X
    Categories: LOVEกุหลาบประกาศิตทดลองอ่าน

ทดลองอ่านนิยาย กุหลาบประกาศิต บทนำ – บทที่ 1

บทนำ

“จุดเริ่มต้นของสงคราม”

 

ภายใต้ท้องฟ้ามืดดำของยามรัตติกาล บนระเบียงคอนโดฯ หรูใจกลางเมืองบนชั้นที่ยี่สิบเอ็ดปรากฏภาพชายหนุ่มรูปร่างดีราวกับนายแบบในชุดสีดำยืนนิ่งเท้าขอบระเบียงห้องและทอดสายตามองออกไปไกลตา

‘พีระพัฒน์’ สูดลมหายใจรับกับอากาศในกลางดึก ในใจของเขาหวนคิดกลับไปถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อสามปีก่อน…ตอนที่เขาได้สูญเสียหญิงสาวที่เป็นที่รักที่สุดไป

‘เกด…เกด…อย่าเป็นอะไรนะเกด’

เสียงเข้มของพีระพัฒน์ในอดีตที่ร้องเรียกร่างบอบบางบนรถเข็นคนไข้ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ เวลานั้น…ทั้งแพทย์และพยาบาลหลายคนกำลังนำเธอเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน

‘อย่าเป็นอะไรไปเลยนะเกด…ฉันขอร้อง’ เขาได้แต่เอ่ยเช่นนั้นขณะที่วิ่งเกาะขอบรถเข็นติดตามไปจนกระทั่งร่างของคนรักผ่านเข้าไปในห้องฉุกเฉินก่อนที่ประตูจะปิดลง

พีระพัฒน์ไม่ได้ใส่ใจเลือดของหญิงสาวที่เลอะอยู่ตามเสื้อผ้าของเขาเลย ในความคิดยังคงนึกถึงแต่เพียงใบหน้าอ่อนหวานที่หลับตานิ่งอย่างบอกได้ว่าเธอยินยอมและพร้อมจะตายเพื่อความรัก ข้อมือของเธอมีเลือดซึมจากร่องรอยที่เธอเป็นผู้กรีดมันเองกับมือ

คิดย้อนถึงจุดนี้พีระพัฒน์เจ็บหัวใจนัก…ร่างสูงหันหลังพิงกับผนังสีขาว ดวงตาคมภายใต้เรียวคิ้วสีเข้มปิดลงเสมือนเขากำลังกล้ำกลืนความทุกข์ในใจลงไปให้หมดสิ้น…ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าเพียงเพราะความรักที่ ‘พิยะดา’ มีต่อ ‘ปฏิปักษ์’ เธอจะกล้าทำร้ายตัวเองได้ถึงขนาดนี้

เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ทั้งคู่ได้พบกันสามารถลบเลือนความรักที่เธอมีต่อเขาได้ขนาดนี้เชียวหรือ พิยะดาจะรู้บ้างมั้ยว่าคนรักเก่าเช่นเขาที่คอยกีดกันความรักของเธอกับปฏิปักษ์ให้จากกันจะเจ็บปวดมากมายเพียงใดเมื่อต้องเห็นหญิงคนรักแบ่งปันหัวใจไปให้กับใครอีกคน…ที่เป็นสายเลือดเดียวกัน!

‘ทำไมต้องทำแบบนี้…เกด…ทำไม’

พีระพัฒน์ได้แต่เอ่ยถามกับความเงียบงัน เรียวปากบางเม้มแน่น เขาขบกรามจนเป็นสันนูนเมื่อคิดถึงใบหน้าของพี่ชายต่างบิดา…คนที่แย่งชิงความรักจากผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขาไป ในใจของพีระพัฒน์ร้อนรุ่มจนแทบระเบิดเมื่อนึกไปถึงภาพคนรักกำลังมีความสุขอยู่กับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายต่างบิดา

แท้ที่จริงแล้ว…เลือดของเขาและพี่ชายอย่างปฏิปักษ์ไม่ได้เข้มไปกว่าน้ำเลยแม้สักนิดเดียว!

หลายปีก่อน เมื่อ ‘ศิววุฒิ’ หรือบิดาที่แท้จริงของปฏิปักษ์เสียชีวิตไป ‘ปาจรีย์’ ซึ่งก็คือมารดาของพีระพัฒน์และปฏิปักษ์ได้พาพี่ชายเข้ามาร่วมชีวิตภายใต้ชายคาเดียวกันโดยที่ ‘ธีระพงษ์’ ผู้เป็นบิดาของเขาก็เห็นดีด้วย เพราะสงสารลูกเลี้ยงที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่มจะไร้ที่อยู่อาศัย

ด้วยความที่ต่างคนต่างก็เป็นวัยรุ่นซึ่งเกินวัยที่จะผูกพันกันแล้ว ยิ่งนิสัยเข้าหาคนอื่นไม่เก่งและเย่อหยิ่งพอตัวยิ่งทำให้ทั้งเขาและปฏิปักษ์ไม่ได้สนิทและรักกันแนบแน่นดังเช่นพี่น้องทั่วไป

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นเพียงสมาชิกในบ้านหลังเดียวกันเท่านั้น และเมื่อปาจรีย์เสียชีวิตไปอีกคน ธีระพงษ์จึงรับอุปการะปฏิปักษ์เอาไว้ดังเช่นลูกชายคนหนึ่ง

เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่พิยะดาได้พบกับปฏิปักษ์ลับหลังพีระพัฒน์ ทั้งคู่สร้างมิตรภาพอันสวยงามโดยที่เขาไม่อาจล่วงรู้ และไม่เคยกังวลใจกับพี่ชายต่างบิดาของตนเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งเมื่อมาถึงวันที่โชคชะตาได้กำหนดให้ความเป็นพี่น้องอันบางเบาสิ้นสุดลง เขาจึงได้รู้ความจริงทุกอย่าง และไม่มีวันที่คนอย่างเขาจะยอมให้ใครได้สวมเขาอย่างง่ายๆ

การกีดกันความรักระหว่างพิยะดาและปฏิปักษ์จึงเริ่มต้นขึ้น!

สำหรับคนที่มีทั้งอำนาจ เงินตรา และอิทธิพลอย่างพีระพัฒน์ การจะทำลายใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก เขาเองคิดว่าความพยายามที่จะขัดขวางความรักของพิยะดาและปฏิปักษ์จะสามารถพรากคนทั้งสองออกจากกันได้ ทว่าทุกอย่างไม่เป็นเช่นที่เขาคิดไว้เมื่อพิยะดาตัดสินใจ…ฆ่าตัวตาย!

ความเจ็บปวดเกาะกุมหัวใจจนพีระพัฒน์ต้องกุมหน้าอก เขาไม่คิดเลยว่าพิยะดาจะคิดสั้นถึงเพียงนี้ แค่เพียงเขาไม่ยอมให้เธอคบหาและปล่อยเธอไปกับปฏิปักษ์ทำให้เธอยอมทิ้งชีวิตไปเลยเชียวหรือ

‘ทางเราเสียใจด้วยนะครับที่ไม่สามารถช่วยชีวิตคุณพิยะดาได้ ร่างกายเธอเสียเลือดไปมากครับ’

หลังจากที่นำหญิงสาวเข้าห้องฉุกเฉินพักใหญ่ๆ นายแพทย์หนุ่มชาวอเมริกันซึ่งเป็นเจ้าของคนไข้ก็แจ้งข่าวร้ายกับเขา…ทุกอย่างสายไปเสียแล้วสำหรับการทวงชีวิตของพิยะดาให้กลับคืนมา

พิยะดาเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกาในขณะที่เธอกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี แต่พิธีศพของเธอจัดขึ้นที่เมืองไทย เมื่อพิธีศพเสร็จสิ้นไปตามประเพณี…เพื่อยุติปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นปฏิปักษ์จึงออกจากคฤหาสน์ตระกูล ‘วีระวรกุล’ ไปอยู่ที่คอนโดฯ ซึ่งเป็นคอนโดฯ ที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ของธีระพงษ์ แต่สำหรับพีระพัฒน์แล้ว…ความเจ็บปวดจากการสูญเสียครั้งนั้นมันยากเหลือเกินที่จะลบเลือนไปจากใจได้

ทุกอย่างมันไม่จบง่ายๆ แบบนั้นหรอก!

หลังจากพิยะดาเสียชีวิต ทั้งพีระพัฒน์และปฏิปักษ์ต่างใช้ชีวิตราวกับเดินไปบนถนนคนละเส้น แต่วันนี้พีระพัฒน์ทนให้อดีตที่เจ็บปวดตามหลอกหลอนเขาต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาไม่อยากแบกรับความสูญเสียแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป มันคงถึงเวลาที่เขาจะเบนเส้นทางชีวิตกลับไปเดินบนทางเดียวกับปฏิปักษ์สักที

นับจากวันนี้ไป…ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ความเจ็บปวดที่เขาได้รับจากการสูญเสียในครั้งนั้น ‘ปฏิปักษ์ วีระวรกุล’ จะต้องชดใช้มันอย่างสาสม!

 

บทที่ 1

“พรหมลิขิตผิดทาง”

 

“อะไรนะคะพี่ดา งานโดนแคนเซิลเหรอคะ”

อลิตาเกือบจะตะโกนใส่หูโทรศัพท์ เธอโกรธและตกใจเมื่อได้ยินข่าวจากเลขาฯ สาวของบริษัทซึ่งกำลังออกไปดูโลเกชั่นสำหรับการถ่ายทำในสัปดาห์หน้าที่โทรเข้ามาแจ้งกับเธอที่บริษัทว่าพรีเซ็นเตอร์โฆษณางานสำคัญซึ่งตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าเขายินดีที่จะร่วมงานกันกลับมาปฏิเสธงานที่รับไปแล้วเสียดื้อๆ ทั้งๆ ที่ทางฝ่ายเธอได้เตรียมงานจนพร้อมที่จะถ่ายทำแล้ว

สาวสวยเจ้าของความสูงราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรผู้ซ่อนผิวพรรณขาวผ่องในชุดยีนทั้งชุดกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ห้องทำงานส่วนตัว ใบหน้าสวยคมในกรอบเส้นผมสีดำสนิทที่มีความยาวถึงกลางหลังกำลังไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ได้ฟัง ดวงตากลมโตภายใต้ขนตางอนยาวแบบสาวมั่นจึงมองไปเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด และจมูกโด่งรั้นของเธอก็เชิดขึ้นแบบคนไม่ยอมคน

“ค่ะ คุณพีเขาบอกว่าอีกไม่นานจะสอบแล้ว ก็เลยไม่อยากรับงานที่กระชั้นตัว จริงๆ แล้วเขาคงมีปัญหากับคุณหญิงประไพศรีด้วยจึงไม่อยากรับงานนี้”

‘ดาริกา’ ให้คำตอบที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงที่อลิตาเคยได้รับรู้มา…

เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณหญิงประไพศรีซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าของสินค้ารถยนต์นำเข้าแบรนด์หนึ่งและเป็นผู้ว่าจ้างบริษัทโฆษณาของอลิตาให้เป็นผู้ทำโฆษณาให้ ท่านยังยืนยันเองว่าสามารถจองคิวอันแน่นเอียดของ ‘พีระพัฒน์ วีระวรกุล’ ดาราหนุ่มชื่อดัง ทายาทเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ และเป็นหลานของเพื่อนสนิทคุณหญิงประไพศรีได้แน่นอน ทางบริษัทจึงติดต่อไปทางผู้จัดการส่วนตัวของพีระพัฒน์และได้รับคำยืนยันจากผู้จัดการส่วนตัวว่าเขาสามารถร่วมงานนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา

แล้วทำไมเขานึกอยากจะเบี้ยวก็เบี้ยวกันหน้าตาเฉย!

“สัญญาล่ะคะ ใช้สัญญาบังคับเขาก็ได้นี่ ยังไงทางบริษัทก็น่าจะทำสัญญากับเขาไว้แล้ว จะมาเบี้ยวกันได้ยังไง” หญิงสาวหาทางแก้ปัญหาอย่างทันด่วน อย่างไรเสียทางบริษัทของคุณหญิงประไพศรีก็น่าจะทำการเซ็นสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรกับพรีเซ็นเตอร์โฆษณาไว้อยู่แล้ว

“เซ็นสัญญาที่ไหนกันล่ะคะ ก็คุณหญิงประไพศรีเป็นคนบอกเองว่าถ้าให้เซ็นสัญญาคุณพีเขาก็คงไม่ยอมเพราะติดสัญญากันเป็นปีและเรื่องจะยุ่งยากมากความเข้าไปอีก อีกอย่างคุณหญิงท่านก็แค่อยากให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ชั่วคราวก็เลยขอเบียดคิวงานมาให้เท่านั้นค่ะ คุณหญิงเป็นคนบอกเองนะคะว่าจะรับผิดชอบเกี่ยวกับคุณพี แต่ตอนนี้คุณหญิงก็เอาคุณพีไม่อยู่แล้วเหมือนกัน พี่เองก็เพิ่งโทรไปบอกคุณหญิงก่อนจะบอกคุณลิต้านี่แหละค่ะ คุณหญิงโบ้ยมาให้เรารับผิดชอบไปเสียอย่างนั้น”

“แหงล่ะค่ะ ทีอย่างนี้ล่ะมาโบ้ยเราใหญ่”

อลิตาเริ่มปวดหัวเมื่อคิดว่างานนี้เธอต้องรับมือกับใคร…

‘พีระพัฒน์ วีระวรกุล’ ดาราหนุ่มวัยยี่สิบหกปี เขากำลังเรียนปริญญาโทอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันกับ ‘ระรินทิพย์’ น้องสาวของเธอ เขาเป็นดารา แต่นิสัยแหวกแนวที่สุดในวงการบันเทิงทั้งการพูดจาฉะฉานตรงไปตรงมา ไม่รักษาน้ำใจใคร นิสัยลึกลับ และไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร

ช่วงแรกที่เข้าสู่วงการบันเทิงชายหนุ่มมีข่าวในแง่ลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังถูกสื่อมวลชนโจมตีที่เขาไม่แคร์สื่อ แต่ไม่น่าเชื่อว่านิสัยเช่นนี้กลับเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดแฟนคลับสาวๆ จนทำให้เขายังยืนอยู่ในวงการได้ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘เจ้าชายแบดบอยของวงการบันเทิง’

การที่พีระพัฒน์คิดจะเบี้ยวงานไปง่ายๆ คงเพราะเห็นช่องโหว่ที่คุณหญิงประไพศรีไม่ได้ให้เขาเซ็นสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรกระมัง

เมื่อคิดถึงเหตุผลที่ดาราหนุ่มปฏิเสธงานกะทันหัน อลิตานึกได้เพียงเหตุผลเดียวว่าเขาคงรู้ทันความคิดของคุณหญิงประไพศรีที่หวังอะไรในตัวเขามากกว่าการลากเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา เขาจึงอาจจะตัดรำคาญโดยการให้ผู้จัดการส่วนตัวโทรมาปฏิเสธงานก็เป็นได้

อลิตาพอจะรู้มาว่าคุณหญิงประไพศรีมีหลานสาววัยไล่เลี่ยกับชายหนุ่มและเคยได้ยินพิมพ์แขผู้เป็นมารดาของเธอซึ่งท่านก็อยู่ในแวดวงสังคมคุณหญิงคุณนายพูดให้ได้ยินบ่อยครั้งว่าคุณหญิงประไพศรีหมายมั่นปั้นมืออยากหาคู่ให้หลานสาวในปีนี้ ไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมอย่างพีระพัฒน์จะอยู่ใน ‘ลิสต์’ ว่าที่หลานเขย ต่อให้เขาจะมี ‘ลุค’ ภายนอกย่ำแย่แค่ไหน แต่หน้าตาและฐานะทางสังคมนั้น ‘ดึงดูด’ ความสนใจอยู่ไม่น้อยจนทำให้ใครต่อใครก็อยากจะลองเสี่ยงกันทั้งนั้น และหนึ่งในนั้นก็เป็นคุณหญิงประไพศรีด้วย

“แล้วทีนี้จะทำยังไงดีคะคุณลิต้า งานก็เตรียมไว้แล้ว คุณหญิงประไพศรีก็ยืนยันมาแน่นอนว่ายังไงพรีเซ็นเตอร์งานนี้ก็ต้องเป็นคุณพีเท่านั้น”

“พี่ดาคุยกับเขาหรือยังคะ กับผู้จัดการส่วนตัวของคุณพีเขาน่ะค่ะ” อลิตาลองหาวิธีดูอีกทางหนึ่ง อย่างไรเธอก็คงปฏิเสธงานนี้ของคุณหญิงประไพศรีไม่ได้ ท่านเองเป็นเพื่อนกับพิมพ์แข แม้จะไม่ได้สนิทสนมกันมากแต่ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน หากปฏิเสธก็อาจจะเสียไปถึงผู้ใหญ่ด้วย

ที่สำคัญที่สุดคืองานนี้ได้เตรียมการถ่ายทำไว้แล้ว ทั้งสถานที่ เสื้อผ้า แสง ไฟ และไหนจะทีมงานอีก…ทุกอย่างมีการลงทุนลงแรงไปในจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย ยิ่งมีการเลื่อนวันและเวลาออกไปมากเท่าไหร่นั่นก็ย่อมหมายถึงการสูญเสียเม็ดเงินไปโดยเปล่าประโยชน์มากเท่านั้น

“คุยแล้วค่ะ คุณหลิว ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเองก็ลำบากใจ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าคุณพีเขาเป็นคนยังไง ไอ้เรื่องที่ว่าวงการนี้จะไม่ต้อนรับหรือใครจะรวมตัวบอยคอต เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เขาเองก็เหมือนถูกลากให้เข้าวงการโดยไม่ตั้งใจตั้งแต่แรก พี่ก็ไม่รู้จะคุยยังไงแล้วค่ะ แต่ว่า…คุณหลิวก็บอกนะคะว่าถ้าคุณลิต้าอยากคุยกับคุณพีด้วยตัวเองจะลองไปหาเขาที่คอนโดฯ ก็ได้ เธอจะช่วยเราพูดอีกแรงหนึ่ง”

“ขอที่อยู่คอนโดฯ เขาทีค่ะ ลิต้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณพีเขาจะว่ายังไงถ้าลิต้าไปคุยเอง” อลิตาแนบหูโทรศัพท์เอาไว้กับที่ไหล่ มือเรียวบางคว้ากระดาษโน้ตและปากกาบนโต๊ะทำงานมาจดที่อยู่

“วีอาร์วี* คอนโดมิเนียม สุขุมวิท…”

“อ้อ…คอนโดฯ เดียวกับลิต้าเลยนี่คะ งั้นขอเลขห้องเลยค่ะ” อลิตาวางปากกาลง ท่าทางว่าเธอกับพีระพัฒน์จะ ‘ดวงสมพงศ์’ กันไม่ใช่น้อย ถึงได้มาอยู่คอนโดฯ เดียวกันได้

“ห้อง 1307 ค่ะ ยังไงคุณลิต้าก็ค่อยๆ คุยนะคะ” ดาริกาบอกอย่างเตือนสติ เธอเองก็รู้ว่าอลิตาเป็นคนใจร้อนและ ‘แรง’ ใช่ย่อยเสียที่ไหน เวลาได้ ‘วีน’ ใครก็ไม่ยอมลงให้ง่ายๆ

“พี่ดาก็พูดอย่างกับลิต้าจะไปฆ่าใครอย่างนั้นแหละค่ะ”

“ก็พี่กลัวนี่คะ คราวก่อนไปฉะปากกับพวกลูกค้าคุณหญิงคุณนายเรื่องมาก คุณลิต้ายังเล่นซะพี่ห้ามทัพแทบไม่ทัน” ดาริกาพูดแล้วหัวเราะคิก เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์นำเสนองานกับลูกค้าเมื่อเดือนก่อนแล้วอีกฝ่ายติโน่นตินี่โดยไม่มีเหตุผลและยังพูดไม่หยุด อลิตาจึงตอกกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อทีเดียว

‘อลิตา พิพัฒน์ไพบูลย์’ หญิงสาวอายุยี่สิบห้าปี เธอเรียนจบคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการโฆษณาและประชาสัมพันธ์จากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของรัฐด้วยปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งซึ่งนับว่าเก่งพอตัว หลังจากจบการศึกษา อลิตาเปิดบริษัทโฆษณาเล็กๆ โดยได้เงินทุนจากพิมพ์แขผู้เป็นมารดา ความจริงแล้วพิมพ์แขอยากให้เธอเปิดบริษัทใหญ่ให้สมฐานะ แต่อลิตาเห็นว่าการทำเช่นนั้นก็จะยิ่งลงทุนสูงและทำให้การแข่งขันสำหรับการทำงานสูงตามไปด้วย ลำพังตัวเธอซึ่งเพิ่งจะเรียนจบใหม่ๆ อาจจะพยุงบริษัทอันยิ่งใหญ่ไว้ไม่ไหว เธอจึงอยากค่อยๆ พัฒนาบริษัทและศักยภาพในการทำงานของตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า หญิงสาวจึงยืนยันกับมารดาว่าเธอต้องการให้บริษัทเป็นไปตามความต้องการของเธอเอง

ทั้งรูปร่าง หน้าตา ความสามารถ ฐานะทางสังคม และฐานะทางการเงินที่เพียบพร้อมทำให้ชื่อของอลิตาเป็นที่รู้จักในหมู่นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงว่าเธอไม่ได้มีดีแค่สวย นับตั้งแต่อลิตาเปิดบริษัท ผลงานที่นำเสนอออกไปอย่างต่อเนื่องทำให้ชื่อเสียงบริษัทโฆษณาเล็กๆ แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพเป็นที่รู้จักในวงการโฆษณาเป็นอย่างดี ที่สำคัญไม่ใช่เพียงบริษัทเท่านั้นที่เป็นที่รู้จักแต่เจ้าของบริษัทที่ทั้งสาว ทั้งสวยและเก่งอย่างอลิตาก็เป็นจุดสนใจของหนุ่มทั้งในและนอกวงการโฆษณาไม่แพ้กัน

“เชื่อเถอะค่ะ ลิต้าไม่ฆ่าใครหรอก ท่าทางว่าถ้าลิต้าทำอะไรเขา แฟนคลับเขาคงมาถล่มบริษัทเรา แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวลิต้าจะออกไปคุยกับเขาแล้ว ยังไงถ้าพี่ดามีปัญหาอะไรก็โทรมาหาลิต้านะ”

“ทางสถานที่ถ่ายทำไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่ถ้ามีอะไรด่วนพี่จะโทรไปหาก็แล้วกัน”

เมื่อดาริกาวางสายไป อลิตาถึงกับถอนหายใจ ก่อนจะคว้ากระเป๋าหนังสีขาวขึ้นมาสะพายแล้วเดินไปยังลานจอดรถ ขับรถยนต์สีขาวคู่ใจมุ่งหน้าไปยังคอนโดฯ ที่หมาย…

 

เป็นอันรู้กันว่าเวลาเลิกงานถนนสายสุขุมวิทรถติดแสนติดเพียงใด แม้จะมีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินมาช่วยในเรื่องการเดินทางของประชาชนให้สะดวกขึ้น แต่ก็ไม่อาจทอนรถยนต์ที่เบียดแน่นบนท้องถนนได้เท่าไหร่นัก อลิตามองนาฬิกาข้อมือสลับกับถนนที่คับคั่งไปด้วยรถยนต์แน่นขนัดอย่างร้อนใจ ‘ลีลาวดี’ หรือ ‘หลิว’ ผู้จัดการส่วนตัวของพีระพัฒน์โทรมาเร่งแล้วเร่งอีกว่าให้อลิตารีบไป เพราะชายหนุ่มกำลังจะออกจากคอนโดฯ หลังจากนี้คงหาโอกาสคุยกันได้ยาก แต่จะให้เธอรีบได้อย่างไรในเมื่อรถติดขนาดนี้

“ไฟเขียวได้สักที”

หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเมื่อสัญญาณไฟเขียวกะพริบขึ้น มือเรียวบางเอื้อมไปขยับเกียร์รถ แต่ไม่ทันที่รถจะออกตัวด้วยซ้ำ เธอก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหันเพราะรถยนต์สีดำสุดหรูเลี้ยวปาดหน้าออกจากซอยอย่างชำนาญ นอกจากจะปาดหน้ารถเธอแล้วยังปาดหน้ารถคันข้างหน้าขึ้นไปอย่างมีชั้นเชิง

“คนไร้มารยาท!”

อลิตาเม้มริมฝีปากอิ่มแดงแน่นเพื่อข่มอารมณ์ แต่สายตากลับจ้องไปที่รถคันนั้นจดจำหมายเลขทะเบียนได้ติดตา เลขสวยๆ แบบนี้คงได้มาจากการประมูลและจำง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร

หญิงสาวผงกศีรษะเล็กน้อยแสดงการขออนุญาตกับรถอีกคันที่เธอกำลังจะขอแซง มือเรียวบางหมุนพวงมาลัยพลางเตรียมเลี้ยวเข้าไปปาดหน้ารถยนต์สีดำเจ้ากรรมที่เพิ่งจะแซงหน้าเธอไปก่อนหน้านี้ แต่ทันใดนั้นเอง! รถยนต์คันดังกล่าวก็เร่งความเร็วขึ้นจนอลิตายั้งเท้าที่กำลังเร่งความเร็วไว้ไม่ทัน

รถยนต์สีขาวจึงโดนรถยนต์สีดำเลขทะเบียนสวยชนท้ายเข้าอย่างจัง!

“ซวยบรรลัย!” หญิงสาวสบถพร้อมกับถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เธอมองกลับไปที่รถยนต์คันหลังด้วยความหงุดหงิดใจ แต่ไม่ทันไรก็ถูกเขาบีบแตรไล่อีก

ไร้มารยาทอย่างถึงที่สุด!

อลิตาคิดในใจพลางขับรถไปจอดชิดริมถนนซึ่งน่าจะจอดคุยกันได้โดยที่ไม่ทำให้รถติดไปมากกว่านี้และไม่ทำให้ผู้ร่วมถนนคนอื่นเดือดร้อนมากนัก ไม่นาน…รถยนต์สีดำคันหรูหราตัดกับนิสัยไร้มารยาทของผู้เป็นเจ้าของก็มาจอดเทียบอยู่ข้างหลังในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

หญิงสาวก้าวลงจากรถพร้อมๆ กับคู่กรณีซึ่งเป็นชายหนุ่มสวมชุดสูทสีดำ เนี้ยบทั้งคัตติ้งและแพตเทิร์น…มองปราดเดียวอลิตาก็รู้ทันทีว่าสูทชุดนี้ราคาแพงบรม

“ขอโทษทีนะคะ ฉันไม่ทันระวัง” หญิงสาวคุมสติเอ่ยปากขอโทษอย่างรู้ตัวว่าผิด เธอไม่อยากมีเรื่องให้ต่อความยาวสาวความยืด ธุระกับพีระพัฒน์สำคัญสำหรับเธอมากกว่าเรื่องรถ “รถคุณมีประกันมั้ยคะ”

“รับผิดชอบหน่อยสิคุณ!” เสียงเข้มตอบกลับมาอย่างไม่พอใจพร้อมกับเจ้าของเสียงได้ถอดแว่นกันแดดสีชาซึ่งปกปิดนัยน์ตาสีนิลเข้มออกไป

ชายหนุ่มใช้นัยน์ตาทรงอำนาจจ้องมองนิ่งๆ อลิตาก็ถึงกับสูดลมหายใจเข้าปอดระงับอารมณ์ไว้อย่างถึงที่สุด ว่ากันตามจริงเขาก็มีส่วนผิดไม่ได้น้อยกว่าเธอ การที่เธอยอมลงให้ก่อนนอกจากไม่เกิดผลดีแล้วยังเป็นผลร้ายที่ทำให้คนไม่สำนึกอย่างเขาโบ้ยความผิดมาให้เธอแต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ

มันจะไม่มากไปหน่อยหรือไง!

“เกิดอุบัติเหตุก็ต้องเรียกประกันมาเคลียร์สิคะ หรือคุณจะเอายังไง”

“แต่กรณีนี้คุณผิด จะให้ผมเรียกประกันมาให้เสียประวัติผมเหรอ”

“แต่ฉันก็ขอโทษคุณไปแล้วนี่คะ จะเอายังไงอีก อันที่จริงเราก็ผิดกันคนละครึ่ง ฉันยอมคุณถึงขนาดเป็นคนขอโทษก่อนก็น่าจะคุยกันง่ายๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

“อ้อ…นี่ตกลงจะโยนความผิดให้ผมด้วยอย่างนั้นสินะ”

คราวนี้อลิตาขมวดคิ้วอย่างทนไม่ได้ที่ชายหนุ่มมองไม่เห็นความผิดของตัวเองสักนิด เขาน่ะใช่ย่อยที่ไหน เรื่องที่ขับรถปาดหน้ารถเธอก่อนหน้านี้เธอยังไม่ได้ว่าเขาสักคำ แล้วดูเขาสิ! ว่าเธอไม่หยุดเลย

“ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับคุณมากมายนักนะคะ ฉันมีนัดสำคัญต้องรีบไป” อลิตาพยายามพูดให้เขาใจอ่อนแม้ว่าเธอจะหงุดหงิดเขาแค่ไหนก็ตาม “แล้วตกลงว่าคุณจะโทรเรียกประกันหรือไม่เรียกคะเนี่ย”

“ผมก็ไม่ได้ว่างพอจะมีเวลามาเถียงกับเด็กอย่างคุณเหมือนกัน”

“เอ๊ะ! นี่คุณว่าใครเด็ก!”

อลิตาชักเย็นไม่อยู่เมื่อคนตัวสูงเอาแต่ต่อว่าเธอไม่หยุดไม่หย่อน หญิงสาวจิกดวงตากลมโตมองเขาอย่างเอาเรื่อง แล้วต้องนิ่งค้างเมื่อได้จ้องหน้าคู่สนทนาอย่างชัดเจน

ความทรงจำเธอพอจะรื้อฟื้นได้รางๆ ว่าเคยเห็นเขาตามหน้านิตยสารชื่อดังอยู่บ่อยครั้ง

ชายหนุ่มเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้าหล่อเหลาลงตัว ทั้งจมูกโด่งเป็นสัน รูปหน้าคมคาย และดวงตาสีนิลขรึมภายใต้เรียวคิ้วที่รับกับทุกส่วนมันส่งให้ดวงตาคมเปี่ยมเสน่ห์ลึกลับจนได้รับฉายาจากหญิงสาวทั้งประเทศว่าเป็นผู้ชายที่ ‘ผู้หญิงต้องสยบเพียงแค่สบตา’ และยังได้รับการโหวตให้เป็นหนุ่มในฝันของสาวๆ ทั้งประเทศ พ่วงด้วยตำแหน่งหนุ่มเซ็กซี่ที่สาวๆ อยากกอดในปีนี้อีกด้วย

แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ค่อยรู้สึกรู้สาใดๆ กับตำแหน่งเหล่านี้เท่าไหร่นัก สำหรับเขา…สาวๆ ที่ผ่านการนอนเตียงเดียวกันมาแล้วไม่มีสิทธิ์จะได้ขึ้นเตียงอีกเป็นครั้งที่สอง!

เขาคือ ‘ปฏิปักษ์ วีระวรกุล’

นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีมันสมองเข้าขั้นอัจฉริยะ ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจเมื่อตอนอายุยี่สิบสองปีซึ่งในขณะนั้นเขาจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากคณะบริหารธุรกิจที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และหลังจากเรียนปริญญาโทที่อเมริกาโดยใช้เวลาสองปี เขาก็กลับมาเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทยโดยใช้เวลาเพียงสองปีก็จบการศึกษาทั้งๆ ที่ในขณะที่เรียนอยู่เขาก็ทำงานไปด้วย ไม่เพียงแต่เขาจะมีความสามารถในด้านการศึกษา หากแต่ในเรื่องการทำงาน…ในวงการธุรกิจเองต่างก็รู้ดีว่าเสือหนุ่มรูปงามอายุยี่สิบแปดปีผู้นี้ไม่ธรรมดา

“โอเค้ เรื่องที่ว่าคุณเด็กผมขอโทษแล้วกัน แต่เรื่องรถของผมนี่ผมคงไม่ให้บริษัทประกันมารับผิดชอบแน่” ชายหนุ่มจ้องร่างเพรียวบางที่ยืนประจันหน้ากัน ทั้งรูปร่างและหน้าตาเธอก็จัดว่าสวยใช่เล่น แต่ทำไมปากถึงแว้ดได้แว้ดดีก็ไม่รู้ ตอนแรกเขาก็กะจะเรียกประกันให้เธออยู่หรอกนะ…

แต่เห็นท่าทางเอาแต่ใจและจองหองแล้วมันน่าดัดนิสัยซะให้เข็ด!

“แล้วคุณจะเอายังไงล่ะคะ”

“คุณต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถของผม”

“ฉันนี่นะต้องรับผิดชอบ คุณเป็นคนขับรถมาชนท้ายรถฉันเองนะ”

“แล้วใครใช้ให้คุณขับมาปาดหน้ารถผมล่ะครับ”

“ก็คุณปาดหน้ารถฉันก่อน!”

“ดี…งั้นก็ยืนรอกันตรงนี้แหละ อีกเดี๋ยวตำรวจจราจรคงสงสัยว่าคุณกับผมจอดรถยืนเถียงกันทำไม” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มร้ายกาจและเลือดเย็นสมกับเป็นคนฉลาดแกมโกงที่สุด “กว่าจะเคลียร์เสร็จก็คงเกือบหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ คุณก็โทรไปแคนเซิลนัดสำคัญได้เลยนะ”

อลิตาถึงกับเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงเมื่อเธอแบไพ่และจุดอ่อนให้เขาเห็นจนหมด ชายหนุ่มจึงใช้มันมาเป็นข้อต่อรองกับเธออย่างไร้ความปรานีเช่นนี้

เพราะรู้ว่าเธอรีบ เขาจึงแกล้ง ‘ยียวน’ และยกข้ออ้างเรื่องเวลามาต่อรอง!

“จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา” สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องจำยอมอย่างทนไม่ได้ ท่าทางร้ายกาจอย่างผู้ชายคนนี้ต่อให้ตำรวจจราจรมาเคลียร์หรือต่อให้เรียกประกันมาจัดการเธอก็คงต้องมีเรื่องคุยกับเขาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่นอน บอกตรงๆ ว่าเธอไม่อยากเถียงกับเขาให้เสียเวลาและเสียสุขภาพจิตอีกแล้ว

“แค่นี้แสนหนึ่งคงจะพอ”

“คุณจะบ้าเหรอ!” หญิงสาวหันไปถลึงตาใส่เขาเมื่อได้ยินราคา “หน้ารถยุบไปนิดเดียว สีถลอกไม่กี่เซ็นต์ คุณจะเอาไปแสนหนึ่ง ขอโทษเถอะนะ! จะรีดไถกันเกินไปหน่อยมั้ยคะ”

“รถผมคันเป็นสิบๆ ล้านนะคุณ ไม่ใช่บาทสองบาท” ปฏิปักษ์โต้กลับโดยไม่ต้องคิด ทำเอาร่างเล็กชักสีหน้าใส่ ดวงตากลมโตเหลือบมองสำรวจรถของเขาที่บ่งบอกราคาไม่ต่างจากที่เขาบอกเธอนัก

หญิงสาวเดินเข้าไปหยิบกระเป๋า เซ็นเช็คอย่างลวกๆ กลับมาส่งให้เขาพร้อมนามบัตร

“เอาไปหมื่นเดียว ไม่พอก็โทรมาหาฉัน” มือเรียวบางส่งนามบัตรและเช็คที่เซ็นเรียบร้อยให้กับร่างสูงที่กำลังยืนทำหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะราคาที่ลดจากแสนมาเป็นแค่หมื่น “รับไปสิ ฉันต้องไปธุระต่อ”

อลิตายัดนามบัตรและเช็คใส่มือของร่างสูง ก่อนกลับไปทิ้งตัวลงที่รถแล้วขับออกไปอย่างไม่สนใจคู่กรณีอีกเลยแม้แต่นิดเดียว ปฏิปักษ์จะเรียกเธอไว้หรือโทรไปต่อว่าตามหมายเลขบนนามบัตรก็รู้สึกว่าจะไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไหร่ในเมื่อเธอตั้งใจจะ ‘ชิ่ง’ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าระอาใจ

ชายหนุ่มหันไปสนใจรอยบนรถยนต์ของตนแล้วถอนหายใจเฮือกยาว อันที่จริงเขาเองไม่ได้ติดใจอะไรกับอุบัติเหตุครั้งนี้มากนักหรอก เขารู้ว่าตนเองก็มีส่วนผิด แต่ท่าทางหยิ่งๆ และปากอันถือดีของหญิงสาวนั้นปลุกปั่นอารมณ์เขาให้หงุดหงิดไม่ใช่เล่น เขาเองไม่ใช่คนยอมคนจึงต้องโต้ตอบกลับไปบ้าง

ใครจะไปคิดว่าหญิงสาวจะ ‘ชิ่ง’ หนีไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น

“อลิตา พิพัฒน์ไพบูลย์…”

ปฏิปักษ์ยิ้มที่มุมปากเมื่ออ่านนามบัตรที่อยู่ในมือ แววตาคมมองตามรถยนต์คันสีขาวไป อารมณ์ขุ่นเคืองเมื่อครู่นี้จางหายไปในพริบตา เขาไม่นึกเลยว่า…จะได้เจอกับสาวใจหินที่หนุ่มๆ ในวงการนักธุรกิจพูดถึงด้วยตาของตัวเอง…ที่แท้เธอก็ทั้ง ‘เด็ด’ ทั้ง ‘ดื้อ’ อย่างที่คนอื่นเขาพูดกันจริงๆ!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: