บทที่ 13 คำสาบานเพื่อผู้ที่จากไป
ตั้งแต่นั้น ณิรชาก็เข้าหน้าหลวงเสนาสรศักดิ์ไม่ค่อยติดเอาเสียเลย ชายหนุ่มหมางเมินกับหล่อนเสียหลายวัน แม้ยามเสนอหน้าออกไปส่งที่ท่าน้ำเมื่อเขาจะไปธุระข้างนอก อย่างดีก็แค่พยักหน้า พูดด้วยน้อยคำ น่ากลุ้มใจนัก
หญิงสาวมานั่งปรับทุกข์กับอ่อนในห้องหน้าตาหมอง
“พี่ดวงคงโกรธฉันจนไม่อยากให้อภัย” ณิรชาเอ่ยกับพี่เลี้ยง หลวงเสนาดีกับน้องสาวตั้งแต่ต้นไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลงกับความรักและปรารถนาดีของเขา
“เจ้าค่ะ คุณหลวงกับแม่หญิงแทบไม่พูดกันเลยเจ้าค่ะ แล้วท่านก็มักหายไปจับโจรบ้าง ขึ้นเชิงเทินบ้าง แทบไม่กลับบ้าน วันที่แม่หญิงตกบันไดวันนั้นถือว่าแรงสุดแล้วเจ้าค่ะ นี่ถ้าแม่หญิงไม่ล้มป่วยคงไม่ได้พูดกันดีๆ อย่างนี้หรอก”
ช่วงปลายศึกอลองพญาใหม่ๆ คงสามารถหาข้ออ้างที่ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากันได้
“ฉันคงเป็นคนแล้งน้ำใจมากเลยสินะ”
พี่เลี้ยงไม่ขัดเป็นสัญญาณว่ายอมรับ “บ่าวผิดเองที่ตามใจแม่หญิงเสียจนเคยตัว แม่หญิงตอนเด็กนั้นน่ารักนัก ช่างฉอเลาะ ช่างเจรจา คุณหลวงท่านรักแม่หญิงอย่างกับอะไรดี เพื่อนฝูงพวกเดียวกันไม่ค่อยไปเล่นด้วยหรอก ชอบเล่นกับน้อง ให้เป็นม้า เป็นวัว ก็ให้น้องขี่วิ่งไปทั้งบ้าน” คำบอกเล่าของแม่อ่อนทำให้น้ำตาแทบหยดเผาะ
“ฉันนี่แย่จริงๆ เรื่องของฉัน…พี่ดวงจะยืนเคียงข้างฉันมาตลอด แต่พอเรื่องของเขา ฉันกลับอยู่ตรงกันข้าม ทั้งๆ ที่ควรจะเชื่อใจว่าพี่เขาจะต้องรู้ดีที่สุดว่าอะไรดีสำหรับเขา…แล้วฉันจะทำอย่างไรดี”
“ยากเจ้าค่ะ…ท่านไปทำสัตย์สาบานเอาไว้ เอาความสุขของตัวเองแลกกับชีวิตของแม่หญิง แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น แม่หญิงฟื้นมาราวปาฏิหาริย์ ท่านคงกลัวว่าถ้าผิดไปจากที่พูด จะเป็นอันตรายแก่แม่หญิงอีก เท่าที่รู้ท่านรักษาคำพูดจริงๆ บ่าวไม่เคยได้ยินเลยว่าท่านไปพบแม่นวลอีกเลย ไม่…แม้แต่จะเอ่ยถึง มีแต่งานราชการที่ทุ่มเทอยู่ตอนนี้เท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรที่ฉันจะคืนคำสาบานนั้นได้”
“จะได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ลูกผู้ชายเขาไม่ทำอะไรกลับไปกลับมาหรอกนะเจ้าคะ เกิดแม่หญิงเป็นอะไรขึ้นมาอีก”
พอพูดเรื่องสาบานกับคนโบราณแล้ว การผิดคำสาบานนั้นเป็นเรื่องที่คนกลัวหัวหด แม้แต่คนในยุคข้างหน้าก็เถอะ ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่
“แล้วชีวิตของคนอื่นเล่า ไม่สำคัญหรอกหรือพี่อ่อน…ฉันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก อย่าเพ่อด่วนกลัวไป ดวงของฉันแข็งปั๋งเจ็บปางตายมาสองครั้งก็ยังไม่เห็นตายสักที” หญิงสาวทำเป็นปากดี รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่กลับมาจากอาการป่วยไม่ใช่แม่ไพลิน แต่กลับเป็นณิรชาที่กำเนิดหลังจากนี้อีกสองร้อยกว่าปีและหลวงตายังบอกไว้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะได้กลับไป ซึ่งจะเป็นในรูปแบบไหน ที่ใดก็สุดรู้
บางทีท้ายสุดอาจจะกลายเป็นสัมภเวสีลอยไปลอยมาอย่างปากพูดก็เป็นได้
อีกอย่างในใจยังอดตั้งคำถาม… ในเมื่อหากคำสาบานนั้นไม่ถือเป็นจริง ไฉนตอนที่หล่อนอธิษฐานไม่ขอกลับเข้าวังนั้นถึงได้เกิดเรื่องขึ้นจนวิญญาณหลุดออกจากร่างแบบนั้นได้
ช่วงนี้เรื่องเหลือเชื่อพวกนี้ยิ่งคอยตามติดหล่อนเป็นเงาตามตัวเสียด้วย
ณิรชาตัดสินใจชวนอ่อนไปกราบหลวงตาในวันต่อมา เพราะอยากให้ท่านอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น
ดูเหมือนท่านจะพอทราบอยู่บ้างกระมังถึงได้ถามอย่างอารมณ์ดี
“มีอะไรอีกเล่า แม่ไพลิน” ท่านเรียกขานหล่อนเช่นนี้ตลอดราวกับเป็นหลานของท่านจริงๆ
“คือว่า หลานอยากขอถามหลวงตาเจ้าค่ะ” หญิงสาวกราบท่านเสร็จก็เริ่มเรื่อง ไม่คิดว่าแม่อ่อนจะเข้าใจในเรื่องที่สนทนา คำสาบานของหลวงเสนาสรศักดิ์คงพอทราบกันดีในหมู่ผู้ใกล้ชิดอยู่แล้ว
“ถ้าคำสัตย์สาบานมีจริง ทำไมถึงช่วยคนที่จากไปไม่ได้เล่าเจ้าคะ” ชะตาชีวิตของแม่หญิงไพลินนั้นจบสิ้นไปแล้ว เพราะถ้าช่วยได้ คนที่อยู่ในร่างตอนนี้ก็ต้องเป็นแม่หญิงไพลินตัวจริงสิ
“แล้ว…ถ้าไม่มีจริง สิ่งที่เกิดขึ้นกับหลานคราวก่อน…” วิญญาณต้องระเห็จออกจากร่างเพราะอารมณ์ถือดี จนเดือดร้อนท่านต้องไปตามกลับมา
หลวงตาน้อยพยักหน้าเข้าใจในคำถามสั้นๆ ของหล่อน
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังหรือเที่ยงแท้หรอกนะ ทั้งผู้ให้และผู้รับต่างต้องมีเวรกรรมผูกติดกันมา จะได้มากได้น้อยก็สุดแต่ที่ได้สะสมเอาไว้ สำหรับคำสาบานของหลวงเสนานั้นจะบอกว่าไม่ช่วยก็อ้างได้ เพราะสิ้นเวรกรรมกันไปแล้วคนหนึ่ง จะบอกว่าช่วยก็ได้เช่นกัน เพราะเจ้าได้มาเป็นน้องอยู่ที่นี่ แต่ในท้ายสุด ต่างคนต่างต้องมีวิบากกรรมอันเนื่องจากผลของการกระทำของตัวเองอยู่ดี” คำอธิบายของท่านฟังดูเรียบง่าย เปิดกว้างจนหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับหลานอีกหรือไม่เจ้าคะ ถ้าหากพี่ดวงถอนคำสาบาน”
หลวงตาพิจารณาหล่อนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคายชานหมากออก
“อิมสฺมึ สติ อิทํ โหตุ อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ …เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ*”
ภาษาบาลีนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคยแม้แต่น้อย หลวงตาท่านคงพิจารณาแล้วเห็นว่าณิรชายังพอมีสติปัญญาอยู่กระมัง
“เจ้าคิดว่า ณ ตอนนี้ สิ่งนั้นยังดำรงอยู่หรือไม่เล่า”
หล่อนทบทวนภาษาบาลีที่ท่านเพิ่งกล่าว ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจเต็มร้อย
“ไม่ เจ้าค่ะ”
“แล้วคิดว่ายังจะต้องเผชิญกับกรรมของตัวเองหรือไม่”
คราวนี้ทำให้ณิรชาอดที่จะยิ้มกระดากไม่ได้
“ถ้า…กรรมนั้นจะเกิดจากการกระทำของหลานก็คง…ยังมีต่ออีกหลายกรรม หลายๆ กรรมเลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบอายๆ นึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น และที่อาจจะเกิดขึ้น ต้องเรียกว่าหล่อนเป็นจอมหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น อย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นคราวก่อนก็มีข้อสรุปแล้ว
ไม่ใช่เพราะมีบารมีอะไรหรอก หากเป็นเพราะตัวของหล่อนเองที่เริ่มต้นปฏิเสธร่างของแม่หญิงไพลินก่อน เมื่อจิตวิญญาณปฏิเสธร่างกายเสียแล้วสายใยที่คอยเหนี่ยวรั้งย่อมต้องสูญสลายตามแรงปรารถนา
“นั่นล่ะ…เจ้ารู้คำตอบแล้ว” หลวงตาน้อยเองก็หัวเราะเบาๆ ท่านเองคงชินเสียแล้วกระมัง เมื่อรับมาเป็นหลานก็คงมีเรื่องยุ่งที่ต้องมาให้ท่านชี้ทางให้ตลอด
ระหว่างทางกลับบ้าน ณิรชาไม่หยอกล้อกับพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างเคย จนอ่อนต้องถามด้วยความสงสัย
“แม่หญิงคุยอะไรกับหลวงตาเจ้าคะ บ่าวฟังทีไรไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”
“ฉันก็ถามท่านเรื่องพี่ดวงทำสัตย์สาบานเอาไว้ ว่าแก้ได้ไหม”
“ท่านว่ากระไรเจ้าคะ”
หญิงสาวถอนหายใจ “ท่านไม่ได้บอกฉันตรงๆ หรอกนะ แต่ฉันเข้าใจว่าคำสาบานของพี่ดวงไม่น่าจะมีผลกับฉันอีกต่อไป” เมื่อคนที่ครอบครองร่างนี้ไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริง แล้วจะบังเกิดผลได้เช่นไร
“ตีความเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าเจ้าคะ” แม่อ่อนมีสีหน้าลังเล
“ฉันว่าฉันเข้าใจนะ ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้น คงมาจากฉันหาเรื่องเองมากกว่า”
“อันนี้น่าจะจริงแท้เจ้าค่ะ บ่าวเห็นด้วย” คราวนี้คนฟังพาซื่อ กลับพยักหน้าเห็นด้วย
“พี่อ่อนน่ะ!” หล่อนบ่นตาคว่ำ ต่อว่าไม่ออก เพราะการหาเรื่องใส่ตัวนี่เป็นอะไรที่คนเขาทราบกันทั่ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไรให้พี่ดวงใจอ่อนนี่สิ เท่าที่เป็นพี่น้องกันมาในระยะเวลาสั้นๆ เขาไม่ใช่คนที่จะยอมเสียคำพูดง่ายๆ เป็นแน่
ตลอดทางหญิงสาวยังคงนั่งคิดหาวิธีสารพัดจนเกือบจะถึงบ้านจึงค่อยบอกกับอ่อน
“พี่อ่อนจ๋า”
“แหม…เรียกเสียงหวานอย่างนี้แสดงว่าจะมีเรื่องมาใส่หัวนังอ่อนคนนี้อีกแล้ว” พี่เลี้ยงรู้ทันจนได้
“โธ่! ช่วยฉันหน่อยเถอะพี่อ่อน ฉันอยากให้พี่ดวงกับพี่นวลได้พบกันสักครั้ง” เพื่อรักษาคำพูด พี่ชายของแม่หญิงไพลินคงไม่ไปแอบพบกับนวลแน่ๆ ณิรชาอยากให้พวกเขาได้พบกันสักครั้ง อย่างน้อยถ้าเห็นว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตัดใจแล้วจริงๆ หล่อนจะไม่เข้าไปยุ่งอีกเลย
“ไม่มีทางหรอกเจ้าค่ะ คุณหลวงท่านไม่ยอมหรอก ยิ่งเคืองๆ อยู่นะเจ้าคะ”
“นั่นแหละ เราถึงต้องใช้แผนบ้างอย่างไรล่ะ” ถึงจะไม่ค่อยเข้าท่าบ้างก็เถอะ
“แผนอะไรเจ้าคะ”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง งานนี้… เราจำเป็นต้องใช้กำลังคนมากหน่อย!”
ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินลอบมองท่าทีของนวลที่มีสีหน้ากังวลเมื่อเริ่มบ่ายคล้อย หญิงสาวอาศัยระยะเวลาอยู่ช่วงหนึ่งทีเดียวกว่าที่จะตีสนิทจนชวนออกมาไหว้พระได้ ถ้าไม่มีแรงสนับสนุนจากแม่อ่อนบ่าวคนสนิทคงใช้เวลามากกว่านี้
ยิ่งได้พบ ได้พูดคุย ยิ่งเข้าใจเลยว่าทำไมหลวงเสนาสรศักดิ์ผู้พี่ชายถึงได้ผูกใจรักกับนวล การที่เขาต้องตั้งสัตย์เช่นนั้นเพื่อแลกกับชีวิตของน้องสาวคงทำให้ทรมานใจน่าดู
“แม่หญิง นี่ก็บ่ายมากแล้ว เราควรจะกลับเสียที”
แม่หญิงไพลินบอกว่าว่างเว้นจากเรียนวิชาดาบเลยอยากไปวัดเพื่อไหว้พระ แล้วชักชวนมาตลาดหน้าวัง ทั้งที่นวลไม่อยากมาเลย แต่ถูกแม่หญิงอ้อนวอน
“ขอฉันแวะดูของสักนิดนะ เมื่อคราวก่อนฉันได้ดาบประจำตัวมาจากที่นี่ล่ะ” ตลาดแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นของสด แต่มีบ้างในบางวันที่มีของแปลกๆ มาให้ชาววังได้เลือกซื้อหา เท่าที่เห็นจะมีพวกข้างในเข้าออกพอสมควร
“นั่นสิแม่นวล แม่หญิงอยากดูของหน้าวัง แม่นวลก็รอสักครู่เถอะนะ” อ่อนช่วยเสริม ทำให้คนใจอ่อนอย่างนวลไม่อาจปฏิเสธ ที่พวกญาติพี่น้องเกรงว่านวลจะถูกแม่หญิงไพลินหลอกกลั่นแกล้งคงจะไม่เป็นไปตามที่คาด
นวลมองซ้ายมองขวาอย่างไม่สบายใจ ที่เกรงอยู่นอกจากเรื่องของเวลาแล้ว บริเวณแถวนี้อยู่ใกล้ประตู ‘ท่าคอย’ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าประตูท่าขุนนางของวังหลวงซึ่งเป็นทางเข้าออกทั่วไปของพวกข้าราชการ
“ฉันว่าไม่เห็นมีอะไรเลย ผู้คนบางตานัก จะมีอะไรให้ซื้อขาย”
“นั่นแหละ สะดวกดี เอ้อ…ฉันหมายถึงว่า ไม่แออัดยัดเยียดสบายดี พี่นวลอยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนเถอะนะ อย่างไรประเดี๋ยวฉันจะไปส่ง” แม่หญิงไพลินยิ้มประจบให้ใจอ่อน วันนี้มีบ่าวมาด้วยตั้งสามลำเรือให้ดูคึกคัก พอขึ้นจากท่ามาได้ก็ต่างพากันกระจายออกไปไม่มารวมกลุ่มตามคำสั่งลับๆ ของนายหญิง
เมื่อเห็นว่านวลไม่สงสัยอะไรแล้ว ณิรชาจึงแอบชำเลืองมองดูสัญญาณจากอ่อน ส่วนอ่อนก็รอสัญญาณจากปลั่งและอ่ำที่ยืนปะปนกับเหล่าข้าราชการหนุ่มที่ออกมาจากประตูเฉพาะ
สักพักเจ้าจุกฝีพายของหลวงเสนาซึ่งรออยู่ที่เขตราชฐานชั้นนอกก็เดินมาทำทีให้รู้ว่าหลวงเสนาสรศักดิ์กำลังจะออกมา การส่งข่าวจึงบอกต่อกันเป็นทอดๆ
เมื่ออ่อนมาสะกิด ณิรชาจึงรีบจูงมือนวลที่ไม่รู้เรื่องให้เข้าไปใกล้ประตู ทันทีที่ร่างสูงสองร่าง หนึ่งเพรียวกับอีกหนึ่งหนาบึกบึนเดินออกมา
ไม่ต้องบอก ไม่ต้องพูดอะไร คนมีจิตต้องกัน ห่างกันแค่นี้ย่อมต้องรับรู้ได้
หลวงเสนาสรศักดิ์หยุดเท้า ในขณะที่นวลเองก็หยุดนิ่งเมื่อตาต่อตาสบกัน พาเอาผู้ติดตามทั้งหมดหยุดนิ่งเช่นกัน แม้เวลาเพียงเสี้ยววินาที หากนั่นดูยาวนานนัก
“พี่ดวง! แหม… บังเอิญจริง” คนที่เตรียมบทมาก่อนอย่างณิรชาเป็นคนเดียวที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ลากนวลซึ่งทำอะไรไม่ถูกให้เข้าไปใกล้ แล้วยังอุตส่าห์ทำความเคารพคนที่ตามมาข้างหลังอย่างขุนอรรถโดยไม่ลีลาอิดเอื้อนเหมือนครั้งก่อนๆ
“ขุนอรรถก็มาด้วยหรือคะ” รอยยิ้มประจบทำทีเป็นสนิทสนม
“ไพลิน เจ้าคิดการใด” หลวงเสนาหาได้หลงกลตกกระไดพลอยโจนไม่ ทั้งเสียงทั้งสายตาเข้มจนทำให้หญิงสาวแอบเกรง แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วต้องเดินหน้า อย่างน้อยพี่ชายจะได้เห็นกับตาว่าแม่หญิงไพลินนั้นมีไมตรีกับนวลแล้วจริงๆ
“คิดการอะไรหรือคะ วันนี้ฉันชวนพี่นวลไปไหว้พระ แล้วเลยแวะมาแถวนี้ เดินดูของเสียเพลิน ไม่นึกว่าจะบังเอิญมาเจอพวกพี่” คนฟังถึงกับสะดุดหู สนิทสนมถึงขั้นนับพี่นับน้องกันด้วยได้อย่างไรหากไร้ซึ่งแผนการ
“อย่างนั้นหรือ” พี่ชายพูดสั้นๆ แต่ตาแลไปยังอ่อน ปลั่ง อ่ำ จุก และที่เหลือ เล่นเอาหัวหดไปตามๆ กัน
ในขณะที่บรรยากาศเริ่มจะไม่เป็นใจ อะไรๆ เงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรต่อ นอกจากพากันกลั้นหายใจ ชำเลืองแลดูสีหน้าของหลวงเสนาสรศักดิ์
“พี่นวล! สบายดีหรือขอรับ” จู่ๆ คนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเสียงกลับส่งเสียงห้าวมาให้คลายบรรยากาศ ‘มาคุ’ แม้แต่คนอาวุโสสุดยังอดหันขวับไปมองขุนอรรถอย่างแปลกใจไม่ได้
“ฉันสบายดีจ้ะ ขุนอรรถ” ดูราวคนถูกทักอย่างนวลก็โล่งใจไม่แพ้กัน
ขุนอรรถยิ้มให้นวล และเป็นครั้งแรกที่ณิรชาเห็นว่ายิ้มนั้นงามจริงอย่างอ่อนว่า นอกจากนี้เขายังบอกกับเพื่อนผู้พี่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ดวงขอรับ กระผมขอไปคุยกับขุนวาดสักครู่ พี่ดวงรอกระผมก่อนนะขอรับ” ประโยคหลังออกจะบังคับกลายๆ
หลวงเสนายังไม่ทันตอบคำ คนหน้าเข้มก็หันมาทางณิรชา
“แม่หญิงไพลิน ไหนเจ้าเองก็มีธุระอยู่ไม่ใช่หรือ รีบไปสิ พี่ดวงคงอยู่รอกับพี่นวลได้สักครู่ พวกบ่าวก็ให้รออยู่แถวนี้ ไม่ต้องเป็นห่วง” เขาสั่งความได้ครบถ้วนตั้งแต่หลวงเสนายันบ่าวไพร่ทั้งหมดทีเดียว เรียกได้ว่าทุกคนรู้ทันทีว่าจะต้องประจำที่อยู่ตรงไหน
ทุกคนมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เหงื่อตกมาพักใหญ่
“พ่ออรรถ!” คราวนี้พี่ใหญ่สุดเสียงเขียว ไม่นึกว่าคนที่นิ่งๆ เงียบๆ อย่างขุนอรรถยังจะ…
คนเป็นทั้งน้องทั้งเพื่อนยิ้มละไมก่อนจะปลีกตัวออกไป โดยมีณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินเดินตามต้อยๆ ปล่อยให้คนสองคนยืนอ้ำอึ้งอยู่ใกล้กันโดยมีพวกบ่าวถอยห่างไม่มาอยู่ใกล้
ขุนอรรถไม่ได้ไปไหนไกลนอกจากปลีกตัวออกมาอยู่แถวท่าน้ำ พอไปถึงชายหนุ่มก็ปิดปากเงียบยืนหันหน้ามองเรือมองน้ำอยู่เพียงลำพัง คล้ายกับบอกว่าเสร็จธุระของเขาแล้วกระนั้น
ณิรชากับอ่อนก็พากันปลีกตัวไปนั่งบนขอนไม้ไม่ไกลนัก
“ถ้าไม่ได้ขุนอรรถ เราคงหาทางลงไม่เจอเหมือนกันนะ” หญิงสาวกระซิบกับคนสนิท เพราะท่าทางของหลวงเสนาเมื่อครู่ทำให้ไปต่อไม่เป็นเลยจริงๆ คนรักกันสองคนตั้งท่าจะกระโจนออกห่างกันท่าเดียว ป่านนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้พูดคุยอะไรกันไปบ้าง
เพื่อไม่ให้ดูเป็นการเสียมารยาทนัก หล่อนจึงเขยิบไปใกล้ร่างสูงหนานั้นอีกสักหน่อยพลางชำเลืองแล
“ขุนอรรถว่าพี่ดวงกับนวลเค้าจะคุยกันได้ไหม…คะ” ณิรชาหาเรื่องพูดคุย
“ประจันหน้าขนาดนั้น ไม่พูดคุยถามไถ่กันเลยคงไม่ได้ แต่จะมากน้อยเพียงใดนั้นไม่ทราบ”
หญิงสาวถอนหายใจ ไม่มากมายนักก็ได้ เพียงขอให้พี่ชายมีความสุขบ้างก็ยังดี “แล้วขุนอรรถว่าพี่ดวงกับพี่นวลจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ ฉันหมายถึงก่อนที่ฉันจะล้มป่วยน่ะ”
คราวนี้คนตัวโตปรายตามองมาแวบหนึ่ง
“คงไม่… เพราะคนอย่างพี่ดวงจะไม่คืนคำพูดง่ายๆ” คำตอบสั้น กระชับ ถึงไม่มีคำติเตียนก็เถอะ แต่แววที่แฝงอยู่ในดวงตานั้นหลากหลาย ทั้งตำหนิ ทั้งไม่ไว้ใจ ก็นั่นแหละนะ เขาย่อมรับรู้เรื่องราวมาตั้งแต่ต้น แม่หญิงไพลินทำเรื่องเสียมากมายขนาดนั้น มาพูดดีทำดีตอนนี้ใครเขาจะเชื่อถือ
แต่ยังดีที่ถึงจะมีความแคลงใจ ขุนอรรถยังช่วยแก้สถานการณ์ให้เป็นไปตามแผน ไม่อย่างนั้นคงโดนไล่กลับบ้านไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
“เฮ้อ…พี่ดวงคงเคืองฉันน่าดู” หล่อนรำพึงรำพัน อีกประเดี๋ยวหลวงเสนาก็จะต้องโกรธหล่อน แม่นวลนั้นเล่า อาจจะเคืองจนไม่ยอมเป็นเพื่อนด้วยอีกก็ได้ คิดแล้วก็ถอนใจอีกหลายครั้งจนคนที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงยังอดซ่อนยิ้มไม่ได้
ถ้ารู้จักมากกว่านี้จะทราบว่าแม่หญิงไพลินนั้นทำท่าดูน่าสงสารเพื่อที่จะได้รับโทษน้อยๆ ไปอย่างนั้นเอง
ไม่นานเท่าใดนักบ่าวก็เข้ามารายงานว่าหลวงเสนาให้มาตาม ขุนอรรถจึงขยับกายเดินกลับไป ณิรชากลับไปเห็นแล้วว่ายังไม่มีอะไรคืบหน้า
“ไพลิน เจ้ารับปากแล้วว่าจะไปส่ง จงดูแลรับผิดชอบให้ดี” พี่ชายสั่งโดยไม่มองหน้าหญิงสาวอีกผู้หนึ่ง
“แล้วพี่ดวงไม่ไปด้วยหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง
“พี่มีธุระ” เขาตอบห้วนๆ มีลางให้เห็นว่ากลับไปโดนแน่! หล่อนไม่เคยกลัวใคร แต่เรื่องเกรงนั้นมีบ้างโดยเฉพาะคนที่รักและห่วงใยกันเช่นนี้
ที่แน่ๆ คนที่โดดเข้าร่วมแผนโดยไม่ได้เตี๊ยมอย่างขุนอรรถคงโดนก่อน
ตลอดทางที่นั่งเรือกลับ นวลนิ่งเงียบเมินมองไปทางอื่น ณิรชาไม่กล้าถามว่าพวกเขาได้คุยอะไรกันบ้าง ได้แต่ปล่อยให้คนรักของพี่ชายได้อยู่คนเดียว จนกระทั่งเรือถึงฝั่งถึงได้ตามขึ้นไป
ตอนแรกดูเหมือนนวลเดินหนีจะไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมคุยด้วยเลยทีเดียว หญิงสาวต้องอาศัยลูกตื๊อ
“พี่นวล ฟังฉันก่อน”
“ฉันโกรธแม่หญิง!”
“แหม…ขอแค่…เคือง…นี้ดเดียวไม่ได้หรือจ๊ะ” หล่อนต่อรอง พยายามผ่อนคลายบรรยากาศ แต่แล้วก็ต้องหน้าจืด เมื่อคนรักของพี่ชายหยุดเท้า สายตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและเจ็บปวด ทำให้ทะเล้นไม่ออก
“แม่หญิงแกล้งฉันอีกแล้วใช่ไหม อย่างที่เคยเป็น ฉันผิดหวังเหลือเกิน คิดว่าแม่หญิงจะมีน้ำใจกับฉันจริงๆ เสียอีก”
“ไม่ใช่นะ โธ่! พี่นวล ฉันขอโทษนะ ฉันกราบล่ะ ฉันไม่ได้แกล้งเพื่อสนุก ที่ทำไปเพราะอยากให้พี่ดวงกับพี่นวลกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
สีหน้าคนฟังยังไม่ดีขึ้น “คุณหลวงทำทุกอย่างเพื่อแม่หญิง ฉันเองก็เห็นตามด้วย และไม่เคยคิดโกรธใครเลย ต่อให้คุณหลวงไม่ยึดคำพูดเอาไว้ ฉันก็รู้ตัว…ว่าไม่มีวาสนา” ปลายเสียงนั้นราวรู้ซึ้งถึงโชคชะตาของตนเอง
“ทั้งหมดนี้ฉันตั้งใจนะ ตั้งใจทำให้พี่ดวงยอมคืนคำสาบาน” ถึงอย่างไรณิรชายังยืนยัน ในยุคของหล่อน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไป วัฒนธรรมอยุธยาเองไม่ได้เคร่งครัดเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก จะผิดเพี้ยนก็ตรงที่แม่หญิงไพลินนี่แหละ
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก รู้ไหม เพราะคุณหลวง แม่หญิงถึงหายป่วย ถ้าหากท่านคืนคำ อะไรจะเกิดขึ้น ฉันไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครเป็นอะไรไปหรอก”
“พี่นวลจะแลกความสุขของตัวเองเพื่อฉัน คนที่ทำลายความรักและคอยแต่กลั่นแกล้งพี่นวลอย่างนั้นหรือ”
“ความสุขของคุณหลวงต่างหาก แม่หญิงเป็นน้องสาวที่คุณหลวงยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ”
“ฉันไม่ใช่… เฮ้อ! ฉันล่ะเบื่อคำนี้จริงๆ” ณิรชาถอนใจยาว อยากตะโกนว่า…หล่อนไม่ใช่แม่หญิงไพลิน! อีกสัก สิบครั้ง
“ฟังนะพี่นวล แม่หญิงไพลินคนเดิมไม่มีอยู่แล้ว และแม่หญิงคนนี้ไม่ตายง่ายๆ หรอก! ถ้าถึงคราวจะต้องตายจริงๆ ต่อให้กี่สิบหลวงเสนาสรศักดิ์ก็รั้งชีวิตฉันไว้ไม่อยู่หรอก”
“แม่หญิง! อย่าพูดอย่างนี้! มันไม่ดี” นวลตกใจรีบปราม อย่างนี้นี่เอง คนโบราณถึงได้ระมัดระวังนักเรื่องคำพูดหรือคำสัญญา พวกเขายึดถือคำจริงเป็นสิ่งยิ่งใหญ่
กฎแห่งการแลกเปลี่ยน ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่เสียสิ่งอื่นไป
ผิดกับยุคสมัยของหล่อนที่ผู้คนอยากจะเอาแต่ได้อย่างเดียว ไม่อยากเสีย
“ฉันน่ะ เสียใจและอยากแก้ตัวในสิ่งที่เคยทำลงไป จะอธิบายอย่างไรคงไม่มีใครเชื่อ”
“เอาเถอะ ฉันเชื่อ แต่…” นวลตัดบท หากมีข้อแม้
“ถ้าแม่หญิงรักจะคบหาเป็นมิตรกับฉันอีกก็ขออย่าทำอย่างนี้อีกเลย จะค่ำแล้ว แม่หญิงกลับบ้านเถอะ ประเดี๋ยวคุณหลวงคงไปรออยู่ที่บ้าน”
รอชำระความน่ะสิ!
ณิรชานึกถึงชะตากรรมของตัวเองเมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก มองตามร่างบางของนวลขึ้นเรือน ถึงอย่างไรในใจก็ไม่อยากยอมแพ้
จู่ๆ หล่อนก็ตะโกนเสียงดังตามหลัง
“คอยดูเถอะพี่นวล ฉันไม่เซ้าซี้พี่นวลก็ได้ แต่จะไม่เลิกล้มความตั้งใจหรอกนะ เพราะฉัน…จะเอาพี่นวลมาเป็นพี่สะใภ้ของฉันให้ได้ เตรียมตัวไว้เถอะ! เดี๋ยวพี่ดวงจะมาขอ คอยดู๊…”
ตะโกนเสร็จ หญิงสาวก็เดินจ้ำอ้าวกลับเรือที่มีอ่อนนั่งรอฟังข่าวอยู่ พอเล่าถึงตอนจบเท่านั้นคนที่ฟังแบบลุ้นๆ ก็ปล่อยคิกออกมาจนน้ำหมากแทบกระเซ็น ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกบ่าวที่มาด้วยกัน ไหนๆ ก็ร่วมขบวนการเดียวกันแล้วนี่ จะแบ่งแยกไปทำไม ถ้าพวกบ่าวไม่คิดจะเอาใจช่วยคุณหลวงเสนาผู้เป็นนาย ณิรชาจะสามารถรวบรวมบ่าวไพร่ได้ตั้งหลายคนอย่างนี้หรือ
“พี่อ่อน! นี่มันเรื่องเศร้านะ แผนไม่สำเร็จแล้วยังถูกเคืองอีกสองเท่าเชียวนะ”
“โธ่! ตอนเศร้ามันมีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ไอ้ตอนที่ไปตะโกนปาวๆ ว่าจะเอาเขาเป็นพี่สะใภ้ให้ได้นี่ ทั้งขำทั้งโศกเลยนะเจ้าคะ” ว่าแล้วก็ปลอบใจนายหญิงที่หน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เมื่อนึกถึงตอนนั้นก็เห็นจริงตามคนสนิทว่า
ใครจะรู้แม้กระทั่งนวลซึ่งอารมณ์ไม่แจ่มใสนักยังอดยิ้มขันไม่ได้
“เด็กบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้…”
หลวงเสนาสรศักดิ์จะพูดคุยอะไรกับนวลนั้นไม่มีใครทราบ เท่าที่เห็นคือชายหนุ่มยืนรออยู่ตรงศาลาท่าน้ำอยู่เพียงลำพัง ส่วนพ่อคู่หูคงกลับบ้านไปแล้ว
“พี่ดวง กลับมาแล้วหรือ” ณิรชาทักแก้เก้อ คนเป็นพี่เพียงพยักหน้ารับ
“ฉันไปเตรียมกับข้าวกับปลาก่อนนะ” หล่อนหาทางเลี่ยง ทั้งๆ ที่สั่งกันไว้แล้วว่าถ้าแม่หญิงกลับค่ำกว่ากำหนด พวกบ่าวจะต้องทำอะไรบ้าง
“ไม่ต้องไปหรอก เย็นย่ำป่านนี้ บ่าวจัดการให้แล้ว อ่อนแน่ะ…ไปดูแทนที” น้ำเสียงคนพูดยิ่งเย็นเยียบกว่า พลางสั่งอ่อนในประโยคหลังเป็นอันว่าหล่อนต้องอยู่!
หญิงสาวนั่งตัวลีบ รอพี่ชายว่าจะพูดอะไรบ้าง
“พี่ได้ให้คำสัตย์ไปแล้วว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับนวลอีก เพียงขอให้เจ้าหายจากอาการป่วยไข้ เจ้ากลับทำอย่างนี้ ยิ่งทำให้พี่ลำบากใจนะไพลิน” หลวงเสนาสรศักดิ์คงพยายามใช้ไม้อ่อนเกลี้ยกล่อม
ทว่าณิรชาได้ตั้งใจมั่นแล้วและจะไม่แปรเปลี่ยน แม่หญิงไพลินยังคงเอาแต่ใจตนเอง หากต่างไปจากคนเดิมตรงที่จุดมุ่งหมายไม่ได้เพื่อทำร้ายผู้ใด
“ฉันขอบคุณพี่มาก และซาบซึ้งในความรักและความปรารถนาดีของพี่ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้คำสาบานได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ที่ผ่านมาฉันยังมีล้มเจ็บจนหลวงตาต้องไปตามอีกด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้ฉันก็ยังมีลมหายใจอยู่”
“เจ้าทำเป็นรู้มากเกินไปแล้ว เรื่องแบบนี้เจ้าจะรู้แจ้งได้อย่างไร”
“ฉันไม่กล้าอวดอ้างว่ารู้เรื่องพวกนี้ดีไปกว่าพี่ และใช่ว่าคำสัตย์ของพี่ไม่มีความหมาย แต่มันจบไปแล้ว กรรมของแม่หญิงไพลินคนเดิมกับกรรมของฉันนั้นมันคนละเส้นทาง ฉันจะไม่เป็นอะไรอีกต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาของฉัน” เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนั่นแหละ
หลวงตาน้อยได้ให้คำอธิบายในความนัยแล้ว แต่จะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อผู้สูงวัยกว่าไม่ได้รับรู้ไปด้วย ทุกอย่างจะกระจ่างชัดทันทีถ้าทุกคนรับรู้และยอมรับว่า…คนที่ฟื้นขึ้นมาจากการป่วยไข้ครานั้นไม่ใช่แม่หญิงไพลิน!
“ไพลิน” แววหวาดหวั่นเกิดขึ้นอยู่ในแววตาของหลวงเสนา รู้แก่ใจว่าน้องสาวคนนี้คงไม่ยอมเลิกรา
ต่อให้ต้องสู้รบกับโจรเป็นกองทัพ ชายหนุ่มหาได้หวั่นเกรงไม่ หากนี่คือน้อง คนที่เขาฉุดดึงชะตามาด้วยสามัญสำนึกแห่งคนเป็นพี่ แต่เจ้าหล่อนกำลังจะทิ้งมันไป แล้วจะเกิดอะไรขึ้น…
ชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในคำสาบานนึกไม่ออกจริงๆ
“พี่ขอได้ไหม เลิกราเถอะ ไม่มีสิ่งใดสำคัญกับพี่เท่ากับความสุขของคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวหรอก สำหรับพี่กับนวลนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันหรอก พี่รู้แต่ว่าคนเราสองคนถูกผูกไว้ด้วยบางสิ่งที่แน่นหนา ไม่มีใครทำลายมันได้อยู่แล้ว สำหรับเจ้า…” ตาสีเข้มนั้นเต็มไปด้วยความปรานียามทอดมองแม่หญิงไพลินที่มีณิรชาซ่อนอยู่ข้างใน คนที่คิดว่าเป็นน้องมาตลอดชีวิต
“เจ้าเป็นน้องที่พี่เอ็นดูเสมอมา พี่เห็นเจ้าครั้งแรก ตัวแดงๆ เท่าฝ่ามือร้องอ้อแอ้ น่าเอ็นดูเป็นที่สุด” น้ำเสียงยังรำลึกถึงเรื่องในวัยเยาว์ ถึงวัยจะต่างกัน หากเขายังจำได้ถึงความยินดีที่มีน้องสาว
“พี่นะ แอบขโมยเจ้าไปอุ้มอยู่หลายครั้ง เกือบทำเจ้าพลัดหลุดมือหลายครา ถึงจะถูกคุณแม่ตีแต่พี่ก็ยังชอบเล่นกับน้องอยู่ดี”
“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เจ้าติดพี่แจ จนพี่แทบกระดิกตัวไม่ได้เลย ช่างฉอเลาะ ซุกซน อารมณ์ดี พี่ทำอะไรน้องทำตาม นิสัยต้องกันไปหมด เหมือนเจ้า…ตอนนี้”
ณิรชาพยายามทบทวนเนื้อความที่ได้ฟัง ช่วงหนึ่งของแม่หญิงไพลินเหมือนหล่อนตอนเด็กๆ น่าประหลาดนัก
เขาพูดเหมือนว่าหล่อนเคยมาอยู่ที่นี่
“…ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องคนนั้นหายไปไหน อาจเพราะโตเป็นสาว หรือเพราะพี่ที่เมื่อเติบใหญ่จึงกระด้างขึ้น ทุกอย่างเลยเปลี่ยนไป คิดพูดสิ่งใดไม่เคยต้องกัน ถึงอย่างนั้นพี่ก็รักและเอ็นดูเจ้าไม่เปลี่ยน”
“ตอนที่เจ้าป่วย พี่ย่อมรู้ว่าเพราะเหตุใด เจ้าอยากเอาชนะพี่จนขาดสติ ถ้าต้องการเจ้ากลับคืนมาก็ต้องทำแบบนี้ พี่จะไม่พบกับนวลอีกก็ได้ เพียงขอให้น้องของพี่หายจากป่วยไข้ นอกจากนั้นยังขอ…”
ชายหนุ่มวางมือบนศีรษะเล็ก “ขอให้…ได้…น้องคนเดิมกลับมา”
“พี่ดวง!” อาการหนักๆ เกิดขึ้นในอกอย่างประหลาด ความผูกพันที่เขาว่านั้น…
“ประหลาดนัก แล้วเจ้า…ก็…กลับมาจริงๆ เจ้าไม่รู้หรอกว่าพี่มีความสุขเพียงไหน ในยามที่เจ้าคอยเซ้าซี้พี่ให้พาไปนั่นไปนี่ สนใจใคร่รู้เรื่องของพี่ มันเหมือนเจ้ากลับไปเป็นเด็กน้อยเมื่อครั้งนั้นทีเดียว”
ความปรารถนาของหลวงเสนาซับซ้อนนัก จนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ หญิงสาวพยายามนึกหาเหตุผลที่ตนเองต้องมาอยู่ที่นี่ ว่าเพราะใครหรือเพราะอะไร
“สัตย์สาบานนั้นเป็นสัจจะอธิษฐาน ไม่มีสิ่งใดแก้ไขได้ ถ้าเจ้าให้พี่ถอน พี่ก็ทำไม่เป็น หากขืนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เภทภัยร้ายอาจเกิดแก่พี่หรือเจ้า สำหรับพี่มันไม่สำคัญหรอก แต่ถ้าเกิดกับเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าคงรู้ว่าคุณแม่แทบล้มเจ็บไปไม่รู้กี่ครั้ง”
“แต่พี่ดวงไม่เข้าใจ” เขาหาได้ทราบความจริงเหมือนกับณิรชา แม่หญิงไพลินนั้นชีวิตจบสิ้นไปแล้ว เภทภัยข้างหน้าหากจะเกิดล้วนเป็นผลจากการกระทำของณิรชาทั้งสิ้น
“…อย่าให้สิ่งที่พี่ทำไปสูญเปล่าเลย”
เพราะตระหนักถึงความรักของพวกเขา ถึงไม่อยากฉกฉวยผิดวิธี หญิงสาวไม่อาจทำเป็นเชื่อฟังเพื่อสิ่งที่ไม่ได้ดำรงอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้ เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการสูญเปล่ากว่า
“แล้วถ้าฉันจะขอบ้างล่ะ ปล่อยให้ฉันได้ทำอะไรให้พี่เถอะนะ ถ้าพี่สาบานหรือสัญญาอะไรเอาไว้ ฉันจะเป็นคนคืนคำสาบานนั้นให้พี่ แม้จะแลกด้วยชีวิตของตัวฉันก็ตาม!”
หลวงเสนาสรศักดิ์หมดความอดทน เขาผุดลุกขึ้นโดยไม่มองหน้า
“พูดจาซ้ำซากไม่รู้ความ ไพลิน! เจ้า!…อย่าได้เอ่ยคำนี้ให้พี่ได้ยินอีก แล้วอย่าได้ทำการใดมากไปกว่านี้ ไม่เช่นนั้นพี่เองนี่แหละจะขอให้คุณแม่ส่งเจ้ากลับวังเสียที คราวนี้ไม่ว่าหลวงตาหรือขุนอรรถก็ช่วยเจ้าไม่ได้” ชายหนุ่มยื่นคำขาดแล้วเดินหนีจากไป ปล่อยให้หญิงสาวนั่งซึมตามลำพังเพราะถูกโกรธ รู้สึกเคว้งคว้างไร้หลักยึด เพราะเขาคือคนที่คอยสนับสนุนและเป็นผู้ให้มาโดยตลอด
“พี่ดวง…พี่ไม่เข้าใจ ฉันไม่ใช่แม่หญิงไพลิน” คำรำพึงนี้ไม่มีใครได้ยิน ไม่ว่าจะคิดมุมไหน หล่อนก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งที่หลวงเสนาสรศักดิ์มอบให้ได้ ชีวิตของแม่หญิงไพลินที่ณิรชาหยิบยืมมานี่จะอยู่ต่อไปได้อีกนานเท่าใดยังไม่ทราบ สักวันหนึ่งแม่หญิงผู้นี้ต้องจากทุกคนไปในเส้นทางข้างหน้าที่จะต้องเผชิญเรื่องทุกข์ทนอีกมากมาย
เขาไม่ควรมีชีวิตอยู่เพียงลำพังเพราะการเสียสละให้กับคนที่จากไปแล้ว และไม่มีตัวตนเหลืออยู่อีกต่อไป
ณิรชาน้ำตาร่วง อัดอั้นในอกที่ไม่อาจอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ หันไปทางไหนก็มีแต่ทางตัน
“นึกว่าฉันจะกลัวที่พี่ขู่หรือ ฉันไม่ยอมหรอก พี่ให้ฉันมามากแล้ว ถึงเวลาที่ฉันต้องให้พี่บ้างเสียที”
คราวก่อนทำถือดี ไม่อยากเข้าวัง อยากเรียนฟันดาบจนวิญญาณลอยออกจากร่าง มาคราวนี้ต้องสู้กับโชคชะตาอีกสักที ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากรู้แน่…ว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ!
ขุนอรรถเดชาราชเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นเรือของบ้านหลวงเสนาสรศักดิ์จอดแอบอยู่ไม่ไกลจากท่าน้ำของบ้าน และยิ่งน่าประหลาดใจกว่านั้นตรงที่ฝีพายคือเจ้าปลั่งและเด็กหนุ่มหน้ามนอีกผู้หนึ่ง
รูปร่างอ้อนแอ้นเช่นนี้ดูไม่ออกว่าเป็นใครก็แย่แล้ว พอเรือของเขาผ่านไปใกล้เด็กหนุ่มคนนั้นก็ให้ปลั่งวาดพายตามมา
“อ่อนอยู่ไหน ไม่เห็นตามมา” ชายหนุ่มคิดพลางโคลงศีรษะ เดาไม่ถูกว่าเจ้าตัวมีเจตนาเช่นไร
แม่หญิงไพลินคนนี้คงกินยาหลวงตามากเกินไปเลยมักกระทำเรื่องเกินวิสัย นี่ถึงขั้นบุกมาถึงบ้านผู้ชาย รู้ล่ะว่ามิได้มีเจตนาทำผิดวิสัยกุลสตรี แต่หากจะต้อนรับให้งามตามประเพณีนั้นก็ทำได้ยากยิ่งนัก
“แม่หญิงมีธุระอะไร” ชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด อาณาเขตของเขามีแต่พวกผู้ชาย จะพาขึ้นเรือนก็ทำไม่ได้เพราะเป็นเรือนชายโสด ในที่สุดก็อยู่ตรงสวนด้านข้าง ไม่ลับตาและไม่โล่งเกินไปนัก
“ขุนอรรถช่วยพูดกับพี่ดวงให้ไปหาพี่นวลได้ไหม ให้พี่ดวงถอนคำสาบานอะไรนั่นเสีย” พักนี้เจ้าตัวมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของหลวงเสนาสรศักดิ์ และดูมุ่งมั่นจนกลายเป็นดื้อดึงเอาแต่ใจ หากบางอย่างเล็กๆ ที่ทำให้ดุด่าไม่เต็มปากอาจเพราะเป็นเจตนาดีที่แฝงอยู่
“ไม่ได้หรอก เรื่องนั้นเป็นการตัดสินใจของพี่ดวง เราไม่มีอำนาจใดไปชี้นำ”
ณิรชาไม่อยากเชื่อ เมื่อวันก่อนเขายังช่วยหล่อนนี่นา น่าจะคิดตรงกันบ้าง
“แต่ขุนอรรถเป็นสหายของพี่ดวง” เพราะเหตุนี้ถึงกล้าบากหน้ามาหา
ชายหนุ่มมองหน้าหล่อนแล้วถอนใจ คงคิดว่าแม่หญิงไพลินคนนี้ช่างไม่รู้ความเสียเลยสินะ
“คำสาบานไม่ใช่สิ่งที่จะคืนกันได้ง่ายๆ พวกเราไม่ใช่ผู้หญิง คำสัตย์เป็นคำมั่น ใครผิดสาบานย่อมไม่เป็นผลดี อีกอย่างไม่มีใครรู้วิธีถอนคำสาบานหรอก”
“ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” หล่อนอยากจะคิดว่าเขาแล้งน้ำใจ แต่…ที่เป็นอยู่ก็ไม่ถึงขั้นนั้น เขาแค่มีความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเชื่อมั่นในเพื่อนรุ่นพี่ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“สิ่งที่พี่ดวงตัดสินใจย่อมไตร่ตรองโดยรอบคอบแล้ว เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวให้พี่ดวงเป็นห่วงเลย”
“ใจร้ายนัก ท่านไม่คิดหรือว่าพี่ดวงกับพี่นวลเขาจะเป็นอย่างไร ขุนอรรถย่อมรู้ดีกว่าทุกคนว่าพวกเขารักกันมากขนาดไหน ท่านรู้ ท่านเห็น แต่ท่านก็ยัง…ปล่อยให้พวกเขาเจ็บปวด” หญิงสาวต่อว่า ทั้งเคืองด้วยที่อีกฝ่ายใจแข็งยิ่งนัก หรือว่าเขาสัมผัสไม่ได้จริงๆ
ณิรชายังรับรู้ได้เมื่อครั้งที่พวกเขาพบกันที่กำแพงวัง และท่าทีของพี่ชายยามที่มาขอร้องให้เลิกรา แค่เวลาเพียงชั่วขณะ…
“หากเจ้าคิดได้เช่นนี้แต่แรก เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นหรือ” ขุนอรรถย้อนถาม ทำเอาหล่อนสะอึก พูดไม่ออก ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้กระทำโดยตรงก็ตาม
“แม่หญิงไพลินจ้างนักเลงไปตลาดบางกะจะ ล่มเรือแม่นวลจนเกือบจมน้ำตายไปหนึ่งครั้ง ไปพังเพิงขายของ ลอบใส่ไคล้แม่นวลกับพ่อแม่ แล้วยัง…อีกหลายๆ เรื่องจนตัวเองประสบเคราะห์กรรมตกบันไดปางตาย”
คนพูดเว้นไว้ให้คิดเอาเอง เขาต้องทราบอะไรมากกว่าอ่อนแน่ และมีหลายอย่างที่ยังไม่แฉออกมา
“ฉันถึงได้พยายามแก้ตัวอยู่นี่อย่างไร”
คราวนี้ชายหนุ่มเสียงเข้มขึ้น “ไม่คิดว่ามันสายเกินไปหรอกหรือ บางอย่างเมื่อผูกไปแล้ว ใช่ว่าจะคิดแก้ได้อย่างตามใจชอบ แม่หญิงไพลิน… เจ้าควรรู้ไว้ ปมบางปม แม้คนผูกเองยังไม่อาจแก้ออกได้โดยง่าย เพราะมันเป็น ‘เงื่อนตาย’ ”
ณิรชากัดริมฝีปาก ไม่ยินยอมพร้อมใจ เพราะคนที่ทำนั่นไม่ใช่หล่อน…แม่หญิงไพลินต่างหาก!
“กลับบ้านไปเสียเถอะ แม่หญิง เราจะพายเรือไปส่ง” ขุนอรรถเห็นว่าคนตัวบางนิ่ง คิดว่าหมดเรื่องแล้ว จึงเดาออกว่าเจ้าตัวคงหลบมาตามลำพังโดยที่อ่อนไม่รู้ ป่านนี้อาจตามหาตัวกันวุ่น
ขืนสนทนาต่อก็วนเวียนไม่จบสิ้นสักที เขาไม่เห็นด้วยกับการสาบานของหลวงเสนาสรศักดิ์ หากจนใจเมื่อเพื่อนผู้พี่นั้นอับจนหนทางที่จะเยียวยาน้องสาวจนต้องกระทำเช่นนั้น และเขายังมีความเชื่อว่าที่แม่หญิงไพลินสามารถลุกขึ้นเดินเหินพูดจาได้นั้น นอกจากเพราะหลวงตาแล้ว ยังจะเพราะอำนาจคำกล่าวของหลวงเสนาด้วย
ชายหนุ่มไม่พูดต่อ เดินนำไปยังศาลาท่าน้ำที่ปลั่งจอดเรือรออยู่
หญิงสาวคงไม่ยอมแพ้เหมือนกันจึงรีบเดินตามหลังกระชั้น นึกถึงไม้ตายอันสุดท้าย
“นี่…ขุนอรรถ ท่านไม่คิดจะทำคุณไถ่โทษบ้างหรอกหรือ” คนถามตามมาติดๆ ถึงตัวเล็กแต่ทำวางก้ามท่าทางเอาเรื่อง
คำกล่าวหามีผลทำให้ร่างสูงหยุดเท้า ถามกลับด้วยความงงงวยกึ่งขัน
“ทำคุณไถ่โทษ! เรามีความผิดอันใดหรือแม่หญิง” ในสายตาเขาแม่สาวน้อยคนนี้ช่างผิดแปลกจากที่เคยเป็น เขาต้องเตรียมตัวให้ดีทุกครั้งเพื่อที่จะลับฝีปาก ไม่เช่นนั้นจะโดนยอกย้อนเอาได้ทุกเมื่อ
คนอะไร… พูดถูกเป็นผิด พูดผิดเป็นถูก พอจนมุมก็เถียงข้างๆ คูๆ เช่นนี้
ณิรชาเม้มริมฝีปาก ยื่นแขนกะให้อีกฝ่ายดูให้เต็มตา
“ดูนี่สิ! ฝีมือใครกัน ลืมแล้วหรือ” ตรงแขนมีรอยแผลเป็นยาวจางๆ
“อ้าว! ก็หายดีแล้วนี่!” ชายหนุ่มชำเลืองมองแวบหนึ่งก่อนที่จะเบือนหน้าหนี โชคดี ถ้าคนอื่นมาเห็นคงแค่เข้าใจว่าเขากำลังคุยกับเด็กชายชาวบ้านอยู่ ไม่ใช่กำลังเพ่งพิศผิวนวลผ่องเช่นนี้
“จะบอกให้นะ รอยแผลนี้มันติดตัวฉันไปอีกไกลเลย แต่คำ ‘ขอโทษ’ สักคำยังไม่เคยได้ยิน” เจ้าตัวยังยื่นมาใกล้อีก เอานิ้วจิ้มไปที่แนวแผลเป็นการย้ำเตือน กะจะเอาเรื่องที่ผ่านไปตั้งแต่ปีมะโว้ให้ได้
ชายหนุ่มอึ้ง ถึงกับเถียงไม่ออก คนเราหนอ…เวลาจะเอาอะไรให้ได้ก็เป็นอย่างนี้ ทำเป็นลืมหมดว่าขุนอรรถเดชาราชนั้นเคยทำอะไรให้บ้าง
ไหนจะควบม้าไปไกลถึงเขตสุพรรณบุรีเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากหลวงตา หรือการแอบสนับสนุนเรื่องการไปเรียนเพลงดาบที่บ้านขุนพิชิตศาสตราล้วนเป็นเขาทั้งสิ้น
“เอาเท้อ! ถ้าท่านช่วยเราเรื่องพี่ดวงอย่างที่ขอ เรา…จะยกโทษให้” หญิงสาวพูดเองเออเองเสร็จสรรพ
“จะว่าอย่างไรเล่า” เจ้าหล่อนถามย้ำเพราะคิดว่าพอมีแต้มต่อ
ขุนอรรถกอดอก อยากจะหัวร่อนัก จริงอยู่ ถึงไม่ได้ขอโทษหากอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขอโทษเช่นกันนี่นา อีกอย่างตอนนั้นเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ แม่ตัวดีต่างหากที่ทำให้เสียการงาน
ชายหนุ่มส่ายหน้าระอา คร้านจะต่อกรกับคนหาเรื่อง “เราไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ชอบคนข่มขู่ด้วย”
เออ…แม่หญิงไพลินผู้นี้ช่างเอาแต่ใจตัวเองนัก คิดว่าจะสั่งให้ใครทำอะไรให้ก็ได้อย่างนั้นหรือไร
“ดี! เล่นตัวดีนัก” หญิงสาวเท้าเอว บ่นยาว ”อุตส่าห์มาหาถึงบ้าน มาขอความช่วยเหลือ ยังต้องมาเจอคนแล้งน้ำใจอีก”
ขุนอรรถเลิกคิ้วกับคำกล่าวหาแปลกๆ หากยังพอเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้น
“ก็ด้าย! ฉันไม่ขอให้ท่านช่วยเหลือก็ได้ รู้ซึ้งอยู่แล้วว่าท่านน่ะแล้งน้ำใจ ไม่ว่าจะขอร้องอย่างไร ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร ขุนอรรถเดชาราช ท่านผู้กล้าแห่งกรุงศรีอยุธยาผู้ยึดมั่นกฎเกณฑ์เคร่งครัดคงไม่ช่วยหรอก ฉันหาทางเองได้ ถึงแม้พี่ดวงโกรธ ฉันก็จะทำ!” ปลายเสียงสั่นเล็กน้อยเมื่อนึกว่าตอนนี้ยังถูกพี่ชายโกรธอยู่ ถ้าไม่มีคนช่วยก็คงต้องหัวเดียวกระเทียมลีบ
“นี่…แม่หญิงไพลิน” ขุนอรรถค้านไม่ทันเลยเมื่อถูกว่าเอาฉอดๆ แบบนี้
ความอาทรที่มีต่อพี่ชายนั้นคงมีมากยิ่ง แต่ที่ทำเอาไว้ก็มากจนผู้คนขยาดไปทั่ว แล้วใครจะเชื่อใจ
“ฉันลืมไปว่าท่านไม่ถูกกับฉัน จะมีน้ำใจมาช่วยได้อย่างไร เมื่ออยากช่วยพี่ดวง ฉันจะทำเองก็ได้ ถือเสียว่าฉันไม่ได้มาหาท่าน มาขอร้องท่านก็แล้วกัน ลาแล้วเจ้าค่ะ”
แทนที่ณิรชาจะยกมือไหว้ หญิงสาวกลับใช้วิธีถอนสายบัวแทน ทั้งโกรธทั้งอาย อุตส่าห์มาขอร้องถึงที่ ยังเก๊กท่าไม่เลิกอีก อีตาบ้า! หล่อนเดินจ้ำหนี แต่แขนแข็งแรงข้างหนึ่งกลับรั้งเอาไว้
“นี่…เดี๋ยวก่อน แม่หญิงไพลิน” ตอนแรกมือที่กำข้อแขนยังแน่นอยู่ หากเจ้าตัวรีบคลายออก
ณิรชามองขุนอรรถด้วยหางตาแล้วค้อน ที่ผ่านมาไม่เคยทำหรอก แต่สรีระของแม่หญิงไพลินยังพอเอื้อให้น่าเอ็นดู
“ท่านไม่ช่วยแล้วยังจะมารั้งกันทำไมอีก ปล่อยให้ฉันไปจัดการตามทางของฉันเองเถอะ” เสียงทอดถอนหายใจระคนตัดพ้อ
แววตาที่เคยกร้าวลึกวะวับเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุกที่ได้ทำให้แม่หญิงไพลินขัดเคืองใจบ้าง คงมีแต่เขากระมังที่คอยขัดอยู่เสมอ แต่หาใช่เพราะแค้นเคืองฝังใจอย่างที่ถูกกล่าวหาอะไรไม่
สิ่งไหนควร…ก็ทำให้ สิ่งไหนไม่ควร…จะสนับสนุนได้อย่างไร
“จัดการเองงูๆ ปลาๆ สุดท้ายก็ไม่เป็นเรื่องเหมือนที่ผ่านมา พี่ดวงเขาเคืองเจ้านักหนาไม่ใช่หรือ แล้วจะยิ่งพานโกรธใหญ่ ช่วงนี้ยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย”
หญิงสาวหน้างอ นึกถึงเรื่องถูกพี่ชายโกรธแล้วอยากร้องไห้เป็นกำลัง หมดแรงทำดื้อด้านจนต้องนั่งแปะขัดสมาธิลงบนพื้นที่ยืนอยู่ มือสองข้างเท้าค้ำคางหน้าตากลุ้มใจ
“อ้าว! นั่งทำไมตรงนี้ ไม่งามนัก…” ชายหนุ่มหันซ้ายขวาแล้วต้องย่อตัวนั่งลงตาม จนใจเพราะรู้ฤทธิ์ของอีกฝ่ายดี แม้จะคนละรูปแบบกับที่ผ่านมาก็เถอะ แต่ทำหน้าอับจนแบบนี้ เดาทางยากยิ่งว่าจะมาไม้ไหน
“บอกเรามา ที่เจ้าทำอย่างนี้ ต้องการอะไรกันแน่ แม่หญิงไพลินที่เรารู้จักเดิมไม่ปรารถนาจะให้พี่ดวงกับแม่นวลได้สมรักกัน ทั้งยังกลั่นแกล้งแม่นวลสารพัดด้วยอำนาจที่เหนือกว่า จำได้ไหมว่าเจ้าจ้างคนไปพังร้านแม่นวล หนำซ้ำยังให้พวกนั้นข่มขู่สารพัด เจ้าร้ายกาจกับพวกเขานักหนา มาตอนนี้ต้องการทำดีจริงๆ หรือมีแผนอะไรถึงจะไปดีกับแม่นวลในเวลาที่สายไปแล้ว”
คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้า ปลงเสียมากกว่า
“ที่จริงฉันจำไม่ได้หรอกว่าทำอะไรร้ายๆ กับพี่นวลไปแล้วบ้าง แต่พี่อ่อนเล่าให้ฟังบางเรื่องแล้ว” หญิงสาวเสียงอ่อย คอตก ถึงตอนนี้จะดีขึ้นมาบ้างก็เถอะ เคยร้ายเสียขนาดนั้น แม้กระทั่งอ่อนยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แล้วนี่ขุนอรรถคนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดแบบนี้ยิ่งแล้วไปใหญ่
“ฉันรู้ว่าทำไม่ดีเอาไว้…ฉันแก้ไขอะไรไม่ได้… พี่ดวงถึงกับอธิษฐานว่าจะไม่ไปพบพี่นวลอีกเพื่อแลกกับการที่ฉันหายป่วย แต่ทั้งสองคนยังรักกันอยู่ ฉันควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนพี่ชายฉันบ้าง อยากให้พี่เขาสุขสมหวังกับคนที่รัก ไม่ได้หวังอะไรให้ตัวเองเลยนะ ขุนอรรถจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ฮึ…ไม่มีใครเชื่ออยู่แล้วนี่”
ชายหนุ่มมองไม่เห็นความโป้ปดในลูกตาสีดำเหมือนแก้ว อีกทั้งยังใบหน้าเรียวที่เจือความเศร้าสำนึกผิดจริงๆ
หากแม่หญิงไพลินเป็นนักโทษอาชญากรรม คงถึงคราวสำนึกผิดสารภาพแล้วกระมัง
แต่ก็ยังนึกหาทางให้ไม่ออก เพราะแต่ละคนมีปมอยู่หลายเงื่อนนัก
“พี่ดวงเป็นคนยึดมั่นในคำพูดนัก ถึงอย่างไรคงไม่ไปหาพี่นวลแน่ อีกอย่างหากทำเช่นนั้นคงเกรงว่านอกจากเภทภัยจะตกแก่ตัวเองแล้วจะลามไปถึงตัวเจ้า” ศักดิ์ศรี สัจจะวาจานั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ จะมาแปรเปลี่ยนกันโดยง่ายนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับชายชาตรีอย่างหลวงเสนาสรศักดิ์
“พี่ดวงไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ฉันไม่กลัว หากอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ นั่นก็เป็นเพราะเวรกรรมของฉันเอง แม้พี่ดวงก็ไม่อาจช่วยได้” เรื่องนี้หล่อนรู้แจ้งแก่ใจแต่ไม่กล้าปฏิเสธร้อยเปอร์เซ็นต์ บางทีแรงอธิษฐานของคนโบราณนั้นอาจจะแรงกล้ายิ่งเกินกว่าที่คนสมัยใหม่จะสัมผัสได้ การสร้างสมบารมีแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ในยุคของหล่อนคำสัญญาหรือสาบานนั้นไม่มั่นคงหนักแน่นดั่งขุนเขาอีกแล้ว คงเป็นเพราะความสับสนวุ่นวายจนสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ลมปากที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อถืออีกต่อไป
“แต่…หลังจากพี่ดวงอธิษฐานแล้ว อาการของเจ้าก็ดีมาเป็นลำดับ จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้ รู้ใช่ไหมว่าคนที่ทำเช่นนี้ได้ต้องถือว่ามีสัจจะบารมีอยู่กับตัวมากพอควร” สีหน้าของเขามีแววครุ่นคิด
“แต่ที่ผ่านมาฉันยังหาเรื่องใส่ตัว ต้องนอนซมอีกครั้งจนต้องให้หลวงตามาช่วยไม่ใช่หรือ”
ณิรชาพอจะเดาได้รางๆ อาจเป็นเพราะหลวงเสนาสรศักดิ์ถึงทำให้หล่อนต้องมาที่นี่ แต่ที่เจ็บป่วยไปอีกรอบเพราะตัวเองทำตัวเอง เมื่อปฏิเสธร่างกายที่อาศัย จิตย่อมไม่สามารถผูกติดกับร่างจนเกือบจะเป็นสัมภเวสีไม่มีที่อยู่แล้วจริงๆ
ที่จริงความเกี่ยวพันระหว่างหล่อนกับแม่หญิงไพลินนั้นยังต้องค้นหาคำอธิบายอีกมากมาย ที่วิญญาณต้องวนกลับมาอยู่ที่นี่อาจจะไม่ใช่แค่เพราะหลวงเสนา อาจไม่ใช่เพราะแม่หญิงไพลิน แต่อาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แรงกล้ากว่านั้น
“นั่นสินะ เจ็บป่วยครั้งล่าสุดนี่เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองจริงๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนี้เจ้าก็ยังอยู่ดีอยู่ไม่ใช่หรือ พูดได้ กินได้ หาเรื่องใส่ตัวได้” ขุนอรรถช่างไม่ถนอมคำพูดเจ็บๆ เอาเสียเลย
หล่อนตาขวางพยายามไม่โต้ตอบ กลัวว่าเขาจะไม่ช่วย “แล้วจะทำอย่างไรเล่า ขุนอรรถช่วยด้วยสิ ท่านน่าจะพอมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง”
“ไม่มีใครเขาเอามาถ่ายทอดกันหรอก ประเดี๋ยวผู้คนจะถอนคำสาบานกันวุ่นวาย ถ้าสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ควรไปถอนต่อหน้าท่าน ควรถือศีลแปดและทำกรรมดี แต่พี่ดวงนั้นนับว่าถือศีลเป็นประจำอยู่แล้ว เจ้าคงต้องถือศีลแปดให้พี่ดวงบ้าง แต่ก็ไม่แน่ว่าพี่ดวงจะยอม…” เห็นแก่ลูกตาดำๆ มีแววรู้สึกผิดหรอก หวังว่าเขาคงจะไม่ถูกเด็กหลอก
คนที่ฟังคำแนะนำดูจะเห็นด้วย พยักหน้าหงึกๆ “อืม อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยได้”
ที่ผ่านๆ มา โลกของณิรชามันวุ่นวายสิ้นดี ศีลห้ายังท่องไม่ค่อยได้ ทำไม่ค่อยครบเลย แล้วจะว่าไกลไปถึงศีลแปดได้อย่างไร
“ว่าแต่… ศีลแปดนั้นต้องทำอย่างไรล่ะนี่” แม่หญิงไพลินรำพึงกับตัวเอง หากนั่นกลับทำให้ขุนอรรถจ้องมองหน้าหล่อนด้วยสายตาแปลกๆ
หรือว่า…คนโบราณควรทราบเรื่องนี้ดีกระมัง
หรือไม่…เขาคงคาดหวังว่าแม่หญิงไพลินจะทราบ
เถอะ…สงสัยต้องไปแอบถามหลวงตาตามเคย!
บทที่ 14 รักแท้
เรื่องการถอนคำสาบานของหลวงเสนาสรศักดิ์เป็นเรื่องยากมากสำหรับณิรชา เพราะหญิงสาวไม่ทราบอะไรเลย ข้อความที่สนทนากับขุนอรรถจึงถูกนำมาถ่ายทอดให้อ่อนฟัง
“ถือศีลแปดไม่ใช่เรื่องยากหรอกเจ้าค่ะ แต่จะทำให้คุณพี่ใจอ่อนหรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเจ้าของเขาไม่ยินยอมพร้อมใจก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้”
“นั่นสิ… ถามหลวงตาแล้วท่านว่าแค่ให้พี่ดวงยินยอมก็จบเรื่องแล้ว” จะไปเซ้าซี้ให้ท่านช่วยทุกเรื่องคงไม่ได้
คราวนี้ต้อง ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ’ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจริงๆ
“บ่าวว่าไม่ใช่คุณหลวงท่านเดียวนะเจ้าคะ ยังมีท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงอีก ต่อแรก…ท่านต้องไม่เห็นด้วยที่คุณหลวงจะทิ้งคำสาบานแน่ๆ ต่อที่สอง…เรื่องยอมรับแม่นวลอีก เพราะแม่หญิงใส่ความเอาไว้ไม่น้อย ต่อที่สาม…ก็เรื่องความสมหน้าสมตา ดูอย่างไรแม่ค้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็ไม่คู่ควรกับคุณหลวง เรื่องมันพัวพันกันนะเจ้าคะ”
เพื่อนคู่คิดอธิบายเป็นฉากๆ จนเห็นภาพ จะว่าไปปมทั้งหมดนี่เป็นเพราะแม่หญิงไพลินเป็นผู้สร้างทั้งนั้น คงจริงดังขุนอรรถว่า ปมบางปมแก้ไม่ออกเพราะเป็นเงื่อนตาย
“ฉันคงต้องแก้จากเรื่องง่ายๆ ก่อน อย่างน้อยฉันก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่มองพี่นวลในแง่ดีบ้าง”
“ต้องสุดแต่โวหารของแม่หญิงล่ะเจ้าค่ะ บอกตามตรง บ่าวก็กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับแม่หญิง น่าจะปล่อยให้เรื่องผ่านแล้วผ่านไป ไม่อยากให้ไปฝืนเลย” พี่เลี้ยงหน้าเศร้า ค้านมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว จนชวนเจ้าปลั่งแอบออกไปหาขุนอรรถ ถึงต้องทำใจ ขอให้ได้รับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังดีกว่าไม่รู้ความอะไรเลย
“โวหารจริงๆ ฉันไม่มีหรอก มีแต่หัวใจเท่านั้น ถึงตอนนี้ฉันยังซาบซึ้งใจที่พี่ยังมีน้ำใจช่วยฉันหลายเรื่อง” หล่อนบอกพี่เลี้ยงจากหัวใจที่แท้จริงของณิรชาเลยทีเดียว และแน่ใจว่าแม่อ่อนจะไม่ขัดแม่หญิงไพลินเหมือนกับที่พรรณพิลาศไม่เคยขัดณิรชา
“เพราะที่ผ่านมาแม่หญิงของบ่าวดวงแข็งนัก คิดดูสิเจ้าคะ แม่หญิงฟื้นคราวล่าสุดบอกว่าหลวงตาไปตาม บ่าวนี่ขนลุกเลยนะเจ้าคะ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ รู้ๆ อยู่ว่าท่านขุนอรรถอุตส่าห์ขี่ม้าไปส่งข่าวให้หลวงตาอยู่ทนโท่”
เพราะความที่เพิ่งฟื้นใหม่ๆ ยังมึนงงทำให้หลุดปากว่าหลวงตาไปตาม ทั้งที่จริงตัวท่านยังอยู่สุพรรณบุรี ตอนหลังถึงได้กลัวว่าญาติพี่น้องคนอื่นจะตกใจ เลยบอกไปแต่ว่าฝัน ความจริงนั้นจึงถูกเก็บงำไว้เฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้น
“เพราะยังไม่ใช่คราวของฉันน่ะสิ นี่แน่ะพี่อ่อน…คนเราถ้าหมดบุญ ต่อให้เสี้ยนตำก็ตายได้เหมือนกัน” ณิรชาไม่ได้ยกตัวอย่างชัดๆ อย่างแม่หญิงไพลิน ร่างนี้ตกบันไดหัวแตกนิดเดียว นอนป่วยเป็นแรมเดือน อยู่ดีๆ ก็จากไปง่ายๆ โดยไม่ทันได้ล่ำลาใครเลย หนำซ้ำจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าเจ้าหล่อนได้สิ้นบุญไปเสียแล้ว ทำบุญทีไรก็กรวดน้ำให้เจ้าหล่อนแล้วเผื่อให้ตัวเองทุกที
เพราะแท้จริงแล้วในโลกของตัวเอง คงต่างเสียชีวิตแล้วทั้งคู่
“ดู๊ดู ฟังพูดเข้า รู้จักเปรียบเปรย”
“แต่คำพูดของฉันคงช่วยอะไรไม่ได้กับคุณพ่อคุณแม่และพี่ดวง”
มือของอ่อนจับมือของนายหญิงไว้แล้วเอาไปแตะที่หัวใจ “ลองพยายามสิเจ้าคะ สิ่งหนึ่งที่บ่าวเชื่อว่าจะไม่มีอะไรมาทำอันตรายแก่แม่หญิงได้ เพราะแม่หญิงทำด้วยด้วยกุศลเจตนา ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง จิตใจที่ดีงาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครอง”
เพราะคำปรึกษาของอ่อนทำให้ณิรชาตัดใจข่มความกลัวว่าจะถูกเคืองเพราะหาแต่เรื่องปวดหัวมาให้พ่อแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หญิงสาวถือพานดอกไม้ธูปเทียนคลานเข้าไปหาท่านทั้งสองในขณะที่หลวงเสนาสรศักดิ์อยู่ด้วย พี่ชายคนโตส่งสายตาดุมาให้ข้ามห้องเมื่อเห็นชัดว่าหล่อนไม่เลิกล้มความตั้งใจในเรื่องที่เขาขู่ไป กลัวก็กลัว เกรงว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตเหมือนคราวก่อน เพราะคิดอีกทีว่าดีเหมือนกัน พูดกันให้ชัดๆ ถ้าจะโกรธกันก็โกรธกันยกครัวนี่แหละ!
แต่คราวนี้หล่อนจะสู้ ตั้งหลักอยู่ที่นี่ ไม่ยอมตัดช่องน้อยหนีไปเป็นสัมภเวสีล่องลอยอยู่ภพภูมิอื่นแน่ๆ
“อ้าว! ไพลิน เอาพานดอกไม้ธูปเทียนมาทำไม รึ…เจ้าไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้” ท่านเจ้าคุณผู้บิดาขมวดคิ้ว เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กคลานเข้ามาอย่างมีพิธีรีตอง
“นั่นสิ เจ้าก่อเรื่องอะไรให้แม่อกแตกตายอีกเล่า” คุณหญิงนึกถึงเรื่องอกสั่นขวัญแขวนแต่ละเรื่องแล้วต้องเตรียมเรียกหายาดมมาเตรียมไว้ก่อน
“หรืออาจเป็นเรื่องที่กำลังจะก่อก็ได้ขอรับ คุณพ่อคุณแม่” คนเป็นพี่…รู้ทันเสมอ
ถ้าเป็นเวลาอื่น ณิรชาจะทำหน้ายู่ใส่เขาให้สมใจ หากตอนนี้จำต้องทำหงอยเอาไว้ก่อน
ชายหนุ่มสั่งให้อ่อนและบ่าวคนอื่นลงไปข้างล่างเพื่อที่จะอยู่กันตามลำพังพ่อแม่ลูก หน้าเคร่งดุไม่มีแววใจดีเหลืออยู่ นี่กระมังที่ขุนอรรถว่า กับผู้ใต้บังคับบัญชา…ยามธรรมดานั้นดีใจหาย แต่ยามเข้มงวดแล้ว แม้แต่ขุนอรรถยังต้องเก็บปากเก็บคำ
“ลูกมาขอขมาคุณพ่อคุณแม่และพี่ดวงเจ้าค่ะ”
ทั้งสองท่านหน้าฉงน ณิรชาจึงรีบขยายความ “คุณพ่อคุณแม่เจ้าคะ ลูกนั้นรู้ว่าตัวเองร่างกายไม่ปกตินัก ตอนที่ล้มป่วยตกบันไดไปคราวนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็เห็นว่าลูกเลอะเลือนจำอะไรก่อนหน้านั้นไม่ได้” หญิงสาวกลืนน้ำลาย พยายามลากเรื่องให้ตรงประเด็น
“ตอนนี้ลูกเพิ่งทราบความบางอย่างเกี่ยวกับ…คำสาบานของพี่ดวง”
“คำสาบานของพ่อดวง…อืม” คุณหญิงและท่านเจ้าคุณรับทราบอยู่ พี่ทำให้น้อง ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ
“ลูกคิดว่า… ลูกจะไม่ขอรับคำสาบานของพี่ดวง และจะขอถือศีลแปดให้ถึงสิบวันเพื่อการนี้เจ้าค่ะ” เจตนานั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าเพื่อให้หลวงเสนานั้นกลับไปรักใคร่ชอบพอกับแม่นวลได้ตามที่เขาต้องการ
“ไพลิน!” หลวงเสนาส่งเสียงในคอเป็นการปราม
“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้ายังขืนดื้อดึง พี่จะส่งเจ้ากลับเข้าวัง”
“ฉันก็ยินดีจะกลับเข้าวังตามคำสั่งของพี่โดยไม่ขัดขืนหรือตัดพ้อใดๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงแต่…พี่ยอมรับคำของฉัน ให้ฉันล้างคำสาบานของพี่…ได้ไหมล่ะ” หญิงสาวตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้ความเป็นความตายของแม่หญิงไพลินมาเป็นโซ่ตรวนผูกรัดใครอีก หากนี่จะเกิดกุศลจริงๆ อย่างที่อ่อนว่า ก็จะขอส่งผลบุญนี้ให้กับแม่หญิงไพลินตัวจริงที่จากไปแล้ว จะได้ไม่มามีเวรมีกรรมกันอีกต่อไป
“เดี๋ยวก่อน พี่น้องสองคน พูดคุยอะไรกัน พ่อแม่ไม่เข้าใจ แล้วอะไร พ่อดวงจะส่งน้องกลับเข้าวังรึ”
ผู้เป็นบิดารีบห้ามทัพก่อนที่จะมีการทะเลาะกันอีกเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นก่อนที่ลูกสาวคนเล็กจะล้มป่วย
ผิดกันตรงที่ผ่านมา คนที่เอาแต่เงียบไม่ต่อล้อต่อเถียงน้องสาวคือหลวงเสนา มาคราวนี้กลับเป็นฝ่ายข่มขู่คาดคั้นผิดวิสัย
“แม่ไพลินสิขอรับ คุณพ่อคุณแม่ก็ทราบว่ากระผมตั้งสัตย์อะไรเอาไว้ และไม่เคยผิดคำมาโดยตลอด จู่ๆ ก็รบเร้ากระผมให้ไปถอนคำสาบาน พร่ำเพ้อว่าแม่ไพลินก่อนหน้านั้นกับแม่ไพลินตอนนี้ไม่เกี่ยวกันแล้ว หนำซ้ำยังไปลากขุนอรรถมาเป็นพวก นี่ถึงขั้นริจะถือศีลแปดเพื่อล้างคำสาบานอีก” พอน้องสาวว่าจะถือศีลแปดให้ หลวงเสนาก็ทราบทันทีว่ามีใครเป็นพวกบ้าง คนที่ถือตำราเล่มเดียวกันมีไม่กี่คนหรอก
ชายหนุ่มยังไม่ได้สาธยายว่าถึงขั้นวางแผนขนบ่าวไพร่มาทำเล่ห์กลให้เขาได้พบกับนวลตามลำพัง ใครจะรู้ถึงความเจ็บปวดที่เขาพยายามเก็บกักมานานนักหนาต้องถูกสะกิดออกมาเป็นแผล
ส่วนนวลเล่า คำนิดก็ไม่เคยกล่าวโทษ เห็นควรตามทุกอย่าง แต่แววตานั้นฉายแสงชัดเจน หากแม้จะอยากก้าวไปหา อยากจะปลอบขวัญเพียงใดก็ทำไม่ได้ เพราะลั่นวาจาเอาไว้ ต้องทำเป็นเมินมองไม่ใส่ใจ
ทั้งโกรธ ทั้งเคือง ทั้งหมดปนอยู่ในความรักความเป็นห่วงน้องอย่างที่สุดแล้ว
“ขุนอรรถก็ด้วยรึ” มารดาขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ปกติที่ทราบเห็นคู่นี้เหมือนเป็นเช่นไฟกับน้ำมัน
คนหนึ่งไม่ใช่น้องแท้ๆ กลับออกหน้าแทนหลวงเสนาตอบโต้ทุกอย่าง
อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องแท้ๆ ก็โกรธเกรี้ยวพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ มาระยะหลังนี้หรอกที่เพลาลงไปบ้าง ท่านเข้าใจว่าที่ขุนอรรถเข้ามาช่วยเป็นธุระให้หลายเรื่องในช่วงหลังเพราะมีไมตรีกันกับพวกท่าน แต่ไม่เคยรับรู้ว่าถึงขนาดพูดจาให้คำปรึกษาคู่แค้นเก่ากันด้วย
“ไม่เชิงหรอกเจ้าค่ะ ลูกไปเซ้าซี้ขุนอรรถเขาเอง” หญิงสาวสารภาพอย่างเก็บปากเก็บคำ
“เจ้าก็ไปเซ้าซี้ก่อกวนเขาหมดทุกคนนั่นแหละ! ไม่ว่าจะเป็นหลวงตา ขุนอรรถ อ่อน หรือแม้กระทั่งไอ้เจ้าปลั่ง เจ้าจุก บ่าวไพร่อื่นๆ ยังพลอยวุ่นวายเดือดร้อนเพราะเจ้า” พี่ชายกระแทกเสียงอย่างขุ่นใจเต็มที ลงถ้าเอามาสอบสวนทวนความผิด คงต้องทำโทษบ่าวหมดทั้งบ้าน แม่ไพลินมีอะไรดีนะถึงได้รู้เห็นเป็นใจกันนักทั้งนายทั้งบ่าว อ้อ…ขุนอรรถอีกคน แต่ก่อนไม่เคยเห็นเป็นเช่นนั้น
“โธ่! พี่ดวงก็…” หญิงสาวคอหด…แหม…พูดเหมือนตาเห็น เรียงชื่อได้เกือบครบ
“เอ้อ…ลูกยังมีอีกเรื่องที่จะเรียนให้คุณพ่อคุณแม่ทราบ” ไหนๆ ก็สารภาพแล้ว ม้วนเดียวจบไปเลยดีกว่า
“เรื่องพี่นวลที่ลูกเคยใส่ความจนคุณพ่อคุณแม่รังเกียจพี่เขามากมาย ที่จริงแล้วลูกโป้ปดมดเท็จใส่ไคล้เองทั้งหมดเจ้าคะ พี่นวลไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกพูดเลย แล้วลูกยังเคยส่งคนไปทำร้ายพี่นวลอีก ให้คนไปแกล้งล่มเรือ… ให้คนไปพังเพิงขายของ… จ้างนักเลงไปข่มขู่…”
สองสามเรื่องหลังนี้ท่านเจ้าคุณหันไปหาคุณหญิงเป็นเชิงถามไถ่ทันที ท่านเป็นชายชาตรี ถึงอย่างไรก็มีเกียรติพอที่จะไม่รังแกคนอ่อนแอกว่า ยิ่งท่านทราบอยู่แล้วว่าแม่นวลนั้นตกทุกข์มาจากพม่าเผาแพชาวบ้านเป็นทะเลเพลิง ครอบครัวสิ้นหมด จะไปซ้ำเติมกันอย่างนี้ได้อย่างไร เมื่อไม่สมฐานะกันอย่างมากก็แค่ไม่ยุ่งเกี่ยวสุงสิง
“เปล่านะคะท่านเจ้าคุณ อิฉันไม่รู้เรื่องนี้เลย ไม่เคยสอน” คุณหญิงพลอยศรีรีบปฏิเสธทันควัน ไม่ทราบเช่นกันว่าแม่หญิงไพลินนอกจากจะเฆี่ยนตีทาสประชดพี่ชายแล้วยังทำตัวราวนักเลงโตอีก ถ้าทราบอย่างนี้แต่ทีแรก จะไม่แปลกใจเลยที่แม่ลูกสาวตัวดีเริ่มคิดจะไปเรียนฟันดาบ
“ยังมีอีกไหม แม่นักเลงโต แม่อันธพาลตัวดี” คราวนี้คุณหญิงคาดคั้นด้วยตัวเองก่อนจะเอายามาดมด้วยเกรงว่าจะมีมากกว่านี้
“ยังมีอะไรอีกไหมล่ะพี่ดวง…ฉันจำ…ไม่…ได้…” ณิรชาชำเลืองไปที่พี่ชายอย่างเกรงๆ เท่าที่ทราบมาจากอ่อนและขุนอรรถมีเท่านี้นี่นา
“หึ…คงจะมีเท่านี้ เพราะเจ้าบังเอิญตกบันไดเสียก่อน” ชายหนุ่มเมินหน้า ไม่อยากเท้าความหรอกว่าก่อนที่จะตกบันไดไม่กี่ชั่วยาม แม่หญิงไพลินยังประกาศจะจองล้างจองผลาญแม่นวลจนถึงที่สุด
แล้วใครเขาจะเชื่อว่ายามฟื้นขึ้นมาจะลืมเลือนได้หมดสิ้นเช่นนี้
“ว่าอย่างไร คุณหญิง” ท่านเจ้าคุณถอนใจ ไม่ต้องฟังทั้งหมดหรอก เพราะคงยาวเป็นหางว่าว แค่จับใจความแค่นี้ท่านก็เข้าใจ
“อิฉันพูดไม่ออก บอกไม่ถูกเจ้าค่ะ ใครสั่งใครสอนเจ้านะแม่ไพลิน โอ๊ย! แม่จะเป็นลม” คุณหญิงยกมือทาบอก แล้วทั้งสองท่านก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่างคนต่างพูดไม่ออกเช่นกัน
“คุณพ่อคุณแม่เจ้าขา เพราะเดิมนั้นลูกมีแต่โมหะ เคยคิดแต่จะเอาชนะ เลยทำให้ตัวเองต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด และนับจากนี้…ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ คนเรายังมีเคราะห์กรรมของตัวเองที่ต้องเผชิญ ลูกคงไม่อาจให้พี่ดวงหรือใครๆ มาทำสัตย์สาบานเพื่อแลกกับชีวิตลูกไปได้เรื่อยๆ หรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวอาศัยธรรมะที่สนทนากับหลวงตามาประดิดประดอยจนคิดว่าคงพอจะฟังเข้าท่าบ้าง ท่านคงทราบว่าธรรมะที่ให้มานั้นคงต้องกับนิสัยของหล่อนที่จะนำไปใช้ได้
“ลูกรู้ว่าลูกทำผิดพลาดและอยากจะแก้ไขเหลือเกิน หาไม่แล้วบาปกรรมนั้นคงตามติดเป็นเงาตามตัว จะมีทางไหนที่ลูกจะทำเพื่อพี่ชายของลูกได้ ถ้าแลกกับความสุขของพี่ดวง จะให้ลูกเลิกฟันดาบแล้วกลับเข้าวังอย่างที่คุณแม่ต้องการ ลูกก็จะทำ” ที่พูดมานี่เรียกว่ากลั่นมาจากหัวใจทีเดียว
“ลูกยอมรับผิดและยินยอมรับโทษทุกประการเจ้าค่ะ ขอเพียงนับจากนี้ไปขอให้พี่ดวงยอมให้ลูกคืนคำสาบาน ส่วนเรื่องพี่นวลนั้นก็ขอให้คุณพ่อและคุณแม่ได้พิเคราะห์ตามเห็นสมควรเถิดเจ้าค่ะ ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าพี่สะใภ้ของลูกจะเป็นใคร หรือมาจากไหน ขอเพียงผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดี รัก และพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่ของลูก ที่สำคัญถ้าเป็นคนที่พี่ชายของลูกรัก ลูกก็จะยินดียอมรับและไม่มีข้อกังขาใดเจ้าค่ะ” ณิรชาในร่างของแม่หญิงก้มหน้านิ่ง
ทุกคนต่างพากันเงียบไปชั่วขณะทีเดียว สิ่งที่ทำนี่ย่อมไม่ใช่วิสัยของแม่หญิงไพลินคนเดิมแน่ และไม่มีผู้ใดคิดมาก่อนว่าคนอย่างเจ้าหล่อนจะยอมทำถึงขนาดนี้
จนกระทั่งมารดาหันไปหาบิดาเพื่อขอคำปรึกษา “เรื่องถอนสาบานนั่นเรื่องหนึ่ง เรื่องแม่นวลอีกเรื่องหนึ่ง คิดทีละเรื่องก็แล้วกันนะเจ้าคะคุณพี่”
พอท่านเจ้าคุณพยักหน้า คุณหญิงพลอยจึงมองหล่อนอย่างนิ่งสงบ หมากที่เคี้ยวอยู่ถูกคายออกมาใส่กระโถน
“ไพลิน…มาใกล้ๆ แม่นี่” ผู้เป็นมารดาตบมือที่ตั่งข้างกาย หญิงสาวจึงคลานเข้าไปหา ไม่เกรงว่าจะโดนโกรธใดๆ เพราะเจตนามีอยู่เพียงสิ่งเดียว
คุณหญิงวางมือบนศีรษะของหล่อน “ตั้งแต่เด็กเจ้าเอาแต่ใจตัวเองนักหนา แม่เองก็ตามใจเพราะเห็นว่าเจ้างามน่าเอ็นดู พอเติบใหญ่ก็ไม่เคยค้าน เจ้าเลยได้ใจใหญ่ หากว่าที่ได้ยินเจ้าพูดครานี้ถือว่าเป็นบุญหูของแม่ทีเดียว… การตามใจตัวเองของเจ้าไม่ใช่เพื่อตัวเอง พี่น้องต้องรักกันเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินจากปากของลูกว่าจะเสียสละความสุขความพอใจของตัวเองให้กับคนที่เสียสละให้ลูกตลอดมา”
ถ้าไม่เพราะช่วงหลัง หลวงตาท่านได้เกริ่นเอาไว้ว่าจะมีเรื่องต่างๆ ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกมากมายแล้ว คุณหญิงพลอยศรีคงทำใจยากนัก ท่านผู้ทรงศีลเป็นอาของคุณหญิง อย่างน้อยก็เคยว่ากล่าวสั่งสอนกันแต่เล็ก ต่อให้ไม่เชื่อใคร แต่บรรพบุรุษสั่งสอนเอาไว้ให้เชื่อฟังญาติผู้ใหญ่ หนำซ้ำท่านยังเป็นพระที่มีบารมีอยู่ไม่น้อย
ไม่นับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นอีก ระยะหลังท่านจึงนิ่งเสียแล้วคอยเฝ้าดูโดยไม่กระโตกกระตากใดๆ
“แต่…ต่อให้แม่นวลจะดีอย่างเจ้าว่าอย่างไร ถ้าต้องแลกกับชีวิตของลูกแม่ทั้งสองคน แม่เห็นทีจะไม่กล้าเสี่ยง”
“คุณแม่…” ณิรชารู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่ท่านไม่ยินยอม
คราวนี้ท่านเจ้าคุณกล่าวเสริม “ทั้งนี้…พ่อกับแม่ก็ไม่อยากให้ชะตาของแม่ไพลินเป็นตัวถ่วงดวงชะตาของพ่อดวงเหมือนกัน เรื่องนี้แม่ไพลินคงไม่ได้คิดการโดยพลการ ในเมื่อหลวงตาหรือแม้กระทั่งขุนอรรถยังเข้ามาเกี่ยวข้อง แสดงว่าเรื่องนี้น่าจะพอมีทางออก”
“แหม…อิฉันเห็นด้วยค่ะคุณพี่ นี่แน่ะ พ่อดวง…แม่ไพลิน คุณพ่อท่านหาทางออกให้แล้วนะ พี่น้องจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันอีก” คุณหญิงพลอยศรีสนับสนุนท่านเจ้าคุณ ท่านไม่เห็นด้วยนั้นจริง แต่ถ้ามีทางออก ท่านย่อมไม่ขัดข้อง
“คุณพ่อ! คุณแม่!” คราวนี้หลวงเสนาร้องขึ้นมาบ้าง
ในขณะที่ณิรชาใจชื้น…อย่างน้อยยังพอมีทางออก
“ถ้าคืนคำสาบาน ใครเขาจะเชื่อถือขอรับ ถ้าถอนครั้งแรกได้ ครั้งที่สองที่สามก็ต้องตามมาได้…แล้วทีนี้ ตัวเองจะเชื่อถือตัวเองได้อย่างไร” ชายหนุ่มขัดที่หัวใจยิ่งนัก คุณหญิงพลอยศรีนั้นเคยชื่นชมอย่างยิ่งที่เขายอมแยกจากนวลมาได้ ไฉนท่านถึงไม่คัดค้านท่านเจ้าคุณให้เด็ดขาดไป กลับทิ้งทางเลือกเอาไว้อีก
น่าหมั่นไส้แม่น้องสาวนัก เห็นก้มหน้างุดอย่างนั้น ซ่อน…ความเจ้าเล่ห์ไว้ล่ะสิ
หลวงเสนานั้นลืมคิดถึงตัวเองไป
เพื่อคนที่รักจะให้เปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม อย่างไหนที่ทำเพื่อคนที่รัก ย่อมแลกได้เสมอ พ่อแม่ย่อมเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
สำหรับคุณหญิง ใช่ว่าท่านจะรักแต่แม่หญิงไพลินเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อลูกสาวได้รับโทษและรางวัลไปแล้ว ลูกชายคนโตก็ควรได้รับบ้าง หากท่านไม่ถึงกับยินยอมพร้อมใจทั้งหมด เมื่อท่านเจ้าคุณมีทางเลือกให้ย่อมเห็นชอบแล้ว
“พ่อดวง… สุดแต่เจ้าเถอะนะ พ่อกับแม่อยากให้เจ้าไปเรียนปรึกษาหลวงตา หรืออาจารย์ท่านใดที่เจ้านับถือ ส่วนเรื่องแม่นวลนั้นจะเอาอย่างไรค่อยว่ากันอีกที”
“เรื่องนี้แม่ขออย่างเดียว ต้องแน่ใจว่าลูกของแม่สองคนปลอดภัยก่อน”
หลวงเสนาสรศักดิ์เห็นแล้วว่าพูดต่อไปคงไร้ประโยชน์ ท้ายสุดแล้วคนที่ต้องตัดสินใจคือตัวเอง แม่ไพลินนี้ช่างเอาแต่ใจตัวไม่เลิกรา ที่น่าแปลกตรงที่คราวนี้ความเอาแต่ใจตัวจะเอาให้ได้นั้นมิได้นำพาความเดือดร้อนให้ใคร ยกเว้นความหนักใจแก่เขาผู้เดียว
ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ “กระผมขออนุญาตไปอยู่วัดสักสองสามวันขอรับ…”
เขาไม่รอคำตอบ กราบบิดามารดาแล้วเดินลงเรือนไปโดยไม่มองหน้าน้องสาว ณิรชาขยับจะตามแต่ถูกท่านเจ้าคุณรั้งไว้
“แม่ไพลิน… อย่าไปบีบคั้นพี่เขามากนัก เรื่องนี้หนักหนาสาหัสยิ่ง พ่อดวงเป็นชายชาตรีจะให้พูดกลับไปกลับมาไม่ได้หรอก พ่อแม่เองก็กลัวว่าจะมีเภทภัย ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ไปอยู่กับหลวงตานั่นดีแล้ว ถ้าคิดเห็นอย่างไรแล้วเราก็คงต้องยอมรับ นะคุณหญิง” ประโยคหลังท่านบอกกับภรรยา
หญิงสาวเห็นว่าถึงที่สุดแล้วอย่างที่พวกท่านกล่าวเลยต้องกดตัวเองลงที่เดิม
แค่นี้ก็ยังดี! ไม่ใช่เพราะหล่อนมีคารมดีอะไรหรอก เมตตาที่มีในจิตใจคนเป็นพ่อแม่ต่างหาก พวกท่านย่อมรู้ซึ้งถึงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้แน่นอน
หลวงเสนาสรศักดิ์ถอนใจหนักเมื่อเห็นว่ามีคนร่างสูงใหญ่มายืนอยู่ใกล้ๆ เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากขุนอรรถเดชาราช น้องชายร่วมสาบาน
ชายหนุ่มหลบมาอยู่ที่วัดได้สองสามวันแล้ว แต่ยังไม่ได้เรียนปรึกษาหลวงตาจริงๆ จังๆ ท่านคงปล่อยให้คิดและตกลงใจก่อน เขาทราบดีว่ายากที่จะตำหนิชายหนุ่มผู้น้องได้ เพราะสิ่งใดที่ขุนอรรถตัดสินใจกระทำแล้วย่อมได้ไตร่ตรองโดยรอบคอบและหากผิดพลั้งเจ้าตัวก็จะยอมรับผลนั้นทั้งหมดอยู่แล้วเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเห็นว่าไม่ควรกระทำ ขุนอรรถคงออกหน้าตำหนิแม่ไพลินไปแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งที่พบกับนวล
ครานี้เพื่อนรุ่นน้องคงเห็นอย่างเดียวกันกับแม่น้องสาวจริงๆ
“พ่ออรรถจะมาเกลี้ยกล่อมเรื่องเดิมอีกล่ะสิ แม่ไพลินไปขอให้มาหรืออย่างไรเล่า” ไม่รู้ว่าแม่น้องสาวไปเป่ามนตร์ใดไว้ ไม้เบื่อไม้เมาอย่างขุนอรรถถึงยอมออกหน้าช่วยเหลือมาหลายครา
“มิได้ขอรับ กระผมได้รับแจ้งจากแม่หญิงไพลินก็จริง แต่ที่มานี่เพราะตั้งใจมาเอง” ขุนอรรถบอกไปตามจริง ไม่มีคำโกหก
“พี่ดวงขอรับ กระผมเห็นว่าในเมื่อแม่หญิงไพลินเป็นผู้ร้องขอเอง เจ้าตัวเขาไม่อยากรับ เราก็ควรต้องเอาคืน”
“พ่ออรรถ ทำเช่นนั้นไม่ได้!” เป็นครั้งแรกที่หลวงเสนารู้สึกขัดใจกับเพื่อนต่างวัย คงเป็นเพราะเริ่มพูดคุยกับแม่ไพลินเป็นแน่แท้ถึงติดนิสัยกันมาได้
หากแทนที่ผู้เป็นน้องจะเคร่งเครียดตาม ขุนอรรถเดชาราชกลับชี้แจงอย่างอารมณ์ดี “กระผมเห็นว่าแม่ไพลินนั้นมีกุศลเจตนาที่ดี เมื่อรับของพี่ดวงจนตัวเองหายรอดตายแล้วก็ไม่อยากรับอีก ที่เหลือให้เป็นเรื่องของต่างคนต่างต้องสั่งสมบุญกรรมกันเอาเอง หากเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเป็นเพราะตัวเอง ในเมื่อคนรับเขาอยากคืนก็ขอพี่ดวงรับไว้เสียเถิดขอรับ” รอยยิ้มของคนเจรจานั้นดูมั่นคงมิใช่ฝืนใจมาช่วย
“พวกเจ้าคิดเป็นเด็กๆ คำสัตย์สาบานนั้นจะคืนคำกันได้เช่นไร แล้วถ้าหากแม่ไพลินมีอันเป็นไปเล่า” เรื่องนี้ร้อนเสียยิ่งกว่าร้อน เจ้าหล่อนช่างอุตรินัก ทีเมื่อก่อนร่ำร้องต้องการทุกสิ่งให้ได้อย่างใจ แล้วคราวนี้กลับจะมาทิ้งง่ายๆ
“อย่ากังวลไปเลยค่ะพี่ดวง ฉันจะรับผิดชอบชะตาของฉันเอง” คนที่แอบอยู่ข้างต้นไม้โผล่ออกมายืนยันซ้ำ หากกรรมคือผลจากการกระทำ หล่อนก็คงต้องเจออีกหลายกรรม
หลวงเสนาเห็นแล้วว่าแม่น้องจอมยุ่งนั้นคงเซ้าซี้ไม่เลิกแน่ “ไพลิน! เจ้ากลับบ้านเถอะ บอกแล้วอย่างไร ต่อให้กี่ร้อยขุนอรรถก็ไม่อาจเปลี่ยนใจพี่ได้หรอก”
ณิรชาแทบจะถอนใจเป็นครั้งที่ร้อย บทจะดื้อ หลวงเสนาสรศักดิ์ก็ช่างดื้อเสียจริง…เหมือนใครหว่า!
อ้อ…คงเหมือนแม่หญิงไพลินโน่นแน่ะ!
เพราะว่าณิรชาออกจะเป็นคนดี ว่านอน สอนง่ายจะตายไป
หญิงสาวก้าวไปยืนอยู่หน้าพี่ชายแล้วพูดอย่างจริงจัง “พี่ดวงน่ะ แน่ใจหรือคะว่าช่วยแม่หญิงไพลินไว้ได้จริง ฉันกลับเชื่อว่าถ้าถึงคราว… ต่อให้หลวงเสนาสรศักดิ์สาบานอีกกี่ร้อยวัดก็ไม่อาจเรียกแม่หญิงไพลินให้ฟื้นคืนได้ และเผลอๆ…เคราะห์ที่พี่พยายามปัดเป่าให้น้องสาวอาจ…กระเด็นกระดอนไปโดนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องด้วยก็ได้”
“ใครล่ะ คนที่เจ้าว่าไม่รู้อีโหน่อีเหน่” คนถามสะบัดเสียงอย่างขุ่นใจ
“ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก คนหนึ่ง…ไปดีแล้ว แต่กลับ…‘ลาก’… อีกคนหนึ่งมา” หล่อนพึมพำลอยๆ โบกมือไป แล้วโบกมือมาให้เขาดู
“…เจ้าพูดจาเลอะเลือนเลื่อนเปื้อนอีกแล้วนะ พอทีเถอะ พี่ไม่อยากฟังเจ้าอีก กลับบ้านไปเสีย”
คราวนี้คนที่หมดความอดทนคือณิรชาที่สบตากับพี่ชายของแม่หญิงไพลินก่อนจะเท้าเอวท้าทาย “หรือ…ต้องให้หลวงตามายืนยันว่าแม่หญิงไพลินที่ยืนอยู่ต่อหน้าพี่ตอนนี้ไม่ใช่แม่หญิงไพลินก่อนล้มป่วยล่ะ” ให้รู้ๆ กันไปเลย
“ไพลิน!” คนเป็นพี่เสียงเข้ม ในขณะที่ขุนอรรถส่งตาเขียวขุ่นมาให้เป็นแรงเสริม ไม่มีใครชอบฟังในสิ่งที่ได้ยิน ชอบบีบบังคับกันดีนัก! ถ้าบอกว่ามาจากรัตนโกสินทร์ยุคดิจิตอลจะยิ่งตกใจใหญ่แน่!
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ดวงเป็นคนหัวดื้อหัวรั้นอย่างนี้” หล่อนบ่นในขณะที่พี่ชายกอดอกหันหลังให้
โชคดีเหลือเกินที่ร่างในผ้าห่มสีฝาดปรากฏขึ้นมาทางพวกหล่อนพอดี
ณิรชารีบเข้าไปกราบพร้อมกับรายงานแกม ‘ฟ้อง’ “หลวงตา ช่วยด้วยเจ้าค่ะ พี่ดวงน่ะดื้อเหลือเกิน”
“ไพลิน มากเกินไปแล้วนะ เจ้าไม่ควรให้หลวงตามายุ่งเกี่ยวกับทางโลก” หลวงเสนาเตือน…อีกแล้ว
“หลวงตาเจ้าขา ช่วยบอกพี่ดวงด้วยเถอะเจ้าค่ะ คำสาบานของพี่ดวงได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ไม่เกิดผลใดกับหลานอีกต่อไป” ณิรชาชิงพูดก่อนที่จะถูกใครต่อใครปิดปาก
ท่านผู้ทรงศีลยืนนิ่งชั่วครู่ก่อนจะคายหมากออก
“เป็นพี่น้องกัน ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้” หลวงตาน้อยพูดสั้นๆ แต่ก็ทำให้ต่างคนต่างเงียบ
“ไปไป๊! พวกเจ้ากลับไปก่อน ปล่อยให้พี่เขาตรึกตรองเอง” ท่านใช้ไม้ตีต้นไม้ใกล้ๆ เหมือนไล่เด็กๆ ที่มาวิ่งป้วนเปี้ยนส่งเสียงดังอยู่แถวนั้น
หญิงสาวกับขุนอรรถซึ่งเงียบมาตลอดจำต้องกราบท่านก่อนจะถอยออกมา หญิงสาวเขยิบไปกระซิบพี่ชาย “พี่ดวง ฉันจะไปถือศีลแปดให้พี่สิบวันล่ะนะ”
ผลก็คือตาดุๆ ส่งมาให้ก่อนจะลุกตามหลวงตาน้อยที่เดินไปก่อน เหลือสองคนคือขุนอรรถกับณิรชา
“คงมาสุดทางได้เท่านี้ล่ะแม่หญิงไพลิน ที่เหลือต้องแล้วแต่พี่ดวงจริงๆ” ชายหนุ่มยังคงมีท่าทีสงบเมื่อเดินไปยังท่าเรือที่อ่อนรออยู่
หญิงสาวพยักหน้า ในเมื่อใครๆ ก็พูดเช่นนี้ คงเห็นทีต้องยอมแพ้กับความใจแข็งของหลวงเสนาสรศักดิ์
“ฉันขอบคุณขุนอรรถมากนะที่เป็นธุระให้” อยากจะบอกว่าซาบซึ้งจากใจจริงก็เกรงว่าจะเป็นการทำตัวสนิทสนมเกินไป เมื่อมีเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันมากขึ้น ย่อมรับรู้ได้ว่าเป็นเช่นไร
ที่จริงณิรชาไม่ได้มีข้อข้องใจเกี่ยวกับขุนอรรถ ขุนอรรถต่างหากที่มีข้อข้องใจเกี่ยวกับแม่หญิงไพลิน!
ทั้งสองฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับเพราะมาเรือคนละลำ ตอนขากลับขุนอรรถยังให้เรือพายตามมาส่งเพราะแม่หญิงไพลินแอบออกมาตามลำพังกับอ่อนและปลั่ง
“ท่านใจดี มีน้ำใจ จริงไหมเจ้าคะ” อ่อนกระซิบกระซาบเมื่อเรือของบ้านคุณพระไกรสีห์ลอยห่างออกไป พร้อมกับคนหน้าดุที่นั่งตัวตรงหลังตรง
หญิงสาวไม่ยอมตอบรับนอกจากอมยิ้ม เห็นล่ะ… ว่ามีน้ำใจ แม้กระทั่งกับคนที่ไม่ค่อยจะดีๆ กันอย่างนี้ยังอุตส่าห์ช่วย แต่ที่ชอบทำเย็นชานี่สิน่าหมั่นไส้นัก ตลอดทางที่พายเรือกลับ ขุนอรรถของอ่อนนั้นหน้าเคร่งตลอดไม่ยอมวอกแวกแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังแค่พยักหน้ารับเมื่อหล่อนไหว้ลา
เอาไว้ถ้าหมดเรื่องของหลวงเสนาก่อนเถอะ จะต้องหาทางทำให้เขาหลุดยิ้มให้ได้เลยเชียว
แต่ถึงกระนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน หญิงสาวก็ได้เริ่มต้นถือศีลแปดตามที่พูดเอาไว้ การปฏิบัตินั้นไม่ยากหรอก หากต้องอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่น วันแรกๆ รู้สึกอึดอัดจนทนแทบไม่ได้เพราะโดยปกติคนเรามักทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ หากวันถัดๆ มาทุกอย่างก็ลงตัว
จนครบกำหนดสิบวันต่อมา หลวงเสนาสรศักดิ์ก็กลับมาบ้าน
“ไพลิน” ชายหนุ่มกวักมือเรียกหญิงสาวที่มารอรับหน้าอยู่แล้ว ในมือของเขามีพานดอกไม้ธูปเทียนตามตำรา
“ไปห้องพระกับพี่” ไม่ต้องอธิบายมาก ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินก็รับทราบว่าพี่ชายของแม่หญิงไพลินได้ข้อสรุปแล้ว
แม้หลวงตาน้อยจะบอกว่าไม่ต้องทำอะไร แต่เพื่อความสบายใจ ชายหนุ่มขอบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ และขอให้หล่อนบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน เรื่องโดยละเอียดนั้นไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เอาไว้ต้องไปแอบถามหลวงตาในคราวหลัง ซึ่งท่านอาจจะไม่บอกตามเคย
หลังจากที่หลวงเสนาสรศักดิ์ยอมถอนคำสาบานกับแม่หญิงไพลินแล้ว ชายหนุ่มยังไม่ได้ตัดสินใจไปหานวลที่ตลาดบางกะจะ แม้แม่น้องสาวจะชักชวนเช่นไรก็ตาม
“พี่ดวงนะ ใจแข็งเหลือเกิน” หญิงสาวบ่นให้ได้ยิน
ดูๆ ไปแม่ไพลินนั้นยังคงแข็งแรง ร่าเริง ออกไปฝึกดาบได้แทบทุกวัน ไม่มีวี่แววเจ็บป่วยให้กังวลอีก ขอให้แน่ใจอีกสักหน่อยเถอะว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
สิ่งที่หลวงตากล่าวนั้นอาจจะเป็นจริงกว่าที่เขาทราบ เพราะท่านย่อมต้องเห็นสัจธรรมมากกว่า
“แน่ใจหรือว่าที่แม่ไพลินหายนั้นเพราะ…ตัวเจ้า พ่อดวง! รึว่าทะนงตน…คิดว่าตัวเองมีบุญบารมีขนาดลากคนมาเป็นมาตายได้ตามใจกระนั้นหรือ” แม่หญิงไพลินเคยพูดทำนองนี้แต่เขาไม่เคยสะเทือน หากนี่หลวงตากลับยกเรื่องเดียวกันนี้มาพูด ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมา
“ทุกอย่างมีเหตุก็ต้องมีปัจจัย แม่ไพลินนั้นอาจมีกรรมของตัวกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว เจ้าไม่อาจยื้อยุดเอาไว้ได้หรอก” ท่านมักจะสอนให้คิดเอง เพราะท่านย้ำเสมอว่าท่านหาใช่จะรู้แจ้งทั้งหมด ถึงจะมีศีล ทาน สมาธิ สูงกว่าฆราวาส แต่ท่านยังคงต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอยู่เช่นเดียวกับพวกเขาอีกไม่รู้กี่ภพชาติ
แม้ว่าหลวงเสนาสรศักดิ์นั้นดีพร้อม สติปัญญาก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร ประกอบกับที่ตัวเขามีศีลธรรมในตัว ทำให้คนรอบข้างล้วนสรรเสริญและยกย่อง เหตุนี้จึงเป็นดั่งมีดสองคม เพราะอีกคมหนึ่งนั้นทำให้เขามีความถือดีในตัว หากยังไม่ยอมละความยึดมั่นถือมั่นนี้บ้าง หลวงตาน้อยเกรงว่าเขาอาจจะไปตั้งสัตย์จนเกินกำลังที่จะรักษาได้ทั้งหมด เมื่อถึงตอนนั้นคงมีเภทภัยตามมาจริงๆ
ถ้าหากหลวงตาไม่เตือนสติ ชายหนุ่มคงคิดว่าชีวิตของแม่หญิงไพลินนั้นขึ้นอยู่กับตนเพียงผู้เดียว ยิ่งตรองยิ่งตระหนักว่าอาการเจ็บป่วยครั้งล่าสุด เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน ถ้าไม่ได้หลวงตาและขุนอรรถ หรือแม้กระทั่ง ‘ใบบอกจากคนนิรนาม’ แม่ไพลินคงต้องสิ้นในคราวนั้น
ชายหนุ่มเกิดความละอายขึ้นมาเมื่อย้อนทวนเรื่องราวทั้งหมด
ท่านเจ้าคุณบิดาคงทราบ ต่อให้ใครสั่งสอนก็คงไม่ทำให้ลูกชายคนโตรู้แจ้งนอกจากหลวงตาผู้ซึ่งสูงล้ำกว่าทุกประการ จึงได้ให้ไปอยู่วัด เพียงหลวงตาเอ่ยไม่กี่ประโยค ประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดกว้าง ความรู้สึกที่ราวกับมีหินที่ถ่วงอยู่ในอกค่อยคลายลง ความพะวักพะวนยึดติดว่าจะรับผิดชอบชีวิตของน้องเพียงผู้เดียวเริ่มเบาบาง
‘คนเรา เมื่อถึงเวลาก็ต้องไป ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดรั้งไว้ได้หรอก’
นี่คือสัจธรรมของคนเราที่เขาเผลอลืมไป
“พี่ดวง!” ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์เมื่อแม่หญิงไพลินในชุดหนุ่มน้อยหน้าตาตื่นขึ้นบันไดมา วันนี้เจ้าหล่อนออกไปซ้อมดาบแล้วยังบอกลอยๆ ยั่วให้ขุ่นใจว่าจะไปตลาดบางกะจะ
“อะไร! แม่ไพลิน วิ่งขึ้นบันไดอย่างนี้ เดี๋ยวต้องเอาไม้มาตีแข้งตีขาเสียหน่อย” มารดาเริ่มฉิว หันซ้ายขวาหาไม้ให้ได้ดั่งว่า
“โธ่! คุณแม่เจ้าขา ลูกมีเรื่องด่วนมาแจ้งพี่ดวงเจ้าค่ะ คุณแม่”
“พี่นวลไม่สบาย!” หญิงสาวละล่ำละลัก คลานผ่านหน้ามารดาเข้ามาหาอย่างลุกลน
“เจ้าจะหลอกพี่หรือ ไม่สำเร็จหรอกนะ” เขานิ่ง เชื่อได้ที่ไหนล่ะ แผนการมากมาย ร่ายเรียงไม่รู้จบ
“นี่ฉันพูดจริงๆ นะ พี่นวลป่วยได้หลายวันแล้ว ฉันเองก็เพิ่งรู้!” สีหน้าของน้องสาวไม่สู้ดี หากเขายังนิ่งเฉยไม่นำพา
“ฉันรู้ว่าฉันเชื่อไม่ได้ พี่ดูตาฉันก่อนสิว่ามีแววโกหกหรือเปล่า” เจ้าตัวคลานเข้ามาใกล้อีก ยื่นหน้ามาให้ดูตาดำๆ แล้วย่นจมูกใส่ “ช่างเถอะ รู้หรอกว่าไอ้คนอย่างฉันมันเชื่อถือไม่ได้ ฮึ…ฉันไม่สนพี่หรอก แค่มาบอกให้รับรู้เท่านั้น พี่นวลป่วยคราวนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับพี่อยู่แล้วนี่” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ
“เป็นอะไรมากไหมล่ะ แม่ไพลิน” คุณหญิงนั่งฟังอยู่ใกล้ๆ อดถามขึ้นมาไม่ได้
“อาเจียนเจ้าค่ะ แล้วก็เป็นไข้ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ลูกไม่เห็นกับตาหรอกนะเจ้าคะ แต่คนที่บ้านโน้นมาบอก พอรู้ข่าวก็วิ่งแจ้นมาบอกพี่ดวงนี่แหละ แล้วจะมาเจียดยาของหลวงตาไปให้ด้วย พี่อ่อน…” หญิงสาวบรรยายจนเห็นภาพ หันไปหาอ่อนที่ตามมาใกล้ๆ พร้อมกับสั่ง
“พี่อ่อนไปเอายาหลวงตาที่เหลือนะ แล้วก็ให้ปลั่งเตรียมเรือไว้เลย เร็วๆ เข้า ชักช้าจะไม่ทันการณ์”
“เจ้าค่ะๆ ไม่ช้าแน่เจ้าค่ะ” อ่อนรับคำแล้วรีบกระวีกระวาดไปจัดการตามสั่ง
“พี่นวล…จะเป็นอะไรมากก็ไม่รู้ คุณแม่ ลูกขอไปบ้านบางกะจะอีกรอบนะเจ้าคะ” แม่หญิงไพลินตั้งท่าจะลงเรือนไปอีกครั้งให้ได้
“ไฮ้! จะไปได้อย่างไร ประเดี๋ยวก็จะมืดค่ำแล้ว ให้คนอื่นไปเถอะ” คุณหญิงรั้งไว้เสียงเขียว
“โธ่! คุณแม่ ถ้าลูกไม่ไปใครจะบอกวิธีการกินการใช้ยาได้ดีเท่า เลือดของลูกนี้แทบจะเป็นยาหลวงตาไปแล้ว ลูกเคยทำอะไรไม่ดีกับพี่นวลมาก็มาก ตอนนี้ถึงเวลาไถ่โทษแล้ว” เจ้าหล่อนโอดครวญแล้วจิ้มที่แขนของตัวเองเป็นการย้ำ
มารดานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พ่อดวงแน่ะ พ่อคล่องตัวกว่า ไปจัดการให้น้องหน่อย” น้ำเสียงของท่านเรียบสนิท ไม่คล้ายว่ามีสิ่งใดแอบแฝง
“คุณแม่!” หลวงเสนาพูดไม่ออกอีกครั้ง ทั้งๆ ที่พยายามนิ่งเฉยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา ทั้งๆ ที่ในใจเริ่มร้อนรนขึ้นทีละนิดกับอาการของนวลที่น้องสาวมาแจ้ง ขอให้เรื่องที่ทราบมาเป็นเรื่องโกหกยังจะดีเสียกว่า
เป็นเพราะเขาที่ทอดทิ้งไมไยดีเช่นนี้ จนป่านนี้ยังไม่ยอมไปเยี่ยมเยียน
“เอาน่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เจ้าไปจัดการให้ที แล้วพรุ่งนี้ถ้าแม่ไพลินเขาอยากไปค่อยให้ไป ตอนนี้ค่ำมืด แถวนั้นมีน้ำวน แม่เป็นห่วง อีกอย่างเจ้ารู้วิธีใช้ยาดีอยู่แล้วคงบอกได้”
“โธ่! ลูกต้องรอพรุ่งนี้เชียวหรือเจ้าคะ เกิดพี่นวลเป็นอะไรไปล่ะ บาป…ลูกต้องเป็นบาปแน่ๆ”
“อย่าตีโพยตีพายไปหน่อยเลย” มารดาดุ แม่น้องสาวเลยเงียบหงอยไป จนอ่อนเอาห่อยาขึ้นมา
“พ่อดวงรีบไป แม่เบื่อฟังน้องเจ้า” คุณหญิงโบกมือ
คนส่งข่าวรีบหอบห่อยามายัดใส่มือหลวงเสนาพลางกำชับจริงจังราวกับตัวเองเป็นเจ้าของเรื่อง “พี่ดวง บอกพี่นวลด้วยนะว่าฉันเป็นห่วง…ม้ากกกถึงมากที่สุด…”
ชายหนุ่มไม่ตอบนอกจากคว้าห่อยาแล้วลุกขึ้นด้วยความไม่เต็มใจ จนกระทั่งแน่ใจว่าพ้นสายตาทุกคนนั่นแหละ ขายาวๆ จึงรีบจ้ำไปที่เรือซึ่งเจ้าจุกฝีพายประจำตัวรออยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่ได้สะกิดใจที่เมื่อครู่แม่หญิงไพลินสั่งให้ปลั่งรอแท้ๆ แล้วกลับกลายมาเป็นเจ้าจุกฝีพายประจำตัวของเขาไปได้เช่นไร
เมื่อนั่งเรือแล้วชายหนุ่มก็สั่ง “ไปบ้านแม่นวล…เร็วที่สุด”
“ขอรับ” จุกรู้ความอยู่แล้วจึงรีบจ้ำพายออกไปโดยทันที
ในใจของคนเป็นบ่าวพลอยร่วมยินดีไปด้วย เขาเคยแม้กระทั่งยอมเป็นหน้าม้าที่หน้าประตูวังจนเกือบจะโดนคาดโทษไปก่อนหน้านี้ก็อีก เมื่อแม่อ่อนกำชับให้มาเตรียมตัวรอไปส่งคุณหลวงของพวกเขาไปบ้านบางกะจะก็รู้ว่าแผนของแม่หญิงไพลินทั้งหมดนั้นสัมฤทธิผลแล้วแน่นอน
ส่วนคนที่อยู่บนบ้านแอบชะเง้อมองผ่านระแนงไม้บนบ้าน เมื่อเห็นเรือออกจากท่าแล้วถึงกับถอนหายใจยาวทั้งนายทั้งบ่าว
“ไพลิน เจ้าเล่นกลโกหกพี่ โกหกแม่หรือไร” คุณหญิงค้อน เมื่อเห็นท่าทีลูกสาวไม่ได้กังวลวุ่นวายเหมือนเมื่อครู่
“ไม่ได้โกหกเจ้าค่ะ ทุกอย่างที่ลูกเรียนคุณแม่กับพี่ดวงเป็นความจริงทุกประการ พี่นวลไม่สบายจริงๆ แต่…ค่อยยังชั่วแล้ว” เจ้าตัวยิ้มเผล่ หามีแววสำนึกผิดไม่
“เจ้านี่…บอกไม่หมด” ท่านบ่นพลางถอนฉิว
“โธ่! พี่ดวงทำยักท่าอยู่นั่น น่ารำคาญนี่คะ” เล่ห์กลง่ายๆ ในละครน้ำเน่า ยุคสมัยไหนก็ใช้ได้ตลอด ณิรชาไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างเรื่องแบบนี้หรอก เพียงแต่เป็นเรื่องบังเอิญที่วันนี้ไปเยี่ยมนวลแล้วทราบข่าว ไอเดียเลยปิ๊งขึ้นมา ไม่ได้โกหก แต่บอกไม่หมด คงไม่เป็นไร
“แม่ยังไม่ได้อนุญาตเลยนะเรื่องสองคนนั่น เจ้าจะมาเจ้ากี้เจ้าการเป็นแม่สื่อได้อย่างไร” คุณหญิงค้อนปะหลับปะเหลือก ไม่อยากให้ลูกสาวได้ใจ
“คุณแม่เจ้าขา…” หญิงสาวคลานเข่าเข้าไปหา แนบศีรษะกับตักนุ่มๆ ด้วยท่าทีที่อ่อนมักจะค่อนขอดเสมอ ‘ทำอ้อนหวังผลอีกล่ะ’ มามุกนี้ คนใจแข็งเยี่ยงไรก็เห็นทีจะไม่พ้น
“คุณแม่ทราบไหมเจ้าคะ ว่าลูกของแม่คนนี้มีบุญที่สุดตรงไหน”
“ไหนลองสาธยายมาที” คุณหญิงเองก็รู้ทัน หยิบหมากมาเคี้ยวอย่างสบายใจ
“ลูกมีแม่ มีพ่อที่ประเสริฐยิ่ง ทั้งรักลูกทั้งเห็นใจลูก หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้เจ้าค่ะ” เป็นความจริงทุกประการ ไม่มีโกหก
“ปากหวานจริงๆ นะลูกคนนี้” แขนอุ่นๆ โอบเอาไว้ด้วยความปลื้มใจ บางที…นี่อาจเป็นภารกิจที่ทำให้มาอยู่ที่นี่ก็ได้ หากเป็นเช่นนี้ ณิรชายินดีจะทำอย่างเต็มหัวใจ
ค่ำคืนเงียบสงบแล้ว หลวงเสนาเพิ่งจะกลับถึงเรือน ทั้งๆ ที่พยายามเดินให้เสียงเบาที่สุดแล้วยังได้ยินเสียงคนแอบหัวเราะคิกคักจนเขาต้องกระแอมเสียงดัง คนหัวเราะคิกคักถึงได้ค่อยๆ โผล่ออกมาจากส่วนของตัวเอง
“ท่าจะอารมณ์ดีนะพี่เรา” แม่หญิงไพลินเดินม้าย่องออกมา ทำท่าเจ้าเล่ห์หยอกเบาๆ
“เอาเถอะ เจ้าไม่ได้โกหก แม่นวลบอกว่าไม่สบายจริง” ความหนักอึ้งในหัวใจมลายไปหมดสิ้นแล้ว โซ่ตรวนที่ผูกมัดไว้ด้วยคำสาบานก็หายไปเช่นกัน วงหน้ารูปไข่ซีดเซียวมีสีเลือดเมื่อสบตา แม้ไม่ได้พูดคุยหรือใกล้ชิดกันมาก แต่หัวใจของเขาก็ชุ่มชื้นราวกับหยาดฝน
“แต่เจ้า…บอกไม่หมด”
“เก๊าะ ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้เห็นกับตา มัวแต่ต๊กกะใจรีบกลับมาเอายา” เจ้าตัวยักไหล่ เฉไฉไปตามเรื่อง ไม่มีรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
เขาหัวเราะในลำคอ นับแต่นี้จะเชื่อได้กี่มากน้อย เพราะรู้จักเลี่ยงคัมภีร์เสียแล้ว “แม่นวลฝากให้มาขอบใจเจ้า เรื่องยา”
“ไม่เป็นไร ฉันห่วงพี่นวลเหมือนกัน เอายาหลวงตาไปกินด้วยนั่นดีแล้ว” จะได้ไม่กลับมาป่วยไข้อีก
หลวงเสนาสรศักดิ์เงียบไปครู่ “รวมทั้งพี่ด้วย …ขอบใจเจ้านะ…ไพลิน”
เจ้าตัวหัวเราะคิก ได้คืบจะเอาศอก “ต้องให้รางวัลด้วยนา ไม่อย่างนั้นไม่ยอมด้วย” หญิงสาวรับคำขอบใจโดยไม่มีการถ่อมตัว สัมผัสได้ถึงความสุขที่หลวงเสนาได้รับซึ่งทำให้หล่อนพลอยยินดีไปด้วย
“พี่ดวง…” ยังมีอีกเรื่องที่ยังทำไม่จบ
“หือ…”
ณิรชาก้าวออกมาจากที่มืด พนมมือรอจริงจัง “ช่วย…อโหสิกรรมให้แม่หญิงไพลินน้องสาวของพี่ได้ไหม…” หล่อนจำเป็นต้องขอในสิ่งที่ประหลาดยิ่ง ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกค้างคา แม่หญิงผู้ล่วงลับบังคับพี่ชายถึงขั้นเขาต้องสาบานเพื่อแลกกับความเจ็บป่วยของเจ้าหล่อน เมื่อปมนี้ถูกคลายออกไปแล้วก็ควรเลิกราต่อกันเสียที
หลวงเสนาเงียบไปครู่หนึ่ง ตาสีเข้มจับจ้องมองคนที่เป็นน้องโดยสนิทใจ ไม่ทราบว่าเขาคิดอะไรได้ แต่ชายหนุ่มก็วางมือใหญ่ลงบนศีรษะของแม่หญิงไพลิน
“พี่ อโหสิกรรมให้…แม่หญิงไพลิน พี่อโหสิกรรมให้ทุกอย่าง”
ราวกับเสียงนั้นก้องกังวานไปไกล ไกลเกินกว่าที่คนทั่วไปจะได้ยิน ลมเย็นๆ พัดมาวูบหนึ่งแผ่วเบา
คราวนี้ณิรชาถอนใจยาวด้วยความยินดีอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้อ! ถือว่าเราหายกันแล้วนา” รู้สึกเหมือนได้ปลดโซ่ตรวนระหว่างแม่หญิงไพลินกับหลวงเสนาสรศักดิ์ได้สำเร็จเช่นกัน ถ้ายังมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ก็คงไม่มากแล้ว
หากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นกุศล ขอให้ผลบุญนั้นเป็นของแม่หญิงไพลินทั้งหมดด้วยเถิด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.