บทที่ 15 คู่แค้น แสนดี
“วันนี้พี่ชายของฉันไหว้พระนานกว่าปกติอีกแล้ว สงสัยจะไปจับโจร” ณิรชาชำเลืองแลไปยังห้องพระ หลวงเสนาสรศักดิ์ให้บ่าวเตรียมดอกไม้มากกว่าปกติ บางส่วนที่พิเศษจริงๆ ชายหนุ่มมักเตรียมด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องลับ เขาเข้าไปแต่เช้ามืด กระทั่งแสงแดดส่องจนมองเห็นฝ่ามือได้ยังไม่ออกมา
“อย่าบอกนะเจ้าคะ ว่าจะไปช่วยคุณพี่จับโจร” แม่อ่อนรู้ใจตามประสา
“ที่จริงก็อยากไปทดสอบฝีมืออยู่หรอกนะ แต่นี่มันตอนกลางวัน คงเป็นไปไม่ได้หรอก” หญิงสาวรับคำ
เพิ่งทราบว่าคนร้อนวิชานั้นรู้สึกกันเช่นไร ที่ไปร่ำเรียนกับแม่หญิงจันทร์ถือว่าคืบหน้าไปมาก ดูจะล้ำหน้าไปกว่าคนที่มาเรียนก่อนนี้เสียอีก เมื่อเร็วๆ นี้แม่หญิงจันทร์เพิ่งสอนการใช้ดาบสั้นให้ด้วย ณิรชาอยากจะหาโอกาสไปลองหาประสบการณ์นอกสนามบ้าง แต่ไม่มีจังหวะและโอกาสสักที
หญิงสาวรอจนหลวงเสนาออกมาจากห้องพระจึงจัดแจงสำรับข้าวให้เพราะท่านเจ้าคุณและคุณหญิงรับไปก่อนหน้าแล้ว
“เจ้าเล่า…” พี่ชายยังมีแก่ใจถามถึง
“วันนี้ฉันเว้นข้าวเช้าน่ะ” หญิงสาวไม่อยากบอกหรอกว่าตอนนี้ชักคุมน้ำหนักไม่ค่อยอยู่
“แปลกคน”
หล่อนหัวเราะเมื่อเขารำพึงเช่นนั้น โธ่! อย่างกับว่าอย่างอื่นไม่แปลก
“ว่าแต่พี่ดวงจะไปจับโจรอีกหรือคะ”
“ใช่… แต่เจ้าไปด้วยไม่ได้หรอกนะ งานราชการ” ชายหนุ่มดักเอาไว้ก่อน
“สงสัยจะเป็นชุมโจรใหญ่ ใช่เสือหาญไหมคะ”
สายตาคมมองมาแวบหนึ่งก่อนจะสนใจกับสำรับข้าว “ไม่ใช่หรอก นี่เสือชุ่ม โหดกว่า ร้ายกว่ามากนัก” คนตอบไม่ได้บอกว่าชุมโจรของเสือชุ่มนั้นถือว่าใหญ่โตพอควรทีเดียว
“แล้วพี่ดวงไม่กลัวหรือคะ เกิดพลาดท่าเสียที” ณิรชาชักเป็นห่วงเสียแล้ว พานนึกไปถึงอีกคน อย่างน้อยก็ถือว่าเคยเกื้อกูลกันอยู่
“มันเป็นหน้าที่” ชายหนุ่มตอบ ที่ผ่านมาเขาเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถือว่าพอรอดตัวจนได้มาเป็น ‘หลวงเสนาสรศักดิ์’ ในวันนี้
“แล้ว…ขุนอรรถล่ะคะ ไปด้วยไหม” คนคุ้นๆ กัน ติดกันเป็นตังเมอย่างนั้น
“ไปด้วย…เออ เจ้านี่ ช่างซักเสียจริง” พี่ชายเขม้นมองราวกับว่าหล่อนจะมีอะไรแอบแฝง
“ก็ฉันเป็นห่วง” หล่อนลากเสียงยาว
“อยู่ที่ไหนก็ตายได้ทั้งนั้นแหละ!” คนเป็นพี่ยกเอาเรื่องกฎธรรมชาติขึ้นมาตัดบท
หญิงสาวย่นจมูกแบบที่ใครๆ ว่า ‘ไม่งาม’ น่าหมั่นไส้เหลือเกิน บทจะเข้าใจก็ง่ายดายดีแท้ เมื่อคราวคำสาบานนั่นไม่เห็นคิดแบบนี้
ลีลาตั้งนานกว่าจะยอม!
เมื่อเห็นว่าคนเป็นน้องห่วงจริง ชายหนุ่มจึงปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอก พวกพี่ระมัดระวังตัวดี คราวนี้คนมากฝีมือไปช่วยหลายคน อีกอย่างพี่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มกาย”
“พี่ดวงมีพระอะไรดีอีกหรือคะ” คราวนี้ทั้งณิรชาทั้งอ่อนตาโตคอยฟังคำตอบ แต่หลวงเสนากลับยิ้มแล้วทำอมพะนำเสีย
คนเป็นพี่รับประทานข้าวจนเรียบร้อย บ่าวข้างล่างจึงขึ้นมาแจ้ง “ท่านขุนอรรถมาแล้วขอรับ”
“พอดีเลย ไพลิน เจ้าลงไปบอกพ่ออรรถให้รอสักครู่ พี่จะขอไปไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อน” เห็นทีจะลืมไปแล้วว่าคนเป็นน้องทั้งสองคนไม่ค่อยถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร
“อ้าว! พี่ดวงยังไหว้พระไม่เสร็จอีกหรือคะ” คนโบราณนี่คงมีคาถามากมาย ถ้าเป็นคนในยุคหล่อนต้องเรียกว่าคนเล่นของเสียแล้ว
“ยัง” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ เช็ดมือเรียบร้อยก่อนจะลุกไป ณิรชาอดไม่ได้รีบลุกตามไปดู เห็นเขาเดินเข้าไปในห้องของบิดามารดาถึงได้เข้าใจ
“พี่อ่อน…ฉันรู้แล้วว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์ของพี่ดวงคืออะไร” หญิงสาวยิ้มกริ่มกระซิบบอกคนสนิทที่กำลังเก็บสำรับ
“อ้อ… เห็นจะจริงเจ้าค่ะ กราบพ่อกราบแม่เป็นสิริมงคลที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” อ่อนพยักหน้าหงึกๆ
“พ่อแม่เป็นพระประจำบ้านอยู่แล้ว คุณหลวงท่านคงเชื่อตามนั้น ถึงได้เจริญก้าวหน้า ไม่อับจน”
ความคิดเช่นนี้ยังเหลือตกทอดยาวไกลไปอีกหลายรุ่น นี่กระมังที่ยังทำให้ชีวิตของผู้คนในยุคของหล่อนยังพอมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สิริมงคล’ ติดตัวอยู่บ้าง
หญิงสาวให้อ่อนรีบเก็บสำรับ พร้อมกับสั่งบ่าวอีกคนให้เอาน้ำตามไปให้ขุนอรรถ ส่วนตัวเองเดินลงเรือนไปรับหน้า
ร่างใหญ่ยืนทะมึนอยู่ในศาลาท่าน้ำ ดูน่าเกรงขามโดยเฉพาะเมื่อทราบว่าพวกเขาจะต้องไปออกรบกับพวกโจร ดาบเหล็กน้ำพี้ที่เคยดื่มเลือดของหล่อนอยู่ในมือใหญ่ ถ้าฟาดทีเห็นจะมีคนรอดยาก
ชายหนุ่มรับไหว้หล่อนพร้อมกับทำหน้าเฉยๆ แค่นี้ย่อมถือว่าดีกันแล้วบ้าง ตอนนี้ขุนอรรถกับแม่หญิงไพลินดูจะปรองดองกันได้พอสมควร
“พี่ดวงว่าจะไปปราบเสือชุ่มกับขุนอรรถ”
“ใช่”
“ฝากดูแลพี่ชายของฉันด้วยนะ” หญิงสาวพยายามชวนคุย
“อืม” คำตอบแต่ละคำสั้นนัก ทำให้ณิรชาแทบจะค้อนด้วยความขัดเคือง แต่พอนึกว่าเขาจะต้องไปเสี่ยงภัยเลยจะยกให้สักครั้ง
“ขุนอรรถก็รักษาตัวด้วยนะคะ ขอให้ปลอดภัยกลับมา…ทุกๆ คน” ประโยคหลังย้ำเผื่อไปให้คนอื่นๆ อย่างไว้ท่าที ประเดี๋ยวเจ้าตัวจะเหมาเอาไว้คนเดียว
แววตาสีเข้มมีรอยประหลาดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แน่ล่ะ เคยเสียที่ไหนที่แม่หญิงไพลินจะมาอำนวยอวยชัยให้อย่างนี้
“ขอบใจ แม่หญิงไพลิน น้ำใจของเจ้าจะนำไปฝากให้…ทุกๆ คน” ร่องรอยขำขันบางอย่างเจืออยู่ในคำขอบใจ ทำให้ณิรชาหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เบื่อคนโบราณ รู้ทัน!
ขุนอรรถรับน้ำจากบ่าวไปจิบด้วยท่าทีที่สงบ ไม่หลุกหลิกแสดงความกังวล ทั้งๆ ที่จะต้องออกไปเสี่ยงตาย
ถ้าเป็นคนอื่นคงกระวนกระวายมือไม้สั่น หากที่เห็นชายหนุ่มทั้งสองคนทำราวกับว่าเป็นการไปทำงานประจำวันเสียอย่างนั้น ไม่มีอาการเคร่งเครียดแต่อย่างใด
“ฉันทั้งเป็นห่วง ทั้งอยากรู้ว่าการต่อสู้นั้นจะเป็นอย่างไร พี่ดวงบอกว่าเสือชุ่มนั้นไม่ธรรมดา ยากจะเอาชนะได้โดยง่าย” ณิรชาชวนคุยด้วยความเป็นห่วง ไหนๆ ก็ไหนๆ หวังว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจไม่มาหาว่าเซ้าซี้
“ถือว่าเป็นโจรฝีมือดี พี่ดวงของเจ้านั้นปราบชุมโจรมามากนัก อีกทั้งคนที่ไปด้วยมีการเตรียมการอย่างดี…อย่ากังวลไป” เขาไม่ได้บอกละเอียดในงานของตนให้ใครทราบ เพราะเรื่องนี้เป็นความลับพอสมควร เพื่อนรุ่นพี่คงเล่าให้ครอบครัวฟังบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่นานนักหลวงเสนาสรศักดิ์จึงลงมาสมทบ คงเสร็จจากการกราบบิดามารดาแล้ว
“ไพลิน พี่ไปล่ะนะ ฝากพ่อกับแม่ด้วย” ชายหนุ่มสั่งเสียมากเป็นพิเศษ รวมไปถึงคนที่อยู่ที่บางกะจะด้วย
“วันนี้เจ้าเองก็อย่าเพิ่งออกจากบ้านไปไหนเลย แล้วอย่าได้ไปบอกเรื่องนี้กับนวลเล่า จะเป็นห่วงวุ่นวายกันเสียเปล่าๆ” เพราะนอกจากจะไปทำงานตามหน้าที่แล้ว ครานี้จะเป็นการพิสูจน์ว่าคำสาบานที่ถอนไปนั้นจะบังเกิดเภทภัยแก่เขาหรือไม่
“คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องไป ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดรั้งไว้ได้หรอก”
หลวงตาท่านพร่ำบอกเอาไว้เช่นนี้ ทำให้จนใจ นี่เป็นสัจธรรมอย่างท่านกล่าว
ความตายเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนไม่มีทางหนีพ้นจริงๆ…
หลวงเสนารับไหว้จากน้องสาวแล้วลงเรือโดยนั่งหันหลังให้ ไม่อยากเห็นใครยืนเกาะเสาศาลาท่าน้ำทำหน้าละห้อยให้เป็นห่วง ในขณะที่ขุนอรรถคู่หูต่างวัยนั่งฝั่งตรงข้าม
สังเกตว่าแปลกไปตรงคนที่มักจะมีสีหน้าเฉยดุกลับมียิ้มเล็กที่มุมปาก โดยเฉพาะยามเมื่อเรือเพิ่งขยับออกจากท่า
“แม่ไพลินแกล้งเย้าแหย่อะไรเจ้าอีกล่ะ” คนถามราวกับมีตาอยู่ข้างหลัง พอทราบหรอกว่าระยะหลังมานี่แม่หญิงไพลินชอบทำกิริยาเพี้ยนๆ ให้อีกฝ่ายอมยิ้มอยู่เสมอ
“ตามประสานะขอรับ” ที่ต้องทำหน้าเคร่งเพราะเกรงว่าน้องสาวของหลวงเสนาสรศักดิ์จะได้ใจ พักนี้เรื่องยุ่งๆ ที่เจ้าหล่อนเป็นผู้ก่อเอาไว้เริ่มซาไปบ้าง พวกเขาจึงมีเรื่องยุ่งใจน้อยลง
“อย่าไปถือสาเลย ทำเกะกะ กวนใจไปอย่างนั้น” ในสายตาคนเป็นพี่ แม่หญิงไพลินเหลือพิษสงเป็นเพียงมดตะนอยตัวน้อยๆ เท่านั้น
“ขอรับ กระผมคร้านจะถือสาแล้ว” แม้ในยามที่กำลังจะออกไปปราบโจรยังอดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าจะโกรธ เคือง หรือขำขันดีกับการก่อกวนในแต่ละครั้ง
รู้ล่ะ ที่ทำหน้าละห้อยเพราะไม่ได้ตามออกมาผจญภัยด้วยอยู่เป็นแน่ แต่ยังมาโบกไม้โบกมือทำสนิทสนมให้นี่สิ ช่างพิลึกปนขันนัก ใช่ว่าจะสนิทสนมกันสักหน่อย…
ขุนอรรถไม่ทราบหรอกว่าอาการโบกมือ ‘บ๊ายบาย’ นั้นเป็นภาษาสากล หากพอเข้าใจความหมายได้ไม่ยาก เอาเป็นว่าเจ้าหล่อนไม่แช่งชักหักกระดูกดั่งเมื่อก่อนก็ดีถมแล้ว เมื่อไม่ต้องโกรธหรือทะเลาะกันให้คนกลางต้องลำบากใจ งานการก็ควรราบรื่น
“วันนี้คงเป็นวันดี ฤกษ์โจรอับแสง ไม่มีดาวใดมาช่วยหนุน” หลวงเสนาสรศักดิ์รำพึงไปตามเส้นทาง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต ณ ชุมโจรเสือชุ่ม บ้านบางปะอิน
หลวงเสนาสรศักดิ์หายไปสามวันกับสองคืนโดยไม่มีข่าวใด ท่านเจ้าคุณ คุณหญิงและณิรชา ต่างรอฟังข่าวอยู่อย่างใจจดจ่อ
“คุณพี่ พ่อดวงไม่มีข่าวเลยนะเจ้าคะ” ถึงลูกชายไปปราบโจรมาหลายครั้ง ไปรบมาหลายคราแล้ว แต่คุณหญิงยังอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่มีข่าวก็ดีแล้วนี่ แสดงว่าปลอดภัย” ท่านเจ้าคุณปลอบ เมื่อคราวหลวงเสนาเข้าไปขอพรนั้น ท่านทราบว่าชุมโจรนี้คงจะหนักหนาเอาการ เคยได้ยินมาว่าโหดเหี้ยมเหลือร้าย ปล้นฆ่าไม่เว้น ทางการเลยถือเป็นเป้าหมายต้นๆ ที่ต้องจัดการ
“ถ้าลูกปลอดภัยคราวนี้ คุณพี่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ย้ายกรมกองได้หรือไม่เจ้าคะ อิฉันเป็นห่วงเหลือเกิน”
“ลูกเขาเลือกของเขาแล้วนี่คุณหญิง เขามาถึงตำแหน่งหน้าที่การงานนี้ได้ไม่ใช่อาศัยพ่อแม่แสดงว่าต้องมีฝีมือใช่ย่อย เขาคงไม่ยอมย้ายหรอก” ท่านตามใจลูกชายตั้งแต่ชายหนุ่มมีความประสงค์จะไปอยู่กรมนครบาลเพื่อดูแลงานราษฎรแทนที่จะเข้าทำงานในกรมเดียวกับท่าน อันเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมอยู่ไม่น้อย
บรรดาศักดิ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ตกทอดถึงผู้สืบสกุลเหมือนของประเทศอังกฤษ พวกบุตรธิดาจึงต้องไต่เต้าเอาเอง โดยมากจะเริ่มสังกัดกรมกองของบิดาหรือตำหนักเดียวกับที่มารดาเคยเป็นนางกำนัลอยู่ นี่แหละที่เรียกว่าระบบเส้นสายแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่แปลกในยุคเช่นนี้
แต่ถ้าเป็นค่านิยมในยุคของณิรชาแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างพันรบ…ถ้าไม่เห็นป้ายชื่อบอกนามสกุลแล้วไม่ค่อยมีใครทราบหรอกว่าเขาเป็นลูกชายของใคร ‘ผมสอบเข้าถูกต้องตามขั้นตอนครับ’ เขามีความภูมิใจของเขาเสมอ
เมื่อท่านเจ้าคุณปฏิเสธเสียแล้ว คุณหญิงพลอยศรีจึงหันมาพึ่งพาแม่หญิงไพลิน
“ไพลิน เจ้าแน่ะ เจ้ากับพี่เจ้าเจรจากันดีแล้ว ช่วยเกลี้ยกล่อมพี่ดวงของเจ้าหน่อยเถอะ”
“ลูกจะลองดูเจ้าค่ะ” ถึงคราวนี้ณิรชาจำต้องรับปากไปก่อน ทั้งที่ทราบดีว่ายามศึกสงคราม ทุกคนย่อมต้องเป็นทหาร เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ไพร่ส่วย ไพร่สม หรือทาส ทุกคนต้องออกรบกันทั้งสิ้น ไม่มีใครหนีพ้นได้
ล่วงไปถึงย่ำค่ำวันที่สาม หลวงเสนาสรศักดิ์จึงกลับมา
เสื้อผ้าสีดำทึมเปื้อนโคลนและฝุ่นผง หญิงสาวรีบลุกขึ้นไปหาเมื่อเห็นร่างของเขาก้าวขึ้นมาบนเรือน
“พี่ดวง!”
“พ่อดวง!” คุณหญิงน้ำตาปริ่มเมื่อร่างเพรียวเข้ามากราบ
ท่านเจ้าคุณกำลังปรึกษากับคุณหญิงว่าวันพรุ่งจะไปถามข่าวลูกชายจากฝั่งท่านเจ้าพระยาสมุหนายก เพราะคุณพระไกรสีห์เองก็ยังไม่ได้ข่าวของขุนอรรถเช่นกัน เมื่อเห็นเช่นนี้จึงโล่งใจนัก หากเป็นชาย ท่านจึงไม่ปลอบขวัญออกหน้าเช่นผู้เป็นมารดา
“พี่ดวง มีบาดแผลตรงไหนบ้างไหม ฉันจะให้บ่าวจัดหายามา”
“นิดหน่อยหรอกเจ้า พี่จัดการมาแล้ว” ชายหนุ่มตบที่บ่าของตัวเองเป็นอันรู้ว่ามีแผลอยู่ตรงนั้น
“ชุมโจรเสือชุ่มแตกแล้วก็จริง แต่น้องของมัน เสือชดกับพรรคพวกบางคนหนีรอดไปได้ขอรับ” หลวงเสนาเรียนให้พ่อแม่ทราบ ไม่ได้บรรยายว่าเสือชุ่มนั้นไม่ยอมให้จับแต่โดยดี หากต่อสู้จนตัวตาย แต่นั่นยังยากเพราะต้องดวลดาบกันเลยทีเดียว
“นับวันคนอยู่คุก ถูกจองจำจะมากกว่าเราที่อยู่ข้างนอกเสียกระมัง”
“แล้วพ่ออรรถกับคนอื่นๆ เล่า”
“ขุนอรรถปลอดภัยดีขอรับ ส่วนคนอื่น มีตายเจ็บกันบ้าง แต่โดยรวมแล้วเราสูญเสียน้อยกว่า คราวนี้พ่ออรรถเป็นผู้ประดาบกับเสือชุ่มนะขอรับ เมื่อได้ชัยเช่นนี้ เจ้านายท่านเลยว่าอีกไม่กี่วันจะทูลเกล้าให้เลื่อนตำแหน่งเป็นหลวงเสียที อั้นตำแหน่งเอาไว้นานแล้วเพราะไปโตอยู่แต่หัวเมือง เปลี่ยนนายมาหลายคนแล้ว” น้ำเสียงนั้นชื่นชมยินดีไปกับเพื่อนร่วมงาน
“แล้วพี่ดวงเล่าคะ จะได้เลื่อนเป็นคุณพระหรือไม่” จำได้หรอกว่าตำแหน่งบรรดาศักดิ์เริ่มต้นที่หมื่น ขุน หลวง พระ
“ยังหรอก พี่อายุยังน้อย ความดีความชอบยังไม่ถึงขั้นหรอก”
“แต่ถ้าพ่อดวงย้ายไปสังกัดกรมมหาดเล็ก ภายภาคหน้าขึ้นเป็นจมื่นไม่ดีหรือลูก บรรดาศักดิ์มหาดเล็กหลวง ไม่ถึงกับเป็นคุณพระ แต่สูงกว่าเป็นหลวง อายุเจ้าไม่น้อยก็จริง แต่คุณลุงท่านก็พร้อมรับให้เจ้าถวายตัว อีกทั้งฝีมือเจ้านั้นก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ จับพลัดจับผลูท่านส่งไปเป็นหลวงยกกระบัตรหัวเมือง เผลอๆ ได้ขยับไต่เต้าใหญ่โตเป็นถึงเจ้าเมือง”
คุณหญิงพลอยได้ที เรื่องนี้ผู้ใหญ่ฝั่งญาติท่านเตรียมการไว้นานแล้ว ขอเพียงเจ้าตัวตกปากรับคำ หน้าที่การงานจะก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ว ได้รับการยกย่องมากกว่าเพราะได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าแผ่นดิน
ณิรชาเองเลยพลอยได้ความรู้ด้วยว่าหลวงยกกระบัตรที่ส่งไปอยู่หัวเมืองเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีโอกาสก้าวไปถึงเจ้าเมืองเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ต้องผ่านการเป็นมหาดเล็ก เพราะเป็นผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินไว้วางพระราชหฤทัย
คนเป็นลูกสิกลับหัวเราะ “ไม่เอาหรอกขอรับ” ที่จริงสำหรับเขาแล้ว ยศหลวงที่ถืออยู่นั้นเป็นชั้นอาวุโส แม้กระทั่งคนที่มียศเหมือนกันยังต้องเคารพและเชื่อฟัง บางคนก็จะเรียก ‘ออกหลวงเสนาสรศักดิ์’ เสียด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะลูก”
“คงทำนองเดียวกับแม่ไพลินนะขอรับ”
ณิรชาสะดุ้งเหล่ตามอง เมื่อพี่ชายเอาไปเป็นโล่เสียแล้ว
ชายหนุ่มหัวเราะแล้วรีบขยายความ “กระผมยังไม่อยากเป็นอย่างพวกญาติๆ ขอรับ รู้กันอยู่ว่าพวกมหาดเล็กหลวงลึกๆ นั้นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย เพราะบางคนถวายตัวถึงสองครั้ง ห่างกันแค่สามเดือน พวกนี้งานราชการไม่ค่อยก้าวหน้าเพราะผู้ใหญ่เกรงเรื่องความภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เก่า ถ้าต้องไปอยู่ตรงกลางเห็นทีจะลำบากใจ อีกอย่างกระผมมีใจรักทางด้านนี้เสียแล้ว ทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนฝูงต่างดีกับกระผมนัก เห็นทีจะไม่ไปไหนแล้วขอรับ”
เหตุผลนี้คงฟังขึ้น คุณหญิงผู้เป็นมารดาถึงนิ่งไป พอจะรู้กันอยู่ หาใช่แต่พวกมหาดเล็กหรอก พวกสนมนางในก็เช่นกัน พวกข้าเก่าๆ หมดวาสนาแล้วก็ต้องเก็บตัว ไม่ใคร่มีผู้ใดไปมาหาสู่
หญิงสาวยินดีที่พี่ชายไม่ได้มีความทะเยอทะยาน เห็นว่าเขาไม่ได้มีอาการเจ็บอะไรค่อยเบาใจ
ทราบมาว่านอกจากจะเป็นศิษย์ของขุนพิชิตศาตราแล้ว หลวงเสนายังเรียนวิชาบางอย่างจากหลวงตาน้อยด้วยเหมือนกัน เอาไว้มีโอกาสจะลองถามหลวงตาสักทีว่าวิชาคงกระพันนั้นมีอยู่จริงอย่างที่เขาเล่าลือหรือไม่
ที่สำคัญคนที่อยากลองดีด้วยมีอยู่คนหนึ่งล่ะ หลวงเสนาสรศักดิ์เล่าว่าเสือชุ่มนั้นคงกระพัน ต่อสู้กันกับขุนอรรถถึงครึ่งวันกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ
เสือชุ่มนั้นสิ้นชื่อ ส่วนขุนอรรถนั้นมีแผลเท่าแมวข่วน
อยากจะรู้นัก ขุนอรรถนั้นมีฝีมืออย่างที่ว่าไว้หรือไม่ อย่างน้อยวิชาดาบส่วนหนึ่งก็มาจากสำนักเดียวกัน
เมื่อวันนั้นมาถึง ณิรชากำลังซ้อมดาบที่ฝึกมาจากแม่หญิงจันทร์ในกลางดงกล้วยที่ถูกถางเตียน
ตอนนี้ไม่ต้องหลบซ่อนคุณหญิงผู้มารดาแล้ว เมื่อไหร่ที่เรียนว่าจะไปฝึกดาบ ท่านก็โบกมือไล่เลยทีเดียว
“แม่หญิง ฝึกดาบนี่มันทุกข์ขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ แล้วจะฝึกไปทำไมล่ะนี่” แม่อ่อนคนสนิทนั่งมองหล่อนขยับแขนขยับขาตามที่เรียนมา แต่ละท่านับเป็นร้อยครั้งเพื่อให้เกิดความคล่องตัว นึกถึงตอนที่แม่หญิงของตัวไปฝึกใหม่ๆ กลับมาทีไรต้องโอดโอยขอให้อ่อนเอาน้ำมันมานวดให้ทุกทีไป
“นี่แค่เบื้องต้นนะ พี่จันทร์บอกว่าต้องฝึกอย่างนี้นับเดือน นับปี โอ๊ย! แต่กว่าจะผ่านแต่ละขั้น เราต้องฝึกจนดาบกับใจเราเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ก่อน รู้ไหม…พี่เขาว่าฉันเก่ง หัวไวมากๆ”
เคยแอบมองพวกผู้ชายฝึก บางคนเอาดาบฟันไม้ไผ่ที่ห้อยถ่วงลงมาคราวละห้าหกท่อน เพื่อเตรียมพร้อมรับดาบจากเพื่อนร่วมสำนัก นึกแล้วยังเสียวไส้ไม่หาย เสียงดาบที่ฟาดมาไม่มีใครยั้งมือให้ใคร พวกของหลวงเสนาคงฝึกกันเช่นนี้
“บ่าวยังสงสัย แม่หญิงฝึกมากมายอย่างนี้จะเอาไปทำอะไรเจ้าคะ เรี่ยวแรงก็มีแค่นี้ ใครมาฟันก็คงแขนสะเทือนหักได้ง่ายๆ”
“ถึงต้องฝึกอย่างไรเล่าพี่อ่อน เพื่อสร้างกำลังภายใน อีกอย่างเราเป็นหญิง เรี่ยวแรงน้อยกว่าก็ต้องใช้สมองด้วย” หญิงสาวชี้ที่ขมับก่อนจะปัดป่ายดาบที่ร่ำเรียนมา อ่อนพอเห็นว่าท่าดาบของแม่หญิงดูมีแนวทางเป็นระเบียบระบบกว่าตอนที่ยังไม่ได้ไปไหว้ครูมากนัก
ร่างสูงสองร่างปรากฏตัวออกมาจากแนวไม้ คนหนึ่งเพรียว คนหนึ่งทึบหนา ทำให้ณิรชาหยุดมือพร้อมกับส่งยิ้ม
หลวงเสนาสรศักดิ์เดินนำเข้ามาหาน้องสาวตามมาด้วยคู่หูคนสนิท ซึ่งตอนนี้อวยยศเป็น ‘หลวง’ แล้ว ผ้าคาดเอววันนี้ดูเด่นจับตา
หญิงสาวเบิ่งตามองขุน เอ๊ย! หลวงอรรถซึ่งยังคงใช้ราชทินนามเดิมว่าเดชาราชจนอ่อนสะกิด
“ไปจ้องคุณหลวงอย่างนั้นเสียกิริยานะเจ้าคะ ไม่งาม”
เดิมทีหลวงอรรถเดชาราชก็ทำหน้าไม่ถูกอยู่แล้ว พออ่อนทักเช่นนั้น ใบหน้าคร้ามก็เริ่มเข้มขึ้นถึงขั้นหันหน้าหนีทีเดียว
“โธ่! ฉันยินดีกับขุน…หลวงอรรถนี่ เป็นบุญตานักที่ได้เห็นผ้าพระราชทาน ฉันยินดีด้วยนะ…หลวงอรรถ” ณิรชาไม่สะเทือน กลับยิ้มทะเล้นแล้วเดินวนไปรอบๆ คนตัวใหญ่ที่ดูภูมิฐานกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าคาดเอวนั้น ‘ของพระราชทาน’
สงสัยอยู่หรอกเรื่องยศของพวกเขา แต่พอตะล่อมถามพี่ชายเล็กๆ น้อยๆ ถึงพอจับใจความได้ว่าบรรดาศักดิ์หลวงของพี่ชายเป็นระดับอาวุโส เวลาไปไหนจะมีคนยกมือไหว้อยู่เสมอ เรียกอีกอย่างว่าออกหลวง จะเลื่อนเป็นคุณพระเมื่อถึงเวลาและมีความดีความชอบ แต่ของหลวงอรรถนั้นเป็นหลวงระดับต้นๆ
‘ใช่ว่านึกอยากจะเลื่อนยศก็ไปปราบโจร ทำงานทีเลื่อนยศทีไม่ใช่หรอกนะเจ้า ความดีความชอบนั้นต้องสั่งสมนับปี ยิ่งจะเป็นพระหรือพระยายิ่งต้องสั่งสมคุณความดีอยู่นานปี ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ’ พี่ชายเคยบอกไว้อย่างนั้น
“พอทีเถอะไพลิน หลวงอรรถเข้ามานี่กับพี่เพราะพี่ชวนเขามาดูเจ้าฝึกดาบว่าไปถึงไหนแล้ว แม่จันทร์บอกว่าเริ่มสอนดาบสั้นให้เจ้าอีก ไปเป่ามนตร์อะไรเข้าล่ะถึงกลับกลายเป็นศิษย์รักไปได้” หลวงเสนาปราม แม้กิริยาของแม่น้องสาวไม่ใคร่งามตามธรรมเนียม หากไม่ได้ก้าวล้ำจนเสียหาย เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องชินตาของพวกเขาไปแล้ว
“ใคร๊! ว่าฉันไปเป่ามนตร์” มนตร์ของหล่อนคือลูกอ้อนอย่างไรเล่า ไม่เห็นว่าจะมีใครหนีพ้น ทั้งพรรณพิลาศเอย พันรบเอย แล้วยังคนแถวๆ นี้อีก หญิงสาวชำเลืองแลไปยังคนตัวใหญ่ที่ยืนหันข้างให้
ต่อให้ ‘คนใจแข็งหน้าดุ’ อย่างไรก็ยังไม่เห็นจะมีใครต้านได้
“พี่จันทร์เห็นว่าฉันตั้งใจ มีความก้าวหน้าหรอกถึงใจอ่อนจะสอนให้ ไม่แน่นะ ไม่ถึงปี ฉันอาจจะขึ้นชั้นสูงแล้วก็ได้” หญิงสาวคุยโวอวดโอ้ให้ดูน่าหมั่นไส้ ซึ่งเป็นผล…คนที่นิ่งเงียบแต่แรกเปิดปากสั่งสอน
“พื้นฐานต้องแน่น เร่งรัดเร็วไปนักเมื่อเรียนถึงขั้นสูงไปอีกจะตีบตัน ไปต่อไม่ได้” หลวงอรรถเดชาราชคงอดรนทนฟังคนขี้โม้ไม่ได้
ณิรชาในร่างแม่หญิงไพลินยิ้มกริ่ม สบช่องเช่นนี้ จะได้ลองวิชาสักที! “ไม่แน่หรอกนะ ฝีมือของขุน เอ๊ย! หลวง…อรรถจะเหนือกว่าฉันสักเท่าไหร่ ทำไม…เราไม่มาลองประดาบกันดูสักครา”
มือที่กำลังหยิบขันน้ำที่บ่าวเอามาให้ชะงักที่จู่ๆ ถูกแม่หญิงไพลินมาท้าดวลรับบรรดาศักดิ์ใหม่
“ไพลิน! เจ้านี่…จะก้าวร้าวไปแล้ว!” หลวงเสนาปรามเสียงดัง “…ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่”
“โธ่! พี่ดวง ฉันไม่ได้มีเจตนาลบหลู่อะไรนี่ หลวงอรรถไม่ถือ…คน…วิ…ปะ…ลาสอย่างฉันหรอก ใช่ไหม” ณิรชาแก้ตัว หนำซ้ำยังลากเสียงยาว เท้าความเรื่องเก่าๆ
พี่ชายตั้งท่าจะดุต่อแต่ ‘คุณหลวงป้ายแดง’ ค้านเอาไว้
“พี่ดวง ปล่อยแม่ไพลินเถอะขอรับ แม่หญิงไพลินเป็นเช่นนี้มาช้านาน กระผมไม่ถือสาหาความ” หลวงอรรถวางดาบจริงของตัวเองไว้บนแคร่ ส่วนตัวเองหยิบดาบไม้ที่ตั้งไว้อยู่แล้วมาถือไว้
“ถ้าอยากลองก็จะสนองศรัทธาให้” เขายิ้ม… ใครกันว่าเขายิ้มสวย! เชอะ! ยิ้มสวยแบบคนโบราณน่ะสิ
“แต่อย่าให้ถึงกับใช้ดาบจริงเลย” มือใหญ่ลูบปลายดาบไม้ แน่ล่ะ มันไม่คมปลาบเหมือนดาบที่ทำจากเหล็กน้ำพี้เล่มนั้นแน่!
“ดูถูก! ฉันไม่ได้ต้องการให้หลวงอรรถออมมือให้หรอกนะ และฉันจะไม่เอาเปรียบด้วย” หญิงสาวหน้ามุ่ย เดินไปเปลี่ยนดาบจริงของตัวเองให้เป็นดาบไม้เหมือนกัน
“ไพลิน เจ้าไม่ควรก้าวร้าวต่อหลวงอรรถอย่างนี้ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า” พี่ชายที่นั่งอยู่ตำหนิ คิ้วขมวดมุ่น ไม่ชอบใจ คิดว่าดีๆ กันแล้วเสียอีก นี่กลับมาหาเรื่องเอาชนะ
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับพี่ดวง คนร้อนวิชาก็อย่างนี้” คราวนี้คนเป็นน้องแต่ตัวใหญ่กว่ากลับใจเย็น
“ดูเจ้ามั่นใจนักนะแม่หญิง เอ…ถ้าชนะอยากจะได้อะไรเล่า” ประโยคหลังเขาหันมาทางหล่อน
“จะให้จริงๆ เร้อ… อย่าท้านา ประเดี๋ยวเห็นฝีมือของฉันแล้วจะต๊กกะใจ… มือไม้อ่อน แพ้ไม่เป็นท่า ไม่รู้ด้วยนา…” หล่อนควงดาบในมือสองสามรอบเป็นการข่มขวัญ
แค่นึกภาพหลวงอรรถอ้าปากตาค้าง ทำดาบหลุดมือล่ะ โอ๊ย! มีความสุข
“แม่หญิง!” อ่อนยังทำท่าตกอกตกใจที่เห็นท่าวางก้ามของนายหญิงอย่างนั้น ไหนว่าเพิ่งถ่อมตัวว่าฝึกถึงแค่เบื้องต้นไปหมาดๆ เอง แล้วไฉนจู่ๆ ไปอวดตัวหาญต่อกรท้าหลวงอรรถเสียอย่างนั้น
“ไพลิน! ท้าทายผู้ใหญ่อย่างนี้ไม่งามนะ” หลวงเสนามีสีหน้ายุ่ง การประดาบจะลุกลาม น้องสาวคนเดียวเคยยอมเสียที่ไหน เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องขี้แพ้ชวนตีหรอก
“แค่ชวนหลวงอรรถมาประดาบอย่างนี้ก็เสียมารยาทมากแล้ว” เขาไม่ชอบใจนักที่เพื่อนกลับนึกสนุกมาต่อสู้กับน้องสาวอย่างนี้
หลวงอรรถต่างหากที่มีเลศนัย ยังคงนิ่งไม่วอกแวก ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ณิรชาที่ถือดาบตั้งท่าเอาไว้
“ตกลงว่าเจ้าชนะ อยากจะได้อะไรเล่า” ชายหนุ่มถามซ้ำ
“ให้…ทุกอย่างเชียวหรือ” หญิงสาวหรี่ตา ถามย้ำ
“ใช่…ทุกอย่าง เท่าที่จะสามารถหาให้ได้…” เขาคงบอกเผื่อเอาไว้ถ้าหล่อนอุตริจะเอาดาวกับเดือน
รู้ๆ กัน ..กับแม่หญิงไพลินต้องคอยระมัดระวังเสมอ กล้าท้าทายเช่นนี้อาจใช้เล่ห์กล
ณิรชาไม่ทันนึกถึงว่าถ้าชนะจะได้อะไร คิดแค่อยากลองวิชา หาเรื่องเล่นกับหลวงอรรถเท่านั้น สิ่งที่ปรารถนามันก็มีมากมายเหลือเกิน ทว่า…ความฝันสูงสุดก็มีเช่นกัน
“ฉันอยากไปไหว้พระศรีสรรเพชญดาญาณ เขาว่าท่านงามนักหนา หล่อทองสูงเท่าคนจริง ไปกราบองค์พระใกล้ๆ ข้างในอุโบสถเลยนะ ได้ไหมเล่า” วัดในวังหลวงใช่ว่าคนจะเข้าไปง่ายๆ ขอเอาไว้ก่อนเผื่อฟลุก ใครจะรู้…เผื่อว่าหลวงอรรถเกิดใจเสาะเมื่อเห็นฝีมือของหล่อนแล้วพานมือไม้อ่อนขึ้นมาจริงๆ
หล่อนยิ้มกริ่ม ฝันหวานไปไกล
หลวงอรรถสบตาหลวงเสนาเป็นเชิงแปลกใจ อาจเป็นเพราะแม่หญิงไพลินเป็นถึงนางข้างใน ไฉนถึงไม่เคยไปบูชาองค์พระท่าน แต่ก็ตอบสั้นๆ “ได้สิ”
คนขอกระหยิ่มยิ้มย่อง นึกไปว่าเขาคงพอมีเส้นสาย หรือไม่อย่างนั้นก็คงแน่ใจว่าณิรชาไม่มีทางเอาชนะได้แน่
เอ…น่าจะเป็นอย่างหลัง
“แล้วหลวงอรรถล่ะ ถ้าชนะ อยากให้ฉันทำอะไร” คราวนี้หล่อนถามเขาบ้างจะได้เสมอกัน ไม่เอาเปรียบฝ่ายเดียว
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ให้เจ้าเรียกและเคารพเราเป็น ‘พี่’ เสียที”
“ใช่ๆ…เจ้าเสียมารยาทกับหลวงอรรถมานานนัก ให้เรียกพี่เสียทีก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง” คราวนี้พี่ชายตบเข่าชอบใจ พยักพเยิดกับแม่พี่เลี้ยง
หญิงสาวถึงกับพับแขนเสื้อขึ้นด้วยลีลานักเลง ถ้าคุณหญิงผู้มารดาเห็นเข้าคงเป็นลม
“โอ๊ะโอ๋… คาใจล่ะสิ อย่างนี้…เห็นทีจะยอมแพ้ไม่ได้แล้ว!” เรื่องอะไร ถ้านับตามอายุจริง หล่อนแก่กว่าพวกเขาเสียอีก ลงอยากให้เรียกขานอย่างนี้แสดงว่าคุณหลวงอรรถป้ายแดงคงคาอกคาใจมานานแล้วสิ
บอกแล้วว่าคนโบราณ!
สองคนต่างก้าวออกไปตรงกลางลานฝึกซ้อมที่ถูกถางเตียน
พอประจันหน้าจริงๆ แล้ว โอกาส ‘แพ้’ ภายในสามวินาทีมีถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ น่าอนาถไปหน่อย
“หลวงอรรถต้องต่อให้เราด้วยสิ” หลังจากที่คำนวณแล้ว ขอต่อรองนิดคงไม่เป็นไร
“อ้าว! ไหนว่าสู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” อ่อนลืมตัวค้านขึ้นมา
“เหอะ…”
หลวงอรรถเผลอโคลงศีรษะ ยิ่งดูยิ่งขำขันกับแม่หญิงไพลินผู้นี้ “เอาเถอะ เราจะต่อให้ เราจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหน และจะใช้แขนข้างเดียวด้วย พอใจหรือยัง” ชายหนุ่มขีดเส้น ยืนปักหลักด้วยท่าพื้นฐาน อย่างน้อยลองกล้าท้าอย่างนี้อาจจะมีเล่ห์กลใดให้แปลกใจ
ณิรชาเริ่มก่อนด้วยเชิงดาบที่เรียนมาจากสำนักของขุนพิชิตศาสตรา ซึ่งหลวงอรรถเองก็ปัดวิถีดาบออกไปได้โดยง่ายเรียกได้ว่าคนละชั้น ลืมไปเสียสนิท เพลงดาบของเขามาจากสำนักเดียวกันจึงนับเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ถึงจะไม่ทั้งหมดก็ตาม เพราะเดิมชายหนุ่มมีฝีมือดาบมาจากครูทางใต้อยู่แล้ว แต่เรื่องอะไรจะยอมแพ้ทางดาบของหล่อนได้
มีอยู่สองสามครั้งที่ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจกับท่าดาบที่หล่อนฟาดไป ก็ทำไมจะไม่แปลก ในเมื่อหล่อนผสมกับท่าที่คิดไว้เรื่อยเปื่อย เรื่องตีกันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ตอนเด็กๆ ณิรชาใช้ดาบไม้อัดพันรบเสียจนหนีไปฟ้องพ่อกับแม่ตั้งบ่อยครั้ง
“แม่หญิงไพลินเก่งกาจถึงขั้นคิดเพลงดาบได้เองเชียว” แม้แต่แม่หญิงจันทร์เองยังเคยทักเมื่อเห็นหล่อนรำให้ดูเมื่อไม่นานมานี้
ณิรชาไม่หาญกล้าขนาดนั้น แค่แสดงให้ดูแล้วคิดเพ้อฝันตามเรื่องตามราว เผื่อว่าถ้าแม่หญิงจันทร์สามารถเอาไปปรับปรุงได้บ้าง อาจจะพอช่วยบ้านเมืองในยามคับขันได้
“หลวงอรรถ! อย่าได้เอาแต่ปัดป้อง คิดจะดูถูกว่า…ว่า…เราด้อยฝีมือกว่าหรืออย่างไร” หญิงสาวปากเก่ง ชักยอมรับว่าเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว ดาบไม้ในมือพานหนักขึ้นมาเฉยๆ หล่อนใช้ความเร็วอวดโอ้รุกเขามากไปหน่อย ผิดกับฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายตั้งรับตลอด ตัวโตกว่าฝีมือมากกว่า แขนก็ยาวกว่า ขยับซ้ายขยับขวานิดเดียวก็ปัดป้องทางดาบได้ ไม่มีวี่แววขยับออกจากเส้นที่ขีดเอาไว้
“…ก็ได้…” ชายหนุ่มคงเห็นสินะว่าเรี่ยวแรงของแม่หญิงไพลินคนกล้าตกไปมาก เขาจึงเผลอยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวกำลังงงไม่รู้สาเหตุที่เขายิ้ม เพียงพริบตาเดียวที่เห็นว่าผิดท่า แค่คนตัวโตสะบัดมือเล็กน้อย ดาบไม้ในมือก็ปลิวหวือไปอยู่นอกเขตต่อสู้เป็นอันชี้ขาด!
ณิรชายืนอึ้งไปอึดใจ มองตามดาบของตัวเองที่หลุดจากมือลอยโค้งไปตกพื้นดินอย่างกับภาพสโลว์โมชั่น
นี่เขาแกล้งให้หล่อนเต้นเหยง ทั้งๆ ที่ตัวเองแค่สะบัดข้อมือนิดเดียวก็คว่ำหล่อนเมื่อไหร่ก็ได้! อย่างนั้นหรือ…
“เจ้าแพ้แล้ว แม่หญิงไพลิน” หลวงอรรถเดิน ‘ลอยชาย’ กลับไปที่พี่ชายนั่งอยู่
“หรือเจ้าจะประลองใหม่ ถ้าไม่ยินยอมพร้อมใจ” ในน้ำเสียงนั้นไม่ได้เยาะเย้ยหรอก แต่มั่นใจในชัยชนะเต็มเปี่ยม
หญิงสาวกำหมัดแน่น เดินกลับไปนั่งหน้ามุ่ยที่อีกด้านหนึ่งของแคร่ยาวเช่นกัน
“ว่าอย่างไรเล่า คนแพ้” หลวงเสนาหัวเราะชอบใจ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นพี่ชายของใคร ของแม่หญิงไพลินหรือหลวงอรรถกันแน่ เข้าข้างกันเหลือเกิน
ยังจะแม่อ่อนตัวดีอีกคน ทำยิ้มกริ่มเยาะเย้ยแทนกัน
“แพ้ก็แพ้สิ ท่านเป็นถึงหลวงอรรถ ฝีมือช่ำชองกว่าเรา แล้วยังเป็นผู้ชาย” แพ้แล้วขอกระแหนะกระแหนสักนิดคงไม่เป็นไรกระมัง
“อ้าว! เจ้าท้าเขาก่อนนี่ น่าจะรู้ว่าสู้ไม่ได้” พี่ชายเป็นทนายหน้าหอให้เสียอีก
“พี่ดวง! ตกลงนี่พี่ดวงเป็นพี่ของใคร!” หล่อนปรี๊ด ไม่แปลกที่แม่หญิงไพลิน…จะแพ้แล้วพาล
“แม่หญิงเจ้าขา แพ้แล้วสินะเจ้าคะ” คราวนี้พี่เลี้ยงปิดอาการไม่มิด หัวเราะคิกคักสะใจ
หลวงอรรถพูดปลอบคนที่ถือดีมาตลอดอย่างสาวน้อยตรงหน้า “อย่าได้เคืองเลยแม่หญิงไพลิน เห็นว่าเจ้าอุตส่าห์ฝึกซ้อมกับแม่หญิงจันทร์อย่างขะมักเขม้น ได้รับคำชมมากมายจากท่านครู เมื่ออยากจะลองสิ่งที่เรียนรู้ย่อมต้องมาทดสอบ พวกเราก็เป็นแบบนี้กันทุกคน ที่จริงฝีมือของเจ้านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพลประจำการจนเราเองยังแปลกใจ ไม่นึกว่าเจ้าจะมีฝีมือในเวลาอันสั้นแบบนี้ นับว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในทางนี้โดยแท้” วันนี้พูดดีมาปลอบให้กำลังใจเสียอีก
“จริงหรือ… ฉันเก่งจริงๆ หรือ” คราวนี้ณิรชาค่อยยิ้มออก ไม่น่าเชื่อว่าคนหน้าเคร่งจอมฉุนเฉียวจะพูดจาให้กำลังใจคนเป็น
“จริงสิ ไม่เชื่อถามพี่ดวงดูก็ได้”
หญิงสาวหันไปทางหลวงเสนาซึ่งพยักหน้ารับ “เชื่อเถอะไพลิน หลวงอรรถหาใช่คนชอบโกหกพกลมไม่” ท่าทีของพี่ชายไม่มีแววล้อเล่น
นี่แหละหนา คนที่มักพูดจริงเสมอกับคนที่ชอบโกหกเสมอต่างกันตรงนี้ คำใดที่หลวงอรรถพูดย่อมเชื่อถือได้เสมอ
ถึงจะอยากเอาใจอย่างไร เขาคงไม่ฝืนใจโป้ปดชุดใหญ่หรอก
“พี่ดวงขอรับ น้องสาวของพี่ดวงคนนี้เห็นทีจะตั้งค่ายดาบของตัวเองในวันข้างหน้าเป็นแม่นมั่น ถ้าอย่างไร เราช่วยสงเคราะห์เป็นคู่ดาบให้ก่อนคงไม่เป็นไร” อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย
“พี่ดวงจ๋า…” หญิงสาวลากเสียงออดอ้อนไม่เคอะเขิน กระเถิบเข้าไปนั่งชิดพี่ชายเป็นเชิงประจบ
“อย่าเคืองน้องเลยนะจ๊ะ ฉันแค่อยากลองเพลงดาบที่เรียนมาเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดก้าวร้าวกับหลวงอรรถสักหน่อย ฉันรู้ตัวดีอยู่แล้ว มีฝีมือเท่าขี้เล็บจะไปหาญสู้เขาได้อย่างไร” หล่อนทำมือเท่าขี้เล็บให้เห็นภาพ
หลวงเสนาได้แต่ถอนใจ เรื่องมันแล้วไปแล้ว และดูท่าเพื่อนรุ่นน้องหาได้ใส่ใจกับอาการลมเพลมพัดของน้องสาว แล้วเขาจะว่าอะไรได้ “ในเมื่อแพ้แล้ว เจ้าควรทำตามคำพูดที่ให้ไว้เมื่อครู่นะไพลิน”
“เจ้าค่ะ จะเอาอย่างไรก็ว่ามาสิ” หญิงสาวย่นจมูกใส่คู่กรณี ไม่งาม แต่คนเห็นชินเสียแล้ว!
หลวงอรรถคู่กรณีส่งดาบไม้ให้อ่อนเอาไปเก็บ ท่าทางสบายใจเสียเหลือเกิน ก็คนชนะนี่!
“อย่างที่ตกลงกันนั่นแหละ เจ้าแพ้ ต้องเรียกคนชนะว่าเป็น ‘พี่’ ”
ณิรชากลอกตา ดูจะฝืนความรู้สึกชอบกลอยู่ ถ้านับตามอายุ หล่อนแก่กว่านี่นา เอ…หรือพวกเขาจะแก่กว่า
ทั้งหลวงเสนาและหลวงอรรถต่างเกิดก่อนกรุงรัตนโกสินทร์เสียอีก ถ้ามีอายุถึงยุคที่หล่อนจากมา พวกเขาน่าจะเป็นตาแก่หนังเหี่ยวอายุเกือบสามร้อยปีแล้ว ตะบันน้ำกินเองยังไม่ไหวเลย
“ไหนล่ะ คนจริง” แต่…เกลียดนักเชียว คนที่ทวงสัญญาอยู่เหยงดูท่าสนุกนัก
“ก็ได้ๆ เรียกหลวง…เอ๊ย! พี่…อรรถ”
“พี่อรรถ!” คนยืนอยู่ตรงหน้าเท้าเอวจงใจย้ำเสียจริง
ณิรชาในร่างแม่หญิงไพลินสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “พี่อรรถ!” กระแทกเสียงดังให้ฟังกันชัดๆ
“พอใจได้แล้วกระมังเจ้าคะ พี่อรรถ” หญิงสาวประชด
หลวงอรรถเองคงทราบ ขืนเคี่ยวเข็ญมากกว่านี้ก็คงจะไม่ได้การจึงยิ้มอย่างพอใจซึ่งนานๆ จะเห็นสักครั้ง
นึกว่ากำราบหล่อนได้ล่ะสิ เชอะ! หญิงสาวแอบย่นจมูก ยอม…ให้ต่างหากเล่า ไม่อยากเสียฟอร์มที่จู่ๆ ต้องไปนับพี่นับน้องหรอกถึงได้แกล้งท้าไปอย่างนั้น รู้อยู่แล้วว่าต้องแพ้
เหอะ…ให้คนแก่อายุเกือบสามร้อยปีดีใจเล่น!
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน ตราบแผ่นดิน… สิ้นกาลเวลา ฉบับเต็ม
ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop
Comments
comments
No tags for this post.