บทที่สี่
วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่งเมฆขาวลอยละล่อง ทั้งยังมีลมเบาๆ พัดโชยมา ทั้งหมดนี้ทำให้จูจันจีนึกถึงวันที่เขาบังเอิญพบกับขันทีที่ทั้งขวัญกล้าและน่าสนใจผู้นั้น
แต่เดิมเขาคิดอยากกระชากคนผู้นี้ออกมา แต่เมื่อไม่นานมานี้พระปิตุลาทั้งสองได้ส่งจดหมายเนื้อความไร้สาระให้พระอัยกาอีกแล้ว เขายุ่งวุ่นวายกับการช่วยพระบิดาดับไฟ จึงไม่มีเวลาไปจัดการกับเรื่องนี้สักที
“องค์ชาย อย่าได้ทรงกังวลอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ มีพระองค์อยู่ ฝ่าบาทไม่มีทางยอมให้ท่านอ๋องทั้งสองก่อปัญหาแก่องค์รัชทายาทเป็นแน่” อู๋จิ่นขันทีข้างกายจูจันจีเห็นผู้เป็นนายตนมองไปยังท้องฟ้าไม่พูดไม่จา จึงนึกคิดไปว่าเขากำลังไม่สบายใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องทรงพระอักษรเลยรีบกล่าวปลอบ
เพียงแต่ประโยคนี้ของเขาก็ไม่นับว่าเป็นถ้อยคำปลอบใจทั้งหมด ทุกคนล้วนรู้ดีว่าทุกวันนี้ที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุดไม่ใช่พระโอรสทั้งสาม หากเป็นพระราชนัดดาจูจันจี กระทั่งในตอนที่จูจันจีเพิ่งมีอายุครบสิบเอ็ดปี ก็ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นหวงไท่ซุนในทันที มีคนไม่น้อยลอบคาดเดา การกระทำเช่นนี้ของฝ่าบาทมีเพื่อบอกแก่ใต้หล้าว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้คนที่พระองค์คิดอยากส่งมอบให้ก็คือไท่ซุน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งสองก็มิยอมตัดใจ ยังคงคิดว่าหากโค่นรัชทายาทลงมาได้ก็อาจได้กลายเป็นโอรสสวรรค์องค์ใหม่ จึงมักสรรหาเหตุผลมากมายมาเล่นงานให้ตำแหน่งรัชทายาทเกิดความไม่เหมาะสมขึ้นบ่อยครั้ง
จูจันจีได้ยินดังนั้นก็มิได้เอ่ยอะไร เขาเดินตรงเข้าไปยังศาลาหกเหลี่ยมในอุทยานหลวง
ครั้นนั่งอยู่ในศาลา เขาอดคิดถึงท่าทางกินขนมเปี๊ยะอย่างมีความสุขของขันทีน้อยผู้นั้นขึ้นมามิได้ และในตอนที่มองออกไปข้างนอก สายตาของเขาเองก็ถูกต้นไม้ต้นหนึ่งดึงดูดความสนใจโดยไม่รู้ตัว
“อู๋จิ่น เจ้าว่าต้นไม้ในอุทยานหลวงแห่งนี้ใช่สูงกว่าที่วังหวงไท่ซุนของข้ามากมายนักหรือไม่” เพียงนึกถึงขันทีน้อยคนนั้น เขาก็มีความรู้สึกทั้งอารมณ์ดี ขบขัน และหดหู่ใจรวมอยู่ด้วยกัน
“เอ่อ…น่าจะใช่พ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้กระหม่อมมิเคยวัดมาก่อน ถ้าอย่างไรองค์ชายให้เวลากระหม่อมสักนิด กระหม่อมจะสั่งให้คนไปตรวจสอบให้แน่ชัดแล้วกลับมารายงานพ่ะย่ะค่ะ” บทสนทนาที่ไปกันคนละเรื่องทำให้อู๋จิ่นตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง
เขาไม่เข้าใจ เมื่อครู่กำลังพูดถึงเรื่องเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งสองกันอยู่ชัดๆ เหตุใดอยู่ๆ กลับข้ามไปเป็นเรื่องต้นไม้ในอุทยานหลวง ใช่มีความหมายใดแฝงอยู่โดยที่เขาไม่เข้าใจหรือไม่
จูจันจีโบกมือไปมา “วุ่นวาย ข้าแค่สงสัยว่าต้นไม้ที่นี่จะปีนขึ้นไปได้หรือไม่ ใครใช้ให้เจ้าไปตรวจสอบจริงๆ กันเล่า” กล่าวจบเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองต้นไม้ใหญ่อีกสักพัก
อย่างที่คิด คนผู้นั้นไม่มีทางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“องค์ชาย เรื่องนี้กระทำไม่ได้โดยเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ! พระองค์ทรงเป็นเช่นนี้กระหม่อมจะทำอย่างไร” อู๋จิ่นพูดไปพร้อมกับรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาบ้างแล้ว
“เดี๋ยวก่อน” จูจันจีขมวดคิ้ว หันหน้ากลับมามองเขา “เรื่องอะไรกระทำไม่ได้โดยเด็ดขาด”
“พระองค์ทรงอยากปีนต้นไม้ เรื่องนั้นกระทำไม่ได้โดยเด็ดขาด หากเกิดอะไรขึ้นมากับพระองค์ กระหม่อมจะรายงานต่อฝ่าบาท รัชทายาท ชายารัชทายาทอย่างไร มิสู้ให้กระหม่อมทำแทนพระองค์…”
จูจันจีนวดขมับที่ปวดขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอ่ยอย่างหมดแรง “ใครบอกว่าข้าต้องการปีนต้นไม้ ข้าเพียงแค่…”
“ฮัดเช่ย!”
เสียงจามครั้งหนึ่งดังขึ้นขัดประโยคที่เขายังพูดไม่จบ เขาหันไปมองขันทีข้างกาย เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าด้วยใบหน้าของผู้บริสุทธิ์ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมา
บริเวณใกล้ๆ กับศาลาแห่งนี้ยังมีคนอื่นอยู่อีก!
แต่เดิมมีคนอื่นอยู่ก็ไม่เป็นอะไร เขามั่นใจว่าตนเองไม่ได้พูดอะไรที่ไม่สมควรพูดออกมา แต่เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีผู้ใด แสดงให้เห็นว่าเจ้าของเสียงจามนั้นหลบซ่อนตัวไปแล้ว
เขาไม่ได้ระแวงว่าจะเป็นผู้บุกรุก ผู้บุกรุกที่โง่เขลาขนาดที่ส่งคนเข้ามาในวังหลวงมิใช่ส่งคนมาตายหรอกหรือ แต่เรื่องมีคนคิดซ่อนตัว…
“ฮัดเช่ย!”
เสียงจามดังขึ้นมาอีกครั้ง หนนี้จูจันจีฟังออกแล้ว เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลังภูเขาจำลองที่อยู่ข้างศาลาหกเหลี่ยม
“องค์ชาย ให้กระหม่อม…” อู๋จิ่นเองก็ฟังออกถึงที่มาของเสียง นิ้วชี้ไปที่ภูเขาจำลอง น้ำเสียงกดต่ำสื่อความหมายว่าจะกระทำสิ่งใด
“ไม่ ไม่ต้องแล้ว” ตั้งใจฟังไปสักพัก ความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัว จูจันจีสังหรณ์ใจ บางทีคนที่จามอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองอาจเป็นบุคคลที่เขาคิดตามหา “เจ้ากับพวกนางออกไปกันให้หมดเถอะ” เขายกมือชี้ไปยังเหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอกศาลา
คนในวังที่ขวัญกล้าเช่นนั้นเขาเพิ่งเคยเจอมาแค่คนเดียวเท่านั้น หนก่อนยังกล้าแอบปลอมตัวมาเป็นนางกำนัลที่วังของเขา กับแค่เลือกภูเขาจำลองมาเป็นที่หลับนอนยังมีอะไรไม่กล้ากัน พอคิดแล้ว มุมปากของจูจันจีก็ค่อยๆ ยกขึ้น
“องค์ชาย หากเป็นผู้บุกรุก…”
“ไม่มีผู้บุกรุกที่โง่งมถึงเพียงนั้นหรอก ไม่เป็นไรแล้ว ออกไปกันให้หมดเถอะ ข้ารู้ว่าที่ด้านหลังภูเขาจำลองนั้นเป็นใคร” ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนผู้นั้น
เป็นใครกัน…
อู๋จิ่นในใจรู้สึกสงสัย แต่เห็นหัวคิ้วของผู้เป็นนายกำลังจะขมวดเข้าหากันก็ไม่กล้าพูดมากอีก พานางกำนัลถอยหลังกลับออกไปอย่างเงียบๆ ทันที
เมื่อเห็นว่าบริเวณนั้นไม่มีผู้ใดแล้ว จูจันจีก็จัดแจงเสื้อผ้าหน้าผม ก่อนจะเดินอ้อมไปยังหลังภูเขาจำลองอย่างคล่องแคล่ว
ตามเสียงลมหายใจแผ่วเบาและมั่นคงไป เขาพบคนที่เขาคิดตามหาดังคาด โฉมงามคนหนึ่งที่ใช้เสื้อกันลมห่อตนเองไว้ ผมยาวปล่อยสยาย ลักษณะม้วนตัวขดเป็นกุ้ง
ใช่แล้ว! ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษ เขาก็ยังคงยอมรับว่า ‘เด็กคนนี้’ เกิดมามีใบหน้างดงามอ่อนหวานดุจบุปผาแรกแย้ม
เขายิ้มอย่างมีความสุขแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆ สะกิดบ่าของอีกฝ่าย
กัวอ้ายรู้สึกว่ามีคนกำลังสะกิดตนเองจึงค่อยๆ ขมวดคิ้ว ใช้ความรู้สึกยกมือขึ้นปัดของน่ารำคาญที่มาก่อกวนการนอนของนางออกไปมา ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นโดยง่าย
เห็นอย่างนั้น เขายิ่งออกแรงสะกิดขันทีน้อยที่อยู่ตรงหน้าให้แรงขึ้น
เมื่อถูกทำให้เวียนหัวจนนอนต่อไปไม่ได้ ในที่สุดนางก็ยันกายขึ้นอย่างไม่ยินดีนัก เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ทำอะไร ของีบสักหน่อยก็ไม่ได้หรือ เลิกมายุ่งได้แล้ว!” ตัวคนนั้นลุกขึ้นมาแล้ว แต่ดวงตายังไม่ยอมลืม
ในช่วงเวลากึ่งหลับกึ่งตื่น กัวอ้ายสะลึมสะลือไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังอยู่ที่ใด เพียงคิดไปว่ากำลังเรียนอยู่ในคณะแพทยฯ และเพื่อนร่วมห้องที่ชอบมาถามคำถามเวลานางนอนกลางวันคนนั้นกำลังรบกวนการพักสายตาของนางอยู่
“บังอาจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเจ้าตอนนี้เป็นใคร”
ผู้ชาย? เหตุใดถึงเป็นผู้ชายไปได้ เพื่อนร่วมห้องต้องเป็นผู้หญิงนี่!
คิดมาถึงตรงนี้กัวอ้ายจึงเริ่มมีสติกลับมาแล้ว จริงด้วย ตอนนี้นางกำลังอยู่ในวังหลวง ไม่ใช่ที่หอพักเสียหน่อย ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือนางคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนนอนหลับไปตนเองกำลังพักผ่อนอยู่หลังภูเขาจำลอง!
หลายวันมานี้เป็นวันนั้นของเดือน กัวอ้ายจึงรู้สึกไม่สบายตัวมาก ทั้งยังอ่อนล้าง่าย ถึงได้หลบมานอนพักอยู่ตรงนี้ชั่วครู่
ทำความผิดฐานแอบอู้งานในวังหลวงแล้วถูกจับได้…นี่เรียกได้ว่าเลวร้ายของจริงแล้ว!
นางขยี้ดวงตาไปมาและลืมตาขึ้นอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันมองให้ชัดว่าเป็นใคร ก็เปลี่ยนท่าทางอย่างลื่นไหลเป็นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
“บ่าวสมควรตายนับหมื่นครั้ง” หากไม่ใช่สถานการณ์ไม่เหมาะ ตัวนางเองอาจจะหัวเราะออกมาแล้ว ไม่คิดว่าวันหนึ่งนางจะได้ใช้พวกบทพูดของเสี่ยวหลี่จื่อ* ที่เคยดูในละครโบราณ
จูจันจีเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางก็ทั้งรู้สึกอารมณ์ดีทั้งขบขัน
โชคดีที่วันนี้คนที่มาที่นี่เป็นเขา หากเป็นพระอัยกา หรือแม้กระทั่งพระสนมตำหนักอื่น เจ้าเด็กคนนี้คงต้องสมควรตายนับหมื่นครั้งแล้วจริงๆ
เขาเอ่ยด้วยสำเนียงแฝงความหยอกเย้า “บ่าว? ที่แท้เจ้ายังรู้ว่าตนเองเป็นบ่าว ข้ามองว่าบรรดาองค์ชายและอ๋องทั้งหลายยังไม่มีใครขวัญกล้าเท่าเจ้า คราก่อนปีนต้นไม้เล่นกับนก ครานี้แอบหลับที่ภูเขาจำลอง เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด!”
กัวอ้ายชะงัก เหตุใดน้ำเสียงนี้ถึงฟังดูคุ้นหูถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นคนที่รู้ว่านางเคยปีนต้นไม้มาก่อน…แต่ว่า เล่นกับนกอะไรกัน กล่าวผิดแล้ว!
นางเงยหน้าขึ้นมองสำรวจคนตรงหน้า เพียงเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยจึงผ่อนลมหายใจออกมาทันที ก่อนทิ้งตัวลงนั่ง “เป็นท่านนี่เอง ทำข้าตกใจแทบตาย” นางลูบหน้าอกไปมา ทำราวกับได้รับความตกใจมิใช่น้อย
จูจันจีเห็นกัวอ้ายเป็นเช่นนี้ก็เคาะศีรษะนางไปทีหนึ่ง “เป็นข้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วหรือ ดูเจ้าทำตัวเข้า ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ” หลังต่อว่าเสร็จเขาก็ยื่นมือออกไปดึงผมยาวสีดำที่ถูกปล่อยสยายของอีกฝ่าย ไม่นึกว่าสัมผัสที่ได้จะรู้สึกดีถึงเพียงนี้ ทำให้เขาชอบจนไม่อยากปล่อยมือออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดขันทีอยู่จริงๆ เขาต้องอดสงสัยว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายเป็นสตรีขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้แน่
“เป็นท่านแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นอะไร พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ” กัวอ้ายดึงผมในมือเขากลับมา นางนั่งขัดสมาธิแล้วหยิบหมวกครอบขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะจัดการทรงผมตนเองให้เรียบร้อย
“สหาย? แม้แต่เจ้าชื่อว่าอะไรข้ายังไม่รู้เลย คำว่าสหายนี่จะได้มาจากที่ใดกัน” ในตอนท้าย จูจันจียังแค่นเสียงเย็นชาออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
“มิเช่นนั้นท่านต้องการจะทำอย่างไร” ท่าทางของนางไม่เป็นกังวลเลยสักนิด อย่างไรเขาก็เป็นเพียงองครักษ์คนหนึ่ง ฐานะไม่ได้ต่างกับนางมากนัก ล้วนเป็นบ่าวที่ต้องฟังคำสั่งของเจ้านาย
จูจันจีลุกขึ้นยืน มองนางลงมาจากมุมสูงแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกว่าเจ้ายังไม่กระจ่างในเรื่องหนึ่ง”
“อะไร” นางจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองต่อไป ไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของเขานัก
“ข้าเดาว่าเจ้าจะต้องเป็นขันทีที่เพิ่งเข้าวังมาแน่ ถึงได้ไม่เข้าใจว่าการที่ข้าเป็นองครักษ์ลับหมายความว่าอย่างไร เอาเป็นว่านอกจากดูแลความปลอดภัยให้เจ้านายแล้ว ข้ายังช่วยเจ้านายตรวจสอบเรื่องผิดกฎบางเรื่องอย่างลับๆ จากนั้นนำเรื่องที่ตรวจสอบได้กลับไปรายงานผู้เป็นนาย”
“อ้อ ดังนั้นท่านต้องการจะบอกว่าท่านคนเดียวรับหน้าที่สองอย่างลำบากนัก?” นางลุกขึ้นยืนตบๆ เสื้อผ้าตนเอง จัดเสื้อกันลมไปพลางตอบรับส่งๆ
“ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น” เขาอดกลั้นความคิดที่อยากบีบคอนางให้ตาย แล้วกล่าวต่อ “ข้าต้องการบอกว่าหากข้าไปรายงานกับเบื้องบนว่ามีขันทีบางคนชอบแอบขี้เกียจ ทำลายกฎระเบียบในวังหลวง รวมเข้ากับโทษที่แอบพูดถึงเจ้านายในทางเสียหาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าขันทีผู้นั้นจะมีจุดจบอย่างไร”
“ข้าไม่ได้พูดถึงใครในทางเสียหายสักหน่อย…” ทันใดนั้นสีหน้ากัวอ้ายพลันแปรเปลี่ยน น้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย “ท่านจะไปรายงาน?”
จูจันจีพอใจนักที่ในที่สุดขันทีน้อยคนนี้ก็ยอมมองมาที่ตนเองตรงๆ เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ กล่าว “เจ้ารู้ว่าเจ้านายของข้าเป็นใครสินะ ล่วงเกินองค์หวงไท่ซุน ขันทีตัวน้อยๆ อย่างเจ้าตายไปสักสิบครั้งก็ยังไม่พอ”
องค์หวงไท่ซุน?!
จริงด้วย นางพบเขาที่สวนดอกไม้ของวังหวงไท่ซุน นี่ตัวนางมองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ทั้งไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายอาจจะนำเรื่องที่นางทำผิดกฎไปรายงาน…
กัวอ้ายขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความว้าวุ่น ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าครู่หนึ่งแล้วนางก็เปลี่ยนน้ำเสียงไปเป็นอ่อนน้อมทันที เอ่ยถามหยั่งเชิงออกไปอย่างปราศจากความมั่นใจ “ท่านกำลังล้อข้าเล่นสินะ พวกเราเองก็นับได้ว่ารู้จักกันแล้ว ท่านคงไม่ทำเช่นนั้นหรอกกระมัง”
“เรื่องนี้พูดยากนัก ข้าเห็นว่าเจ้าเองก็ไม่ได้อยากรู้จักกับข้าสักเท่าไร ข้าจะเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ* เพื่ออันใดกัน” เขาหมุนตัวกลับอย่างไม่ลังเลสักนิด ทว่าในใจกำลังลอบยิ้มเยาะไม่หยุด
กัวอ้ายดึงชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้ทันที พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจเป็นอย่างยิ่ง “พี่ฉีซื่อ ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ น้องชายไม่มีทางไม่อยากทำความรู้จักกับท่าน เพียงแค่เกรงว่าจะเป็นการอาจเอื้อมเกินไป”
พี่ฉีซื่อ? เจ้าเด็กนี่จะเปลี่ยนท่าทีได้เร็วเกินไปหรือไม่
จูจันจีหันกลับมาก็ได้เห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มประจบประแจงมาให้ ยิ้มจนเขารู้สึกขนลุกชันไปหมดแล้ว
“เจ้าเรียนรู้กฎระเบียบได้ไม่ดี แต่ความสามารถในการประจบนับว่าไม่เลวเลย” เขากล่าวเสียดสี
“พี่ชายพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร น้องชายคาดหวังจากใจจริงว่าอยากมีพี่ชายที่สง่าผ่าเผย รูปงามหาใครเปรียบเช่นท่าน หากจะโทษก็ต้องโทษน้องชายที่มีความรู้เพียงน้อยนิด ฐานะก็ต่ำต้อย ไม่มีความสามารถโดดเด่นอะไร ก่อนหน้านี้จึงมิกล้าอาจเอื้อมถึงท่านจริงๆ แต่หากว่าพี่ชายมิรังเกียจ ก็ยอมรับข้าคนนี้เป็นน้องชายเถอะ” นางเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยใบหน้าสัตย์ซื่อเปิดเผย
ภายนอกจูจันจีมองคนตรงหน้าเล่นละครเอาใจเขาด้วยท่าทางสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับกำลังดีใจถึงที่สุด
‘สง่าผ่าเผย รูปงามหาใครเปรียบ’ เขาเคยได้ฟังคนอื่นชื่นชมเขาเช่นนี้มาก่อน แต่ก็รู้ว่าคนที่กล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้มักมีเรื่องต้องการร้องขอจากเขา ในคำพูดจึงมักขาดความจริงใจไปหลายส่วน แต่คนที่สามารถพูดประโยคเหล่านี้ออกมาได้โดยไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว เด็กคนนี้ยังนับเป็นคนแรก
ช่างเป็นเด็กเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง
“เอ่อ พี่ชายไม่พูดอะไรแปลว่ายอมรับแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เรื่องราวเล็กน้อยในวันนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้องค์หวงไท่ซุนรู้แล้วกระมัง” เห็นเขาไม่พูดอะไร นางก็พูดเองเออเองต่อ ทั้งปล่อยมือจากชายแขนเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ตั้งใจจะเผ่นหนีไปอีกครั้ง
นางยังไม่คิดอยากตายโดยไม่รู้ตัวเพียงเพื่อการนอนกลางวันหนหนึ่ง
“รอเดี๋ยว!” ราวกับรับรู้ได้ถึงความคิดของนาง เขาคว้าจับข้อมือนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว “ข้าตอบตกลงมิตรภาพที่เจ้าวางอุบายนี้แล้วหรือไร”
“มิเช่นนั้นท่านต้องการอะไร” นางเอ่ยด้วยความรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างที่สามารถยืดหยุ่นได้ถึงเพียงนี้แล้ว เขายังไม่ยอมปล่อยนางไปอีกหรือ
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรได้รับความลำบากสักหน่อย จึงจะรู้ถึงความผิดของตนเอง ให้ข้าคิดดูดีๆ…” เขาจงใจหยุดพูดและใช้สายตามองขันทีน้อยตรงหน้าอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่างเช่นจับเจ้าไปทรมานในคุกสักหลายวัน ให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแสบร้อนยามถูกแส้ฟาดลงบนร่างกาย หรือสร้างรอยประทับบนร่างเจ้า ให้เกิดแผลเป็นให้เจ้าสำนึกผิด…” เขาตั้งใจกล่าววาจาที่ชวนให้ตื่นตระหนก ด้วยรู้สึกว่าการหยอกเจ้าเด็กน้อยคนนี้มักสร้างความรื่นรมย์ให้แก่เขาเสมอ “แต่เห็นแก่มิตรภาพอันตื้นเขินของพวกเรา ข้าจะเป็นคนควบคุมดูแลเอง…”
“ชูรื่อ!”
“อะไรนะ!”
เมื่อเห็นว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถดึงมือตนเองออกมาจากมือใหญ่ได้ กัวอ้ายจึงทำได้เพียงพูดออกมาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจอีกครั้ง “ข้าชื่อชูรื่อ”
เขาได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนปล่อยมือของอีกฝ่ายออก สองแขนกอดอกพลางยิ้มออกมา “อ้อ ตอนนี้เจ้าอยากทำความรู้จักกับข้าอย่างจริงจังแล้วสินะ”
“มิใช่” นางถลึงตาใส่เขาไปรอบหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นกอดอกเลียนแบบเขา เผยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ข้าคิดดูให้ดีแล้ว หนก่อนพวกเรายังมีสัญญาแลกเปลี่ยนความลับกันข้อหนึ่ง มิใช่หรือ”
“ใช่แล้วอย่างไร” การเปลี่ยนสีหน้าน่าจะเป็นเรื่องที่ขันทีน้อยผู้นี้สันทัดจริงๆ เมื่อครู่ยังวิงวอนร้องขอเขาอย่างน่าสงสาร วางอุบายมิตรภาพจอมปลอม ตอนนี้กลับมาเจรจาต่อรองกับเขาด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์เสียแล้ว
“ดังนั้นข้าจะใช้ชื่อของข้าแลกกับความลับที่ข้าแอบมาอู้งานอยู่ที่นี่ ในเมื่อข้าบอกชื่อของข้ากับท่านไปแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่อาจบอกผู้อื่นเรื่องที่ข้าแอบมาอู้งานได้อีกแล้ว” นางรู้สึกว่าตนเองฉลาดมาก คาดไม่ถึงว่าจะนึกวิธีนี้ออกมาได้
นางลอบตกลงกับตนเอง หากว่าหนนี้เอาตัวรอดไปได้จริงๆ จะต้องนำขนมเปี๊ยะและผลไม้เชื่อมน้ำผึ้งที่แอบไว้ออกมากินให้หมด ในเมื่อความจริงแล้วการเอาตัวรอดในวังหลวงแห่งนี้ไม่ง่ายเลย สามารถสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ นางไม่อยากให้สุดท้ายตนเองยังไม่ทันได้กินของที่แอบเก็บไว้แม้แต่คำเดียวก็ต้องตายไปพร้อมกับความเสียใจภายหลัง
“สามารถแลกเปลี่ยนเช่นนี้ได้ด้วยหรือ” คิ้วของเขาเลิกขึ้น ถึงแม้การได้รู้ชื่อของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่เขารู้สึกว่าการกุมความลับนี้เอาไว้มีประโยชน์มากกว่า แลกเปลี่ยนไปแล้วเช่นนี้ เหมือนจะเสียเปรียบเข้าให้แล้ว
“หนก่อนก็เป็นท่านเองที่เห็นด้วยกับเงื่อนไขนี้ ข้าได้ปฏิบัติตามกฎแล้ว ท่านมิอาจไม่ยอมรับ ว่าไปแล้ว อยากรู้ชื่อของข้าก็เป็นเรื่องที่หนก่อนท่านพูดขึ้นมา ท่านคงไม่ผิดต่อคำพูดของตนเองหรอกกระมัง”
วิธีการพูดเช่นนั้นของนางดูราวกับถ้าตนเองไม่ตอบตกลง ก็จะกลายเป็นคนเหี้ยมโหดยิ่งอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับขันทีน้อยผู้นี้จริงๆ “เช่นนั้น…เช่นนั้นก็เอาเถอะ”
“พูดแล้วมิอาจคืนคำ” นางยืนยันอีกครั้ง
เขาพยักหน้ารับ
กัวอ้ายผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นกลับมาตบบ่าเขาอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงทันที “อย่างนั้นก็จบเรื่องนี้เถอะ อย่าลืมที่ท่านตอบตกลงกับข้านะ แยกย้ายล่ะ” พูดจบนางก็ทำราวกับกลัวว่าเขาจะกลับคำอย่างนั้น รีบสาวเท้าเร็วๆ ด้วยอยากรีบเผ่นหนีออกจากภูเขาจำลองไป
“นี่ เจ้า…” เอาอีกแล้ว! เด็กคนนี้เหตุใดถึงได้ชอบหนีทุกครั้ง “นี่ ชูรื่อ!”
เงาร่างที่อยู่ห่างออกไปชะงัก ก่อนถามกลับอย่างไม่จริงใจนัก “มีอะไรหรือ”
“ชื่อของเจ้าเขียนอย่างไร”
“ชูรื่อที่หมายถึงดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้า”
“ข้า…ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าสักจอก” เห็นคนกำลังจะไปแล้ว เขาก็นึกเสียดายขึ้นมา ตั้งแต่พบกันครั้งแรกกับชูรื่อคนนี้เขาก็เกิดความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ต่อให้ในยามที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นขันทีแล้วจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ทว่าแม้ไม่อาจแต่งเข้าตำหนัก ได้ผูกมิตรเป็นสหายเองก็นับว่าไม่เลว
สหาย? จูจันจีรู้สึกขบขันที่ในสมองของตนเองปรากฏคำคำนี้ขึ้นมา เชื้อพระวงศ์ไม่จำเป็นต้องมีสหาย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสหายขันทีคนหนึ่ง อีกทั้งพบหน้ากันไม่เท่าไรเขากลับชื่นชอบขันทีคนนี้ถึงขั้นนี้แล้วหรือ
“ได้” นางหันตัวกลับมา ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงนางแสดงสีหน้าพิลึกใส่เขา “หนหน้าหากท่านยังบังเอิญเจอข้าอีก ข้าจะร่วมดื่มกับท่านจอกหนึ่ง ฮ่าๆ”
จูจันจีมองคนที่วิ่งจากไปพร้อมหัวเราะอย่างมีความสุข เขาทั้งจนใจทั้งหมดคำพูด
หนหน้า? นั่นคือเมื่อใดกันเล่า
ห้องหนังสือของวังหวงไท่ซุน
จูจันจีกำลังเขียนอักษร ส่วนอู๋จิ่นยื่นน้ำชาให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะยืนอยู่ข้างกายคอยฝนหมึก เขามิกล้าทำสิ่งใดชักช้าแม้แต่น้อย เพราะระยะหลังมานี้เขาเดาใจผู้เป็นนายมิออกเท่าไรนัก
เขารู้สึกว่าช่วงนี้องค์หวงไท่ซุนค่อนข้างแปลกพิกล ทรงชอบเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ หลังจากเหม่อแล้วก็จะยิ้มออกมาอย่างโง่งม อารมณ์ดูเหมือนจะดีไม่น้อย แม้แต่เรื่องของเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งสอง เรื่องของรัชทายาท หรือกระทั่งเรื่องเลือกชายาที่ชายารัชทายาทเป็นห่วงอยู่ในระยะนี้ องค์ชายก็ล้วนรับมือทุกเรื่องราวได้อย่างนิ่งเฉย
ทว่าทั้งๆ ที่ตนเองก็ติดตามองค์ชายอยู่ทั้งวัน ก็ยังดูไม่ออกว่าเรื่องอะไรมีค่าพอทำให้องค์ชายอารมณ์ดียิ่งถึงเพียงนี้ นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กระจ่าง
เรื่องแรก หลายวันก่อนหลังจากที่องค์ชายกลับมาจากอุทยานหลวง ครั้นเขาถามถึงเรื่องผู้บุกรุกหลังภูเขาจำลองขึ้นมา องค์ชายกลับส่ายหน้ากล่าวว่าไม่มีผู้บุกรุก มีแค่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง
จิ้งจอก? เขตพระราชฐานชั้นในของวังหลวง จะมีจิ้งจอกที่จามได้มาจากที่ใดกัน เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด
เรื่องที่สอง ผ่านไปไม่ถึงสองวัน อยู่ๆ องค์ชายก็ถามขึ้นมาว่าในวังหลวงมีขันทีชื่อชูรื่ออยู่หรือไม่ เขารีบร้อนรับคำไปตรวจสอบ แต่อยู่ๆ องค์ชายก็บอกว่าไม่ต้องตามหาแล้ว บอกว่าหากเป็นเช่นนี้ก็ไม่นับว่าบังเอิญแล้ว
บังเอิญ? เหตุใดองค์ชายถึงคิดอยากบังเอิญพบขันทีที่ชื่อชูรื่อผู้นั้น
เรื่องที่สาม เพิ่งเมื่อวานยามเซิน* ชายารัชทายาทให้คนส่งของบางอย่างมาให้ หนึ่งในนั้นมีขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยที่พระชายาชื่นชอบและมักแบ่งแจกจ่ายให้ทุกคนอยู่เสมอ
ขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยนี้คือของว่างที่ผู้สูงศักดิ์ในวังได้กินกันอยู่บ่อยครั้ง องค์ชายกินบ้างบางครั้ง แต่ส่วนมากมักให้บรรดานางกำนัลเก็บไป ทว่าหนนี้กลับจงใจเก็บขนมเปี๊ยะเอาไว้ ทั้งยังค่อยๆ ลิ้มรสทีละคำๆ สุดท้ายยังวิจารณ์ออกมาว่า ‘รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ’
รสชาติไม่เลว? นี่นับว่าแปลกประหลาดเกินไปแล้วจริงๆ องค์ชายมิได้เพิ่งเคยกินขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยเป็นครั้งแรก เหตุใดถึงได้พูดเช่นนี้ออกมาในเวลานี้
“อู๋จิ่น เจ้าว่าประโยคนี้เขียนเป็นอย่างไร”
เพียงได้ยินผู้เป็นเจ้านายอ้าปากเอ่ย เขาก็รีบดึงสติกลับมาและตอบกลับอย่างจริงใจ “ประโยคนี้ขององค์ชายเขียนได้ดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ทรงพลังหนักแน่น พลิ้วไหวดุจมีชีวิต โดยเฉพาะอักษรซวี่นี้ ลายเส้นพู่กันที่ตวัดขึ้นเปี่ยมด้วยอารมณ์เป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ซวี่?” จูจันจีขมวดคิ้ว มองดูแล้วไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของอีกฝ่ายนัก จากนั้นเขาก็กระชากกระดาษเซวียนจื่อ* ที่เขียนว่า ‘ดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้า’ ออกมาขยำแล้วโยนลงไปในตะกร้าสานใต้โต๊ะ
“กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมความรู้ต้อยต่ำ หากกล่าวสิ่งใดผิดไป ขอองค์ชายโปรดประทานอภัยโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อู๋จิ่นพูดไปพร้อมคุกเข่าลงทันที ด้วยเกรงว่าหากคุกเข่าช้าอาจสิ้นชีพได้
ระยะนี้องค์ชายทำตัวแปลกไปจริงๆ เมื่อครู่ตนเองกล่าวชื่นชมชัดๆ องค์ชายกลับทำเหมือนโกรธ ถึงขั้นโยนอักษรที่เพิ่งเขียนเสร็จทิ้งไป
“ลุกขึ้นๆ ทำตัวตื่นตูมไปได้ จะว่าไปแล้ว…” ทันใดนั้นจูจันจีก็คลี่ยิ้มออกมา “ยังมีคนความรู้ต้อยต่ำกว่าเจ้าอยู่อีก ทั้งรู้จักแต่ทำตัวขี้เกียจเล่นสนุกไปวันๆ ส่วนเจ้าก็จริงจังไปหน่อย เจ้าควรจะเรียนรู้จากเด็กคนนั้นบ้าง ถือเป็นเด็กหน้าด้านหน้าทนคนหนึ่ง…ช่างเถอะๆ หากเจ้าไปเรียนรู้จากเขาจริงๆ ข้าคงได้ปวดหัวแย่”
เด็กคนนั้น? ผู้ใดกัน อู๋จิ่นก้มศีรษะลง ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยแต่มิกล้าเอ่ยถาม
“ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก เจ้ายังต้องช่วยข้าฝนหมึกต่อ” จูจันจีเอ่ยเร่ง
อู๋จิ่นรีบร้อนลุกขึ้นไปยืนฝนหมึก หนนี้ไม่กล้าเหม่ออีก มุ่งความสนใจไปที่องค์ชายซึ่งกำลังเขียนพู่กัน จนในที่สุดก็พอมองออกว่าในตอนที่องค์ชายเขียน ‘ชูรื่อ’ สองคำนี้ จะตั้งใจมากเป็นพิเศษ
“อู๋จิ่น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าลองดูหนนี้เขียนเป็นอย่างไร”
เขารีบตอบกลับ “งดงามทรงพลังพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะที่อักษรชูรื่อสองตัวนี้ยิ่งดูมีชีวิตชีวา โดดเด่นมากพ่ะย่ะค่ะ”
ดังคาด เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้ องค์ชายดูมีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเขาเองก็ผ่อนลมหายใจออกมาได้แล้ว
“อู๋จิ่นเอ๋ย ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าความรู้ต้อยต่ำตรงที่ใด คำที่เจ้ารู้จักนับได้ว่าเยอะไม่น้อยเลยทีเดียว” สามารถเป็นถึงขันทีข้างกายของจูจันจีได้ แน่นอนว่าอู๋จิ่นย่อมผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ต้องโต้ตอบบทสนทนากับเขาได้ ทั้งยังเก่งเรื่องอ่านสีหน้าและคำพูด
เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดของอู๋จิ่นทั้งหมด แต่ที่อยากได้ยินคนกล่าวชื่นชมสักประโยคสองประโยคก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…” นี่กำลังล้อเลียนเขาหรือไม่ ใช่สงสัยว่าเขาพูดออกมาอย่างไม่จริงใจหรือ
“ข้ารู้ เจ้าแค่อยากให้ข้ามีความสุข ไม่ได้มีเจตนาอื่น” จูจันจีโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “มา เอาแผ่นอักษรนี้ไปใส่กรอบ ข้าอยากแขวนไว้ในห้องหนังสือ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการในทันที” อู๋จิ่นค้อมกายลง จากนั้นหยิบกระดาษเซวียนจื่อบนโต๊ะขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง แล้วถอยหลังจากไปโดยมิกล้าประมาท
เพียงแต่เขาเพิ่งถอยมาถึงข้างประตู เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ใครกัน” อู๋จิ่นเอ่ยขึ้นมาแทนเจ้านายตามความเคยชิน
“หม่อมฉันนำของว่างกับน้ำชาจากชายารัชทายาทมาถวายให้องค์หวงไท่ซุนเพคะ”
“รออยู่นอกประตูก่อน” อู๋จิ่นตะโกนบอกคนข้างนอก แล้วจึงเอ่ยถามจูจันจีด้วยความเคารพนอบน้อม “อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะนำเข้ามาให้ หากองค์ชายมิทรงโปรด สายกว่านี้จะให้คนนำออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
เขารู้ว่าองค์ชายไม่ชอบให้คนนอกเข้ามาในห้องหนังสือหรือตำหนักบรรทมของพระองค์ นอกจากนางกำนัลใกล้ชิดไม่กี่คนแล้ว คนนอกหากต้องการพบองค์ชายหรือส่งของมา ล้วนฝากผ่านเขารายงานและนำเข้ามาแทนทั้งสิ้น
“ไม่ต้องแล้ว เจ้ารีบไปจัดการเรื่องที่ข้ามอบหมายให้เรียบร้อย แล้วให้บ่าวรับใช้ที่มาส่งของคนนั้นเข้ามา” นิ่งไปสักพัก จูจันจีก็สั่งการต่อ “จริงสิ หลังจากเจ้าไปแล้ว ให้มีหนึ่งคนคอยเฝ้าประตู อย่าให้คนอื่นเข้ามาได้ ส่วนบรรดานางกำนัลและขันทีที่คอยรับใช้อยู่ข้างนอกให้กลับไปให้หมด”
“องค์…องค์ชาย?”
จูจันจีเห็นเขาลังเลก็เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ “อะไร มีปัญหาหรือ”
เขาจะกล้ามีปัญหาได้อย่างไร! อู๋จิ่นรีบร้อนส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ออกไปเถอะ”
อู๋จิ่นจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจูจันจีก็ไปนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เขารินน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง ที่หางตามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
เจ้าของเสียงที่ข้างนอกประตูนั้นเขาคุ้นเคยนัก อย่างน้อยเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งได้ยินมา ดังนั้นยามนี้เขาจึงเฝ้ารออีกฝ่ายเข้ามาเป็นอย่างยิ่ง เฝ้ารอนักว่าอีกครู่หนึ่งจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น
กัวอ้ายในชุดนางกำนัลกำลังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เมื่อครู่อู๋กงกงทำตัวประหลาดนัก เรื่องที่มองนางซ้ำๆ หลายหนไม่ต้องพูดถึง แต่ตอนออกไปยังพาบรรดานางกำนัลและขันทีไปด้วยจนหมด เหลือทิ้งไว้แค่นางกำนัลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง…พิลึกแล้ว องค์หวงไท่ซุนไม่อยู่ในห้องหนังสือหรอกหรือ คนเหล่านั้นหายไปกันหมด แล้วใครจะคอยอยู่รับใช้เขา
ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ตนเองนำของมาส่งเสร็จก็สามารถกลับไปได้แล้ว
ในตอนที่กัวอ้ายถือกล่องปิ่นโตเข้าไปในห้อง ถึงได้สังเกตเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะน้ำชา นางเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกประหลาดใจถึงที่สุด
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“แล้วเหตุใดข้าถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้” จูจันจีมือซ้ายเท้าคาง มือขวาหยิบถ้วยชายกขึ้นดื่ม มองไปยังคนตรงหน้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
กัวอ้ายเดินถอยไปหนึ่งก้าว มองเขาอีกหน ก่อนจะพลันนึกเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ “ท่าน…อย่าบอกนะว่าท่านเป็น…”
นางยังพูดไม่ทันจบ จูจันจีก็พยักหน้าเสียแล้ว
เดิมเขาก็มิได้วางแผนจะเปิดเผยฐานะของตนเองเร็วถึงเพียงนี้ แต่คิดๆ ดูแล้ว ในเมื่อวันนี้เวลา คน และสถานการณ์ทุกอย่างล้วนเป็นใจ ก็มิสู้ให้ชูรื่อได้รู้ๆ กันไปเลย ลดภาระให้เขาไม่ต้องมานั่งอธิบายอีกในภายภาคหน้า
ยิ่งกว่านั้นการทำให้รู้ตัวโดยใช้วิธีนี้ยังนับได้ว่าน่าสนใจยิ่ง เขารู้สึกคาดหวังในท่าทีตอบสนองของอีกฝ่ายนัก
แต่เขาไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์จะผิดไปจากที่ตนเองคาดเอาไว้
“อ๋อ เหมือนดั่งที่ข้าคิดไว้ ท่านเป็นองครักษ์ลับจำพวกชอบอาศัยจังหวะที่เจ้านายไม่อยู่แอบดื่มชา ทำตัวเป็นขโมยเสียเองสินะ” พูดจบกัวอ้ายก็หัวเราะอย่างมีความสุขยิ่ง
ในที่สุดวันที่นางรอคอยก็มาถึงแล้ว หนนี้เป็นนางที่ได้กุมความลับของเขา
มิน่าถึงไม่จำเป็นต้องมีคนคอยอยู่รับใช้ ที่แท้หวงไท่ซุนก็ไม่ได้อยู่ในห้องหนังสือแต่แรก มีแค่อัศวินปลอมๆ คนหนึ่งนั่งดื่มชาอยู่เท่านั้น
“แค่กๆ” ได้ยินดังนั้นจูจันจีก็สำลักน้ำชา ไอออกมาไม่หยุด “เจ้า…เจ้าพูดว่าอะไรนะ ข้าทำตัวเป็นขโมยเสียเอง?”
“ท่านจะทำเสียงดังถึงเพียงนั้นด้วยเหตุใด กลัวคนอื่นไม่รู้หรืออย่างไร” ทางหนึ่งพูด อีกทางนางก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวด้วยตนเอง ทั้งยังรินชาร้อนให้ตนเองอีกด้วย “ยังมาบอกว่าข้าเป็นขันทีที่ทำตัวสบายเสียยิ่งกว่าองค์หญิงองค์ชาย ข้าเห็นว่าท่านต่างหากที่เป็นถึงองครักษ์ลับแต่กลับทำตัวเหมือนเป็นเจ้านายเองมิมีผิด! องครักษ์ทั่วไปมิได้ต้องคอยติดตามอยู่ข้างกายเจ้านายตลอดเวลาหรอกหรือ ข้าเห็นว่าท่านดูว่างดีออก”
ริมฝีปากของเขาสั่นระริกเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งนั้น เพียงยกชาขึ้นดื่มด้วยความอัดอั้นใจ
ไม่รู้จริงๆ ว่าบ่าวรับใช้คนนี้อาศัยอะไรถึงถูกคัดเลือกเข้าวังมาเป็นข้ารับใช้ได้ มิคาดว่าจะมีตาที่ไร้แววถึงเพียงนี้!
ช่างเถอะ เจอชูรื่อทำเช่นนี้เข้าไป เขาเองก็ไม่คิดอยากอธิบายฐานะของตนเองแล้ว ให้เป็นเช่นนี้ไปก่อนก็แล้วกัน
“อื้ม ชานี้ไม่เลวเลยนี่! ทั้งหอมทั้งหวาน…ข้าไม่ค่อยรู้จักชา แต่มันรสชาติดีมากจริงๆ” กัวอ้ายที่ดื่มชาไปแล้วหลายอึกทอดถอนใจกล่าวด้วยความชื่นชม
ในยุคสมัยนี้แน่นอนว่าย่อมไม่มีร้านขายน้ำอะไร ทุกวันนางล้วนดื่มแต่น้ำเปล่าจืดๆ ไร้รสชาติ ถึงปกติจะไม่รู้สึกว่ามันแย่อะไร แต่เวลากินคู่กับของว่างที่บรรดาพระสนมประทานให้ ก็มักจะมีความรู้สึกเสียดายอยู่เสมอ ถ้าสามารถต้มพวกชาแดงป๋อเจวี๋ย ชาแดงอาซ่าหมู่ดื่มได้ มิรู้ว่าจะดีสักเพียงใด
ตอนนี้ได้ดื่มชาที่ไม่รู้จักชื่อไปแล้ว นางรู้สึกว่าหากได้หยิบของว่างมากินคู่ด้วยจะเลิศเลอมาก
“ชาผู่เอ๋อร์” เขาเองก็ชิมไปอึก แต่ว่าเขาได้ดื่มบ่อยๆ อยู่แล้วจึงไม่รู้สึกว่าชานี้พิเศษอะไร
“ไม่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยดื่มชาผู่เอ๋อร์”
“ย่อมไม่เหมือน นี่เป็นชาบรรณาการ ขั้นตอนการทำซับซ้อนละเอียดอ่อน หาใช่ชาชาวบ้านทั่วไปจะมาเปรียบด้วยได้” พร้อมกันนั้นมือเขาก็ขยับเปิดกล่องปิ่นโตที่อีกฝ่ายนำมาด้วย หยิบขนมหวานชิ้นเล็กๆ ขึ้นมากิน
กัวอ้ายเห็นดังนั้นก็มองไปยังเขาด้วยใบหน้าตื่นตกใจ นิ้วยังชี้ไปที่เขา “ท่านๆ ท่าน…”
“เป็นอะไรไป” ท่าทางตื่นตูมไปได้
“ท่านกินของว่างที่ชายารัชทายาทประทานให้องค์หวงไท่ซุนได้อย่างไรกัน! สำหรับข้าดื่มชาไปไม่กี่อึกยังพอรับได้ว่าอย่างไรก็ไม่น่าถูกจับได้ แต่กินของว่างย่อมเป็นปัญหาใหญ่แน่แล้ว” ถึงแม้สิ่งนั้นดูไปแล้วจะน่ากินมาก แต่นางเองก็ต้องอดทนให้ได้ ไม่อยากเสี่ยงเพียงเพื่อขนมหวานไม่กี่ชิ้น หากถูกจับได้นางคงต้องชดเชยด้วยชีวิตน้อยๆ ของตนเอง
แย่ที่สุด ไฉนเขาต้องเปิดปิ่นโตด้วย!
แต่เดิมได้รับรู้เพียงกลิ่นหอมๆ ยังพอทนได้ ตอนนี้ได้เห็นความประณีตงดงามของขนมหวานทุกชิ้น นางก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาแล้ว!
“เจ้าเองก็อยากกิน?” จูจันจีเห็นท่าทางอีกฝ่ายมองไปกลืนน้ำลายไป ก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าเขาอยากชิมมากเพียงใด
กัวอ้ายผงกศีรษะ นิ่งไปสักพักก็ส่ายศีรษะแทน แต่บนใบหน้าเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ข้าอยากกินมาก’
“เจ้าอยากกินนี่ใช่หรือไม่” หลังจากสังเกตคนอยากกินตรงหน้า ความรู้สึกอยากกลั่นแกล้งอีกฝ่ายของจูจันจีก็ผุดขึ้นมาอีกแล้ว
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าของพวกนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร”
นางส่ายศีรษะ แต่สายตาไม่ได้ละออกไปจากกล่องปิ่นโตที่ถูกเปิดออกแล้วเลย
“เจ้าดู” เขาแยกปิ่นโตทั้งสามชั้นออกจากกัน จงใจชี้ไปที่ของว่างแต่ละชิ้นในปิ่นโตพลางเอ่ย “ขนมวุ้นพุทราแดง ขนมถั่วม้วน ขนมข้าวเหนียวดอกกุ้ย ขนมลากลิ้ง ขนมเปี๊ยะรูปดอกบัว ขนมน้ำตาลรังไหมย่าง ขนมเปี๊ยะเป่ยจิง…ยังมีข้าวเหนียวม่วงแปดทรัพย์ อันนี้ขั้นตอนการทำพิถีพิถันยิ่งนัก เจ้าลองเข้ามาดูใกล้ๆ”
“ตกลงๆ” กัวอ้ายผงกศีรษะอีกครั้ง ทำราวกับลืมไปแล้วว่านี่คือของที่ชายารัชทายาทมอบให้หวงไท่ซุน นางยื่นมือออกไปทางปิ่นโตในทันที เพียงแต่ยังไม่ทันสัมผัสโดน หลังมือก็ถูกตี จึงถลึงตามองคนทำด้วยความโกรธ “ท่านทำอะไร”
“บอกแค่ว่าต้องการแนะนำให้เจ้ารู้จัก มิได้พูดสักคำว่าให้เจ้ากิน ของพวกนี้องค์ชายล้วนประทานให้ข้า ข้าไม่ได้พูดว่าจะแบ่งให้เจ้า”
“ประทานให้ท่าน?”
“ใช่แล้ว ปกติองค์ชายไม่ค่อยชอบกินของพวกนี้ ส่วนมากล้วนประทานให้ข้าแทน ดังนั้นข้าจะหยิบมาเลยก็ถือว่าไม่เป็นปัญหา”
“เช่นนี้นี่เอง แต่ข้ารู้สึกว่าท่าทางท่านไม่เหมือนคนชอบกินของหวาน” นางมองเขาอย่างเว้าวอน คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถเข้าใจความนัยของตน นางรู้สึกจริงๆ ว่าบรรดาของว่างแสนงดงามพวกนี้ค่อนข้างเหมาะกับตนเองมากกว่าเขา
จูจันจีลอบยิ้มก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่ชอบ แต่เหล่านางกำนัลน้อยๆ ล้วนชอบ ข้ารู้สึกว่าให้พวกนางก็ไม่เลว อย่างน้อยเวลาพวกนางเรียกว่าพี่ฉีซื่อก็ดูจริงใจมากนัก”
พวกเจ้าคิดเจ้าแค้น ประโยคนี้นางกล้าด่าแค่ในใจ ภายนอกยังคงเสแสร้งเป็นคนดีและสัตย์ซื่อ
กัวอ้ายยิ้มแย้มตาหยีแล้วเอ่ย “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร เวลาน้องชายเรียกท่านว่าพี่ฉีซื่อเองก็ออกมาจากใจจริงเป็นที่สุด ว่าไปแล้ว วันนี้น้องชายเองก็นับเป็นนางกำนัล” นางลุกขึ้นยืน จีบนิ้วเป็นดอกกล้วยไม้ไว้ข้างเอวแล้วย่อกายทำความเคารพ
มือกำลังเท้าคาง เขาเหลือบมองไปที่หน้าอกนางคราหนึ่ง แววตาไม่สบอารมณ์
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่ความหมายก็ชัดเจนมากเสียจนกัวอ้ายอยากจะลงมือทำร้ายคนขึ้นมา
นี่เป็นการดูถูกผู้อื่นผ่านการแสดงออกแบบใดกัน ขอร้องล่ะ นางมิใช่ไม่มีของดี เพียงแค่ฐานะไม่อาจเปิดเผยได้! ช่างน่าโมโหแทบตายแล้วจริงๆ
กัวอ้ายปากขยับงึมงำ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “มิเช่นนั้นก็ขายให้ข้าเสียเถอะ น้องชายไม่มีรูปร่างที่ดีแต่มีเงิน”
จูจันจีได้ยินแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพลันหัวเราะออกมา ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงหยุดลงได้
“ชูรื่อ เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ” ที่เขาเองพูดคำพูดประเภทนี้ออกมาได้ก็ช่าง…น่าขันยิ่งนัก “บางทีข้าก็กลัวว่าถ้าอยู่กับเจ้านานไปแล้ว อาจเกิดอาการบาดเจ็บภายในขึ้นมาได้”
เช่นนั้นท่านก็ไปอยู่ให้ห่างๆ จากข้าหน่อยสิ! เห็นได้ชัดว่าคนที่ชอบสร้างปัญหาคือท่าน เจ้าคนโบราณเส้นตื้น!
นางถลึงตามองเขาอีกคราหนึ่ง พร้อมใส่ความคับแค้นใจทั้งหมดลงไปในการมองครั้งนี้
“เร็วเข้า จะขายให้ข้าหรือไม่ ตอบมาคำเดียว” นางอยากกิน นางอยากกินมากๆ ขืนถ่วงเวลาเช่นนี้ต่อไป ของก็จะรสชาติไม่ดีแล้ว
เขาแบสองมือออก “ข้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน”
ประโยคนี้ประโยคเดียวสร้างแรงโจมตีอย่างหนักหน่วงใส่นาง นางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “แล้วท่านต้องการอะไร ต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมมอบของให้กับข้า”
“อืม…” เขาแสร้งทำท่าทางครุ่นคิด “จริงสิ ข้าชอบฟังความลับ ถ้าอย่างไรก็เอาความลับอีกสักเรื่องมาแลกกับข้าแล้วกัน”
ความลับอีกแล้ว! ที่แท้คนสมัยโบราณนอกจากเส้นตื้นแล้ว ยังขี้นินทาเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าเป็นแค่ขันทีตัวน้อยๆ คนหนึ่ง จะยังมีความลับอะไรได้อีก” ส่วนความลับที่เกี่ยวข้องความเป็นความตายพวกนั้น ต่อให้นางตายก็ยังไม่อาจพูดออกมา
“เรื่องนั้นก็จริง มิเช่นนั้นเจ้าบอกข้า เพราะอะไรวันนี้ถึงได้แต่งกายเช่นนี้มาหลอกลวงผู้อื่นอีกแล้ว”
นางถามออกมาอย่างเหลือเชื่อ “แค่นี้? แค่ข้าบอกท่านก็จะให้?”
จูจันจีดื่มชาไปอีกอึกแล้วจึงผลักกล่องปิ่นโตไปทางด้านหน้านางเล็กน้อย สื่อความหมายกับนางอย่างชัดเจน
กัวอ้ายเห็นเช่นนั้นก็ลื่นไหลหยิบขนมวุ้นพุทราแดงขึ้นมาก่อนชิ้นหนึ่ง ก่อนจะกินไปพลางพูดไปพลาง “อื้อๆ อร่อยดีจัง” หลังกล่าวชื่นชมจบ นางก็หยิบลูกแก้วสีม่วงลูกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อและยื่นให้เขา
“นี่มิใช่ลูกแก้วหรือ” สำหรับเขาที่พบเห็นของล้ำค่ามามากมายนักแล้ว แค่ลูกแก้วลูกหนึ่งนั้นไม่ได้หายากอะไรเลย
หลังจากกลืนขนมวุ้นพุทราแดงชิ้นที่สองลงไป นางก็นำลูกแก้วกลับมาด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง ใช้เพียงมือที่ยังไม่ได้หยิบอาหารจับมันเก็บเข้าไปในอกเสื้อ
“ท่านไม่รู้สึกว่ามันงดงามมากหรือ”
กัวอ้ายเห็นเขาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย นางก็กลอกตามองเขาไปคราหนึ่ง “ตาท่านช่างไร้แวว ลูกแก้วลูกนี้เป็นถึงของที่ชายารัชทายาทประทานให้เชียวนะ”
ตาเจ้าต่างหากที่ไร้แวว เขาลอบด่านางในใจ
“เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าแต่งตัวเป็นนางกำนัลตรงที่ใด”
“สิ่งนี้แต่เดิมเป็นของที่ชายารัชทายาทประทานให้พี่เสี่ยวเยวี่ย พร้อมทั้งสั่งให้พี่สาวนำชากับของว่างมาส่งยังวังหวงไท่ซุน พี่สาวรู้ว่าข้าชื่นชอบพวกของกระจุกกระจิกที่มีสีม่วงมากนัก ตั้งใจหยิบขึ้นมาบอกว่าจะมอบให้ข้า แต่ข้ารู้สึกไม่ดีถ้าจะรับของผู้อื่นมาโดยเปล่าๆ ถึงได้เต็มใจถ่อมาถึงที่นี่รอบหนึ่ง แล้วท่านเองก็รู้ว่าขันทีกับนางกำนัลไม่สามารถแอบพบปะกันได้ หากข้าอาศัยฐานะขันทีมาส่งของแทนพี่สาว ไม่เกิดอะไรขึ้นก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดมีคนพูดจาเสียหายลับหลังขึ้นมา ต้องกลายเป็นปัญหาแน่ๆ ข้าถึงได้ต้องเปลี่ยนมาเป็นสภาพนี้” ระหว่างที่อธิบาย นางก็กินของว่างหมดไปแล้วหนึ่งชั้นอย่างรวดเร็ว และกำลังเริ่มลงมือกับชั้นต่อไป
“เจ้าชอบพวกของกระจุกกระจิกที่มีสีม่วง?”
“ชอบ ชอบมากๆ” พูดมาถึงตรงนี้ แววตาของนางก็หม่นแสงลง
ตอนที่อยู่ยุคปัจจุบัน กัวอ้ายเป็นลูกสาวสุดที่รักที่พ่อแม่ทะนุถนอม เพราะว่าแม่ชอบสีม่วง ตนเองจึงรู้สึกชอบด้วย สองแม่ลูกเลยมักทำให้ทุกที่ภายในบ้านมีพวกของกระจุกกระจิกสีม่วงวางอยู่เต็มไปหมด พ่อจนปัญญากับเรื่องความชอบนี้ แต่ก็มิเคยว่ากล่าวอะไร
นางยังจำได้ว่าแม่รักสร้อยคอคริสตัลสีม่วงเส้นหนึ่งเป็นพิเศษ เนื่องจากนั่นเป็นของขวัญที่ระลึกครบรอบวันแต่งงานที่พ่อมอบให้แม่ เมื่อมาถึงที่นี่ของสีม่วงจึงมักทำให้นางนึกถึงแม่…แต่ก็นับว่าช่วยบรรเทาความรู้สึกคิดถึงบ้านไปได้บ้าง โดยเฉพาะลูกแก้วในอกเสื้อลูกนี้ยิ่งคล้ายกับสีของคริสตัล นางก็เลยชอบมันมาก
“เป็นอะไรไป” นี่เป็นครั้งแรกที่จูจันจีได้เห็นในแววตาคนผู้นี้ไม่มีประกายสดใส เขารู้สึกไม่ชอบที่เห็นเช่นนี้ ชั่วพริบตานั้นเขาขมวดคิ้วขึ้นทันที
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงคิดถึงบ้าน แม่ของข้าเองก็ชอบสิ่งของสีม่วง พอเห็นของพวกนี้แล้วจึงทำให้ข้าหายคิดถึงบ้านเกิดไปได้บ้าง” พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดกินอาหาร
จูจันจีเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็พลันลุกขึ้นยืน เริ่มค้นหาสิ่งของในบรรดาลิ้นชักไม้ขึ้นมา
กัวอ้ายมองเขาอย่างงุนงง ผ่านไปสักพักถึงได้เข้าใจเจตนาของเขา
“นี่…นี่คืออะไร” นางจ้องเขม็งไปยังสิ่งของที่เขายื่นให้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ไม่นานนักบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “มันช่าง…งดงามมากจริงๆ”
เขาพึงพอใจกับการตอบรับของนางยิ่งนัก จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ให้เจ้า”
“ให้ข้า?” นางมองประเมินสิ่งของบนฝ่ามืออย่างละเอียด ถึงนางไม่รู้ว่าคนที่นี่เรียกมันว่าอะไร แต่สิ่งนี้น่าจะเป็นไข่มุกที่ทำมาจากคริสตัลสีม่วง “ของสิ่งนี้จะต้องล้ำค่ามากแน่ๆ จะให้ข้าได้อย่างไร ว่าไปแล้ว สิ่งของขององค์หวงไท่ซุนท่านยังกล้ามอบให้ผู้อื่น ท่านไม่รักชีวิตแล้วหรือ”
เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “สิ่งนี้เป็นเพราะครั้งหนึ่งข้าทำความดีความชอบครั้งใหญ่ องค์ชายจึงประทานให้ข้า ข้า…ข้าเลยวางไว้ในลิ้นชักก่อน” เขาพูดส่งๆ ไปเรื่อย
ความจริงแล้วไข่มุกตงเป่ยสีม่วงเม็ดนี้เป็นของที่พระอัยกาพระราชทานมาให้ แต่ของพวกนี้สำหรับเขาแล้วมิได้มีประโยชน์อันใด เขาเลยรับมาแล้วเก็บเอาไว้ในห้องหนังสืออย่างไม่ใส่ใจ
ตอนนี้เขารู้สึกว่าไข่มุกเม็ดนี้ได้พบเจ้าของของมันแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือเขารู้สึกว่าท่าทางร่าเริงสดใสเช่นนี้จึงจะเหมาะกับชูรื่อที่สุด
“จริงหรือ” นางมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่ ถึงเวลามิใช่ข้าต้องโทษขโมยสมบัติของเชื้อพระวงศ์ขึ้นมา หัวข้าได้หลุดออกจากบ่าแน่ๆ”
บุรุษผู้นี้คงมิใช่มีเรื่องกับนางเพียงไม่กี่ครั้ง ก็จงใจหาเรื่องแก้แค้นนางใช่หรือไม่
“ข้ามิได้ต่ำช้าถึงเพียงนั้น ให้เจ้ารับก็รับไป ถ้าเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็จะเอาไปให้คนอื่นล่ะ” เขาทำท่าจะเก็บไข่มุกตงเป่ยบนมือของนางกลับมา
นางเคลื่อนไหวรวดเร็วดึงมือที่ยามนี้กำไข่มุกอยู่มาเก็บในอกเสื้อทันที “ข้ามิได้พูดว่าไม่เอาสักคำ ขอบคุณท่านมาก”
“เช่นนั้น…ลูกแก้วลูกนั้นก็ไม่ต้องการแล้วใช่หรือไม่” เขารู้สึกว่าของที่ตนเองมอบให้ดูดีกว่าของที่นางกำนัลชื่อเสี่ยวเยวี่ยอะไรนั่นมอบให้ชูรื่อมากมายนัก
“เหตุใดจะไม่ต้องการ กับสิ่งของดีๆ ยังมีการเกี่ยงงอนว่ามีมากไปด้วยหรือ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เห็นอีกฝ่ายล้วนรับของทั้งสองอย่างไปแล้ว ในใจของเขาก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง และเมื่อยังจัดการกับอารมณ์ไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้ต่อบทสนทนากับนางอีก
กัวอ้ายเองก็ไม่ได้สนใจเขา เริ่มต้นกินของว่างในกล่องปิ่นโตต่ออีกครา
ทันใดนั้นนางพลันส่งเสียงร้องตกใจออกมา “โห…”
“เป็นอะไรไปอีก กินโดนก้อนเงินตำลึงเข้าแล้วหรือไร” ได้มองการแสดงออกอันหลากหลายของคนตรงหน้า ในใจเขาเองก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นบ้างแล้ว จึงเอ่ยหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดีและขบขัน
“ก้อนเงินตำลึงมิได้อร่อยเสียหน่อย” ยิ่งกว่านั้นการกินก้อนเงินตำลึง…ช่างไม่เป็นมงคลยิ่ง! นางลอบคิดในใจ “ข้าต้องการจะบอกว่าสิ่งนี้รสชาติดียิ่งนัก”
“มีของอะไรที่เจ้ากินแล้วบอกว่าไม่อร่อยด้วยหรือ” เขาเห็นชูรื่อกินของทุกอย่างได้เอร็ดอร่อยนัก จนชวนให้อดสงสัยขึ้นมามิได้ หรือว่าสิ่งของเหล่านั้นจะไม่เหมือนกับที่เมื่อก่อนเคยส่งมากันนะ
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ เขาก็ยังมองไปยังของที่อีกฝ่ายพูดว่าอร่อยคราหนึ่ง…ขนมข้าวเหนียวดอกกุ้ย
“ฮึ คนอย่างท่านนี่นอกจากตาไร้แววแล้วปากยังเสียอีก ไม่ว่าอย่างไรเจ้าสิ่งนี้ก็อร่อยมาก” เอาเถอะ นี่ก็คงเหมือนกับที่ตนเองถูกกำหนดมาให้เป็นเจ้าของคริสตัลสีม่วงกับขนมข้าวเหนียวเหล่านี้แล้ว มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงความงามของพวกมัน
“ข้า…ช่างเถอะๆ ไม่ต่อปากต่อคำกับเจ้าแล้ว” เห็นท่าทางเห็นแก่กินของอีกฝ่ายที่เหลือเพียงไม่กินนิ้วเข้าไปด้วยแล้วนั้น เขาก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ
จะว่าไปแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ตนเองยอมให้กับข้ารับใช้คนหนึ่งถึงเพียงนี้
นึกมาถึงตรงนี้ ความคิดหนึ่งก็พลันผุดวาบขึ้นมาในใจ โดยไม่คิดอะไรให้มากความอีก เขาก็อ้าปากเอ่ยถามขึ้นมาแล้ว “ชูรื่อ เจ้าอยากมาเป็นข้ารับใช้ที่วังหวงไท่ซุนหรือไม่”
เพียงแค่คิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น มุมปากเขาก็ขยับยกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หากมีคนน่าสนใจอย่างชูรื่อมาอยู่ข้างกายเขาในทุกๆ วัน ก็น่าจะช่วยเพิ่มเรื่องสนุกๆ ให้แก่ชีวิตเขาได้ไม่น้อย
“วังหวงไท่ซุน?” ความเร็วในการกินของนางค่อยๆ ลดลง
จูจันจีคิดไปว่านางสนใจแล้ว จึงพูดเกลี้ยกล่อมต่อ “ใช่แล้ว องค์ชายยังฟังคำพูดของข้าอยู่บ้าง ให้ข้าพูดแนะนำเจ้ามาเป็นขันทีข้างกายองค์หวงไท่ซุนนั้นถือว่าไม่เป็นปัญหา คำนวณดูแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นการเลื่อนขั้นครั้งยิ่งใหญ่ของเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร”
จากนั้นรอการพบหน้ากันอย่างเป็นทางการในวันนั้น ค่อยให้ชูรื่อรู้ด้วยตนเองว่าหวงไท่ซุนคือเขาเอง…
“ข้าไม่ต้องการ”
“รอผ่านไปสักสองวันแล้ว ข้าจะ…ช้าก่อน เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร” เขาฟังผิดไปหรือไม่
“ข้าบอกว่าข้าไม่ต้องการ!” นางกล่าวโดยไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดของเขา ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเริ่มยื่นมือลงไปยังกล่องปิ่นโตชั้นที่สาม
จะไม่ต้องการได้อย่างไร! นี่เป็นเรื่องที่ขันทีจำนวนมากมายแย่งชิงกัน เหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่ต้องการ!
“ชูรื่อ เจ้าเข้าใจผิดอะไรไปแล้วใช่หรือไม่ นี่เป็นข้อเสนอที่ดีมากนะ…” พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตั้งใจฟังคำพูดของตนเองเลยสักนิด จูจันจีก็หยิบฝาปิ่นโตไปปิด “ตั้งใจฟังที่ข้าพูดด้วย”
“นั่นมันของข้า…” เห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นจริงจังแล้ว นางก็ถอนหายใจก่อนจะงึมงำถาม “ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ข้าต้องการบอกว่าข้าจะช่วยจัดการให้เจ้ามาอยู่ที่วังหวงไท่ซุน…”
“ข้าบอกว่าไม่ต้องการอย่างไรเล่า” นางยืนกรานหนักแน่น “ข้าชอบตำแหน่งในปัจจุบันของตนเอง ข้าอยากอยู่เช่นนี้ไปตลอดชีวิต ท่านไม่ต้องมายุ่งกับข้า”
ความจริงก็คือนางรู้สึกว่าการอยู่ข้างกายหวงไท่ซุนเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป
แม้วิญญาณของนางจะเป็นกัวอ้าย แต่ร่างกายกลับเป็นซูลี่ และเป็นซูลี่คนที่ฮ่องเต้ต้องการจะฆ่าเสียให้ได้!
เมื่อนึกไปถึงบรรดาทหารที่นำภาพเสมือนของนางออกค้นหาไปทั่วเมือง ในใจนางลอบคิดว่าดีไม่ดีแม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจจะเคยเห็นภาพเสมือนนั้นของนางแล้ว
หากนางกลายมาเป็นขันทีข้างกายหวงไท่ซุนจริงๆ โอกาสในการพบพระพักตร์ฮ่องเต้ก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เช่นนั้นโอกาสที่นางจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่ได้ก็จะยิ่งเพิ่มพูน นางยังไม่ได้โง่จนอยากเข้าสู่ความตายรวดเร็วถึงเพียงนั้น
“แต่ว่า…”
“เอาน่าๆ คืนของมาให้ข้าได้แล้ว” นางยังต้องห่อขนมหวานบางส่วนกลับไปให้หวังลู่กับหวังเจิ้นได้ลองชิมด้วยเช่นกัน
จูจันจีเห็นนางไม่ยินยอมจริงๆ ใบหน้าก็พลันเข้มขรึมลงอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่ง
เขาเป็นถึงหวงไท่ซุนที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงโปรดปรานที่สุด มิคาดว่ากลับยังมีคนไม่คิดอยากมาเป็นข้ารับใช้อยู่ข้างกายเขา! ยามนี้เขามีความรู้สึกอัดอั้นเหมือนถูกรังเกียจอย่างไรอย่างนั้น ขันทีน้อยผู้นี้ออกจะไม่ไว้หน้าเขาเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ
เขากดฝากล่องปิ่นโตเอาไว้ อ้าปากเอ่ยเสียงแข็ง “หมดแล้ว ส่วนของเจ้าไม่เหลือแล้ว”
“โกหก ท่านเอาเปรียบข้า ไหนว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่านั่นเป็นของข้า”
คนผู้นี้เป็นอะไรไปแล้ว!
“บอกจะให้เจ้า แต่ไม่ได้บอกว่าจะให้เท่าไร เจ้ากินไปตั้งสองชั้นแล้ว มิรู้ว่ามีของลงไปอยู่ในท้องแล้วมากเพียงใด เจ้ายังคิดจะห่อกลับไป ข้ารู้สึกว่าการซื้อขายครั้งนี้ ตัวเจ้าเองก็ได้กำไรไปเยอะแล้ว” เขารู้ว่าตนเองทำเช่นนี้เป็นการทำตัวโมโหแบบเด็กๆ มากเพียงใด แต่อย่างไรเขาก็ไม่พอใจกับท่าทีของชูรื่ออยู่ดี
“ท่าน…” กัวอ้ายถลึงตามองเขา ในใจไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง บุรุษผู้นี้ช่างซื่อสัตย์ต่อเจ้านายดีเสียจริง เพียงตัวนางไม่สนใจมาเป็นข้ารับใช้ที่วังหวงไท่ซุน เขาก็กลับโกรธแทนเจ้านายขึ้นมาเสียแล้ว “นี่ พวกเรามาเล่นอะไรกันอย่างหนึ่งดีหรือไม่”
จูจันจีเหล่มองนางครั้งหนึ่งก็รู้สึกสนใจขึ้นมา “เจ้าลองพูดมาก่อน”
“ข้าว่าเล่นซ่อนแอบก็แล้วกัน”
“ซ่อนแอบ?”
“ใช่ ท่านเป็นผี ข้าเป็นคนซ่อน เล่นกันภายในวังหลวงนี้ หากท่านสามารถหาตัวตนที่แท้จริงของข้าพบภายในสามวัน ข้าก็จะยอมมาเป็นข้ารับใช้ที่วังหวงไท่ซุนตามที่ท่านต้องการ ถ้าหากกลับกัน ท่านก็จะติดค้างหนี้บุญคุณข้าหนหนึ่ง ยังมี…” สองมือของนางคว้ากล่องปิ่นโต “เพื่อคำร้องขออันไร้เหตุผลนี้ของท่าน ข้าเลยต้องเหนื่อยตามไปด้วย ดังนั้นกล่องของว่างนี้ถือเป็นของข้าแล้ว”
เขาฟังจบก็ปล่อยมือจากปิ่นโตทันที “ได้ๆ ไม่มีปัญหา”
น่าขันเกินไปแล้ว เขาเป็นถึงหวงไท่ซุน ต้องการหาคนคนหนึ่งในวังหลวงให้พบจะเป็นเรื่องยากอะไร! คราวนี้เขาเป็นผู้ชนะแน่นอนแล้ว เขาจะต้องทำให้ชูรื่อมาเป็นข้ารับใช้ของเขาให้ได้
“อ้อ ข้ายังมีอีกหนึ่งเงื่อนไข” หลังจากแย่งกล่องปิ่นโตกลับมาได้แล้วสีหน้าของกัวอ้ายก็อิ่มเอมยิ่งนัก นางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ทุกคนในวังหลวงล้วนมีการจดบันทึกรายชื่อ ยิ่งเป็นองครักษ์ลับอย่างพวกท่านเช่นนี้จะต้องมีวิธีการมากมายในการหาข่าวสารอย่างแน่นอน ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ยุติธรรมต่อข้าเท่าที่ควร”
ดังคาด เด็กคนนี้ยังไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีนัก ยิ่งยากเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ!
จูจันจีเองก็ยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นเจ้าต้องการจะทำอย่างไร”
“เงื่อนไขของข้าคือท่านไม่สามารถใช้ชื่อของข้าในการตามหาข้า”
จูจันจีนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตบสองมือลงบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ “ตกลง คำใดคำนั้น”
* เสี่ยวหลี่จื่อ หรือหลี่เหลียนอิง เป็นขันทีคนสนิทของซูสีไทเฮา ซึ่งในบทละครเหล่าฮ่องเต้ ไทเฮา และบรรดาสนมชายามักจะเรียกขันทีด้วยคำว่า ‘เสี่ยว+สกุล+จื่อ’
* เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ เป็นสำนวน หมายถึงคนผู้หนึ่งมีจิตใจต้องการช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นแต่อีกคนกลับเย็นชาใส่
* ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น.
* กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูงชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนพู่กันจีน เนื้อกระดาษนิ่มเหนียวไม่ขาดง่าย ดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ แมลงไม่กัดแทะ มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองเซวียน มณฑลอันฮุย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.