได้จริงๆ

วังจื๋อรับใช้นางอยู่หลายปี ไม่มีใครเข้าใจวั่นกุ้ยเฟยเท่าเขาอีกแล้ว

นิสัยดุร้ายของนางครึ่งหนึ่งคือโดยกำเนิด อีกครึ่งหนึ่งเป็นจักรพรรดิบ่มเพาะออกมา

ทุกวันนี้ถึงแม้วั่นกุ้ยเฟยมิได้สั่งห้ามนางในให้กำเนิดราชโอรส แต่หากถูกนางค้นพบ อีกฝ่ายยังคงต้องโดนดุด่าถากถางอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประสาอะไรกับการที่นางกำนัลคนนั้นโต้เถียงต่อหน้า ด้วยนิสัยของวั่นกุ้ยเฟยมีหรือจะไม่พิโรธโกรธเคือง

หากวั่นกุ้ยเฟยหมดสติไปเพราะความโมโหสุดขีด นี่ยังพอเข้าใจได้

ก่อนหน้านี้สุขภาพของนางก็ไม่สู้ดี นานครั้งโรคหัวใจจะกำเริบ บางทียังมีอาการปวดศีรษะ ทว่าปกติไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อเฉกเช่นจักรพรรดิ ดังนั้นดูแล้วไม่ถึงกับร้ายแรงอันใด

หากถังฟั่นอยู่ที่นี่ย่อมจะเป็นกังวลในชะตากรรมของนางกำนัลคนที่กระตุ้นโทสะวั่นกุ้ยเฟยมากกว่า แต่วังจื๋อประสบเหตุการณ์ลักษณะนี้มามาก พอฟังจบก็มิได้นำพาใส่ใจ สิ่งที่เขาวิตกกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

วั่นกุ้ยเฟยอาการสาหัสหรือไม่

คิดถึงตรงนี้เขาก็คลายมือจากนางกำนัลคนนั้น ปล่อยให้นางวิ่งไล่กวดพวกพ้องไปด้วยน้ำตานองหน้า แน่นอนว่านางมิได้เป็นห่วงวั่นกุ้ยเฟย แต่กำลังทุกข์ร้อนต่อชะตากรรมของตนเองต่างหาก

วังจื๋อหยุดเท้า มิได้เดินหน้าต่อ เขาให้ขันทีข้างกายคนหนึ่งไปสืบข่าวที่ตำหนักเจาเต๋อ ตนเองกลับเลี้ยวเข้าห้องเก็บของห้องหนึ่งทางด้านข้างอย่างเจนทาง

“เจ้าไม่สงสัยหรือว่าไยข้าพาเจ้ามาที่นี่” วังจื๋อเอ่ยถามขันทีอีกคนหนึ่ง

อีกฝ่ายชื่อเหวินเซิ่ง เข้าวังมานาน อายุอ่อนกว่าวังจื๋อไม่กี่ปี เงียบขรึมพูดน้อย ก่อนหน้านี้ขึ้นตรงกับสำนักกิจการภายใน ทำหน้าที่ปัดกวาดฝ่ายใน ต่อมาถูกวังจื๋อโยกย้ายมาไว้ข้างกาย

เหวินเซิ่งนิ่งไปอึดใจ “วังกงกงกระทำสิ่งใดล้วนมีเหตุผล”

ความเงียบขรึมพูดน้อยของเขาความจริงแล้วก็คือพูดไม่เก่ง ทว่าสิ่งที่ถือที่สุดเมื่ออยู่ในวังก็คือพูดมากปากเปราะ วังจื๋อจึงถูกใจความซื่อสัตย์และพูดน้อยของเขานั่นเอง

วังจื๋อค้อนเขาทีหนึ่ง ขณะจะอบรมอันใด เหวินหย่วนขันทีที่เขาส่งไปสืบข่าวที่ตำหนักเจาเต๋อได้วิ่งกลับมาแล้ว

ไปกลับหนึ่งเที่ยว สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นปั้นยาก เกือบจะเทียบเท่านางกำนัลหลายคนเมื่อครู่ก่อนแล้ว

เห็นสีหน้าเขา วังจื๋อหัวใจหล่นวูบ ถ้อยคำที่เตรียมจะสั่งสอนเหวินเซิ่งพลันหายวับเข้ากลีบเมฆ

“เป็นอย่างไร”

“กุ้ยเฟย…กุ้ยเฟย…” ลิ้นของอีกฝ่ายถึงกับพันกัน ครึ่งค่อนวันค่อยกล่าวออกมาได้ “กุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว”

เหวินเซิ่งหน้าถอดสี เขาอดมองวังจื๋อแวบหนึ่งมิได้

แวบหนึ่งที่มองไป เหวินเซิ่งพลันเลื่อมใสไม่สร่าง

เพราะวังจื๋อมิเพียงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ถึงขนาดสุ้มเสียงยังมั่นคง “เจ้าแน่ใจหรือ”

อันที่จริงหลังจากสดับข่าวตั้งแต่เมื่อครู่ วังจื๋อก็เตรียมใจไว้ล่วงหน้า ดังนั้นไม่ถึงกับตื่นตระหนกเกินควร

เหวินหย่วนรีบตอบ “ไม่น่ามีอันใดผิดพลาด! ตอนนี้ในตำหนักเจาเต๋อร้องไห้กันระงม ข้าน้อยไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ เกรงจะเป็นที่สะดุดตา ได้แต่แอบถามจากหลายคนแถวนั้น ล้วนบอกว่าหมดลมหายใจแล้ว”

วังจื๋อถามอีก “หมอหลวงรุดไปหรือยัง”

“ยังเลยขอรับ นี่ก็นานแล้ว…”

เหวินหย่วนมิได้กล่าวต่อ หากความหมายชัดเจนยิ่ง นี่ก็นานแล้ว…ต่อให้หมอหลวงเร่งไปถึง คะเนว่าคงช่วยชีวิตไม่ทันแล้ว

วังจื๋อฟังจบสีหน้าเคร่งขรึม ปราศจากวาจา

เหวินหย่วนเหวินเซิ่งสบตากัน ล้วนไม่กล้ารบกวนการครุ่นคิดของเขา

สำหรับวังจื๋อแล้ว วั่นกุ้ยเฟยมีพระคุณที่ช่วยส่งเสริมเขา ข่าวการตายกะทันหันของอีกฝ่าย เขานอกจากตื่นตระหนก หากกล่าวว่าไม่เสียใจสักนิดนั่นคือโกหก

แต่ความเสียใจหายวับในพริบตา สิ่งที่วังจื๋อต้องเผชิญหน้ากลับเป็นปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

ในฝ่ายใน การตายของสนมนางในคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติมาก หากมิใช่พระอัครมเหสีก็ไม่สามารถตลบระลอกคลื่นอันใดได้

แต่แม้ว่าวั่นกุ้ยเฟยมิใช่พระอัครมเหสี ศักดิ์ฐานะกลับเหนือกว่าพระอัครมเหสีเสียอีก นางมิได้ก้าวก่ายการปกครองบ้านเมืองโดยตรง แต่อำนาจของกลุ่มอำนาจวั่นกลับปรากฏให้เห็นทุกที่

จริงอยู่กลุ่มอำนาจวั่นครองอำนาจทั่วราชสำนัก แต่พวกเขากลับปราศจากความสามารถและเงื่อนไขที่จะล้มบัลลังก์ นับแต่ก่อตั้งราชวงศ์หมิงก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ขุนนางผู้ใหญ่ก่อกบฏมาก่อน

ความโอหังของพวกเขาล้วนมาจากการให้ท้ายของโอรสสวรรค์

และเหตุที่โอรสสวรรค์ให้ท้ายพวกเขา กล่าวถึงที่สุดล้วนเป็นเพราะ ‘รักนางย่อมรักคนของนางด้วย’ ก็คือเห็นแก่หน้าวั่นกุ้ยเฟย

ปราศจากวั่นกุ้ยเฟย ทุนรอนในการโอหังของพวกเขาล้วนสูญสิ้นไม่มีเหลือ ประหนึ่งตึกตำหนักที่สร้างขึ้นจากหิมะ สุริยันฉายพลันมลาย

หลังการตายของวั่นกุ้ยเฟย คนจำนวนมากที่เคยถูกกลุ่มอำนาจวั่นกดขี่แต่ไม่กล้าส่งเสียงล้วนจะฉวยจังหวะโผล่หน้าออกมา มีทุกข์ก็ร้องทุกข์ มีแค้นก็ชำระสะสาง ต้นไม้ล้มลิงกระเจิง วิเคราะห์จากแนวโน้มนี้ดูเหมือนกลุ่มอำนาจวั่นใกล้พังพินาศเข้าไปทุกที

แต่คนของกลุ่มอำนาจวั่นหาใช่เจ้างั่ง ผู้ใดเล่ายินดีประเคนอำนาจในมือให้ผู้อื่น และผู้ใดเล่ายินดีนั่งรอความตาย

พวกเขาย่อมจะตอบโต้ กระทั่งถึงกับชิงลงมือก่อนเพื่อความเป็นต่อ

เมื่อข่าวการตายของวั่นกุ้ยเฟยแพร่กระจายออกไป ย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวายทั้งนอกใน ขุมกำลังของแต่ละฝ่ายฮึ่มฮั่มเตรียมขยับ

แผ่นฟ้าผืนนี้กำลังจะเปลี่ยนแล้ว

หลังจากวังจื๋อสดับข่าวนี้ก็มิได้หยุดชะงักแม้สักครู่ พลันก้าวเดินไปยังทิศทางตรงข้ามของตำหนักเจาเต๋อ

“วังกงกง ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใด” เหวินหย่วนโพล่งถาม

“ตำหนักบูรพา!” วังจื๋อตอบโดยไม่เหลียวหน้ามา

ก่อนหน้านี้ตอนถังฟั่นถูกฟ้องร้อง วังจื๋อคิดว่าหากไปตำหนักบูรพาอีกจะเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น แต่บัดนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว

ฉับพลันที่วั่นกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ ทางกลุ่มอำนาจวั่นย่อมมือเท้ายุ่งเหยิง หากรัชทายาทมีความผิดปกติ เวลาเช่นนี้ก็คือโอกาสเปิดโปงความจริงที่ดีที่สุด!

ทางตำหนักบูรพายังไม่ระแคะระคายเรื่องการสิ้นพระชนม์ของวั่นกุ้ยเฟย รัชทายาทประชวรลุกไม่ขึ้น หลายวันแล้วที่มิได้เชิญพระอาจารย์มาอรรถาธิบาย

เพราะเจ้านายประชวร เหล่าขันทีนางกำนัลแม้แต่หัวเราะพูดคุยยังไม่กล้าเสียงดัง เกรงจะรบกวนรัชทายาท

วังจื๋อมาถึงอย่างพลุ่งพล่าน ทำให้ทั้งหมดแตกตื่นมึนงง

ชุยหย่งที่อยู่ข้างกายรัชทายาทได้ยินข่าว รีบถลันออกมารับหน้า “วังกงกงสบายดีหรือ นี่ท่านจะ…”

วังจื๋อไม่มีเวลาทักทายเขา โพล่งถามขึ้นว่า “รัชทายาทเล่า”

อาจเพราะเขาท่าทางโผงผาง ชุยหย่งจึงมิกล้าปิดบัง “รัชทายาททรงพักผ่อนอยู่ด้านใน ข้าจะเข้าไปทูลให้ท่าน…”

เขายังพูดไม่จบ วังจื๋อกลับผลักเขาออก บุกเข้าไปทันใด

ชุยหย่งตกใจหน้าซีด เห็นวังจื๋อก้าวสวบๆ ถึงหน้าแท่นบรรทม กล่าวกับรัชทายาทซึ่งนั่งเอกเขนกอ่านตำราอยู่บนนั้น “องค์รัชทายาท เสียมารยาทแล้ว!”

แล้วคว้าข้อมือซ้ายของรัชทายาทที่ปั้นหน้าตกตะลึงขึ้นมา ก้มศีรษะพินิจดู

อาศัยเส้นแสงสว่างจ้าที่ส่องเข้ามาจากนอกตำหนัก วังจื๋อมองเห็นอย่างชัดเจนถึงลายเส้นบนอุ้งมือซ้ายของรัชทายาท รวมทั้งแผลเป็นจางๆ บนนิ้วก้อยที่หากไม่สังเกตถี่ถ้วนคงไม่มีทางพบเห็น

แผลเป็นยังอยู่!

วังจื๋อบอกไม่ถูกว่าโล่งอกปานใด และโมโหความไม่น่าเชื่อถือของถังฟั่น

ยามนั้นชุยหย่งได้ถลันเข้ามาผลักวังจื๋อออกห่าง ตั้งท่าพิทักษ์รักษารัชทายาทเต็มที่ “วังจื๋อ บังอาจนัก!”

วังจื๋อย่อมไม่ยอมให้อีกฝ่ายผลัก ขณะชุยหย่งลงมือ เขาเป็นฝ่ายหลบวูบก่อนแล้ว

“องค์รัชทายาทโปรดอภัยที่กระหม่อมจาบจ้วงล่วงเกิน” วังจื๋อประสานมือ ไม่รอรัชทายาทตั้งคำถามก็บอกเล่าเรื่องราวที่ถังฟั่นไหว้วานเขามาตรวจสอบออกไปรอบหนึ่ง

รัชทายาทฟังจบมิได้ขัดเคือง เพียงนึกขัน “ถังเก๋อเหล่าสงสัยว่าข้าถูกสับเปลี่ยนตัวหรือ”

สีหน้าของชุยหย่งพลอยผ่อนคลาย “วังกงกงล้อเล่นเช่นนี้ออกจะรุนแรงเกินไปแล้ว ข้ารับใช้รัชทายาทตลอดเวลา หากพระองค์มิใช่ตัวจริง มีหรือข้าจะจับพิรุธไม่ได้”

วังกงกงส่ายศีรษะ สีหน้านิ่งขรึม “ข้ากลับยินดีให้เป็นการล้อเล่น แต่ถังฟั่นเป็นคนที่เชื่อใจได้ เขากล่าวเช่นนี้ย่อมต้องมีหลักฐาน หากเกิดเรื่องทำนองนี้จริง ผลลัพธ์สุดจะหยั่งคาด ดังนั้นข้าถึงได้สุ่มเสี่ยงกระทำผิดที่ประหารหมื่นครั้งยังมิอาจลบล้าง บุ่มบ่ามเข้ามาเสาะหาความจริง”

กล่าวถึงตรงนี้ สายตาของเขายังคงจับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง คล้ายไม่ละทิ้งความคิดที่จะควานหาช่องโหว่

รัชทายาทสีหน้าผ่าเผย มิได้ตื่นตระหนกกับวาจาของวังจื๋อ กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “เมื่อเป็นเช่นนี้ วังกงกงมิสู้ทดสอบข้า เราสองรู้จักกันมาหลายปี ต่างฝ่ายย่อมมีวาจาที่รู้กันแต่เราสอง หากว่าเป็นตัวปลอมย่อมไม่มีทางล่วงรู้”

วังจื๋อพอฟังก็รู้สึกมีเหตุผล จึงถาม “วันนั้นตอนที่ไหวเอินแนะนำกระหม่อมต่อพระองค์ เขากล่าวถ้อยคำชุดหนึ่ง ทรงจำได้หรือไม่”

รัชทายาทครุ่นคิดก่อนตอบ “จำไม่ได้ทั้งหมด แต่ใจความสำคัญคือไหวเอินบอกว่าท่านมีวิทยายุทธ์เยี่ยมยอด และมีสายสัมพันธ์กับคนของทางวั่นกุ้ยเฟย หากข้าเผลอไปล่วงเกินวั่นกุ้ยเฟยเข้า สามารถขอให้วังกงกงช่วยไกล่เกลี่ยได้”

วังจื๋อยังไม่เชื่อจึงถามอีก “ตอนนั้นไหวเอินเคยใช้คำหนึ่งประเมินคุณค่าของถังฟั่น ทรงจำได้หรือไม่”

ครานี้รัชทายาทไม่จำเป็นต้องขบคิด เอ่ยตอบทันควัน “แม้เป็นขุนนางบุ๋น กลับซื่อสัตย์แกล้วกล้า สองบ่าเที่ยงธรรม สามารถเป็นนักปกครองที่ดี!”

ครานี้วังจื๋อไม่มีอันใดเคลือบแคลงอีกแล้ว

เพราะวันนั้นขณะไหวเอินกล่าวถ้อยคำชุดนี้ มีเพียงรัชทายาทและเขาอยู่ที่นั่น ต่อให้มีคนปลอมแปลงเป็นรัชทายาท แสดงได้สมบทบาทปานใด ก็ไม่มีทางลอกเลียนถ้อยคำชุดนี้ได้ทั้งหมด

วังจื๋อผ่อนลมหายใจ “ขอบพระทัยรัชทายาทที่คลี่คลายข้อกังขา เป็นกระหม่อมหุนหันพลันแล่น พระองค์โปรดอภัย”

รัชทายาทกล่าว “ท่านกับถังเก๋อเหล่าล้วนทุ่มเทกำลังความคิดเพื่อข้า ข้าตื้นตันยังไม่ทันด้วยซ้ำ ไหนเลยจะตำหนิติเตียนได้ เพียงแต่วันนี้ข้านอนป่วยบนเตียง เพิ่งได้ยินชุยหย่งบอกเรื่องถังเก๋อเหล่าถูกไล่กลับบ้าน มีเรื่องนี้จริงหรือไม่ ข้าสามารถช่วยอันใดเขาได้บ้าง ไปทูลขอให้เสด็จพ่อทรงพระเมตตาดีหรือไม่”

วังจื๋อกล่าว “เกรงแต่ว่าเวลานี้ฝ่าบาทคงไม่ทรงมีเวลาพบพระองค์แล้ว”

รัชทายาทผงะ “เพราะเหตุใด”

วังจื๋อเอ่ยเสียงเนิบๆ “เพราะเมื่อครู่นี้เอง วั่นกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว”

รัชทายาทกับชุยหย่งล้วนอุทานดังอา ตะลึงลานแล้ว

ไม่ทันรอพวกเขาหายตกใจ ทางตำหนักบูรพาก็มีคนมารายงานข่าวการสิ้นพระชนม์ของวั่นกุ้ยเฟย

เรื่องนี้กะทันหันเกินไป อย่าว่าแต่รัชทายาท แม้แต่กลุ่มอำนาจวั่นคะเนว่าก็คงมิได้เตรียมตัวเตรียมใจ

ในความคิดของทุกคน หากกล่าวว่ามีคนจะล่วงลับเพราะความเจ็บป่วย คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นจักรพรรดิที่อยู่ในอาการประชวร มิใช่คนที่แลดูยังแข็งแรงกว่าอย่างวั่นกุ้ยเฟย

เหตุที่วั่นกุ้ยเฟยปรารถนาจะปลดรัชทายาทให้ได้เนื่องเพราะหลังจักรพรรดิสวรรคต ตนเองจะได้ขึ้นเป็นพระพันปี เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน

ปรากฏว่าจักรพรรดิยังทรงอยู่ดี รัชทายาทก็ยังคงอยู่ดี คนที่คิดจะครอบครองทุกสิ่งไว้ในกำมือกลับล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง

ความเหลวไหลอันไร้ค่าบนโลก ไม่มีใดเกินกว่านี้

เวลาเช่นนี้ในรั้ววังย่อมชุลมุนวุ่นวาย วังจื๋อไม่มีเวลาว่างไปใส่ใจท่าทีของรัชทายาท เมื่อแน่ใจว่ารัชทายาทมิใช่ตัวปลอม เขาจึงออกจากตำหนักบูรพาอย่างเร่งร้อน กลับถึงสำนักรักษาลัญจกร

ขันทีที่วังจื๋อสั่งให้ไปสืบข่าวที่สำนักราชพิธีกลับมาแล้วเช่นกัน เขาบอกข่าวสารที่สำคัญมากต่อวังจื๋อข่าวหนึ่ง ราชรถคันที่รัชทายาทโดยสารไปตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วนั้นมีปัญหาจริงๆ

ปัญหาก็อยู่ที่ใต้ท้องรถถูกจัดสร้างเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดสี่ห้าเชียะ เพียงพอให้คนผู้หนึ่งลงไปขดตัวอยู่ในนั้น

วังจื๋อซึ่งเดิมทีเข้าใจว่าถังฟั่นอยู่ดีไม่ว่าดี ยังไม่ทันวางศิลายักษ์ในใจลง พลันถูกข่าวนี้ทำให้สะเทือนขวัญอีกครั้ง

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 ฉบับเต็ม

ที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 23 บูธเอเวอร์วาย Y05 โซน Hall A, บอลรูม

ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Editor Jamsai: