X
    Categories: LOVEตราบแผ่นดิน... สิ้นกาลเวลาทดลองอ่าน

ทดลองอ่านนิยาย ตราบแผ่นดิน… สิ้นกาลเวลา เล่ม 1 บทที่ 7 – บทที่ 8

บทที่ 7 อดีตบรรจบ

 

เรือลำน้อยสองลำพายไปตามคลองสัญจรต่างๆ ณิรชาในร่างแม่หญิงไพลินพยายามนึกถึงถนนหลายสายหรือสถานที่ต่างๆ ในอีกสองร้อยกว่าปีข้างหน้า แต่ก็ไม่คุ้นเอาเสียเลย ดูเหมือนอะไรๆ ล้วนเปลี่ยนไปมากมายนัก

อยุธยาในยุคนี้สมกับชื่อเมืองแห่งคลองจริงๆ พาหนะส่วนใหญ่ของคนที่นี่คือเรือ มีทุกรูปแบบ บางช่วงบางตอนผู้คนก็พลุกพล่าน จอแจ และเต็มไปด้วยข้าวของเกือบเต็มลำ ที่ดีที่สุดคือไม่มีน้ำเสียหรือคราบน้ำมันลอยฟ่อง เสียงก็เงียบเพราะเป็นเสียงพายกระทบน้ำไม่ใช่เสียงเครื่องยนต์เหมือนกับตลาดน้ำต่างๆ ในกรุงรัตนโกสินทร์

ตลอดคลองบางช่วงบางตอนถูกซอยย่อยเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ บางหลังใหญ่โตกว่าบ้านของแม่หญิงไพลิน แม่อ่อนเองไม่ได้รู้จักหมดนอกจากบอกได้แต่เพียงว่าเป็นบ้านผู้หลักผู้ใหญ่ระดับเจ้าพระยาทั้งนั้น แต่ที่เห็นมากและหนาแน่นก็จะมีเรือนแพของชาวบ้านอยู่ริมน้ำ บ้างเรียงกันเป็นแนวกว้างบนผืนน้ำกินเนื้อที่คลองไปกว่าครึ่ง

เชื่อแล้วว่าคนในยุคนี้ ชีวิตผูกพันกับสายน้ำจนเรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย

ภาพที่เห็นไม่ได้สวยสดงดงามนัก อาจจะดูสกปรกและไม่ถูกสุขลักษณะเสียด้วยซ้ำ แต่นี่คือวิถีชีวิต ของเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน ในเวลานี้ธรรมชาติยังมีกำลังพอที่จะกำจัดได้

น่าเสียดายเหลือเกินที่ภาพเหล่านี้จะถูกทำลายให้หายไปด้วยน้ำมือของคนและกาลเวลา

ถ้ามีกล้องถ่ายรูปก็คงดีสินะ จะได้เก็บเอาไว้

“คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ หน้าเศร้าเชียว” อ่อนคงสังเกตเห็นเป็นแน่ ทำให้หญิงสาวรีบกลบเกลื่อน ตระหนักดีอยู่ในอกว่าคงไม่มีอะไรที่จะสามารถนำกลับไปได้นอกจากความทรงจำ

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่นึกว่าไม่ได้เห็นบ้านเมืองเสียนานเท่านั้น”

“เดี๋ยวก็เห็นจนเบื่อแหละ แน่ะ…ถึงวัดแล้วเจ้าค่ะ ไอ้ปลั่ง เอ็งเข้าเทียบท่าดีๆ หน่อยนะ ถ้าแม่หญิงตกน้ำตกท่าไปจะเป็นเรื่องใหญ่” พี่เลี้ยงสั่งให้ปลั่งซึ่งตอนนี้คล้ายเลื่อนขั้นเป็นฝีพายประจำตัววาดพายเข้าสู่ศาลาท่าวัดแห่งหนึ่ง ณิรชาไม่กล้าถามหรอกว่าชื่อวัดอะไร เดี๋ยวแม่อ่อนจะได้กลุ้มใจอีก จัดข้าวของเสร็จก็ลีลานิดหน่อยให้พี่เลี้ยงนำขบวนไปก่อน

หญิงสาวพยายามจดจำกิริยาของคนที่เข้าวัดและเวลาเจอพระรูปอื่นๆ จนกระทั่งแม่อ่อนพาไปยังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ข้างอุโบสถ
ภาพพระสงฆ์วัยชรากำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ทำให้ณิรชารู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นาน ใช่สิ…หญิงสาวชะงักเท้า ระลึกถึงพระสงฆ์รูปนั้นที่หล่อนถวายสังฆทานก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุแล้ววิญญาณก็ล่องลอยมาอยู่ที่นี่ เพียงแต่รูปที่เห็นนี้ดูสูงวัยกว่าเท่านั้น

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คงเป็นเพราะมีความเกี่ยวพันกัน ถึงได้มีเหตุไปพบกันในกาลข้างหน้า

ทุกคนพากันทรุดนั่งเรียบร้อย ส่วนณิรชาก็พยายามสำรวมอย่างเต็มที่ แอบมีเงอะงะในบางครั้ง เสียงขยับของหล่อนทำให้ท่านผู้ทรงศีลลืมตาขึ้น

“คุณหญิงท่านให้บ่าวพาแม่หญิงมาเยี่ยมหลวงตาเจ้าค่ะ” หญิงสาวรู้สึกขอบคุณพี่เลี้ยงที่ช่วยนำก่อน

“ร่างกายสบายดีแล้วรึโยม ไม่มีอะไรร้อนใจใช่ไหม” น้ำเสียงอารีนั้นเย็นใส จนทำให้หล่อนอดก้มลงกราบไม่ได้ รู้ตัวดีว่าแท้จริงตนเองไม่ใช่หลาน เป็นแค่วิญญาณอาศัยร่าง จึงไม่อาจแอบอ้างต่อผู้รู้ได้

“หลาน เอ๊ย! อิฉันสบายดีเจ้าค่ะ คุณท่านที่บ้านท่านก็เมตตาดีเจ้าค่ะ”

“เป็นลูกหลานเพราะกรรมผูกพัน รับกันเป็นญาติได้ ไม่เป็นไรหรอก” ท่านมีเมตตาเพราะคงเห็นท่าทีอิหลักอิเหลื่อกับการนับสถานะตัวเองของหล่อน ความนัยนี้จึงรู้กันโดยไม่ต้องอธิบายมากความ

“อิฉัน…เอ้อ…หลานขอบพระคุณเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจริงๆ หลวงตาจะช่วยได้ไหมเจ้าคะ” หล่อนรีบยิงคำถามก่อนที่คนอื่นๆ จะคิดทันถึงเรื่องที่กำลังพูด แปลกเหมือนกันที่ณิรชาไม่ได้เกรงกลัวต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เพียงแต่ต้องการคำอธิบายถึงเหตุผลที่เกิดขึ้น

หล่อนเชื่อใน ‘หลักวิทยาศาสตร์’ ที่ต้องสามารถพิสูจน์ได้ ในขณะเดียวกันปรัชญาของศาสนาที่ว่าด้วยกรรมอันเกิดจากการกระทำนั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกปลูกฝังมาตลอดชีวิต หากนั่นต้องไม่ใช่ไสยศาสตร์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์

“ตอนนี้เจ้ายังอยู่สบายดีไม่ใช่รึ”

“เจ้าค่ะ พออยู่ได้เจ้าค่ะ แต่หลานไม่เข้าใจ…ที่มาและที่…จะไป…”

“ต้องรอให้ถึงเวลา… เมื่อเวลานั้นมาถึงก็จะรู้แจ้งเอง และคงจะได้ไป” ท่านบอกสั้นๆ

“เจ้าค่ะ” ณิรชาจำต้องรับคำสั้นๆ เช่นกัน ถ้าได้ไปก็ดี แต่จะไปไหนเล่า

“แม่หญิง คุยอะไรกับท่านเจ้าคะ บ่าวไม่เห็นรู้เรื่องเลย” คนข้างๆ กระซิบ

“เรื่องของเวลา” หล่อนตอบแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้เป็นการโป้ปดต่อหน้าพระ

ทั้งๆ ที่อยากจะถามสารทุกข์สุกดิบของแม่หญิงไพลินสักหน่อยแต่ก็ต้องเงียบไว้ ถ้าสลับกันไปอยู่อีกยุคอย่างที่ควรจะเป็น เจ้าหล่อนผู้นั้นคงเป็นขาวีนที่น่าจะทำความหนักใจให้กับพรรณพิลาศและพันรบแน่ๆ

 

หญิงสาวถวายของพร้อมกับสนทนากับหลวงตาน้อยอีกชั่วครู่ ส่วนใหญ่เป็นการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของโลกในยุคที่อยู่นี้ ซึ่งท่านก็เมตตาเล่าให้ฟัง จนอ่อนยังบอกว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นหลวงตาน้อยกับแม่หญิงไพลินสนทนากันได้ยาวเช่นนี้

โชคดีที่ท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงไม่ได้มาด้วย ไม่เช่นนั้นเรื่องคงไม่จบง่ายๆ เพราะท่านทั้งสองล้วนต้องสงสัยในสิ่งที่พูดมากกว่าแม่อ่อน เพราะเท่าที่ทราบ นอกจากแต่งตัวเข้าวังเพื่อถวายงานแล้ว ณิรชายังไม่เคยได้ยินว่าแม่หญิงไพลินมีความใฝ่รู้ในเรื่องของธรรมะหรือชอบสนทนากับหลวงตาน้อย ส่วนคนที่มาด้วยก็ไม่สงสัยนักเพราะเป็นความรู้ทั่วไป และหล่อนเป็นคนหัวไวพอที่จะจับความสั้นๆ จากท่านได้ หญิงสาวเองก็ค่อยรู้สึกโล่งใจและไม่อึดอัดที่ยังพอมีคนทราบว่าหล่อนเป็นใครมาจากไหน

เมื่อถึงเวลาก็ลาหลวงตาน้อยกลับ ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินก็ขอให้แม่อ่อนกับบ่าวพาไปยังตลาดใกล้กำแพงวังหลวงที่เรียกว่า ‘ตลาดหน้าวัง’ ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมีตลาดขายของทั่วไปที่เรียกว่าย่านป่าอะไรต่อมิอะไรเรียงติดกันเป็นแถวไป หล่อนอยากเห็นนักว่าตลาดที่ในหนังสือบอกว่ามีตั้งหลายแห่งจะมีลักษณะเช่นไร

ระหว่างทางณิรชามองเห็นหลังคาปราสาทราชมณเฑียรเป็นสีทองอร่ามชัดตา ชื่อพระที่นั่งอะไรบ้างหนอ…จำไม่ได้หรอก ถามแม่อ่อนก็คงไม่รู้เรื่อง

แสงที่สะท้อนเข้าตายามเมื่อต้องแสงแดดนั้นระยิบระยับนัก

เชื่อเถอะ…ในยุคสมัยข้างหน้า ต่อให้อ่านหนังสือกี่ร้อยเล่ม มีคำบรรยายกี่พันประโยคก็หาได้เทียบเทียมภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่

ความงามความรุ่งเรืองของอยุธยาศูนย์กลางการค้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนอยู่ตรงหน้านี่เอง!

อนิจจาอีกไม่นาน ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงซากโบราณสถานที่บ่งถึงอดีตที่เคยเกรียงไกรเท่านั้น

“คนเยอะ ระวังหน่อยนะเจ้าคะ“

แม่อ่อนเตือนเมื่อหญิงสาวมัวแต่หันซ้ายแลขวาราวกับเด็กที่เพิ่งได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ พวกหล่อนให้บ่าวจอดเรือไว้แล้วลงเดินไปบนถนนที่ปูด้วยอิฐตะแคง ว่ากันว่าอิฐรุ่นที่กรมศิลปากรสร้างมาทดแทนจะมีสัญลักษณ์กำกับเอาไว้ นี่ถ้าไม่เกรงใจแม่อ่อน ณิรชาจะลองแคะดูว่าอิฐโบราณกับอิฐของกรมศิลปากรนั้นต่างกันอย่างไร

มีอะไรมากมายที่อยากรู้อยากเห็น และหนังสือประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยให้ความกระจ่าง ยิ่งข้อมูลมากยิ่งสับสน ที่แน่ๆ ประวัติศาสตร์ที่เคยเรียบเรียงจากหนังสือหลายๆ เล่มนั้นยังมีข้อกังขาอยู่หลายเรื่อง

วันนี้คงต้องขอสำรวจดูคร่าวๆ ก่อน คราวหน้าจะมาเจาะให้ลึกหนำใจ อะไรๆ ที่ผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ถกกันจะได้รู้แจ้งกันเสียที

“แม่หญิงเจ้าขา เดินดีๆ นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะเดินชนคนอื่นเข้า” คนสนิทคอยเตือนเมื่อหญิงสาวหยุดเท้าชะเง้อมองข้ามกำแพงวังหลวง

“ในพระราชวังหลวงคงจะงามนักนะพี่อ่อน” ณิรชารำพึงแหงนมองยอดปราสาท ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในกำแพงนั้นยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นหลักฐานทางเอกสารฉบับใดทั้งที่เขียนโดยคนต่างชาติหรือจากความทรงจำของชาวอยุธยาล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่างดงามยิ่งใหญ่เกินพรรณนา น่าเสียดายนัก…

ไหนจะหอสมุดที่ถูกเผาจนไม่เหลือพงศาวดารที่สมบูรณ์ให้กับลูกหลาน ไหนจะหอพระเทพบิดร หรือพระรูปหล่อของสมเด็จพระนเรศวร พระศรีสรรเพชญดาญาณและสิ่งล้ำค่าอีกมากมายที่สูญเสียไป

แต่ ณ ขณะนี้ หลังกำแพงหนาทึบนี้ ทุกสิ่งยังคงสมบูรณ์

“ก็ต้องงามสิเจ้าคะ แม่หญิงเล่าให้บ่าวฟังอยู่บ่อยไป” พี่เลี้ยงตอบด้วยความฉงน

หญิงสาวแอบถอนหายใจ ลืมไปว่าแม่หญิงไพลินนั้นเป็นชาววัง ข้างในตำหนักสำคัญ เจ้าหล่อนก็คงเดินไปไหนมาไหนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว แต่ณิรชาคงไม่มีวาสนา ขืนเข้าไปคงถูกพระราชอาญาแน่ ฐานทะเล่อทะล่าไปทำอะไรรุ่มร่าม

คิดแล้วก็ต้องทอดถอนใจ นี่แหละข้อจำกัดของห้วงเวลาล่ะ พอมาถึงที่จริงๆ กลับไม่สามารถเดินเข้าไปชมเล่นได้เหมือนกับตอนที่กลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ไปแล้ว

“อุ๊ย! นั่น แม่หญิงมาลัยกับแม่หญิงเย็นนี่เจ้าคะ”

“ใครล่ะ” หญิงสาวมองตามมือคนสนิท เห็นหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาหมดจดสองคนกำลังเดินดูของอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่

“เพื่อนสนิทของแม่หญิงอย่างไรเจ้าคะ อยู่ตำหนักเดียวกัน ชอบๆ กันอยู่”

“ชอบๆ กัน จริงหรือ” คำถามมีรอยกังขา เพราะจำได้ว่าเพื่อนหญิงที่เคยไปเยี่ยมตอนฟื้นไข้ใหม่ๆ ไม่ใคร่จะมีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นคนชอบๆ กันนัก

“ปู้โธ่! ก็จริงสิเจ้าคะ ยังเคยมาบ้านเรา” อ่อนยืนยันเป็นมั่นเหมาะ

“ถ้าอย่างนั้น เรามาทางนี้ดีกว่า” ณิรชารีบยื้อยุดฉุดมือพี่เลี้ยงเอาไว้แล้วพาเลี้ยวไปทางอื่น

“ไปไหนเจ้าคะ ไม่ไปทักทายหน่อยหรือเจ้าคะ” พี่เลี้ยงถามงงๆ

“ม่าย…ดีกว่า” หล่อนรีบลากแม่อ่อนไปโดยไวก่อนที่ทั้งสองคนนั้นจะทันสังเกตเห็น จนมาหยุดพักในจุดที่คิดว่าพ้นแล้ว เฮ้อ…ไม่แน่ว่าจะพ้นจริงหรือเปล่า อยู่ใกล้วังอย่างนี้อาจมีสาวชาววังที่รู้จักมาเดินเล่นไม่น้อย

“แม่หญิง! พาบ่าววิ่งมาแบบนี้ บ่าวจะหายใจไม่ทันแล้วนะเจ้าคะ ทำไมต้องหนี คนคุ้นๆ กันทั้งนั้น”

“แต่ฉันไม่คุ้นนี่! เฮ้อ! ช่างเถอะๆ” หล่อนโบกมือ อย่างไรก็คงไม่เข้าใจ

“ฉันไม่อยากเจอคนรู้จักตอนนี้ หัวฉันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เดี๋ยวคนจะไปลือหาว่าฉันวิปลาสจำใครไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่จะกลุ้มใจไปเสียเปล่า” จำได้หรอกว่าสายตาของพวกคนที่มาเยี่ยมแปลความหมายเช่นไร เพียงแต่พวกเขาไม่พูดโพล่งออกมาตรงๆ เหมือนขุนอรรถเท่านั้น

วิปลาส…แหม! นึกถึงแล้วจี๊ดเลย ไม่มีใครทำเสียงเย้ยหยันได้แสบเข้าไปถึงทรวงเท่าเขาอีกแล้ว

หมดเรื่องแล้วถึงได้มองไปรอบๆ หน้าเพิงที่มาหยุดอยู่ ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะที่เห็นเป็นแผงขายอาวุธซึ่งมีทุกรูปแบบ เรียงกันอยู่หลายแผง

ที่จริงของที่ขายในตลาดนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกอาหารสดหรือของชิ้นเล็กๆ ไม่นึกว่าจะมีอาวุธด้วย หญิงสาวจึงเดินไปดูอย่างสนใจ โน่นก็ว่าเป็นเหล็กอรัญญิก นั่นก็ว่าเป็นเหล็กกล้าชั้นดี แต่ที่มาหยุดดูนี่ไม่ทราบว่ามาจากไหน การแต่งตัวดูแปลกจากคนอยุธยาทั่วไปแน่ หนำซ้ำยังมีการตีเหล็กเสียงดังสนั่นให้เห็นกันสดๆ

คนตีเหล็กเองช่างดูน่าขึงขังดีแท้ อยู่หน้าเตาร้อนเหงื่อเต็มตัวก็ยังตีเหล็กได้เสียงหนักแน่นและสม่ำเสมอ คนที่มายืนอยู่ตรงนี้เป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ พวกมีดที่ตีเสร็จแล้วถูกวางหราอยู่ มีทั้งดาบสั้นและดาบยาว ด้ามจับมีมากมายหลายแบบทั้งเรียบและแบบสลักลวดลาย

หญิงสาวเตะตาอยู่ที่ดาบสั้นเล่มหนึ่ง ความยาวของมันมากกว่าที่ใช้เป็นมีดพก สีเนื้อเหล็กก็ดูแตกต่างและมีผิวบางเฉียบ ที่สวยคือรูปลักษณ์ของดาบที่มีความเรียวได้รูป รวมไปถึงด้ามจับและฝักที่วางคู่กันก็มีส่วนประกอบเป็นเงินลงรักลวดลายแปลกแต่คุ้นตา

“แม่หญิง อย่าไปจับต้องของมีคมนะเจ้าคะ เดี๋ยวมันก็บาดมือได้เลือดหรอก” แม่อ่อนเจ้าเก่าห้ามแล้วห้ามอีกยามเมื่อหล่อนจะเอื้อมไปหยิบจับ

แน่ล่ะ! แม่หญิงไพลินกลัวการจับต้องอาวุธเป็นที่สุด แต่…ณิรชาอดใจไม่ไหวจริงๆ หล่อนเอื้อมมือหยิบดาบสั้นเล่มนั้นมาพลิกดูลวดลายด้วยความถูกใจ

ที่บ้าน…กรุงเทพฯ มีของเก่าโบราณทั้งของต่างประเทศและของในไทยที่เก็บสะสมไว้หลายชิ้นด้วยความชอบส่วนตัว ส่วนใหญ่ได้มาโดยบังเอิญและราคาไม่แพง ที่สำคัญยังจดจำได้ว่าดาบเล่มนี้ตกทอดไปถึงมือของหล่อนในอนาคต จากการไปเดินตลาดนัดในสิงห์บุรีเมื่อนานมากแล้ว ไม่ทราบว่าพลัดหลงมาจากไหน ซื้อจากคนขายซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของที่เอามาวางบนผ้าปูกับดินนั้นเป็นของเก่าแก่แท้ๆ

‘ณิ…อย่าซื้อเลย ของมีคมนะ แล้วมีดดาบนี่ก็ดูเก๊าเก่า’ พรรณพิลาศคนเดิมทักท้วงเช่นเคย

‘สวยดีนะ ฉันชอบ เนื้อยังดีอยู่เลย ลวดลายก็แปลก คงเป็นของทำเลียนแบบของเก่า’ เพราะไม่เคยเอาไปพิสูจน์กับใคร ณิรชาเลยไม่เคยทราบเหมือนกันว่าของที่ซื้อในวันนั้นเป็นของเก่าอย่างแท้จริง ทราบแต่เพียงว่าพอได้จับต้องแล้วรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ข้างใน ทั้งอบอุ่นทั้งอาดูรอย่างบอกไม่ถูก

ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าพรรณพิลาศหรือพันรบจะเห็นหล่อนยืนเอามือแตะนั่นแตะนี่ด้วยความอาลัยในซากเมือง หรือวัตถุต่างๆ ดังนั้นดาบเล่มนั้นจึงถูกนำมาเก็บไว้ที่บ้านที่กรุงเทพฯ เป็นสมบัติส่วนตัว

อย่างนี้กระมัง ที่ใครต่อใครมักพูดกันว่า…ของของเราก็ย่อมต้องเป็นของเรา!

ณิรชายิ้มเยื้อนเมื่อรู้ที่มา เพราะอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะมาบรรจบกันอย่างประหลาด

“พี่อ่อนจ๋า ช่วยถามคนขายให้หน่อยได้ไหมว่าดาบเล่มนี้ราคาเท่าไหร่” บางทีของเก่าที่ซื้อมาสะสมเอาไว้ที่บ้านอาจจะเคยเป็นของหล่อนมาก่อนทั้งนั้นก็ได้

“แม่หญิงจะซื้อจริงๆ หรือเจ้าคะ” สีหน้าคนถามไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

“คุณหญิงคงไม่ชอบใจ”

“ใครเค้าจะให้ท่านรู้เล่า แค่นี้ช่วยฉันไม่ได้หรือ พี่อ่อนจ๋า” หญิงสาวออด ทราบดีว่าใช้ไม้นี้มีหรือจะไม่ได้ผล อย่างไรแม่อ่อนก็ต้องอ่อนอยู่ดี

พี่เลี้ยงถอนหายใจแล้วหันไปหาพ่อค้าโดยไม่ต้องย้ำ “พ่อค้า! ดาบเล่มนี้กี่อัฐ”

คนที่กำลังสาละวนอยู่กับการต่อรองราคากับลูกค้ารายอื่นหันมาบอกจำนวนเงิน ณิรชาไม่ทราบหรอกว่าไอ้จำนวนตำลึงที่พูดนั่นมันเป็นเงินเท่าไหร่ ได้ยินแต่เสียงแหลมปรี๊ดของอ่อน

“ตายล่ะ! แพง! อย่าเอาเลยนะเจ้าคะ”

“โธ่! ก็ฉันอยากได้” หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนเป็นคนเจรจากับพ่อค้าเอง เขาดูเป็นชายวัยกลางคน หน้าดุ แต่ดูมีอำนาจอยู่ในที

“ลุงจ๊ะ ช่วยลดราคาให้ฉันหน่อยได้ไหมจ๊ะ” ณิรชาสอบถามด้วยความนอบน้อม อย่างไรคนตรงหน้าก็ดูน่าเกรงขามกว่ามากนัก

ชายคนขายมองหน้าหล่อนอย่างไม่เชื่อน้ำหน้าเท่าไหร่ “แม่หญิงอยากได้จริงๆ รึ”

“ใช่จ้ะ”

“จะเอาไปฝากผู้ใดหรือไม่” คำถามดูซอกแซกไร้มารยาท เพราะมีความนัยหมายถึงของกำนัลให้ชายหนุ่ม จนอ่อนอดไม่ได้เอ็ดเสียงดัง

“เอ๊ะ! แกนี่ มาพูดจาอย่างนี้กับแม่หญิงของข้าได้อย่างไร ไม่ขายก็ไม่ขายสิ ทำไมมาถามซอกแซก ลามปาม ไปเถอะ อย่าไปซื้อกับมันเลย” ว่าแล้วก็จะจูงมือออกไปให้ได้

พ่อค้าไม่สนใจอ่อน กลับถามหล่อนอย่างคาดคั้น “ว่าอย่างไรเล่าแม่หญิง เป็นหญิงแล้วจะเอาไปใช้เองย่อมดูกระไรอยู่ หรือเจ้าจะเอาไปฝากผู้ใดกัน”

ณิรชามองคนถามอย่างพิเคราะห์ ท่าทางเขาเป็นคนพูดตรงและกระด้างอย่างนั้นเอง แต่บุคลิกดูมีความอาวุโสอยู่ในท่าที ร่างกายท่อนบนที่เปลือยตามประสาคนยุคนี้มีรอยสักเป็นอักขระโบราณอย่างคนที่เล่นอาคม

จากเสียงเอะอะของอ่อนและเสียงดังเข้มของคนขายทำให้คนอื่นๆ ที่กำลังดูมีดดาบเล่มอื่นอยู่หันมามองแล้วกระซิบกระซาบกัน คงจะดูผิดปกติไปสักหน่อยที่มีหญิงสาวมาดูอาวุธมีคม ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก

“ฉันอยากซื้อเก็บเอาไปเป็นของฉันจริงๆ เพราะชอบลวดลาย จับแล้วเหมาะมือนัก ไม่คิดจะซื้อให้ใครทั้งนั้น แต่ถ้าจะเอาไว้ทำอย่างอื่นฉันก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ตอนไหน เพราะฉันยังไม่มีความคิดที่จะทำร้ายใคร คงเอาไว้ใช้ป้องกันตัวกระมัง…สักวันหนึ่งหรอกนะ” หญิงสาวยิ้มละไม จะให้เหตุผลที่ดีกว่านี้คงไม่ได้ เพราะมีเจตนาอย่างนั้นจริงๆ

แววตาของคนขายลดความกร้าวลง ชี้มาที่ดาบในมือ

“คำพูดคำจาของเจ้าดูเปิดเผยนัก ดาบสั้นเล่มนี้ ข้าตีและสลักด้วยมือของข้าเอง ใช้เวลาแรมปี ไม่คิดว่ามันจะตกไปในมือของผู้หญิงเช่นเจ้า แต่จะทำเช่นไร ในเมื่อเจ้าเป็นคนแรกที่ตาถึง ถ้าเช่นนั้นนำอัฐออกมาให้ข้าดู ว่ามีอัฐเท่าใด จะมีค่าพอกับมีดดาบฝีมือข้าหรือไม่”

“แม่หญิง!” อ่อนทักท้วง กระตุกมือหญิงสาวให้เดินออกไป

แต่ณิรชาทราบแน่แก่ใจว่าถึงอย่างไรนี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นของหล่อน จึงดึงถุงเงินที่คุณหญิงมอบให้ก่อนออกจากบ้านมาเทลงบนผ้าที่ปูด้านหน้าโดยไม่มีการขยักไว้ ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าทำไมแม่หญิงไพลินต้องทำเช่นนั้น แต่ณิรชาเข้าใจดี

“มันต้องเป็นของหล่อน!”

คนขายมีดดาบพยักหน้า ”คนจริงเหมือนกันนี่” เขากวาดตามองจำนวนเงินที่วางอยู่บนผ้า

“เอาเถอะ แม้เป็นหญิงแต่ก็เป็นคนจริงคู่ควรกับดาบเล่มนี้ ข้าขอแค่หนึ่งในสี่ส่วนของเงินกองนี้ ถ้าตกลง ดาบเล่มนี้จะเป็นของแม่หญิง”

“ฉันตกลง” แม้ไม่ทราบว่าจำนวนที่จัดแบ่งออกมาหนึ่งในสี่นั้นจะมากหรือน้อยกว่าจำนวนที่ขานบอกราคาตอนแรก หญิงสาวก็ให้อ่อนซึ่งไม่ค่อยเต็มใจนักคัดแบ่งออกมาตามจำนวนเงินแล้วส่งให้อีกฝ่าย

คนขายรับเงินใส่พกแล้วห่อดาบด้วยผ้าสะอาดให้อย่างเรียบร้อย

ลืมไป ยุคนี้ไม่ใช้ถุงพลาสติก

“ขอให้โชคดีมีชัยนะแม่หญิง สักวันหนึ่งเจ้าคงได้ใช้ดาบเล่มนี้ ขอให้ได้ใช้ประโยชน์เพื่อปกปักรักษา ขอให้ถือมันอย่างมีสติ มิใช่นำไปทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า หรือใช้เมื่อลุแก่โทสะ”

“ขอบใจจ้ะ ฉันจะจำคำของพ่อลุงเอาไว้” หญิงสาวรับห่อผ้าที่มีมีดซ่อนอยู่ข้างในอย่างมิดชิด ก่อนที่จะเดินออกมา ปล่อยให้คนวิจารณ์กันอยู่ข้างหลัง

เมื่อออกมาแล้ว อ่อนยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เป็นอะไรจ๊ะพี่อ่อน ฉันซื้อแพงมากไปเลยหรือ”

พี่เลี้ยงมีสีหน้าลำบากใจ “เปล่าหรอกเจ้าค่ะ ถูกเกินไปต่างหาก คนอาไร้ พอบ่าวถามก็บอกราคาหนึ่ง พอเอาเข้าจริงๆ ก็อีกราคาหนึ่ง ต่างกันลิบลับ ฟันไม้ไม่กี่ทีก็หักบิ่นเสียเปล่าก็ไม่รู้”

เพราะคนถามคืออ่อน คนบอกถึงตั้งราคาแพงขนาดนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่ได้มาก็พอใจแล้ว” หญิงสาวกอดสมบัติชิ้นแรกที่ซื้อเองเอาไว้แนบอก ที่แท้เจ้าดาบสั้นที่หล่อนชอบปลอกกับด้ามนักก็มีที่มาที่ไปเช่นนี้เอง

ทว่าที่ลุงคนขายบอกว่าจะได้ใช้ อย่างไร เมื่อไหร่หนอ

กำลังชื่นชมกับของที่ได้มา แม่คนสนิทก็กระตุกแขนด้วยความยินดี “อุ๊ย! นั่น คุณหลวงเสนากับท่านขุนอรรถนี่เจ้าคะ”

ชายหนุ่มทั้งคู่กำลังเดินข้ามสะพานมุ่งหน้ามาทางพวกหล่อน ทั้งสองมีรูปร่างสูงแต่โครงหน้าต่างกันโดยสิ้นเชิง หลวงเสนาสรศักดิ์พี่ชายมีผิวออกขาวนวล ใบหน้าดูอ่อนโยนอารมณ์ดี ผิดกับคู่หูอีกคน ใบหน้านั้นออกจะดูบึกบึน โครงหน้าเหลี่ยมดูแข็งกระด้าง โดยเฉพาะ…สายตายามที่มองมาทางแม่หญิงไพลิน

ช่วยไม่ได้…คนไม่ได้ชอบๆ กันนี่…

“สองคนนี้ไม่น่าเป็นเพื่อนกันได้เล้ย!” หญิงสาวรำพึง ส่งยิ้มให้โดยอัตโนมัติ คนที่เดินมาด้านหน้าเหลือบเห็นเข้าเสียก่อน คนทั้งคู่จึงเดินเข้ามาหา จำเป็นอย่างยิ่งที่หญิงสาวต้องทำความเคารพขุนอรรถตามธรรมเนียม ทั้งๆ ที่อายุจริงมากกว่าแท้ๆ เถอะ…ใช่ว่าอีกฝ่ายจะอยากรับไหว้ ดูมึนๆ ตึงๆ ก็…เป็นคดีกันอยู่นี่นา

“ไพลิน เจ้ามาทำอะไรแถวนี้ ไม่ใช่หนีคุณแม่มาหรอกนะ” ดูพี่ชายของหล่อนสิ! คิดว่าหล่อนต้องแหกคอกเสมอเลยหรืออย่างไร

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันไปหาหลวงตามา แล้วก็เลยให้พี่อ่อนพามาที่นี่”

“แล้วได้เจอเพื่อนๆ ของเจ้าบ้างหรือไม่ พี่เห็นอยู่ทางโน้นสองสามคน ถามถึงเจ้าอยู่เมื่อครู่ อยากเจอบ้างไหม”

“โอ๊ะ! ไม่ ไม่“หญิงสาวปฏิเสธเสียงหลงแล้วเสียงอ่อยในตอนท้าย “ฉันจำพวกเขาไม่ได้”

หลวงเสนาสรศักดิ์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ เมื่อนึกได้ว่าครั้งล่าสุดที่เพื่อนชาววังไปเยี่ยมที่บ้าน คนป่วยเอาแต่ยิ้มแห้งๆ ตามองคนนั้นทีคนนี้ทีเพราะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง

“จริงสินะ…พี่ลืมไปว่าเจ้า…ยังไม่หายดี” ชายหนุ่มพูดพลางชี้ไปยังห่อผ้าในมือ

“ว่าแต่มีอะไรอยู่ในห่อผ้าหรือ เจ้าซื้ออะไรมาดูท่าถูกใจนัก”

“เอ้อ…” หญิงสาวชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าจะโดนห้ามอีกหรือไม่ ประเพณีโบราณนั่นแหละ ผู้หญิงมักถูกจัดเป็นเพศที่ถูกกีดกันให้ห่างจากสิ่งที่เรียกว่าอาวุธทั้งปวง

พอเห็นว่าหล่อนอึกอัก ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือมาขอห่อผ้า เมื่อรับไปเปิดดูแล้วจึงเลิกคิ้วอย่างฉงนก่อนที่จะยื่นห่อผ้านั้นส่งต่อให้เพื่อนคนสนิท

“เหล็กน้ำพี้นี่ ทั้งงามทั้งแข็งแกร่ง” ขุนอรรถวิจารณ์สั้นๆ ก่อนจะส่งห่อผ้าคืน…ไปทางแม่อ่อน

ณิรชาได้แต่แอบเหล่ตาดู คันปากอยากหาเรื่องคุย…แต่…ไม่ดีกว่า เขายังไม่ได้ทักหล่อนนี่…

“เจ้าตาดีนัก ไปหาซื้อมาได้อย่างไร ราคาคงไม่ใช่น้อย” พี่ชายใหญ่สุดสอบถามเสียก่อน

“ที่ร้านตีดาบข้างหลังโน้นค่ะ ราคาไม่กี่อัฐ”

หลวงเสนาทำท่าไม่เชื่อ แต่พอณิรชาเล่ารายละเอียดให้ฟังเขาถึงเข้าใจ

“คงเป็นท่านลุงคนนั้นนะพี่ดวง” ขุนอรรถว่าราวกับรู้จัก

“ใครหรือคะ ลุงคนนั้น” หล่อนแทบเขกกะโหลกตัวเอง ลืมตัว…เผลอยื่นหน้าไปคุยด้วยจนได้!

ขุนอรรถไม่ตอบทิ้งจังหวะให้พี่ชายเป็นคนอธิบาย

“พี่ก็ไม่รู้จักจริงๆ นักหรอก ว่ากันว่าเป็นนายบ้านจากเมืองทางเหนือโน่น ปีหนึ่งจะมาสักที ท่านชำนาญเรื่องตีดาบนัก ยิ่งดาบที่ท่านตีเอง เขาว่ามักจะมีการลงอาคมคุ้มครอง แล้วก็จะเลือกให้คน ตัวดาบเองก็เลือกนายของมัน ใช่ว่าเงินจะซื้อหาได้ ตอนที่ได้รับพระราชทานยศเป็นหลวงใหม่ๆ พี่กับพ่ออรรถก็ได้ดาบมาคนละเล่มโดยบังเอิญเช่นกัน”

“แล้วพี่ดวงได้มาอย่างไรล่ะคะ”

หลวงเสนาหัวเราะในลำคอ “ช่างอัศจรรย์นัก ก็ทำนองเดียวกับเจ้านั่นแหละ”

“เพียงแต่พี่ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมท่านลุงคนนั้นถึงยอมขายให้เจ้าซึ่งเป็นหญิงมาเป็นเจ้าของดาบสั้นเล่มนี้ แต่…ถึงอย่างไรเจ้าคงคู่ควรแล้ว เพราะคนมอบได้มอบให้อย่างเต็มใจ ราคาอัฐที่เจ้าจ่ายไปนั้นก็เป็นเพียงแค่ค่าครูเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันควรไปขอบคุณท่าน”

“แม่หญิง อย่าไปเลย ตาแก่ เอ๊ย! ลุงนั่นดุจะตาย” คนที่ไม่อยากไปเช่นแม่อ่อนหน้าเสีย ก็ว่าเขาเอาไว้เยอะ

หลวงเสนารีบค้าน “อย่าเลยไพลิน ท่านลุงท่านนี้ไม่ชอบคนไปเซ้าซี้ แล้วคงไม่อยากเปิดเผยตัว ไม่เช่นนั้นก็คงป่าวประกาศคุณสมบัติดาบที่ตนเองตีแล้ว เมื่อไม่มีธุระก็อย่าไปรบกวนท่านเลย” คนพูดคงเคยทำมาก่อนแล้วเป็นแน่

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ “แล้วนี่พวกพี่จะไปไหนกันล่ะคะ หรือจะกลับบ้าน”

หลวงเสนาสบตาเพื่อนร่วมทางซึ่งเสไปมองทางอื่น อย่างนี้แสดงว่ามีอะไรที่ไม่อยากให้ทราบ

“พวกพี่จะไปบ้านครูดาบ นัดฝึกดาบเอาไว้ตอนบ่าย” พี่ชายเล่าเรื่อยๆ

หากคนฟังหูตาระยับ “แล้ว…ไกล…ไหม” หล่อนทำเสียงยาวเหมือนไม่ใคร่ใส่ใจนัก

“ไม่หรอก…เอ๊ะ!” พอสักพักคนตอบก็ชักรู้ตัว “ไพลิน เจ้าถามพี่เช่นนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ได้เด็ดขาด! เจ้าต้องรีบกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะเป็นห่วงแย่”

“ก็…ฉันออกบ้านมาทั้งทีนี่นา ไปกับพี่ดวง ไม่เป็นไรกระมัง”

“พี่ดวงขอรับ!” คราวนี้พ่อคนหน้าบึ้งที่อยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณกันเอาไว้ คงกลัวพี่ชายของหล่อนจะใจอ่อนล่ะสิ! ชิ!

“พี่ดวง…ขอฉันไปด้วยเถอะนะ ฉันจะไม่ยุ่ง ไม่กวน ไม่ไป…ขวาง…ทาง…ดาบของใคร” ท้ายประโยคหญิงสาวปรายตาเข้าใส่คนค้าน ขอแขวะใส่ขุนอรรถที่พอได้ฟังแล้วยิ่งหน้าตาบอกบุญไม่รับสักทีเถอะ

“เออ…นี่ไพลิน เจ้าไม่เคยเซ้าซี้พี่อย่างนี้มาก่อน เจ้าเองนั้นเป็นหญิง จะตะลอนๆ ไปไหนมาไหนกับพวกพี่ที่เป็นผู้ชายนั้นเห็นจะไม่งาม”

“โธ่ พี่ดวง” ณิรชาทราบดีว่าถ้ากับหลวงเสนาต้องใช้ไม้อ่อนเข้าไว้ อีกอย่างดูจากสถานการณ์รอบด้านแล้ว การที่ผู้หญิงจะไปไหนมาไหนกับชายหนุ่มในกรณีเช่นนี้น่าจะพออนุโลมได้นี่นา ติดขัดก็อยู่ที่คนตัวหนานั่นแหละ

“ฉันน่ะไม่สบายเป็นแรมเดือน เกือบจะตายอยู่รอมร่อ เกือบจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีก โชคดีที่ฟ้ายังเมตตาพอให้โอกาสฟื้นขึ้นมา ตอนนี้อะไรๆ ก็อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด ถ้าพี่ไม่เมตตาพาฉันไป ท้ายสุดฉันก็ต้องดื้อต้องรั้นไปเที่ยวเล่นเสียเอง ปะเหมาะเคราะห์ร้ายไปก่อเรื่องขึ้นมาอีกอย่างคราวที่แล้วใครจะมาช่วยฉันอีกเล่า นี่ก็ใช่ว่ามีฉันคนเดียวเสียเมื่อไหร่ พี่อ่อนเขาก็จะไปด้วย”

“หา! บ่าวด้วยหรือเจ้าคะ” คนที่ฟังอยู่เฉยๆ ถูกลากเข้าไปร่วมด้วยร้องเสียงหลง

“บ่าวจะได้ถูกเฆี่ยนหลังลายปะไร” อ่อนโอดครวญตามประสา

หญิงสาวไม่ยอมเลิกรา ลากพี่ชายออกให้ออกมาคุยกันเบาๆ “ขุนอรรถ เพื่อนของพี่ดวงคงไม่อยากให้ฉันไปเป็น ก ข ค ล่ะสิ คงกลัวฉันไปเห็นเขาทำขายหน้า รำดาบเปะปะ ฟันคนโน้นคนนี้ใช่ไหมล่ะ”

“ไฮ้! เจ้านี่คิดเรื่อยเปื่อย ขุนอรรถเขาไม่ใช่คนแบบนั้น พี่เองก็เห็นตามเขา ผู้ชาย… เขาไม่ชอบให้ผู้หญิงมาเดินตามหรอกนะ ไม่อยากดูแล แล้วเขาก็ไม่เหมือนพี่ เขามีแต่น้องชาย ไม่มีน้องสาว แม่สิ้นเสียแต่ยังเด็ก ไม่เข้าใจความวุ่นวายของผู้หญิงเหมือนพี่หรอก แล้วไอ้ ก ข ค ของเจ้านี่คืออะไร พี่ฟังไม่เข้าใจ”

หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ถ้าเป็นคุณหญิงผู้เป็นแม่คงเห็นว่าไม่งาม

“อีกแล้ว…อย่ารู้เลยน่า ไว้ถึงเวลาแล้วจะบอก ว่าแต่พี่ดวงช่วยพาฉันไปเปิดหูเปิดตาด้วยคนนะ… นะ พี่ชายคนดี” ขืนบอกตามตรงว่าหล่อนสงสัยความสัมพันธ์ของพี่ชายและขุนอรรถนั้นเกินเพื่อนแล้วจะยุ่ง คนสมัยนี้คงจะรับไม่ได้หรอก ปะเหมาะเคราะห์ดีจะโดนโกรธเอาอย่างร้ายแรง

“เจ้าไม่ต้องมาอ้อนพี่หรอก แล้วเลิกเสียทีเรื่องไปแกล้งแดกดันขุนอรรถเช่นนั้น เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า มันไม่งามรู้ไหม ที่เขาไม่ว่าเจ็บๆ ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนเพราะเขายังเกรงใจพี่ ที่จริง… เขาน่ะมีฝีมือในเชิงดาบดีกว่าพี่เสียอีก “

“จริงเร้อ ถ้าเก่งจริงทำไมซุ่มซ่ามไปฟันแขนฉันเข้าล่ะ” ณิรชาย้อน ไม่ค่อยรู้สึกหรอกเวลาถูกพี่ชายต่อว่า โยนไปให้แม่หญิงไพลินเสียทุกที

“เจ้านี่พูดจาโฉเก ตัวเองนั่นแหละที่หาเรื่อง เอาแขนไปรับดาบเขาต่างหาก เขายั้งมือได้ ไม่ฟันแขนเจ้าขาดก็บุญเท่าใดแล้ว เจ้าพูดเรื่องนี้บ่อยๆ เข้า เขาจะโกรธแล้วจะพานทะเลาะกันอีกนะ“

“ก็ด้าย… ฉันจะพยายามรูดซิปปากให้สนิท” หญิงสาวทำท่ารูดซิปปากแล้วก็นึกขึ้นได้ สมัยก่อนมีที่ไหนเจ้าซิปนั่นน่ะ

“เฮ้อ! พูดจาเลื่อนเปื้อน ฟังไม่เข้าใจอีกแล้ว…แต่เอาเถอะ พี่จะคุยกับเขาเอง เรื่องเจ้าจะตามไป ว่าแต่เจ้าแน่ใจนะว่าจะไปจริงๆ เพราะเป็นที่ที่เจ้าไม่เคยคิดอยากไปมาก่อนแน่นอน”

“ก่อนโน้นไม่อยาก แต่ตอนนี้อยากไปแล้ว”

“เจ้านี่น้า!” พี่ชายโคลงศีรษะก่อนจะเดินกลับไปหาหลวงอรรถ ทำให้ณิรชายิ้มกว้างแทบจะกระโดดตัวลอย

เมื่อไปถึงที่เพื่อนรุ่นน้องยืนรออยู่ หลวงเสนาก็กระแอมกระไออยู่ครู่ใหญ่ “เอ่อ…นี่พ่ออรรถ”

“ไม่ต้องบอกหรอกขอรับ พี่ดวง” ตาคมกริบตวัดฉับมาที่หล่อนซึ่งยืนแอบอยู่ข้างหลังพี่ชาย

“กระผมทราบแล้วว่าแม่หญิงไพลินคงจะต้องไปด้วยเป็นแน่ ถึงได้ให้พวกบ่าวที่มาด้วยไปบอกคนที่รออยู่ที่เรือเรียบร้อยแล้วว่าให้เหลือแต่เพียงพวกฝีพาย นอกนั้นก็ให้กลับไปให้หมดแล้วไปเรียนคุณลุงคุณป้า จะได้ไม่เป็นห่วง”

หน้าตาคนพูดไม่ใคร่จะรับบุญสักเท่าไหร่ คงฝืนใจน่าดู

“อ้อ…ขอบใจนะพ่ออรรถ” หลวงเสนายิ้มแห้งๆ ในขณะที่อ่อนแอบหยิกหล่อนหนึ่งที

“อุ๊ย! ต่อหน้าต่อตาพี่ชายของฉันเลยนะเนี่ย” หล่อนบ่นเสียงอ่อย

“สมน้ำหน้าแล้ว” พี่ชายหยอกเบาๆ

“แปลว่าอะไรคะ ฉันไม่รู้จักคำนี้” หญิงสาวแกล้งทำหน้าเหลอหลา ทำเอาคนทั้งสามส่ายหน้าเอือมระอาไปตามๆ กัน

 

ที่บ้านของขุนพิชิตศาสตราคึกคักไปด้วยคนที่ไปฝึกดาบ ลานบ้านกว้างขวางแบ่งออกเป็นส่วนๆ มีพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่กั้น แต่ละจุดมีอาวุธต่างๆ จัดวางในแต่ละส่วน มีชายฉกรรจ์แบ่งเป็นกลุ่มๆ ฝึกอาวุธ บ้างมีเสียงโลหะกระทบกันเสียงดังสนั่น

หลวงเสนาว่าการฝึกอาวุธนั้นมีลำดับขั้นของการเรียนรู้ มีไปจนถึงการหัดขี่ม้าสู้ศึกและยิงธนูเป็นขั้นตอนชั้นสูง เท่าที่ทราบ ครูดาบอย่างขุนพิชิตศาสตราที่เก่งๆ มีหลายท่าน แต่หลวงเสนากับขุนอรรถเลือกมาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านผู้นี้

เมื่อเดินเข้าไปถึงลานบ้านชั้นในก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดทะมัดทะแมง ผมที่น่าจะปล่อยยาวสลวยกลับเกล้าเป็นมวยอยู่ข้างหลัง เป็นทรงผมอีกรูปแบบหนึ่งของผู้หญิงในยุคนี้ หญิงสาวผู้นั้นเดินตรงเข้ามาทักทายเมื่อเห็นกลุ่มของพวกหล่อน

“พี่ดวง…พี่อรรถ” สายตาของผู้เป็นเจ้าของถิ่นมองผ่านมาทางด้านหลัง

ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินรีบขยับออกมาทำความเคารพแบบเขินๆ ฝากเนื้อฝากตัวเอาไว้ก่อน เพราะเมื่อครู่แม่อ่อนบอกล่วงหน้าตอนเดินมาด้วยกันก่อนหน้านี้แล้ว

“แม่หญิงไม่ชอบคบหากับแม่หญิงจันทร์ลูกสาวของท่านขุนไม่ใช่หรือเจ้าคะ เมื่อก่อนเจอทีไรก็ทำเมินมองไม่ทักทาย หาว่าเขาไม่ใช่ชาววัง แถมพ่อก็ไม่ได้มียศศักดิ์สูงอะไร”

“จริงหรือ ฉันเคยคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ” หญิงสาวตาโตซักถามพี่เลี้ยง

“อย่างนั้นสิเจ้าคะ หนำซ้ำยังไม่อยากให้คุณพี่มาฝึกดาบที่นี่เพราะกลัวมาติดพันแม่หญิงจันทร์ หาว่าไม่เหมาะสม ไม่ชอบนิสัย โวยวายทุกครั้งที่รู้”

ดูท่าแม่หญิงไพลินจะไม่ชอบใครเลยนะนอกจากตัวเอง ที่ผ่านมาคงไม่มีใครกล้าว่าเพราะพ่อแม่มีฐานะเป็นแน่ ถึงแม้ยศศักดิ์จะไม่ใช่เสนาบดีใหญ่ แต่พื้นฐานครอบครัวที่ร่ำรวยก็คงทำให้แม่หญิงคนนี้มองคนอื่นต่ำกว่าไปเสียหมด

“เออ…อย่างนั้นหรือ ฉันจำไม่ได้แฮะ” ณิรชาเผลอเกาศีรษะ แต่พอสบสายตากับคนหน้าดุก็นึกขึ้นได้ว่ากิริยาไม่สำรวมก็เลยรีบเก็บไม้เก็บมือ

“แย่แล้ว…เขาจะให้ฉันเข้าบ้านไหมเนี่ย” ว่าไปก็ชักเป็นกังวล แม่หญิงไพลินนี่ออกฤทธิ์ไว้กับคนไม่น้อยเลยทีเดียว

“…คงไม่เป็นไรกระมังคะ อย่างมากเก๊าะคงเอาไม้ไล่ตี” พอนานเข้าคนสนิทก็กล้าที่จะเหน็บแนมบ้าง

หญิงสาวเองก็กลัวจริงๆ นั่นแหละ แต่ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่า “ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้หรอก พี่อ่อนช่วยเล่าให้ฉันฟังทีเถอะ อย่างน้อยฉันจะได้ทบทวนเอาไว้ ถ้าเกิดแม่หญิงจันทร์นั่นเค้าเอาไม้ไล่ตี ฉันจะได้วิ่งหนีทัน”

โชคดีที่ณิรชามีแม่อ่อนเป็นเอ็นไซโคลพีเดีย ไม่อย่างนั้นคงแย่

“แม่หญิงจันทร์น่ะเขาเก่งนะเจ้าคะ คล่องแคล่วทั้งงานบ้านทั้งเก่งการต่อสู้ กำพร้าแม่แต่เล็กก็เลยดูแลบ้าน คุมคนแทนพ่อทุกอย่าง เค้าว่ากันว่าฝีมือดาบก็เก่งเอาการนะเจ้าคะ เก่งกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก”

“แล้วจริงๆ เขามีท่าทีกับพี่ชายฉันหรือเปล่า”

“อุ๊ย! บ่าวไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ ไม่ได้ตามติดอย่างท่านขุนอรรถนี่เจ้าคะ อีกอย่าง…คุณหลวงท่านก็มี…” เหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้นแต่อ่อนกลับทำขยักไม่พูดต่อจนมาถึงบ้านของขุนพิชิตศาสตรา

“ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะใจกว้างนะ” หญิงสาวคิดในใจ อายเหมือนกันที่ร่างนี้เคยทำฤทธิ์เอาไว้ แม่จันทร์หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไร คงไม่ใจร้ายหรอก ท่าทางหล่อนรับไหว้อย่างงงๆ ด้วยซ้ำที่จู่ๆ คนที่เคยทำเชิดใส่มายกมือไหว้หน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมอย่างนี้

“ไพลิน น้องของพี่เขาป่วยมานาน เจ้าก็รู้ นี่เพิ่งฟื้นไข้ได้ไม่กี่วันเลยอยากมาเดินเล่น”

“สบายดีแล้วหรือแม่ไพลิน” แม่หญิงจันทร์ยังอุตส่าห์ถามไถ่

“ฉันหายดีแล้วค่ะ แม่หญิงจันทร์”

“แหม เรียกพี่สิ แม่จันทร์แก่วัยกว่าเจ้านะ” พี่ชายเตือน ไม่รู้ว่าตอนเป็นแม่หญิงไพลินจริงๆ หลวงเสนาจะกล้าหรือเปล่า รู้ๆ กันอยู่ ตั้งแต่ณิรชามาอยู่ในร่างนี้ แม่หญิงไพลินคงหมดความน่าเกรงขามไปเยอะทีเดียว

“ค่ะ พี่จันทร์” ถึงอย่างไรณิรชาก็ต้องทำตัวว่านอนสอนง่าย ถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงจะแก่วัยกว่าก็ตาม แต่รูปกายภายนอกนั้นไม่ใช่เช่นนั้น และบางคราหล่อนยังเผลอว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกที่เที่ยวเล่นไม่รู้ความจริงๆ เสียอีกด้วยซ้ำ

เอไม่ใช่สิ พวกเขาแก่กว่าหล่อน แก่กว่าเกินสองร้อยปีทีเดียว ทุกคนล้วนเป็นบรรพบุรุษที่มีส่วนเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต่างหาก

“พี่ดวงว่าจะมาซ้อมดาบ ฉันเลยขอตามมาดูค่ะ” หล่อนพยายามเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างเจียมตน ซึ่งเหมาะสมกับวัยของแม่หญิงไพลิน

“ข้างในพวกผู้ชายเขาจะซ้อมดาบกัน ไม่มีใครเขาให้ดูหรอก เสียสมาธิ” ขุนอรรรถ! คนที่ไม่เคยปริปาก หรือไม่ก็พูดน้อยมากพูดกันท่า

หญิงสาวอยากจะกรี๊ดเข้าใส่ว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง! แต่ต้องสำรวมเอาไว้เช่นเคย ไม่อย่างนั้นจะเสียภาพลักษณ์

“จริงสิ จะขอฝากแม่จันทร์ให้แม่ไพลินอยู่กับพวกผู้หญิงสักพัก อยู่กับแม่จันทร์ก่อนนะเจ้า พวกพี่จะฝึกซ้อมดาบ ไม่อยากเป็นกังวล ผู้ชายก็จะอยู่ส่วนผู้ชาย ผู้หญิงก็อยู่ส่วนผู้หญิง จะได้ไม่ปะปน อ้อ…แล้วอย่าร่ำร้องจะกลับเล่า”

คราวนี้พี่ชายยืนยันอีก แหม! ช่างรู้ทางกันจริง ร่างแม่หญิงไพลินจึงจำต้องพยักหน้าไม่ดื้อไม่คัดค้าน

“ฉันไม่ใช่เด็กน่า” ดูพวกผู้หญิงฝึกซ้อมก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร

“มาเถอะแม่ไพลิน วันนี้มีคนทำขนมมาตั้งไว้ เจ้าจะได้ชิมเล่นระหว่างรอพวกพี่ๆ เขา”

อีกแล้ว! เอาขนมมาล่อราวกับเป็นเด็กๆ หล่อนยิ้มแป้นเดินตามเจ้าของบ้านไปยังลานด้านในสุด ที่นั่นมีผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งแต่งตัวทะมัดทะแมงเช่นแม่หญิงจันทร์กำลังหัดท่าฟันดาบขะมักเขม้น

“ที่นี่มีผู้หญิงมาซ้อมดาบด้วยหรือคะ”

“ใช่ คุณพ่อของพี่ท่านดำริเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่พม่ามาล้อมเราคราวก่อน ผู้ชายก็ตายไปมากนักในการศึกครั้งนั้น ในยามบ้านเมืองคับขันต้องการกำลังคน ผู้หญิงต้องต่อสู้ป้องกันตนเองได้บ้าง แต่บ้านพี่ไม่ได้ทำเอิกเกริกหรอก ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านหรือไม่ก็พวกญาติๆ”

“แล้วพี่จันทร์เล่าคะ”

คนถูกถามหัวเราะ “พี่เป็นถึงลูกสาวของขุนพิชิตศาสตราจะน้อยหน้าได้เช่นไร”

ณิรชาถูกพาไปที่แคร่ที่ตั้งอยู่ข้างๆ สนามใต้ร่มไม้

“นั่งตรงนี้ก่อนนะ ถ้าพวกพี่ดวงซ้อมเสร็จคงให้คนมาตาม”

“ปกติพี่ดวงซ้อมนานไหมคะ”

“เป็นชั่วยามเหมือนกัน พวกเขามีฝีมือดาบขั้นสูงแล้ว พ่อพี่จะเป็นคนสอนเอง เอ๊ะ! ห่อผ้าที่ถือมานี่เป็นอะไร”

เมื่อถูกทัก หญิงสาวจึงเปิดห่อผ้าให้ผู้ถามมองดู “ฉันซื้อมาจากตลาดหน้าวัง เห็นว่างามดี”

เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด ผู้อาวุโสจึงคืนให้ “งามจริงอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ ตาถึงนะ…จะเอาไว้ทำอะไรเล่า”

เสียงของแม่หญิงจันทร์ออกจะทึ่ง ทำให้หล่อนอดภูมิใจไม่ได้ แล้วก็เกิดไอเดียขึ้นมาในทันใด

“ตอนแรก…ฉันก็แค่อยากซื้อเก็บเอาไว้ แต่ตอนนี้ฉันอยากลองฝึกใช้ดาบดู จะได้เอาไว้ป้องกันตัวเอง ฉันมาเรียนได้ไหมคะ” สิ่งที่คิดทำให้แม่อ่อนพี่เลี้ยงกิตติมศักดิ์ซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมมาโดยตลอดทำท่าจะลมจับอีกแล้ว

“แม่หญิง! คุณหญิงไม่ยอมหรอกเจ้าค่ะ” ทำเป็นแม่แก่เสียเอง ไม่ผิดกับพรรณพิลาศสักเท่าใด คอยเบรกเสมอ

“เรื่องนี้…พี่ไม่ขัดข้องหรอก แต่เจ้าต้องไปเรียนถามเจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ของเจ้าก่อน รวมทั้งพี่ดวงด้วย ที่บ้านอาจจะไม่ชอบ เจ้าเป็นคนในวัง อีกประเดี๋ยวก็ต้องกลับไป ร่างกายของเจ้าเองก็บอบบางอย่างนี้ ถ้าให้มาฝึกหนักๆ เห็นทีจะไม่ไหวหรอกนะเจ้า”

ใครว่าบอบบาง ณิรชาก้มลงมองตัวเอง นี่คิดว่ายังอยากจะลดน้ำหนักลงอีกสักสองสามกิโลนะเนี่ย!

“ฉันคิดว่าฉันจะไม่กลับไปอยู่ในวังแล้ว” หญิงสาวลดเสียงเบา “สุขภาพของฉันไม่ดีนัก คงจะถวายงานเช่นเดิมไม่ได้ แทนที่จะกลับเข้าวังฉันก็จะมาฝึกดาบ ร่างกายจะได้แข็งแรง” ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนสมัยนี้จะเข้าใจเรื่องการออกกำลังกายหรือไม่

“แล้วมาฝึกดาบแบบนี้จะไหวหรือเจ้าคะ” แม่อ่อนกระซิบกระซาบ

“ก็อยากลองดูเหมือนกัน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันว่าฉันเก่งทางนี้นะ” ณิรชาบอกกับพี่เลี้ยง ตอนเด็กหล่อนขึ้นชื่อเรื่องซนใช่ย่อย แต่ก่อนที่สมัยหลังบ้านยังเป็นสวน เรื่องปีนต้นไม้เก็บลูกไม้นั่นก็เรื่องถนัด แต่…แม่หญิงไพลินเป็นแบบนี้ ไม่เคยทำงานหนักจะไหวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ จิตใจให้แต่สังขารไม่ได้นี่จะลำบาก

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องให้ที่บ้านอนุญาต มิเช่นนั้นพี่ก็จะไม่สบายใจ เจ้านั่งกินขนมอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพวกพี่ฝึกเสร็จแล้วจะมาคุยด้วย” แม่หญิงจันทร์ผละไปกลางสนาม ดูเป็นหญิงไทยใจกล้าน่าชื่นชม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อตอนที่พม่าจะมาครั้งสุดท้าย แต่ก็หวังว่าสิ่งที่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังทำอยู่นี้จะช่วยให้คนอยุธยามีชีวิตรอดไม่มากก็น้อย

ณิรชาใช่ว่าจะคิดแต่เรื่องสนุกสนานอย่างเดียว หล่อนเองควรต้องเตรียมตัวเอาไว้ด้วย ความโหดร้าย ความป่าเถื่อน การข่มเหงจากผู้รุกรานนั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่เล่าลือกันมาเนิ่นนาน เมื่อเวลานั้น หากไม่ได้กลับไปก็ต้องเผชิญหน้าสู้กับชะตากรรมอย่างอาจหาญ

หล่อนไม่อยากงอมืองอเท้าให้พวกพม่ามารังแกได้ง่ายๆ ต้องขอสู้ยิบตาด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด!

 

หลวงเสนาให้คนมาตามหลังจากซ้อมดาบเสร็จ เขาคงมีท่าอาบน้ำทางอื่นผมเผ้าถึงได้ชื้นน้ำอย่างนั้น

“เบื่อแล้วหรือยัง”

“ไม่หรอกค่ะ สนุกดี พี่จันทร์ยังให้ฉันลองฟันดาบกับไม้ นี่เจ็บแขนไปหมดแล้ว”

พี่ชายทำหน้าไม่เชื่อจนอ่อนต้องเสริม “จริงเจ้าค่ะ แหม…แม่หญิงนี่ฟันไม้ฉับๆ ทะมัดทะแมงนัก แม่หญิงจันทร์ยังบอกว่าแรงดี หัวไว”

“ฉันจะขอคุณแม่มาฝึกดาบกับพี่จันทร์” หญิงสาวบอกพี่ชายอย่างหมายมาด

“ไม่มีทางหรอก เป็นไปไม่ได้ คุณแม่ไม่ยอมแน่” ชายหนุ่มตอบแทนแทบจะทันที

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะขอคุณพ่อ”

“นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่” พี่ชายหน้ายุ่งยิ่ง

อะไรกันนักหนา แค่จะฝึกดาบ คนอื่นก็เห็นฝึกกันถมไป แล้วก็เป็นสิ่งที่ควรทำด้วย ดีกว่างอมืองอเท้าให้คนมารังแก

“พี่ดวงก็ช่วยฉันหน่อยสิ” หญิงสาวขัดใจเป็นที่สุดเพราะหลวงเสนามีทีท่าไม่เห็นด้วย ถ้าเขาปฏิเสธก็แสดงว่าเป็นเรื่องยากแล้ว เริ่มรู้สึกโกรธที่ไม่ได้ดังใจ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยขัดหล่อนนี่นา

“ไม่ได้หรอก เจ้าเป็นถึงคนในวัง ใครรู้เข้าก็ต้องนินทาคุณพ่อคุณแม่ ทางที่ดีเจ้ารีบรักษาตัวเองให้หายแล้วเข้าวังไปเสียเถอะ”

“ฉันไม่เข้าวังแล้ว!”

“เอ… เจ้านี่! เป็นอะไรไป แต่ไหนแต่ไรก็ร่ำร้องว่าจะเข้าวัง จะไปเป็นนางใน แล้วทีนี้เกิดไม่อยากไปขึ้นมา พิลึก!”

ณิรชาค้อนพี่ชายแล้วเลยไปถึงคนที่ออกมายืนข้างๆ ด้วย เห็นทำท่าไม่ชอบใจที่ได้ยินว่าหล่อนอยากเรียนวิชาดาบ ผู้ชายหัวโบราณ เห็นแก่ตัวทั้งโลก ช่างไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย

“ฉันน่ะมันพิลึกตั้งแต่ลืมตาเกิดใหม่มาอีกครั้งแล้ว ฉะนั้นอย่าคิดนะว่าฉันจะคิดอย่างเดิม จะทำอย่างเดิม อย่าเผลอก็แล้วกัน” หล่อนบ่นอย่างคนใจน้อย

“แม่หญิง! อย่าพูดกับคุณพี่แบบนั้น” แม่อ่อนท้วงเลยได้ค้อนไปอีกวง หญิงสาวไม่พูดเดินฉับๆ ลงไปนั่งกอดอกในเรือก่อนใครๆ

“พี่ดวง กระผมเห็นทีจะขอแยกกลับบ้านตอนนี้ก็แล้วกัน” เสียงห้าวๆ ล่ำลากันน่ารำคาญ

เจอกันทุกวัน ทำงานด้วยกัน รักกันนักหนา ทีกับเราไม่เห็นจะคุยกันตรงใจ คอยแต่ห้ามอยู่ร่ำไป

“เกลียดพี่ดวง! เกลียดอีตาขุนอรรถ!” หญิงสาวบ่น เรือค่อยๆ พายออกโดยมีหลวงเสนานั่งต่างหากอีกลำ

“พาลจริงๆ นะแม่หญิง แค่ซื้อดาบก็ประหลาดเกินทน หนำซ้ำยังจะแล่นไปฝึกดาบอีก ทำอย่างกับไม่ใช่แม่หญิงไพลิน” คำพูดของอ่อนทำให้รู้สึกสะท้อนในอก หญิงสาวเม้มริมฝีปากแววตาขึ้ง

“ใช่…พี่อ่อนไม่รู้หรอกหรือ… ฉันไม่ใช่แม่หญิงไพลิน แม่หญิงคนนั้นได้ไปอยู่ไหนไม่รู้แล้ว! เหลือแต่ฉันนี่แหละ ไม่รู้สึกหรือว่าฉันมันไม่เหมือนแม่หญิงไพลินคนเดิม ฉันน่ะตายมาจากที่อื่นแล้ววิญญาณก็ลอยมาเข้าร่างแม่หญิงไพลิน” หล่อนพูดเสียงดังให้ลอยไปถึงเรืออีกลำ แม้แต่ปลั่งที่เป็นฝีพายเองยังสะดุ้งหวาดเริ่มหันซ้ายแลขวา

“ตายแล้ว! อย่าพูดอย่างนี้อีกนะเจ้าคะ อย่าพูด ไม่เป็นมงคล” อ่อนมีสีหน้าตกใจยิ่งนัก ละล่ำละลักห้ามปราม

“ฮึ! พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก คอยดูเถอะ อีกหน่อยต้องวิ่งหนีอลหม่านเวลาคนเข้ามารังแก” หญิงสาวเบือนหน้าหนี นิ่งเงียบเกือบตลอดทาง ผู้คนสองฟากฝั่งเริ่มละมือจากงานประจำวัน ริมน้ำมีร้านขายเหล้าเต็มไปด้วยชายอยุธยา เสียงเพลงเสียงมโหรีดังออกมาเป็นระยะ

นี่ใช่ไหมที่บอกว่าคนที่นี่มัวแต่สนใจแต่ความสนุกสนาน

ณิรชาขุ่นมัวในอก อะไรกัน… อวสานอยุธยามาใกล้ถึงเพียงนี้ยังไม่รู้ตัวกันอีก พอเรือถึงบ้าน หญิงสาวก็เดินลิ่วไปกราบคุณหญิงแล้วเลี่ยงเข้าห้อง ไม่พูดจากับพี่ชาย

หล่อนถือดีจนลืมคิดไปว่าที่นี่ไม่ใช่โลกที่จากมาที่มีพรรณพิลาศ พันรบและคนอื่นๆ คอยตามใจ ต่อให้แม่หญิงไพลินเป็นที่รักใคร่ของครอบครัวเพียงใดก็หาได้คิดจะทำอะไรผิดเพี้ยนไปจากขนบและแนวทางปฏิบัติเดิมได้โดยง่าย

หรือ…บางที…ณิรชาที่มาอาศัยในร่างนี้อาจไม่เหมาะที่จะอยู่ในโลกนี้จริงๆ!

 

บทที่ 8 ความปรารถนาที่ไม่ต้องการ

 

ค่ำมืดแล้ว แต่ละบ้านเริ่มจุดคบไฟ บ้านใหญ่ล้วนมีแสงสว่างรายล้อม ที่เป็นบ้านเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ก็จะมีเวรยามผลัดเปลี่ยนกันไป หากแต่บ้านชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างพากันปิดไฟมืดสนิทหลับนอนกันไปหมดแล้ว

หลวงเสนาสรศักดิ์นั่งเรือเข้ามายังท่าน้ำประจำบ้าน รู้สึกแปลกใจที่เห็นร่างอีกร่างหนึ่งยืนสูบยาอยู่ตรงศาลาริมน้ำ ชายหนุ่มจึงสั่งบ่าวขยับเรือให้เข้าไปเทียบใกล้

“คุณพ่อ มืดค่ำป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกขอรับ”

“พ่อออกมารับลมนะ แล้วลูกเล่า” ท่านเจ้าคุณนั่งลงบนตั่ง เห็นชานหมากตั้งเอาไว้ มีหมากหลายคำที่เคี้ยวหมดแล้ว แสดงว่าท่านเจ้าคุณมานั่งอยู่ที่นี่ระยะหนึ่งแล้ว นานๆ ทีเขาจะเห็นบิดามาอยู่ที่ตรงนี้ อาจจะมีเรื่องกังวลใจ

“กระผมเพิ่งออกจากกองมาขอรับ วันนี้คุณพ่อเข้าวัง มีอะไรหรือขอรับ”

ผู้เป็นบิดาถอนหายใจ “ก็ เรื่องเดิมๆ นั่นแหละลูก ท่านผู้ใหญ่ส่วนมากดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าเราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างกับศึกข้างหน้า พระเจ้าอยู่หัวฝั่งนั้นปราบปรามหัวเมืองที่แข็งข้อได้อย่างราบคาบ พระปรีชาและพระอำนาจคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารัชกาลใด”

“ท่านเจ้าคุณบริรักษ์ นายของลูกท่านก็บ่นมาว่าเช่นนั้นเหมือนกัน ยิ่งตอนนี้ด่านขนอนเก็บภาษีเริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มมีเรือจีน เรือฝรั่งเข้ามา บ้านเมืองเรากลับมาเป็นปกติเช่นเดิมได้รวดเร็วเหลือเกิน”

“นี่เป็นหนทางไปสู่ความประมาท” ท่านผู้ใหญ่รำพึง เอ่ยถึงเรื่องบางเรื่องอย่างระมัดระวัง เพราะนี่ไม่ใช่กิจที่ท่านจะออกหน้าได้

“คุณพ่ออย่าเพิ่งกังวลไปเลยขอรับ ตอนนี้เพื่อนทหารหนุ่มๆ ที่กระผมรู้จัก บางคนก็เตรียมตัวไปอยู่หัวเมืองตระเตรียมเรื่องการข่าว”

“อยุธยาไม่เคยสิ้นคนดีหรอกลูกเอ๋ย แต่นับวัน คนดีเหล่านั้นกลับเป็นผู้ล้มหายตายสูญก่อน เหลือน้อยไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราเหลือผู้กล้าไม่มากนักหรอก ว่าแต่เจ้าเล่า …อยากจะไปอยู่เหมือนพวกเพื่อนๆ ไหม”

ท่านเจ้าคุณถามด้วยความที่รู้ใจกันดี สำหรับลูกชายคนอื่นๆ อาจจะสนุกสนานไปวันๆ มีตำแหน่งราชการไว้ก็เพื่อเป็นศักดิ์ของวงศ์ตระกูล อยู่บ้านก็อยู่อย่างสบาย มีบ่าวไพร่ปรนนิบัติ แต่ด้วยความที่ท่านเจ้าคุณมีแนวคิดที่แตกต่างอยู่บ้าง จึงถือว่าหากผู้ชายถูกมอบหมายให้เป็นใหญ่ในบ้านก็ต้องมีความรับผิดชอบที่เหนือกว่าคนอื่น เป็นผู้นำที่ใช่ดีแต่หาความสำราญไปวันๆ

“กระผมเคยขอคุณพ่อไปมาแล้วเมื่อคราวก่อน บังเอิญว่าแม่ไพลินมาตกบันไดป่วยไข้เลยไม่ได้กลับไป มาตอนนี้ได้ตกลงกับเพื่อนๆ ว่าจะขอดูแลทางนี้ เกิดแม่ไพลินไม่สบายขึ้นมาอีกจะได้มีคนดูแล” คราวก่อนเขาออกไปต้านศึกหัวเมืองจนได้เป็นสหายร่วมตายกับหลวงอรรถ มีเหตุให้ต้องกลับมาก็เพราะน้องสาวไม่สบาย มาครานี้ชายหนุ่มจึงไม่อาจเห็นแก่ตัวจากไปได้อีก

“อืม… ว่าแต่เจ้ามีเรื่องอะไรกับแม่ไพลินรึ ไม่พูดไม่จากันมาหลายวันแล้ว” ผู้เป็นบิดาคงพอดูออก

“คง…โรคเอาแต่ใจตัวเองกำเริบกระมังขอรับ” เขาส่ายหน้าระอา อดไม่ได้ที่จะเรียนให้ท่านทราบ

“วันก่อนให้กระผมพาไปที่บ้านครูดาบ คงจะติดใจ ร่ำร้องจะเรียนดาบกับแม่จันทร์ กระผมห้ามก็มาพานโกรธอีก เรารึเห็นว่าร่างกายไม่แข็งแรง ไปออกแรงหนักๆ เช่นนั้นจะกลับมาไม่สบายเอาได้ อีกทั้งเป็นผู้หญิงในรั้วในวัง คุณแม่ท่านคงไม่ยอมแน่ ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง มาพานโกรธกระผม”

“แม่ไพลินน่ะรึ ริจะเรียนดาบ! แปลกวิสัย ปกติแค่เห็นคนถืออาวุธก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว” ท่านเจ้าคุณอุทานด้วยความประหลาดใจ

เมื่อบิดากล่าวเช่นนั้น หลวงเสนาก็ทราบแล้วว่าเรื่องซื้อดาบสั้นนั้นยังถูกเก็บงำเอาไว้เป็นแน่

“ได้ยินว่าแอบกลับไปขอร้องแม่จันทร์ให้ช่วยสอน แต่แม่จันทร์ก็คงยืนยันว่าให้ที่บ้านอนุญาตก่อนขอรับ เลยยิ่งไปกันใหญ่”

“ถึงขนาดนั้นเชียว…เอ…แต่มาทำกะบึงกะบอนใส่พี่เชื้อมันไม่งามนะ คราวก่อนเจ็บตัวไปตั้งหลายเดือนก็ทีหนึ่งแล้ว เดือดร้อนใครเล่า เรื่องนั้นแม่เค้าให้ท้าย แต่คราวนี้แม่ของเจ้าคงไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเป็นแน่ พ่อเห็นทีจะต้องเรียกมากำราบ เรื่องมากนักก็ส่งเข้าวัง” แววตาของท่านมีแววเห็นใจบุตรชายยิ่งนัก

“อย่าเลยขอรับคุณพ่อ ปล่อยไปก่อนเถอะขอรับ ประเดี๋ยวคงหายเอง” ชายหนุ่มไม่อยากให้น้องสาวเดือดร้อนเช่นเคย แล้วทราบแน่ว่าตอนนี้แม่หญิงไพลินไม่ปรารถนาจะเข้าวังเป็นอย่างยิ่ง หรืออีกนัยหนึ่งเจ้าหล่อนอาจไม่เหมาะที่จะอยู่ในวังเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าน่ะตามใจน้อง ยอมน้องเสียจนเคยตัว” ผู้เป็นพ่อตำหนิแต่ลดเสียงเบาในตอนท้าย

“แต่ก็ดีแล้ว มีกันอยู่แค่นี้ รักกันไว้ให้มากๆ เพราะพ่อเองก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ลางสังหรณ์ว่าบ้านเมืองเราจะหาได้สงบสุขเช่นเดิมอีกต่อไปไม่” คำกล่าวของบิดาสะกิดใจชายหนุ่ม แม่ไพลินน้องสาวก็ชอบกล่าวเช่นนี้ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนหาได้สนใจอะไรไม่

“คุณพ่อขอรับ ไม่ต้องเป็นกังวล กระผมจะไม่ทิ้งแม่หญิงไพลินหรอกขอรับ” ใบหน้าคมสันหากอ่อนโยนยิ่งยามเมื่อเอ่ยถึงน้อง

“ได้ยินเช่นนั้นพ่อก็เบาใจ” มือใหญ่และอบอุ่นตบบ่าของชายหนุ่ม

“พ่อเห็นเจ้ารักใคร่น้องมาแต่เล็ก หาได้ยากยิ่ง น้องทำผิดไปบ้างก็จงให้อภัย”

“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ ถึงแม้ว่าแม่หญิงไพลินคนนี้จะทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าเพียงใดก็ตาม

“น้ำค้างลงหนักแล้ว เข้าบ้านกันเถอะ พวกบ่าวมันจะได้พักผ่อนเปลี่ยนเวรยามกันบ้าง”

ผู้ชายต่างวัยสองคนชักชวนกันเข้าบ้านไปพักผ่อน ยามนี้อยุธยาเพิ่งฟื้นหลังไฟสงคราม ไม่กี่คนหรอกที่จะสำเหนียกถึงความล่มสลายที่กำลังจะตามมา

 

หลวงเสนาสรศักดิ์ก้าวขึ้นจากเรือ ปกติเมื่อมาถึงท่าหน้าบ้าน ถ้าแม่หญิงไพลินยังอยู่ใกล้ๆ จะรีบปรี่เข้ามาหาพลางซักไซ้ถามไถ่ถึงกิจธุระต่างๆ แต่พอมาช่วงนี้ เจ้าตัวกลับเงียบหาย มีแต่อ่อนที่เข้ามารอรับหน้าแทน

“แม่หญิงไพลินเล่า” ว่าจะใจแข็งแล้วแต่ยังอดไม่ได้

“…อย่างเคยน่ะเจ้าคะ ไม่สบอารมณ์อยู่ทางโน้น” คนสนิทบุ้ยหน้าไปทางอีกด้านหนึ่งของบ้าน สายตาคนถามจึงมองตามไปที่แคร่ใต้ต้นไม้ริมคลองด้านใน แม่น้องสาวทำเป็นหันข้างให้ไม่รู้ไม่ชี้

“ปล่อยไปเถอะ เดี๋ยวคงหายเอง” เขาบอกกับพี่เลี้ยงของเจ้าหล่อน

“ท่าจะไม่หายง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ เห็นว่าจะเอาอย่างใจให้ได้ นี่ให้บ่าวถางป่ากล้วยด้านหลังออกเป็นลาน ซ่อนไว้ข้างใน ไม่รู้คิดอะไรอยู่ ดื้อเหลือเกินเจ้าค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นเชียวรึ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ในความเอาแต่ใจเหมือนๆ เดิมแต่มีความต่างอยู่บ้าง ถึงอย่างไรครั้งนี้เขาก็ไม่อยากจะเอาใจมากเพราะเห็นว่าเรื่องที่ร้องขอนั้น ‘ไม่งาม’ ที่เกรงคือมารดาจะไม่เห็นด้วยเพราะรู้ๆ นิสัยกันดีอยู่

“นี่คงเคืองฉันอยู่มากล่ะสิ เวลากินข้าวยังไม่ค่อยยอมพูดกัน”

คนเป็นบ่าวสงบเสงี่ยมไม่กล้ารับคำชัดเจน ก็เป็นอย่างที่เห็น นี่หนีหลบไปอยู่ทางอื่น ไม่ยอมมารับหน้าคุณพี่ หากใครเล่าจะกำราบได้ แต่ไหนแต่ไรมาเห็นมีแต่คนยอม ยิ่งตอนนี้แล้วยิ่งต้องตามใจกันใหญ่ กลัวกันว่าจะกลับมาไม่สบายเช่นเดิม

ท้ายที่สุดหลวงเสนาก็พยักหน้าให้ไปได้ อ่อนถึงได้ขยับตัวกลับไปหานายหญิง ทันทีที่ไปถึง แม่หญิงไพลินก็สอบถามอย่างกระตือรือร้น ท้ายสุดก็หน้าตามุ่ยบอกบุญไม่รับ

“พี่ดวงน่ะหัวโบราณ ไม่เข้าใจอะไรเลย เอะอะก็ว่าเป็นผู้หญิง ผู้หญิง เชอะ…แล้วจะรู้ว่าผู้หญิงทำอะไรได้มากแค่ไหน ดาบก็แกว่ง มือก็ไกว เคยได้ยินบ้างไหม” ในสังคมข้างหน้าผู้หญิงเป็นใหญ่ ผู้หญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมชายหลายกรณี หนำซ้ำผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่รวมเรี่ยวแรงที่ด้อยกว่าแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่ทำอะไรได้มากกว่าผู้ชายทั้งสิ้น

“ยิ่งช่วงนี้แล้ว ผู้หญิงต้องหัดรู้จักต่อสู้เพื่อป้องกันตัวเองได้บ้าง”

“เราเป็นหญิง ถูกอย่างที่คุณพี่ว่าแล้วนี่เจ้าคะ ไอ้เรื่องอย่างนั้น ผู้ดีที่ไหนเขาทำกัน”

“พี่อ่อนนี่เหมือนกันเลย ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ บ้านเมืองหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ยังจะมาแบ่งแยกหญิงชายอีก ไฟลนก้นขนาดนี้แล้ว ถ้าพวกพม่าบุกมาอีกจะทำอย่างไร” คนพูดฉุนเฉียว กำมือแน่น

“โอ๊ย! จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ปืนแตกใส่เจ้าพม่าคราวนั้นคงเข็ดแล้ว พระสยามเทวาธิราชของเรา ท่านไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นหรอกเจ้าค่ะ จากสมเด็จพระนเรศวร เราอยู่รอดมาตั้งเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะเจ้าคะ”

“พี่อ่อนเอ๊ย!” หญิงสาวแทบจะกรี๊ดแตก “เพราะคิดอย่างนี้สิ เราถึงจะไม่มีแผ่นดินอยู่!”

หนักเข้าอ่อนก็เลยไม่พูดอะไรนอกจากเฝ้ามองดูนายสาวอย่างกังวล คนเป็นนายดักคอรู้ทัน

“อย่า! อย่าห้ามฉันนา… ถ้าไม่เห็นด้วยก็แค่มองดูเฉยๆ ก็พอ”

แล้วอ่อนก็ต้องอมพะนำหน้าเหลอหลาเมื่อถูกสั่งเช่นนั้น ต้องเก็บปากเก็บคำ ค้านไม่ออก ที่ผ่านมาต้องจำยอม จัดหาบ่าวส่วนหนึ่งให้ไปตัดดงกล้วยแผ้วถางเป็นลานกว้างพอประมาณ คล้ายลานฝึกดาบที่บ้านแม่หญิงจันทร์ตามคำสั่ง

ถึงกระนั้นณิรชาเองก็ยังตั้งต้นไม่ถูกว่าจะเริ่มอย่างไรดี คราวก่อนแวบไปหาแม่หญิงจันทร์ขอร้องให้ช่วยสอน แต่ถูกลูกสาวขุนพิชิตศาสตราปฏิเสธ ไล่ให้กลับมาขออนุญาตทางบ้านก่อน

“หาใช่ว่าพี่จะรังเกียจสอนเจ้าหรอกนะ ยินดีเป็นที่สุด แต่เจ้าย่อมรู้ดีว่าฐานะของเจ้าไม่เหมือนคนอื่นๆ ศักดิ์ศรีเป็นถึงแม่หญิงในรั้วในวัง แม้แต่พี่ดวงยังไม่เห็นด้วยพี่ก็ยิ่งไม่กล้าหรอก อีกอย่างหนึ่ง เมื่อจะฝากตัวเป็นศิษย์ก็ต้องทำพิธีไหว้ครูให้ถูกต้อง จะกระทำโดยพลการไม่ได้ เจ้าให้ท่านผู้ใหญ่ของเจ้าอนุญาตก่อนดีกว่านะ” แม่หญิงจันทร์พยายามชี้แจงอย่างนิ่มนวล

แปลตามมารยาทก็คือการปฏิเสธนั่นแหละ!

“แต่…ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของฉันไม่อนุญาต พี่ดวงก็ไม่ช่วยพูดให้เลย” หญิงสาวตัดพ้อกลายๆ

“นั่นแหละที่ทำให้พี่สอนเจ้าไม่ได้จริงๆ แม้จะเชื่อว่าในยามบ้านเมืองดูเหมือนจะสงบแต่ข้างนอกก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เราเป็นหญิงเตรียมตัวไว้ไม่เสียหลาย แต่คนส่วนใหญ่มองว่ามันไม่สมควร โดยเฉพาะผู้ใหญ่ของทางเจ้า”

ไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไรแม่หญิงจันทร์ก็ไม่ยอมเด็ดขาด ท้ายสุดต้องกลับมานั่งหงอยบ่นกับอ่อนคนเดียวที่ฝืนเป็นพวกด้วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“แม่หญิงเจ้าขา ใจเย็นๆ เถอะนะเจ้าคะ ค่อยเป็นค่อยไปเถอะนะเจ้าคะ” อ่อนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ กลัวว่าถ้าขุ่นเคืองใจหนักเข้าจะพานไม่สบาย ไม่เข้าใจว่าทำไมนายหญิงถึงต้องตั้งมั่นจริงจังขนาดนั้น

“ฉันรู้น่า…ธรรมเนียมโบราณอย่างนี้ ที่ไปก็เผื่อฟลุกเท่านั้น”

“ฟลุก! แปลว่าอะไรเจ้าคะ” เรื่องที่กังวลเปลี่ยนไปเป็นเรื่องชวนหัวเกี่ยวกับภาษา เมื่อแม่อ่อนทำหน้าตาสงสัยอีกแล้ว

“โธ่เอ๊ย! ฟลุกแปลว่า…โชคดี หรืออะไรดีๆ ที่มันมาถึงโดยไม่คาดฝัน เก๊าะ…ทำนองนั้น” ที่จริงคนแปลก็ไม่ได้แตกฉานเรื่องภาษาสักเท่าไหร่

“บ่าวนี่สงสัยจริงจริ๊ง แม่หญิงเอาคำเช่นนี้มาจากในรั้วในวังจริงหรือเจ้าคะ แต่ก่อนไม่เคยได้ยินแม่หญิงหรือเพื่อนๆ ของแม่หญิงคนไหนพูดคำพิลึกเช่นนี้มาก่อนเลย”

“เถอะน่า!”

“อย่างนี้แสดงว่าแม่หญิงไพลินคนเดิมคงจะเริ่มกลับมาแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ก็นี่แหละเจ้าค่ะ แม่หญิงไพลินตัวจริง ถ้าอยากได้สิ่งไหนต้องรั้นเอาให้ได้ ไม่มีใครกล้าค้านหรอก”

หล่อนอดหัวเราะไม่ได้ อารมณ์ค่อยดีขึ้น เห็นจะจริงอย่างที่อ่อนวิจารณ์ ชักลืมๆ ไปว่าแท้จริงแล้วตัวเองอายุเท่าไหร่ พออยู่ในร่างเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดเช่นนี้ก็พลอยทำให้เผลอกลับไปคิดว่าเป็นเด็กอีกครั้ง เรียกว่าซึมซับโดยไม่รู้ตัวเลย ยิ่งตอนนี้หล่อนกำลังโกรธหลวงเสนาสรศักดิ์ ไม่ยอมพูดด้วยกับพี่ชายก็ด้วยอารมณ์โกรธของเด็กสาวที่ไม่ได้ดั่งใจ

เหมือนเมื่อตอนเป็นเด็ก ด้วยความเป็นลูกคนเดียว การที่มีพ่อแม่แยกทางกันทำให้ทุกคนพยายามชดเชยให้กับหล่อน ไม่ว่าณิรชาต้องการสิ่งไหนจากใคร พ่อ แม่ ญาติ พรรณพิลาศหรือพันรบ แค่โทรศัพท์แล้วทุกอย่างก็จะถูกจัดส่งมาให้ หรือเป็นเพราะ…ที่ผ่านมาสิ่งที่หล่อนเคยต้องการไม่ได้ยากเย็นเกินกว่าที่จะหาให้ก็เป็นได้

แล้วนี่…แค่อยากเรียนการต่อสู้ เรื่องง่ายๆ ในยุคสมัยของหล่อน ทำไมถึงยากเย็นนัก

ยิ่งเมื่อเห็นพี่ชายก้าวขึ้นเรือมาแต่ไกลหญิงสาวก็หันหลังให้ไม่นำพา นั่นรวมไปถึงคู่หูจอมเบ่งขุนอรรถคนนั้นด้วย เจอทีไรรายนั้นมักส่งสายตาตำหนิติเตียนมาอยู่ร่ำไป คงรู้เรื่องกันอีกล่ะสิ!

“เชอะ…หัวโบราณกันทั้งนั้น” ทำได้แค่บ่น

“แล้วกับคุณพี่ล่ะเจ้าคะ เมื่อไหร่จะหายแง่งอนเสียที ท่านถามถึงทุกวัน บ่าวกลัวท่านจะโมโหเหลือเกิน”

“ไม่! ฉันไม่หายโกรธพี่ดวงหรอก เป็นพี่เป็นเชื้อกัน ไม่ยอมเข้าข้างกันเลย”

“โถ…จะให้เข้าข้างกันได้อย่างไร นี่ยังไม่รู้ว่าท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงจะดูออกหรือเปล่า บ่าวล่ะกลัวจริงๆ”

“ฉันไม่เห็นกลัว” หล่อนยักไหล่ ซึ่งในสายตาของอ่อน แม่หญิง…ทำกิริยาไม่งาม!

“แต่ทำกะบึงกะบอนแบบนี้…ไม่งาม ที่ทำอย่างเมื่อกี้ก็ไม่งาม”

“ฉันมันก็ไม่งามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่” ณิรชา ‘กวน’ ไปอย่างนั้น แต่ได้ผลตรงที่อ่อนหันรีหันขวาง

“แหม! มันน่าตีด้วยไม้เรียวนัก” แต่แล้วคนมากวัยกว่าก็หยุดด้วยเห็นว่าไม่ควรไปคาดโทษนายหญิงเช่นนั้น แม่หญิงไพลินหาใช่คนที่จะเล่นหัวด้วยได้โดยง่าย

หลังหายไข้นายหญิงอาจจะให้ความสนิทชิดเชื้อกว่าเดิมทำให้บางครั้งอ่อนอดเผลอตักเตือนไปบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสั่งสอนได้ทุกสิ่ง เพราะอ่อนเองก็ด้อยความรู้ และเป็นเพียงบ่าวที่พ่อแม่ขายมาเพื่อขัดดอก ท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงเห็นมีหน่วยก้านดี ฉลาดเลยเอาไว้ให้คอยดูแลบุตรีเท่านั้น

หากณิรชาไม่ได้ถือว่าอ่อนเป็นเพียงบ่าว พี่เลี้ยงคนนี้เป็นเสมือนเพื่อน พี่ที่ผูกพันกันมาเนิ่นนาน

“พี่อ่อน…จะทำอะไรฉันอีกเล่า ทุกวันนี้ฉันก็ถูกจำกัดที่ทางเต็มที โน่นก็ห้าม นี่ก็ห้าม นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่งาม โอ๊ย! สารพัด” คราวนี้เป็นทีของหญิงสาวโอดครวญบ้าง

“แหม…นั่นแหละ บ่าวยังไม่เห็นแม่หญิงจะถูกจำกัดอะไรเลยนี่เจ้าคะ ถ้าเป็นลูกสาวบ้านอื่นเสียอีก วันๆ ต้องอยู่กับบ้าน ออกบ้านก็ตรงเข้าวังไป”

“พี่อ่อนไม่เข้าใจหรอกว่าฉันอึดอัดเพียงไหน” ต้องอาศัยอยู่ในร่างคนอื่นแบบนี้ ในยุคสมัยที่ไม่ใช่ของตนเอง แถมยังเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของประวัติศาสตร์อีก

“บ่าวคร้านจะเถียงแล้วเจ้าค่ะ เรื่องสำนวนโวหารนี่ไม่มีใครเกินหรอก” ท้ายที่สุดอ่อนก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้

คราวนี้ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินก็ลุกขึ้นจากแคร่

“อ้าว! จะไปไหนอีกเจ้าคะ เดี๋ยวจะตั้งสำรับแล้ว”

“ไปซ้อมดาบ ไปด้วยกันไหมล่ะ” คนถามไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย ร่างที่เริ่มผอมบางก้าวสวบๆ ไปยังกลางดงกล้วย ที่ตรงนี้มิดชิดดีเพราะมีดงไม้อย่างอื่นคอยบังเอาไว้ ลานตรงกลางถูกปรับให้เรียบตามคำสั่ง รอบด้านมีท่อนไม้ใหญ่ปักเป็นระยะ ทุกอย่างจัดวางเหมือนที่เคยเห็นในบ้านขุนพิชิตศาสตรา

หญิงสาวหยิบดาบไม้จากแท่นที่เตรียมไว้ ได้ยินเสียงบ่นลอยมาเข้าหู

“โธ่! ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย รีบๆ ซ้อมหน่อยนะเจ้าคะ เดี๋ยวคนที่บ้านจะมาตาม”

หล่อนไม่รับคำนอกจากนับจำนวนครั้งที่ฟันลงบนไม้สะเปะสะปะ ทำไมหนอ… ตอนอยู่ในโลกที่จากมาถึงไม่เคยนึกสนใจเรื่องการฟันดาบหรือการต่อสู้ให้เป็นเรื่องเป็นราวบ้าง มัวแต่เล่นเรื่อยเปื่อยสนุกสนานเท่านั้น เลยได้แต่วิชาป้องกันตัวมาแบบงูๆ ปลาๆ

“แม่หญิง บ่าวว่าเราหลบมาอยู่ในสวนนี้นานแล้วนะเจ้าคะ น่าจะกลับกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณแม่ถามถึงแล้วจะยุ่ง” เสียงของอ่อนยังกวนมาเป็นพักๆ แต่หญิงสาวทำเป็นเฉยเสีย

จนกระทั่งเริ่มรู้สึกถึงแสงตะวันที่ค่อนข้างลดแสงลงเรื่อยๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจ ต้องยอมสยบต่อโชคชะตาอย่างนั้นหรือ ต้องหายใจทิ้งไปวันๆ รอการดับสูญของอยุธยาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ หรือนี่…

ณิรชาไม่ทราบจริงๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ต้องมาอยู่ที่นี่ ทราบแต่เพียงว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ถ้าเป็นคนอื่นอาจหาทางออกด้วยวิธีอื่น หากสิ่งเดียวที่บังเกิดในสำนึกจิตคือไม่อยากงอมืองอเท้าแล้วเอาแต่วิ่งหนีหัวซุนเมื่อวันนั้นมาถึง แค่อยากหาหนทางที่เหมาะสมกับตัวเองเท่านั้น

หญิงสาวแลไปทางยอดเจดีย์วัดเจ้าไทที่เห็นอยู่ไกลลิบในสายตา วัดที่ถูกเรียกขานในกาลข้างหน้าว่า ‘วัดใหญ่ชัยมงคล’…สูงชัดขนาดนั้น และดำรงอยู่ข้ามกาลเวลา

แต่ไหนแต่ไรมาหล่อนไม่เคยเชื่อในคำอธิษฐาน ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ และหาใช่ดื้อด้านต้องการจะเอาอย่างใจ หากนี่เป็นหนทางที่จะแสวงหา บางสิ่ง…ต้องพิสูจน์

เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วก็เกิดความรุ่มร้อนในอก ทำให้อดไม่ได้ที่จะเผลอตั้งจิตระลึกทั้งๆ ที่มือและกายไม่ได้ขยับประนมเสียด้วยซ้ำ

“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าลูกไม่ได้ไปฝึกดาบ และต้องเข้าวังในครานี้ เมื่อไม่มีสิ่งใดที่จะเห็นทางทำประโยชน์ให้แผ่นดินแห่งนี้ได้ ถ้าขอได้ ลูกก็จะไม่ขออยู่ในโลกนี้อีกต่อไป”

เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ไม่มีแม้กระทั่งลมพัดมาสักวูบหนึ่งให้รับรู้ว่าคำขอเป็นผล

“เฮ้อ!” หล่อนถอนหายใจยาว เดินกลับไปเอาดาบมาเก็บไว้เช่นเดิม

“ไปเถอะพี่อ่อน เย็นแล้วจริงๆ นั่นแหละ” ณิรชาชวนพี่เลี้ยงแกนๆ วันนี้เห็นทีอาจจะต้องพักรบก่อนก็ได้

ไม่มีใครสังเกตว่าลับหลังแม่หญิงไพลินกับแม่อ่อนแล้ว ร่างสูงผิวคร้ามของคนคนหนึ่งจะค่อยขยับกายออกมาจากแนวดงไม้

ตาคมวับของขุนอรรถมองตามร่างบางที่เดินออกไปยังด้านหน้าของเรือนใหญ่ก่อนที่จะส่ายหน้าระอาใจพร้อมกับพึมพำอยู่คนเดียว

“ท่าดาบผิดที่ผิดทางอย่างนั้นจะเรียกว่าซ้อมได้อย่างไรกัน!”

 

ตลอดเวลาที่นั่งรับประทานข้าวกันอยู่ ณิรชาปรนนิบัติท่านเจ้าคุณและคุณหญิงได้อย่างไม่บกพร่อง เว้นไว้อยู่คนหนึ่งที่ทำให้เพื่อไม่มีใครเห็นผิดสังเกตเท่านั้น

เขาเป็นพี่แท้ๆ น่าจะรู้ใจกันบ้าง แต่ก็นั่นแหละ ความเชื่อของคนหัวโบราณ

“วันนี้พ่อดวงจะออกไปอีกไหม” ผู้เป็นบิดาถามหลวงเสนาสรศักดิ์ หลังจากที่เก็บสำรับเรียบร้อย ฝ่ายชายนั่งสูบยาเส้นอยู่ตรงชานเรือน ส่วนณิรชาก็พัดวีให้คุณหญิง รอเวลาพระอาทิตย์ตกให้มืดสนิท

“วันนี้มิใช่เวรยามของกระผมขอรับ ส่วนพวกที่ตามจับอยู่…” ชายหนุ่มเว้นไว้นิดหนึ่ง เพราะคงทราบว่ามีคนคอยเงี่ยหูฟัง “ยังไม่มีข่าวขอรับ”

“มิน่า วันนี้พ่ออรรถถึงไม่ได้มา”

“แวะมาเมื่อเย็นขอรับ แต่ไม่ได้ขึ้นมาเพราะเห็นว่ารีบ ต้องเตรียมเข้าวังพรุ่งนี้”

ผู้เป็นบิดารับทราบ ในขณะที่ณิรชานึกถึงสายตาที่คอยตำหนิติเตียนนั้นก็อดรำพึงด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้

“ตาอรรถนี่ก็หัวโบราณสุดๆ เชยระเบิด” หล่อนเกลียดสายตาที่คอยแต่ตำหนิติเตียนอยู่ร่ำไป

“เจ้าว่าอะไรรึ” คุณหญิงพลอยศรีที่นั่งเคี้ยวหมากอยู่หันมาถาม ทำให้ต้องอ้อมแอ้มปฏิเสธไป

“ว่าแต่พอพูดถึงเรื่องเข้าวัง แม่ว่าร่างกายของเจ้าก็ดีขึ้นมากแล้ว เห็นทีจะต้องเข้าวังได้แล้วกระมัง วันก่อนสมเด็จท่านให้คุณหญิงน้อมมาถามถึง”

“ลูกยังไม่แข็งแรงเจ้าค่ะ”

“อะไรกันไพลิน พ่อเห็นเจ้าตะลอนๆ ไปทางโน้นทีทางนี้ที ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” ท่านเจ้าคุณเสริมอย่างคนที่พอจะทราบเรื่อง หญิงสาวพอเดาออกว่าคนที่ส่งข่าวนั้นเป็นใครจึงส่งตาขุ่นๆ ไปให้พี่ชายของแม่หญิงไพลิน

ครานี้ขอแยกพี่แยกน้องกันสักพัก!

“แต่ลูกอยากอยู่ที่บ้านเจ้าค่ะ”

“เดิมเจ้าติดเพื่อนในวังจะตาย ออกมานานๆ แบบนี้ ท่านเกิดโปรดคนอื่นแทนเจ้าจะว่าอย่างไร”

“ก็…แล้วแต่ท่านสิเจ้าคะ” หล่อนตอบเนือยๆ

“ไฮ้…แม่ไพลินนี่ เลื่อนเปื้อนใหญ่แล้ว ถวายตัวเป็นข้าหลวงจนถึงขั้นเป็นคนโปรดแล้ว จะไปยกตำแหน่งนี้ให้ใครง่ายๆ ได้อย่างไร” คุณหญิงขมวดคิ้ว ไม่สบอารมณ์ยิ่ง

“แต่ลูกมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำยิ่งกว่าการเข้าไปอยู่ในวัง”

“อะไรที่สำคัญ บอกแม่มาทีซิ”

กำลังจะอ้าปากโพล่งออกไปแล้วเชียว ทว่า…

“แม่ไพลินคงยังอยากจะเที่ยวเล่นตามประสานะขอรับคุณแม่ เข้าไปในวังหลายปี พอออกมาครานี้เลยติดใจ” หลวงเสนาสรศักดิ์ขัดจังหวะของณิรชาเสียก่อนพร้อมกับส่งสายตาปรามมาให้ ทำให้หญิงสาวต้องเก็บคำพูดลงไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“จะติดใจอย่างไรก็เถอะ ขืนอยู่นานเข้าคนเขาจะพานดูถูกเอา”

“เอาเถอะ อีกสักพักค่อยเข้าวังก็ได้ นี่คุณหญิง ไปไหว้พระกันเถอะ” ผู้เป็นประมุขของบ้านตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นก่อนที่เรื่องจะยาวไปกว่านี้ คุณหญิงพลอยศรีจึงลุกตามอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก

เมื่ออยู่กันตามลำพัง หลวงเสนายังไม่ไปไหน

“เจ้าไม่ควรพูดเรื่องไม่เข้าวังให้คุณแม่ท่านขุ่นใจ เจ้าเป็นความหวังของท่าน ไม่เคยทำให้ท่านผิดหวังมาก่อน”

“ฉันไม่ควรพูดความจริงหรืออย่างไร ฉันไม่อยากกลับเข้าวังที่เอาแต่นั่งร้อยมาลัย ฟ้อนรำ ในเมื่ออีกไม่นาน กรุงศรีอยุธยาก็จะไม่มีดอกไม้ให้ร้อย ไม่มีที่ให้ฟ้อนรำอีกต่อไป ที่เราต้องการคือคนที่ปกป้องบ้านเมืองได้!”

“เจ้าพูดจาเลอะเทอะอีกแล้ว” เขาดุซ้ำ

“พี่ดวงจะเห็นเช่นนั้นก็ตามใจ จำไว้เถอะพี่ดวง อยุธยาจะเป็นเช่นนั้นในเวลาอีกไม่นานนักหรอก”

“ไพลิน! ที่พี่ห้ามเจ้านี่เพราะว่าเป็นห่วงนะ” เขาเสียงเข้ม

หญิงสาวกลับถอนหายใจยาวตอบ ที่พี่ชายของแม่หญิงไพลินกล่าวนั้นย่อมเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แต่ที่ไม่จริงนั้นก็คือ…ณิรชา

“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ใช่น้องของพี่ล่ะ เป็นวิญญาณของใครคนหนึ่งที่พลัดหลงมาอยู่ในร่างนี้” แล้วดันทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาในอีกไม่นานช้านี้

“ไพลิน! เจ้านี่!”

“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ จะอธิบายอย่างไรก็คงไม่มีใครสนใจจะเชื่อ

“ถึงอย่างไรฉันจะไม่ยอมเข้าวังแน่!” ใครเคยบังคับได้ ไม่มีหรอก! คุยไปก็ไม่มีประโยชน์

หล่อนผุดลุกขึ้น ตั้งใจว่าจะกลับเข้าห้อง

ทว่า…ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่งก่อนที่ร่างจะทรุดฮวบลงราวกับร่างส่วนหนึ่งกำลังร่วงหล่นจากที่สูง และคล้ายกับว่าอีกส่วนหนึ่งกำลังลอยสูงขึ้นทั้งๆ ที่เท้ายังอยู่ติดพื้น นั่นเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด! หญิงสาวเอื้อมมือเพื่อคว้าสายใยบางๆ ที่เชื่อมกันอยู่กลับมา

แต่…ทุกอย่างว่างเปล่า!

“ไพลิน!” หลวงเสนาสรศักดิ์รีบเข้ามาดูเมื่อร่างของแม่หญิงไพลินทำท่าเหมือนเอื้อมมือคว้าลมแล้วนั่งแปะลงกับพื้นเรือนอย่างผิดปกติ

“แม่หญิง” อ่อนที่นั่งเงียบอยู่รีบถลาเข้ามาหา

“พี่ดวง!” ใบหน้าของณิรชาซีดเผือดพร้อมกับความตระหนกที่ฉายออกมาทางดวงตา ไม่มีใครรู้ดีเท่าในเมื่อสิ่งที่เห็นเมื่อครู่… ‘ตัวเอง’

รับรู้ด้วยจิต…ว่าส่วนที่ไม่มีตัวตนของหล่อนกำลังลอยสูงขึ้น…และกำลังก้มลงมองร่างของแม่หญิงไพลินที่ห่างออกไป! เพียงชั่วพริบตาก่อนจะถูกกระชากกลับเข้าสู่ที่เดิม

“เจ้า จะเป็นอย่างเดิมอีกแล้วรึ…” ดวงตาของคนที่เรียกขานว่าพี่มีรอยตระหนกเช่นกัน มือใหญ่จับแขนแน่น

“ไม่…ไม่ใช่อย่างเดิม พี่ดวงไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องบอกคุณพ่อคุณแม่ นะ” หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ถ่ายทอดมา ถ้าเป็นแม่หญิงไพลินตัวจริงคงรู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน

“วันนี้คงเจอแดดเยอะเจ้าค่ะ ลงไปอยู่ข้างล่างตั้งแต่บ่าย” อ่อนคิดไปในทางที่เป็นไปได้

“คราวหลังก็อย่าลงไปตากแดดมากนัก ร่างกายของเจ้าไม่ได้แข็งแรงนักหรอก เชื่อพี่สักครั้งเถอะนะ” คิ้วของหลวงเสนายังขมวดมุ่นกับอาการที่เห็น น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น

“มาเถอะ พี่จะพาเจ้าไปส่งที่ห้อง อ่อน…เดี๋ยวให้บ่าวต้มยาให้ด้วยนะ”

“เจ้าค่ะ” พี่เลี้ยงคนสนิทไม่รีรอ รีบเข้ามาช่วยพยุง แปลกเหลือเกินที่แข้งขานี้อ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหวจนต้องยอมปล่อยให้คนสองคนพยุงไปที่ห้อง

ความอาทรห่วงใยของหลวงเสนาสรศักดิ์ที่มีต่อแม่หญิงไพลินนั้นคงมากล้นจนณิรชาที่แม้เป็นคนอื่นยังสัมผัสได้ รู้ตัวดีว่าตั้งแต่จิตวิญญาณมาอยู่ที่นี่ หล่อนก็สร้างความลำบากใจให้แก่ชายหนุ่มไม่ใช่น้อย ยิ่งในระยะหลังทั้งกิริยาหรือคำพูดก็เอาแต่ใจ หากถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถือสา

“พี่ดวง…ฉันขอโทษที่ทำกิริยาไม่ดีกับพี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวพนมมือขอลุแก่โทษ ความเมตตาที่พี่คนนี้มีต่อน้องช่างมากมายนัก แม้ในโลกที่จากมาก็ยังหาได้ยาก

“ฉันดื้อทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าพี่ห้ามเพราะพี่เป็นห่วง”

หลวงเสนายิ้มอย่างเมตตา มือใหญ่วางบนศีรษะของน้องสาว “ช่างเถอะ เจ้าก็รู้ว่าพี่ไม่เคยโกรธเคืองเจ้า อ่อน…พาแม่หญิงไปพักเถอะ”

อ่อนประคองหล่อนเข้าไปพักในห้อง ตลอดทั้งคืนหญิงสาวนอนกระสับกระส่ายไม่สบายตัว คงเพราะร่างกายแม่หญิงไพลินยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ไข้เลยกลับมา หรือเพราะว่าหล่อนต้องจากที่นี่ไปจริงๆ ตามที่อธิษฐานไว้

ณิรชานอนครุ่นคิดก่อนจะหลับไป หวังว่าพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ตั้งแต่ตั้งจิตว่าจะขอไปฝึกดาบให้ได้ ไม่ยอมเข้าวัง ณิรชาต้องเผชิญกับอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นเป็นพักๆ

หลายครั้งที่เหมือนกับร่างกายกับจิตวิญญาณไม่ยอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จนบางครั้งต้องพยายามดึงรั้งอะไรบางอย่างที่เชื่อมเอาไว้ไม่ให้ลอยขาดจากกัน

หรือว่าจะไม่ได้ไปฝึกดาบและต้องเข้าวังจริงๆ จิตที่ประสานอยู่ถึงพยายามแยกออกจากร่างเช่นนี้ ทว่าคำอธิษฐานจากคนที่ไม่มีบุญบารมีสะสมเช่นหล่อนจะมีฤทธานุภาพถึงเพียงนี้เชียวหรือ…

คนที่นึกได้ว่าน่าจะให้คำแนะนำได้คือหลวงตาน้อยผู้ซึ่งทราบที่มาของหล่อน เผื่อท่านจะชี้ทางสว่างให้ แต่หลังจากที่ไปกราบครั้งล่าสุด หลวงตาน้อยได้ออกธุดงค์เสียแล้ว ไม่ทราบว่าไปทางใดและจะกลับมาเมื่อใด

“แม่หญิง เป็นอะไรไปอีกแล้วเจ้าคะ” คนที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างแม่อ่อนย่อมต้องรู้สึกได้เช่นกัน ยิ่งเมื่อจู่ๆ หญิงสาวทรุดนั่งลงราวกับหมดแรง เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่มีสาเหตุ

“เป็นอย่างนี้มาหลายครั้งแล้วนะเจ้าคะ น่าจะเรียนให้คุณท่านทราบ” คนสนิทเป็นกังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกขอร้องไม่ให้บอกใคร

“อย่าเลยพี่อ่อน ประเดี๋ยวก็หาย คงเป็นเพราะช่วงหลังฉันออกแรงทำโน่นทำนี่มากไปหน่อยเท่านั้น”

“แต่ว่า…”

“ฉันป่วยเป็นแรมเดือน จะให้หายสนิทลุกขึ้นมาเดินปร๋อไม่เป็นอะไรคงดูแปลกคนอยู่ล่ะ เอาเถอะ ฉันจะกลืนยาที่หลวงตาให้มาจนหมด จะได้หายขาด”หล่อนตัดบทเมื่อสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ยินยอมพร้อมใจ

“แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน พี่อ่อนก็ต้องดูแลรักษาตัวดีๆ นะ หมั่นทำความดีมากๆ จะได้ไปเจอกันในวัน…ข้างหน้า” ใจจริงอยากจะสั่งเสียมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึก หรือเรื่องราวในอนาคต แต่แม่อ่อนคงไม่พร้อมที่จะรับทราบเรื่องเหล่านี้ เจ้าหล่อนน้ำตาเอ่อขึ้นมาทุกครั้ง

“แม่หญิง…ไม่เอา ไม่พูดเจ้าค่ะ” มือคล้ำเกาะไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้หล่อนต้องหัวเราะออกมา อาการวูบหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“โธ่! ฉันพูดเผื่อเอาไว้”

“เผื่ออย่างนี้ไม่ดีเจ้าค่ะ เป็นลาง…” ความเป็นห่วงอาทร คงเป็นสายใยที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้กระมัง หากขาดสิ่งเหล่านี้คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้

เฉกเช่นเดียวกัน ต่อให้กังวลใจเพียงไหน หวาดกลัวเพียงใด ณิรชาจะไม่ยอมเลิกราความคิดที่ตั้งใจเอาไว้แน่ ไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นเพียงอย่างเดียว แต่เพราะหล่อนบังเอิญรับรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

หากว่าอวสานแห่งอยุธยานั้นเกิดขึ้นจริง การอยู่ข้างนอกรั้ววังคงจะเหมาะกับตัวเองมากกว่าแน่นอน ถึงการดื้อด้านในครั้งนี้เป็นเหตุทำให้ต้องหลุดจากภูมิภพไปเป็นสัมภเวสีที่อื่นก็ตาม

จนกว่าจะรู้แน่ว่าเป็นเพราะอะไร ค่อยมาว่ากันใหม่

 

ณิรชาไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ เมื่อจู่ๆ คุณหญิงพลอยศรีก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเป็นการเป็นงาน เมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้า ผู้เป็นบิดาเองก็กำลังนั่งรับลมสนทนากับพี่ชาย

“แม่ไพลิน วันก่อนที่แม่เฟื่องเขามาเยี่ยมเจ้า บอกว่าสมเด็จท่านรับสั่งถึงอีกแล้ว แม่เลยบอกว่าเจ้าคงจะกลับเข้าวังเร็วๆ นี้ ว่าแต่เจ้ากะแล้วหรือยังว่าจะไปวันไหน” ท่านคงพอจะรับรู้ได้ว่าแม่หญิงไพลินนั้นเริ่มมีท่าทีว่าจะไม่กลับเข้าวัง อันเป็นเรื่องที่ทำให้ร้อนใจอย่างยิ่ง และที่ทำให้เป็นกังวลก็เพราะเมื่อเช้าท่านทราบมาจากบ่าวคนอื่นว่าแม่ลูกสาวคนโปรดกะเกณฑ์คนถางที่ในดงกล้วยทำเป็นที่ซ้อมดาบ ยิ่งทำให้ท่านกังวลมากกว่าเดิม

เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีว่าลูกนั้นเป็นอย่างไร เรื่องฝีไม้ลายมือการบ้านการเรือนล้วนไม่อยู่ในความสนใจอีกต่อไป ช่างแตกต่างกันราวไม่ใช่ลูกสาวคนเดิม ให้กลับไปบ่มนิสัยในวังเสียจะได้เบาใจ

“ว่าอย่างไรเล่า แม่ไม่อยากให้เจ้าอยู่นอกวังนานเกิน ราศีจะหมองไปหมด ได้ข่าวว่าตอนที่เจ้าป่วย แม่หญิงแขเพื่อนของเจ้าถวายงานแทน ดูท่าจะขึ้นตำแหน่งคนโปรดแทนเจ้าแล้วนะ”

เรื่องการเป็นนางกำนัลคนโปรดนั้น แม่หญิงไพลินอยู่อันดับต้นๆ ซึ่งท่านและแม่หญิงไพลินก็ภูมิใจนักหนา เชื่อว่าถ้าพูดถึงเรื่องยอมแพ้แล้วลูกสาวจะไม่มีวันยอม เพราะแม่หญิงพอใจที่จะเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ

“ลูกกำลังคิดว่าจะเรียนเรื่องนี้กับคุณแม่อยู่พอดีเจ้าค่ะ” ถ้าเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง ณิรชาจะไม่ลำบากใจหรือรีรอเช่นนี้ แต่เพราะตอนนี้มีชนักติดหลัง มาอาศัยร่างลูกสาวของพวกท่าน หนำซ้ำยังจะกล้าขัดใจในสิ่งที่ไม่ควรอีก ยังจะความรักความเมตตาที่ให้มาอีกล่ะ ต่อให้ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงแต่ก็ฝากตัวเอาไว้แล้ว ย่อมมีความผูกพันและทะนุถนอมน้ำใจมากเป็นพิเศษ

แต่ก็อีกนั่นแหละ…ให้ขุ่นใจตอนนี้ดีกว่ามีเรื่องราวใหญ่โตในวันข้างหน้า

คำสนทนานั้นคงเข้าหูของท่านเจ้าคุณและหลวงเสนาสรศักดิ์ ทั้งสองจึงหยุดรอฟังคำตอบด้วยเช่นกัน ถึงตอนนี้หญิงสาวไม่อาจโป้ปดได้อีกต่อไป จึงต้องตัดสินใจเรียนผู้เป็นมารดาของแม่หญิงไพลินตามจริง

“ลูกไม่เข้าวังอีกแล้วเจ้าค่ะ” เสียงที่เอ่ยออกไปนั้นเด็ดเดี่ยวยิ่งจนทำให้คุณหญิงเริ่ม ‘พื้นเสีย’ ขึ้นมา

“เจ้าว่าอะไรนะ!”

“ลูกไม่เข้าวังอีกแล้ว ที่นั่นไม่เหมาะกับลูก และจากนี้อยากจะขอคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้ลูกไปเรียนวิชาดาบที่บ้านท่านขุนพิชิตศาสตราด้วยเจ้าค่ะ”

“แม่ไพลิน!”

ที่ผ่านมาณิรชาไม่คุ้นเคยกับการถูกบังคับหรือปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น แม้จะพอทราบมาบ้างว่าสังคมสมัยเก่าๆ นั้นลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ แต่หล่อนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการที่ลูกไม่เข้าวังตามความต้องการของแม่ในยุคสมัยอยุธยานี้มันร้ายแรงเพียงไหน ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ

เมื่อเห็นกิริยากราดเกรี้ยวของคุณหญิงพลอยศรีทำให้ได้รับรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว

“คุณหญิง ค่อยๆ พูดกับลูกก็ได้” ท่านเจ้าคุณทราบความเดิมมาจากหลวงเสนาอยู่แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาไกล่เกลี่ย

“อิฉันใจเย็นจนเย็นไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ ตั้งแต่ลุกมาคราวนี้ แม่ไพลินไม่อาจจำวิชาในวังได้เลย วันๆ เอาแต่ตะลอนไปมา แล้วนี่ยังไปคลุกคลีอยู่กับพวกอาวุธอีก วันก่อนแม่เห็นนะ เจ้าซื้อดาบมา หนำซ้ำยังให้บ่าวถางป่ากล้วย พ่อดวงนะพ่อดวง เอาอะไรไปใส่หัวน้องถึงเป็นเยี่ยงนี้”

หลวงเสนาสรศักดิ์เองก็พลอยได้รับลูกหลงไปด้วย ที่จริงเขาจะออกตัวว่าห้ามแล้วก็ได้ แต่กลับนิ่งเงียบเสีย รับเป็นต้นเหตุตามเคย

“ไม่ใช่ความผิดของพี่ดวงหรอกค่ะ ลูก… ลูกเห็นว่าวิชาดาบและการต่อสู้จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้ายิ่งกว่าการร้อยดอกไม้ ทำกับข้าว ขนมหวาน จะได้ใช้เมื่อมีภัยมา สักวันหนึ่งคุณแม่จะเข้าใจ”

“ไพลิน” พี่ชายปรามพลางส่ายหน้าไม่ให้พูดมากไปกว่านี้

“เพ้อเจ้อ! แม่ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น เจ้านี่วิปลาสไปใหญ่แล้ว ผู้หญิงใครเขาก็อยากไปเรียนรู้วิชาในวัง ถ้าเจ้าไม่มีวิชา ไม่มีความรู้ คนดีๆ ที่ไหนเขาจะมาขอไปเป็นแม่ศรีเรือน ที่ผ่านมาถ้าเจ้าไม่ล้มป่วยจนเป็นเช่นนี้ หลวงพิทักษ์จะไปแต่งงานกับคนอื่นหรือ”

ณิรชาไม่รู้จักหรอกหลวงพิทักษ์อะไรนั่น เพราะตอนนี้หัวสมองคิดแต่เรื่องที่จะปฏิเสธ เพราะขืนยอมก็คงหนีไม่พ้นกับการถูกกักกัน ที่สำคัญระบบระเบียบในวังหลวง ใครเป็นใครหล่อนก็ไม่รู้เรื่องสักอย่าง เกิดไปทำอะไรผิดพลาดเข้าจะกลายเป็นหาเภทภัยมาใส่ตัว ชะร้ายจะลามมาถึงผู้ใหญ่ทางนี้

“นั่นถือว่าไม่มีวาสนาต่อกันนะคุณหญิง” ผู้เป็นบิดาเอ่ยแก้ให้

ในบางเรื่องเป็นกิจของมารดาจริงๆ และสิ่งที่หญิงสาวไม่ทราบลึกซึ้งคือคุณหญิงพลอยศรีนั้นขึ้นชื่อเรื่องเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่เช่นเดียวกัน นิสัยนี้จึงถ่ายทอดมาถึงแม่หญิงไพลิน ที่ไม่เคยขัดแย้งกันเนื่องเพราะแม่ลูกต่างเคยมีความเห็นคล้อยตามกันไปเสียทุกเรื่อง

ผิดกันกับแม่หญิงไพลินคนใหม่ ที่ยังไม่ถูกติเตียนมากนักเพราะเห็นว่าเพิ่งฟื้นไข้ ทั้งๆ ที่ในใจของท่านอึดอัดมาตลอดกับความรู้สึก ‘ไม่ได้ดั่งใจ’

“เจ้าค่ะ ไม่มีวาสนา ตอนนี้ใครๆ เขาก็ว่ากันเช่นนั้น ในเมื่อลูกอิฉันมันทำตัวเยี่ยงนี้เสียแล้ว แต่อิฉันเห็นทีจะยอมไม่ได้ บอกแม่มาไพลิน เจ้าจะเข้าวังเมื่อใด ไม่เช่นนั้นแม่จะจัดการให้เอง” ประโยคหลังหล่อนถูกบังคับให้ตอบ อย่างไม่มีทางเลือก

“ลูกขอกราบคุณแม่เจ้าค่ะ ลูกจะไม่เข้าวังอีกแล้ว” คราวนี้สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงตบพื้นตั่ง แม้แต่อ่อนที่นั่งอยู่ห่างๆ ยังขยับมาด้วยความเป็นห่วง

“ไพลิน…ตั้งแต่เจ้าหายไข้คราวนี้เจ้าเหมือนไม่ใช่ลูกข้า ผีป่าตนใดมาสิงให้เจ้าไม่เหมือนเดิม” แววตาของผู้เป็นมารดานั้นบ่งบอกอะไรหลายหลาก

“หรือเจ้าไม่ใช่ลูกของข้าจริงๆ”

ใจของณิรชาสะท้านเฮือกกับสิ่งที่ผู้เป็นมารดาของแม่หญิงไพลินได้กล่าวออกมา แท้จริงคุณหญิงก็มีความในใจเป็นอย่างที่กลัวไว้เช่นกัน

จริงอยู่ แม้รู้ว่าจิตวิญญาณไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของท่าน

หากเมื่อมาอยู่ในโลกนี้แล้ว

“คุณแม่!” หลวงเสนาสรศักดิ์เป็นฝ่ายท้วงมารดา เพราะการที่แม่ปฏิเสธลูกนั้นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสาหัส

“อย่าเลยพ่อดวง พวกเราต่างรู้ดี…แม่ไพลินหาใช่คนเดิมตั้งแต่ลุกขึ้นมาได้คราวนั้น”

“คุณ…แม่…” การดื้อแพ่งตามนิสัยเอาแต่ใจตัวเองในโลกที่จากมาเกิดผลร้ายแรงขึ้นมาแล้ว ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่ยอมฝืนใจตัวเอง หากเมื่อต้องสูญเสียความเป็นแม่ลูกจริงๆ หัวใจก็พลันจะขาดรอน เริ่มลังเลกับความคิดของตัวเอง คุ้มกันหรือไม่ที่ต้องแลกกับอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้

“อย่ามาเรียกข้าว่าแม่อีกเลย! เจ้า…ไม่ใช่ลูกข้า เพราะลูกของข้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังเช่นนี้เด็ดขาด” น้ำเสียงนั้นเหยียดหยันนัก คุณหญิงสะบัดหน้าลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่ไยดี

ณิรชาสะอึก สิ่งที่หวาดกลัวอยู่ลึกๆ ปรากฏแน่ชัดจากวาจาของคุณหญิง

คนเป็นแม่มีหรือจะไม่สามารถรับรู้หรือสัมผัสได้

ลูกตัวเองหายไปไหนไม่รู้ กลับมีอีกคนหนึ่งมาแทนที่

หากผิดกันตรงณิรชาที่หลงมาอยู่ได้ฝากตัวฝากใจเป็นลูกบ้านนี้ไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธอย่างนี้ย่อมเกิดอาการมือไม้อ่อน ขยับกายไม่ได้ ร่างทั้งร่างค่อยๆ คู้ลงฟุบนั่งกับพื้น ไม่รู้เหมือนกันว่าความเสียใจมันถาโถมเข้ามาจากข้างในอกมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร

“แม่…” ทำไมเล่า นี่ไม่ใช่แม่แท้ๆ สักหน่อย หากทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดจนใจจะขาดรอน

คนที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ บ้านนี้คุณหญิงเป็นใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องของลูกสาว แม่หญิงไพลินก็เหลือเกินดื้อแพ่งไม่ยอม แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นแม่ลูกคู่นี้เป็นอย่างนี้มาก่อน

“ไพลิน แม่เขาก็พูดไปอย่างนั้น เพราะเจ้าดื้อแพ่งไม่เป็นเรื่อง เดี๋ยวพ่อจะคุยกับแม่ก่อน เจ้าอย่าเพิ่งน้อยใจไป พ่อดวง…เจ้าดูไพลินก่อน พ่อจะเข้าไปคุยกับแม่ของเจ้าเอง” ท่านเจ้าคุณบอกกับหลวงเสนาก่อนที่จะตามภรรยาเดินเข้าไปยังห้องด้านใน ปล่อยให้หลวงเสนาและอ่อนซึ่งขยับกายเข้ามาใกล้ สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกให้รับรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

แต่ถึงอย่างไรร่างกายของณิรชาก็ไม่รับรู้ จิตวิญญาณของหล่อนเริ่มปฏิเสธร่างกายที่อาศัย ผู้ซึ่งหลวงตาบอกโดยนัยให้เข้าใจเอาเองว่าเจ้าของที่แท้จริงอาจล่วงลับไปแล้ว

บางที…ผู้หญิงคนนั้น เจ้าของร่างที่แท้จริงอาจกำลังรออยู่ก็ได้… ในเมื่อไม่มีคนยอมรับ อยู่ไปก็ไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไร ช่วยอะไรใครก็ไม่ได้

ดังนั้น…ร่างนี้…ควรคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริง!

“พี่ดวง…ช่วยพาฉันไปหาคุณแม่ คุณหญิงที…” ร่างกายของหล่อนเริ่มสั่นสะท้าน หนาวขึ้นมาจับขั้วหัวใจ

แปลกเหลือเกิน พอต้องมาเรียกขานกันอย่างห่างเหินเช่นนั้นยังทำให้เจ็บปวดจน…อยากจะหลุดลอย

“เจ้า…เรียกคุณแม่อย่างนั้น…ไม่ควร” หลวงเสนาสรศักดิ์ประคองหล่อนให้ลุก ถึงไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่ก็เป็นพี่ชาย

 

คุณหญิงหันข้างให้ทันทีที่หล่อนก้าวข้ามธรณีประตูห้อง คงสิ้นเยื่อใยกันคราวนี้ ในเมื่อไม่ใช่ลูกที่แท้จริงก็จะขอไปล่องลอยอยู่ในโลกอื่น

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้จิตวิญญาณคล้ายกำลังขยับห่างออกร่าง สายใยบางเบาเริ่มขยายออก ยาวขึ้นแต่เล็กและบางลงเรื่อยๆ

หญิงสาวก้มลงกราบเท้าท่านเจ้าคุณและคุณหญิง “ท่านเจ้าคุณ…คุณหญิงเจ้าคะ” แม้จะยากเย็นหากนี่คือความจริง และเป็นความจริงที่อัดอั้นอยู่ในใจมาตลอดตั้งแต่ลืมตาขึ้นมายังโลกแห่งนี้

“ไพลิน” ท่านเจ้าคุณและหลวงเสนาปราม

“คุณหญิงพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ อิฉัน…ขอยอมรับว่าอิฉันไม่ใช่ลูกของท่าน ไม่ใช่น้องของพี่ดวง ไม่ใช่แม่หญิงไพลิน อิฉัน…เป็นเพียง ‘สัมภเวสี’ ที่ล่องลอยผ่านมาสิงสู่ในร่างของลูกสาวของท่านเท่านั้น…” ไม่ทันขาดคำ หล่อนรู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาลที่อยู่ไกลออกไป ทั้งๆ ที่เคยปฏิเสธแรงดึงดูดนั้น หากตอนนี้กลับยินดีที่จะโอนอ่อนผ่อนตาม

ณิรชาก้มหน้า ไม่รับทราบว่าการยอมรับของร่างที่หมอบอยู่ทำให้คนทั้งห้องสะท้านสะเทือนเพียงใด

“ไพลิน!”

“อิฉันขออภัยเจ้าค่ะ อิฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าแม่หญิงไพลินที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใดเสียแล้ว…และถ้าอิฉันคืนร่างนี้ได้ อิฉันก็อยากจะขอคืน”

ทุกคนตกอยู่ในอาการตะลึงนึกไม่ถึงว่าแม่หญิงไพลินจะพูดถึงเรื่องผีสางแบบนี้ได้

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว อิฉันคงเป็นลูกของท่าน เป็นน้องของพี่ดวงไม่ได้อีกต่อไป ขอบพระคุณที่เมตตา อิฉันต้องขอกราบลา” หญิงสาวกราบ พยายามลุกขึ้นทั้งๆ ที่น้ำตานองหน้า

“แม่หญิงไพลิน…เจ้าอยู่ที่ไหน มาเอาร่างกายของเจ้าคืนไปเถอะ!”

หล่อนพึมพำ ยืนคว้าง ไม่นำพากับสายตาตกตะลึงของทุกคนในห้อง ไร้บ้าน ไร้ที่พึ่ง ยังดีกว่าไร้สายสัมพันธ์ ตอนนี้…จนปัญญาที่จะอยู่ต่อไปแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าจากโลกใบนี้แล้วจะไปอยู่ที่ไหน ทราบแต่ว่าต้องไป!

ร่างกายเบาโหวงราวกับพื้นไม่ติดดิน

จู่ๆ ร่างของแม่หญิงไพลินก็ล้มตึงลงไป

ไร้ซึ่งความเจ็บปวด ณิรชารู้สึกว่าลอยสูงขึ้นไปตามแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น และหล่อนไม่ได้ยินเสียง…

”ไพลิน ไพลินลูกแม่!” อีกต่อไป

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: