บทที่ 4
“อดีตหัวใจ”
รถสปอร์ตคันหรูขับไปอย่างไร้จุดหมายและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เวลาเดินช้าๆ ล่วงเลยจากทุ่มกว่าๆ ไปเกือบสามทุ่ม คนตัวสูงที่เป็นคนขับก็ยังไม่ยอมหยุดรถหรือบอกอลิตาสักคำว่าเขาจะพาเธอไปตามระรินทิพย์ที่ไหน มิหนำซ้ำเขายังไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจไปกับเธอด้วยเลย
“เมื่อไหร่จะพาฉันไปหายายระรินสักทีเนี่ย ตกลงว่านายโกหกฉันใช่มั้ย” อลิตาทวงถามอย่างหมดความอดทน ในใจก็ด่าว่าตัวเองที่หลงเชื่อคำพูดของผู้ชายไม่น่าไว้ใจอย่างเขาทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขามันร้ายกาจ
พีระพัฒน์เพียงแต่ชำเลืองหางตากลับมามอง แต่ก็ไม่ตอบคำถาม มือเรียวยาวหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าสู่มุมแคบๆ ของถนนพหลโยธินเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวหงุดหงิดไปกันใหญ่
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง!”
“ก็ใครจะไปรู้”
“นี่นาย! จะบอกว่าไม่รู้ได้ยังไงในเมื่อนายพูดเหมือนจะพาฉันไปตามหาน้องสาว”
อลิตามองใบหน้าหล่อเหลาราวกับจะฉีกเลือดฉีกเนื้อเมื่อได้ยินคำตอบ อารมณ์ร้อนระอุขึ้นมาทันตา นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอโทรไปเช็กกับที่บ้านหลายครั้งแล้วสาวใช้รายงานว่าระรินทิพย์ยังไม่กลับไป เธอน่ะไม่มีทางอดทนใช้อากาศหายใจร่วมกับเขาในรถคันนี้นานๆ หรอก!
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าสองคนนั้นออกไปไหน แค่รู้ว่าออกไปด้วยกันผมว่าผมก็เยี่ยมแล้วนะ ขนาดคุณเป็นพี่ยายนั่นคุณยังไม่รู้เลย แล้วก็ไม่ต้องมาทำเป็นโกรธด้วย คุณโง่เองที่หลงตามผมมา”
“นายพี!” เสียงหวานเกรี้ยวกราดใส่ พีระพัฒน์ได้ยินเธอกัดฟันจนดังกรอดด้วย
“ใจเย็นๆ วีนมากเดี๋ยวตีนกาขึ้นหน้านะ” เสียงยียวนและไม่สะทกสะท้านดังกระเซ้าจนอลิตามือไม้ไม่อยู่สุข หญิงสาวนั่งหายใจฟึดฟัดที่ทำอะไรไม่ได้ จนพีระพัฒน์เลี้ยวรถเข้าไปในสวนสาธารณะกว้างขวางท่ามกลางความมืดมิดที่เข้ามาครอบคลุม เธอจึงหันกลับไปต่อว่าเขาอีกครั้ง
“นายจะบ้ารึไงถึงพาฉันมาที่แบบนี้”
“ลงมาเหอะน่า เขาจะปิดแล้ว เดี๋ยวก็โดนไล่ออกไปก่อนได้เดินดูอะไรพอดีหรอก”
ชายหนุ่มจอดรถไว้แล้วกระชากแขนให้เธอเดินตามเขาไปที่สนามหญ้า อลิตาต้านทานแรงนั้นไว้แต่กลับไม่มีผล ร่างบางถูกฉุดลงไปยืนข้างร่างสูงในบรรยากาศร่มรื่นของสวนสาธารณะซึ่งแทบจะไม่มีใครอยู่เลย
อลิตาอยากจะกรีดร้องออกมาเสียตรงนั้น เธอกำลังตามหาระรินทิพย์ที่ขาดการติดต่อไปและกำลังอยู่กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าอันตรายต่อหญิงสาวหน้าตาดีอย่างปฏิปักษ์ แต่พีระพัฒน์กลับอารมณ์ดีมากจนพาเธอมาเดินชมสวนสาธารณะ มันไม่บ้าบอเกินไปหน่อยหรือ!
“พาฉันไปหายายระริน หรือไม่ก็พาฉันกลับไปส่งที่เดิม ไม่อย่างนั้นฉันจะไปแท็กซี่!”
“เฮ้! ผมบอกแล้วไงว่าหยุดพูดเรื่องนี้ ผมพาคุณมาที่นี่เพื่อพักสมอง”
“หึ! คนหยาบๆ อย่างนายมาเดินสวนสาธารณะนี่น่ะเหรอ…ไม่เข้ากันซะเลย!”
เธอค่อนขอดเขาอย่างอดรนทนไม่ได้ ในใจก็นึกไปว่าระรินทิพย์กับปฏิปักษ์จะไปไหนกันบ้างเพื่อจะได้ไปตามหาน้องสาวคนเดียว เห็นทีจะหวังพึ่งผู้ชายกวนประสาทอย่างพีระพัฒน์คงไม่ได้เรื่องอะไร
“ไม่หรอก แค่ไม่รู้จะพาคุณไปที่ไหนเท่านั้นเอง”
“ไม่อยากพาไปไหนนายก็พาฉันกลับไปสิ แล้วก็รีบๆ บอกมาด้วยว่ายายระรินไปไหน” อลิตาบอกเสียงดัง พีระพัฒน์พูดได้ยังไงว่าไม่รู้จะพาเธอไปไหน เล่นขับรถพาเธอร่อนไปร่อนมาก็ยั่วโมโหเกินพอแล้ว คิดยังไงยังทำเป็นอารมณ์ดีพาเธอมาเดินที่สวนสาธารณะอีก วันหนึ่งๆ เธอมีอะไรต้องทำอีกตั้งเยอะตั้งแยะ
“แค่นี้ทำเป็นอารมณ์เสียไปได้ ดูหน้าคุณสิ เคยสังเกตตัวเองบ้างมั้ยว่าวันๆ ทำแต่งานจนไม่เคยออกมาสูดอากาศดีๆ หน้าตาพานเครียดทุกทีที่เจอกัน ทำไมชอบทำตัวแก่เกินวัยนัก”
“นายพี!”
อลิตาแหวใส่เป็นรอบที่สองที่ชายหนุ่มเอาแต่ว่าเธอฉอดๆๆ แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรมือใหญ่ก็เลื่อนมานวดที่หัวคิ้วเธอเบาๆ เสียงที่จะแผดใส่เขาจึงเงียบไป สัมผัสจากร่างสูงทำให้เธอตกใจไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าผู้ชายร้ายกาจเช่นเขาจะแคร์ใครจนถึงเพียงนี้ และบางที…มันก็อาจจะจริงอย่างเขาว่ากระมัง
ตั้งแต่อลิตาเรียนจบ เธอทำงานจนไม่เคยมีเวลาเดินเล่นเลยสักครั้ง และวันนี้คงจะเป็นการพักผ่อนที่ดีอีกวันอย่างที่เขาว่าถ้าหากเธอไม่ต้องมากับเขา และไม่ใช่วันที่เธอมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำยิ่งกว่า!
“จะพาฉันกลับได้หรือยัง” อลิตาเอ่ยขัดบรรยากาศดีๆ อีกครั้งก่อนที่ร่างบางจะขยับห่างจากคนตัวสูง เธอปัดมือของชายหนุ่มที่จะเลื่อนลงมาแตะแก้มใสอย่างอ่อนโยนจนมันหลุดไป
“ผมว่า…ท่าทางคุณจะต้องอยู่กับผมอีกนานนะ”
พีระพัฒน์ตีสีหน้าเคร่งขรึมกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่แล่นอยู่ในใจ ใบหน้าคมคายยิ้มเย้ยนิดๆ ขณะที่เขาเงยหน้ามองฟ้าที่กำลังตั้งเค้าทะมึนซึ่งบ่งบอกว่า…ฝนกำลังจะเทลงมาในไม่ช้านี้แล้ว
สายลมหนักหน่วงหอบไอเย็นชื้นของเม็ดฝนที่กำลังตั้งเค้า แล้วในไม่ช้าก็คงเริ่มกลั่นเม็ดหยดลงมาจนทั่วพื้นที่ ท่าทางว่าหากฝนเทลงมามันคงสาดกระหน่ำอย่างหนักและไม่หยุดง่ายๆ
“ฝนกำลังจะตกแล้ว นายก็รีบพาฉันกลับสักทีสิ”
“ขับรถตอนนี้อันตรายจะตายไป” ชายหนุ่มว่าพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์จงใจยั่วโมโหและให้เธอรู้ว่าเขากำลังกวนโทสะเธออย่างออกนอกหน้า แน่นอนว่าในใจพีระพัฒน์กำลังมีวิธีแก้เผ็ดสาวสวยจอมดื้อรั้นและแสนหยิ่งอย่างเธอ “อยู่รอจนฝนหยุดตกก็คงไม่เป็นไร”
“ไม่ได้นะ!” เสียงใสร้องทักท้วง หากให้เธออยู่กับเขานั่นก็แสดงว่าเธอกำลังต่อเวลาให้ระรินทิพย์อยู่ใกล้ชิดกับปฏิปักษ์มากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้ก็ต้องได้ ท่าทางว่าจะไปแท็กซี่งานนี้คุณก็คงต้องอด” พีระพัฒน์พูดต่ออย่างผู้เหนือกว่า เขามองสายฝนที่เริ่มลงเม็ดมาแล้ว จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม และหนาตาขึ้นเรื่อยๆ
มืดค่ำขนาดนี้จะหาแท็กซี่ผ่านเข้ามาในสวนสาธารณะก็ยากอยู่แล้ว ยิ่งฝนตกแบบนี้ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าอลิตาจะมาขู่ว่าหากเขาไม่พากลับเธอก็จะกลับแท็กซี่เห็นทีว่าจะไร้ความหวัง ชายหนุ่มคิดได้ดังนั้นจึงกระชากแขนร่างบางกลับไปที่รถ แล้วบังคับให้เธอเข้าไปนั่ง
อลิตาอยากจะบ้าตายกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่เมื่อคิดได้อีกทีก็ตอนที่ร่างของตัวเองนั่งแช่อยู่ในรถยนต์คันหรูเสียแล้ว พีระพัฒน์สตาร์ตเครื่องให้แอร์ในรถยนต์ทำงานก่อนทั้งคู่จะนั่งเงียบฟังเสียงฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ป่านนี้ไม่รู้ว่าระรินทิพย์จะกลับถึงบ้านหรือยัง หากยามนี้ยังอยู่กับปฏิปักษ์คงจะไม่ดีแน่ ทิ้งให้อยู่ด้วยกันนานๆ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้คนอันตรายอย่างผู้ชายคนนั้นฉวยโอกาสกับน้องสาวเธอชัดๆ
บ้าจริง! เรื่องซวยๆ เหล่านี้ต้นเหตุมันมาจากคนที่นั่งข้างๆ เธอทั้งนั้น
ยิ่งคิดอลิตาก็ยิ่งพาลโมโห เธอเป็นห่วงระรินทิพย์มาก มือบางกำหมัดเอาไว้แน่นเพื่อระงับความโกรธ ในใจก็ด่าทอร่างสูงที่นั่งเคียงกันไม่เว้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนาน แอร์เย็นฉ่ำกับอุณหภูมิจากพายุฝนภายนอกลดต่ำเกินกว่าร่างกายจะรับไหว ร่างเล็กจึงเริ่มสั่นสะท้านขึ้นด้วยความหนาวเย็น
เธอเองก็ลืมไปเลยว่าตอนที่วิ่งมาเมื่อครู่นี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกฝนมาไม่น้อย
มือเรียวยาวของใครอีกคนเลื่อนมาจะเกลี่ยหยาดฝนที่หยดลงมาตามผิวแก้มใส…
“ฉันไม่เป็นไร” อลิตาเอ่ยขึ้นก่อนที่มือของชายหนุ่มจะแตะลงที่ผิวแก้ม
พีระพัฒน์ชักมือกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วสายตาคมก็มองทอดออกไปนอกกระจกอย่างใช้ความคิด ราวกับเมื่อครู่นี้เขาเพียงแค่ลืมตัวไปชั่วขณะ
ทำไมนะ…เพียงแค่พบอลิตาเขาถึงต้องหวั่นไหวคล้ายกับวันที่ได้เจอผู้หญิงคนนั้นครั้งแรก…ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะแกล้งให้เธอขยาดที่กล้ามาลองดีกับเขาแท้ๆ แต่แล้วทำไมถึงได้อยากอ่อนโยนกับเธอ
หรือทั้งหมดนี่เป็นเพราะว่าอลิตามีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับผู้หญิงคนนั้น
พิยะดา…ผู้หญิงที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ
“ระรินเป็นอะไรหรือเปล่า”
ปฏิปักษ์มองระรินทิพย์ที่เอาแต่มองออกไปนอกกระจกดูบรรยากาศฝนเทกระหน่ำยามค่ำคืนอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้เธอยังชวนเขาคุยจ้อเรื่องเรียนและเรื่องฝึกงานของเธออยู่แท้ๆ
“ปละ…เปล่าคะ” หญิงสาวหันมายิ้มเก้อๆ ให้แทนคำตอบ ในหัวของเธอมักจะครุ่นคิดไปถึงเจ้าของชื่อปริศนาที่ออกจากปากของพีระพัฒน์โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว
‘เกด’ คนที่พีระพัฒน์พูดถึงคือใคร แล้วทำไมผู้ชายสองคนนี้ถึงได้ร้อนรนเมื่อได้ยินชื่อนี้นัก หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองปี ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับปฏิปักษ์เธอย่อมรู้ดี…เธอติดตามข่าวคราวของเขาอยู่…ผู้หญิงคนนี้จะต้องพัวพันในชีวิตของเขาสองคนมานานแล้ว อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าสองปีที่ผ่านมา
“เปล่าที่ไหนล่ะครับ นั่งเหม่อขนาดนี้”
“ก็…ระรินกำลังคิดถึงเรื่องฝึกงานน่ะค่ะ ไปฝึกที่โรงแรมของพี่แพท ระรินก็กลัว เดี๋ยวสาวๆ ที่นั่นเหม็นหน้าเอา เขาจะหาว่าเล่นเส้นเอาเกรด ระรินยิ่งทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นอยู่ด้วย”
“ถ้าทำทุกอย่างเป็นหมดตั้งแต่แรกเขาจะเรียกว่าฝึกงานเหรอครับ อย่าคิดมากน่า”
ปฏิปักษ์ปลอบโยน ทั้งคู่ดูจะสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วเนื่องจากต่างฝ่ายต่างเปิดใจคุยกันอย่างเป็นมิตรและค่อนข้างจะถูกคอกันด้วย ที่สำคัญก่อนหน้านี้ก็เคยเจอกันบ่อยครั้งในงานสังคมต่างๆ จนคุ้นหน้าคุ้นตา เพียงแต่ไม่เคยทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการเหมือนคืนนั้นเท่านั้นเอง
“ระรินไม่ได้เก่งเหมือนพี่แพท เหมือนพี่ลิต้านี่คะ” ระรินทิพย์ชักจะกลุ้มกับเรื่องนี้จริงๆ แล้ว เธอเองรู้ตัวดีว่าไม่ได้เป็นคนเก่งและหัวดีอย่างที่ใครๆ ชื่นชม ที่เธอมีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมากเธอต้องใช้ความพยายามและทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนเท่าที่คนคนหนึ่งจะทุ่มเทได้
ในช่วงมัธยมระรินทิพย์ต้องเรียนกวดวิชาและอ่านหนังสืออย่างหนัก จนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัยหญิงสาวก็ยังจัดเป็นนักศึกษาที่ขยันเรียนและทำกิจกรรมต่างๆ เธอเข้าเรียนไม่เคยขาด อ่านหนังสือไม่เคยพลาดแม้แต่วิชาเดียว เธอไม่อยากให้ใครเอาไปเปรียบเทียบว่าด้อยกว่าอลิตาที่ทั้งเก่งและมีความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ดีว่าหลายคนอดที่จะพูดไม่ได้ว่านอกจากหน้าตาแล้ว เธอสู้อลิตาในด้านอื่นๆ ไม่ได้เลย
อลิตาฉลาด มีไหวพริบ และเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในด้านต่างๆ สามารถพูดได้ว่าถึงแม้อลิตาจะมีผลการเรียนในระดับเดียวกับระรินทิพย์ แต่อลิตาก็ไม่ต้องใช้ความพยายามเท่ากับที่เธอใช้
“ระรินอย่าคิดมากสิครับ คนเรามันก็เก่งกันไปคนละเรื่อง อย่างเรื่องกีฬา ผมสู้นายพีได้ที่ไหน”
“สู้ไม่ได้ แต่ได้เหรียญทองเทนนิสกีฬามหาวิทยาลัย แถมเกือบติดทีมชาตินี่นะคะ”
ปฏิปักษ์ยิ้มมีเล่ห์กลเมื่อหญิงสาวเอ่ยถึงประวัติส่วนหนึ่งของเขาได้แม่นยำ จนใบหน้าหวานใสขึ้นสีแดงจัด…ที่แท้ระรินทิพย์ก็เป็นแฟนพันธุ์แท้เขานี่เอง เธอถึงได้รู้ดีทุกเรื่องอย่างนี้
“รู้สึกดีนิดๆ นะครับที่สตอล์กเกอร์* ติดตามผมเนี่ย…เป็นสาวสวยขนาดนี้”
“พี่แพทก็! พี่แพทน่ะดังจะตายนะคะ ใครๆ ก็รู้จักทั้งนั้น แถมยังเป็นศิษย์เก่ามหา’ลัยเดียวกับระรินด้วย อาจารย์ก็เลยยกมาเป็นเคสสตั๊ดดี้เล่าให้ฟังออกบ่อยไปค่ะ” ระรินทิพย์แก้ตัวยืดยาว
“ฮะๆๆๆ จะพยายามเชื่อตามนี้นะครับ”
“โธ่…พี่แพทก็อย่าแซวระรินนักสิคะ”
หญิงสาวได้แต่ทำหน้านิ่งด้วยไม่รู้ว่าจะโต้กลับอย่างไร ก็ความจริงมันฟ้องออกมากับคำพูดของเธอเองเสียหมด พอเห็นหญิงสาวเอาแต่เงียบไปแล้วนั่งหน้าแดงอยู่อย่างนั้น ปฏิปักษ์เลยหมดสนุกที่จะแกล้ง
“อืม…เริ่มจะดึกเข้าไปทุกทีแล้วนะ กลับดึกอย่างนี้คุณพิมพ์แขจะดุมั้ยเนี่ย”
ชายหนุ่มจ้องหน้าคนฟังสลับกับมองนาฬิกาข้อมือ ความจริงเขาก็เริ่มเป็นห่วงงานขึ้นมาเหมือนกัน เอกสารที่หอบมาจากที่ทำงานซึ่งต้องเอายื่นที่ประชุมในวันพรุ่งนี้ยังไม่ได้สะสางเลย
“จริงสิคะ ระรินก็ลืมไปเลย เห็นฝนตกหนักแบบนี้เลยไม่ทันคิด”
“งั้นผมไปส่งเลยดีมั้ย” ปฏิปักษ์อาสา เขาเป็นห่วงระรินทิพย์ขึ้นมาบ้าง ถ้าเธอต้องถูกคุณแม่ตำหนิคงไม่ดีนัก มีอย่างที่ไหนเพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน เขาก็พาลูกสาวพิมพ์แขมาร่อนเสียดึกดื่นแบบนี้ ที่สำคัญเขารู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาจะทำเล่นๆ ได้เหมือนหลายๆ คนที่เข้ามาพัวพันในชีวิตเขา
แต่ที่ปฏิปักษ์ใกล้ชิดและให้ความเป็นกันเองกับเธออย่างเอ็นดูเหมือนน้องสาว ส่วนหนึ่งก็เพราะหวังอยากจะใกล้ชิดกับพี่สาวเธอด้วย เขาอยากทำคะแนนในทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับอลิตาโดยไม่รู้เลยว่าการที่เสือร้ายอย่างเขาเอาตัวเองเข้ามาใกล้กระต่ายน้อยอย่างระรินทิพย์ยิ่งทำให้อลิตามองเขาไม่ดี
“แต่ตอนนี้ดึกแล้วนะคะ แล้วงานพี่แพทล่ะ บ้านระรินก็อยู่ไกลจากนี่ด้วย ฝนตกหนักขนาดนี้ขับรถดึกๆ อันตรายแย่ เดี๋ยวระรินโทรให้พี่ลิต้ามารับดีกว่าค่ะ คืนนี้ไปค้างที่คอนโดฯ กับพี่ลิต้าก็ได้”
ระรินทิพย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหามารดาเป็นอันดับแรก เธอบอกท่านด้วยความสัตย์จริงว่าออกมากับใคร แล้วทำไมถึงต้องไปค้างกับพี่สาว ปลายสายมีน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่พอรู้ว่าจะไปค้างกับอลิตาและตอนนี้ก็อยู่กับปฏิปักษ์ท่านก็เบาใจลงมาก ระรินทิพย์วางสายจากมารดาแล้วต่อสายหาอลิตาทันที
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริการฝากหมายเลขโทรกลับ…”
“เอ…ทำไม่ติดต่อไม่ได้นะ” เสียงใสพึมพำกับตัวเองพลางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่รอคำตอบ มือเรียวเล็กกดโทรหาพี่สาวอีกครั้ง แม้ในใจพอจะเดาคำตอบออกว่าทำไมถึงติดต่ออีกคนไม่ได้ อลิตาชอบทำงานวุ่นวายจนติดต่อไม่ได้แบบนี้เสมอ หรือไม่โทรศัพท์ของพี่สาวคนเก่งก็คงจะแบตหมดอีกตามเคย
“ว่าไง” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อระรินทิพย์กดวางสายอีกแล้ว
“โทรศัพท์พี่ลิต้าคงแบตหมดอ่ะค่ะ เลยโทรไม่ติด”
“งั้นให้ผมไปส่งที่คอนโดฯ คุณลิต้าเลยมั้ยครับ”
“แล้วพี่แพทไม่ไปไหนต่อเหรอคะ แล้ว…ไม่มีงานต้องรีบกลับไปเคลียร์เหรอ”
“ไม่ได้ไปไหนต่อแล้วครับ แต่ต้องกลับไปจัดการเอกสารที่ดองๆ เอาไว้สักหน่อย”
“งั้นก็กลับกันเลยดีมั้ยคะ พี่แพทจะได้ไปเคลียร์งานเลย คอนโดฯ พี่ลิต้าก็ที่เดียวกันกับพี่แพทแหละค่ะ”
“ว้าว! รู้ถึงคอนโดฯ เลยเหรอเนี่ย ไม่ปลอดภัยแล้วแฮะเรา” เสียงขรึมเอ่ยกลั้วหัวเราะ คราวนี้มือเรียวบางจึงฟาดเข้าที่ท่อนแขนเขาอย่างไม่เกรงใจกันอีกแล้ว ร่างสูงจึงยิ่งหัวเราะอย่างเอ็นดูเข้าไปใหญ่
ระรินทิพย์อดที่จะโมโหตัวเองอยู่ลึกๆ ไม่ได้ที่เป็นคนปากตรงกับใจ คิดและรู้อะไรมาบ้างไม่เคยปกปิดไว้เลย ชายหนุ่มที่ทั้งโตกว่าและเจ้าเล่ห์กว่าเลยได้เรื่องแซวเธอไม่หยุด
มันน่าเจ็บใจจริงๆ!
ร่างสูงเดินเคียงระรินทิพย์มาจนถึงหน้าห้อง 709 ซึ่งเป็นห้องพักของอลิตา ร่างบอบบางสะท้านเล็กๆ เพราะความหนาวเย็นจากเสื้อผ้าที่เปียกปอนตอนวิ่งออกจากร้านอาหารตรงไปที่รถซึ่งจอดห่างไปเกือบร้อยเมตรท่ามกลางฝนเทกระหน่ำ เสื้อสูทที่วางอยู่ในรถซึ่งปฏิปักษ์ส่งให้เธอคลุมตัวไว้ไม่ได้ทำให้อุ่นขึ้นนัก
“หวังว่าพี่สาวระรินคงจะไม่ออกไปไหนนะ” ชายหนุ่มว่าเมื่อเห็นมือบางเอื้อมไปกดออดหน้าห้อง พอได้ยินปฏิปักษ์พูดแบบนั้นเธอก็นึกกังวล ตัวเธอเองก็ไม่มีคีย์การ์ดห้องนี้
แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว อลิตาไม่น่าจะไปไหน ปกติพี่สาวเธอไม่ใช่คนชอบเที่ยวกลางคืน หรือถ้ามีธุระจะไปไหนก็ไม่น่าจะกลับดึกมากยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุจำเป็น ซึ่งก็คงไม่แจ็กพ็อตเอาในวันที่เธอมาหา
“พี่ลิต้าไปไหนนะ” ระรินทิพย์กดออดเรียกเป็นครั้งที่สามพลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มเข้าไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่สาวเธอจะยังไม่กลับมา
“ผมว่าระรินไปรอพี่สาวที่ห้องผมดีกว่ามั้ย แล้วค่อยติดต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเธอกลับมาเมื่อไหร่ผมจะพามาส่ง ดีกว่ามายืนรออยู่แบบนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายเสียเปล่า” ปฏิปักษ์เสนอความคิดเมื่อเห็นท่าไม่ดี สายตาห่วงใยและอ่อนโยนมองร่างเล็กที่ยืนสั่นสะท้านอยู่ตรงหน้า
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ” ปฏิปักษ์ยิ้มขรึมพร้อมยกมือขึ้นทำการปฏิญาณตนเหมือนลูกเสือ “ด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญ…ผมขอปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำอะไรระรินครับ”
“ก็ไม่ได้คิดว่าพี่แพทจะทำอะไรสักหน่อยนี่คะ” ระรินทิพย์หัวเราะเสียงใสอย่างอดไม่ได้เมื่อนักธุรกิจหนุ่มที่ท่าทางดุขรึมเวลาทำงานกลับมาขี้เล่นและเป็นกันเองเช่นนี้ ดวงตากลมจ้องหน้าเขาอย่างนึกขัน เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนขรึมๆ และแฝงแววเจ้าเล่ห์อย่างปฏิปักษ์จะขี้เล่นกับเขาก็เป็นด้วย
ปฏิปักษ์พาระรินทิพย์มาที่ห้อง ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มขอไปเตรียมชุดให้เธอและเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอจึงใช้เวลามองสำรวจห้องชุดสุดหรูซึ่งตกแต่งสบายตา เรียบง่าย แต่ดูมีสไตล์ ห้องที่ระรินทิพย์เห็นไม่ได้รกตามประสาผู้ชายอย่างที่เคยคาดไว้…เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นสะอาดและถูกวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
“ตอนอยู่ที่อเมริกาสมัยเรียนไฮสกูลผมต้องอยู่คนเดียวเลยชินกับการดูแลห้อง ไม่ต้องจ้องขนาดนั้น ผมไม่ได้เป็นเกย์” เสียงเข้มบอกอย่างอารมณ์ดีพร้อมยื่นผ้าขนหนูให้เธอที่นั่งรออยู่ที่โซฟาสีครีมกลางห้อง
“ระรินก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ” มือเรียวเล็กยื่นไปรับผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่จากมือชายหนุ่มที่ออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวง่ายๆ กับกางเกงขายาวสบายๆ
“ไปเปลี่ยนในห้องผมก็ได้ เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้ระรินผมวางไว้ที่เตียง” ปฏิปักษ์เอ่ยเมื่อหญิงสาวมีท่าทีเกรงใจเขาจนเห็นได้ชัด ชายหนุ่มก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ลึกๆ แต่เขาคิดกับระรินทิพย์แค่เพียงน้องสาวและเป็นห่วงว่าเธอจะไม่สบายจริงๆ เขาจึงสามารถวางตัวได้อย่างเป็นกันเองและเป็นธรรมชาติ
“เอ่อ…” ระรินทิพย์หน้าแดงขึ้นมายิ่งกว่าเดิม “ขอบคุณพี่แพทมากนะคะ”
“เปลี่ยนชุดเสร็จเดี๋ยวออกมาทานข้าวด้วยกัน ผมจะหาอะไรอุ่นๆ ให้ทานก่อนนอน”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วเดินหายไปในห้องนอนโดยมีสายตาของปฏิปักษ์มองตามอย่างเป็นห่วง ระรินทิพย์ถูกเลี้ยงมาอย่างเปรียบได้กับแก้วใสที่เปราะบางและไม่เคยมีอะไรมากระทบ เขาเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าเธอบอบบางจนเกินกว่าจะต้านทานหรือสู้ทนกับการถูกดึงเข้าในเกมอันตรายของผู้ชายอย่างพีระพัฒน์ได้
ปฏิปักษ์เป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้พีระพัฒน์คิดว่าระรินทิพย์คือผู้หญิงคนใหม่ของเขา หมอนั่นคงไม่หยุดทุกอย่างเอาไว้แค่วันนี้แน่
‘หวงรึไง จำไม่ได้สินะว่าถ้าแกยิ่งหวง ฉันก็ยิ่งอยากแย่ง!’
คำพูดของน้องชายต่างบิดาดังก้องอยู่ในความคิดปฏิปักษ์เสมอ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กังวลถึงขนาดนี้ เพราะผู้หญิงแต่ละคนที่เขาควงไม่ใช่คนที่อะไรมากระทบไม่ได้เช่นระรินทิพย์ แต่ยิ่งเขาแสดงออกว่าเป็นห่วงเธอมากเท่าไหร่ พีระพัฒน์ก็คงจะยิ่งสนุกขึ้นมากเท่านั้น
ที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่ผู้หญิงข้างกายเขาจะไม่ถูกพีระพัฒน์แย่งไปด้วยเล่ห์กลและในทุกวิถีทาง ด้วยเหตุนี้กระมังเขาจึงไม่กล้าคบใครจริงจัง ด้วยไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บดังเช่นในอดีตอีกต่อไป
อดีตที่ทำให้เกดต้องจากไป…
ปฏิปักษ์ไม่อยากให้แก้วใสที่เปราะบางเช่นระรินทิพย์ต้องกระทบกับสิ่งใดให้เกิดรอยร้าว แม้จะมากหรือน้อยนิดเพียงไรก็ตาม เขาไม่อยากทำให้ใครต้องเสียใจเพราะเขาอีกแล้ว
ระรินทิพย์สวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มความยาวเกือบคลุมต้นขาและกางเกงบ็อกเซอร์สีดำของปฏิปักษ์เดินออกมาจากห้องอย่างไม่ค่อยมั่นใจเลย ยามที่เธอย่างกรายออกมาจากห้องจึงไม่แปลกที่ใบหน้าขาวผ่องนั้นจะแดงจัดยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มเงยหน้าจากการทำครัวจ้องมองร่างบอบบางเจ้าของผิวพรรณละเอียดเนียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาจึงเห็นใบหน้าหวานไร้เครื่องสำอางปิดบังความอ่อนเยาว์ขึ้นสีแดงจัด
“ขอโทษทีนะ ห้องผมมีแต่เสื้อผ้าผู้ชาย ระรินคง เอ่อ…ไม่ว่าอะไร” ปฏิปักษ์ทักขึ้นพร้อมกับวางมือจากการทำโจ๊กอุ่นๆ ที่เตรียมให้หญิงสาวทานรองท้องยามดึก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ระรินทิพย์ว่าพลางทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด เธอไม่อยากยืนให้เขามองเห็นเธอทั้งตัวเธอเท่าไหร่นัก มันโหวงๆ ข้างในอย่างไรไม่รู้ “ท่าทางพี่แพททำอาหารเก่งเหมือนกันนะคะ”
“ตอนที่อยู่อเมริกาต้องทำประจำก็เลยพอจะทำได้ จริงๆ ก็ได้แต่อาหารพื้นๆ นะ” ปฏิปักษ์ถอดผ้ากันเปื้อนออก วางพาดเอาไว้ที่พนักเก้าอี้ไม้แล้วทรุดตัวนั่งตาม
“พี่แพทดูทำอาหารเก่งกว่าพี่ลิต้าอีก รายนั้นขนาดทำไข่ดาวยังไหม้เลย”
พอเล่าแล้วเจ้าตัวก็อดขำไม่ได้ ปฏิปักษ์เองก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกภาพอลิตาเข้าครัว จริงๆ แล้วมันก็ไม่เข้ากับยายเสือสาวอย่างอลิตาจริงๆ นั่นแหละ นอกจากใบหน้าและรูปร่างที่ดูเป็นผู้หญิงที่สุดแล้ว อลิตาจะมีอะไรบ้างนะที่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ท่าทางว่าจะหายากเอาการทีเดียว
“ทานอะไรอุ่นๆ ดีกว่านะ แล้วทานยากันเอาไว้ก่อนจะไม่สบายไปจริงๆ” ชายหนุ่มเลื่อนชามโจ๊กส่งให้ ระรินทิพย์ลอบมองใบหน้าคมอย่างช่างใจ ไม่ใช่กลัวอาหารตรงหน้าจะไม่อร่อย แต่…ความสงสัยเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อเกดยังคงรบกวนสมาธิของเธอไม่ว่างเว้นต่างหาก
“ระรินอยากจะถามอะไรผมหรือเปล่า” ปฏิปักษ์เป็นคนเอ่ยถามก่อน เขาเห็นเธอมีท่าทีเป็นกังวล เขาคิดว่าบางทีคำพูดของพีระพัฒน์อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ระรินทิพย์มีท่าทีเช่นนี้ก็ได้
“เปล่าหรอกค่ะ”
“แต่ท่าทางเหมือนไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เลยนะ”
“คือ…” เมื่อเห็นอีกคนเปิดโอกาสให้อยู่กลายๆ ระรินทิพย์จึงชั่งใจคิดหนักว่าเธอจะเอ่ยถามเขาอย่างไรให้ไม่ดูละลาบละล้วงมากเกินไป หากเธอถามเขาจริงๆ ชายหนุ่มอาจจะไม่พอใจที่เธออยากรู้เรื่องส่วนตัวของเขาก็เป็นได้ “คือ…เอ่อ…ทำไมพี่แพทถึงชื่อปฏิปักษ์ล่ะคะ ชื่อแปลกจัง”
เสียงหวานเอ่ยคำถามกลบเกลื่อนไปในที่สุด ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะถามถึงเรื่องผู้หญิงที่ชื่อเกด เธอกลับเฉไฉไปถามเรื่องชื่อของเขาแทน ทว่าคำถามกลับทำให้ดวงตาคมสลดวูบลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“ชื่อแปลกดีใช่มั้ยล่ะครับ…” ปฏิปักษ์ปรับสีหน้าให้กลับมาแจ่มใสดังเดิม มุมปากเรียวเผยรอยยิ้มฝืนๆ บางเบา “คุณแม่ตั้งให้น่ะ ท่านคงตั้งไว้เตือนใจตัวเอง”
“เตือนใจ?” ระรินทิพย์ทวนคำอย่างสงสัย จากที่แค่พลั้งปากออกไปกลับกลายเป็นว่าเธอเริ่มอยากจะรู้เบื้องหลังของชื่อนี้จริงๆ “ถ้าระรินจำไม่ผิด ปฏิปักษ์นี่หมายถึง ‘ศัตรู’ ไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำ ดวงตาคมสบตาหญิงสาว “คุณพ่อท่านเป็นศัตรูกับคุณแม่ ลูกชายที่เกิดจากการถูกขืนใจได้ชื่อ ‘ปฏิปักษ์’ มาก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังดีนะที่คุณพ่อท่านเสียไปแล้ว ไม่งั้นคุณแม่คงไม่อยากมองหน้าผมหรอก” ชายหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดี แม้ดวงตาคมจะแฝงความเจ็บปวดเมื่อเอ่ยถึงบุพการีทั้งสองที่จากไปแล้ว
ผู้เป็นมารดาเจ็บปวดที่ต้องทนมองหน้าลูกชายที่เกิดจากผู้ชายที่เป็นศัตรูแค่ไหน…เขารู้ดี
“ระรินขอโทษนะคะที่ถามเรื่องไม่สมควรถาม” ระรินทิพย์เอ่ยจากใจที่ได้ถามคำถามทำร้ายอีกฝ่ายด้วยความไม่ตั้งใจ ทุกครั้งที่มีใครเรียกชื่อนี้ ปฏิปักษ์เองคงจะเจ็บปวดไม่น้อยที่ถูกย้ำเตือนเรื่องราวเหล่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มยิ้มขรึม มือเรียวยาวโยกศีรษะของหญิงสาวไปมาอย่างเอ็นดูและไม่ถือสาใดๆ กับเรื่องที่เธอถามอย่างไม่ตั้งใจ แต่สีหน้าอีกคนก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี “ผมว่าที่ระรินสงสัยต้องไม่ใช่เรื่องนี้แน่เลย อยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ ถ้าผมรู้ผมจะตอบ”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา เขาเชื่อเสมอว่า…ถึงแม้ว่าเขาจะยังเจ็บปวดอยู่บ้างเมื่อยามที่นึกถึงเรื่องในอดีต แต่เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยาวนานกว่ายี่สิบปี และเขาก็เข้มแข็งมากจนพอจะทำใจรับกับเรื่องเหล่านั้นได้แล้ว เขาจึงไม่อยากให้เรื่องนั้นทำให้ระรินทิพย์ไม่สบายใจหรือมองว่าเขาน่าสงสาร…นั่นไม่ต่างอะไรกับการดูถูกหรือตอกย้ำให้เขาต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดซ้ำซากเลย
“ระรินอยากรู้เรื่องคุณเกด” ในที่สุดสาวน้อยก็เอ่ยถึงเรื่องที่อยากรู้จริงๆ จนได้ แม้จะเป็นเสียงเรียบๆ แต่ก็ทำให้ปฏิปักษ์นิ่งคิดไปพักใหญ่จนเธอรู้สึกกังวล “เอ่อ…แต่ถ้าพี่แพทไม่อยากตอบระรินก็ไม่ว่าอะไรนะคะ ระรินก็แค่เห็นนาย…เอ่อ…คุณพีพูดจาแปลกๆ ก็เลยสงสัยเท่านั้นเองแหละค่ะ”
“เกดเป็นคนรักเก่าของผมกับไอ้พี” เสียงขรึมตัดบทนิ่งๆ เมื่อระรินทิพย์รัวคำพูดที่แสดงความรู้สึกผิดออกมา เสียงของเขาหยุดทุกถ้อยคำของหญิงสาวจนห้องนี้บรรยากาศน่าอึดอัด
คำพูดสั้นๆ แต่กินความหมายชัดเจน ผู้หญิงที่ชื่อเกดคงจะมีความสำคัญมาก และทั้งปฏิปักษ์และพีระพัฒน์คงจะรักเธอมากจนต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อให้ได้เธอมา แล้วเวลานี้ผู้หญิงที่ชื่อเกดไปอยู่ไหนกัน
“แล้วคุณเกด…”
“ตอนนี้เกดจากพวกเราไปแล้ว”
ก่อนที่ระรินทิพย์จะเอ่ยคำถามกรีดหัวใจ ปฏิปักษ์ก็เป็นคนพูดเสียเอง เสียงขรึมเอ่ยนิ่งราวกับไม่รู้สึกใดๆ แต่ความแผ่วเบาในตอนท้ายประโยคทำให้ระรินทิพย์รู้ดีว่าเขากำลังเจ็บที่คิดถึงคนที่จากไป
“ระรินขอโทษนะคะพี่แพทที่…”
“ช่างมันเถอะ ผมไม่คิดอะไรมากแล้วล่ะ”
แม้จะตอบเช่นนั้นแถมยังมีรอยยิ้มช่วยยืนยัน แต่ดวงตาคมที่เคยฉลาดล้ำกลับเจ็บปวดลึกซึ้ง หญิงสาวจึงตัดสินใจไม่เอ่ยอะไร และนิ่งเงียบไปอย่างไม่อยากกวนตะกอนเก่าๆ ในใจเขาให้ขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งคู่ทานอาหารพลางพูดคุยกันไปถึงเรื่องอื่น ส่วนมากจะเป็นเรื่องเรียนและเรื่องฝึกงานของระรินทิพย์ ปฏิปักษ์เองไม่แสดงท่าทีเก้อเขินใดๆ และวางตัวได้ดีจนระรินทิพย์คลายความกังวลและรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากขึ้น จนกระทั่งทานอาหารและช่วยกันเก็บจานเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกินกว่าเที่ยงคืนแล้ว
“ระรินว่าระรินโทรหาพี่ลิต้าอีกทีดีกว่า” หญิงสาวเดินนำร่างโปร่งไปนั่งที่โซฟา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ไปที่ห้องของอลิตา แม้สัญญาณการโทรจะติดต่อได้ แต่กลับไม่มีใครมารับสาย
“พี่ลิต้าไปไหนนะ” ระรินทิพย์พึมพำร้อนใจและรู้สึกผิดนิดๆ ตอนที่มากับปฏิปักษ์เธอไม่ได้โทรบอกอลิตา แถมยังปิดเครื่องหนีอีกด้วย พอจะติดต่อไปหาพี่สาวคราวนี้กลับติดต่อกันไม่ได้ จากความกังวลเปลี่ยนเป็นความห่วงใยเข้ามาแทนที่…กลัวว่าจะเกิดอะไรกับคนเป็นพี่ อีกฝ่ายถึงยังไม่กลับห้อง
“ออกไปเที่ยวกับเพื่อนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ พี่ลิต้าไม่ใช่คนชอบเที่ยวกลางคืน” คำตอบทำเอาอีกคนอดห่วงไม่ได้เช่นกัน พอรู้ว่าอลิตายังไม่เข้าห้อง แถมไม่เที่ยวกลางคืนแบบนี้จะคิดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรนอกจากเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“ระรินเป็นห่วงพี่ลิต้าจังเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณลิต้าอาจจะมีธุระด่วน นี่ก็ดึกแล้ว ผมว่าระรินไปพักก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าจะได้รีบตื่นไปหาพี่สาวที่ห้อง ถ้าตอนนั้นไม่มีใครกลับมาหรือติดต่อไม่ได้อีกค่อยแจ้งความ”
“แต่…”
“เถอะน่า ระรินไม่สบายไปอีกคน คุณแม่จะยิ่งเป็นห่วงนะ ไปพักผ่อนเถอะ”
ชายหนุ่มคว้าข้อมือเล็กเดินตรงไปที่ห้องนอน ให้เธอนอนในห้องของเขา ส่วนตัวเขาเดินไปหยิบผ้าห่มสำรองผืนเล็กในตู้เสื้อผ้า และเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้เดินออกมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขกตามเดิม หญิงสาวจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ
เมื่อร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟากว้าง สายตาคมจึงมองขึ้นไปบนเพดานอย่างใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมา และได้แต่หวังว่าเรื่องร้ายๆ ดังเช่นในอดีตคงจะไม่หมุนวนกลับมารังควานเขาอีกครั้ง…
บทที่ 5
“ประกาศสงคราม”
“เมื่อคืนนี้ยายระรินเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เพราะนายพีแท้ๆ เลย”
ร่างบางในชุดนอนแบบเชิ้ตยาวเหนือเข่าสีขาวพลิกตัวลงจากเตียง เธอคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมากดเบอร์น้องสาวด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่โทรหาครั้งสุดท้ายตอนติดอยู่ที่สวนสาธารณะกับพีระพัฒน์แล้วทะเลาะกับเขาจนลืมเรื่องโทรติดต่อน้องสาวไปเสียสนิท
“แบตหมด มิน่าล่ะพี่ดาถึงไม่โทรจิกไปทำงาน”
หญิงสาวพึมพำพลางควานหาที่ชาร์จแบตซึ่งวางอยู่ในลิ้นชักบนโต๊ะหัวเตียงมาเสียบโทรศัพท์ชาร์ตไว้ เมื่อคืนนี้กว่าพีระพัฒน์จะไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยเพื่อเอารถที่จอดไว้ขับกลับมายังคอนโดฯ ก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว พอมาถึงคอนโดฯ หญิงสาวก็วุ่นวายกับการจัดการเนื้อตัวที่เปียกปอน รวมทั้งเคลียร์งานจนลืมไปว่าเมื่อคืนนี้แบตโทรศัพท์มือถือหมดไปตั้งแต่ตอนที่ติดฝน ที่น่าเจ็บใจคือพอเธอใช้โทรศัพท์ในห้องโทรเข้ามือถือระรินทิพย์ก็ยังไม่มีใครรับและยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเลยจนกระทั่งตอนนี้
พอคิดอีกที…พิมพ์แขก็ไม่ได้โทรมาบอกอลิตาว่าระรินทิพย์เป็นอะไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผู้เป็นน้อง คนอย่างมารดาเธอน่ะหรือจะไม่โทรมาบอก เอาล่ะ! อลิตาบอกตัวเองว่า…ในเมื่อติดต่อระรินทิพย์ไม่ได้ก็น่าจะลองโทรไปสอบถามที่บ้านดูอีกครั้งว่าน้องสาวอยู่ที่บ้านหรือเปล่า จะได้หมดห่วงเสียที
ทว่า…เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขัดความตั้งใจของหญิงสาวเสียก่อน อลิตาจึงรีบเดินไปเปิดประตู แต่เพียงแค่ประตูเปิดเท่านั้น ใบหน้าผ่องใสที่เพิ่งผ่านการพักผ่อนมาก็เปลี่ยนไปในทันที
“ว่าไงครับ ตื่นสายเลยนะ” ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายทักทายและส่งรอยยิ้มให้ก่อน แต่เจ้าของห้องกลับไม่ยิ้มให้เลยสักนิด ตรงกันข้าม…อลิตากำหมัดแน่นและขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่พอใจเลย
“นี่คุณ! คุณมาที่นี่ทำไม!” เธอถามพร้อมกับกระชากข้อมือบางของน้องสาวให้อยู่ห่างจากร่างสูง แต่ชายหนุ่มก็เหมือนจงใจ ‘ยั่ว’ โมโห เขาจึงยื้อข้อมืออีกข้างของระรินทิพย์ไว้
“ผมก็มาส่งระรินไง คุณไม่น่าถาม”
ปฏิปักษ์จงใจตอบให้คนฟังร้อนรน เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนเขาเองก็ไม่พอใจอลิตาเช่นกัน มีอย่างที่ไหนทิ้งน้องสาวไว้แล้วออกไปกับผู้ชายหน้าตาเฉย เวลาราวๆ ตีหนึ่งเขาแวะมาหาเธอขณะที่ระรินทิพย์หลับไปแล้ว เขาเห็นพีระพัฒน์เดินมาส่งเธอแล้วทำ ‘จิ๊จ๊ะ’ กันก่อนที่จะกลับไปเสียด้วย
“เมื่อคืน…?” อลิตาทวนคำและรู้สึกได้ว่าหน้าเธอร้อนวูบด้วยความโกรธที่พร้อมจะแผดเผาร่างสูงซึ่งยืนอยู่เคียงกายน้องสาว เธอไม่คิดเลยว่าแค่รู้จักกันไม่กี่วันปฏิปักษ์จะกล้าทำแบบนี้กับน้องสาวเธอได้
ผู้หญิงที่อยู่กับผู้ชายคนนี้ภายในห้องสองต่อสอง ใครจะเชื่อว่า ‘รอด’ มาอย่างปลอดภัย
อลิตาไม่ใช่คนที่ดีแต่มองคนในแง่ร้ายและไม่มีเหตุผล แต่กิตติศัพท์ของคนตรงหน้าก็ได้ขึ้นชื่อว่า ‘ร้าย’ จนน่ากลัว แม้จะรู้ว่าน้องสาวไม่ใช่ผู้หญิงง่ายๆ แต่ระรินทิพย์ก็ยัง ‘อ่อน’ เดียงสานัก ถ้าหากปฏิปักษ์ใช้เล่ห์กลหรือกลยุทธ์ของเสือร้ายเข้าจู่โจม…เธอบอกตรงๆ ว่าไม่ไว้ใจในความปลอดภัยของน้องสาวเลย
“ใช่! ระรินค้างที่ห้องผม” ปฏิปักษ์ยืนยันหนักแน่นและชัดเจนทุกถ้อยคำเหมือนรู้ว่ายิ่งเขาทำให้อีกคนคิดไปในทางเลวร้ายได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อเขามากเท่านั้น
“นี่คุณ!”
แล้วผลที่ชายหนุ่มต้องการจะเห็นก็รวดเร็วทันตา อลิตาผลักเขาใส่ผนังรุนแรงพอๆ กับอารมณ์ของเธอในยามนี้ที่มันเดือดจนทะลุปรอทเพียงได้ยินคำพูดชวน ‘คิดลึก’ จากปากเขา
“พี่ลิต้าคะ ระรินอธิบายเรื่องเมื่อคืนนี้ได้นะคะ มันไม่ได้มีอะไร…”
ระรินทิพย์รีบตามไปดึงแขนอลิตาอย่างห้ามปราม แต่ไม่อาจหยุดยั้งโทสะที่สุมอยู่ในอกของผู้เป็นพี่สาวได้ มือบางสลัดมือของผู้เป็นน้องทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แล้วกระชากคอเสื้อของชายหนุ่มไว้อีก
ผัวะ!
ไวกว่าความคิด อลิตาเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าคมคายอย่างไม่รั้งรอ…เธอโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ และลึกๆ ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาใจเย็นหรือมีมารยาทกับเสือร้ายจอมฉวยโอกาสเช่นเขาด้วย
ส่วนระรินทิพย์ก็ถึงกับหน้าซีดเผือด เธอเคยคาดคิดว่าอลิตาต้องโกรธ เพราะพี่สาวเป็นห่วงและหวงเธอมาก แต่ก็ไม่คิดเลยว่าอลิตาจะเดือดจนถึงขั้นชกหน้าปฏิปักษ์ได้ภายในพริบตา
“พี่ลิต้า พอเถอะค่ะ ระรินอธิบายเรื่องนี้ได้จริงๆ นะคะ” ร่างเล็กฉุดกระชากพี่สาวให้หยุดทำร้ายปฏิปักษ์แต่กลับไม่เป็นผล แขนเรียวสะบัดมือเธอออกอีกครั้งและทำได้อย่างไม่ยากเย็นเลย
“เข้าไปรอในห้องก่อนระริน พี่ต้องสะสางกับผู้ชายสารเลวนี่ให้รู้เรื่อง”
“พี่ลิต้า แต่ว่า…”
“พี่บอกให้เข้าไปรอในห้องไง!”
เสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ระรินทิพย์อย่างไม่เคยมาก่อน ร่างบางจึงได้แต่ยืนลังเลด้วยความเป็นห่วงว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันรุนแรง อลิตาจะให้เธอเข้าไปในห้องได้อย่างไรในเมื่อยังเข้าใจผิดเธอเช่นนี้
“ระรินเข้าไปในห้องก่อนเถอะ คุณลิต้าเขาทำอะไรผมไม่ได้หรอก”
“คุณนี่มัน…!”
อลิตากระชากคอเสื้อเชิ้ตสีขาวของปฏิปักษ์แรงขึ้นอีก การที่เขาบอกระรินทิพย์ด้วยเสียงนิ่งเรียบอย่างไม่เกรงกลัวนั้นยิ่งเท่ากับสาดน้ำมันใส่กองไฟดีๆ นี่เอง แต่เมื่อปฏิปักษ์เป็นฝ่ายออกปากเอง ระรินทิพย์จึงมองทั้งสองคนเพื่อชั่งใจ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง
พลั่ก!
ประตูปิดลงเพียงเสี้ยววินาที ปฏิปักษ์ก็จัดการดึงร่างอลิตาเข้ามาใกล้แล้วผลักเธอชนกับผนังแทน ชายหนุ่มกดมือของเธอไว้เหนือศีรษะไม่ให้ต่อกรใดๆ ได้ก่อนที่ร่างกายสูงใหญ่จะเบียดชิดร่างเพรียวบางอย่างแนบชิดเพื่อกักกันเธอเอาไว้ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งดั่งกำแพง
ปฏิปักษ์ร้ายกาจนักที่สามารถสยบเธอได้รวดเร็วจนไม่ทันได้หายใจ
“เอามือสกปรกๆ ของคุณออกไป!” อลิตาบอกเขาแล้วเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงขณะที่พยายามจะหลีกหนีเขาด้วยการทำตัวแนบชิดกับผนังซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ดวงตากลมโตแวววาวด้วยโทสะจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงเซ็นต์อย่างฉีกเลือดฉีกเนื้อขณะที่ข้อมือบอบบางที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่พยายามจะดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ แต่ปฏิปักษ์หรือจะสน ชายหนุ่มโน้มกายสูงลงไปใกล้จนจมูกชนเข้าที่แก้มเนียน จงใจกวนประสาทให้เธอเดือดแล้วเดือดอีก
“ฉันบอกให้เอามือสกปรกของคุณออกไป! ปล่อยฉันได้แล้ว!”
“ผมไม่ใช่ไอ้พีที่คุณจะมาแว้ดๆ ใส่ แล้วก็อย่าคิดว่าจะชกหน้าผมได้อีกเป็นครั้งที่สองด้วย” ปฏิปักษ์บอกเสียงเข้ม จากที่เขาแค่คิดจะหยอกเธอเล่น แต่ถ้อยคำจากปากเธอกลับปลุกปั่นความโกรธขึ้นมาจริงๆ
ทันใดนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากหยักได้รูปทันทีที่เขาคิดแผนการ ‘เอาคืน’ ได้
อลิตาทำท่ารังเกียจเขาและเป็นเดือดเป็นร้อนเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนนี้จะเป็นจะตาย เขาก็จะใช้วิธีนี้แหละสั่งสอนให้เธอรู้สำนึก โกรธเข้าไปสิ…เดือดเข้าไปสิ…นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ!
“อย่าเพิ่งทำหน้าดุอย่างนี้สิ ไม่รู้เหรอว่าคุณน่ะหอมหวานน่ากินยิ่งกว่าระรินเสียอีก”
“คุณ…คุณทำอะไรยายระริน!”
“ก็ทำอย่างที่ทำกับคุณตอนนี้ไงล่ะครับ”
ปฏิปักษ์ตอบ จงใจให้อลิตาโกรธจนไร้สติ และมันก็ได้ผลเมื่อนัยน์ตากลมโตทั้งโกรธและมองเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ทำไมชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าเธอเป็นคนยังไง จ้องตาก็เดาได้แล้วว่าคนอย่างอลิตาน่ะใจร้อนราวกับไฟ และเวลาที่โกรธจัด…ถ้าเขาท้าให้ไปตายเธอก็คงบ้าศักดิ์ศรีไปตายให้เขาดูจริงๆ
“เอ…ไม่สิ” เขาทำท่านึก นัยน์ตาพราวระยับ “ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเหมือนที่ทำกับน้องสาวคุณเลยนี่นา เอาเป็นว่าเมื่อคืนนี้ผมกับระรินมีความสุขด้วยกันมาก คุณคงพอเข้าใจนะครับ”
“คุณนี่มันไว้ใจไม่ได้จริงๆ เจอกับยายระรินไม่เท่าไหร่ คุณก็ทำกับน้องสาวฉันได้ลงคอ เลว! พูดได้คำเดียวว่าคุณมันเลว!”
อลิตาโกรธจนตัวสั่นและดิ้นรนจะไปให้พ้นจากอ้อมแขนแข็งแกร่ง แต่เธอก็จำต้องหยุดดิ้น เพราะยิ่งดิ้นร่างกายสูงใหญ่ยิ่งรัดเนื้อตัวเธอแน่นขึ้น…คนอะไรเลวหาที่ติไม่ได้ เขาบอกความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มีกับระรินทิพย์อย่างไม่อายปาก แล้วยังมีหน้ามาลวนลามเธออีก
“แล้วยังไงครับ” เขายิ้มไม่สะทกสะท้าน “งั้นคนดีๆ อย่างคุณก็บอกผมหน่อยสิว่า…คนเลวๆ อย่างผมควรจะคิดค่าเสียหายที่คุณชกหน้าผมด้วยวิธีไหนดีถึงจะเลวได้มากกว่าตอนนี้”
“ฉันไม่ชดใช้อะไรให้ผู้ชายน้ำหน้าอย่างคุณทั้งนั้นแหละ”
“ผมก็ไม่คิดอยู่แล้วว่าคุณจะให้ คนอย่างคุณน่ะคงชอบให้บังคับ”
“แล้วน้ำหน้าอย่างคุณจะทำอะไรฉันได้ล่ะ” อลิตาโต้เขาอย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตากลมโตจ้องใบหน้าคมคายอย่างเยาะเย้ย ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะจงใจเหยียดยิ้ม “ถ้าคิดจะทำกับฉันเหมือนที่ทำกับคนอื่นก็ฝันไปเถอะ น้ำหน้าอย่างคุณน่ะเหรอ ปลายเท้าฉันก็ไม่มีวันได้เห็น!”
“ลองดูมั้ยล่ะ ผมเองก็ไม่คิดจะเห็นแค่ปลายเท้าคุณอย่างเดียวหรอก”
ปฏิปักษ์กอดรัดร่างบางไว้กับแผงอกแข็งแกร่งจนเนินอกนุ่มแนบชิดกับแผ่นอกแน่น นัยน์ตาสีนิลคมกริบจ้องใบหน้างามอย่างไม่พอใจกับวาจาเผ็ดร้อนที่เธอสาดใส่เขา แต่อลิตาก็ยังเย้ยหยันและท้าทายเขาอยู่ในที แม้ร่างกายเธอจะตกเป็นเบี้ยล่าง แต่ถ้าเขาคิดจะปั่นหัวเธออยู่ฝ่ายเดียว…ใครจะไปยอม
“ทนฟังไม่ได้หรือไง จะบอกให้นะว่าเสน่ห์ของคุณที่คนอื่นเขาหลงกันน่ะ ฉันยังไม่เห็นสักนิด น้ำหน้าอย่างคุณไม่ได้อยู่ในสายตาของฉัน…”
อลิตาด่าไม่จบ…ริมฝีปากของคนตัวสูงก็ประกบริมฝีปากอิ่มแดงของเธอไว้เสียก่อน มือใหญ่กอดรั้งร่างเธอเอาไว้จนดิ้นหนีไม่ได้ มิหนำซ้ำเขายังใช้อีกมือกดท้ายทอยเธอไว้ไม่ให้หันหลบหน้าหนี ต่อให้เธอจะทุบตีแผ่นอกแข็งแกร่งติดต่อกันหลายครั้งหรือผลักไสเขาออกไปเพียงไรเรี่ยวแรงนั้นก็สูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์
ปฏิปักษ์ฝังริมฝีปากลงบนริมฝีปากอ่อนหวาน ทั้งบดขยี้รุนแรงและเอาแต่ใจ อลิตาจึงเม้มริมฝีปากไว้แนบแน่นเพื่อไม่ให้เขาคุกคามเธอได้มากกว่านั้น แต่ชายหนุ่มหาได้ยี่หระต่อการต้านทานเหล่านั้นไม่ เขี้ยวแหลมคมราวกับแวมไพร์ตัวร้ายพร้อมจะขย้ำและกัดเนื้ออ่อนเช่นริมฝีปากอิ่มเต็มนี้ได้ทุกเมื่อหากเขาต้องการจะรุกรานและลิ้มรสความอ่อนหวานจากริมฝีปากเธอ
ทว่า…เหมือนพระเจ้ายังเมตตาอลิตาอยู่บ้าง เสียงบิดลูกบิดประตูห้องดังขัดขึ้นก่อนที่เธอจะหมดแรงทรุดลงกับพื้น ปฏิปักษ์รีบผละออกไปในจังหวะที่ระรินทิพย์ก้าวออกจากห้องพอดิบพอดี
เรียวคิ้วได้รูปของระรินทิพย์ขมวดเข้าหากัน เธอสงสัยกับท่าทีที่แปลกไปของทั้งสองคน ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าของปฏิปักษ์ที่เจื่อนชาและอลิตาที่เหมือนคนกำลังหอบเหนื่อย
“พี่ลิต้าเป็นอะไรไปคะ เกิดอะไรขึ้น” ระรินทิพย์เอ่ยพร้อมกับเข้าไปพยุงพี่สาว
“ไม่สบายมั้งครับ อยู่ดีๆ ก็บอกว่าหน้ามืด” ปฏิปักษ์ตอบเรียบๆ แววตาขุ่นของคนที่เกือบจะหมดแรงจึงมองเขาอย่างไม่พอใจและเตรียมแผลงฤทธิ์ใส่อีกระลอก เขาจึงต้องเฉไฉไปเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้ระรินทิพย์สงสัย “ระรินพาคุณลิต้าไปพักดีกว่านะ เดี๋ยวจะได้ไปเรียน วันนี้น่าจะมีเรียนไม่ใช่เหรอครับ”
“ค่ะ ว่าแต่ว่าพี่ลิต้าทำอะไรพี่แพทหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกครับ” ปฏิปักษ์ยิ้มพร้อมจ้องอลิตาก่อนตอบ “เราคุยกันดีๆ คุณลิต้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
คนเจ้าเล่ห์มองอลิตาที่ยืนได้เป็นปกติแล้ว หากแต่ริมฝีปากหอมหวานที่เขาฝังริมฝีปากไว้เมื่อครู่นี้กลับถูกผู้เป็นเจ้าของเม้มไว้แนบแน่นบ่งบอกว่าเธอยังโกรธเขาและไม่ยอมสงบง่ายๆ
อลิตาไม่สนใจตอบคำถามนั้น เธอดึงแขนระรินทิพย์เข้าห้องอย่างไม่สนใจล่ำลาตามมารยาทสักคำ แถมยังผลักประตูปิดใส่หน้าเขาเสียงดังอีกต่างหาก เธอคงอยากให้เขารู้เหลือเกินว่าเธอเกลียดเขาเข้าไส้ขนาดไหน
“สักวันเถอะ ผมจะสยบคุณให้อยู่หมัดเชียว…ลิต้า”
ดวงตาเจ้าเล่ห์จ้องมองบานประตูที่ถูกปิดไว้เหมือนจะมองทะลุให้ถึงร่างกายที่เขาได้กอดเมื่อครู่นี้ กลิ่นกายหอมหวานรัญจวน ริมฝีปากรสยั่วยวนนั้นยังติดตรึงในใจเขาอย่างไม่จางหาย ตั้งแต่เกิดมาอลิตาเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าปรามาสเขาว่าจะไม่ได้เห็นแม้แต่ปลายเท้าของเธอ
รับรอง…ว่าเขาจะไม่ยอมเอาคืนจากเธอแค่จูบอย่างเดียว!
ปฏิปักษ์กดลิฟต์พลางมองนาฬิกาบนข้อมือซึ่งบอกเวลาใกล้เริ่มงานแล้ว เพียงยืนรอไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทว่า…คนที่ยืนอยู่ภายในห้องโดยสารกลับทำให้เขาต้องอารมณ์ขุ่นตั้งแต่เช้า
ทั้งๆ ที่ไม่อยากเจอะเจอหรือร่วมอากาศหายใจกับน้องชายต่างบิดาที่ดูเหมือนช่วงนี้จะติดตามเขาไปในทุกๆ ที่ แต่เวลาที่ใกล้เริ่มงานเข้าไปทุกทีบงการให้ร่างสูงต้องก้าวเข้าไปในลิฟต์
“เมื่อวานออกไปกับหนูระรินได้เรื่องมั้ยล่ะครับ”
ปฏิปักษ์ทำเป็นมองไม่เห็น แต่น้องชายต่างบิดาเอ่ยเย้าแหย่ก่อน และคำว่า ‘หนูระริน’ นั่นก็จงใจใช้มันปั่นป่วนสติของเขาชัดๆ ปฏิปักษ์รู้ดีว่าเมื่อวานนี้เขาทำพลาดที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อระรินทิพย์ให้พีระพัฒน์เห็น ยิ่งเขาหวงก็ยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับคนคิดแค้นอย่างหมอนี่
เวลาที่ทำลายระรินทิพย์ คนที่เจ็บกว่าก็คือคนที่คอยเป็นห่วงเธออย่างเขายังไงล่ะ
“ระรินไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น เธอแค่ปรึกษาฉันเรื่องเรียน” เขาออกตัวปฏิเสธ
“งั้นเหรอ…” พีระพัฒน์ย้อนถามเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ เขาเองก็อ่านปฏิปักษ์ ‘ขาด’ เหมือนกับที่ปฏิปักษ์อ่านปฏิกิริยาของเขาขาดนั่นแหละ
ปากปฏิปักษ์ก็บอกว่า ‘ไม่ใช่’ แต่สีหน้า ท่าทาง และแววตาบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวเป็นห่วงระรินทิพย์ไม่ใช่น้อยเลย มีหรือว่าคนอย่างพีระพัฒน์รู้อย่างนี้แล้วจะอยู่เฉย ไม่ได้เป็นคนรักหรือเป็นแฟนแล้วอย่างไรล่ะ ขอแค่เป็นผู้หญิงที่มีผลต่อจิตใจและความรู้สึกของปฏิปักษ์เท่านั้น…เขาพร้อมจะทำลายทุกวิถีทาง
“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยควงกับแก ยังไงก็น่าสนใจอยู่ดี”
“อย่ายุ่งกับระริน!”
“ถ้าไม่ใช่แล้วจะหวงทำไมล่ะครับ” พีระพัฒน์ยิ้มหวานจงใจยั่วโมโหที่ปฏิปักษ์แสดงอารมณ์ตรงกับที่เขาอยากจะเห็น “ถ้าห้ามกันง่ายๆ อย่างนี้ ผู้หญิงของแกคงรอดมือฉันไปหลายคนแล้วน่ะสิ”
“แกหยุดทำเรื่องบ้าๆ ได้แล้วนะพี!”
“หยุดเหรอ…เกมนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก”
พีระพัฒน์ยังคงไม่ทุกข์ร้อนกับท่าทีที่เริ่มร้อนรนของปฏิปักษ์ แต่ละถ้อยคำที่ออกจากริมฝีปากหยักได้รูปนั้นบอกให้เขารู้ได้ว่าในใจของคนที่ได้ชื่อว่าพี่ชายต่างบิดากำลังห่วงระรินทิพย์แทบคลั่ง
ก็ดี! ก่อนที่จะลงมือแย่งมา พีระพัฒน์จะปล่อยให้ปฏิปักษ์ชะล่าใจและหลงผู้หญิงคนนี้ไปสักพักก็แล้วกัน เมื่อถึงเวลาที่ได้ครอบครองเธอ…เขาถึงจะได้ย่ำยีหัวใจปฏิปักษ์อย่างสาสมใจ!
“จริงสินะ” ปฏิปักษ์สะกดโทสะลูกโตที่พัดผ่านใจเขาอยู่เป็นนานจึงเปลี่ยนวิธีการตอบโต้ ถ้าเขายิ่งเดือดร้อนเท่าไหร่ พีระพัฒน์คงได้ใจมากขึ้นเท่านั้น มุมปากเรียวจึงไหวยิ้มเจ้าเล่ห์จนกระตุกความรู้สึกใครอีกคนได้บ้างเหมือนกัน “…ฉันก็ลืมไปว่าเกมนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้น!”
พีระพัฒน์จ้องมองปฏิปักษ์ด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย และรอดูว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้เขาเช่นไร
“ยายลิต้าน่าสนใจนะ เซ็กซี่ดี ฉันชักจะชอบซะแล้วสิ”
ปฏิปักษ์ประสานสายตากับพีระพัฒน์อย่างจงใจบอกว่าเขาคิดจะ ‘เล่นๆ’ กับผู้หญิงที่พีระพัฒน์ให้ความสนใจอยู่เหมือนกัน ถ้าพีระพัฒน์คิดจะเอาผู้หญิงมาเป็นเครื่องมือเพื่อปั่นป่วนโทสะเขาล่ะก็…เขาก็โต้ตอบกลับไปด้วยวิธีเดียวกันอย่างสมน้ำสมเนื้อทีเดียว
“อย่ายุ่งกับยายนั่น!”
พีระพัฒน์ทนนิ่งต่อไปไม่ไหว เขาปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อของพี่ชายต่างบิดาไว้ แต่ปฏิปักษ์ก็ดึงมือเขาทิ้งอย่างไม่แยแส ก่อนที่รอยยิ้มเป็นต่อจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปากหยักได้รูปทันที
“ถ้าง่ายอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ!”
“นี่แก!”
ในจังหวะนั้นลิฟต์ได้เลื่อนลงมาจนถึงชั้นหนึ่งพอดี ปฏิปักษ์จึงผลักพีระพัฒน์ไปจนพ้นตัว ร่างสูงก้าวออกจากลิฟต์อย่างสง่างาม ทิ้งให้คนที่กำลังเดือดดาลยืนข่มความโกรธกับคำขู่นั้น
ถ้าปฏิปักษ์ต้องร้อนรนเพราะเห็นระรินทิพย์เจ็บปวดกับการถูกพีระพัฒน์ใช้เป็นเครื่องมือ พีระพัฒน์เองก็ต้องร้อนรนไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเพราะปฏิปักษ์ก็จะใช้อลิตาเป็นเครื่องมือต่อรองบ้าง
หากต้องการเป็นผู้ชนะในเกมนี้เห็นทีพีระพัฒน์จะต้องคิดหนัก!
ด้านอลิตา…หลังจากไปส่งน้องสาวที่มหาวิทยาลัยแล้ว เธอขับรถมุ่งไปยังกองถ่ายโฆษณาซึ่งมีคิวถ่ายทำที่รีสอร์ตของคุณหญิงประไพศรี และเธอต้องไปดูแลพรีเซ็นเตอร์จอมเรื่องมากอย่างพีระพัฒน์นั่นเอง แต่ก็ดีอยู่หน่อยที่รีสอร์ตแห่งนี้อยู่ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่นัก
เธอจำได้ว่าเคยมาพักที่นี่ครั้งหนึ่งสมัยที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยแล้วมาถ่ายทำหนังสั้นประกอบรายงานส่งอาจารย์ ที่นี่น่าอยู่มากทีเดียว ภายในรีสอร์ตมีส่วนกลางที่ใช้เป็นสถานที่ติดต่อรีเซพชั่น ส่วนบ้านพักจัดแยกไว้เป็นหลังๆ ไป บรรยากาศในรีสอร์ตเงียบสงบ ร่มรื่น และน่าพักอาศัยสมกับเป็นรีสอร์ตระดับห้าดาว
“ลิต้ากำลังจะไปถึงค่ะพี่ดา”
อลิตาเอ่ยผ่านสมอลล์ทอล์กกับปลายสายที่โทรเข้ามาตอนที่เธอกำลังขับรถพอดี
“ถึงไหนแล้วคะเนี่ย ตอนนี้งานที่กองถ่ายไม่เดินเลยค่ะ ก็คุณพีน่ะบอกว่าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นถ้าสาวใช้ส่วนตัวที่ชื่อลิต้ายังมาไม่ถึง พี่กับพวกฝ่ายแคสติ้งก็ปวดหัวเนี่ยค่ะว่าจะเอายังไงดี”
“เขากล้าพูดขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
อลิตาถามอย่างไม่เชื่อหู เธอปวดหัวคล้ายโรคไมเกรนจะกำเริบกับข่าวนี้ ความจริงการถ่ายทำน่าจะเริ่มตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ถ้าหากพีระพัฒน์ยื่นคำขาดว่าจะไม่ทำอะไรแสดงว่าเขาก็ยังไม่ได้เตรียมตัว แต่งหน้า หรือว่าทำผมรอเลย การทำงานต้องเลตออกไปไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงจากที่วางแผนไว้แน่ๆ
“แล้วคุณหลิวไม่ยอมช่วยพูดให้เลยเหรอคะ เธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนายพีนี่นา ทุกคนในกองถ่ายคุมเขาไม่อยู่กันเลยหรือไง สมมติลิต้าป่วยไปสักคนงานจะเดินได้ยังไงกันคะเนี่ย”
“คุณพีเป็นยังไงคุณลิต้าก็น่าจะรู้ฤทธิ์เขานะคะ แล้วเนี่ย…คุณลิต้าไปสัญญาอะไรกับเขาไว้ล่ะ”
“เอ่อ…” อลิตาหนักใจจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่าเธอเสียรู้คนเจ้าเล่ห์เข้าให้แล้ว “ช่างเถอะค่ะ อีกราวๆ สิบนาทีลิต้าก็จะไปถึงแล้วล่ะ เขาไม่ยอมทำอะไรก็ปล่อยเขาไว้นั่นแหละ เดี๋ยวลิต้าไปจัดการเอง”
หญิงสาวกดตัดสายดาริกาไปอย่างอารมณ์เสีย มือบอบบางหักพวงมาลัยเข้าสู่อาณาเขตอันกว้างใหญ่ของรีสอร์ตภายใต้การบริหารของครอบครัวคุณหญิงประไพศรีทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.