X
    Categories: ขันทีเจ้าดวงใจทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย ขันทีเจ้าดวงใจ เล่ม 1 บทที่ 3

บทที่สาม

 

ยังโชคดี เรื่องที่กัวอ้ายเป็นกังวลไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องด้วยกลุ่มเด็กบนรถม้าคันที่นางนั่งมาล้วนแต่ได้รับการชำระกาย* กันมาแล้วเมื่อตอนถูกจับมารวมกันในที่ว่าการขุนนาง ก่อนเข้าวัง ขันทีประจำห้องชำระกายเองก็ดึงเด็กออกมาตรวจเพียงไม่กี่คน ทำให้นางรอดพ้นไปได้

ภายในวังหลวง สถานที่ที่ขันทีขั้นต่ำอาศัยอยู่มีความเรียบง่ายสมถะมาก ห้องหนึ่งห้อง ซ้ายขวาปูเบาะรองนอนยาวสองผืน เบาะรองนอนยาวผืนหนึ่งกะดูแล้วต้องนอนไม่ต่ำกว่าสิบคน ทุกคนมีผ้าห่มหนึ่งผืน หมอนหนึ่งใบ นอนเบียดเสียดกัน

ในวันแรก ต้องคอยฟังเสียงกรน เสียงกัดฟันของผู้อื่น ดมกลิ่นเชื้อราที่ไม่รู้มาจากที่ใด กัวอ้ายนอนตาค้างหลับไม่ลงทั้งคืน นางนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินเพื่อนเล่าตอนไปเป็นทหาร เขาเล่าว่าผู้ชายกลุ่มใหญ่นอนด้วยกันนั้นน่ารังเกียจเพียงใด ตอนนั้นนางยังนึกยินดีที่ตนเองเป็นผู้หญิง ไม่ต้องไปเป็นทหาร คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางเองก็กำลังได้สัมผัสถึงรสชาติเช่นนั้น

เพียงเรื่องเดียวที่มีค่าพอให้ยินดีก็คือนางหาน้องชายของหวังหมัวมัวพบแล้วอย่างรวดเร็ว

หวังลู่เป็นข้าหลวงใหญ่ของหน่วยอาภรณ์ อยู่ในวังหลวงถือได้ว่ามีอำนาจบารมีอยู่บ้าง เพียงได้พบหน้าและได้ฟังถึงฐานะของนาง รวมเข้ากับจดหมายที่หวังหมัวมัวเขียนด้วยลายมือตนเองฉบับนั้นซึ่งนางหยิบออกมาจากเครื่องรางคุ้มครองด้วยแล้ว เขาก็ปฏิบัติต่อนางไม่ต่างจากญาติสนิท คอยดูแลจัดแจงนางให้มาอยู่ในหน่วยอาภรณ์

ถึงแม้สถานที่พักไม่อาจเรียกได้ว่าดีนัก อีกทั้งไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นเพียงขันทีขั้นต่ำที่เพิ่งจะเข้าวังมา แต่หวังลู่ก็ยังจัดแจงให้นางได้นอนในตำแหน่งข้างกำแพง ที่นอนข้างกันเป็นขันทีผู้มีร่างกายค่อนข้างบอบบาง หน้าตาสุภาพเรียบร้อย นิสัยดีมากคนหนึ่งมีนามว่า ‘หวังเจิ้น’

ชาติกำเนิดของหวังเจิ้นค่อนข้างน่าสงสาร เดิมบิดาเป็นบันฑิตซิ่วไฉ** ผู้หนึ่ง เด็กทุกคนในบ้านล้วนเคยเรียนหนังสือกันมาหลายปี โดยเฉพาะหวังเจิ้นที่โดดเด่นที่สุด บิดายังคิดให้เขาเข้าเมืองหลวงมาสอบบัณฑิตในภายภาคหน้า เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล มิคาดว่าเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งหนึ่งจะทำให้ทั้งบิดามารดาน้องชายน้องสาวของหวังเจิ้นตายไปจนหมด เขาอาศัยการขอทานมาจนถึงเมืองหลวงเพื่อพึ่งพิงญาติ ไม่นึกว่าน้าสาวจะไม่ต้อนรับ สุดท้ายยังขายเขามาเป็นขันที

ความเป็นมารดาในตัวกัวอ้ายถูกกระตุ้น เกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าสงสาร ทั้งหวังเจิ้นเข้าวังมาก่อนนาง คอยสอนกฎระเบียบให้นางมากมาย นับได้ว่าสิ่งที่หวังเจิ้นกระทำถือเป็นการดูแลนางอยู่

นับแต่นั้นในใจกัวอ้ายก็มองหวังเจิ้นเป็นดั่งน้องชาย ถึงแม้ว่าจากภายนอกแล้วหวังเจิ้นจะอายุมากกว่านาง แต่วิญญาณของนางเป็นถึงหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าปี ทำความรู้จักกันนานหลายเดือนเข้า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนับวันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ

กัวอ้ายค่อยๆ คุ้นชินกับชีวิตในวังหลวง เพียงแต่บางครั้งที่นึกถึงท่านหมอเจียงขึ้นมาก็จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ทั้งเกรงว่าผู้สูงอายุจะเป็นห่วงตนจนเป็นทุกข์ไม่ต่างจากคราวของชูรื่อ แต่กระนั้นนางก็ต้องเก็บซ่อนอารมณ์ของตนเองให้มิดชิดที่สุด อยู่ในวังย่อมแตกต่างจากการอาศัยนอกวัง โดยเฉพาะฐานะของนางที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง จะให้ใครรู้ถึงตัวตนของนางไม่ได้เป็นอันขาด

“ก้อนนี้ให้เจ้า ก้อนนี้ให้ข้า ก้อนนี้ให้เจ้า ก้อนนี้…” กัวอ้ายนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง นำขนมเปี๊ยะบนผ้าเช็ดหน้าสีม่วงแบ่งไปบนผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินอีกผืนที่วางอยู่ด้านหน้าหวังเจิ้น ปากพึมพำ

“ชูรื่อ ข้ากินชิ้นเดียวก็พอแล้ว ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ชายารัชทายาทประทานให้เจ้า เจ้าอย่าได้แบ่งให้ข้าจนหมด” หวังเจิ้นรู้สึกไม่ดี อยากคืนขนมเปี๊ยะให้อีกฝ่าย ไม่นึกว่าเพิ่งยกมือขึ้น หลังมือก็ถูกฟาดลงมา

“จะมาเกรงใจพี่สา…เอ้อ พี่ชายด้วยเหตุใดกัน บอกว่าให้เจ้าก็คือให้เจ้า พวกเราพี่น้องมีสุขร่วมแบ่ง” กัวอ้ายลอบด่าตนเองในใจ นางเป็นขันทีมาร่วมเดือนแล้ว ยังขยันลืมสถานะในตอนนี้ของตนเองอยู่บ่อยๆ

ถึงแม้ร่างซูลี่ที่นางอาศัยมาเกิดใหม่จะมีรูปลักษณ์งดงาม ผิวก็ขาว ทั้งมีดวงตากลมโตสุกใสคู่หนึ่ง ดูไปไม่คล้ายบุรุษ แต่ในวังเองก็มีขันทีอายุยังน้อยอยู่มาก ท่าทางล้วนอ้อนแอ้น ต่อให้นางงดงามโดดเด่นกว่าพวกเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากพอจะทำให้เกิดความสงสัย รวมกับสายรัดหน้าอกที่พันทบ ยากจะแยกแยะว่านางเป็นบุรุษหรือสตรี

แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือนางจะต้องไม่พูดผิดอีก

“ชูรื่อ เจ้าช่างดีต่อข้าจริงๆ” หวังเจิ้นพูดไป ขอบตาก็แดงระเรื่อขึ้นมา

ถึงจะบอกว่าเขาเองก็อยู่หน่วยอาภรณ์ แต่งานที่ทำกลับมีเพียงงานธรรมดาชั้นล่างทั่วไป เป็นบ่าวที่ไม่มีเจ้านายคนใดเรียกใช้ มีตำแหน่งในวังต่ำที่สุด และชวนให้ผู้คนดูถูกที่สุด คนมากมายไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์รังแกเขาได้

ไม่เหมือนชูรื่อ แม้จะเพิ่งเข้ามา แต่ได้ยินว่ามีความเป็นมาบางอย่างกับหวังลู่กงกง เรื่องที่เพิ่งมาถึงแล้วสามารถเข้ามาทำงานในหน่วยอาภรณ์ได้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หน้าที่ที่ทำยังเป็นการส่งอาภรณ์ให้แก่เหล่าบรรดาพระสนมในแต่ละตำหนัก นอกจากจะสามารถโผล่หน้าไปให้เหล่าเจ้านายได้เห็นแล้ว ยังได้รับของเล่นหรือขนมกินเล่นกลับมาบ่อยครั้ง

ประกอบกับที่ชูรื่อเป็นคนปากหวาน ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของพระสนมหลายๆ คน โดยเฉพาะหวังกุ้ยเฟย* ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน อีกทั้งชายารัชทายาทแห่งวังบูรพาก็ยิ่งชื่นชอบเขามากเป็นพิเศษ บรรดาบ่าวในวังที่ถนัดอ่านสีหน้าผู้อื่นเป็นที่สุดต่างพากันประจบประแจงชูรื่อ ไม่มีใครสักคนกล้าเอาเปรียบเขา ทุกคนล้วนกำลังคาดเดา ผ่านไปสักพักชูรื่อจะต้องถูกหวังลู่กงกงเลื่อนตำแหน่งไปอยู่ที่ตำหนักใดสักตำหนัก ตำแหน่งในวันข้างหน้ามีแต่ยิ่งปีนป่ายยิ่งสูง

เมื่อนึกถึงว่าคนเช่นนี้เต็มใจทำดีกับตนเอง ถึงขั้นเรียกตนเป็นพี่เป็นน้อง ในใจหวังเจิ้นก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง

“โตๆ แล้ว ยังจะร้องไห้อีก” กัวอ้ายยิ้มแย้มบีบแก้มหวังเจิ้นไปมา บางทีนางก็รู้สึกว่าน้องชายคนนี้ช่างคล้ายน้องสาวเสียจริงๆ “รีบกินๆ ข้าขอยืมตัวเจ้ามาจากหยางกงกงแค่ครึ่งชั่วยาม** เท่านั้นเอง”

หยางกงกงเป็นคนที่คอยรับผิดชอบดูแลหวังเจิ้น นางหาข้ออ้างส่งๆ ไปว่าหวังลู่ต้องการให้นางพาหวังเจิ้นไปทำงานหนึ่งด้วยกัน แล้วขอยืมตัวคนออกมา เหตุผลก็เพื่อให้หวังเจิ้นได้ชิมของที่ชายารัชทายาทประทานให้นาง เป็นขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยที่ยังร้อนๆ อยู่ ช่วยไม่ได้ สิ่งนี้หากเย็นแล้วจะไม่อร่อย นอกจากนี้บางทีหยางกงกงก็มักเอาเปรียบหวังเจิ้น ชอบตั้งใจส่งเขาไปทำเรื่องไร้สาระที่เปลืองแรงไปโดยเปล่าประโยชน์

“นี่…เจ้าตามตัวข้าออกมาเช่นนี้ จะเป็นเรื่องลำบากหรือไม่” เขาเป็นห่วงนางขึ้นมา ถ้าเกิดหยางกงกงพูดเรื่องนี้กับหวังกงกงขึ้นมา เช่นนั้นชูรื่อก็มีความผิดข้อหาหลอกลวงแล้ว

กัวอ้ายโบกมืออย่างไม่ใส่ใจสักนิดเดียว “ไม่เป็นไรๆ หวังกงกงเอ็นดูข้า ไม่มีทางพูดอะไรหรอก”

ในความเป็นจริง ต่อให้หวังลู่รู้เรื่องแล้วก็ไม่มีวันเปิดโปงนาง เพราะว่าคนแสนดีคนนั้นไม่เพียงปฏิบัติต่อนางไม่ต่างกับญาติสนิท กอปรกับที่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวที่มู่ซื่อเหลือทิ้งเอาไว้ ยิ่งกล่าวสาบานว่าจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดี ในภายหลังนางถึงได้รู้ว่าสองพี่น้องสกุลหวังมีชีวิตวัยเด็กร่อนเร่อยู่ตามถนน แล้วได้ตายายของซูลี่ช่วยเหลือเอาไว้ หวังลู่มีไหวพริบฉลาดเฉลียว คิดว่าในเมื่อต้องทำงานเป็นบ่าวอยู่แล้วไม่สู้เข้าวังไปเลยยังมีอนาคตมากกว่า วันเวลาเคลื่อนคล้อย รู้สึกตัวอีกทีหวังลู่เองก็อยู่ในวังมาเกือบยี่สิบปีแล้ว

“เอาล่ะๆ ข้าต้องไปทำงานแล้ว เจ้ากินเสร็จแล้วก็กลับไปหาหยางกงกงทางด้านนั้น ถ้าเจ้าแอบหนีไปเล่นที่อื่นขึ้นมานี่สิ ข้าถึงจะเป็นเรื่อง” กัวอ้ายนำผ้าเช็ดหน้าห่อขนมเปี๊ยะซุกกลับเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนตบบ่าหวังเจิ้น ขยับกายลุกขึ้นยืน

“ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้าอยู่แล้ว” หวังเจิ้นรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเอง จากนั้นจึงถามด้วยความประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “อีกสักพักเจ้าจะไปทำงานที่ตำหนักใดกัน”

ขณะสวมรองเท้า กัวอ้ายก็ตอบกลับอย่างจนใจ “เจ้าไม่ต้องหวังแล้ว สถานที่ที่ข้ากำลังจะไปไม่มีของดีอะไรให้หยิบหรอก”

หวังเจิ้นหน้าบาง ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาแล้ว “ข้าไม่ได้ต้องการของดีอะไรจากเจ้า หนหน้าไม่ต้องแบ่งของสิ่งใดให้แก่ข้าแล้ว…”

กัวอ้ายหันกลับมา แล้วใช้สองมือบีบแก้มของเขา หัวเราะคิกคักเอ่ย “มาทำเป็นโกรธอะไร พี่ชายผู้นี้เพียงล้อเล่น เจ้าไม่ได้บอกว่าภายภาคหน้าต้องการเป็นขันทีรักษาลัญจกรประจำหน่วยตรวจฎีกาหรอกหรือ ผิวหน้าบางถึงเพียงนี้จะเป็นได้อย่างไร”

ทั้งสองคนมักจะพูดคุยเล่นกันก่อนนอนเสมอ พูดถึงเรื่องอนาคต เรื่องครอบครัว แต่ว่าโดยส่วนมากมักเป็นหวังเจิ้นที่พูด กัวอ้ายกลัวตนเองหลุดปากพูดอะไรออกไป ดังนั้นส่วนใหญ่จึงทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี

ได้ยินดังนั้นหวังเจิ้นก็รีบร้อนเอามืออุดปากชูรื่อ กล่าวด้วยความกังวล “เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถพูดพล่อยๆ ได้ เกิดผู้อื่นได้ยินเข้า หน้าที่การงานข้าอาจถึงคราวจบสิ้นได้!”

ท่าทางเช่นนี้ของเขา กัวอ้ายรู้สึกว่าน่าขันนัก ขยับมือดึงมือที่ปิดปากนางออก “ไม่เป็นไรหรอก ที่นี่ก็ไม่ได้มีผู้อื่นเสียหน่อย”

หวังเจิ้นมองไปรอบๆ หลังยืนยันว่าไม่มีคนอื่นจริงๆ แล้วถึงผ่อนลมหายใจออกมา “ถูกเจ้าทำให้ตกใจแทบตาย”

“กังวลอะไร พี่ชายผู้นี้…”

“ชูรื่อ เจ้าอายุน้อยกว่าข้าชัดๆ”

กัวอ้ายเคาะศีรษะเขาไปที “อายุนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้เป็นข้าที่ดูแลเจ้าไม่ใช่หรืออย่างไร เอาเถอะๆ ขืนคุยกับเจ้าต่อ พี่สาวอวี้เซียงจะต้องโกรธแน่ๆ”

หวังเจิ้นขมวดคิ้ว ถามด้วยความไม่เข้าใจ “เรื่องนี้ยังมีเกี่ยวอะไรกับพี่สาวอวี้เซียงกัน” อวี้เซียงเป็นนางกำนัลในวังหวงไท่ซุน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดชูรื่อถึงได้พูดถึงนางขึ้นมาในตอนนี้

กัวอ้ายโบกมือไปมา พร้อมเดินตรงไปยังประตูห้อง ก่อนจะก้าวเท้าออกไปนางถึงเอ่ยขึ้นมาอย่างมีเลศนัยหนึ่งประโยค “อีกประเดี๋ยวข้าจะต้องไปทำงานที่วังหวงไท่ซุนน่ะสิ!”

หา?

สีหน้าหวังเจิ้นยิ่งสับสนหนักขึ้นไปอีก

วังหวงไท่ซุน? ตำหนักที่หวงไท่ซุนพำนักอยู่? ชูรื่อจะไปทำอะไรที่นั่น

 

วังหวงไท่ซุนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวังหลวง ตัวตำหนักทั้งหลังนั้นเสาหลักเป็นสีแดงอมส้ม กำแพงสีแดง หลังคากระเบื้องสีเหลือง ที่กำแพงเรือนนอกวังบริเวณประตูหลัก แขวนแผ่นป้ายพื้นน้ำเงินอักษรทอง ลงลายอักษร ‘วังหวงไท่ซุน’ สี่คำ

มุมหนึ่งภายในสวนดอกไม้ของวังหวงไท่ซุน กัวอ้ายประคองลูกนกไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง นางหายใจเข้าหนหนึ่ง แล้วจึงปีนต้นไม้ขึ้นไปต่อ จนกระทั่งอยู่ห่างจากรังนกไปเพียงหนึ่งช่วงแขนถึงได้หยุดลง

นางไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อยว่าตนเองจะตกลงไป สมัยก่อนเวลากลับไปบ้านยายที่ทางใต้ นางก็มักปีนต้นไม้เหมือนอย่างตอนนี้อยู่บ่อยๆ

แน่นอนว่าตอนนั้นนางย่อมไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งตนเองจะได้มาปีนต้นไม้ทั้งในชุดนางกำนัล

นางกำนัล? มิผิด! ที่นางสวมอยู่ในตอนนี้ก็คือชุดกระโปรงพลิ้วไหวของนางกำนัล!

เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนนางไปส่งอาภรณ์ให้แก่ชายารัชทายาทในช่วงเช้า ก่อนกลับนางเจออวี้เซียง นางกำนัลในวังหวงไท่ซุนที่มาจัดการธุระให้พระองค์ จากนั้นทั้งสองคนก็กลับออกมาด้วยกัน

อวี้เซียงเป็นคนเปิดเผยคนหนึ่ง หลังทั้งสองคนทำความรู้จักกันมาสักพัก ก็มักมาพูดคุยเล่นกับนางอยู่บ่อยๆ ยามนั้นอวี้เซียงกำลังบ่นโกรธเคืองถึงการเป็นข้ารับใช้ในวังหวงไท่ซุนว่าลำบากกว่าที่วังอื่นเป็นไหนๆ

วังหวงไท่ซุนเป็นที่พำนักของจูจันจี เขาเป็นผู้ที่โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันทรงโปรดปรานมากที่สุด ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ทรงโปรดเขามากเสียยิ่งกว่ารัชทายาท เครื่องแต่งกายรวมถึงเรื่องอาหารการกินล้วนดูแลดีกว่าในทุกด้าน การทำงานของบรรดานางกำนัลขันทีจึงต้องยิ่งระมัดระวังมากขึ้น

ถึงแม้จากตำแหน่งนางกำนัลของอวี้เซียงแล้วนางยังไม่มีหน้าที่รับใช้หวงไท่ซุนโดยตรง แต่การทำงานภายใต้บรรดาข้าหลวงใหญ่กับหมัวมัวที่จุกจิกเข้มงวด ก็ทำให้นางพบเจอเรื่องราวมากมายมาเยอะเกินพอ ทุกครั้งที่มาเจอกัวอ้าย อวี้เซียงจึงมักพูดว่าอิจฉางานสบายๆ ของนาง

ถึงแม้กัวอ้ายเองจะรู้ว่างานที่ตนทำเป็นงานสบายในสายตาคนอื่นๆ แต่ความลำบากที่ซ่อนอยู่เป็นอะไรที่คนนอกสามารถเข้าใจได้เสียที่ไหนกัน สตรีนั้นชอบเปรียบเทียบอาภรณ์ เปรียบเทียบเครื่องประดับ ต้องตระเวนไปทั่วระหว่างพระสนมในแต่ละตำหนัก ทั้งต้องพยายามไม่ให้ไปล่วงเกินฝ่ายในตำหนักใด นางเองก็ไม่ต่างจากการเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบาง* เช่นเดียวกัน

สุดท้ายนางกับอวี้เซียงพูดคุยกันไปๆ มาๆ ผลดันมาสรุปที่ว่ามิเช่นนั้นไม่ลองให้กัวอ้ายไปสัมผัสความลำบากของนางกำนัลที่วังหวงไท่ซุนดูสักวัน ตัวกัวอ้ายเองก็วู่วามไปชั่ววูบ ไม่ทันคิดให้ดีก็ตอบตกลงไปเสียแล้ว

อย่างไรก็แค่ไปเป็นนางกำนัลหนึ่งวัน ขอเพียงนางระมัดระวังเสียหน่อยก็ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

นางที่เดิมทีควรจะยุ่งวุ่นวายไปทั่วด้านในตำหนัก แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก มือเท้างุ่มง่ามของนางกลับทำของหล่นเป็นหนที่สอง ในที่สุดนางก็ถูกหมัวมัวของวังหวงไท่ซุนขับไล่ออกมา ให้ไปกวาดใบไม้อยู่ในสวนดอกไม้ โชคยังดีที่หมัวมัวคนนั้นเพียงคิดว่านางเป็นนางกำนัลที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มิเช่นนั้นเหตุการณ์เช่นนี้มีโอกาสถูกรายงานไปถึงทางด้านหวังลู่แล้ว

ยามนั้นอวี้เซียงยังกะพริบตาปริบๆ ใส่นาง ทำหน้าตาท่าทางบ่งบอกว่า…ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า

นางยังรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ว่าหมัวมัวของวังหวงไท่ซุนไม่ได้มีความจู้จี้อยู่ในระดับปกติทั่วไปจริงๆ ตอนนี้นางได้มากวาดใบไม้อยู่ที่นี่แทน ก็นับได้ว่าโล่งหูไปมากทีเดียว

ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่าง เมฆสีขาวบริสุทธิ์ ลมอ่อนๆ พัดโชยมาเบาๆ นางกวาดไปกวาดมา กลับกวาดไปโดนลูกนกที่ตกลงมาอยู่บนดินโคลนเข้า เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ถึงได้พบว่าบนต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะมีรังนกอยู่รังหนึ่ง

นางหันมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีนางกำนัลหรือขันทีคนอื่นอยู่ก็โยนไม้กวาดทิ้ง ประคองนกน้อยด้วยมือข้างเดียวแล้วเริ่มปีนขึ้นต้นไม้ไป ชั่วขณะนั้นมืออีกข้างขยับพันเกี่ยวไปกับลำต้น ลมก็พัดโบกผ่านร่างไปมา ให้ความรู้สึกเหมือนหากเพียงไม่ระมัดระวังขึ้นมาก็จะสามารถตกลงไปได้ทุกเมื่อ…

กัวอ้ายในตอนนั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าในสวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ยามนี้ไม่มีขันทีและนางกำนัลเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว อีกทั้งหลังจากนั้นไม่นานบุรุษหน้าตาโดดเด่นรูปงามผู้หนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้

จูจันจีเพิ่งออกมาจากห้องฝึกยุทธ์ หลังจากที่เขาปลดปล่อยอารมณ์ไปกับการฝึกยุทธ์รอบหนึ่ง การแสดงออกบนใบหน้านั้นจึงกลับมาเฉยชาเฉกเช่นยามปกติ มีเพียงในแววตาเบื้องลึกที่เปิดเผยอารมณ์ของเขาออกมาเล็กน้อย

เช้าวันนี้พระปิตุลาทั้งสองทำเกินไป กล้ามาพูดต่อหน้าพระอัยกาว่าพระบิดารวบรวมบัณฑิตเพื่อตีแผ่ความผิดของพระองค์ โดยมีเจตนาจะเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลเพื่อบีบบังคับให้พระอัยกาสละราชสมบัติ โชคดีที่พระอัยกาสืบเรื่องราวกระจ่างชัด ทั้งไม่ได้ลงโทษอะไร มิฉะนั้นตำแหน่งรัชทายาทของพระบิดาคงยากจะรักษาเอาไว้ได้

พอคิดแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัด อารมณ์โกรธที่ข่มลงไปปะทุกลับขึ้นมาอีกครั้ง

เสียงตึง! ดังขึ้น เขาต่อยเข้าไปที่ลำต้นของต้นไม้หนึ่งหมัด

กัวอ้ายถูกการกระทำนี้ทำให้ตกใจ มือขวาที่โอบลำต้นไม้คลายออก นางที่กำลังไถลลงไปข้างล่างรู้สึกถึงลูกนกในมือที่กำลังลื่นหลุดจากมือแล้ว จึงรีบร้อนตะโกนเสียงดัง “นั่นใครกัน รีบรับมันเร็วเข้า!”

จูจันจีได้ยินเสียงแล้วพลันขมวดคิ้วเข้าหากัน ใจต้องการตวาดว่า ‘บังอาจ!’ ออกมา ทว่าพลันรู้สึกตัวว่าเสียงนั้นลอยลงมาจากบนศีรษะจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง เป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องมาโดนโดยตรง ทำให้เขาต้องหรี่ตาลง มองเห็นเพียงของชิ้นเล็กอย่างหนึ่งกำลังตกลงมาในแนวดิ่ง เมื่อยื่นมือออกไปรับ สัมผัสที่รู้สึกได้ทำให้เขานิ่งอึ้งไปอีกครั้ง

นี่คือ…นก?

เขาไม่ได้มองไปยังสิ่งของในมือทันที เพราะว่าสายตาของเขาถูกสตรีที่ห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ดึงดูดไปก่อนแล้ว

เป็นเพราะอารมณ์ไม่ดี เขาจึงไม่อนุญาตให้บรรดาขันทีและนางกำนัลคอยติดตามรับใช้ ถึงขั้นสั่งคนมาทำให้สวนดอกไม้วังหวงไท่ซุนปราศจากผู้ใดด้วยอยากอยู่อย่างสงบๆ มิคาดว่ากลับมีนางกำนัลมิกลัวตายคนหนึ่งกล้ามาขโมยลูกนกจากรังที่อยู่บนต้นไม้! แม้แต่เขาเข้ามาใกล้แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นางกำลังขโมยลูกนกอย่างเพลิดเพลินเพียงใด

เกินไปแล้ว!

เขาไม่เคยเจอข้ารับใช้ที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าถึงเพียงนี้มาก่อน

กำลังคิดจะเปล่งเสียงตำหนิ แต่สายตาเขาพลันมองเข้าไปในดวงตากลมโตสุกใสคู่หนึ่งเข้า เมื่อครู่เป็นเพราะแสงอาทิตย์ เขาจึงมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ตอนนี้เมื่อดวงตาปรับเข้ากับแสงได้แล้ว ถึงได้รู้สึกตัวว่านางกำนัลขวัญกล้าผู้นี้รูปโฉมงดงามมิใช่น้อย นางมีดวงตาใสกระจ่างคู่โต จมูกโด่ง ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพู ยังมีผิวขาวนวลที่โดดเด่นเหนือผู้ใด แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่นับเป็นอะไร ที่พิเศษกว่าก็คือยามนางยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นกลับดึงดูดผู้คนถึงที่สุด สามารถทำให้คนมองมองจนตกอยู่ในห้วงภวังค์ได้…

เมื่อมองเห็นนกน้อยอยู่ในมือของชายผู้นั้นโดยปลอดภัย กัวอ้ายจึงผ่อนลมหายใจพร้อมกับแย้มยิ้มงามออกมาอย่างอดไม่ได้ เพียงแต่สักพักต่อมานางก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้นางกำลังใช้สองขารัดไว้กับลำต้นของต้นไม้ถึงได้ไม่ถึงขั้นตกลงมาหัวร้างข้างแตก แต่ท่าทางเช่นนี้เองก็ไม่ได้สบายสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางเองก็ไม่ได้มีแรงมากพอจะอดทนอยู่บนนี้ได้นาน

กัวอ้ายขยับสายตาขึ้นไปจากนกน้อย พอดีกับที่เจ้าของดวงตาใต้ต้นไม้คู่นั้นเองก็กำลังมองตรงมาที่นาง กัวอ้ายจึงหัวเราะฝืดเฝื่อนพลางเอ่ย “คือว่า…ขออภัยด้วย ข้าในตอนนี้ไม่สามารถลงไปเองได้ ท่านสามารถไปหน่วยอาภรณ์ตามหากงกงคนหนึ่งชื่อหวังลู่มาช่วยข้าได้หรือไม่”

จูจันจีขมวดคิ้ว วังหลวงเข้มงวดเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันระหว่างนางกำนัลกับขันทีมาโดยตลอด ด้วยว่ามีขันทีบางส่วนที่แม้หมดความต้องการด้านร่างกายไปแล้ว แต่ยังปรารถนาความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาและทำเรื่องมั่วโลกีย์ในตำหนักใน นางกำนัลที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ขอร้องเขา เขาสามารถเข้าใจได้ หากไม่พูดถึงเรื่องที่ทั้งสองคนไม่รู้จักกัน ก็ยังมีประเด็นที่บุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิดกันอีก นางเองก็ควรจะหลบเลี่ยง แต่กลับให้เขาตามขันทีผู้หนึ่ง…

กัวอ้ายเองไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนถึงเพียงนั้น นางเพียงคิดซื่อๆ เรียกหาคนที่รู้จักมาช่วยนาง แต่เห็นบุรุษใต้ต้นไม้ไม่ขยับตัวสักนิด ก็อดที่จะร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ “ท่านมัวเหม่ออะไรอยู่ ไม่คิดจะช่วยก็พูดมาสักคำ ข้าจะเลือดคั่งในสมองอยู่แล้ว”

“เลือดคั่งในสมอง?” จูจันจีเลิกคิ้ว เขาเพิ่งเคยได้ยินศัพท์คำนี้เป็นครั้งแรก

“ไม่มีเวลาจะมาอธิบายให้ท่านฟังแล้ว หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าเรียกคนอื่นเอง” นางไม่มีอารมณ์จะมาพูดดีๆ ด้วย และอ้าปากเตรียมจะส่งเสียงร้องเรียกคน

“รอเดี๋ยว” จูจันจีวางนกน้อยในมือลง ก่อนจะกางสองแขนออก “วันนี้ข้าจะทำตัวเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ช่วยแม้กระทั่งเจ้าไปด้วย”

“ท่าน?” กัวอ้ายแววตาสงสัย ตำแหน่งที่นางอยู่ตอนนี้พูดได้ว่าสูงก็ไม่สูง ต่ำก็ไม่ต่ำ รวมเข้ากับน้ำหนักและความเร็วแล้ว เขาจะรับนางได้จริงหรือ

“อะไร ไม่เชื่อข้าหรือ เช่นนั้นก็ดี เจ้าลองตะโกนเรียกดูแล้วกัน เพียงแต่เมื่อครู่ตอนเดินเข้ามา แม้แต่คนในวังข้ายังไม่เจอใครสักคน หากเจ้าช่วยตนเองยังจะมีประโยชน์มากกว่า” กล่าวจบจูจันจีก็ลดแขนที่กางออกลงขยับเท้าเตรียมจากไป

“เดี๋ยวก่อน!” หนนี้เปลี่ยนเป็นกัวอ้ายเรียกให้เขาหยุด “พี่ชายท่านนี้อย่าเพิ่งโกรธ ข้าไม่ได้สงสัยท่าน เพียงแค่รู้สึกไม่ดีที่จะรบกวน หากท่านยินยอมยื่นมือมาช่วยข้า ข้า…ย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด” นางเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

การแสดงออกของนางนับว่ามีชีวิตชีวา หนำซ้ำท่าทางประจบประแจงเช่นนี้เปลี่ยนไปเป็นข้ารับใช้คนอื่นทำ เขาเห็นแล้วคงนึกรังเกียจ แต่ที่ปรากฏบนใบหน้าของนางตอนนี้ยังค่อนข้างดู…น่ารัก เบื้องลึกในแววตาจูจันจีปรากฏรอยยิ้มพาดผ่านวูบหนึ่ง อารมณ์ไม่ดีของเขาเมื่อครู่พลันสลายไปหมดเพราะนางกำนัลผู้ดื้อรั้นคนนี้

เขายกมือขึ้นลูบคางพิจารณาว่าจะช่วยนางดีหรือไม่

ทว่ากัวอ้ายอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ขานางล้า หัวก็เริ่มหมุน ดังนั้นถึงได้เปลี่ยนสำเนียงเป็นวิงวอนร้องขออย่างน่าสงสาร “พี่ชายท่านนี้ พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่าช่วยหนึ่งชีวิตได้กุศลมากกว่าก่อเจดีย์เจ็ดชั้น หนำซ้ำหากข้าตายอยู่ใต้ต้นไม้นี้ ดีไม่ดีฝ่าบาทอาจยังกล่าวโทษที่ท่านดูดายคนใกล้ตายไม่ช่วยเหลือ ทำให้วังหวงไท่ซุนแห่งนี้เกิดเรื่องอัปมงคลขึ้น”

ด้วยนางเห็นว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีฟ้านวลดูสะอาดบริสุทธิ์ บนศีรษะเองก็ไม่ได้สวมเครื่องประดับที่บ่งบอกยศสูงส่งอย่างเช่นหมวกทองคำ นางเลยคิดไปว่าเขาไม่น่าใช่เจ้านายของตำหนักใด

จูจันจีเองก็ไม่ได้ไม่สบอารมณ์ เพียงแค่ประหลาดใจที่ในตำหนักตนเองมีนางกำนัลที่ทั้งน่าสนใจและขวัญกล้าเช่นนี้อยู่ สาวน้อยผู้ช่างเจรจาพาทีผู้นี้ถึงกับนำพระอัยกามากดดันเขา ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก

ทว่ายามนี้เองที่เขาสังเกตเห็นว่าใบหน้านางแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น เขาจึงไม่คิดจะหยอกเย้านางอีกต่อไป สองแขนกางออกมาอีกครั้ง

“กระโดดเถอะ ไม่ต้องห่วง สาวน้อยตัวเล็กๆ แบบเจ้าเช่นนี้ต่อให้มากันเป็นคู่ข้าก็ยังรับไหว”

กัวอ้ายมองท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยมของเขาแล้วตัดสินใจเด็ดขาด นางหลับตาลง จากนั้นคลายขาทั้งสองข้างที่พันเกี่ยวรอบลำต้นอยู่ออก

“อ๊าย…” ความรู้สึกยามตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงทำให้นางกรีดร้องออกมาอย่างอดไม่อยู่ เพียงแค่เสียงเพิ่งหลุดออกมาจากปาก นางก็ร่วงหล่นเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นอย่างมั่นคงแล้ว

เมื่อประเมินนางในระยะใกล้ๆ จูจันจียิ่งรู้สึกว่าองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของนางช่างงดงาม ขนตาที่ขยับไหวเบาๆ ดูบอบบางและน่าสงสาร ทำให้ส่วนลึกในหัวใจเขามีความรู้สึกอ่อนโยนที่ไม่คุ้นเคยสายหนึ่งปัดผ่าน เขาเอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงรักใคร่ทะนุถนอมโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว “ลืมตาได้แล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว ดูซิหนหน้าเจ้ายังจะกล้าปีนขึ้นไปขโมยลูกนกอีกหรือไม่”

ได้ยินคำพูดนี้ นางลืมตาขึ้นทันทีก่อนจะกล่าวอธิบาย “ข้าไม่ได้ต้องการขโมยลูกนกเสียหน่อย ข้า…” ประโยคที่เหลือขาดหายไปภายใต้นัยน์ตาพราวระยับด้วยรอยยิ้มคู่นั้น

เมื่อครู่นางคิดเพียงว่าบุคลิกของเขาช่างดูดี ทว่าพอมองใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ยังเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง แต่ว่า…นี่เขากำลังหัวเราะเยาะนางอยู่ใช่หรือไม่

“ไม่ได้ขโมยลูกนก?” จูจันจีปล่อยนางให้ลงยืนกับพื้นดีๆ จากนั้นยกนกน้อยที่ถูกเขาวางไว้ด้านข้างขึ้นมา “หลักฐานล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว เจ้ายังคิดแก้ตัว หรือเจ้าไม่รู้ว่าต้นไม้ทุกต้นดอกไม้ทุกดอกในวังหวงไท่ซุนล้วนมีรับสั่งจากฝ่าบาทให้คัดเลือกมาอย่างดีที่สุด ทุกชีวิตที่สืบพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาท…”

ให้เขาพูดมากกว่านี้ต่อไป โทษหมิ่นประมาทเบื้องสูงคงถูกโยนใส่หัวนางแน่แล้ว กัวอ้ายจึงรีบเอ่ยขัดจังหวะเขาทันที “ข้าต้องการนำมันกลับขึ้นไปยังรังนกบนต้นไม้ เมื่อครู่ตอนที่ข้ากำลังกวาดพื้น เห็นว่ามันตกมาอยู่บนดินโคลน นกตัวน้อยถึงเพียงนี้จะต้องยังบินไม่ได้แน่ๆ ข้าเลยนึกอยากช่วยเหลือมัน ใครจะไปรู้ว่ามีคนหุนหันแบบท่าน อยู่ๆ ก็เข้ามาชกลำต้น ข้าถูกการกระทำของท่านทำให้ตกใจถึงได้เผลอปล่อยมือ” พูดจบนางก็อดมองเขาทีหนึ่งด้วยสายตาไม่พอใจมิได้

ข้าหุนหัน?

จูจันจีรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง จึงเงยหน้ามองไปยังรังนกบนต้นไม้อีกครั้ง เพียงสะกิดปลายเท้าทีหนึ่ง มือยกลูกนกที่ตกลงมาขึ้นเหนือศีรษะ เขาก็ลอยสูงจากพื้นนำนกน้อยกลับไปส่งยังรังบนต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะค่อยๆ กลับลงมายืนที่เดิม

กัวอ้ายนัยน์ตาเบิกกว้าง นึกขึ้นมาได้ทันที “กำลังภายในท่านดีถึงเพียงนี้ ไฉนเมื่อครู่ถึงไม่บินขึ้นไปช่วยข้าเสียเลยเล่า”

จูจันจียักไหล่ “เมื่อครู่ข้าไม่ทันคิด” ความจริงเขารู้สึกว่าท่าทีตอบสนองของนางน่าสนใจดีถึงได้จงใจแกล้งนาง

คนโกหก! ยังมีคนที่ลืมว่าตนเองมีกำลังภายในได้ด้วยหรือ

กัวอ้ายไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่ก็ไม่คิดเถียงกับเขาต่อแล้ว นางเบ้ปากกล่าว “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ช่วยชีวิต ผู้น้อยยังมีเรื่องให้ทำอีก ต้องขอตัวก่อนแล้ว”

“รอเดี๋ยว” จูจันจีเอ่ยถามขึ้น “เจ้าชื่ออะไร”

กัวอ้ายส่ายหน้า “มีวาสนาจึงได้พานพบ…มิหนำซ้ำข้าเองยังไม่ได้ถามว่าท่านเป็นใคร ชื่ออะไร” นางไม่คิดอยากสร้างปัญหาให้กับหวังลู่ จะปลอมชื่อส่งๆ มาสักชื่อก็ไม่ดี รายชื่อขันทีและนางกำนัลในวังล้วนมีบันทึกไว้ เดี๋ยวจะเผลอไปโดนชื่อของใครเข้า

จูจันจีหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “นี่จะเหมือนกันได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ถามชื่อผู้มีพระคุณ นับเป็นความเสียมารยาทของเจ้า ผู้มีพระคุณถามชื่อเจ้าขึ้นมาก่อน เจ้ายังไม่ยอมตอบ ก็นับได้ว่าเป็นคนลืมบุญคุณ ตอนนี้ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าที่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าต้องการส่งนกน้อยกลับรังก็เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อปกปิดความผิด”

กัวอ้ายถูกเขาตำหนิโดยไม่อาจตอบโต้ได้เลยแม้แต่น้อย คิดไปคิดมาแล้ว นางจึงอ้าปากอย่างลังเล “เช่นนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านผู้มีพระคุณ ท่านบอกข้าก่อนว่าท่านเป็นใคร ข้าค่อยแลกความลับตนเองกับท่านหนึ่งข้อ” นางจะต้องยืนยันตัวตนของเขาก่อน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าควรบอกความจริงมากเท่าไร

“ได้ เช่นนั้นเจ้าฟังให้ดีล่ะ ในวังหวงไท่ซุนนี้ข้าเป็นถึงองค์…องครักษ์ลับขององค์ชายนามว่าจันฉีซื่อ” เขาจงใจลากประโยคให้ยาว เพื่อคิดชื่อขึ้นมาให้ตนเอง

ตอนได้ยินถึง ‘ในวังหวงไท่ซุนนี้ข้าเป็นถึงองค์…’ เพียงไม่กี่คำนี้ กัวอ้ายก็ตกใจจนขนลุกชัน รอจนได้ยินคำว่า ‘องครักษ์ลับ’ สองคำนี้ นางถึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาได้

มารดามันเถอะ ทำนางตกใจแทบตาย ยังคิดไปว่าตนมีตาแต่ไม่รู้จักภูเขาไท่ซาน* ตายได้อย่างไรยังไม่รู้ตัว

ภายหลังจึงคิดถึงชื่อของเขาขึ้นมา…เขาบอกว่าเขาชื่ออะไรนะ ฉีซื่อ**?

“ฮ่าๆ ฉีซื่อ? ฮ่าๆ เช่นนั้นข้าถือเป็นอะไร ท่านช่วยข้า ข้าก็คงเป็นองค์หญิงแล้วใช่หรือไม่” นางหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

“มีอะไรน่าขำกัน” ท่าทางเช่นนั้นของนางทำราวกับว่าเขาพูดเรื่องตลกมากออกมา ที่สำคัญคือนางได้ยินฐานะที่เขาสมมติขึ้นมาแล้ว แต่กลับไม่มีท่าทีประหลาดใจอะไร เพียงแค่หัวเราะออกมาเสียงดัง? ประหลาดเกินไปแล้ว! “ข้าบอกว่าข้าเป็นองครักษ์ลับ เจ้าฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร”

คนมีความรู้ทั่วไปสักหน่อยย่อมเข้าใจ องครักษ์ลับนอกจากดูแลความปลอดภัยให้เจ้านายแล้ว ยังอาจได้รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบเรื่องของผู้อื่น ขอเพียงเขาพูดความลับของใครสักคนขึ้นมาต่อหน้าเจ้านาย ต่อให้เป็นเรื่องเท็จก็ล้วนมีโอกาสทำให้คนผู้นั้นจบชีวิตลงได้

เขาหลงคิดว่าพูดฐานะนี้ออกไป ถึงแม้จะต่ำกว่าฐานะเดิมของตนเองไปมาก แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนเคารพกลัวเกรง คิดไม่ถึงว่านางกำนัลผู้นี้กลับมองเห็นฐานะขององครักษ์ลับเป็นเรื่องตลก

“เข้าใจแล้วๆ ท่านเป็นองครักษ์ลับ ทั้งยังเป็นอัศวิน” นางตบบ่าเขาหนหนึ่ง “ขอร้องล่ะ หนหน้าท่านพูดจาอย่าได้พูดเว้นวรรคเช่นนี้อีก ท่านไม่รู้หรือว่าคนหลอกคนสามารถทำให้คนตกใจตายได้”

นางลดเกราะป้องกันในใจไปหมดแล้ว ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเช่น ‘เพื่อนร่วมงาน’ ของตนเอง

โดยพื้นฐานแล้วกัวอ้ายแยกแยะองครักษ์ลับกับองครักษ์ทั่วไปไม่ออก ในสายตานางแล้วพวกเขาล้วนเป็นผู้คุ้มกันที่มีวิทยายุทธ์ คอยรับมือกับผู้บุกรุก ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน

จูจันจีมองนางครั้งหนึ่ง มั่นใจเต็มเปี่ยมว่านางไม่กลัวเขาจริงๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่านางช่างน่าสนใจ

เขาเหล่มองนาง “ต่อให้ข้าเป็นองครักษ์ลับ แต่ก็ถือว่ามียศศักดิ์ นางกำนัลตัวเล็กๆ อย่างเจ้าช่างไร้มารยาทเกินไปแล้วจริงๆ ที่ไร้มารยาทที่สุดคือเป็นถึงนางกำนัลกลับมาทำตัวรุ่มร่ามกับบุรุษ ไม่เหมาะสมเกินไปแล้ว”

ถึงแม้เขาจะไม่ได้รังเกียจสัมผัสของนาง แต่พอคิดว่านางอาจทำเช่นนี้กับผู้อื่นด้วยเช่นกัน ก็รู้สึกว่าตนเองควรสั่งสอนนางเสียหน่อย

เพราะข้าเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่สามารถเล่นทะเลาะวิวาทกับพวกผู้ชายได้อย่างไรเล่า กัวอ้ายกระจ่างใจดี คำพูดเช่นนี้แน่นอนว่าไม่อาจพูดออกไปให้คนในยุคสมัยนี้ฟังได้

นางมองซ้ายมองขวาสักพัก ทำเหมือนกำลังยืนยันว่าไม่มีคนจริงๆ แล้วถึงกดเสียงต่ำลงเอ่ย “เช่นนั้นถ้าบอกว่าข้าเองก็เป็นบุรุษล่ะ”

“เจ้าพูดจาไร้สาระอันใดกัน” นี่ใช่เขาฟังไม่ชัดเองหรือไม่

“ข้าบอกว่าความจริงข้าเป็นบุรุษ…เอ้อ พูดให้ชัดๆ คือเป็นครึ่งเดียวแล้ว!” นางจีบนิ้วมือพลางเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “สถานภาพที่แท้จริงของข้าคือขันที”

ขันทีไม่นับเป็นบุรุษโดยสมบูรณ์กระมัง ถึงจะบอกว่านางเองก็ไม่ได้เป็นขันทีจริงๆ แต่ต้องเปิดปากบอกบุรุษอื่นว่าตนเองเป็นขันทีที่ไม่มีของสำคัญแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“เหลวไหล” ต่อให้หนนี้ได้ยินกระจ่างแจ้งชัดเจน ความรู้สึกของจูจันจีก็บอกว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังโกหก

ในสายตาของเขานางเป็นนางกำนัลโฉมงามคนหนึ่งชัดๆ จะกลายเป็นขันทีไปได้อย่างไร

“เป็นความจริงสิ บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าจะแลกความลับของข้ากับท่าน ข้าจะหลอกท่านด้วยเหตุใด” นางรีบร้อนอธิบาย แน่นอนว่ายังแอบรู้สึกผิดอยู่บ้าง เพราะคำพูดที่เป็นจริงที่สุดนั้นนางไม่สามารถพูดได้

ในเมื่อไม่ว่าอย่างไร ระหว่าง ‘ข้าคือซูลี่ คนที่สมควรถูกฆ่าทว่าหนีรอดมาได้’ กับ ‘ฉันเป็นคนยุคปัจจุบันมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด’ ล้วนไม่อาจดีเทียบกับ ‘ข้าเป็นขันที’ ได้

“แต่เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้า…” เขาเหลือบมองหน้าอกนางคราหนึ่ง ต่อให้รู้สึกว่าลำบากจะพูดออกไปเพียงใด แต่ก็ยังฝืนทนพูดออกมา “ถึงแม้จะเล็กไปสักหน่อย แต่ตอนที่ข้ากอดเจ้าเมื่อครู่ก็ยังรู้สึกได้…”

รู้สึกได้ถึงอะไร

กัวอ้ายก้มลงมองหน้าอกตนเองโดยสัญชาตญาณ นางนิ่งไปสักพัก มุมปากก็ขยับขึ้น รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏชัด สุดท้ายจึงหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ

“ฮ่าๆๆๆ หน้าอกของข้า…ฮ่าๆ” นางหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว

จูจันจีเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เคยพบเห็นสตรีเช่นเจ้ามาก่อน หน้าอกตนเองเล็กแล้วยังหัวเราะอย่างมีความสุขถึงเพียงนี้ได้”

ขอร้องล่ะ ตัวข้าหญิงสาวผู้นี้ต่อให้ข้ามมิติมาอยู่ในร่างเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ได้พิสูจน์ด้วยตาตนเองแล้วว่าเด็กน้อยคนนี้มีของดีอยู่ เพียงแค่ถูกห่อเอาไว้ ไม่มีโอกาสแสดงหลักฐานเท่านั้นเอง

แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้นางเองก็ไม่สามารถบอกเขาได้เช่นกัน

กัวอ้ายไอออกมาเบาๆ สองสามหนแล้วนางก็ปรับสีหน้าตนเองให้กลับมาดูจริงจัง เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกว่ามีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างต้องพูดให้ชัดเจน ให้ท่านเข้าใจข้าผิดเช่นนี้ ข้าเองรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง”

“ดังนั้นแล้ว?” ท่าทางเช่นนี้ของนาง ไฉนถึงได้ทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

“ดังนั้นข้าจะให้ท่านเห็นหน้าอกข้าด้วยตาตนเอง…”

 

ในศาลารับลมบริเวณสวนดอกไม้ของวังหวงไท่ซุน คุณชายผู้สวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้านวลกับสตรีในชุดนางกำนัลกำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่

จูจันจีเห็นนางเปิดสาบเสื้อออกโดยไม่ลังเลสักนิดก็โง่งมไปแล้ว ต่อให้เขาเคยฝ่าลมฝ่าฝนมามาก แต่ก็ไม่เคยพบเห็นใครกล้าเปิดสาบเสื้อเช่นนี้ ยิ่งเป็นสตรีในห้องหอ…บุรุษ?!

เป็นบุรุษหรอกหรือ!

“เจ้า…” ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี

กัวอ้ายนำผ้าเช็ดหน้าที่ห่อขนมเปี๊ยะวางลงบนโต๊ะ แล้วจัดสาบเสื้อกลับมาให้เรียบร้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงจะพูดว่านางยังสวมเสื้อตัวในอีกชั้นหนึ่ง แต่หน้าอกที่แบนราบถึงเพียงนี้จะต้องทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้แน่ๆ

นางหยิบขนมเปี๊ยะที่แตกออกเป็นส่วนๆ ขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วขยับยิ้มมุมปาก กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงจนใจ “อืม ขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยที่ชายารัชทายาทประทานให้ โดดเด่นที่มีรสหวานกลิ่นหอม ที่สำคัญคือมีขนาดใหญ่กว่าขนมเปี๊ยะทั่วไปถึงสองเท่า…เอาเถอะๆ อย่างไรท่านก็คงยังรังเกียจว่ามันเล็ก ฮ่าๆ”

เทียบกับกัวอ้ายแล้ว จูจันจีหัวเราะไม่ออกโดยสิ้นเชิง

เขาตื่นตระหนกกับเรื่องที่สตรีโฉมงามตรงหน้ากลับกลายเป็นบุรุษมากเกินไป…

นี่นับได้ว่าน่าเสียดายเกินไปแล้วจริงๆ

“นี่ ท่านเป็นอะไรไป” นางใช้ข้อศอกสะกิดคนที่นิ่งอึ้งไปแล้วโดยสมบูรณ์ผู้นี้

“เจ้า…เจ้าเป็น…จริงๆ” ต่อให้ยังคงสงสัย แต่เขาก็เชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว

ได้ยินดังนั้นกัวอ้ายก็พลันจับข้อมือของเขาดึงมาใกล้หน้าอกตนเอง กล่าวอย่างใจกว้างยิ่ง “ท่านต้องการพิสูจน์ด้วยตนเองหรือไม่” ถึงอย่างไรต่อให้เขาสัมผัสก็สัมผัสได้เพียงชั้นผ้าหนาๆ ที่นางพันไว้เท่านั้นอยู่แล้ว

จูจันจีรีบร้อนชักมือตนเองกลับมา “ไม่ต้องแล้ว เห็นท่าทางของเจ้าเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเป็นสตรี สตรีทั่วไปที่ใดจะกระโดกกระเดกได้เช่นเจ้า”

ถึงจะบอกว่านี่เป็นคำพูดที่นางต้องการจะได้ยิน แต่ไฉนนางถึงรู้สึกว่าตนเองถูกว่ากล่าวอยู่! กัวอ้ายเคี้ยวขนมเปี๊ยะไปพร้อมกับคิดอย่างไม่พอใจไปด้วย

“เจ้าเป็นขันทีของตำหนักใด เหตุใดถึงมาแต่งกายเป็นนางกำนัลอยู่ที่นี่” จากการสังเกตเขาก็ยืนยันได้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนในตำหนักตนเอง เนื่องจากข้าหลวงใหญ่และหมัวมัวของวังหวงไท่ซุนให้ความสำคัญกับกฎระเบียบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางสั่งสอนให้เกิดขันทีขวัญกล้าแต่งกายเป็นหญิงออกมาได้อย่างแน่นอน วังหวงไท่ซุนของเขา พระอัยกามักจะเสด็จมาหาเป็นบางโอกาส หากไม่ระวังให้ดีอาจมีโอกาสต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูงเข้า ฉะนั้นคนผู้นี้จะต้องเป็นขันทีใหม่ของตำหนักอื่นอย่างแน่นอน ถึงได้ใจกล้าบ้าบิ่นเพียงนี้

ได้ยินเขาถามเช่นนี้ นางก็ไม่ได้อ้าปากตอบคำถามในทันที เพียงแค่เพิ่มความเร็วมือหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นสุดท้ายกินลงไป ตามด้วยเช็ดมือไปมาแล้วจึงลุกขึ้นยืน

“เจ้าทำอะไร” เขาไม่เข้าใจการกระทำอันหุนหันของนาง

“เหมือนที่ท่านเดา ข้าไม่ใช่ขันทีของตำหนักนี้ แอบออกมานานถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าข้าควรจะกลับไปได้แล้ว” นางปัดเศษขนมเปี๊ยะบนร่างตนเอง ก่อนเอ่ยอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยมิได้ใส่ใจตอบคำถามเขาแต่อย่างใด

“แต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า”

“ข้าเพียงรับปากแลกความลับกับท่านหนึ่งข้อ ส่วนเรื่องที่ว่าข้าเป็นข้ารับใช้ของตำหนักใด ชื่อว่าอะไรนั้น ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบอกท่าน” นางพูดไปพลางถอยไปแล้วหลายก้าว

“เจ้า…”

“เอาอย่างนี้ หากหนหน้าพวกเรายังมาเจอกัน ก็ค่อยแลกเปลี่ยนความลับกันอีกทีก็แล้วกัน!” นางโบกมือไปมา ก่อนจะวิ่งหายลับไปในพริบตา

ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าคนที่ชื่อ ‘ฉีซื่อ’ ผู้นี้นับได้ว่าไม่เลวเลย แต่ว่าถึงอย่างไรอย่าได้สร้างเรื่องมากมายด้วยการรู้จักกับคนที่มียศตำแหน่งหรือฐานะพิเศษเลยจะดีกว่า

จูจันจีมองเงาร่างนั้นหายลับไปจากสายตาด้วยความนิ่งอึ้ง ในใจเขาเต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอยากแต่งนางกำนัลสักคนเข้าตำหนัก ทว่าฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายกลับเป็นขันที หนำซ้ำยังมีท่าทีต้องการอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด

ยามก้มหน้าลง จูจันจีเห็นผ้าเช็ดหน้าสีม่วงที่ขันทีน้อยวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ

เขาหยิบขึ้นมาสะบัดเศษอาหารให้ร่วงหล่น ก่อนมองไปที่ผ้าเช็ดหน้าแล้วยิ้มออกมา

อย่างไรเสียเขาก็ไม่เชื่อว่าในวังหลวงแห่งนี้ยังมีคนที่เขาจูจันจีตามหาไม่เจอ!

* ชำระกาย หมายถึงการตัดเครื่องเพศเพื่อเป็นขันที

** การสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านจะได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา

* ลำดับศักดิ์ของสตรีในวังสมัยโบราณ โดยทั่วไปเรียงตามลำดับดังนี้ หวงโฮ่วหรือฮองเฮา (อัครมเหสี) ถือเป็นประมุขของฝ่ายใน แต่ในรัชกาลหนึ่งอาจไม่แต่งตั้งใครขึ้นเป็นก็ได้ รองลงมาคือหวงกุ้ยเฟย (อัครเทวีหรือมเหสีฝ่ายซ้าย) กุ้ยเฟย (อัครชายา) ชายาชั้นเฟย (ราชชายา) เจ้าจอมชั้นผิน (พระสนมเอก) เจ้าจอมชั้นกุ้ยเหริน (พระสนม) รองจากนั้นคือนางกำนัล และนางในทั่วไปซึ่งแบ่งชั้นและมีคำเรียกแตกต่างตามยุคสมัย

** ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง

* เหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบาง หมายถึงต้องปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง

* มีตาแต่ไม่รู้จักภูเขาไท่ซาน หมายถึงคนที่มีความรู้น้อย ประสบการณ์น้อย แม้คนเก่งกาจ มีฐานะตำแหน่งสูง หรือคนมีชื่อเสียงมาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ยังไม่รู้จัก คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ‘มีตาหามีแววไม่’

** ฉีซื่อ พ้องเสียงกับคำที่แปลว่าอัศวิน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: