บทที่ 2
“ทายาท ‘วีระวรกุล’”
หญิงสาวยกมือขึ้นกดออดเมื่อมาถึงห้อง 1307 ของวีอาร์วีคอนโดมิเนียม เธอยืนรอเพียงไม่นานประตูห้องชุดสุดหรูก็เปิดต้อนรับ อลิตามองสตรีร่างอวบวัยสี่สิบที่เป็นคนเปิดประตูให้ จำได้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคนเจ้าปัญหาที่รอด้านใน
“สวัสดีค่ะคุณหลิว” อลิตาทักทาย
“คุณพีรออยู่ในห้องรับแขกค่ะ”
ลีลาวดีเปิดทางให้อลิตาเข้าไปในห้องซึ่งไม่ค่อยแตกต่างจากห้องของอลิตามากนัก ภายในห้องแบ่งย่อยๆ ออกเป็นห้องครัว ห้องรับแขก ห้องน้ำ และห้องนอนอันกว้างขวางซึ่งจัดว่าเป็นห้องชุดที่ราคาเหมาะสำหรับคน ‘มีอันจะกิน’ เท่านั้น ชายหนุ่มแต่งห้องด้วยสีขาวและสีดำตามสไตล์โมเดิร์น เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้เป็นแบรนด์ดังและซื้อหามาด้วยราคาที่แพงสุดกู่ หากแต่อลิตาก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นนัก
เธอเดินไปที่โซฟาสีดำซึ่งมีร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“พี่หลิวกลับห้องไปเถอะ” เสียงเรียบๆ ที่แฝงแววเด็ดเดี่ยวบอกกับผู้จัดการส่วนตัว ลีลาวดีลอบมองเพียงแวบเดียวก็ต้องเดินไปหยิบกระเป๋าและเดินออกไปจากห้องโดยไม่ให้พีระพัฒน์สั่งซ้ำ
ลีลาวดีรู้ดีอยู่แล้วว่าดาราหนุ่มอารมณ์ศิลปินจัดเข้าขั้น ‘ติสต์แตก’ และมีโลกส่วนตัวสูงมากคนนี้อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ถ้าขัดใจในเวลาที่เขากำลังหงุดหงิดก็ไม่ต่างจากการหาเรื่องใส่ตัว
“มาเร็วดีนี่ครับคุณลิต้า”
มุมปากหยักได้รูปยิ้มเยือกเย็น พีระพัฒน์เป็นชายหนุ่มร่างสูง เขามีรูปร่างได้สัดส่วนสมกับที่เข้าวงการด้วยการเป็นนายแบบมาก่อน ด้วยอายุยี่สิบหกปีเสน่ห์ความเป็นชายของเขาจึงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ดวงตาคมที่เย็นชาปกปิดความรู้สึกต่างๆ ได้ดีพอๆ กับเวลาที่อยากแสดงความรู้สึก
นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมีใบหน้าเรียวที่รับกับริมฝีปากหยักได้รูปและทรงผมซอยสไลด์เคลียบ่าอย่างพอดิบพอดี แม้ใบหน้าคมคายจะมีไรเคราอ่อนๆ แบบหนุ่มแบดบอย แต่หากจะพูดว่าพีระพัฒน์เป็นชายหนุ่มที่ดูดีที่สุดเท่าที่อลิตาเคยพบเจอมาก็คงจะพูดได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลย
“ฉันมาคุยเรื่องงาน คุณหญิงประไพศรีบอกว่าคุณปฏิเสธงานสัปดาห์หน้าเหรอคะ”
“ผมบอกคุณหญิงไปแล้วนี่ว่าผมติดสอบที่มหาวิทยาลัย”
“ฉันเคยเรียนมหา’ลัยมาก่อนนะคะ เวลามีงาน มีเรียน หรือมีสอบอาจารย์ต้องบอกวัน เวลา ก่อนเริ่มเรียนอยู่แล้ว นักศึกษาจะได้จัดตารางถูก คุณอย่าอ้างเหตุผลแบบนี้เลยค่ะ” อลิตาพูดตรงๆ ทำให้พีระพัฒน์เงียบไป ชายหนุ่มแสยะยิ้มเพียงนิด แต่กระตุกความรู้สึกของอลิตาให้ขุ่นได้เสียยิ่งกว่าอะไร
“งั้นก็ขอพูดตรงๆ” ดวงตาคมกริบจ้องหน้าเธอนิ่ง “ผมไม่อยากทำงานนี้ โอเคมั้ยครับ”
“แต่งานทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้วนะ ถ้าคุณจะไม่ทำ คุณก็น่าจะบอกตั้งแต่วันที่คุณหญิงประไพศรีติดต่อคุณไปครั้งแรก ไม่ใช่ตกปากรับคำว่าจะทำแล้วสุดท้ายก็บ่ายเบี่ยงไม่ทำอย่างนี้”
พีระพัฒน์จ้องมองใบหน้างดงามอย่างเอาเรื่อง เขายอมรับว่าครั้งแรกที่ได้สบตาเธอจังๆ เธอทำให้เขาถึงกับอึ้งไป เธอมีเสน่ห์แบบผู้หญิงสวยและฉลาดอย่างเหลือล้น แต่เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะกล้าต่อปากต่อคำกับเขา ถ้าเป็นคนอื่นเพียงแค่เขาตวัดหางตากลับไปมองก็คงจะวิ่งออกจากห้องไปแล้ว แต่เธอทำให้เขาผิดคาดตั้งแต่ที่คิดว่าจะลากคนอย่างเขาออกไปทำงานให้ได้โดยบอกกับลีลาวดีว่าจะเข้ามาเจรจาด้วยตนเอง มิหนำซ้ำยังกล้าเข้ามาเหยียบที่ห้องเขาจริงๆ เสียด้วย
คนสติดีๆ รู้กันทั้งนั้นว่าไม่ควรท้าทายเขา อลิตานี่กล้าดีมาจากไหน ถึงได้ไม่เกรงกลัวเลย!
“พอดีผมเพิ่งจะนึกได้ว่าผมไม่รับงานเล็กๆ แบบนี้ให้เสียเครดิตตัวเอง” ชายหนุ่มจงใจตอบคำถามกวนประสาททั้งๆ ที่ความเป็นจริงเวลารับงานทุกอย่างลีลาวดีจะเป็นคนจัดการให้ และถ้าเขาว่างหรือมีใจอยากทำจริงๆ ต่อให้เป็นงานไม่มีค่าตัวเขาก็ทำทั้งนั้น
แรกเริ่มเดิมทีพีระพัฒน์เป็นคนที่ไม่ใคร่ออกงานสังคมแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ยิ่งงานในวงการบันเทิงยิ่งไม่อยู่ในหัวเลย ทว่า…ผู้เป็นบิดากลับเห็นดีเห็นงาม และเห็นว่าเขายังไม่ได้ทำงานอะไรจริงจัง กอปรกับการทำงานในวงการบันเทิงจะช่วยประชาสัมพันธ์ธุรกิจของครอบครัวได้ในระดับหนึ่ง เมื่อมีผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงอยากดึงตัวชายหนุ่มไปร่วมงาน บิดาของเขาจึงรีบส่งเสริมโดยไม่ถามความเห็นเขาสักคำ
จริงอยู่ว่า…พีระพัฒน์ไม่ใช่คนยอมคน
ชายหนุ่มอยากจะทำอะไรก็มักทำตามใจตนเองเสมอ แต่กับผู้เป็นบิดาเขาไม่ค่อยอยากมีเรื่องรบราให้ปวดหัวสักเท่าไหร่จึงยอมลดราวาศอกให้กึ่งหนึ่ง แต่ไม่นึกเลยว่านั่นจะทำให้เขามีงานอยู่เรื่อยๆ จนในปัจจุบันชื่อของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในวงการบันเทิงทั้งๆ ที่เขารับงานน้อยมากและมีค่าตัวสูงลิบลิ่ว
“นี่คุณ!” อลิตาจ้องหน้าพีระพัฒน์ เธอรู้ว่าเขามีเหตุผลมากกว่าการดูถูกงานบริษัทของเธอ เพียงแต่เขาไม่บอกตรงๆ และเลือกวิธีแก้ปัญหาด้วยการทำลายน้ำใจ หาใช่ด้วยการเจรจา “คุณกำลังจะยียวนฉันเหรอคะ”
“ผมยียวนคุณงั้นเหรอ”
“ตกลงว่าคุณจะไม่ทำงานนี้ใช่มั้ย” อลิตาสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างระงับอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิด ไม่รู้ว่าวันนี้วันซวยอะไร เธอถึงต้องรบรากับพี่น้องตระกูล ‘วีระวรกุล’ ทั้งสองคน และแต่ละคนนี่ ‘ดีกรี’ ความกวนประสาทไม่ได้แพ้กันเลยจริงๆ “ถ้าคุณไม่ตกลง ฉันก็จะได้หาคนใหม่!”
“ไม่รู้สิ สัปดาห์หน้าผมอาจจะอยากทำก็ได้ จะไม่ลองเสนอข้อต่อรองอะไรดีๆ หน่อยเหรอ ยังไงคุณหญิงประไพศรีก็ส่งคุณมาเจรจากับผมอยู่แล้วนี่ เธออยากได้ผมไปทำงานนักไม่ใช่หรือไง”
“นี่คุณจะเอายังไงก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า ฉันไม่มีเวลามาเล่นเดาใจกับคุณนะ” เสียงที่เคยกดให้นิ่งตวัดขึ้นสูงด้วยความไม่พอใจ เธอชักสีหน้าใส่เขา แต่พีระพัฒน์หรือจะทุกข์ร้อนด้วย
ชายหนุ่มหัวเราะขันๆ พลางเอ่ยยั่วโมโหต่ออย่างนึกสนุก…
“เล่นเดาใจ? ผมอยากจะลองเล่นดูบ้างแล้วสิ”
“นี่คุณพี…”
อลิตามีอาการเลือดขึ้นหน้า เสียงที่เรียกเขานั้นขุ่นเคืองจนจับกระแสได้ และมือเรียวบางเริ่มกำหมัดเข้าหากันแน่นทั้งๆ ที่เธอพยายามกดอารมณ์เอาไว้แล้ว
“ลองขอร้องผมดีๆ หน่อยสิ สัปดาห์หน้าผมอาจจะใจอ่อนไปทำงานกับคุณก็ได้นะ”
พีระพัฒน์มองหน้าหญิงสาวอย่างท้าทาย แววตาที่เคยเฉยเมยฉายแววกรุ้มกริ่มให้เห็น และมุมปากหยักได้รูปราวกับถูกสลักด้วยลิ่มก็กำลังคลี่ยิ้มท้าทายให้เธอมาเล่นเกมนี้ด้วยกัน
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ”
“เล่นลิ้น? คุณจะลองสักหน่อยมั้ยล่ะครับ” ท่าทางของชายหนุ่มยังคงไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่ดี มิหนำซ้ำคำที่เธอกราดออกไปยังเป็นอาวุธที่เขาใช้โต้ตอบกลับมายั่วอารมณ์เธอได้เสียอีก
“คุณพี!” อลิตาตวาดเสียงดังอย่างไม่เคยมาก่อน “โอเคค่ะ ก็ได้! ในเมื่อคุณไม่อยากจะทำงานนี้ ฉันก็จะหาคนใหม่ ขอบคุณนะที่ช่วยให้ฉันเห็นธาตุแท้ของคนอย่างคุณ”
ว่าเสร็จอลิตาก็หุนหันไปที่ประตู หากแต่เสียงขรึมที่ดังติดตามก็รั้งฝีเท้าเธอให้หยุดชะงัก
“ผมมีข้อเสนอให้คุณลองคิดดู…ถ้าคุณอยากจะร่วมงานกับผมจริงๆ”
ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากโซฟา ขายาวก้าวเข้าหาร่างของอลิตาและยึดข้อมือเธอไว้เมื่อเธอจะถอยหนี หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจ้องใบหน้าคมด้วยสายตาแสนขุ่นขวางบอกถึงความไม่พอใจที่เขาถือวิสาสะมาแตะต้องตัวเธอ หากแต่อีกคนกลับตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเรียบๆ เท่านั้น
“นี่คุณจะเอายังไงกับฉันกันแน่” เสียงหวานแข็งกร้าวขึ้น อลิตาเกร็งข้อมือเล็กไว้หวังให้หลุดจากมือใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่าร่างของเธอนั้นถูกเขากระชากเข้าไปใกล้จนใบหน้าปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้าง
ร่างบางระหงที่อลิตาเคยภูมิใจกลับกลายเป็นเพียงร่างบางเล็กเท่านั้นถ้าเทียบกับร่างกายของพีระพัฒน์ผู้ที่มีความสูงเกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร!
“สัปดาห์หน้าถ้าคุณมาดูแลผมที่กองถ่าย ผมจะตอบตกลง”
“พูดบ้าๆ” เขาจะให้อลิตาผู้เป็นเจ้าของบริษัทไปดูแลเขาอย่างนั้นน่ะหรือ…บ้ากันไปใหญ่แล้ว!
จริงอยู่ว่าเธอต้องไปร่วมงานและดูความเรียบร้อยทุกอย่างในกองถ่าย แต่ไอ้คำว่า ‘ดูแล’ นั่นเป็นหน้าที่ของฝ่ายแคสติ้งและฝ่ายประสานงาน ถ้าหากเธอลงไปรับรองเขาด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ ทุกคนในบริษัทคงจะต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเขามีความสำคัญอะไรถึงขนาดให้เจ้าของบริษัทลงมือดูแลเอง
พูดกันตรงๆ คือเขาไม่ให้เกียรติเธอเลย!
“งั้นก็เชิญ” พีระพัฒน์เอ่ยอย่างไม่แยแส ชายหนุ่มสะบัดข้อมือที่กำไว้จนร่างเพรียวบางเซห่างจากตัว
“นายพี!” ความเจ็บใจทำให้คำพูดที่เคยให้เกียรติกับเขานั้นไม่มีอีกแล้ว
พีระพัฒน์เค้นยิ้ม…ยิ้มเยือกเย็นเพื่อท้าทายให้เธอยิ่งเดือดดาล
“ผมไม่โกรธหรอกนะถ้าคุณจะเรียกผมแบบสนิทสนมกันอย่างนี้ ตกลงคุณจะว่ายังไงล่ะครับ จะยอมผมหรือว่าจะกลับไปทนฟังคุณหญิงประไพศรีบ่นเรื่องที่คุณพาผมไปทำงานด้วยไม่ได้ อ้อ…หรือจะยอมจ่ายฟรีๆ กับการลงทุนอันเปล่าประโยชน์ที่เตรียมงานมาตั้งนานก็ตามสบายเลย”
อลิตาโกรธจนสั่น มือเรียวบางเงื้อขึ้นสูงหมายจะฟาดลงบนหน้าเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่มที่ยื่นมาท้าทายอยู่ใกล้ๆ หากแต่เหวี่ยงมือออกไปได้ไม่เท่าไหร่มือของเธอก็กลับถูกเขารวบเอาไว้เสียก่อน
“อย่าเพิ่งโมโหสิครับ เรายังคุยกันไม่ถึงไหนเลย”
“ฉันยอมตกลงก็ได้!” อลิตาดึงข้อมือที่ถูกเขารวบไว้กลับอย่างรวดเร็วคล้ายกับสลัดปลิงออกไปก็ไม่ปาน “แล้วสัปดาห์หน้าเราจะได้เห็นดีกัน ฉันจะดูแลนายให้สาสมใจเลย…คอยดู!”
อลิตารู้ว่าถ้าปฏิเสธข้อเสนอนี้เธอก็คงได้ไม่คุ้มเสีย หากคุณหญิงประไพศรีไปฟ้องมารดาอย่างที่พีระพัฒน์ขู่ไว้ เธอคงโดนท่านเทศนายกใหญ่ เธอไม่ได้อยากให้ผู้ใหญ่ผิดใจกันเพราะเรื่องงานของเธอ
“จะคอยดูครับ…”
สายตาคมสบประสานกับดวงตากลมโตอย่างท้าทาย หญิงสาวจึงสะบัดหน้าหนีเขา มือเรียวบางเอื้อมไปกระชากลูกบิดประตูเปิดออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด
เมื่ออลิตาออกจากห้อง พีระพัฒน์ปิดประตูตามเบาๆ ใบหน้าที่เคยยียวนเข้มขรึมทันตาราวกับเปลี่ยนฉากในละคร ร่างสูงเอื้อมมือกดโทรศัพท์ไปหาผู้จัดการส่วนตัวทันทีที่เดินกลับไปทิ้งตัวลงบนโซฟา
“พี่หลิว ผมอยากได้ประวัติของลิต้า ส่งเข้าเมลผมในอีกสิบห้านาที”
สั่งงานเสร็จสรรพหูโทรศัพท์ก็ถูกวางเอาไว้ที่เดิม พีระพัฒน์แสยะยิ้มที่มุมปากก่อนจะทอดสายตาออกไปที่ประตู และแววตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“งานนี้เธอต่างหากที่จะต้องเห็นดี…ลิต้า”
คฤหาสน์สไตล์ตะวันตกสุดหรูของคุณหญิงวรรณภรณ์กำลังมีงานรื่นเริงฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดของเธอ ภายในห้องโถงถูกจัดตกแต่งหรูหราและเปิดดนตรีคลาสสิกคลอเสียงพูดคุยของแขกเหรื่อในงาน
รถยนต์สีดำมันวาวเลื่อนมาจอดนิ่งที่หน้าประตูคฤหาสน์ ไม่นานชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ก้าวลงจากรถ ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีดำ เขาเป็นเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทสไลด์ยาวเคลียบ่าเสริมให้ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งคมสัน และริมฝีปากหยักได้รูปนั้นดูโดดเด่นราวกับเทพเจ้าปั้นแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของเทพบุตรผู้สง่างาม
“ป้านึกว่าคุณแพทจะไม่มางานนี้ซะแล้วค่ะ”
เสียงคุณหญิงวรรณภรณ์เอ่ยต้อนรับก่อนจะเดินแหวกเหล่าบรรดานักข่าวเข้ามาทักทายกับชายหนุ่ม เธอสูงเพียงบ่าของเขาเท่านั้น แต่เนื่องจากสวมชุดราตรีสุดหรูและตกแต่งด้วยเครื่องประดับครบเซ็ต เมื่อยามที่แสงเครื่องประดับกระทบกับแสงแฟลชเธอจึงโดดเด่นสมกับเป็นเจ้าของงาน
“งานวันเกิดคุณป้าทั้งทีผมจะไม่มาได้ยังไงกัน คุณลุงท่านฝากมาอวยพรด้วยนะครับ”
เหล่าคุณหญิง คุณนายและบุตรสาวต่างควงกันมาในงานนี้ตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม เครื่องเพชรที่โชว์อยู่บนร่างกายส่องประกายวูบไหวยามกระทบแสงไฟคล้ายตู้เพชรเคลื่อนที่จนนักข่าวแทบจะจับภาพไม่หวาดไม่ไหว บิดาของพีระพัฒน์หรือ ‘คุณลุง’ ที่ปฏิปักษ์พูดถึงจึงไม่ใคร่ชอบงานสังคมที่ไม่เอื้อกับธุรกิจหรืองานสังสรรค์อวดเครื่องเพชรพอๆ กับคนเป็นลูกชาย ปฏิปักษ์จึงจำต้องเป็นตัวแทนครอบครัวมางานเลี้ยงนี้
“เชิญคุณแพทด้านในเลยนะคะ” คุณหญิงวรรณภรณ์ไม่รอช้า เข้าควงแขนชายหนุ่มเดินเข้าไปในงานพลางพยักหน้ากับนักข่าวว่าขอเวลาส่วนตัวซึ่งถือว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือกับปฏิปักษ์เป็นอย่างดี
“คุณพิมพ์คะ คุณแพทมาแล้วค่ะ”
คุณหญิงวรรณภรณ์เรียกหญิงวัยสี่สิบปลายๆ ที่ยังดูอ่อนกว่าอายุจริงจนเหมือนเพิ่งจะอายุสี่สิบปีเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงเรียก…เธอและสาวน้อยร่างบอบบางที่ยืนเคียงกันจึงหันมาสนใจชายหนุ่ม
คุณหญิงวรรณภรณ์บอกกับพิมพ์แขว่างานนี้จะแนะนำให้ปฏิปักษ์รู้จักกับอลิตาและระรินทิพย์ ลูกสาวที่ทั้งสาวและสวยของพิมพ์แขให้ได้ ชายหนุ่มที่เปี่ยมความสามารถอย่างพ่อหนุ่มคนนี้หาไม่ได้ง่ายๆ และที่สำคัญกว่านั้นแม้ตระกูลวีระวรกุลจะมีทายาทสืบทอดกิจการอสังหาริมทรัพย์นับหมื่นล้านอย่างพีระพัฒน์อยู่แล้ว แต่คนที่เป็นลูกเลี้ยงแถมยังดูเป็นโล้เป็นพายอย่างปฏิปักษ์ก็ไม่น่าจะถูกธีระพงษ์ลืมไปได้ลงคอ
แม้ปฏิปักษ์จะมีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของธีระพงษ์ แต่ทั้งสองคนก็นับถือกันเป็นลุงเป็นหลาน ปฏิปักษ์จึงสะดวกใจที่จะเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ลุง’ มากกว่า ‘พ่อ’ ซึ่งธีระพงษ์ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“สวัสดีครับคุณพิมพ์แข”
“นี่น้องระรินลูกสาวคุณพิมพ์นะคะ ควงกันออกงานประจำ” คุณหญิงวรรณภรณ์แนะนำ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณระริน” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับจ้องมองใบหน้าหวานของคนถูกทัก
ระรินทิพย์อยู่ในชุดเดรสสีขาวมุก แต่งหน้าบางๆ ด้วยโทนสีหวาน สวมใส่เครื่องประดับอย่างลงตัวพอดีดูมีคลาส เธอมีดวงตากลมโตภายใต้ขนตางอนยาวเปล่งประกายสดใส และผิวพรรณที่ขาวละเอียดเนียนภายนอกเสื้อผ้านั้นยังตรึงสายตาของผู้พบเห็นไว้อย่างง่ายดาย
“ไม่ต้องเรียกคงเรียกคุณหรอกค่ะ น้องระรินเพิ่งจะเรียนปีสี่เอง ก็เรียนมหา’ลัยเดียวกันกับคุณพีแหละค่ะ” พิมพ์แขแนะนำให้เรียกอย่างเป็นกันเอง
ใจจริงนั้นเธออยากจับคู่ระรินทิพย์กับพีระพัฒน์ และจับปฏิปักษ์คู่กับอลิตาด้วยซ้ำ แต่หากทำเช่นนั้นแล้วแผนการล่มก็เท่ากับว่าเสียปลาตัวใหญ่ เธอจึงคิดว่า…งานนี้ปล่อยให้จับคู่กันเองคงจะดีกว่า ถึงแม้เธอจะมีฐานะดีและไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ก็อยากให้บุตรีทั้งสองคนมีคู่ครองที่เหมาะสม ยิ่งอลิตาด้วยแล้วยิ่งต้องเลือกเฟ้นอย่างดี…รายนี้หัวแข็งเสียจนคนเป็นแม่แทบจะไร้สิทธิ์ไปบังคับ หากไปคว้าคนไม่เอาไหนมาเป็นแฟนก็คงจะยากที่เธอจะเข้าไปขัดขวาง
“เหรอครับ โลกกลมจัง พีเขาเรียนปริญญาโทสถาปัตย์ แล้วระรินเรียนอะไรเหรอครับ”
“ระรินเรียนบริหารธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรมค่ะ กะว่าจะมาช่วยคุณแม่ทำงาน”
ระรินทิพย์เรียนคณะนี้เพราะความชอบส่วนตัวและมุ่งหมายที่จะออกมาช่วยพิมพ์แขทำงานในกิจการโรงแรมของครอบครัว อลิตาเองก็ทำบริษัทโฆษณา หากเธอไม่ทำคงไม่มีใครช่วยมารดาทำงาน
“จริงๆ คุณแพทก็ทำงานด้านนี้อยู่พอดี น้องระรินจะปรึกษาคุณแพทก็ได้นี่คะ”
คุณหญิงวรรณภรณ์ช่วยส่งเสริม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลวีระวรกุลก็คือธุรกิจเกี่ยวกับคอนโดฯ และโรงแรมทั้งระดับไฮคลาส ปานกลาง และระดับล่าง ซึ่งมีการบริหารงานอย่างเป็นระบบจนได้รับการยอมรับจากลูกค้าและคนทำงานในแวดวงเดียวกัน หากระรินทิพย์ขอไปฝึกงานที่นี่ย่อมมีเวลาใกล้ชิดกัน
“ครับ โรงแรมของเรายินดีต้อนรับระรินเสมอ” ปฏิปักษ์บอกพร้อมกับมองสบประสานกับดวงตาแสนหวาน กิริยาอาการนี้ทำให้คุณหญิงที่ทำตัวเป็นกามเทพสื่อรักถึงกับยิ้มด้วยความยินดี…
“ลิต้ากำลังไปถึงค่ะคุณแม่”
อลิตากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือขณะที่อีกมือบังคับพวงมาลัยรถยนต์สีขาวคู่ใจให้เลี้ยวเข้าไปในคฤหาสน์หลังงามของคุณหญิงวรรณภรณ์
ในคราแรกหญิงสาวไม่ได้คิดจะมางานเลี้ยงอวดเพชรเช่นนี้เลยสักนิด แต่ผู้เป็นมารดาทั้งโทรตาม ทั้งบังคับให้เธอออกมารับจนเธอทนรำคาญไม่ไหวจึงจำใจหยิบชุดราตรีเกาะอกสีดำความยาวเหนือเข่าอวดเรียวขาขาวผ่องขึ้นมาสวมแล้วแต่งหน้าบางๆ ก่อนออกมาจะได้ไม่ดูน่าเกลียดจนพิมพ์แขเอ็ดเอาอีก
“ค่ะ อีกห้านาทีก็ถึงแล้ว เดี๋ยวลิต้าหาที่จอดรถก่อนนะคะ…ค่ะๆๆ แค่นี้นะคะ”
หญิงสาวโยนโทรศัพท์ลงที่เบาะข้างกายแล้วถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ในใจเธอนึกขุ่นเคืองอยู่ลึกๆ ที่มารดาชอบบังคับเธอให้มางานแบบนี้ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่าเธอไม่ชอบ
มือเรียวบางบังคับพวงมาลัยหักเข้าลานจอดรถกว้างอย่างไม่รีบร้อน เธออยากเข้าไปในงานรับคุณแม่กับระรินทิพย์ออกมาในจังหวะที่ไม่ค่อยมีคน เธอจะได้ไม่ต้องไปปั้นหน้ายิ้มกับใครให้เบื่อหน่าย แต่รถยังเลี้ยวเข้าไปไม่ทันจะจอดดีด้วยซ้ำ รถยนต์อีกคันก็หักมาเจอกับหน้ารถของเธอเข้าอย่างจัง!
เอี๊ยดดด
เสียงเบรกรถดังระงมไปรัศมีนับร้อยเมตร รถยนต์สีดำคันหรูของคู่กรณีหยุดชะงักลงอย่างรวดเร็วจนหน้ารถเฉียดกันเพียงแค่ถลอกหน่อยๆ แต่ในใจหญิงสาวกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นด้วย ในกรณีนี้เธอไม่ผิด! รถคันนั้นกำลังเลี้ยวออกจากงาน เพราะฉะนั้นจะต้องเลี้ยวออกไปอีกทาง แล้วทางที่เธอเลี้ยวเข้ามานี้ก็ไม่ผิดแน่ อลิตาจำได้ว่ามีป้ายและ รปภ. บอกเธอแล้วว่านี่คือทางเข้างาน เจ้าของรถอีกคันต่างหากที่ขับรถมั่วซั่วเอง
“นี่คุณ!” เสียงหวานตวาดใส่คู่กรณีที่ลงมาเผชิญหน้ากับเธอทันที ดวงตาโตแต่ยาวรีแบบผู้หญิงมั่นใจจ้องมองไปที่ใบหน้าคมในชุดสูทสีดำที่ยืนรออยู่อย่างเอาเรื่อง
ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว ‘ปฏิปักษ์ วีระวรกุล’!
อลิตาจ้องมองร่างสูงด้วยสายตาขุ่นเคือง ความไม่ชอบหน้าเรื่องข่าวคาวๆ ที่ชายหนุ่มมักจะคั่วสาวๆ ไม่ซ้ำหน้าและเรื่องที่ผจญมารกันเมื่อเช้ายิ่งทำให้ความโกรธโหมกระพือยิ่งขึ้น ผู้หญิงที่นอนร่วมเตียงกับเขาแล้วไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นเตียงเป็นครั้งที่สองงั้นเหรอ…หนึ่งในผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีอลิตาคนนี้แน่!
“ขับรถประสาอะไรของคุณ” เสียงหวานเปิดฉากขึ้นก่อน คราวนี้ล่ะเธอจะเอาคืนเสียให้เข็ดเลย
ปฏิปักษ์มองสบตาหญิงสาวอย่างแฝงแววขัน ทั้งใบหน้างดงามลงตัว รูปร่างเพรียวระหง และผิวพรรณละเมียดละไม เพียงแค่สำรวจจากภายนอก สายตาเขาก็ชอนไชสำรวจร่างกายของเธอจนทั่วถึงหมดแล้วทุกซอกมุม ไม่ค่อยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาสะดุดสายตาจนถึงกับมองตาค้างแบบนี้มานานมากแล้ว
ชายหนุ่มแทบจะลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายเพิ่งขับรถเฉียดรถคันงามจนสีรถถลอก คิดแล้วริมฝีปากหยักได้รูปก็คลี่ยิ้มบางๆ อย่างยั่วโมโห ก่อนจะตอบคำถามปัดๆ ไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ภาษาคนหน้าตาดีมั้งครับ”
“อีตา…” อลิตาเผลอกระทืบเท้ากับพื้นเมื่อได้ยินคำตอบอันจงใจยั่วโทสะนั้น
“รถคนสวยมีประกันมั้ยครับ” ปฏิปักษ์เฉไฉไปเรื่องรถเมื่อเห็นท่าว่าคนสวยตรงหน้าทำท่าฮึดฮัดใส่เขาจนอาจคุยกันไม่รู้เรื่องเสียก่อน จริงๆ เขาเองก็รู้ว่าตัวเองผิด แต่ดูจากรุ่นและราคารถที่หญิงสาวขับ แค่สีถลอกหน่อยๆ เธอก็ไม่น่าโวยวายเขานี่นา อีกอย่างเมื่อเช้านี้เธอก็ทำกับเขาไว้แสบใช่ย่อย
เขาก็แค่…รีบชิ่งออกมาจากงานเพราะความเบื่อหน่ายจนลืมดูทางออก และอยากเอาคืนเรื่องที่เธอชิ่งขับรถหนีเขาเมื่อคราวก่อนอยู่เหมือนกัน ก็ช่วยไม่ได้! เธอคนนี้ดันถูกใจเขาเข้าให้แล้วนี่นา
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่กล้าทำหน้ายักษ์ใส่ปฏิปักษ์สักคน ใครๆ ก็ว่าอลิตาน่ะแน่นัก ผู้ชายที่เข้าไปจีบเป็นต้องกลับไปซดน้ำใบบัวบกทุกราย เห็นอย่างนี้เขาก็อยากจะลองเล่นกับแม่ตัวดีดูสักหน่อยแล้ว
“มี! ฉันไม่ได้อยากให้คุณมารับผิดชอบนักหรอก ก็แค่ไม่ชอบให้คนทำผิดมายืนลอยหน้าลอยตา”
“เหรอครับ ยินดีจริงๆ ที่ได้รู้จักผู้หญิงอย่างคุณ”
“อย่ามานอกเรื่องนะ เรื่องรถของฉันนี่คุณจะว่ายังไง”
“คนสวยจะว่ายังไงก็ว่ามาเลยสิครับ”
ปฏิปักษ์ยิ้มกวนประสาท เล่นเอาอลิตาแทบจะเต้นผาง คนอะไรทำตัวน่าโมโหนัก เมื่อเช้าเพิ่งจะทำหน้าขรึมตวาดใส่เธอแท้ๆ ตอนนี้มาทำกะล่อนใส่อีก มือเล็กเงื้อขึ้นเตรียมจะฟาดใส่ใบหน้าคมคายอยู่แล้ว แต่แล้วเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน อลิตาจึงคว้ามันขึ้นมารับ
“ค่ะแม่…กำลังจะไปค่ะ…ขอจัดการธุระก่อนได้มั้ยคะ…โอเคค่ะ…ก็ได้ๆ”
หญิงสาวกดวางสายแล้วจ้องมองใบหน้าคมคายอย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วท้าทายว่าตกลงเธอจะเอายังไง จะด่ากราดใส่เขาหรือจะอยู่ให้เขาลวนลามด้วยสายตาอีก
อลิตาหัวเสียขึ้นมาทุกที…ทางฝั่งมารดาก็เร่งเอาๆ ถ้าไม่ไปมีหวังเธอคงได้โดยท่านบั่นหัวจนขาด แต่ทางฝั่งนี้เธอก็ไม่อยากจะปล่อยเขาไปโดยไม่ได้เอาเรื่องสักนิด
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
สุดท้ายอลิตาก็ตัดใจไม่เอาเรื่องเอาราว เธอไม่อยากยืนทะเลาะกับปฏิปักษ์จนไม่มีที่สิ้นสุด คงต้องเรียกตำรวจและเรียกประกันมาเคลียร์กันเป็นเรื่องยาวอย่างไม่ต้องสงสัย เสียงหวานจึงกล่าวอาฆาตเขาก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วบึ่งหนีไปโดยไม่ชายหางตากลับมาแลคนตัวสูงอีกเลย
ชายหนุ่มได้แต่มองตามรถคันสวยแล่นออกไปแล้วยิ้มที่มุมปาก ไม่คิดเลยว่าอลิตาจะกระตุกต่อมคาสโนว่าของเขาให้ดิ้นพล่านได้ขนาดนี้ ท่าทางว่าเขาจะมีอะไรใหม่ๆ ให้เล่นสนุกอีกแล้ว…
บทที่ 3
“ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ”
อลิตาเดินเข้าไปในงานที่เวลานี้แขกเหรื่อเริ่มจะทยอยกลับไปเกินครึ่ง ทว่าอารมณ์ที่เพิ่งปะทะฝีปากมากับคู่กรณีเมื่อครู่นี้ก็ยังคงคุกรุ่นไม่ยอมเจือจางลงง่ายๆ
“ลิต้า นี่ลูกรู้มั้ยว่าคนที่แม่นัดไว้เขากลับไปแล้ว ไปทำอะไรอยู่ถึงได้มาช้านักนะเรา!” เสียงห้วนๆ ของผู้เป็นมารดาแหวใส่มาแต่ไกล ทว่าอลิตาก็ทำหูทวนลมไม่ได้ยิน
ก็เพราะเธอรู้อย่างนี้น่ะสิ ถึงได้ไม่ยอมมาตอนที่งานเลี้ยงยังไม่เลิก
“แล้วจะกลับกันหรือยังคะ”
อลิตาเอ่ยพร้อมกับหันไปยิ้มน้อยๆ ให้กับระรินทิพย์ที่ยืนยิ้มสดใส น้องสาวของเธอช่างแตกต่างกับเธอเสียจริง ระรินทิพย์เป็นสาวน้อยแสนสวย อ่อนหวาน และน่าทะนุถนอม ในวงสังคมไฮโซไม่ว่าจะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หรือเหล่าบรรดานักธุรกิจหลายคนต่างพากันขายขนมจีบให้ไม่ขาดสาย และระรินทิพย์ใช้วิธีรับมือกับหนุ่มๆ เหล่านั้นอย่างละมุนละม่อม ส่วนเธอนั้นเรียกได้ว่าตัดสัมพันธ์อย่างขวานผ่าซาก
“รอเดี๋ยว…” พิมพ์แขว่าพลางมองคอยืดคอยาวไปที่ประตูขณะที่ใจเริ่มเป็นกังวลอีกครั้ง…ท่านโทรตามปฏิปักษ์ให้กลับมาในงานได้สักพักแล้ว เขาเองก็รับปากว่าจะย้อนกลับมา แต่ยังไม่เห็นวี่แววเลย
“แม่รอใครเหรอคะ” ท่าทางมีพิรุธของพิมพ์แขทำให้อลิตาอดสงสัยไม่ได้ แต่มารดายังไม่ทันจะได้ตอบคำถามใดๆ เจ้าของ ‘คำตอบ’ ก็เดินตรงเข้ามาหาอลิตาเสียแล้ว!
“นี่นาย…” ใบหน้าสวยถึงกับเจื่อนลงเมื่อพบกับร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ แต่เขากลับทำให้รอยยิ้มของพิมพ์แขและระรินทิพย์ขยายกว้างขึ้น หญิงสาวจึงหันไปมองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยนัยน์ตาขุ่นขวาง
“นี่คุณแม่ให้ลิต้าทิ้งงานไว้ที่คอนโดฯ เพื่อมาเจอผู้ชายคนนี้น่ะเหรอคะ”
“ยายลิต้า นี่เบาเสียงบ้างสิ!” พิมพ์แขกระซิบ
“อ้าว! เจอกันอีกแล้วนะครับคนสวย”
ปฏิปักษ์เดินมาหยุดอยู่ในวงสนทนาและจงใจทักยั่วโมโห เขาพอจะรู้ตัวตามสัญชาตญาณ ‘หนุ่มฮอต’ อยู่แล้วว่าคนที่พิมพ์แขอยากให้เขามาเจอก็คืออลิตา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยอมย้อนกลับมาที่นี่แน่ๆ
“อ้าว นี่พี่แพทกับพี่ลิต้าเคยเจอกันแล้วเหรอคะ” ระรินทิพย์ปั้นหน้ายิ้มและหันไปถามกับอลิตาที่ยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ใกล้ๆ แววตาหวานนั้นเปี่ยมด้วยความอยากรู้จนซ่อนไว้ไม่มิด
เธอเองแอบชื่นชมปฏิปักษ์ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งมาก่อนที่จะรู้จักกันอย่างเป็นทางการในงานสังสรรค์ครั้งนี้มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ก็เก็บงำไว้เพียงลำพังและไม่ได้แสดงออกอย่างเปิดเผย หากพี่สาวและชายหนุ่มกำลังคบหาหรือว่าสานสัมพันธ์กันอยู่ เธอก็คงอดจะผิดหวังอยู่ลึกๆ ไม่ได้
“เมื่อกี้นี้เองจ้ะ ไม่ต้องใส่ใจหรอกระริน คุณแม่คะ ลิต้าว่าเรากลับกันเถอะค่ะ”
อลิตาหันไปชวนมารดา แต่ระรินทิพย์กลับมองหน้าปฏิปักษ์สลับกับหน้าของอลิตาอย่างใช้ความคิด ถ้าปฏิปักษ์มีใจให้กับพี่สาว เธอคงจะใจเสียอยู่ไม่น้อย
“ให้ผมไปส่งมั้ยครับ คุณลิต้าจะได้ไม่ต้องขับรถเอง”
“ไม่ต้อง!” อลิตาหันไปทำเสียงเขียวใส่ร่างสูง เธอรู้ว่าที่ชายหนุ่มอาสาเพราะมีจุดประสงค์จงใจปั่นป่วนโทสะเธอเท่านั้น “ฉันขับรถมา ไสหัวคุณไปให้พ้นหน้าฉันดีกว่า”
“ยายลิต้า!”
เสียงเด็ดขาดของพิมพ์แขดุลูกสาวที่หัวรั้นจนไม่ยอมฟังใคร ทั้งๆ ที่เธอยื้อข้อมือลูกสาวไว้เป็นเชิงห้ามแล้ว แต่คนเป็นลูกสาวนี่สิที่ยังไม่ยอมลง ดีที่ฝ่ายปฏิปักษ์หัวเราะในคออย่างไม่ถือสา
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณพิมพ์แข คุณลิต้าเธอล้อเล่นกับผมอย่างนี้ออกจะบ่อย”
“งั้นก็ขอลากลับล่ะนะคะ โอกาสหน้าคงได้คุยกันมากกว่านี้” พิมพ์แขรีบบอกลาด้วยกลัวว่าลูกสาวคนโตจะแผลงฤทธิ์ใส่ปฏิปักษ์อีกเป็นคำรบสอง ไม่อย่างนั้นแผนการจับคู่ของเธอคงจะล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ครับ” ปฏิปักษ์ยิ้มรับแล้วหันไปมองคนสวยที่หน้างอเป็นจวัก “หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะคุณลิต้า”
ปฏิปักษ์เรียกอย่างสนิทสนม แต่อลิตาแกล้งไม่ได้ยิน เธอสะบัดหน้าเดินนำไปที่รถอย่างไม่รอระรินทิพย์และพิมพ์แขที่ได้แต่ยืนยิ้มแหยๆ อับอายที่ลูกสาวคนโตแผลงฤทธิ์ไม่หยุด ลับหลังสามแม่ลูก…ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มบางๆ นัยน์ตาเป็นประกาย
เสือสาวอย่างอลิตายิ่งดื้ออย่างนี้สิยิ่งถูกใจเขา!
เท้าเรียวเล็กภายในส้นสูงเกือบสามนิ้วเร่งตามร่างสูงที่เดินอยู่เบื้องหน้า ร่างบอบบางเบียดเสียดผู้คนหนาแน่นที่กำลังออกจากคลาสเรียนชั่วโมงสุดท้ายอย่างรีบร้อน เธอเห็นเขากำลังเดินตรงไปที่รถอย่างไม่ชะงักฝีเท้า เธอจึงตัดสินใจเรียกเขาแม้จะไม่มั่นใจว่าคนที่เธอตามมานั้นใช่คนที่คิดไว้หรือไม่
“พี่แพท! ใช่พี่แพทหรือเปล่าคะ”
เสียงนั้นทำให้ร่างสูงหันกลับมามอง ใบหน้าคมจ้องมองใบหน้าเจ้าของเสียงหวานแล้วเผยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเดินกลับมาหาเธอซึ่งเขาจำได้ดีแม้ว่าจะไม่ได้เจอเธอหลายวันแล้ว
“วิ่งตามมาซะเหนื่อยเชียว” คำทักทายกึ่งแหย่เล่นทำให้ระรินทิพย์เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคม มือใหญ่จึงฉุดท่อนแขนเรียวเบาๆ ให้ทรงตัวไว้ด้วยกลัวว่าร่างบอบบางน่าทะนุถนอมนี้จะเป็นลมล้มพับไปจริงๆ
“ก็ระรินไม่นึกว่าจะเจอพี่แพทที่มหา’ลัยนี่คะ แปลกใจแต่ก็ดีใจที่ได้เจอกันอีก”
“ผมมาเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายให้กับน้องๆ ปีหนึ่งน่ะ ว่าแต่ระรินวิ่งตามมาแบบนี้มีธุระอะไรหรือเปล่า” คำถามนี้ทำเอาคนที่หอบอยู่ลืมเรื่องเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง…เธอไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไรดี
หากหญิงสาวหาเหตุผลดีๆ มาตอบไม่ได้ ปฏิปักษ์คงได้หัวเราะหรือไม่ก็ต้องรู้แน่ๆ ว่าเธอคิดกับเขาเช่นไรซึ่งระรินทิพย์ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันเร็วเกินไปหากจะให้เขารู้ว่าเธอชื่นชมและแอบชอบเขาอยู่
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ระรินแค่อยากเข้ามาทัก แต่จะว่าไปก็มีเหมือนกันนะคะ คือระรินต้องฝึกงานแล้วน่ะค่ะ เลยอยากจะลองปรึกษาพี่แพทดูว่าจะลงที่ไหน ยังไง พอดีที่มหา’ลัยเขาให้เลือกเอง”
“ก็ดีนี่ครับ”
“ก็ดีค่ะ แต่ถ้าพี่แพทมีงานก็ไม่เป็นไรนะคะ” ระรินทิพย์เอ่ยอย่างเกรงใจในขณะที่ปฏิปักษ์ก้มมองนาฬิกาข้อมือ คำนวณเวลาที่เขาจะต้องกลับไปเคลียร์งานที่ค้างอยู่
ในใจหญิงสาวหวังไว้ลึกๆ ว่านักธุรกิจที่งานยุ่งอย่างเขาจะเจียดเวลาให้เธอสักหนึ่งชั่วโมง
“งั้น…เราไปหาอะไรทาน แล้วเดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนี้ไปด้วยดีมั้ย ผมพอจะว่างสักพัก”
“แต่ระรินมีงานน่ะสิคะ ต้องถ่ายโฆษณาของมหา’ลัย กว่าจะเสร็จก็เย็นๆ โน่นแน่ะค่ะ ยังไงถ้าพี่แพทไม่มีเวลาอื่นที่ว่างแล้วระรินก็ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”
“เอาอย่างนี้ดีมั้ย…ระรินทำงานก่อน เดี๋ยวผมจะไปเคลียร์งาน พอถ่ายโฆษณาเสร็จระรินก็โทรหาผมแล้วเดี๋ยวถ้าเราว่างตรงกันยังไงค่อยตกลงกันอีกที”
ปฏิปักษ์หยิบนามบัตรในกระเป๋าสตางค์ส่งให้กับหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม
“ระรินคงไม่รบกวนพี่แพทมากไปใช่มั้ยคะ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ แล้วเจอกันนะ”
ร่างสูงโปร่งเดินดิ่งไปที่รถก่อนจะบึ่งออกไป ระรินทิพย์ก้มมองนามบัตรในมือ แล้วรอยยิ้มแสนหวานก็ประทับขึ้นบนใบหน้างดงามด้วยความชื่นชมในตัวเขายิ่งกว่าเดิม
“พี่แพทไม่เห็นจะเป็นคาสโนว่าและแสนจะร้ายกาจอย่างที่ใครๆ เขาว่าเลย…”
“คุณพีคะ มาแต่งหน้าเถอะค่ะ จะได้รีบถ่าย เดี๋ยวแสงจะหมดซะก่อน” เสียงฝ่ายเมคอัพในชุดนักศึกษาสาวเรียกจากม้านั่งที่หน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ทำให้ร่างสูงที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ม้านั่งอีกตัวยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วบี้บุหรี่กับขอบโต๊ะก่อนจะโยนลงถังขยะใกล้ๆ
ร่างสูงเดินเข้าไปที่ม้านั่งตัวเดียวกันและทำตัวไร้ความรู้สึกให้รุ่นน้องซึ่งเป็นคณะกรรมการสภานักศึกษาระดับปริญญาตรีแต่งหน้าบางๆ ให้เพื่อถ่ายทำโฆษณาแนะนำมหาวิทยาลัยสั้นๆ ซึ่งเป็นโครงการของฝ่ายประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย จริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องรับก็ได้ ส่วนใหญ่น่าจะให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์มากกว่านักศึกษาปริญญาโทเช่นเขา แต่เมื่อรุ่นน้องมีหนังสือมาถึงเขาและบิดาอย่างเป็นทางการ เขาจึงขี้เกียจบ่ายเบี่ยง และเห็นว่าไม่ใช่งานยุ่งยากอะไรจึงตัดสินใจทำให้
พีระพัฒน์เรียนปริญญาโทอยู่ก็จริง แต่เขายังสามารถรับงานอื่นๆ ได้อย่างไม่กระทบเรื่องเรียน เพราะชายหนุ่มเรียนในภาคพิเศษเสาร์อาทิตย์เท่านั้นซึ่งอาจจะมีการนัดเพิ่มเติมในวันธรรมดาตามแต่ความเห็นชอบของอาจารย์และความพร้อมของนักศึกษา แต่ไม่ต้องเข้าเรียนทุกครั้งก็ได้ ที่สำคัญ…เขาเป็นคนที่มีดีอยู่อย่าง คือหัวไวและความจำเป็นเลิศจึงไม่แปลกที่แม้จะเกเรไปบ้าง แต่ผลการเรียนเขายังเป็นที่น่าพอใจ
สองสามวันก่อนมีการถ่ายทำโฆษณาไปส่วนหนึ่งแล้ว ตารางงานในวันนี้นอกจากถ่ายโฆษณาสั้นๆ ก็คงจะต่อด้วยการถ่ายภาพนิ่งอีกหนึ่งเซ็ตจึงมีเพียงแต่การเก็บรายละเอียดเท่านั้น ซึ่งโฆษณานี้จะเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญแนะนำมหาวิทยาลัยแก่นักศึกษาที่จะเข้ามาศึกษาใหม่ในปีหน้า พรีเซ็นเตอร์ของงานหลักๆ จะเป็นเขาและนักศึกษาหญิงในระดับปริญญาตรีอีกคนซึ่งยังมาไม่ถึง
“อุ๊ย! ระรินมาพอดีเลยค่ะ”
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งก็ก้าวลงมาจากรถยนต์สีบรอนซ์คันหรู พีระพัฒน์ชำเลืองหางตามองปราดไปยังร่างบอบบางนั้น หญิงสาวไม่ได้สวมชุดนักศึกษาที่รัดรูปจนน่าเกลียดอย่างที่เขาเคยเห็นจนชินตา แต่รูปร่างได้สัดส่วนราวกับนางเอกละครสมัยใหม่กลับอยู่ในเสื้อเข้ารูปแต่หลวมหน่อยๆ จนไม่ชวนให้อึดอัด กระโปรงไม่รัดแต่เป็นแบบเอวต่ำเล็กน้อย ความยาวเหนือเข่าขึ้นมาไม่มาก ผ่าหลังและผ่าหน้าพอให้เดินสะดวก และเธอปล่อยเส้นผมสีดำเงางามสยายลงมาจนเต็มแผ่นหลัง
“ระรินมาแต่งหน้าเลยจ้ะ”
เสียงห้าวของสาวประเภทสองจากคณะนิเทศศาสตร์ชั้นปีที่สี่ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการถ่ายทำร้องบอกกับระรินทิพย์ที่เดินไปนั่งบนม้านั่งใกล้ๆ กัน เธอหันมาสบตากับชายหนุ่มเพียงครู่หนึ่ง แล้วริมฝีปากบางก็แย้มยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร แต่เขากลับมองเธอด้วยหางตาเท่านั้น
พีระพัฒน์รู้จักดีว่าเธอเป็นใคร…
‘ระรินทิพย์ พิพัฒน์ไพบูลย์’ น้องสาวคนสวยของอลิตาจอมอวดดีนั่นเอง!
“ฮัลโหลค่ะ”
อลิตายกหูโทรศัพท์ในห้องทำงานขึ้นมาแนบหู
“คุณลิต้าคะ โฆษณาของคุณประไพศรีที่จะถ่ายทำวันพรุ่งนี้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วนะคะ อ้อ…แล้วคุณลิต้าก็อย่าลืมมาคุมงานแต่เช้าด้วยนะคะ คุณลิต้ารับปากคุณพีไว้แล้วว่าจะมาดูแลด้วยตัวเอง” ดาริการายงานจากโลเกชั่นที่จะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำโฆษณาในวันพรุ่งนี้ทันทีที่ได้ยินเสียงตอบรับจากนายจ้าง
อลิตาขมวดคิ้วโค้งงามเป็นปมเมื่อถูกเตือนความจำเรื่องที่ต้องไป ‘ดูแล’ พีระพัฒน์ในวันพรุ่งนี้ เธอรู้ว่าดาริกาจงใจล้อเลียนอยู่กลายๆ แต่ได้ยินทีไรก็อดฉุนเฉียวไม่ได้ทุกที ในใจยังนึกถึงคำพูดบ้าๆ ของพีระพัฒน์ที่ยียวนจนอารมณ์เธอเดือดปุดๆ ในวันนั้น แค่เธอไปขอให้เขามาถ่ายโฆษณาให้ เขายังก่อกวนเธออย่างกับอะไร แล้วถ้าถึงวันถ่ายทำ…เขาจะไม่เล่นงานเธอจนต้องประสาทเสียแย่หรือ
“ลิต้าไม่ลืมหรอกค่ะ ยังไงก็ไม่ยอมให้เขามีข้ออ้างเลี่ยงงานได้อีกแล้วล่ะ เบื่อจะมานั่งปวดหัวกับพวกชอบก่อปัญหาและชอบหาเรื่องคนอื่น”
“แหม! คุณลิต้าอย่ามองคุณพีเธอร้ายขนาดนั้นสิคะ”
“ใครว่าแค่ร้ายล่ะคะ ลิต้ามองตานั่นเป็นปีศาจเลยต่างหาก เอาเป็นว่า…ลิต้าฝากพี่ดาดูแลงานตอนเช้าๆ ก่อนนะคะ ลิต้าคงจะเข้าไปสายกว่าพี่ดา แต่ไม่เบี้ยวแน่นอนค่ะ”
อลิตาวางหูเมื่อตกลงเรื่องงานกับดาริกาเป็นที่เรียบร้อย
ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…
หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวเมื่อมีสัญญาณเรียกเข้า
“คุณแม่มีอะไรคะ”
อลิตาเอ่ยถามเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาคือผู้เป็นมารดา เธอสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้กับการติดต่อมาของปลายสาย เพราะจะมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่พิมพ์แขจะโทรหาเธอในเวลานี้
“แม่จะใช้รถน่ะลูก นี่เพิ่งโทรตามวิชัยมารับ ยังไงลิต้าเลิกงานแล้วไปรับน้องที่มหา’ลัยหน่อยนะ”
“ค่ะ เดี๋ยวลิต้าจะไปส่งที่บ้านให้เลย ตอนนี้ก็เลิกงานพอดี”
หญิงสาวคว้ากระเป๋าถือสีดำขึ้นมาถือไว้มั่น แล้วร่างโปร่งระหงก็เดินลิ่วๆ ออกไปจากห้องทำงานอย่างไม่นึกแคลงใจเมื่อได้รับคำตอบจากมารดาว่าท่านต้องการให้ไปรับน้องสาวกลับบ้านเท่านั้นเอง
“งั้นแม่ฝากเราดูน้องด้วยนะ”
พอบอกกล่าวสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วพิมพ์แขก็รีบวางสายอย่างไม่รั้งรอ ราวกับกลัวว่าอลิตาจะซักไซ้อะไรไปมากกว่านั้น ส่วนอลิตาเมื่อออกจากห้องทำงานก็ถอยรถออกไปจากบริษัท ตรงไปที่มหาวิทยาลัยของระรินทิพย์โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อวางสายไปแล้วพิมพ์แขนั้นยิ้มอย่างพอใจเพียงไรกับแผนการจับคู่
วันนี้ระรินทิพย์ถ่ายทำโฆษณาที่มหาวิทยาลัยคู่กับพีระพัฒน์พอดี อย่างไรเสียถ้าอลิตาจะชวดจากปฏิปักษ์เพราะความปากเสีย อย่างน้อยก็ยังมีพีระพัฒน์เป็นตัวสำรองอยู่อีกคน!
การถ่ายทำโฆษณาเป็นอันเสร็จสิ้นในเวลาโพล้เพล้ แสงไฟจากดวงไฟรอบๆ ที่เปิดสว่างไสวในตัวอาคารส่องให้บริเวณโดยรอบครึกครื้นเหมือนเวลากลางวัน สมาชิกในกองถ่ายทยอยออกจากกอง เหลือเพียงสตาฟฟ์ไม่กี่คนที่ต้องเก็บอุปกรณ์การถ่ายทำให้เรียบร้อย
ระรินทิพย์โทรไปหาปฏิปักษ์แล้วได้ใจความว่าเขามีเวลาว่างตรงกันพอดีและกำลังจะขับรถมารับเธอแล้ว หญิงสาวจึงออกมายืนรอชายหนุ่มที่หน้าคณะซึ่งสวนทางกับพีระพัฒน์ที่กำลังเดินสูบบุหรี่ผ่านไปพอดี
ร่างบางระหงสะบัดหน้าใส่ร่างสูงอย่างจงใจให้เขาเห็นว่าเธอยังขุ่นเคืองเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำไม่หาย มีอย่างที่ไหนเธออุตส่าห์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เขายังตีสีหน้าไร้อารมณ์ใส่อีก กอปรกับเป็นคนที่ไม่ชอบผู้ชายสูบบุหรี่ในที่สาธารณะอยู่แล้ว เธอยิ่งมองเขาติดลบเข้าไปใหญ่
“ระรินครับ” กำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงที่รอคอยก็เรียกขึ้น หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นร่างสูงกำลังก้าวลงมาจากรถยนต์สีดำคันหรูก่อนจะเดินเข้ามาหาเธอ “รอนานมั้ยครับ”
“ไม่นานหรอกค่ะ ระรินก็เพิ่งจะเสร็จงานเหมือนกัน”
“งั้นเราไปกันเลยนะ เดี๋ยวระรินจะกลับบ้านดึก คุณพิมพ์แขจะดุผมแย่”
มือเรียวยาวรั้งข้อมือบางเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เดินตามเขาไป แต่เท้ากลับต้องชะงักเมื่อมีใครอีกคนขับรถมาจอดดักทางไว้ แล้วไม่นาน…เจ้าของรถก็ก้าวลงมาจากรถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันหรูสุดเท่เผชิญหน้ากับทั้งสองคน ใบหน้าคมยังคงเรียบเฉย หากแต่แววตากลับไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
ยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับปฏิปักษ์ ดวงตาเฉยชาคู่นั้นยิ่งฉายแววเกลียดชัง
“ไง! ไม่คิดว่าจะเจอกับฉันสินะ” พีระพัฒน์เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายปฏิปักษ์ด้วยน้ำเสียงกวนประสาทและหาเรื่อง เมื่อระรินทิพย์หันไปมองร่างสูงที่ยืนเคียงกายก็เห็นเขามีสีหน้าประหวั่นเพียงน้อยนิดจนแทบไม่ทันสังเกตเห็น แล้วชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มบางอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ไม่เจอกันตั้งนาน เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“แล้วแกคิดว่าฉันควรจะเป็นยังไงล่ะไอ้พี่ชาย” พีระพัฒน์กระชากเสียงก่อนที่เขาจะผ่อนลมหายใจลง ใบหน้าหล่อเหลาฉายรอยยิ้มร้ายกาจ “หึ…ก็ออกจะเหงาๆ หน่อยมั้งที่ไม่มีแกคอยราวี”
แต่ปฏิปักษ์กลับยิ้มขรึมทั้งที่รู้ว่าพีระพัฒน์กำลัง ‘ฟื้นฝอยหาตะเข็บ’ เพื่ออะไร
“ถ้าแกไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนแล้วกัน”
ปฏิปักษ์ฉุดมือเรียวของระรินทิพย์ให้เดินตามไป เขาไม่อยากให้ใครต้องรับรู้เรื่องของเขากับพีระพัฒน์มากนัก ระรินทิพย์เองเมื่อถูกฉุดมือก็ถึงกับสะดุ้ง เธอมัวแต่คิดคำพูดของชายหนุ่มที่กำลังโต้ตอบกัน
พีระพัฒน์เป็นน้องต่างบิดาของปฏิปักษ์ ข้อนี้เธอรู้ดี แต่…ทำไมพีระพัฒน์ต้องทำเหมือนจงเกลียดจงชังปฏิปักษ์ขนาดนี้ทั้งๆ ที่ปฏิปักษ์ก็ทำงานและทำเงินให้ตระกูลวีระวรกุลตั้งมากมาย
หรือทั้งคู่มีอดีตอะไรที่หมางใจกันมาก่อน แล้วอดีตที่ว่านั่นคืออะไรกันแน่
“จะพาเด็กใหม่ไปต่อที่ไหนล่ะ”
คำถามหยามเหยียดนั้นทำให้ทั้งสองคนกลับหลังหันไปมองเจ้าของเสียง พีระพัฒน์ยิ้มเยาะที่คำพูดนั้นตำใจอีกคนจนนัยน์ตาสีนิลมีเสน่ห์ลึกลับคู่นั้นบอกความขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
“คนนี้เด็กใหม่ไอ้พี่ชายเหรอ น่าสนดีเหมือนกันนี่”
“อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน!” ปฏิปักษ์ตวาดกร้าวจนระรินทิพย์ที่เป็นเพียงแค่คนฟังยังอดสะดุ้งตามไม่ได้
“หวงรึไง จำไม่ได้สินะว่าถ้าแกยิ่งหวง ฉันก็ยิ่งอยากแย่ง!”
“ไอ้พี!”
“ทำอะไรไว้อย่าเพิ่งลืมไปล่ะ ฉันน่ะจำเรื่องนั้นไม่เคยลืม ระวังตัวให้ดีๆ ก็แล้วกัน เกดมีสภาพเป็นยังไง ผู้หญิงของแกทุกคนต้องเป็นมากกว่านั้นร้อยเท่า”
พีระพัฒน์พ่นควันบุหรี่มาทางปฏิปักษ์จนคลุ้งก่อนที่ร่างสูงจะเดินกลับไปที่รถ แล้วบึ่งมันออกไปอย่างรวดเร็ว ปฏิปักษ์สูดลมหายใจระงับความโกรธแค้นระคนเสียใจที่ถูกปลุกปั่นเอาไว้ให้จมลึกที่สุดในใจ
ในเมื่อเขาทนเจ็บเรื่องของพิยะดามาได้ตั้งสามปี…เขาทนเจ็บอีกทีจะเป็นไรไป
“ไปกันเถอะครับระริน” เสียงขรึมเรียกร่างเล็กที่ยังยืนนิ่งงัน ก่อนที่มือเรียวยาวจะติดตามไปรั้งข้อมือหญิงสาวให้เดินตามไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล ระรินทิพย์ได้แต่คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาว่าทั้งคู่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร และอดีตที่หมางใจกันเกี่ยวกับ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ใช่หรือเปล่า
เกด… เธอคือใครกันแน่
“ไปไหนนะยายระริน”
อลิตาอดจะบ่นกับตัวเองไม่ได้เมื่อลงจากรถมายืนรอสักพักแล้วแต่กลับไม่ปรากฏร่างน้องสาวคนสวยให้เห็น ดวงตาคู่งามกวาดมองไปรอบๆ บริเวณหน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ไร้ผู้คน สายลมเอื่อยๆ ปะทะกายยิ่งทำให้เย็นยะเยือกวังเวงจนรู้สึกได้ว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้ว
“มาสายไปแล้วมั้ง”
ขณะที่กำลังหงุดหงิดอยู่นั้น เสียงเข้มของใครคนหนึ่งก็ร้องทักจากด้านหลัง เมื่ออลิตาหันกลับไปสบสายตาคมของร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถสปอร์ตสีแดงเพลิงเปิดประทุนซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลกันนั้น เธอก็ถึงกับลอบถอนหายใจ แต่เพราะเขาเป็นคนเดียวที่อยู่บริเวณนี้ เธอจึงต้องเอ่ยถาม…
“ฉันมาหาน้องสาวฉัน ผู้หญิงผมยาวๆ ตัวสูงประมาณนี้ นายพอจะเจอมั้ย”
อลิตาทำมือประกอบขณะบอกลักษณะของระรินทิพย์ พีระพัฒน์จึงได้แต่หัวเราะหึในคอ
“เจอสิ…” เขายิ้มที่มุมปากดูร้ายกาจมากกว่าจะเป็นมิตร “ก็เพิ่งออกไปกับไอ้แพทเมื่อไม่กี่นาทีนี่เอง ท่าทางจะถูกชะตากันเอามาก สงสัยว่าคุณจะได้น้องเขยอายุมากกว่าซะละมั้ง”
“พูดบ้าๆ” เสียงหวานขุ่นขึ้น ถ้าจะให้เธอมีน้องเขยอย่างปฏิปักษ์เห็นทีว่าสองคนนั้นต้องทำสงครามกับเธอเสียหน่อยแล้ว ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้คนอย่างปฏิปักษ์มาเกี่ยวดองกับเธอหรอก
“บ้าไม่บ้าคุณก็คอยดูเองแล้วกัน”
เสียงรถยนต์เตรียมออกตัวดังตามมาหลังจากสิ้นคำพูดไม่รู้ร้อนนั้น อลิตาจึงสาวเท้าติดตามไปที่รถของพีระพัฒน์แล้วหยุดยืนทางฝั่งด้านคนขับ เธอเชิดหน้าหนีแม้กำลังจะขอความช่วยเหลือจากเขา
“บอกมาสิว่าสองคนนั้นไปไหน”
“ถ้าผมยอมตอบคุณง่ายๆ ก็ไม่สนุกน่ะสิ”
เสียงเข้มตอบกลับมา แต่ก็ทำให้คนฟังถึงกับฉุนขาด อีตาบ้านี่กำลังหาเรื่องยียวนเธออีกแล้ว!
“อย่ามาเล่นแง่กับฉัน! บอกมาว่ายายระรินไปไหน” อลิตาต่อว่า ถ้าเธอติดต่อกับระรินทิพย์ได้ เธอคงไม่มามัวเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเขา
ยายระรินก็อีกคน เกเรน่าฟ้องคุณแม่นัก นี่คงปิดเครื่องหนีเพราะไปกับอีตาเจ้าเล่ห์นั่นสิท่า
ยิ่งคิดอลิตาก็ยิ่งแค้น ก่อนหน้านี้เธอโทรไปหาระรินทิพย์เท่าไหร่ก็ไม่ติด ปกติน้องสาวเธอไม่เคยเกเรขนาดนี้เลย พอรู้จักกับปฏิปักษ์ก็เริ่มทำตัวไม่น่ารักแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งพานให้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่ อารมณ์ขุ่นๆ ของหญิงสาวที่มีทั้งหมดจึงไประบายลงไว้ที่พีระพัฒน์ซึ่งมาขวางทางเข้าพอดี
“มาขึ้นรถสิ”
“หมายความว่ายังไง ทำไมฉันจะต้องขึ้นรถไปกับนาย”
อลิตามองเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ มือเรียวบางกำหมัดกดความโกรธเกรี้ยวไว้แน่น และเธอก็พร้อมจะเหวี่ยงหมัดใส่คนยียวนได้ทุกเมื่อหากเขายังจงใจก่อกวนเธอให้อารมณ์ขุ่นอยู่แบบนี้
“ไม่ไปก็ไม่รู้นะว่าระรินไปไหน” พีระพัฒน์ต่อรองอย่างเหนือกว่า รอยยิ้มมีชัยที่มุมปากนั่นทำให้อลิตาหมั่นไส้เขานัก “คุณก็รู้นี่นาว่าถ้าปล่อยให้น้องสาวคุณอยู่กับไอ้แพทนานๆ จะไม่ปลอดภัยแค่ไหน ถ้าอยากจะไปตามหาน้องสาวก็ขึ้นมาสิ หรือที่จริงก็อยากได้ไอ้หมอนั่นเป็นน้องเขยจนตัวสั่น”
อลิตานิ่งเงียบ ในหัวกำลังทบทวนข้อเสนอว่าจะคุ้มค่าสำหรับการเสี่ยงหรือไม่ เพราะพีระพัฒน์เองก็ใช่ว่าอันตรายน้อยกว่าปฏิปักษ์เสียเมื่อไหร่
คิดแล้วก็ยิ่งปวดหัว…จริงอยู่ว่าปฏิปักษ์ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มชื่อดัง เขามีความน่าเชื่อถือและมีหน้ามีตาในสังคม แต่ในฐานะที่เขาเป็นชายหนุ่มที่หลายคนร่ำลือว่าเป็นเพลย์บอยตัวร้ายที่ซ่อนความอันตรายไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบได้อย่างแนบเนียนก็สั่นคลอนความน่าไว้ใจในตัวเขาได้อย่างไม่น่าให้อภัย
ระรินทิพย์ยังไม่ประสีประสาเรื่องอย่างว่า หากปฏิปักษ์คิดไม่ซื่อขึ้นมาจะหนีรอดได้หรือ
“ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่านายไม่ได้โกหก” เธอหยั่งเชิงถาม
“โกหกไปแล้วได้ประโยชน์อะไร” ชายหนุ่มย้อนถามพลางทำท่าเตรียมออกรถ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยเหมือนไม่ใส่ใจหากอลิตาจะไม่ตอบตกลง “ไม่ไปก็ตามใจ”
“เดี๋ยวก่อนสิ!” อลิตาเป็นฝ่ายร้อนรน เธอเดินไปคว้าแขนเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้ให้เขาหยุดรอ
“มีอะไรอีก” พีระพัฒน์ถามกลับเสียงห้วนและดูหงุดหงิด อลิตาจึงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจ
“ฉันมีเวลาไม่มาก อย่ายียวนฉันให้มากนักนะ”
หญิงสาวเดินกลับไปล็อกรถตัวเองไว้ แล้วเดินกลับมาหาพีระพัฒน์ มือเรียวบางเปิดประตูรถสปอร์ตคันเท่ขึ้นไปนั่งข้างกายเขาอย่างจำยอม ชายหนุ่มจึงเหยียดยิ้มอย่างจงใจให้อีกฝ่ายเห็นเมื่อตนเป็นผู้มีชัย
“จะไปไหนก็ไปสิ!”
ใบหน้างดงามหันไปค้อนใส่เขาวงใหญ่ ในใจอลิตานึกเป็นห่วงแต่เพียงผู้เป็นน้องสาวจนอยากให้พีระพัฒน์ขับรถพาไปหาระรินทิพย์เสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอออกคำสั่งกับเขาไม่ได้…ก็คนอย่างพีระพัฒน์น่ะฟังคำสั่งใครเสียที่ไหน ไม่รู้สินะว่าการแลกเปลี่ยนในคราวนี้เธอจะได้รับผลคุ้มค่าเวลาที่เสียไปหรือเปล่า
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.