บทที่ 1
หอห้องสะอาดตาไร้ฝุ่นผง สิ่งของจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย
นี่ก็คือตำหนักขององค์เป้ยเล่อ* ที่สิบเจ็ดนามว่า ‘หย่งหลิน’
แต่ทว่า…
“นี่คือสิ่งใด” ในโถงใหญ่มีคนผู้หนึ่งเบิกดวงตาอันเฉียบคมจ้องมอง
“เรียนหัวหน้าแม่บ้าน นี่คือ…เม็ดทรายบนโต๊ะเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างขลาดกลัว
“ทราย?” ดวงตาโตหรี่ลงเป็นเส้นบางประดุจคมมีด “มาจากที่ใด”
“วัน…วันนี้มีลม…ลมอาคเนย์พัดเอามาเจ้าค่ะ…”
สายตาคู่นั้นจ้องมองเม็ดทรายประดุจศัตรูคู่อาฆาต “กำจัดมันเสีย!” สิ้นเสียงคำสั่ง เพียงชั่วพริบตาคนหลายสิบคนก็กรูเข้ามาในโถงใหญ่เพื่อจัดการกับฝุ่นทรายเพียงไม่กี่เม็ดนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ฝุ่นทรายบนโต๊ะน้ำชาก็หายวับไปราวกลุ่มควัน ห้องโถงเองก็ดูสะอาดเอี่ยม ‘ยิ่งขึ้น’ แม้แต่ในมุมผนังเล็กๆ ก็มองไม่เห็นแม้แต่ทรายเพียงเม็ด…ไม่สิ ควรกล่าวว่า… แม้แต่ฝุ่นผงก็อย่าได้ริอ่านคงอยู่
ในที่สุดนางก็พึงพอใจ
“องค์เป้ยเล่อกลับมาแล้ว!” ทันใดนั้นก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน
นางได้ยินดังนั้นเรียวคิ้วโค้งงามก็พลันเลิกสูงขึ้น “วันนี้กลับมาเร็วกว่าทุกที รีบเตรียมออกไปต้อนรับ!”
“ขอรับ” บ่าวรับใช้สิบกว่าคนแยกย้ายจากไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
จากนั้นบุรุษในชุดคลุมผ้าฝ้ายปักดิ้นก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาในโถง
เขามีจมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาหงส์ ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย ดูท่าทางคล้ายไม่แยแสสิ่งใด แต่ที่แท้กลับเจ้าเล่ห์ มากแผนการจนเป็นที่น่าเดือดดาลแก่ผู้คนยิ่งนัก
ภายใต้ท่าทางเฉื่อยชาของเขาแฝงไว้ด้วยบารมีสูงศักดิ์ สายตากวาดมองสำรวจห้องโถงรอบหนึ่ง เมื่อพอใจกับสภาพรอบด้านแล้วจึงค่อยหย่อนกายลงนั่ง
หลังจากนั่งลงแล้ว สาวใช้สองนางก็รีบก้าวเข้ามาปัดปุยหิมะสีขาวบนด้ายดิ้นทองตรงบ่าของชายหนุ่มที่ติดมาจากด้านนอก พร้อมกันนั้นเตาไฟทั้งสามที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องก็ถูกจุดขึ้น จากนั้นก็มีบ่าวใช้สองมือประคองชาโสมร้อนถ้วยหนึ่งส่งให้
ชายหนุ่มจิบชาโสมไปอึกหนึ่ง คิ้วรูปดาบขมวดมุ่นเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่าย สักพักถึงค่อยมีคนเข้ามาเปลี่ยนชาโสมในมือของเขาเป็นชาหวงซานเหมาเฟิงให้แทน
ชาชนิดนี้ปลูกบนเขาหวงซานในอันฮุย เพราะใบชามีขนอ่อนสีขาวหุ้มอยู่รอบๆ อีกทั้งมีแหล่งกำเนิดจากเขาหวงซานจึงได้ชื่อว่า ‘หวงซานเหมาเฟิง’ เป็นชาที่มีรสชาติหวาน กลิ่นหอมดุจกล้วยไม้ แฝงเสน่ห์เอาไว้ลึกล้ำน่าดื่มด่ำยิ่ง
นี่คือสิ่งที่องค์เป้ยเล่อโปรดปรานที่สุด ทุกวันเขาจะต้องดื่มมากกว่าหนึ่งถ้วย เมื่อครู่เป็นเพราะกลับมาเร็วกว่าทุกวัน ห้องครัวเตรียมชาให้ไม่ทัน จึงใช้ชาโสมออกมาต้อนรับเสียก่อน แต่กระนั้นก็ยังทำให้เขาอดขมวดคิ้วได้รูปคู่นั้นไม่ได้อยู่ดี
ทว่าเงาร่างที่ยืนอยู่ข้างกายองค์เป้ยเล่อผู้นั้นกลับไม่สบอารมณ์ ดวงตาคู่งามจ้องเขม็ง ผู้ที่รับผิดชอบทำหน้าที่ชงชาผู้นั้นก็พลันตัวสั่นระริกราวกับเปลวไฟต้องสายลม
“ออกไป!” นางสั่งเสียงเย็น เครื่องหน้าประณีตงดงามกลับมีสีหน้าข่มขวัญผู้คนยิ่ง
บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ชงชาแม้ขาจะอ่อนระทวยไปหมดแต่ก็ยังต้องคลานออกจากโถงเพื่อไปรายงานตัวที่ห้องเก็บฟืนด้วยตนเอง ที่นั่นมีขันทีสองคนยืนถือไม้พลองยาวกำลังรอเขาอยู่
หางตาของเขามีน้ำตาเอ่อคลอแต่ก็ไม่กล้าร่ำไห้ออกมา ได้แต่กัดฟันนอนนาบลงบนแท่นไม้ หลังจากถูกโบยกว่ายี่สิบไม้จนเนื้อบั้นท้ายแทบปริแตกถึงค่อยถูกคนแบกไปที่ห้องยาเพื่อทายา
ในห้องโถง ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หัวหน้าแม่บ้านอย่างหวาดระแวง หวังว่านางจะคลายโทสะอย่าได้โมโหอีกเลย อีกทั้งยังภาวนาขออย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
“องค์เป้ยเล่อ จะให้ตั้งสำรับเร็วขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ขอรับ” บ่าวผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างนอบน้อม
“อีกเดี๋ยวก็แล้วกัน วันนี้ราชสำนักไม่มีเรื่องอันใดจึงกลับมาเร็วกว่าทุกที ทั้งยังไม่ค่อยอยากอาหาร…” ระหว่างที่พูดน้ำเสียงก็พลันเบาลง สายตาเพ่งไปที่คราบสกปรกบนแขนเสื้อของผู้ที่เข้ามาถาม
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของนายท่านแล้ว สีหน้าของคนผู้นั้นก็เปลี่ยนไปในทันที แต่สายตาที่เขามองไปกลับไม่ใช่นายท่าน แต่เป็นหญิงสาวสีหน้าเย็นชาดุจเหมันตฤดูที่อยู่ข้างกายนายท่านต่างหาก
“ออกไป!”
คำนี้อีกแล้ว!
ด้วยเพราะหวาดกลัวจนก้าวขาไม่ออก เขาจึงถูกคนหามตัวออกไปจากห้องโถง ไม่นานนักด้านหลังของห้องโถงก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บที่บั้นท้ายเพิ่มอีกหนึ่งราย
ทั้งสองคนหายไปแล้ว แต่ผู้ที่เป็นนายท่านยังคงมีท่าทางไม่ยี่หระเช่นเดิม “ฮุ่ยเอ๋อร์ จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ”
ฟังน้ำเสียงดูเถิด ราวกับกำลังโทษว่านางโหดร้ายกระนั้น หญิงสาวข้างกายนายท่านลอบเหลือกตาใส่เขาทีหนึ่ง คนหน้าเนื้อใจเสือ!
“ทำผิดก็ต้องรับโทษ มีอันใดไม่ถูกต้องหรือเจ้าคะ” นางตอบอย่างเย็นชา
“อืม” ชายหนุ่มจิบชาพลางรับคำอย่างเนิบช้า ไม่คัดค้านการกระทำของนางอีก
เห็นเช่นนั้น บรรดาบ่าวไพร่ต่างหันไปมองนายท่านอย่างตัดพ้อ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายท่านจึงเชื่อฟังคำของสตรีนางนี้นัก
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าชาติกำเนิดของหัวหน้าแม่บ้านผู้นี้หาได้ดีงามอะไร บิดาของนางเป็นเชื้อพระวงศ์แตกแถวที่ถูกริบบรรดาศักดิ์ ฐานะท่านหญิงแต่เดิมของนางย่อมหลุดลอยตามไปด้วย ทั้งได้ยินมาว่านางถูกองค์เป้ยเล่อไถ่ตัวกลับมาจากหอคณิกา ทั้งที่มีเบื้องหลังแปดเปื้อนและมิอาจยอมรับได้เช่นนี้กลับทำให้นายท่านผู้มีสายตาสูงลิบของพวกเขารั้งตัวไว้ใช้สอย ถึงขั้นปีนขึ้น… สรุปก็คือสตรีนางนี้มีวิธีรับมือกับผู้เป็นนาย สามารถปรนนิบัติรับใช้นายท่านอย่างไม่ขาดตกบกพร่องทำให้ทุกคนล้วนชื่นชม
แต่ทว่านิสัยของสตรีนางนี้กลับอยู่ร่วมด้วยยากยิ่งนัก ใจคอโหดเหี้ยมอย่างยากจะพบเห็น เข้มงวดกับเหล่าบริวารจนเกินทานทน ทำผิดเพียงเล็กน้อยก็ส่งคนให้ตกลงไปในธาราลึกอัคคีร้อน* ผู้ที่น่าชิงชังเช่นนี้ นายท่านกลับยอมให้นางอยู่ข้างกายกระทำการร้ายกาจตามอำเภอใจ บ่าวไพร่ในวังไม่ว่าบนหรือล่างก็ล้วนแต่เคียดแค้นนางแต่ไม่กล้าเอ่ยปากออกมากันทั้งนั้น!
ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ลอบพร่ำบ่นอยู่ในใจว่าสายตามองคนขององค์เป้ยเล่อไม่ชัดเจนถึงได้เลี้ยงสตรีน่ารังเกียจคนหนึ่งไว้ข้างกายให้กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์*
“เหตุใดองค์เป้ยเล่อจึงกลับมาเร็วนักเจ้าคะ” กงฮุ่ยมองเมินกลิ่นอายความอาฆาตที่ส่งมาจากรอบด้านและเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีธุระอันใดย่อมต้องกลับมาเร็วอยู่แล้ว” ชาหยดหนึ่งกระฉอกออกมาจากขอบถ้วยขณะที่เขากำลังยกดื่ม
รีบกลับมาสร้างความวุ่นวายมากกว่ากระมัง!
นางส่งสัญญาณทางสายตาก็มีคนรีบเข้ามายื่นผ้าไหมสีขาวสะอาดผืนหนึ่งให้เขา รอจนเขาเช็ดมือเสร็จ ขันทีก็นำมันกลับมาวางบนถาด อีกครู่ต้องนำไปซักให้สะอาดแล้วรีดใหม่ให้เรียบ
เมื่อเห็นเขาแหงนหน้ามองสีท้องฟ้าที่ด้านนอก กงฮุ่ยก็ลอบหลั่งเหงื่อเย็น ร้องถามด้วยใจภาวนา
“องค์เป้ยเล่ออยากจะออกไปเดินเล่นหรือเจ้าคะ”
เขารั้งสายตาที่กำลังชื่นชมท้องฟ้าที่ด้านนอกกลับมาก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ถึงดวงตะวันที่ด้านนอกจะงดงามสดใส แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับความอบอุ่นสงบเงียบภายในห้อง อาหารเช้าให้ยกเข้าไปที่ห้องของข้า ส่วนเจ้าตามเข้ามากินเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน”
สีหน้าของนางเปลี่ยนโดยพลัน ขณะที่คิดจะปฏิเสธ เขาก็ก้มลงจัดชายเสื้อเล็กน้อย “ข้าหิวแล้ว ไปกันเถอะ” พูดจบเขาก็หมุนร่างเดินเข้าไปด้านใน
ด้วยเหตุนี้ กงฮุ่ยที่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างจึงได้แต่อ้าปากค้างไว้อย่างนั้น เหงื่อที่ไหลออกมาหยดลงอย่างไม่เกรงใจทำให้คอเสื้อของชุดฉีจวง** ของนางเปียกชุ่มเป็นวง
“ชานั่นเพียงส่งมาช้าครู่เดียวเท่านั้น แขนเสื้อที่สกปรกก็เพราะไม่ทันระวังจึงเปื้อน ข้าลงโทษคนไปแล้ว ท่านก็อย่ากลั่นแกล้งผู้อื่นอีกเลยเจ้าค่ะ” เมื่อเดินตามผู้เป็นนายเข้ามาในห้อง กงฮุ่ยก็พูดขึ้นทันที
“ก็แค่โบยเพียงไม่กี่ไม้ นับเป็นการลงโทษได้ด้วยหรือ” หย่งหลินแย้มยิ้มเยียบเย็น
“บั้นท้ายแทบจะหนังเปิดเนื้อปริอยู่แล้วยังไม่ถือว่าลงโทษอีกหรือเจ้าคะ ท่านโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!” นางเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ
ข้างนอกต่างรู้กันทั่ว นางเป็นแม่เสือแห่งวังเป้ยเล่อ ทุกคนต่างก็กลัวนางราวกับภูตผี เล่าลือกันว่านางเป็นโรครักสะอาด ไม่อาจอยู่ใกล้ผู้คน ทั้งยังกล่าวกันอีกว่านางเป็นจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ไม่ต่างหญิงงามอสรพิษ หารู้ไม่ว่า…
“อย่างที่ข้าเคยบอกไว้ บ่าวไพร่ที่รับใช้ไม่ได้ความอย่างคราวนี้ต้องถูกยึดทรัพย์ ไม่ก็ตีขาให้พิการ ถึงจะให้บทเรียนพวกมันไปตลอดชีวิตว่าอย่าได้เลินเล่อให้เป็นที่ระคายเคืองสายตาของข้า ทำข้าเสียเรื่องอีก!” ความเฉื่อยชาบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
นี่สิถึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหย่งหลิน บุคคลผู้เป็นโรครักความสะอาดขั้นรุนแรง อะไรไม่ถูกใจก็สังหารคนได้ผู้นี้!
หลายปีมานี้นางคอยช่วยเขา ‘กำจัดเชื้อโรค’ เพราะหากมีสิ่งใดมาแปดเปื้อนสายตาของเขาเพียงเล็กน้อย เขาเป็นต้องคิดจัดการคนผู้นั้นให้ถึงตาย เพื่อเป็นการช่วยเหลือ นางจึงมักจะชิงลงโทษคนก่อนเขาหนึ่งก้าวเสมอ ทำให้เขาไม่อาจระบายโทสะและไม่อาจลงมือได้ เหตุนี้คนนอกจึงมองว่านางเข้มงวด เห็นนางเป็นสัตว์ดุร้าย หารู้ไม่ว่าหม้อดำ* หม้อนี้นางแบกเอาไว้อย่างไม่เป็นธรรม
กงฮุ่ยตอบกลับอย่างโกรธเกรี้ยว “หลายปีมานี้หากทำตามอย่างที่ท่านว่า วังเป้ยเล่อแห่งนี้พริบตาคงเปลี่ยนเป็นที่ฝังศพไปแล้ว ใครหน้าไหนยังจะมีชีวิตอยู่รับใช้ท่านได้อีก”
เขาเลิกคิ้วมองนาง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คำพูดนี้ของเจ้าหาใช่ความจริงไม่ ข้ามิได้แล้งน้ำใจต่อเจ้า อย่างน้อยหลายปีที่ผ่านมา เจ้าทำความผิดไปก็ไม่น้อย แต่ข้าก็ไม่ได้ลงโทษอะไรเจ้าแม้เพียงนิด หากคิดจะทำจริง เจ้าไยมิต้องถูกแยกร่างหักกระดูกไปนานแล้วหรอกหรือ”
นางโอดครวญอยู่ในใจ ความผิดที่เขาว่ามาก็แค่ไม่ทันระวังทำแก้วตกแตก หรืออาจมีรอยเปื้อนอยู่บนตัวเขา ไม่ก็อาจเป็นเพราะทำเสื้อผ้าของเขายับกระมัง ถ้าหากเรื่องเหล่านี้ต้องใช้ความตายมาทดแทน นางคงตายเป็นพันๆ หมื่นๆ รอบไปนานแล้ว ทว่าที่นางไม่ตายก็หาใช่เป็นเพราะความใจกว้างของเขา แต่เป็นเพราะเขาหาวิธีอย่างอื่นมาลงโทษนางต่างหาก
“เจ้าค่ะๆ องค์เป้ยเล่อกล่าวได้ถูกต้อง บุญคุณของท่านที่มีต่อฮุ่ยเอ๋อร์ประดุจสายน้ำเชี่ยวกรากที่ไม่มีวันหยุดไหล ฮุ่ยเอ๋อร์จำได้ขึ้นใจไม่มีวันลืม อย่างน้อยชีวิตนี้ก็จะสำนึกในพระคุณ ปรนนิบัติรับใช้ท่านไปตลอดชีวิต” นางก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงขออภัย
แต่คำพูดนี้เมื่อลอยเข้าหูของหย่งหลินกลับกลายเป็นคำพูดเหน็บแนม ชายหนุ่มพลันหรี่ตาลง “เจ้ามานี่”
นางตกใจก้มหน้าเพ่งสายตาไปที่พื้นทันที แย่แล้วเชียว เผลอยั่วโทสะของเขาจนได้ ตอนที่เข้ามาในห้องก็ย้ำเตือนตนเองแล้วเชียวว่าต้องระวังคำพูด สุดท้ายก็ยังควบคุมลิ้นของตนเองไม่ได้อยู่ดี…
“องค์เป้ยเล่อ ยามนี้ฟ้ายังสว่าง อีกทั้งเมื่อคืนวานท่านก็เพิ่ง…”
“เมื่อคืนวานเป็นอย่างไร ก็มิใช่ว่าเป็นเรื่องของเมื่อคืนวานหรอกหรือ ฟ้าสว่างแล้วอย่างไร ใช่ว่าจะไม่เคยเสียหน่อย” ท่าทางสบายๆ ของเขากลับทำให้คนต้องกัดฟันกรอด
“แต่ว่า…แต่ว่าท่านยังไม่ได้กินอาหารเช้า…” ดวงตาของนางกวาดมองไปยังอาหารเต็มโต๊ะซึ่งบ่าวไพร่ตั้งสำรับไว้พร้อมสรรพตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในห้องแล้ว
“อีกเดี๋ยวค่อยกินก็ได้”
“อีกสักครู่ก็จะเย็นชืดเอานะเจ้าคะ”
“เย็นชืดก็ช่าง ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่หิว ที่หิวกลับเป็นส่วนอื่น” เขายิ้มอย่างชั่วร้าย
“ยังหิวอยู่อีก…เมื่อคืนก็สามรอบแล้วมิใช่หรือ…” เมื่อนางพูดไปเช่นนั้นดวงหน้าก็พลันแดงเรื่อขึ้น ยิ่งขับเน้นความงดงามหาใดเปรียบออกมา
“บอกแล้วมิใช่หรือ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าได้เอ่ยถึงอีก” หย่งหลินตรงดิ่งเข้าไปหาหญิงสาว สายตาจ้องมองใบหูข้างขวาขาวสะอาดของนาง ฝีเท้าเข้าประชิดแฝงความกรุ้มกริ่มอยู่ในที ร่างของนางพลันสั่นสะท้านเบาๆ
“ไม่…”
“ไม่เอา?” เขาขบเม้มติ่งหูของนางเบาๆ “หลายปีมานี้ คำว่าไม่เอาคำนี้ของเจ้าพูดมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่มีครั้งใดบ้างที่ไม่เอาจริงๆ” เขาขบกัดอีกครั้งจนนางหดกายหนีเล็กน้อยด้วยความเจ็บ “หรืออย่างเจ้าจะเรียกว่าอยากปฏิเสธแต่ก็ยังเชื้อเชิญ คิดว่าข้าชอบเช่นนี้จึงใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจจากข้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยคิดเรียกร้องความสนใจ ถ้าหากท่านมีความชมชอบอย่างอื่น ฮุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ขัดข้อง ทั้งไม่รั้งคนไว้เด็ดขาด”
ได้ฟังคำพูดของนางเขาก็สูดหายใจเข้าลึก สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ไม่ใส่ใจจริงๆ…หรือคิดว่าข้ารักสะอาด ไม่เปลี่ยนสตรีง่ายๆ เพื่อไม่ให้แปดเปื้อนร่างของข้า?” เขาพูดพลางยื่นนิ้วเข้าไปเกี่ยวสายเอี๊ยมในสาบเสื้อตรงบ่าของนาง
“…ที่ท่านเลือกมาล้วนแต่เป็นสตรีมีชาติตระกูล จะแปดเปื้อนร่างของท่านได้อย่างไรเจ้าคะ” นางพูดอย่างหดหู่
ตนเองก็แค่หนึ่งในของเล่นของเขาเท่านั้น หากกล่าวตามจริง นางก็หาได้ต่างจากหญิงสาวที่เขาชุบเลี้ยงไว้ในตำหนักในเหล่านั้น เขาเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาตอนนี้ ทำให้นางรู้สึกทนฟังต่อไปไม่ไหวจริงๆ
“อย่างนั้นหรือ” เขายิ้มเย็น “ถึงอย่างไรเจ้าก็ถูกข้าซื้อกลับมาจากหอคณิกา เจ้าย่อมเป็นดอกไม้ป่าช่อที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดข้างกายข้า แต่ถึงกระนั้นเจ้าดอกไม้ดอกนี้กลับเบ่งบานอยู่ข้างกายข้ามาห้าปีแล้ว” ในถ้อยคำแฝงการเสียดสี
กงฮุ่ยหลับตาปิดซ่อนแววตาอันซับซ้อนราวกับคุ้นชินวิธีพูดเหน็บแนมของเขามานานแล้ว “ดอกไม้ป่าที่ไม่บริสุทธิ์อย่างข้า ท่านจะกำจัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เพียงแค่ท่านออกคำสั่งมาคำเดียวเท่านั้น”
“จริงหรือ เรื่องราวจะง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” หย่งหลินพลันกระตุกมือดึงเอี๊ยมของนางออกอย่างชำนาญ เสื้อตัวนอกไม่แม้แต่จะเสียหายแต่เสื้อตัวในกลับหลุดออกมาแล้ว
นางกัดริมฝีปากไม่ส่งเสียง เพียงรู้สึกถึงหน้าอกที่แนบชิดกับเสื้อตัวนอกโดยตรง สัมผัสหยาบกระด้างของเสื้อตัวนอกเสียดสีจนนางขนลุกชัน
ชายหนุ่มฉีกยิ้มเย็นชาพลางใช้ฝ่ามือใหญ่สะอาดลูบไล้ไหล่เปลือยเปล่าของนาง ไม่นาน ฝ่ามือก็ไต่ลงมาสำรวจหน้าอกข้างหนึ่งอย่างชวนให้ประหวั่นอาย “ปัญหาก็คือ ยอดเนินที่อยู่ใต้ฝ่ามือของข้ากลับยิ่งชูชัน เจ้าเองก็ต้องการข้าเช่นกัน เรื่องนี้หลอกใครไม่ได้หรอก มีดอกไม้บางชนิดเป็นสัญลักษณ์ของความหลงใหล เรียกว่าเซียนเหรินจั่ง* เจ้าก็เหมือนเซียนเหรินจั่งที่มีหนาม ทั้งน่าหลงใหลทั้งอันตราย…” เขาพูดไปพลางแยกเปิดเสื้อตัวนอกของนางออก
ผิวเนียนนุ่มเมื่อแรกสัมผัสกับอากาศเย็นก็ทำให้กายของกงฮุ่ยสั่นสะท้านด้วยความหนาว สองมือนางกอดร่างเปลือยเปล่าเอาไว้ “และก็มีภาษาดอกไม้ของดอกไม้บางชนิดที่หมายถึงควบคุม ข่มใจ เรียกว่าดอกตู้เจวียน** ไม่รู้ว่าองค์เป้ยเล่อเคยได้ยินบ้างหรือไม่” เจ้าคนบ้าอำนาจเอาแต่ใจ! นางจ้องมองเขาอย่างกรุ่นโกรธ
หย่งหลินจ้องมองผิวขาวผ่องที่ค่อยๆ แดงเรื่อของนาง ดวงตาทั้งคู่ของเขาในยามนี้ก็ไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป มือหนึ่งยื่นออกไปปัดฝ่ามือที่ปิดบังหน้าอกของนางออก “คำพูดของเจ้านับวันยิ่งเฉียบแหลม ต้องการทำให้ข้าลุ่มหลงกระนั้นหรือ” ทรวงอกทั้งคู่ของนางงามละมุน ยอดเกสรสีชมพูเย้ายวนใจคนไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้เห็นเมื่อห้าปีก่อน
“เพื่อให้ท่านข่มเหงต่างหาก” ใบหน้าของนางร้อนลวกอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามบอกตนเองว่าอย่าได้หันหน้าหนี พร่ำบอกตนเองว่าร่างกายนี้หาใช่เป็นของนางมาตั้งนานแล้ว ต่อให้ปกปิดมากกว่านี้ก็ขวางการเรียกร้องอย่างย่ามใจของเขาไม่ได้อยู่ดี
“ข่มเหง? ข้ายกทั้งวังเป้ยเล่อแห่งนี้ให้เจ้าจัดการแล้ว เจ้ากลับทำหน้าที่ได้ไม่ดี ทำให้บ่าวไพร่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ทั้งไม่ยอมให้ข้าจัดการด้วยตนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมต้องรับผลที่ตามมาแทนพวกเขามิใช่หรือ”
“หึ!” นางถลึงตาใส่เขาอย่างชิงชัง
หย่งหลินหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ เขาชื่นชอบสีหน้ายามขุ่นเคืองของนางเป็นพิเศษ หลังจากที่เสียงเสื้อผ้าฉีกขาดทั้งบาดทั้งหวานหูดังขึ้นอีกครั้ง กระโปรงของนางก็หายไปอย่างสมบูรณ์
ชายหนุ่มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นัยน์ตาแฝงแววลึกล้ำตั้งแต่ต้นจนจบ นิ้วหนึ่งยื่นออกไปเขี่ยไล้ส่วนโค้งเว้าของนางอย่างเย้าหยอก
“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าชอบผิวพรรณเช่นนี้ของเจ้าที่สุด นุ่มเนียนราวกับขี้ผึ้งชั้นดีจนไม่อยากจะละมือ…” ชายหนุ่มจุมพิตลงบนลำคอขาวนวลของหญิงสาว นางคิดจะเบี่ยงหลบ แต่มือข้างหนึ่งก็อ้อมเข้ามารั้งท้ายทอยของนางไว้ทำให้นางไม่อาจหลบหนี ได้แต่ปล่อยให้เขาย่ำยีลำคอขาวผ่องของนาง ขณะเดียวกันก็ปล่อยใจให้เต้นระรัวไม่อาจสงบลงได้ “อีกอย่าง…ข้าก็ชอบรอยยิ้มหลักแหลมของเจ้าเช่นเดียวกัน งดงามมากทีเดียว…”
เขาช่างเป็นคนที่ขัดแย้ง บางครั้งก็สามารถอ่อนโยนกับนางได้อย่างถึงที่สุด แต่พริบตาต่อมาก็สามารถเปลี่ยนเป็นคนโหดร้ายไร้น้ำใจได้เช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะนางรู้แจ้งดีว่าเบื้องหลังรูปโฉมงดงามยั่วยวนนั้นคือจิตใจที่ชั่วร้ายเพียงใด บางทีนางอาจจะห้ามใจไม่อยู่ตกหลุมรักคนไร้น้ำใจผู้นี้ หลงคิดว่าเขารักใคร่นางจริงๆ ไปแล้วก็ได้
ราวกับต้องการยืนยันความคิดของนาง จุมพิตของหย่งหลินพลันเปลี่ยนเป็นการรุกราน บนลำคอปรากฏรอยจูบรอยแล้วรอยเล่า แรงจากสองมือที่วางอยู่บนกายนางก็ดุดันยิ่งขึ้นจนแทบจะจิกเข้าไปในผิวเนื้อของนาง
นี่เป็นสัมผัสรักแห่งการลงโทษ ลงโทษที่นางก้าวร้าว ลงโทษที่นางก้าวก่ายยุ่งไม่เข้าเรื่อง… เขาชอบที่มีคนกระทำผิด ชอบลงทัณฑ์นางเช่นนี้ ทำให้นางมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย
เพียงพริบตากงฮุ่ยก็ตกอยู่ในห้วงของความเจ็บปวดปนสุขสม นางขัดขืนเขาไม่ได้ ไร้แรงจะขัดขืน ได้แต่ทนรับ ได้แต่โอนอ่อน ได้แต่ปล่อยให้เขากระทำ… เขาไม่แม้แต่จะเปลื้องเสื้อผ้าออกให้หมดก็เข้าครอบครองร่างของนาง ก่อนจะออกแรงครั้งแล้วครั้งเล่าและเหวี่ยงนางขึ้นไปบนสวรรค์แล้วปล่อยให้ร่วงลงสู่ขุมนรก เขามอบความสุขสุดยอดให้กับนาง ขณะเดียวกันก็มอบความอดสูอันยากจะทานทนมาให้ด้วย
“องค์เป้ยเล่อ…” ในยามที่เขากำลังมุ่งสู่จุดสูงสุด ชั่วเวลานั้นหัวใจของนางแทบจะหยุดเต้น หลังภาวะกระตุกเกร็งผ่านพ้น ร่างของนางก็อ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างของเขา ใบหน้าแดงก่ำหอบหายใจถี่ระรัวราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์
“ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นสตรีที่ข้าใช้ระบายความใคร่ได้ดีที่สุดจริงๆ ทำให้ข้านึกถึงเมื่อห้าปีก่อนว่าซื้อตัวเจ้ามาได้อย่างไร”
กงฮุ่ยได้ยินดังนั้นร่างกายของนางก็พลันแข็งค้าง สีแดงระเรื่อบนใบหน้าอันตรธานหายไปจนสิ้น
ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ หลังพานพบสรวงสวรรค์ เขาเป็นต้องทำให้นางได้เห็นชัดถนัดตาว่าขุมนรกหน้าตาเป็นอย่างไร
หอคณิกาย่านสำเริงสำราญที่มีชื่อมากที่สุดในเป่ยจิงเห็นจะไม่มีใครเกิน ‘หอฉินไหว’ สตรีของที่นี่รูปโฉมงดงามดุจบุปผา ชั้นเชิงชวนให้คนลุ่มหลง ทำให้แขกเหรื่อวิ่งวนอยู่กลางดงดอกไม้ราวกับฝูงเป็ดแตกฮือ ทั้งทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อจะได้ผ่านค่ำคืนรัญจวนกับหญิงงามที่นี่สักคืน
‘ข้าว่านะหย่งหลิน เจ้าเก็บตัวเกินไปแล้ว ทุกคนต่างไม่เคยเห็นเจ้าเกี้ยวสตรีมาก่อน วันนี้เป็นวันเกิดครบยี่สิบปีของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาสตรีให้เจ้าหาความสำราญสักคืนให้ได้’ ในห้องรับรองพิเศษ ชายหนุ่มลูกหลานชนชั้นสูงทั้งหลายนั่งล้อมวงอยู่รอบโต๊ะ เหล่าผู้สูงศักดิ์แต่ละคนในที่นี้ต่างมีพื้นเพไม่ธรรมดา ผู้ที่กำลังพูดอยู่ก็คือซื่อจื่อ* แห่งวังจิ่งอ๋อง ‘หาวฉี’
‘ว่าก็ว่าเถิดนะ พวกเราพี่น้องวัยใกล้เคียงกัน ทั้งชายาเอก ชายารอง อนุภรรยาในวังมีไม่รู้กี่มากน้อย จะมีก็แต่เจ้าคนเดียวที่ครองตนประดุจหยกเช่นนี้ ข้าทนดูไม่ได้เลยจริงๆ’ ‘ตัวเจ๋อ’ บุตรชายคนรองในอวี้ชินอ๋องมองหน้าสหายรักด้วยความสงสัย เรื่องน่าสนุกเช่นนั้นกลับไม่ยุ่งเกี่ยว คงมิใช่ว่าใช้การไม่ได้กระมัง วันนี้สบโอกาสต้องทดสอบดูเสียหน่อย
‘อย่าหาว่าพวกเราไม่ไว้ไมตรีเลยนะ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้ารักความสะอาดแต่ก็ยังพาเจ้าเที่ยวหอคณิกาเคล้านารี แต่ทว่าครานี้นางคณิกาขายศิลป์ที่พวกเราเหล่าพี่น้องเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดีคนนี้ รับรองได้ว่าไม่เคยถูกผู้ใดแตะต้อง ไม่มีทางทำให้ร่างของเจ้ามัวหมองแน่นอน สาวน้อยนางนี้มอบให้เจ้าเด็ดดมก็แล้วกัน อย่าทำให้พวกเราผิดหวังเชียวล่ะ!’ ‘ผู่เสียน’ เป้ยจื่อแห่งวังผู่จวิ้นอ๋องผายมือไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง
ดรุณีน้อยนางนี้ประมาณอายุเพิ่งจะเพียงสิบห้าสิบหกปี เครื่องหน้าหมดจด ริมฝีปากแดงแนวฟันขาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีดวงตาคู่กลมโตฉ่ำวาวที่ราวกับจะเอื้อนเอ่ยวาจาได้ บนร่างสวมชุดฉีจวงผ้าดิ้นสีอ่อนคลุมทับด้วยเสื้อนอกปักลายตัวสั้นไม่มีแขน ช่วงเอวรัดด้วยแถบแพรไหมสีแดงเขียว ยิ่งขับเน้นเรือนร่างเพรียวบางกับเสน่ห์ในความอ่อนเยาว์ของนาง
น่าเสียดายที่ดรุณีน้อยมีท่าทีวิตกกังวล ยืนสั่นสะท้านอยู่ตรงมุมห้องประดุจใบไม้ต้องสายลมก็ไม่ปาน ดวงหน้าเล็กๆ น่าทะนุถนอมเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ผิวกายดุจขี้ผึ้งขาวกระจ่างพอๆ กับเกล็ดหิมะที่ด้านนอก
หย่งหลินผู้ถูกเหล่าคุณชายสูงศักดิ์กล่าวหยอกล้อกลับมีท่าทางเกียจคร้าน เบนสายตาจ้องมองไปตามทิศทางมือของผู่เสียนอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ หัวคิ้วได้รูปค่อยๆ ขมวดมุ่น
ที่มาที่ไปของคนผู้นี้มิใช่สามัญ แต่เป็นถึงโอรสองค์ที่สิบเจ็ดในเฉียนหลงฮ่องเต้ และยังเป็นโอรสที่ทรงโปรดปรานเป็นที่สุด
หย่งหลินมองสาวน้อยนางนั้น ฝีเท้าดุจสายลม ย่างก้าวเข้าไปอย่างไม่เกรงใจก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางของนางขึ้นมา จับจ้องแววตาหวาดหวั่นของนาง ดวงตาคู่นี้ทั้งกลมโตทั้งสุกใส โดดเด่นสะดุดตาจริงๆ นั่นแหละ เสียดายที่เขาพบเห็นคนงามมามาก องค์หญิงและท่านหญิงที่รายล้อมตัวเขาแต่ละคนล้วนมีรูปโฉมราวสวรรค์สรรค์สร้าง สำหรับเขา หญิงงามหาได้ส่งผลใดๆ ไม่ จากนั้นจึงคลายมือที่จับแนวคางได้รูปของนางออก
หึ! ก็แค่หญิงคณิกาคนหนึ่ง สีหน้าของเขาฉายความไม่ชอบใจขึ้นมารำไร
เขาคล้ายจะไม่ชอบนางใช่หรือไม่ ยามที่ชายหนุ่มละมือจากไป ดวงตาทั้งคู่ของดรุณีน้อยก็หลุบลง ริมฝีปากแย้มยิ้มด้วยความโล่งอกเผยให้เห็นแนวฟันขาวสะอาดเป็นระเบียบ
หย่งหลินเหลือบหางตามาเห็นกลับเอาแต่จดจ้องริมฝีปากแดงได้รูปของนางอย่างเหม่อลอย…
คุณชายทั้งหลายพลันสบสายตากันและกัน
หรือจะถูกตาต้องใจเข้าให้แล้ว?
ดียิ่ง ในที่สุดเจ้าคนเลือกมากนี่ก็ตอบสนองเสียที ไม่เสียแรงที่คืนนี้ทุกคนทุ่มเทแรงใจจัดเตรียมไว้ให้!
หย่งหลินจ้องเรือนร่างบอบบางของนาง หลังส่งสายตาไปให้ขันทีข้างกาย ขันทีคนนั้นก็รีบก้าวเข้ามายกมือของนางขึ้น ชายหนุ่มมองฝ่ามือเนียนละเอียดของนาง นี่เป็นมือที่ไม่เคยผ่านการใช้แรงงานมาก่อน นิ้วมือนุ่มนิ่มดุจต้นกล้าแรกผลิ ‘ชาติกำเนิดของเจ้าไม่น่าจะแย่นัก เหตุใดจึงมาอยู่ในหอคณิกา’
‘ข้า…’ ด้วยไม่คาดคิดว่าเขาจะถามเช่นนี้ ดรุณีน้อยรีบเก็บรอยยิ้มบางที่แทบจะสังเกตไม่เห็นกลับไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นระแวดระวังหวาดกลัว
‘ตอบมา ได้ยินที่ข้าถามหรือไม่’ เหตุใดจึงไม่หวังให้เขาต้องตา ชายหนุ่มผู้ไม่เคยถูกผู้ใดปฏิเสธ แต่หญิงคณิกาคนหนึ่งอย่างนางกลับกล้าปฏิเสธเขา
‘บิดาของข้าคือเจี่ยนอ๋องนามว่าตัวชิ่ง’ อาจเพราะถูกกระตุ้นด้วยน้ำเสียงดูถูกของเขา หลังจากขัดแย้งอยู่ครู่หนึ่ง ดรุณีน้อยก็เงยหน้าสบตากับเขา ประกาศชาติกำเนิดของตน
‘เจี่ยนอ๋อง!’ สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไป
‘ตัวชิ่งอ๋องที่ถูกฝ่าบาทถอดออกจากลำดับราชสกุลวงศ์ไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนน่ะหรือ’ ตัวเจ๋ออ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
‘อ๋องฉ้อฉลที่หนีโทษประหารไปผู้นั้นน่ะหรือ’ หาวฉีเองก็ตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
‘สวรรค์! ไฉนท่านหญิงที่เป็นเชื้อพระวงศ์อย่างเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้’ ผู่เสียนเองก็สับสนไปหมด พวกเขาล้วนสอบถามแม่เล้ามาแล้ว นางประวัติขาวสะอาด ไม่เคยรับแขกคนใดอีกทั้งยังเป็นสาวงาม เพราะฉะนั้นถึงได้วางใจจัดเตรียมนางส่งให้หย่งหลินเป็นของขวัญวันเกิด ไฉนเลยจะรู้ว่าฐานะของนางเป็นถึงท่านหญิง
หญิงสาวกัดริมฝีปากพลางก้มศีรษะลงอย่างไม่อาจยอมรับ พลันนึกเสียใจว่าไม่ควรหุนหันพลันแล่นเอ่ยชาติกำเนิดของตนออกไป
‘ผู่เสียน เจ้าถามผิดแล้ว อดีตนางเป็นท่านหญิง แต่ตอนนี้ก็เป็นแค่สามัญชนชั้นต่ำ อยู่ในสถานที่แบบนี้ยังจะต้องแปลกใจอันใดอีก’ หย่งหลินใช้แววตาหยอกล้อมองหญิงสาว ว่ากันว่าเจี่ยนอ๋องไม่เพียงหนีโทษประหาร แต่ยังทิ้งสกุลและสตรี เพียงพาชายารองผู้ที่เป็นที่โปรดปรานหนีไปด้วยกันเท่านั้น ทิ้งภรรยาและบุตรสาวให้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากโดยการหยิบยืมหนี้สิน เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ชาวบ้านต่างสงสารบั้นปลายชีวิตของชายาเจี่ยนอ๋อง คิดดูแล้ว เด็กสาวนางนี้คงจะทนชีวิตขมขื่นต่อไปอีกไม่ไหวจึงเลือกหนทางที่สบายที่สุด หวังขายตัวให้ร่ำรวย
ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น ในแววตาเย่อหยิ่งพลันปรากฏความเหยียดหยาม
สายตาเช่นนั้นเสียดแทงนางอย่างลึกล้ำ ‘ถูกต้องเจ้าค่ะ ข้าหาใช่ท่านหญิงอีกต่อไป ตอนนี้ข้าเป็นนางคณิกา องค์เป้ยเล่อฐานะสูงส่ง มาหาความสำเริงสำราญถึงในสถานที่มอมเมาเช่นนี้ มิทราบว่าท่านต้องการจ่ายเงินเพื่อซื้อข้าสักคืนหรือไม่เจ้าคะ’ นางเชิดคางขึ้น ดวงตาทั้งคู่ดุจเปลวเพลิง จ้องมองชายที่ถูกเหน็บแนมด้วยความเดือดดาล
ตอนนั้นเขาถึงค่อยหันไปมองสตรีผู้นั้นที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายโทสะ และดวงหน้าที่สองแก้มแดงก่ำ เขาพบว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้นไม่ได้ลดทอนความงามของนางลงเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มสีสันให้กับความงามนั้น เป็นสีหน้ายามโกรธที่ทำให้ภูเขาแม่น้ำล้วนจืดจางไปโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มถูกดึงดูดอย่างรุนแรง ‘ข้าจำได้ว่าเจี่ยนอ๋องมีธิดาเพียงหนึ่งคน ชื่อ…กงฮุ่ย…กระมัง หากข้าจำไม่ผิด’ เขาครุ่นคิดก่อนจะแย้มรอยยิ้มบางๆ
กงฮุ่ยเบนสายตามองไปทางอื่น รู้สึกไม่ชอบมาพากลกับรอยยิ้มของเขาขึ้นมา ‘ที่นี่ข้าหาใช่กงฮุ่ยแต่เป็นเพียงสตรีที่รอเรียกราคาเท่านั้น’ หากไม่ใช่เพราะเรื่องเดือดร้อนที่บิดาเป็นผู้ก่อ นางคงไม่ต้องตกต่ำมาอยู่ที่นี่ แม้จะเดียดฉันท์แต่ก็มิอาจหลบเลี่ยง
‘น่าเสียดาย ข้าไม่ซื้อสตรีมีราคา เพราะข้ารังเกียจของสกปรก’ ชายหนุ่มยิ้มหยัน
‘ท่าน!’ คนผู้นี้ทำให้ผู้อื่นอับอายได้เก่งยิ่งนัก! ‘ท่านรังเกียจที่ข้าสกปรก ข้าเองก็รังเกียจที่ท่านอ่อนหัดเช่นกัน! พี่น้องของท่านต่างพูดว่าท่านสงวนตนดุจหยกมายี่สิบปี ข้าว่าท่านคงเห็นโลกมาน้อยยิ่งกว่าข้า เหนียมอายไม่ต่างจากหญ้าหานซิว* เสียอีกกระมัง!’ ใบหน้าของนางถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยความโมโหถึงขีดสุด แต่กระนั้นก็ยังต่อปากต่อคำด้วยคำพูดเช่นนี้ออกมา
ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ สาวน้อยผู้นี้บ้าดีเดือดยิ่งนัก ถึงกับกล้าเอ่ยคำเช่นนี้กับหย่งหลิน เพราะได้รับความโปรดปรานอย่างถึงที่สุดจากฝ่าบาทจึงหล่อหลอมเป็นนิสัยที่สายตาไม่เห็นหัวผู้ใดของหย่งหลิน ไม่เคยมีใครกล้าเสียมารยาทกับเขา ทั้งยังกล่าวคำสบประมาทศักดิ์ศรีของบุรุษเช่นนี้ออกมา สาวน้อยผู้นี้ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไร
‘เจ้าว่าอะไรนะ’ หย่งหลินจ้องนางเขม็ง สีหน้าเย็นชาไม่ผิดจากที่คาด
‘ข้าบอกว่าหากท่านไม่อาจเกี้ยวพาสตรีก็อย่าได้มาสถานที่เช่นนี้อีก!’ นางสบตากับเขาอย่างไม่หวั่นเกรง ดวงตาทั้งสองข้างแทบจะเกิดเพลิงลุกท่วม
นัยน์ตาสีดำสนิทของเขากวาดมองอย่างเร็วทีหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่พบว่าท่าทางยามโกรธขึ้งของสาวน้อยนางนี้ช่างรบกวนจิตใจผู้คนยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตากราดเกรี้ยวคู่นั้นที่ทำให้เขาไม่อาจจะละสายตาไปได้ ดูท่าดวงหน้าดื้อรั้นดวงนี้รวมไปถึงชาติกำเนิดที่เป็นเชื้อพระวงศ์เช่นเดียวกันจะดึงดูดความสนใจของเขาได้มากกว่าที่คิด
‘เจ้าไม่เคยลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่อาจเกี้ยวพาสตรี’ เขาสืบเท้าเข้าประชิดอย่างช้าๆ
‘ท่านรังเกียจที่ข้าสกปรกมิใช่หรือ’ บุรุษผู้นี้บังคับจนนางต้องถอยเข้ามุมผนัง ไร้ทางให้หนี สีหน้าของนางพลันดำคล้ำ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่
เขาไม่โกรธ ริมฝีปากแย้มยิ้ม รอยยิ้มที่เผชิญหน้ากับนางยิ่งเพิ่มประกายเจิดจ้า ‘สถานที่ของเจ้ามันสกปรก แต่ตัวเจ้าเป็นหญิงคณิกาขายศิลป์มิใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็พอจะฝืนใจสักครั้ง’
‘อะไรนะ!’ นางตกตะลึง
‘เต๋อซิ่ง’ เขาหันไปเรียกอีกทางหนึ่ง
ขันทีที่ท่าทางมิได้ต่ำต้อยผู้หนึ่งพลันก้าวเข้ามายื่นถุงเงินหนักอึ้งมาให้ หย่งหลินหยิบถุงเงินขึ้นมาได้ก็โยนใส่ร่างของนาง
กงฮุ่ยรับถุงเงินนั้นไว้ก็ต้องยิ้มอย่างเบิกบาน
หนักยิ่งนัก! ข้างในอย่างต่ำก็ต้องมีร้อยตำลึง ท่านแม่มีทางรอดแล้ว!
หย่งหลินเห็นนางพอได้รับถุงเงินก็ยิ้มกว้าง แค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง สีหน้ามีแต่ความเย้ยหยัน ความใคร่ที่มีต่อนางหายไปเล็กน้อย
‘กลัวความยากจนไม่ผิดจากที่คาด เห็นเงินก็ตาลุกวาว สมแล้วที่เป็นนางคณิกาคอยน้อมส่งแขกเก่าต้อนรับแขกใหม่’
คำพูดประโยคนี้ทำให้กงฮุ่ยหนาวเหน็บเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก มือยังคงถือถุงเงินนั้นไว้แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับแข็งค้าง
‘หย่งหลิน อย่าพูดเช่นนั้นเลย ในเมื่อรู้ว่านางเป็นท่านหญิง พวกเราก็อย่าทำให้นางลำบากใจจะดีกว่า ไว้พวกเราพี่น้องค่อยหาสตรีคนใหม่ให้เจ้าก็แล้วกัน’ หาวฉีรู้ดีว่าหย่งหลินภายนอกดูเย็นชาไม่แยแส แต่ทว่าที่จริงกลับเข้มงวดไม่ยอมผ่อนปรน เขาพลันกลัวว่าอดีตท่านหญิงที่ดูจะทั้งพยศทั้งแข็งกร้าวผู้นี้หากตกไปอยู่ในกำมือของหย่งหลินเกรงว่าจะถูกปฏิบัติด้วยอย่างโหดร้าย ดังนั้นจึงเอ่ยปราม
‘ถูกต้อง บิดาของนางไร้คุณธรรมทำให้นางต้องตกต่ำเช่นนี้ก็น่าเศร้าพออยู่แล้ว ปล่อยนางไปเถิด ข้าบอกแม่เล้าเอาไว้แล้วว่าให้เตรียมหญิงคณิกาขายศิลป์ไว้มากหน่อย เพราะกลัวเจ้าจะเลือกมากจึงให้เตรียมไว้หลายคน สตรีผู้นี้หากไม่เข้าตาเจ้า ก็ให้แม่เล้าเปลี่ยนคนใหม่ก็พอ’ ผู่เสียนเองก็เอ่ยขึ้นบ้าง เหตุเพราะสตรีสูงศักดิ์มาแต่เดิมกลับมีชีวิตตกต่ำจนต้องขายตัวนั้นน่าสงสารจนทนไม่ได้
ความใคร่ที่หายไปก่อนหน้านี้กลับผุดขึ้นมาอีกครั้งเพราะท่าทีปกป้องของเหล่าพี่น้องทั้งหลาย เขาจึงรู้สึกไม่พอใจอย่างไร้สาเหตุพลันคิดอยากได้ตัวนางขึ้นมาอีกครั้ง ‘ไม่ต้องเปลี่ยนคนใหม่ ข้าจะเอาคนนี้!’
‘แต่ว่า…’ แม้แต่ตัวเจ๋อยังมองไปที่กงฮุ่ยอย่างเวทนา นึกเสียใจที่ไม่สืบประวัตินางมาให้ชัดเจนก่อนก็หลงคารมแม่เล้านำหญิงสาวยื่นส่งให้ต่อหน้าหย่งหลิน
เห็นเช่นนั้น ไฟในใจของหย่งหลินยิ่งพลุ่งพล่านจึงหันกายกลับมาหากงฮุ่ย ‘เงินนี่ถือเป็นรางวัลให้เจ้า เจ้าจะไปหรือจะรั้งอยู่’ คำถามนี้ถามอย่างชัดเจน จะเลือกเงินหรือความบริสุทธิ์ก็แล้วแต่นาง
กงฮุ่ยนิ่งไป นางมีทางเลือกด้วยอย่างนั้นหรือ หากไม่ขายตัวให้เขาก็ยังต้องขายตัวให้ผู้อื่นอยู่ดี… นางเหม่อมองบุรุษที่กำลังจะซื้อนางด้วยสายตาว่างเปล่าไร้ที่พึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
‘เจ้าคิดให้ดีๆ ไม่ขายให้ข้า เจ้าอาจจะไม่ได้ราคาดีกว่านี้อีกแล้ว’ หย่งหลินยิ้มเย็นพลางกล่าวเตือน
สตรีโลภมากมีมาแต่โบราณ สตรีนางนี้ก็คงไม่เว้น!
ใบหน้าของนางยิ่งซีดขาวขึ้น
‘ว่าอย่างไร’ เขาทำท่าจะฉวยถุงเงินในมือนางกลับมา
ท่านแม่…เพื่อท่านแม่ นางไม่อาจลังเลอีกแล้ว!
‘ข้าจะอยู่’ นางรีบกล่าวพลางกำถุงเงินไว้แน่นกว่าเดิม ขอบตาแดงเรื่ออย่างไม่อาจห้าม
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ‘ดีมาก พวกเจ้าได้ยินกันแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปได้แล้ว ข้าจะได้เสพสุขกับของขวัญวันเกิดของข้าเสียที’
ทุกคนต่างทราบกันดีว่าของที่หย่งหลินอยากจะได้ ต่อให้เป็นฝ่าบาทเสด็จมา เกรงว่าอย่างไรก็ขวางเขาไว้ไม่อยู่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงสบตากัน หลังส่งสายตาเห็นใจไปให้กงฮุ่ย สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามกันออกไปอย่างอับจนหนทาง
ยามนี้ เหลือเพียงนางเผชิญหน้ากับรอยยิ้มหยอกเย้าของหย่งหลินเพียงลำพัง หัวใจของนางเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เพิ่งจะก้าวเท้าได้ไม่ถึงสองก้าวก็ถูกเขารั้งเอวกระชากเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ที่อยู่ด้านหลัง
ด้วยไม่เคยใกล้ชิดกับใครเท่านี้มาก่อน นางกลัวจนเกือบจะผลักเขา
‘อย่าขยับ ข้าไม่อยากยื้อยุดกับเจ้าจนทำเสื้อผ้าของข้าเสียหาย’ เขาเอ่ยเตือนที่ริมหูของนาง
หญิงสาวแข็งค้างไปทั้งร่าง สายตาตวัดกลับไปจ้องชายหนุ่ม เขาต้องการนางจริงๆ หรือ เพราะหวาดกลัวอย่างมากนางจึงยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่กล้าขยับไปไหน
หย่งหลินสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นนุ่มนวลของนาง… กลิ่นกายของหญิงพรหมจรรย์
เขาสังเกตสตรีมานักต่อนัก สตรีน้อยคนที่จะเข้าตาเขา หญิงผู้นี้กลับไม่ทำให้เขารู้สึกต่อต้านอย่างเหนือความคาดหมาย
กงฮุ่ยรู้สึกได้ถึงชายหนุ่มที่เข้ามาใกล้ ยามที่ช้อนสายตาขึ้นมอง ใบหน้าของเขาก็อยู่ห่างจากนางแค่ไม่กี่ชุ่น* รอจนรู้จุดประสงค์ของเขาก็หลบไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มทาบทับริมฝีปากของนางอย่างไม่ทะนุถนอม
‘ไม่…’ เพิ่งจะเอ่ยปากก็ยิ่งเปิดโอกาสให้เขาครอบครองริมฝีปากของนางได้ง่ายดายขึ้น จุมพิตของเขาไม่ยอมให้ปฏิเสธไม่ต่างจากท่าทีของเขาที่มีต่อผู้อื่น
ใบหน้าผ่าวร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ นอกจากความรู้สึกร้อนลวกแล้ว ในหัวของกงฮุ่ยก็ว่างเปล่า
เมื่อได้เห็นสีหน้าไร้ที่พึ่งของนาง หย่งหลินพลันเกิดความตื่นเต้นที่ไม่คาดคิด หรือว่าเดิมทีเขาจะชื่นชอบการได้เห็นคนอื่นหวาดกลัว และชื่นชอบจดจ้องท่าทางยามโกรธขึ้งของผู้อื่น
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำคราหนึ่ง เพื่อให้ได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวยิ่งขึ้นของนาง เขากระตุกปมเสื้อที่ด้านหน้าของนางอย่างแรง เปิดให้เห็นเนินทรวงขาวราวหิมะของนางที่ไม่เคยถูกผู้ใดสัมผัสจับต้องมาก่อน และจุมพิตลงบนดอกไม้ตูมที่ชูชันนั้น
ขณะที่กงฮุ่ยกำลังตื่นตระหนก สองตาจ้องเขม็งจนแทบถลน หยาดน้ำแห่งความอดสูเอ่อคลอดวงตาของนาง
ชายหนุ่มเห็นนางนิ่งค้างไปก็เลื่อนใบหน้าขึ้นมาอีกครา ริมฝีปากจุมพิตปากบางอย่างร้อนแรง สองมือกอบกุมความอ่อนนุ่มขาวเนียนนวลของนางอย่างไร้ความปรานี
เขา…เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร! เหตุใดจึงได้…
‘หยุดนะ!’ นางส่ายหน้าสุดชีวิต ไม่ทันได้คิดก็กัดริมฝีปากล่างของเขาอย่างแรง
ความเจ็บปวดทำให้หย่งหลินต้องปล่อยตัวนาง หัวคิ้วขมวดมุ่นพลางยกมือขึ้นลูบริมฝีปาก สายตาจ้องมองคราบเลือดที่ติดปลายนิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ ‘เจ้ากล้าดีนักนะ!’ เขาไม่นึกมาก่อนว่าจะมีสตรีที่กล้ากัดตนเอง!
ใบหน้าหล่อเหลาเย็นเยียบราวกับก้อนน้ำแข็ง สองมือคว้าร่างที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยของนางเข้ามา สายตาทิ่มแทงเต็มไปด้วยความเดือดดาล ‘รับเงินไปแล้วก็ทำหน้าที่สิ กฎข้อนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ หากยังกำเริบเสิบสาน ระวังข้าจะลงโทษเจ้า!’ น้ำเสียงของเขาเย็นชาอย่างถึงที่สุด
นางหยุดชะงัก เวลานี้นางถึงค่อยกระจ่างแจ้งถึงความไร้กำลังของตนเอง ตั้งแต่ที่บิดาทอดทิ้งนางกับมารดาไป โชคชะตาของนางก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างตกต่ำเช่นนี้ต่อไป…
หย่งหลินจ้องมองสีหน้าเศร้าสลดของนาง ความปรารถนาในร่างพลันปะทุขึ้น เขาค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้นาง มือใหญ่ตวัดคราหนึ่งก็อุ้มร่างนางเดินไปที่เตียง
ราตรีนั้น การแลกเปลี่ยนอันน่าอดสูคราหนึ่งก็เปลี่ยนเด็กสาวผู้ไม่ประสีประสาให้กลายเป็นสตรีผู้มีแต่ความทุกข์ตรมไปอย่างง่ายดาย
บทที่ 2
ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ เสียงเกือกเท้าม้าห้อตะบึงมุ่งเข้าเมืองมาอย่างรีบเร่งดังก้อง
‘เต๋อซิ่ง ที่นี่คือที่ไหน’ หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว คุณชายสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็รั้งสายบังเหียนพลางเอ่ยถามขันทีที่ควบม้าตามมาด้านหลัง
‘เรียนองค์เป้ยเล่อ ที่นี่คือย่านชุมชนแออัดอันเลื่องชื่อในเมืองหลวงเรียกว่าถนนซิ่วสุ่ยขอรับ’ เต๋อซิ่งรั้งสายบังเหียนพลางกวาดไปมองรอบๆ ก่อนจะตอบ
‘ถนนซิ่วสุ่ย? ชื่อเรียกสวยหรูแต่เหตุใดจึงมีสภาพสกปรกโสโครกเช่นนี้’ หย่งหลินกุมจมูกเยาะเย้ยเสียงเย็น กลิ่นเหม็นโชยมาจากบนถนนไม่หยุด น่ารังเกียจยิ่งนัก
เต๋อซิ่งบังคับม้าเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายก่อนจะยื่นผ้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่งไปให้
พวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากล่าสัตว์ องค์เป้ยเล่อในยามนั้นพลันนึกสนุก กล่าวว่าอยากจะให้ยอดอาชาเหงื่อโลหิตของเขาออกไปวิ่งอีกสักหน่อย จึงใช้เส้นทางอีกเส้นอ้อมเข้าประตูเมืองอีกทิศหนึ่ง เมื่อเข้าประตูเมืองก็ผ่านถนนสายนี้เข้าพอดี ทุกที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล มีขอทานเดินปะปนอยู่เต็มถนน
ปกติองค์เป้ยเล่อมักได้เห็นเพียงทิวทัศน์สวยงาม กินอาหารเลิศรส สถานที่สกปรกกันดารเช่นนี้ย่อมทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ
‘องค์เป้ยเล่อ พวกเรารีบควบม้าไปเถิดขอรับ จะได้ผ่านถนนสายนี้ไปโดยเร็ว’
‘อืม’ เดิมทีชายหนุ่มก็ไม่ชอบความสกปรกอยู่แล้ว สภาพแวดล้อมเช่นนี้จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่เป็นธรรมดา
ชายหนุ่มกระตุ้นม้าหวังจะเร่งออกจากถนนสายนี้โดยเร็ว อาชาร้องก้องก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายลมกรดพัดผ่านบนถนน
ทันใดนั้นก็มีเงาสตรีปรากฏขึ้นขวางทาง หย่งหลินรีบร้อนดึงสายบังเหียน เกือกม้าเตะสะบัดอยู่กลางอากาศอย่างน่าหวาดเสียว แต่กระนั้นก็เป็นถึงยอดอาชาเหงื่อโลหิตที่พบพานได้ยากจึงสามารถฝืนยั้งแรงไว้ได้ก่อนจะชนอีกฝ่ายเข้าจริงๆ
สตรีผู้นั้นแบกถังไม้บรรจุน้ำเดินข้ามถนน เดิมทียังไม่รู้ตัวว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อหันไปมองถึงได้พบว่าเกือกเท้าม้ากำลังเงื้ออยู่เหนือศีรษะของตนแล้ว ด้วยความแตกตื่นจึงทำถังไม้ในมือพลิกคว่ำ ทั้งร่างล้มพับลงไปกับพื้นจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ดูทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวเงยหน้าจ้องมองบุรุษบนหลังม้าอย่างงงงัน บุรุษผู้นั้นใบหน้างามคมสัน รอบกายแผ่ความเย็นชาที่…ชั่วชีวิตนางก็ไม่อาจลืม!
หย่งหลินที่สบสายตากับนางก็ตกตะลึงไปเช่นเดียวกัน ไฉนจึงบังเอิญมาพบนางได้
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบไม่พูดจาเอาแต่จับจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ หย่งหลินมองนาง แม้จะอยู่ในสภาพไม่น่ามองแต่แววตาคู่นั้นกลับแฝงความเย็นชา เมื่อเห็นสายตาเกลียดชังเข้ากระดูกดำของนางก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา
นับจากวันที่ครอบครองร่างกายของนางในวันนั้นก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนมานี้เขาไม่เคยได้พบนางสักครั้ง ไม่คาดว่าวันนี้จะได้เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของนางอีก ในใจพลันเกิดความยินดี
คิ้วดำขลับเช่นนี้ จมูกเช่นนี้ ริมฝีปากเช่นนี้ กำลังกระตุ้นให้เขาหวนนึกถึงความทรงจำในค่ำคืนนั้น ยามที่นางถูกเขาครอบครองก็หดกายด้วยความเจ็บปวดอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทำให้เขามือไม้ปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ในความทรงจำ เขาไม่เคยลนลานด้วยเรื่องใดมาก่อน มีเพียงค่ำคืนนั้น…นั่นทำให้เขาจดจำมันอย่างลึกล้ำ
‘เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่อยู่หอฉินไหวแล้วหรือไร’
เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ปะชุนไปทั้งตัวแร้นแค้นไม่ต่างจากขอทานของนาง ชายหนุ่มเป็นต้องขมวดคิ้ว
แม่เล้าแห่งหอฉินไหวย่อมต้องทุ่มเงินดูแลหญิงสาวในหอ เหตุใดจึงปล่อยให้นางสวมเสื้อผ้าเก่าขาดทั้งอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้อีก หรือว่านางจะออกไปจากหอฉินไหวแล้ว ต่อให้ออกไปแล้วจริงๆ ก็ยังมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เขามอบให้นางในวันนั้น เมื่อมีเงินก้อนนี้ เหตุใดนางจึงยังใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้นอยู่อีก
‘เรื่องของข้ามิต้องรบกวนองค์เป้ยเล่อให้กังวลหรอกเจ้าค่ะ!’ กงฮุ่ยถูกเต๋อซิ่งประคองให้ลุกขึ้นจากพื้น เสื้อผ้าบนร่างยังเปียกชุ่มแต่คางเล็กๆ กลับเชิดขึ้นเผชิญหน้ากับเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หย่งหลินเลิกคิ้ว หญิงผู้นี้ไร้เยื่อใยยิ่งกว่าเขาเสียอีก ไม่นึกถึง ‘ความหลัง’ ระหว่างพวกเขาเลยสักนิด พอพบหน้ากันอีกครั้งแม้แต่สีหน้าดีๆ ก็ไม่มีให้
น่าสนุก!
‘หรือว่าแม้แต่ ‘งาน’ ของเจ้าก็ยังทำได้ไม่ดี ทำให้แขกเหรื่อไม่พอใจ สุดท้ายกระทั่งหอฉินไหวก็ไม่อยากรับเจ้าไว้จึงขับไล่ให้เจ้ามาเป็นขอทานที่ถนนสายนี้กระมัง’ ชายหนุ่มเย้ยหยัน
‘ใครว่าหอฉินไหวไม่รับข้า เป็นเพราะท่านแม่รู้ว่าข้าถูก…จึงไม่ยอมให้ข้าอยู่ต่อต่างหาก!’ คืนนั้นนางค้างที่หอฉินไหวไม่ได้กลับบ้าน มารดาที่กำลังป่วยก็มาตามหาถึงที่ ครั้นเห็นนางเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วก็ร่ำไห้เสียงขื่นพร้อมกับรีบลากนางจากไป นับแต่นั้นนางก็ไม่ได้กลับไปยังที่แห่งนั้นอีก
ยามนี้กลับได้เจอเขาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น พวงแก้มของนางก็ร้อนลวก ทั้งร่างสั่นระริก
ความจริงแล้วหากจะกล่าวว่านางเคียดแค้นเขาก็กล่าวได้ไม่เต็มปากนักเพราะเดิมทีนางเองก็เต็มใจที่จะขายร่างกายของตนอยู่แล้ว ทั้งเขายังเต็มใจซื้อด้วยเงินก้อนใหญ่ นางซาบซึ้งใจมากจริงๆ แต่ว่าความไม่ยินยอมและความอับอายบางส่วนในจิตใจกลับยังไม่จางหาย ถ้าหากเลือกได้ นางก็ไม่หวังว่าวันนี้จะได้พบกับเขาอีก แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่เป็นใจกับนางเลย แค่ออกมาตักน้ำเท่านั้นก็ทำให้นางบังเอิญเจอกับคนที่นางไม่อยากจะเจอ มันเหมือนตะปูที่เคยทิ่มแทงจิตใจหลังถูกถอนออกไปแล้วก็แทงกลับเข้ามาใหม่ นอกจากจะเจ็บปวดแล้วยังทำให้รู้สึกเหมือนถูกกรีดเฉือนเป็นชิ้นๆ
‘อ่อ?’ ชายหนุ่มยากจะเข้าใจตนเองว่าเหตุใดหลังได้ยินเรื่องนั้นแล้ว ส่วนลึกของจิตใจกลับยินดีปรีดาขึ้นมา
อีกนัยหนึ่งก็หมายความว่านอกจากเขาแล้ว ยังไม่มีใครได้แตะต้องดรุณีน้อยนางนี้อีกอย่างนั้นหรือ เขาคิดจะสั่งคนให้ไปสืบข่าว จู่ๆ เรื่องนี้ก็ทำให้เขาสนใจขึ้นมา
‘เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่?’ ชายหนุ่มขมวดคิ้วถาม นึกแปลกใจว่าเงินที่เขาให้หายไปที่ใดเสียหมด เหตุใดนางถึงใช้ชีวิตอย่างลำบากเช่นนี้ คงมิใช่เพราะถูกแม่เล้าที่หอฉินไหวยึดเงินที่เขามอบให้นางหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาย่อมไปคิดบัญชีถึงที่!
กงฮุ่ยมองชายหนุ่มอย่างหวาดระแวง ‘บอกแล้วอย่างไรว่าท่านไม่ต้องยุ่ง!’
‘ดูท่าเจ้าคงจะเกลียดข้ามากกระมัง’ ชายหนุ่มจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ตัวเขาที่นั่งอยู่บนหลังม้าช่างดูสูงส่งเสียเต็มประดา
เมื่อก่อน… เมื่อก่อนนางก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันมีเกียรติ หยิ่งผยองไม่ต่างจากเขา แต่ทว่าวันนี้ ความสูงศักดิ์เหล่านั้นได้จากนางไปไกลแล้ว นางเหลือแต่เพียงความยากจนข้นแค้น แม้แต่สิ่งล้ำค่าที่สุดของลูกผู้หญิงอย่างความบริสุทธิ์ก็ยังต้องขายออกไป นางในตอนนี้ยังเหลืออะไรอยู่บ้าง ศักดิ์ศรีเช่นนั้นหรือ ต่อหน้าบุรุษผู้นี้ นางเห็นความเหยียดหยามในสายตาของเขาได้ชัดเจน คืนนั้นสิ่งที่นางขายออกไปไม่เพียงแต่ร่างกาย เกรงว่าศักดิ์ศรีก็คงขายออกไปด้วย
‘ข้าเกลียดหรือไม่เกลียดท่านก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับท่าน ท่านรีบไปเสียจะดีกว่า’ นางพูดพลางถอนใจ
‘ที่กล่าวมาก็ถูก ที่แห่งนี้เหม็นสาบยิ่งนัก’ ชายหนุ่มปิดจมูกอีกครั้ง นึกไม่ออกเลยว่าจะมีคนอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร
‘องค์เป้ยเล่อ จะไปแล้วหรือขอรับ’ หลังประคองกงฮุ่ยให้ลุกขึ้น เต๋อซิ่งที่ขึ้นหลังม้าไปอีกครั้งก็เอ่ยถามเสียงเบา
‘อืม’ ที่นี่เหม็นมากจริงๆ เขาเองก็ไม่คิดจะรั้งอยู่นาน หากมิใช่คนที่บังเอิญพบเป็นนางล่ะก็เขาคงควบม้าจากไปไกลแล้ว
ตอนที่ยกสายบังเหียนขึ้นมา หย่งหลินก็คิดจะจากไปอย่างไร้กังวล แต่เกือกเท้าม้าเพิ่งจะเหยาะย่าง เขากลับสังเกตเห็นว่าสายตาของกลุ่มขอทานพวกนั้นไม่ได้พุ่งมาที่ตัวเขาแต่กลับจ้องไปทางกงฮุ่ย สีหน้าหื่นกระหายล้วนเขียนเอาไว้บนใบหน้าสกปรกนั่นอย่างชัดเจน
เขาพลันลดสายบังเหียน เต๋อซิ่งเห็นเช่นนั้นก็หยุดม้าตามอย่างประหลาดใจ
‘องค์เป้ยเล่อ?’
เมื่อเห็นสายตางุนงงไม่เข้าใจของเต๋อซิ่ง หย่งหลินก็ขมวดคิ้ว เรื่องพวกนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขามิใช่หรือ อีกอย่างนางเองก็คงไม่ซาบซึ้งหากเขาเข้าไปยุ่ง ‘ไปได้แล้ว!’ ชายหนุ่มกระตุ้นม้าให้ออกวิ่งอีกครั้ง
อาชาชั้นดีขนดำมันวาวแผดร้องก่อนจะห้อตะบึงผ่านตัวนางไป พริบตากงฮุ่ยก็เห็นเพียงจุดดำเล็กๆ เท่านั้น
เด็กสาวที่เพิ่งอายุเพียงสิบห้าปีสมควรเป็นวัยที่สดใสไร้กังวลใดๆ แต่ทว่าสีหน้าในตอนนี้ของนางกลับอึมครึม ยืนเหม่อลอยด้วยจิตใจที่หดเกร็ง ไม่รู้ว่าอนาคตของตนเองต้องทำอย่างไรจึงจะดี
‘ถอยไป พวกเจ้าคิดจะทำอะไร อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!’ กงฮุ่ยเหวี่ยงถังไม้อย่างแรงขัดขวางชายท่าทางกักขฬะสี่ห้าคนไม่ให้เข้ามาใกล้
เมื่อหย่งหลินจากไป นางก็ถือถังไม้ที่ว่างเปล่ากลับไปที่บ่อน้ำอีกครั้ง เพิ่งจะตักน้ำเต็มถังขึ้นมาได้ก็มีคนเข้ามาสวมกอดนางจากทางด้านหลัง หญิงสาวตกใจกลัวจนสาดน้ำใส่คนผู้นั้น อีกฝ่ายถูกสาดน้ำใส่จนเปียกไปทั้งตัวก็ตกใจจนปล่อยมือเช่นเดียวกัน นางรีบหันกลับไปก็เห็นว่าที่ด้านหลังยังมีคนอีกสามสี่คนเตรียมเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ หญิงสาวรีบคว้าถังไม้ที่เป็นอาวุธป้องกันตัวเพียงอย่างเดียวออกมาหวังทุบใครก็ตามที่กล้าเข้ามาใกล้
‘แม่นางน้อย อย่าแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาหน่อยเลย คนแถบนี้เขาได้ยินกันทั่วว่าเจ้าถูกชายอื่นเชยชมไปแล้ว หากมิใช่แม่ของเจ้าไปลากเจ้ากลับมาจากหอคณิกา ป่านนี้คงลืมตัวลืมตนไม่คิดจากมา ในเมื่อเจ้าต้องการบุรุษถึงเพียงนั้นก็ให้พวกข้าผลัดกันทำให้เจ้าพึงพอใจเถิด เจ้าเองก็ถือเสียว่าทำกุศลช่วยเหลือบุรุษที่ไม่มีวาสนาแต่งเมียอย่างพวกข้าก็แล้วกัน’ บุรุษหนึ่งในนั้นเอ่ยถ้อยคำหยาบคายออกมา
กงฮุ่ยหน้าซีดขาว สองเท้าก้าวถอยหลังไม่หยุด
‘คนงามน้อย ได้ยินว่าในอดีตเจ้าเป็นถึงท่านหญิง ฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้กลับร่วงลงมาอยู่ที่นี่ เห็นชัดว่าสวรรค์เห็นใจพวกข้าที่ลำบากมาทั้งชีวิตจึงส่งท่านหญิงมาปลอบใจ มาเถิด มาให้นายท่านอย่างข้าเอ็นดูเจ้าเสียหน่อย จะได้ฉวยโอกาสลิ้มรสกิ่งทองใบไม้หยก* ว่ารสชาติเป็นอย่างไร’ ชายผู้นั้นมุ่งเข้ามาหานางพลางเลียริมฝีปากอย่างหยาบโลน
นางนึกรังเกียจจนแทบจะอาเจียนอยู่แล้ว! ครานี้แย่แน่ ชีวิตคนช่างแปรผัน ตัวนางที่เคยเป็นถึงท่านหญิงผู้สูงศักดิ์บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่แม้แต่ขอทานกักขฬะหยาบกร้านยังดูหมิ่นดูแคลนได้! ขอบตาของกงฮุ่ยพลันรื้นด้วยน้ำตาของความเศร้าสลด
‘ถอยออกไป! พวกเจ้าคิดจะแตะต้องข้าก็รอให้ข้าตายเสียก่อนเถอะ!’ นางเหวี่ยงถังไม้ในมือแต่ไร้ผล
ชายไม่กี่คนเพียงออกแรงเล็กน้อยก็แย่งถังไม้จากมือนางไปได้แล้วก่อนจะเข้ามาล้อมนางไว้อย่างประสงค์ร้าย ‘อยากตายก็เชิญ แต่ก่อนหน้านั้นต้องเอาใจพวกข้าให้อิ่มหนำเสียก่อน พวกข้าไม่ได้แตะต้องสตรีมาเสียนาน อีกทั้งยังเป็นสาวน้อยหน้าตางดงามเช่นเจ้าอีกด้วย ครานี้ทุกคนถือว่าได้กำไรจริงๆ’
ฝ่ามือสกปรกหยาบกร้านข้างหนึ่งพลันยื่นเข้ามาคว้าปมเสื้อด้านหน้าของนาง หญิงสาวตระหนกจนหวีดร้องเสียงแหลมพลางตบมือนั้นออกไป มืออีกข้างอ้อมมาคว้าเอวของนางไว้ เส้นผมถูกกระชากไปด้านหลัง กงฮุ่ยยังไม่ทันจะส่งเสียงร้องอีกรอบก็ถูกปิดปาก นางหวาดกลัวจนดวงตาเบิกกว้าง สองเท้าถูกคนอุ้มขึ้น ร่างของนางพลันหงายหลัง มือสกปรกเหล่านั้นรีบตามมาลูบคลำร่างกายของนาง ยื้อแย่งกันดึงเสื้อผ้าของนางออก
หญิงสาวน้ำตาพรั่งพรู แม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือก็ยังทำไม่ได้ พริบตาเส้นผมก็ถูกดึงทึ้ง ปมเสื้อถูกกระชากเปิด กระโปรงถูกเลิกขึ้นมาถึงหัวเข่า มือข้างหนึ่งคิดจะสอดไล้เข้ามา
นางปิดตาแน่น ด้วยความท้อแท้สิ้นหวังจึงคิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย
ทันใดนั้น เสียงตะโกนสั่งก็ดังขึ้นจากทางเหนือศีรษะของนาง ‘หยุดมือ!’
ขอทานหลายคนที่กำลังกระทำการอุกอาจตื่นตระหนกจนรีบรั้งมือกลับไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นทหารสังกัดค่ายสวินปู่** กลุ่มหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาราวกับมองสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน พวกขอทานกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะแตกฮือพากันวิ่งหนี แต่เพิ่งจะขยับเท้าได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกจับกุมเอาไว้ได้ทั้งหมด ศีรษะแต่ละคนถูกกดแนบลงกับพื้นรอถูกจัดการ
รองผู้บัญชาการค่ายสวินปู่ก้าวออกมาจากกลุ่มทหาร สายตาไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมองไปยังร่างของหญิงสาวที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เขาเพียงจ้องมองบุรุษหลายคนที่ถูกกดทับอยู่บนพื้น จากนั้นก็รีบสาวเท้าไปยังบุรุษอีกคนที่อยู่อีกทิศทางหนึ่ง บุรุษผู้นั้นสวมชุดปักลายมังกรทองห้าเล็บกำลังนั่งอยู่บนหลังยอดอาชาเหงื่อโลหิตล้ำค่าหายาก ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
‘องค์เป้ยเล่อ เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ไว้ คนกลุ่มนี้ถึงกับกล้าฉุดคร่าหญิงสาวกลางวันแสกๆ ทั้งหมดถูกข้าน้อยจับกุมเอาไว้แล้ว จึงมาเชิญองค์เป้ยเล่อให้ลงโทษด้วยตนเองขอรับ’ เขากำลังลาดตระเวนผ่านถนนสายถัดไปอยู่พอดี จากนั้นก็บังเอิญได้พบเป้ยเล่อน้อยผู้ซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานในราชสำนักตอนนี้ จึงรีบเข้าไปเอ่ยทักทาย ทว่ายังไม่ทันเอ่ยคำก็ถูกองค์เป้ยเล่อมอบหมายงานมาให้เสียก่อน และโชคดีที่ลูกน้องของเขาทำงานคล่องแคล่ว เวลาไม่นานก็ขัดขวางคนกลุ่มนี้ไม่ให้กระทำชั่วสำเร็จ สามารถปฏิบัติภารกิจได้ลุล่วงสมบูรณ์เช่นนี้ องค์เป้ยเล่อจะต้องพอใจความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน
หย่งหลินพยักหน้าก่อนจะพลิกกายลงจากม้าอย่างงดงาม ฝีเท้ารีบก้าวเข้าไปหากงฮุ่ย เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นนางกำลังกอดร่างตนเองแน่น ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกจนพูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มเชยคางที่สั่นเทาเล็กน้อยของนางขึ้น มองสบสายตาหวาดกลัวของนาง แววตาของเขาพลันไหวระริกคิดอยากจะยื่นมือเข้าไปปลอบประโลมนางให้หายหวาดกลัว
‘ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าอย่าได้กลัว’ ชายหนุ่มพูดเสียงเบาก่อนจะถอดเสื้อคลุมของตนเองคลุมลงบนร่างของนาง ช่วยปกปิดสภาพยุ่งเหยิงไม่น่ามองให้นาง
เต๋อซิ่งตกตะลึงมองท่าทางอ่อนโยนอย่างน้อยนักจะได้เห็นของผู้เป็นนาย สองคิ้วขมวดมุ่นอยู่หลายคราแต่ก็ยังเดาไม่ออกว่าเหตุใดนายท่านจึงปฏิบัติต่อสตรีนางนี้พิเศษกว่าคนอื่น
ก่อนหน้านี้หลังจากแยกไป นายท่านควบม้ามุ่งไปทางเมืองหลวงคิดจะเรียกทหารรักษาการณ์ประจำเมืองหลวงให้มาช่วยคน ทว่ากลับบังเอิญพบรองผู้บัญชาการค่ายสวินปู่ที่กำลังนำทหารเดินลาดตระเวนเข้าเสียก่อนจึงรีบสั่งให้อีกฝ่ายมาช่วยคนทันที
เพียงแต่ว่าหลังสั่งการแล้วก็ควรจะจากไปทันที กลับไม่คิดว่าองค์เป้ยเล่อจะถึงขั้นตามกลับมาที่ถนนสายนี้ ทั้งยังนิ่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าทั้งหมด รอจนเห็นว่าคนร้ายถูกจับกุมได้แล้ว ในแววตาถึงค่อยแสดงความคิดในเบื้องลึกออกมา สีหน้าบึ้งตึงก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย
เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับท่าทีที่แปลกไปของนายท่านอีกทั้งพยายามครุ่นคิดถึงความหมายที่แฝงไว้ภายใน
กงฮุ่ยหวาดกลัวอย่างมาก ร่างของนางยังสั่นสะท้านไม่หยุด นางไม่กล้าเชื่อว่าตนเองจะต้องมาพบกับเรื่องเช่นนี้ โดยไม่รู้ตัวหญิงสาวก็ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าชายแขนเสื้อของหย่งหลินเพื่อหาที่พึ่ง แต่ชายหนุ่มกลับหรี่ตาของเขาลง ร่างกายขยับถอยไม่ให้นางแตะถูก
เมื่อเห็นเขาขยับห่างนางก็นิ่งค้างไปก่อนจะได้สติ นางถึงกับขอความช่วยเหลือจากบุรุษผู้นี้เชียวหรือ นางถึงขั้นคิดจะใช้ร่างกายสกปรกโสมมนี่แตะต้องเขา ไม่แปลกที่เขาจะถอยห่าง หญิงสาวหดมือที่ยื่นออกไปกลับมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดร่างของตนเองอย่างอับอาย หยาดน้ำตาไหลริน
เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงต้องมาเห็นสภาพน่าอดสูของนางอยู่ร่ำไป ในที่สุดหญิงสาวก็ซบหน้าร่ำไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ดวงตาสีดำสนิททั้งคู่จ้องมองหัวไหล่ที่สั่นเทาของนาง หย่งหลินสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ‘รองผู้บัญชาการ ชำระล้างถนนสายนี้เสีย ข้าต้องการให้ถนนสายนี้เป็นถนน ‘ซิ่วสุ่ย’* สมชื่อของมัน เข้าใจหรือไม่’ เขาสั่งเสียงเข้มงวด
‘ขอรับ!’ รองผู้บัญชาการรีบรับคำในทันทีก่อนจะส่งสัญญาณมือกระจายคำสั่งออกไป นับจากวันนี้ ถนนสายนี้จะต้องเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ไม่อนุญาตให้ทำรกระเกะระกะหรือทำสกปรก โดยเฉพาะกากเดนโสมมเหล่านั้นจะต้องถูกกำจัดก่อนเป็นอันดับแรก!
สิ้นเสียง หางตากวาดมองทีหนึ่ง คนชั่วไม่กี่คนนั่นก็ถูกลากตัวออกไป ไม่นานก็แว่วเสียงสุกรถูกเชือดดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน คนคนหนึ่งถูกหักขาย่อมต้องพิการไปชั่วชีวิต ไม่เพียงเท่านั้น คนเหล่านั้นยังถูกยัดเข้าไปในกรงเหล็กที่เพิ่งจะถูกเข็นมาเพื่อพากลับไปที่ค่ายสวินปู่ ต้องรั้งอยู่กินข้าวในห้องขังสักระยะ
‘รายงานองค์เป้ยเล่อ ข้าน้อยจัดการเช่นนี้ ท่านพอใจหรือไม่ขอรับ’ เขาส่งยิ้มประจบให้หย่งหลิน
‘อืม ขอบคุณรองผู้บัญชาการที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องวันนี้ให้ วันหน้าหากข้ามีเวลาจะต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างดีแน่นอน’ หย่งหลินพูดพลางฉีกยิ้มกว้าง
รองผู้บัญชาการได้ฟังก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกันว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะมอบหมายให้โอรสพระองค์นี้รับช่วงต่อค่ายสวินปู่ วันหน้าคนผู้นี้ก็คือผู้บังคับบัญชาของเขา เขาย่อมต้องประจบประแจงเสียหน่อย
หย่งหลินมีหรือจะอ่านความคิดของอีกฝ่ายไม่ออก จึงพูดคุยด้วยไม่กี่คำ ‘ไปเถิด’
‘ท่านหญิงกงฮุ่ย แย่แล้วๆ เจ้ารีบกลับไปเถิด อาการป่วยของมารดาเจ้า…เอ๊ะ นี่…นี่มัน…เกิดเรื่องใดขึ้น’ หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่จู่ๆ วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาเมื่อเห็นทหารกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมกงฮุ่ยเอาไว้ อีกทั้งกงฮุ่ยยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิงไม่เรียบร้อยเอาแต่ร้องไห้นั่งอยู่ที่พื้นจึงตกตะลึงพูดอันใดไม่ออก
‘ท่านแม่ข้าเป็นอะไร ท่านป้า ท่านบอกว่าท่านแม่ข้าเป็นอะไร!’ หญิงสาวที่เดิมเอาแต่นั่งร้องไห้เมื่อได้ยินว่ามารดาของตนเกิดเรื่อง หยดน้ำตาพลันหยุดไหล นางรีบผุดลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าซีดขาว
‘อาการ…อาการป่วยของมารดาเจ้ากำเริบ…กำเริบขึ้นอีกแล้ว!’ หญิงวัยกลางคนบอกด้วยความกังวล สายตากวาดมองพวกทหารที่ล้อมอยู่รอบทิศ เมื่อเห็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลามีสง่าราศีที่สุดในกลุ่ม นางก็ถูกท่วงท่าสูงศักดิ์ของเขาทำให้ตกตะลึงไป
นางมีชีวิตอยู่มาห้าสิบปีแล้ว ให้พูดตามตรง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคุณชายที่หล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ นี่เป็นชนชั้นสูงจากที่ใดกันเล่า!
‘ท่านแม่อาการกำเริบอีกแล้ว!’ สีหน้าของกงฮุ่ยซีดไปในทันใด นางได้แต่สูดหายใจเข้าลึกไม่อาจพูดสิ่งใดออกมา จากนั้นก็รีบหมุนกายวิ่งจากไป
คนทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าดรุณีน้อยนางนี้ช่างไม่รู้กฎเกณฑ์ คำขอบคุณสักคำยังไม่ทันจะกล่าวก็วิ่งจากไปเสียแล้ว ไร้มารยาทเช่นนี้ ไม่รู้จักมองให้กว้างเอาเสียเลย แต่คำพูดนี้ใครก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา เพราะผู้ที่ควรจะถือสาจริงๆ ยังไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ ชายหนุ่มเพียงแต่ขมวดคิ้วมองตามเงาร่างของนางที่รีบร้อนวิ่งจากไป ดวงตาสีดำสนิทคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อเงาร่างนั้นหายลับไปจากสายตาของหย่งหลิน ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ชำเลืองมองไปทางหญิงวัยกลางคนก่อนจะถาม ‘เจ้าบอกว่ามารดาของนางเป็นอะไรนะ’
หญิงวัยกลางคนผู้นี้นับเป็นผู้ที่เจอโลกมามากที่สุดบนถนนซิ่วสุ่ย อย่างน้อยก็มีงานประจำเป็นหลักเป็นแหล่ง บางคราก็ไปช่วยซักล้างเสื้อผ้าให้พวกบัณฑิตขุนนางในเมือง เมื่อได้ยินเสียงของคุณชายท่านนี้ครั้งแรก น้ำเสียงกังวาน สำเนียงสูงสง่า นางพลันแน่ใจ บุรุษผู้นี้แปดส่วนจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์เช่นเดียวกับกงฮุ่ยเป็นแน่ แต่ที่ไม่เหมือนก็คือบุรุษผู้นี้แผ่กลิ่นอายข่มขวัญผู้คน เกรงว่าฐานะคงจะสูงศักดิ์ยิ่งกว่าท่านหญิงกงฮุ่ยยามที่ยังไม่ถูกริบบรรดาศักดิ์เสียอีก
หญิงวัยกลางคนก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าเสียมารยาท ‘มารดาของท่านหญิงกงฮุ่ยเป็นโรคหอบหืด ครานี้…อาการป่วยกำเริบอีกแล้ว เกรงว่าจะทานไม่ไหวเจ้าค่ะ’
‘อืม…’ หย่งหลินส่งสายตาให้เต๋อซิ่ง เต๋อซิ่งจึงรีบหยิบทองออกมาแท่งหนึ่งมอบให้เป็นรางวัล
หย่งหลินหันกายกลับไปยังทิศทางที่ดรุณีน้อยนางนั้นวิ่งหายไป คิ้วพลันขมวดมุ่น แผนการในใจค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
บานประตูที่ผุพังไม่อาจขวางกั้นลมหนาวที่พัดเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า กงฮุ่ยเฝ้าอยู่ข้างเตียงของมารดา ใช้ร่างกายผ่ายผอมบอบบางของตนเองบังลมหนาวให้กับมารดา
ดวงหน้าเล็กๆ ของนางซีดขาวราวกับหิมะ สายตาจ้องมองมารดาที่ป่วยหนักด้วยความกังวล น้ำตารินไหลออกมาอีกครั้ง นางดีใจที่ครานี้มารดาอดทนอดกลั้นผ่านพ้นไปได้ ไม่ถูกเฮยไป๋อู๋ฉาง* พาไป ไม่ทิ้งนางไว้ให้เผชิญกับมรสุมชีวิตนี้แต่เพียงลำพัง
‘ฮุ่ยเอ๋อร์…อย่าร้อง แม่ทนเห็นไม่ได้จริงๆ’ สตรีที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ ฟื้นคืนสติ เมื่อเห็นบุตรสาวนั่งน้ำตารินอยู่ข้างเตียงก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล
‘ท่านแม่!’ กงฮุ่ยรีบเช็ดน้ำตาอย่างยินดี ‘ท่านแม่ฟื้นแล้ว ข้าย่อมไม่ร้อง ไม่ร้องไห้แล้ว’ แม้จะพูดเช่นนั้นแต่นางก็อดไม่อยู่ร้องไห้ไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง
ผู้เป็นมารดาเห็นเช่นนั้นก็ก้มหน้าถอนหายใจ ‘ที่จริงแม่ไม่ควรทำให้เจ้าลำบาก หากไม่มีแม่สักคน เจ้าคงไม่โง่จนต้องขายตัว เงินที่ได้ยังเอาไปซื้อยาป้อนลงท้องแม่ไปเสียหมด เจ้าไม่ควรเสียสละเช่นนี้ เจ้าทำให้แม่นึกเสียใจยิ่งนัก รู้สึกผิดต่อเจ้า…’
‘ท่านแม่ อย่าพูดอีกเลย ข้าเป็นลูกสาวของท่านจะทนมองท่านเจ็บป่วยอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรได้อย่างไร’ นางส่ายหน้าไม่ยอมให้มารดาพูดต่อ
‘แต่ว่าอาการป่วยของแม่หาใช่จะหายเพียงชั่วข้ามคืน เพราะเหตุนี้ ยามที่บิดาของเจ้าคิดจะพาพวกเราหนีไปแม่ถึงได้ยืนกรานไม่ยอมไปกับเขา แม่ไม่อยากเป็นภาระยามที่เขาต้องหลบหนี แต่กลับไม่คิดว่าแม่ไม่ไป เจ้าเองก็ไม่ยอมไป ดึงดันจะรั้งอยู่ดูแลแม่ให้ได้ สุดท้ายถึงแม่จะไม่ทำให้พ่อของเจ้าต้องลำบากแต่กลับทำให้บุตรสาวอันเป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียวของแม่ต้องตกอยู่ในนรก…แม่แค้นตนเองยิ่งนักที่ตอนเกิดเรื่องทั้งหมดไม่ยอมกัดลิ้นฆ่าตัวตายไปเสีย เช่นนี้ก็ไม่ต้องลำบากให้เจ้าต้องมารับกรรม…’ ชายาเจี่ยนอ๋องซบใบหน้ากับฝ่ามือ สะอื้นไห้แต่ไร้เสียง
‘ท่านแม่อย่าวู่วาม อาการหอบของท่านเพิ่งจะทุเลา จะกระเทือนมากไม่ได้ หากหายใจไม่ทันขึ้นมาจะทำอย่างไร’ กงฮุ่ยนึกเสียใจขึ้นมาโดยพลัน นางไม่น่าร้องไห้ต่อหน้ามารดา ทำให้มารดาเป็นทุกข์ หญิงสาวรีบพูดโน้มน้าว
‘ให้แม่ตายไปเสียเถิด เจ้าไม่ควรช่วยคนไร้ประโยชน์อย่างแม่…’ ชายาเจี่ยนอ๋องร่ำไห้ด้วยความทุกข์ตรม
‘ท่านแม่!’ หญิงสาวร้อนใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ได้แต่ร้อนรนอยู่ข้างเตียงของมารดาไม่รู้จะทำอย่างไร
‘พระชายาควรจะซาบซึ้งที่มีบุตรสาวกตัญญูเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ไม่ควรร้องหาความตายง่ายๆ จึงจะถูก’ ในห้องซอมซ่อพลันปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มในชุดอาภรณ์หรูหรา ชายหนุ่มแย้มยิ้มมุมปากพลางก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างไม่รีบร้อน
‘ท่านเป็นใครกัน’ ชายาเจี่ยนอ๋องลุกขึ้นนั่งช้าๆ สายตามองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ
บุรุษที่เข้ามาในห้องสายตากวาดมองไปที่กงฮุ่ยผู้กำลังตื่นตระหนกเช่นเดียวกันเป็นอันดับแรก แต่ต่อมาชายหนุ่มก็ทำสีหน้าเมินเฉยไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปส่งยิ้มสนิทสนมให้ชายาเจี่ยนอ๋องอีกครั้ง ‘หลายปีก่อนที่วังฉือหนิง พระชายาก็เคยพบหน้าข้าครั้งหนึ่ง หรือว่าจะจำมิได้แล้ว’
ชายหนุ่มมุ่งความสนใจไปที่ห่อยาหลายห่อที่วางอยู่ตรงมุมห้องเก่าผุพัง ภายในห้องยังอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรเข้มข้น พริบตานั้นก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
สาวน้อยผู้นี้ช่างกตัญญูเสียยิ่งนัก! ชายหนุ่มยิ้มเย็นชา
กงฮุ่ยเมื่อเห็นรอยยิ้มนี้ของเขาก็ถลึงตาใส่อย่างไม่ร้อนตัว
‘พวกเราเคยพบกันที่วังฉือหนิง…’ ชายาเจี่ยนอ๋องพิศมองเค้าโครงหน้าของบุรุษหนุ่มอย่างละเอียดก่อนจะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ‘ท่าน ท่านคือ…เป้ยเล่อน้อยที่เกิดแต่ลิ่งหวงกุ้ยเฟย* โอรสองค์ที่สิบเจ็ดของฝ่าบาทนามว่าหย่งหลิน!’
ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้แปดขวบ ตามเสด็จลิ่งหวงกุ้ยเฟยไปถวายพระพรที่ตำหนักของไทเฮา ประจวบเหมาะกับที่นางเองก็ติดตามสามีเข้าวัง ก่อนไทเฮาจะรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็อยู่รอที่วังฉือหนิง นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับเป้ยเล่อน้อยผู้ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดท่านนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าเด็กชายตัวน้อยในปีนั้นจะเติบใหญ่กลายเป็นบุรุษที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ นางมองเขาอย่างตกตะลึง ความรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปในวันวาน
‘พระชายาคงจะนึกออกแล้ว’ ชายหนุ่มยังอมยิ้มตามเดิม
‘องค์เป้ยเล่อ…มาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ’ ชายาเจี่ยนอ๋องพลันนึกถึงที่อยู่ของตนขึ้นมาได้ก็ให้รู้สึกอดสู ได้พบกันอีกครั้ง นางกลับอยู่ในสภาพไม่อาจพบผู้คน!
‘จริงสิ ท่านมาทำไม ที่นี่ไม่มีแม้แต่เก้าอี้สักตัวให้ท่านนั่ง ข้าเกรงว่าสถานที่แห่งนี้จะทำเสื้อผ้าขององค์เป้ยเล่อสกปรก ท่านรีบกลับไปเสียจะดีกว่า!’ กงฮุ่ยรีบร้อนไล่เขาออกไป นางไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ด้วยเป้าหมายอะไร ทั้งกลัวว่าเขาคิดร้ายจงใจบอกมารดาว่าผู้ที่ซื้อราตรีแรกของนางไปก็คือเขา มารดาจะต้องอับอายจนอาการหอบกำเริบอีกเป็นแน่!
หย่งหลินหันไปมองนาง มุมปากเผยรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจออกมา ‘วางใจเถิด ข้าเองก็หาได้คิดจะนั่งสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับพระชายาอยู่ที่นี่นานนักหรอก ข้าเพียงเห็นแก่ความเอาใจใส่ของท่านในปีนั้นที่ช่วยประคองไม่ให้ข้าลื่นล้ม บุญคุณนี้ข้าจดจำไว้ในใจเสมอ วันนี้เมื่อเห็นพระชายาได้รับความลำบากจึงคิดจะยื่นมือช่วยเหลือด้วยการรับตัวพระชายาไปอยู่ที่วังของข้า’
‘อะไรนะ ท่านจะรับตัวท่านแม่ไปอยู่ที่วัง’ กงฮุ่ยเบิกตากว้าง ตื่นตระหนกกับคำพูดของเขา
ชายาเจี่ยนอ๋องได้ฟังเช่นนั้นก็มีสีหน้าลนลานไม่ต่างกัน ‘ข้าเคยช่วยประคองท่านหรือเจ้าคะ เหตุไฉนข้าถึงจำไม่ได้เลย’
‘เรื่องผ่านมาหลายปีแล้ว พระชายาจะหลงลืมไปบ้างก็ไม่แปลก แต่ว่าเมื่อติดค้างบุญคุณของผู้อื่น หย่งหลินมิอาจลืมเลือนไปแม้แต่วันเดียว’ เขาพูดอย่างจริงใจ
ชายาเจี่ยนอ๋องขมวดคิ้วพลางนึกย้อนถึงเรื่องในอดีตอย่างจริงจัง แต่ทว่าแม้แต่ความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มี
‘องค์เป้ยเล่อ ต่อให้ในปีนั้นท่านแม่เคยประคองท่านไว้ครั้งหนึ่งจริงๆ ก็ถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เหตุใดท่านถึงต้องนำมาใส่ใจ ทั้งยังเจาะจงมาที่นี่เพื่อรับตัวท่านแม่ไปดูแลอีก นี่ไม่ถือว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรอกหรือเจ้าคะ’ กงฮุ่ยมองท่าทีเคารพนบนอบของเขาอย่างระแวดระวัง
รอยยิ้มผ่อนคลายสบายใจนั่น…ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง คนผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
‘น้ำใจของผู้อื่นย่อมระลึกไว้ในใจ จะเรียกว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไร’ เขาตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
‘ไม่ต้อง ข้ากับท่านแม่ไม่ต้องการให้ท่านทดแทนบุญคุณอะไรทั้งนั้น ท่านกลับไปได้แล้ว!’ เพื่อขัดขวางแผนการที่อาจไม่ประสงค์ดีของเขา กงฮุ่ยจึงกล่าวปฏิเสธไปตามตรง
‘ถูกแล้วเจ้าค่ะ องค์เป้ยเล่อ ข้าซาบซึ้งมากที่ท่านยังจดจำน้ำใจของข้าได้ แต่ว่าข้าไม่มีสิทธิ์อาศัยบุญคุณเพียงเล็กน้อยที่แม้แต่ตัวข้าก็ยังจำไม่ได้สร้างความลำบากให้กับท่าน ความจริงใจของท่าน ข้าจดจำไว้แล้ว บ้านธรรมดาสามัญนี้ของข้าไม่รั้งท่านให้อยู่นานจะดีกว่า ท่านกลับไปเสียเถิดเจ้าค่ะ!’ ชายาเจี่ยนอ๋องเองก็รู้สึกผิดสังเกตกับท่าทีโกรธขึ้งอย่างน้อยนักจะได้เห็นของบุตรสาว หรือว่านี่จะมิใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน ฮุ่ยเอ๋อร์โกรธเขาด้วยเรื่องใดกันแน่
แต่ว่านางยังคงตัดสินใจโอนอ่อนตามความต้องการของบุตรสาว แม้จะรู้สึกซาบซึ้งกับความสนิทสนมนี้ ช่วงเวลาที่แม้แต่ครอบครัวฝั่งของนางยังไม่กล้าออกหน้าช่วยเหลือก็ยังมีเขาที่ยื่นมือเข้ามา แต่เมื่อนึกถึงศักดิ์ศรีเสี้ยวสุดท้ายที่ยังต้องรักษาเอาไว้ นางจึงได้แต่กล่าวปฏิเสธไปอย่างปวดใจ
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหย่งหลินก็ครึ้มลงเล็กน้อย ชายหนุ่มเอนร่างเข้าไปใกล้กงฮุ่ย กระซิบบอกนางด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย ‘ไม่เจอกันเพียงหนึ่งเดือน ใบหน้าของเจ้ากลับซูบลงไปมาก แม้แต่ฝ่ามือขาวเนียนนุ่มบัดนี้กลับหยาบกร้านขึ้นเสียแล้ว ทำข้ารู้สึกทนไม่ได้ยิ่งนัก!’
นางสั่นไปทั้งร่างก่อนจะหมุนร่างหันไปจ้องเขาเขม็ง
‘ฮุ่ยเอ๋อร์ องค์เป้ยเล่อพูดสิ่งใดกับเจ้าหรือ’ ชายาเจี่ยนอ๋องเห็นหย่งหลินเข้าใกล้บุตรสาวแต่ไม่อาจได้ยินว่าเขาพูดสิ่งใด จึงได้แต่มองหน้าของนางแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ
‘เขา…’ เมื่อเห็นเขาแสยะยิ้มชั่วร้ายให้นางทั้งที่กำลังหันหลังให้มารดา กงฮุ่ยลังเลไม่อาจกล่าวให้จบประโยคได้
เขาคาดการณ์เอาไว้หมดแล้ว นางไม่อาจให้มารดารู้ว่าเขาคือผู้ที่ชิงความบริสุทธิ์ของนางไป และยิ่งแน่ใจว่านางไม่กล้าขัดขืน
‘ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป’ เห็นสีหน้าของบุตรสาวประหลาดไป ชายาเจี่ยนอ๋องร้อนใจคิดจะลงจากเตียงไปถามไถ่ให้รู้เรื่อง
‘ท่านแม่ ข้ามิได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านอย่าลงจากเตียงนะ!’ นางรีบเอ่ยปราม เมื่อหันไปจ้องหย่งหลินคราหนึ่งก็เห็นการข่มขู่ที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธแฝงอยู่ในแววตาที่หรี่ลงของเขา ใจนางสั่นสะท้าน กลีบปากบางถูกขบไว้จนแน่น ‘ท่านแม่ องค์เป้ยเล่อมิได้พูดสิ่งใด เขาเพียงแค่…เพียงแค่…’
ชายหนุ่มแย้มยิ้ม กล่าวต่อแทนนางว่า ‘ข้าเพียงเล่าเรื่องหนึ่งแก่นาง เมื่อวานช่างน่าตระหนกนัก อีกเพียงนิดที่ถนนซิ่วสุ่ยก็เกือบจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ได้ยินว่าเด็กสาวคนหนึ่งออกมาตักน้ำแล้วถูกชายสี่ห้าคนล้อมเอาไว้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกฉีกขาดไปกว่าครึ่ง หากมิใช่เพราะทหารจากค่ายสวินปู่ลาดตระเวนผ่านมาพบเข้า เด็กสาวคนนั้นคงถูกชายชั่วกลุ่มนั้นย่ำยีไปแล้ว’
‘อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือเจ้าคะ ฮุ่ยเอ๋อร์ ยามเจ้าไปตักน้ำก็ต้องผ่านถนนสายนั้นอยู่บ่อยๆ เจ้าไม่เกิดเรื่องอะไรใช่หรือไม่’ ชายาเจี่ยนอ๋องได้ฟังก็แตกตื่น ลมหายใจกระชั้นขึ้นจนแทบหายใจไม่ทัน
‘ไม่มีเจ้าค่ะ ลูกออกไปตักน้ำทุกวันล้วนไม่เกิดเรื่องอะไรทั้งนั้น ท่านแม่โปรดวางใจ’ เพื่อไม่ให้อาการหอบของมารดากำเริบกงฮุ่ยรีบร้อนเอ่ยปลอบ สองตาถลึงมองหย่งหลินอย่างเคียดแค้นชิงชัง
เขายิ้มหยัน ทั้งทำท่าจะพูดอะไรออกมาอีก ริมฝีปากเพิ่งจะขยับ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
หญิงสาวรีบเอ่ยบอกมารดาก่อนที่เขาจะมีโอกาส ‘ท่านแม่ เมื่อครู่องค์เป้ยเล่อเตือนสติลูกเรื่องอาการป่วยของท่าน หากไปพักฟื้นที่วังของเขา อาการป่วยของท่านอาจจะทุเลาลง ลูกคิดว่า…ก็มีเหตุผล ต่อให้เป็นการสร้างความลำบากให้ผู้อื่น ลูกก็จะยอมแบกรับไว้’
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาอีก นางได้แต่ยอมประนีประนอม
หย่งหลินยิ้มอย่างเห็นด้วยก่อนจะหันไปกล่าวกับชายาเจี่ยนอ๋อง ‘มิผิด ที่วังของข้ามียารักษาที่ดีที่สุดจากวังหลวงสามารถรักษาอาการหอบของพระชายาได้ อีกทั้งสภาพแวดล้อมในวังเป้ยเล่อก็เงียบสงบ จะต้องส่งผลดีต่อการพักฟื้นของพระชายาอย่างแน่นอน’
‘แต่ว่า…’ เมื่อเห็นท่าทีของบุตรสาวที่เปลี่ยนไป อีกทั้งหย่งหลินก็ดูจริงใจอย่างยิ่ง ชายาเจี่ยนอ๋องจึงเริ่มลังเล
‘พระชายากังวลเรื่องใดอยู่หรือ ถึงแม้เสด็จพ่อจะถอดเจี่ยนอ๋องออกจากลำดับราชสกุลวงศ์ไปแล้ว แต่พวกเราก็ยังนับว่าเป็นญาติห่างๆ ไปพักที่วังของข้าก็ไม่ถือว่าเกินเลยไปหรอก ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าว่าเช่นนั้นหรือไม่’ ชายหนุ่มยิ้มถามหญิงสาวข้างกาย
แม้จะเรียกฮุ่ยเอ๋อร์อย่างสนิทสนมแต่นัยข่มขู่ที่แฝงอยู่ยังเต็มเปี่ยม นางอดทนอดกลั้น กัดฟันรับคำ ‘เจ้าค่ะ’
ท่าทีของบุตรสาวเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกินไป ชายาเจี่ยนอ๋องจึงอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยที่มาของบรรยากาศอึมครึมระหว่างบุตรสาวกับเป้ยเล่อคนนี้ ‘ข้าคิดว่า ให้เวลาข้าตัดสินใจอีกหน่อยจะดี…’
‘พระชายา ท่านไม่คิดเผื่ออาการป่วยของตนเองก็ต้องคิดเผื่อฮุ่ยเอ๋อร์ให้มาก นางอายุสิบห้าปีแล้วกระมัง หากอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ต่อไปแล้ววันหน้าจะทำอย่างไร หากอาศัยอยู่ที่วังเป้ยเล่อ ข้าย่อมช่วยนางเป็นธุระจัดการ หากคิดจะออกเรือนในอนาคตก็ย่อมไม่เป็นที่ขุ่นข้องหมองใจ’
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าอมโรคของผู้เป็นมารดาเปล่งประกายในทันใด ‘ท่านจะเป็นธุระเรื่องออกเรือนให้ฮุ่ยเอ๋อร์จริงหรือเจ้าคะ!’
‘อาศัยอยู่ในวังของข้าแล้วย่อมต้องเป็นเช่นนั้น’ เขาพูดอย่างหนักแน่น
‘ท่านแม่…’ นางเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ทั้งยังเสียให้แก่เขา ไม่รู้จริงๆ ว่าบุรุษผู้นี้วางแผนอะไรอยู่ ถึงขั้นพูดออกมาว่าจะเป็นธุระเรื่องออกเรือนให้นาง!
ด้วยกลัวมารดาจะถือเป็นจริงเป็นจัง นางจึงรีบเอ่ยเตือนมารดาอย่าได้หลงเชื่อ
ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะเปิดปาก ชายาเจี่ยนอ๋องก็รีบห้ามไม่ให้นางพูด
‘เจ้าอย่าเพิ่งพูด แม่ตัดสินใจแล้ว ถึงอย่างไรองค์เป้ยเล่อก็เชื้อเชิญพวกเราไปอาศัยอยู่ที่วังอย่างจริงใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้เถิด พวกเราสองแม่ลูกขอบคุณองค์เป้ยเล่อที่เมตตาเจ้าค่ะ!’ นางนั่งอยู่บนเตียงพลางก้มหัวโขกศีรษะให้หย่งหลินอย่างซาบซึ้งใจยิ่ง
นางอาจไม่คิดเผื่อตนเองได้ แต่ฮุ่ยเอ๋อร์ไม่อาจอาศัยอยู่ในที่โกโรโกโสเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องอนาคต เอาแค่ตอนนี้ บนถนนสกปรกโสมมสายนั้นก็เพิ่งจะเกิดเรื่องชายโฉดคิดฉุดคร่าหญิงชาวบ้านขึ้นมาหมาดๆ เรื่องนี้นางไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นกับบุตรสาวของนางเด็ดขาด!
* เป้ยเล่อเป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยชิงซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ชั้นยศสูงสุด ได้แก่ ชินอ๋อง จวิ้นอ๋อง เป้ยเล่อ และเป้ยจื่อตามลำดับ อาจเป็นบุตรของอ๋องหรือองค์หญิง หรือจักรพรรดิทรงแต่งตั้งตามวินิจฉัยและความดีความชอบ ดังนั้นบุตรชายอาจจะมีตำแหน่งยศสูงกว่าผู้เป็นบิดาได้
* ธาราลึกอัคคีร้อน อุปมาถึงการประสบความทุกข์ยากลำบาก
* สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ หมายถึงพวกที่แอบอ้างบารมีผู้อื่นมาข่มขู่หลอกลวงผู้คน
** ชุดฉีจวง คือชุดของชาวแมนจู ทำจากผ้าเนื้อหนายาวคลุมเข่าเพื่อให้ความอบอุ่น
* แบกหม้อดำ เป็นสำนวน หมายถึงรับผิดแทนผู้อื่น หรือตกเป็นแพะรับบาป
* เซียนเหรินจั่ง คือต้นกระบองเพชร
** ดอกตู้เจวียน หรือดอกนกแขกเต้า เป็นชื่อไม้ดอกในสกุลกุหลาบพันปี (Rhododendron) วงศ์กุหลาบป่า ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบดอกไม้งามของจีนและได้ชื่อว่าเป็นซีซือในหมู่ดอกไม้
* ซื่อจื่อ หรือรัฐทายาท เป็นตำแหน่งทายาทของอ๋องผู้ได้รับแต่งตั้งให้ไปปกครองเมืองอื่น
* หญ้าหานซิว หรือต้นไมยราบ (Mimosa pudica) เป็นพืชล้มลุกมีหนาม เมื่อถูกสัมผัสหรือเขย่าก็จะหุบใบเพื่อปกป้องตนเองคล้ายอาการเขินอาย
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)
* กิ่งทองใบไม้หยก เป็นสำนวนจีน หมายถึงผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์
** ค่ายสวินปู่ คือหน่วยทหารสังกัดกองธงเขียว ทำหน้าที่คุ้มกันและลาดตระเวนตรวจตราบริเวณรอบนอกของเมืองหลวง
* ซิ่วสุ่ย แปลว่าแม่น้ำสายที่สวยงาม
* เฮยไป๋อู๋ฉาง เป็นคำเรียกยมทูตดำยมทูตขาว ‘เฮย’ มาจากคำว่า ‘เฮยเทียน’ แปลว่ากลางคืน ‘ไป๋’ มาจากคำว่า ‘ไป๋เทียน’ แปลว่ากลางวัน ‘อู๋ฉาง’ แปลว่าไม่ยั่งยืนแน่นอน รวมกันจึงมีความหมายว่า ‘ชีวิตไม่แน่นอน ทุกคนพร้อมตายได้ทุกเวลาทั้งกลางวันกลางคืน’ ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกัน มีหน้าที่ตามเก็บวิญญาณของผู้หมดอายุขัย ตามศาลเจ้ามักมีภาพวาดหรือรูปปั้นตนหนึ่งใส่ชุดขาวทาหน้าขาว อีกตนใส่ชุดดำทาหน้าดำ จึงเรียกอีกชื่อว่า ยมทูตหน้าขาวหน้าดำ
* ลำดับศักดิ์ของสตรีในวังสมัยโบราณ โดยทั่วไปเรียงตามลำดับดังนี้ หวงโฮ่วหรือฮองเฮา (อัครมเหสี) ถือเป็นประมุขของฝ่ายใน แต่ในรัชกาลหนึ่งๆ อาจไม่แต่งตั้งใครขึ้นเป็นก็ได้ รองลงมาคือหวงกุ้ยเฟย (อัครเทวีหรือมเหสีฝ่ายซ้าย) กุ้ยเฟย (อัครชายา) ชายาชั้นเฟย (ราชชายา) เจ้าจอมชั้นผิน (พระสนมเอก) เจ้าจอมชั้นกุ้ยเหริน (พระสนม) รองจากนั้นคือนางกำนัล และนางในทั่วไปซึ่งแบ่งชั้นและมีคำเรียกแตกต่างตามยุคสมัย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.